แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรม อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านนั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งสามารถได้ยินเสียงชัดเจนแจ่มแจ้ง แล้วตั้งใจฟังให้ดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา เมื่อตะกี้ไปออกโทรทัศน์จบแล้วก็กลับมาถึงกุฏิ ญาติโยมมานั่งรออยู่หลายคน มาไกลๆอยากจะพบหลวงพ่อ อยากจะทำบุญกับหลวงพ่อ เลยต้องนั่งลงไม่ทันได้ดื่มน้ำดื่มท่า นั่งลงเขียนใบเสร็จรับเงินที่โยมถวาย ก็ยังนั่งอยู่บ้างบอกว่า “พอแล้วโยม จะไปก่อน ไปทำตรงนู้นก็ได้” แล้วก็รีบมา เดินมาเพื่อแสดงปาฐกถา เวลามานี้ก็เดินรีบร้อนเพื่อให้ทันเวลา หัวใจมันก็เต้นแรงหน่อย เพราะฉะนั้นมาถึงก็ต้องหยุดไหว้พระให้มันนานๆหน่อย เพื่อผ่อนคลายลมหายใจ เสร็จแล้วก็ขึ้นมาดื่มน้ำเสียนิดหน่อยพอชุ่มคอ แล้วก็พูดกับญาติโยมต่อไป สังขารร่างกายมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ เป็นเรื่องที่เราห้ามไม่ได้ ขอร้องก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ มันเป็นไปตามธรรมชาติ
สังขารร่างกายของท่านเจ้าคุณพุทธทาสเวลานี้ ก็อยู่ในสภาพนอนเฉยๆ ก็ทำงานมานานแล้วตั้งห้าหกสิบปีแล้ว ถึงเวลาที่จะนอนพักกันเสียที เลยท่านก็นอน ไปเยี่ยมทีไรก็เห็นหลับตาพูดทุกที ไม่ลืมตาดูใครมาใครไป เมื่อวานนี้สมเด็จพระสังฆราชก็ไปเยี่ยม สมเด็จพุฒาจารย์วัดสระเกศก็ไปเยี่ยม เมื่อวันก่อนนี้นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณก็ไปเยี่ยม (02.28) ก็อย่างนั้นท่านไม่รู้ว่าใครมาเยี่ยม คนที่ไปเยี่ยมก็ไปยืนดูนิดหน่อยแล้วก็ออกไปเท่านั้นเอง สภาพเป็นเช่นนั้น ร่างกายมันเหนื่อย มันก็ต้องพักตามหน้าที่ แต่ว่าไม่ยอมพักยังทำงานอยู่ เพราะคิดว่าเกิดมาเพื่อรับใช้สังคมและรับใช้พุทธบริษัท ก็ทำงานไม่หยุด ทำจนกระทั่งว่าร่างกายมันหยุดของมันเอง ประท้วง บอกว่า “พอแล้ว ฉันไม่ให้ทำแล้ว” แล้วก็เป็นดังที่เป็นอยู่ ก็เลยต้องนอน นอนพักไป จะหายหรือไม่หายนั้นมันสุดแล้วแต่ปัจจัยเครื่องปรุงแต่ง ท่านก็เคยพูดเสมอว่า “มันสุดแล้วแต่อิทัปปัจจยตา” หมายความว่าสุดแล้วแต่เครื่องปรุงเครื่องแต่ง ถ้าเครื่องปรุงแต่งมันยังดีมันก็ไปได้ เหมือนรถยนต์ถ้าเครื่องพร้อม น้ำมัน ไฟพร้อม มันก็วิ่งได้ ถ้าหากมันไม่พร้อมก็จอดนิ่งเหมือนกัน ไปไหนไม่ได้ สังขารร่างกายของคนเราก็เป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นคนไปเยี่ยมก็ต้องนึกปลงไป ปลงด้วยความเสียดาย ว่าร่างกายนี้เป็นประโยชน์มาก สมองนี้มีประโยชน์มาก แต่ว่าสมองมันก็ไม่ยอมให้ใช้แล้ว หมอที่ดูแลบอกว่า เรื่องสมองนี่มันเรื่องละเอียดอ่อนหลวงพ่อ มันเป็นอะไรแล้วมันหายช้า หายแล้วอาจจะไม่หายเหมือนเดิมก็ได้ มันสุดแล้วแต่ปัจจัยเครื่องปรุงแต่ง ก็ต้องว่ากันไปอย่างนั้น เพราะบังคับกันไม่ได้ จึงต้องว่ากันไปตามเรื่อง
มีหลวงปู่องค์หนึ่ง เค้าเรียกว่าหลวงปู่บุดดา (04.35) อายุ ๑๐๐ ปี กับ ๓ เดือน ไอ้ ๓ เดือนที่เกิน ๑๐๐ นะไม่ได้อยู่วัดแล้ว เพราะว่าทำบุญอายุ ๑๐๐ ปีเสร็จก็เข็นมาโรงพยาบาล แล้วก็นอนอยู่อย่างนั้น ดีหน่อยที่ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หายใจเองได้ แต่ว่าไม่รู้อะไรแล้ว นอนหายใจอยู่อย่างนั้น มีพระสองสามรูปเย็นๆเข้ามาเช็ดเนื้อเช็ดตัว เปลี่ยนสบงให้ แล้วเอาไปซักไปฟอกเวลาเย็นก็มา ทำอยู่อย่างนั้นตามเรื่องตามราว เห็นแล้วก็นึกปลงอนิจจังอยู่ในใจว่า “เออ ร่างกายเรามันก็อย่างนี้แหละ อาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ อาจจะไม่เป็นอย่างนี้ก็ได้ มันสุดแล้วแต่เครื่องปรุงแต่ง” เราขอไม่ได้ ห้ามไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น มันเป็นเรื่องของธรรมชาติธรรมดา ที่จะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ก็ปลงไปอย่างนั้น คิดไปอย่างนั้น คนมาเยี่ยมมาเยือนก็มา ซื้อดอกไม้มาถวาย ซึ่งความจริงก็ไม่ได้เรื่องอะไรหรอก แต่ว่าเป็นการแสดงความเคารพคิดถึง พวงมาลัยนี่คล้องอยู่บนโต๊ะข้างนอกเขาไม่ให้เข้าข้างใน เพราะมันมีเชื้ออะไรเป็นพิษอาจจะไปติดคนไข้ได้ ก็เลยกองไว้ที่รูปถ่าย และก็มีหนังสือเอาไปวางไว้ เอาดอกไม้มาแล้วเอาหนังสือไปเล่มหนึ่ง เอาไปอ่านไปศึกษาหาความรู้ความเข้าใจกันต่อไป ก็ทำได้เพียงเท่านั้น อันนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดา
ซึ่งเราคิดแล้วก็ควรจะปลงจะวางไปตามหน้าที่ อย่าไปคิดมาก อย่าคิดให้เป็นทุกข์ แต่คิดให้เกิดปัญญา ให้เกิดความเข้าใจในสภาพทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง เพราะว่าเราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาให้รู้ว่า “อะไรมันเป็นอะไรอย่างถูกต้อง ไม่คิดด้วยความเขลา หรือความหลงความเข้าใจผิดในเรื่องอะไรต่างๆ” อย่างนี้สภาพจิตใจก็จะไม่วุ่นวาย อยู่ในความสงบได้ เพราะเราเข้าใจว่าอะไรๆมันก็เป็นอย่างนั้น ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ธรรมดามันก็เป็นอย่างนั้น คิดได้ก็สบายใจ ไม่ต้องเป็นทุกข์ แต่ก็ทำอะไรไปตามหน้าที่ ที่เราจะต้องจับต้องทำ
ถ้าเราเกี่ยวข้องกับคนป่วยก็ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ถ้าว่าคนป่วยนั้นถึงแก่มรณะไป เราก็ทำหน้าที่ไปให้มันเป็นการถูกต้องเรียบร้อย มันก็ไม่มีอะไรที่เป็นปัญหา เพราะคนเราเกิดมาแล้วมันก็ไหลเรื่อยไป ชีวิตคือความไหล ไหลเรื่อยไป ไหลไปจนกระทั่งหยุดไหล เรียกว่าถึงแก่ความแตกดับ เรียกว่าหยุดไหล แล้วก็จบเรื่องกันไปตอนหนึ่ง ฉากหนึ่งของชีวิต ขั้นตอนหนึ่งของชีวิต สังสารวัฏนี้มันยาวเหลือเกิน เรามาวนอยู่ในสังสารวัฏนิดหน่อย เพียงไม่เกิน ๑๐๐ ปีมันนิดเดียว ไม่เกิน ๑๐๐ ปีนี้มันก็นิดเดียว แล้วเราก็จากโลกนี้ไป จากสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไป อะไรๆที่เรามีเราได้ไว้ ก็อย่าไปนึกว่าเป็นของเราตลอดไป ปลงๆวางๆลงไปเสียบ้าง อยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยความรู้ว่า
“เรือนหลังนี้ไม่ใช่ของฉัน เสื้อผ้านี้ก็ไม่ใช่ของฉัน สายสร้อย ต้มหู จี้ แหวน (08.50) รุงรังอยู่ตามร่างกายก็ไม่ใช่ของฉัน เงินในธนาคารก็ไม่ใช่ของฉัน”
นึกอย่างนั้น คอยบอกตัวเองไว้ว่า “ไม่ใช่ของฉันๆ” เวลามันมีอะไรเกิดเปลี่ยนแปลงไป ก็บอกตัวเอง “ก็มันไม่ใช่ของฉันนี่นา” แม้ตัวฉันก็ไม่ใช่ตัวฉัน มันเป็นแต่เพียงก้อนหนึ่งซึ่งปรุงแต่งขึ้นตามธรรมชาติ อาศัยมารดาบิดาเป็นผู้ให้กำเนิด แล้วมันก็เจริญขึ้นด้วยข้าวสุก ขนมสด อากาศ น้ำท่า ที่เราหายใจเข้าไป แล้วมันก็ไหลไปอย่างนี้ ไหลไปตามสภาพ วันหนึ่งมันก็ต้องหยุดไหล ต้องหยุดนิ่ง เราคิดอย่างนั้น เป็นเครื่องเตือนใจให้เกิดปัญญา ไม่ต้องเป็นทุกข์วิตกกังวลในเรื่องอะไรต่างๆ มีอะไรที่จะต้องจับต้องทำก็ทำเสียให้เรียบร้อยตามหน้าที่ เราเกิดมาทำหน้าที่เท่านั้น ทำไปตามหน้าที่ แต่เราจะไปนึกว่า จะได้อะไร จะมีอะไร จะเป็นอะไร นั้นมันก็ไม่ได้เรื่อง เพราะถ้านึกอย่างนั้นจะสร้างปัญหาสร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนแก่ชีวิตเปล่าๆอย่าไปนึกให้วุ่นวาย แต่ว่าทำปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าให้เรียบร้อย มีอะไรเกิดขึ้นก็จัดให้เรียบร้อย จะเป็นเรื่องดีก็ตามเรื่องชั่วก็ตาม เรื่องสุขเรื่องทุกข์ เรื่องได้เรื่องเสีย ก็ต้องจัดไปตามหน้าที่ แก้ไขไปตามหน้าที่ ในขณะแก้ไขก็อย่าไปวุ่นวาย อย่าให้เป็นทุกข์ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาว่า
“สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว แต่เราก็ต้องจัดการมันตามหน้าที่ จัดการด้วยปัญญาเพื่อให้มันหายไปเสื่อมไปตามประเภทของสิ่งนั้น และเราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น ไม่ต้องกังวลใจเพราะสิ่งนั้น อยู่ในโลกด้วยความรู้ทันรู้เท่าต่อสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง”
สภาพจิตใจก็สงบไม่วุ่นวาย ไม่มีร้อนไม่มีเย็น ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เข้ามาเกี่ยวข้อง อะไรจะเกิดขึ้นก็รู้ว่ามันก็เกิดขึ้น มันก็ตั้งอยู่แล้วมันก็ดับไป ไม่มีอะไรคงทนถาวร ไม่มีตอนใดตอนหนึ่งที่เราจะเข้าไปยึดไปถือว่า เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นเราเป็นเขา ในเรื่องนั้นๆ ถ้าเราคิดอยู่อย่างนี้ใจมันก็สบาย มีลูก ลูกตายก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ สามีตายก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ภรรยาตายก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ขโมยมาลักของไปเราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะเรานึกว่า “มันไม่ใช่ของเรา” ของเรายืมมาใช้ชั่วคราว แล้วเราเผลอหน่อยคนอื่นก็มายืมต่อไป ไอ้คนนั้นก็ไม่ได้เอาไปกกไปกอดอยู่นานอะไรหรอก ไม่เท่าใดมันก็ต้องจากไปอีกเหมือนกัน สิ่งนั้นมันไม่ใช่ของคงทนถาวรอะไร ถ้าเรานึกอย่างนี้ใจก็สบาย ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องนอนปวดหัว ไม่ต้องมีอาการทุกข์จนกระทั่งว่าทำอะไรไม่ถูกไม่ต้อง เพราะมีความเข้าใจในสิ่งนั้นถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง อันนี้แหละเป็นสิ่งที่เราทั้งหลายควรคิดควรทำ
เพราะโลกที่เราอยู่นี้มันไม่เที่ยง มันเวียนอยู่ตลอดเวลา โลกนี้อยู่ในความเปลี่ยนแปลง โลกมันก็หมุนตามธรรมชาติ ไอ้ของอยู่ในโลกมันก็เปลี่ยนไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ตัวเราก็อยู่ในกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง จะไปยึดมันก็ไม่ได้ จะไปห้ามมันก็ไม่ได้ มันก็ไหลไปอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้น เราเพียงแต่กำหนดรู้ว่า สิ่งนี้มันเป็นอย่างนี้ๆ กำหนดรู้เท่านั้น รู้แล้วก็จะได้ไม่ต้องเข้าไปจับไปฉวยอะไรมากเกินไป เราเห็นไฟเราก็อย่าไปจับไฟ เห็นของเป็นทุกข์เช่นงู เราก็อย่าไปจับงู อย่าเข้าไปใกล้งู แต่นั่งดูว่างูนั้นคืองู มันเป็นสัตว์มีพิษ ถ้าเรายื่นมือไปมันก็จะฉกมือเรา ยื่นแข้งไปมันก็จะฉกแข้งฉกขา มันทำอันตรายเรา เราต้องยืนห่างๆ คอยดูมันไว้ว่ามันจะเคลื่อนไหวไปทางไหน มันจะหันหัวมาหาเราหรือเปล่า เราก็ต้องหลบต้องหลีกไม่ให้มันกัดเรา ไม่ให้มันทำร้ายเรา เราก็ปลอดภัยจากงูพิษนั้น อารมณ์ต่างๆที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรา มันก็เป็นสิ่งที่จะเป็นพิษแก่เราก็ได้ จะไม่เป็นพิษก็ได้ สุดแล้วแต่เรารับสิ่งนั้น ถ้าเรารับสิ่งนั้นด้วยปัญญา เราก็ไม่ต้องผูกอะไร ตัดออก(นาทีที่ 14:16) แต่ถ้าเรารับด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันก็กัดเรา รูปมันกัดเรา เสียงกัดเรา กลิ่น รส สัมผัส อะไรต่างๆ ที่มากระทบ มันกัดเราได้ เพราะเราไม่เข้าใจ ไม่รู้ในสิ่งนั้นตามสภาพที่เป็นจริง เราก็ถูกกัด ถูกกัดก็คือเป็นทุกข์เพราะ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แต่ถ้าเรารู้เราเข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันเกิดขึ้นตั้งอยู่อย่างไร เราควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร เราก็ไม่ถูกมันแว้งกัดตอบ เราปลอดภัย อยู่ในโลกอย่างปลอดภัย ไม่มีอันตรายจากสิ่งต่างๆ ที่มากระทบเรา
แต่ว่าคนเราไม่ค่อยจะเข้าใจเรื่องนี้ ไม่ได้ศึกษาในเรื่องนี้ให้เข้าใจ เรียนเรื่องอื่นเรียนกันจริงจัง เรียนจนกระทั่งได้เป็นดอกเตอร์ (doctor) แต่ว่าไม่รู้เรื่องชีวิต ไม่เข้าใจชีวิตถูกต้อง เรื่องของตัวเองไม่ค่อยได้เรียน ไม่ค่อยจะเข้าใจถูกต้อง แล้วก็มีปัญหา เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็ไม่รู้จักตัวปัญหา ไม่รู้จักเหตุของปัญหา แล้วไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร เลยจนปัญญานั่งเป็นทุกข์ ทุกข์หนักเข้าก็ไม่รู้จะทำอะไรเลยฆ่าตัวตาย เป็นดอกเตอร์ยังฆ่าตัวตายแสดงว่า ยังโง่อยู่นั่นเอง ยังไม่ได้มีปัญญาเฉลียวฉลาดอะไร ฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตายแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา สัปเหร่อได้งานเพิ่มขึ้นศพหนึ่งเท่านั้นเอง ไอ้ตัวเราก็ไม่ได้อะไร ลูกหลานก็ไม่ได้อะไร นอกจากว่าขายหน้าว่า คุณพ่อนี่ปริญญาเอกจะมาฆ่าตัวตาย ลูกหลานก็ขายหน้าไม่ได้เรื่องอะไร
แต่ทำไมจึงทำอย่างนั้น ก็มันไปทางตัน เหมือนเขาขับรถไปๆ แล้วเขียนบอกว่า โนโรด (no road) หมายความว่าไม่มีถนนแล้ว ทางมันตันแล้ว เราก็ไม่รู้จะไปทางไหน อะไรขวางทางอยู่ก็ชนโครมกันเลย หน้าหม้อยุบ คนขับก็ตายไปเท่านั้นเอง มันเป็นอย่างนั้น ชีวิตมันเป็นอย่างนั้น สำหรับคนที่ไม่มีปัญญา ไม่ศึกษาเรื่องตัวเองให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เพราะมีความคิดผิด คิดผิดอย่างไร คิดว่าตัวนี้หมดแล้ว ตัวเข้าใจหมดแล้ว ไอ้ความจริงสิ่งที่ตนรู้นะอยู่ในวงนิดเดียว โลกนี้มันกว้างใหญ่ไพศาล ความรู้ความเข้าใจมันมากมาย แต่เรารู้เพียงมุมเดียวนิดเดียวเท่านั้นเอง แต่เรานึกว่าเรารู้หมดเข้าใจหมดอย่างนี้มันก็เป็นปัญหา แต่ถ้าเรานึกว่า “โอ! ยังไม่รู้อะไร มีเรื่องที่ยังไม่รู้อีกเยอะแยะ” แล้วเราก็หันมาศึกษา เรื่องสำคัญที่ควรศึกษาเรื่องชีวิตของเราเอง นี่จะต้องศึกษาให้รู้ให้เข้าใจ ว่าอะไรมันเป็นอะไรอย่างถูกต้อง ไอ้เรื่องความรู้เรื่องอย่างนี้ ก็ต้องเรียนธรรมะของพระพุทธเจ้า เพราะหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้สอนอะไรมากไปกว่าตัวเรา
พระองค์ตรัสบ่อยๆว่า “เราสอนเรื่องเดียวคือ เรื่องความทุกข์และการดับทุกข์ได้” และเรื่องความทุกข์และการดับทุกข์ได้นั้นมันอยู่ในตัวของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมองที่ตัว ศึกษาที่ตัว ค้นคว้าที่ตัว อย่าไปมองที่อื่น อย่าไปศึกษาที่อื่น มันไกลไป แต่มองที่ตัวเราว่า ตัวเราคือใคร อะไรเกิดขึ้น มันเกิดมาจากอะไร และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันให้ความร้อน ให้ความเย็น ให้ความสุข ให้ความทุกข์ ให้อะไรแก่เรา เราต้องเรียนต้องรู้ให้เข้าใจ แล้วก็ใช้ปัญญาวิเคราะห์วิจัย เรียกว่าวิเคราะห์วิจัย
วิเคราะห์วิจัยก็หมายความว่า “พิจารณาโดยละเอียด” ในภาษาธรรมเรียกว่า “ธรรมวิจัย” (18.43) ในโพชฌงค์ ๗ ประการซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อความพ้นทุกข์ มีอยู่ข้อแรกเลยว่า ธรรมวิจัย ธรรมวิจยะ (18.55) ก็หมายความว่า “พิจารณาสิ่งต่างๆด้วยปัญญา” ธรรมะหมายถึงสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่รอบๆตัวเรารวมทั้งในตัวเราด้วย เราก็ต้องพิจารณาสิ่งนั้นด้วยปัญญา พิจารณาเพื่อให้เห็นชัด เข้าใจชัด ในสิ่งนั้นตามสภาพที่เป็นจริง พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกว่า “จงดูสิ่งทั้งหลายให้รู้ตามสภาพที่มันเป็นจริง” มีศัพท์เทคนิคอยู่คำหนึ่งว่า “ยถาภูตญาณทัสสนะ”
ยถาภูตญาณทัสสนะนี่แปลว่า “ให้เห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นอยู่จริงๆ”
ทีนี้เราเห็นตามที่เป็นจริงหรือเปล่า เรามักจะมองแต่เพียงภายนอกผิวเผิน มองคนก็เห็นแต่เพียงภายนอก มองอะไรก็มองเห็นแต่สิ่งที่เรียกว่าเป็นมายา มายาหมายความว่า “สิ่งที่ปรุงๆแต่งๆไว้ ไม่ได้มองให้ทะลุเข้าไปจนเห็นเนื้อแท้ว่าสิ่งนั้นมันเป็นอย่างไร” อย่างนี้เรียกว่า “มองแต่เปลือก มองไม่ลึก มองเจาะไม่ลึก เราก็ไม่เข้าใจสิ่งนั้นถูกต้อง” ไปยึดเอาแต่เปลือกไว้ ทำให้เกิดปัญหา ไม่ว่าวัตถุอะไร ถ้าเรามองแต่เพียงภายนอก ก็ดูมันสวยงามเรียบร้อยเพราะเขาปรุงแต่งไว้อย่างนั้น แต่ถ้าเราเปิดเข้าไปดูข้างใน บางทีมันก็ไม่เรียบร้อยอะไร เหมือนโทรทัศน์ที่ออกมา เป็นภาพมาให้โยมเห็นนี่ เวลาออกมาในจอดูมันสวยงามเรียบร้อย แต่ว่าหลังจอโทรทัศน์นะมันมีแต่เรื่องรุงรังทั้งนั้น ในสถานีโทรทัศน์นะมันรุงรัง ดวงไฟบ้าง สายนู่นบ้าง ไอ้นี่บ้างกองรุงรังไปหมด แต่ก็ฉายเฉพาะที่เป็นภาพสวยๆงามๆออกมาอย่างนั้น เราไม่ได้ไปเห็นสถานี ถ้าไปเห็นสถานีก็นึกว่า “โอ๊ะ! ไอ้ที่ฉันเห็นที่บ้านมันไม่เหมือนอย่างนี้” ก็เขาฉายเอาเฉพาะที่มันสวยๆงามๆ ไอ้ที่ไม่สวยเขาก็ไม่ฉายออกไป เราจึงเห็นว่าเป็นของสวย เป็นภาพมายา เป็นภาพหลอกลวง ให้เราหลงใหลมัวเมายึดถือในสิ่งนั้นด้วยประการต่างๆ เพราะเราไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร เช่นเมื่อเราดูร่างของคนนี่ เราก็เห็นว่า “โอ้! สวยงาม” แต่ความจริงนั้นดูเครื่องตกแต่ง ดูเครื่องสำอาง ที่เอามาปะไว้ที่ผิวหนัง ที่ดวงหน้า ที่อะไรๆ ต่ออะไรต่างๆ แล้วเราก็ดูว่า “เออ! สวยดี”
คนที่เข้าไปประกวดนางงามนะ ถ้าหากว่าให้มันธรรมชาติจริงๆ อย่าไปตกไปแต่งนะ อย่าไปทำผมให้มันผิดปกติ อย่าไปเที่ยวแต่งหน้าแต่งขนคิ้ว แต่งอะไรต่ออะไรนะ มันก็พอจะดูกันจริงจังได้ว่าสวยไม่สวย แต่นี่ โอ! ร้านที่หากินทางแต่งหน้าแต่งตา เอาไปปรุงไปแต่งซะจนจำไม่ค่อยได้ ถ้าเดินไปทั้งรูปที่แต่งคุณแม่คงจำลูกสาวไม่ได้ นั่งมองๆ “อ้าว! เอ๊ะ! อ้อ! ลูก อีหนูนั่นเอง แหม! แม่จำไม่ได้เลย” ก็ไปแต่งซะจนเลอะเทอะ (22.35) แล้วออกมาเดินประกวดบนเวที เดินก็แต่ง เครื่องแต่งตัวก็แต่ง แต่งการเดิน เดินอย่างนั้นเดินอย่างนี้ แต่งไปนี้ เดินเกร็งๆเครียดๆไปตามเรื่อง เพื่อให้กรรมการเห็นว่า เข้าทีหน่อย ว่างั้น เขาเรียกว่าดูแต่ภายนอกผิวเผิน ไม่ได้ดูเข้าไปข้างใน ไม่ได้ดูร่างกายของนางงามข้างใน ว่ามันเป็นอย่างไร แล้วไม่ได้ดูสภาพจิตใจของคนงามนั้นว่ามีสภาพจิตใจอย่างไร ใจดี ใจงาม ใจเรียบร้อย อะไรหรือเปล่า ก็ไม่ได้ดูหรอก ไม่ได้ดูอย่างนั้น เพราะเขาประกวดรูปร่างภายนอก ไม่ได้กวดความงามภายใน เขาเรียกว่าประกวดความสวยกัน ก็ต้องอาศัยการตกแต่งปรุงแต่ง ถ้าสมมุติว่าคนที่ตกแต่งแล้วนะ ไปนอนหลับสักคืนหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาไม่ได้แต่งหน้าแต่งตาเลอะเทอะดูไม่ได้เลย เพราะมันไม่สวย มันไม่ได้แต่งไง
มันก็ไม่สวยไม่งามอะไร คือเห็นคนเดินออกมาจากโรงแรมนะไม่ได้แต่งหน้าแต่งตา บอกว่า “อือ! เอะ! อะไรเดินออกมา รูปร่างเหมือนกับอะไรดี” นั่นกลางคืนนะมัน อือ! แววๆวาวๆ เพราะว่าแสงบ้างอะไรต่ออะไรเข้าไปกระทบดูมันสวย แต่ว่าไปหลับคืนหนึ่งแล้วออกมา ไม่เข้าท่าเลย รูปร่างก็ผอม ผิวหนังก็ซูบซีด ปากก็ซีด แก้มก็ซีด ในตาก็ร่วงโรย เหมือนไม่ได้นอนมาสัก ๗ คืนยังงั้นแหละ ไอ้อย่างนี้ดูแล้วมันไม่น่าพิศมัยอะไร แต่คนเราไม่ได้ดูอย่างนั้น ดูแต่ว่ามันสวยมันงาม มันน่ารักน่าพอใจ ดูกันในรูปอย่างนั้น เป็นส่วนมาก และตัวเราเองก็ไม่รู้ว่าตัวเราเป็นอย่างไร ดูทีไรก็ไม่เห็นตัวเอง ก็ไปดูเพื่อแต่ง ไปยืนหน้ากระจกให้เขาแต่งๆ แต่งคิ้ว คู่เดิมไม่สวย คู่เก่ามาแต่งใหม่ แต่งตา ขนตาดัดให้มันงอนขึ้นไป เอาอะไรมาแต้มที่คิ้ว ผิวหนังตาบน ผิวหนังตาล่างดูแล้วเลอะเทอะ มีหนูคนหนึ่งเขาก็ยังสาวเขามา หลวงพ่อ “เฮ้ย! หนูอะไรติดอยู่ที่หนังตาหนูนะ” ทำท่าตกใจ “อะไรติดหนังตาหนูนะ” เขาก็หัวเราะคิกคักๆกัน หัวเราะนึกว่าหลวงพ่อนี้มันเชยเต็มที ไม่รู้อะไรเป็นอะไรถามว่า “อะไรติดตาหนู” แกล้งถามว่าอะไรมันติดตาหนู เอาไปทาไว้ วันหลังไปพบคุณแม่เขา คุณแม่บอก “แหม! ลูกสาวไปวัดวันนั้น หลวงพ่อสงสัย ถามว่าอะไรติดอยู่ที่ขอบตา” บอก “แหม! ว่าหลายหนแล้วว่าอย่าไปแต่งอย่างนั้น เขาก็ต้องแต่งเพราะถ้าไม่แต่งมันล้าสมัย ไม่ทันคนอื่น” คนอื่นเขาบ้าก็ต้องบ้ากันให้หมดเมืองจึงจะใช้ได้ มันเป็นซะอย่างนั้น ก็ต้องแต่งกัน แข่งกันแต่ง
แล้วดูที่ประกาศในโทรทัศน์นะ ขออภัยเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงทั้งนั้น ประกาศมากที่สุด ผู้ชายไม่ค่อยมีอะไร เรื่องผม รีจอยส์ ซันซิล อะไร มาใหม่ๆ เรื่องผมนี่ หลายเรื่องเอามาประกาศกัน เรื่องผิวหนัง เรื่องรองเท้า เรื่องกระโปรง เรื่องอะไรต่ออะไร โอ๊ย! ประกาศแล้วประกาศอีก นึกในใจว่าไอ้สิ่งเหล่านี้ สมัยคุณแม่คุณยายของเรานะ ท่านไม่ได้ใช้เลยท่านอยู่กันอย่างไร ไม่ได้ใช้ไอ้สิ่งที่โฆษณาตามวิทยุโทรทัศน์นี้ ท่านไม่ได้ใช้ แต่ก็ท่านอยู่มาได้ เกิดลูกมา ...... (26.38) เรียกว่าใช้ได้แล้ว ไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ โฆษณา พอจบเรื่องโฆษณา คืนหนึ่งนะมันหลายหนนะโฆษณาหลายหมื่นนะ นาทีนึงนะ ๕ หมื่นนะโฆษณา มันหลายนาทีนะ เป็นเงินแสนนะกับค่าโฆษณานี่ ของมันก็แพงเพราะอาศัยการโฆษณา ให้คนเชื่อให้คนหลงกันด้วยประการต่างๆ
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยโฆษณาเรื่องเหล้า มันยังมีอยู่บ้างเหล้าไม่หมด เหล้าไทยไม่โฆษณา แบล็คเลเบิล (Black Label) โฆษณาของนอกๆ วิสกี้นอก คนก็ได้ซื้อไปนะ ขวดหนึ่งเป็นร้อยๆ ถ้าได้กินเหล้านอกรู้สึกว่ามันโก้เก๋ขึ้นมา ไอ้ความจริงเมาเท่ากัน แม่โขงก็เมา ไอ้เหล้านอกมันก็เมา เมาเหมือนกันนะ ตอนกินเข้าไปแล้ว เดินโซซัดโซเซเท่ากัน แต่ว่าต้องกินเหล้านอก วันเกิดผู้หลักผู้ใหญ่ นี่ โอ้ย! ผู้น้อยอุตส่าห์ซื้อเหล้านอกไปให้ เอามาบอกว่า (27.46) ไปเลี้ยงให้ผู้ใหญ่ตายไวๆ ให้กินเหล้ามันก็ตายไวยังไงนะ เอาเหล้าไปให้ก็เหมือนไปเร่งให้ตายไวๆ เอาไปให้ทำไม วันเกิดนี่เอาหนังสือธรรมะไปให้ผู้หลักผู้ใหญ่ ท่านจะได้อ่านเสียบ้าง ได้มีกระจกสำหรับส่องดูตัวเองเสียบ้าง แต่ไม่มีใครคิด ซื้อเหล้าซื้ออะไรต่ออะไรไปให้ของขวัญเต็มบ้านก็เปิดดูมีแต่เรื่องของเมาทั้งนั้น มอมเมาทั้งนั้น มอมเมาผู้ใหญ่วันเกิดผู้ใหญ่ ทำให้เกิดความเสียหาย
มีผู้ใหญ่บางคนวันเกิดนี่หนีไปอยู่วัด ไปพักอยู่ที่วัดทั้งวันไม่กลับบ้าน สมัยก่อนนี้คุณสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี ท่านไปเป็นอธิบดีศาลที่เชียงใหม่ วันนั้นมาวัดแต่เช้า พวกเราตื่นก็เห็นนั่งรถมาแล้ว
“ท่านอธิบดีทำไมมาแต่เช้า?”
“โอ้! วันนี้วันเกิดอยากจะมาพักอยู่ที่วัดตลอดวัน”
เลยมาอยู่วัดมานั่งอยู่สงบเงียบๆ นั่งพิจารณาตัวเองทำจิตทำใจให้สงบอยู่ทั้งวัน ค่ำมืดจึงจะกลับไปบ้าน ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอกหนีของขวัญนะ เพราะว่าถ้านั่งอยู่บ้านคนมันเอาของขวัญมาให้ เลยหลบมาเสีย มาอยู่วัด แต่ว่าไปถึงบ้านก็ต้องเจอของขวัญอยู่อีก เพราะเขาก็ต้องมายัดเยียดให้ ธรรมเนียมมันเป็นอย่างนั้น คนไทยเราธรรมเนียมเป็นอย่างนั้น วันเกิดผู้หลักผู้ใหญ่ก็ต้องเอาของขวัญไปให้กันตามธรรมเนียม ความจริงนั้นไม่ต้องเอาของขวัญไปให้ ไปอวยพรก็ได้ ความจริงเราไปรับพรจากผู้ใหญ่มากกว่า แต่ว่าการไปของเราทำให้ท่านสบายใจว่า “เออ! คนนี้มันรู้จักฉันนะ รู้จักวันเกิดของฉัน ก็เป็นเครื่อง …… ” ( 29.40) ก็ไปกันอย่างนั้น พอแล้ว ไปให้เห็นหน้า เอาดอกไม้ไปให้ซักช่อหนึ่งไม่ต้องแพงเกินไป ไม่ต้องใส่แจกันสวยๆ เพราะราคามันแพง ผู้ใหญ่จะมองเห็นไอ้นี่ฟุ่มเฟือย คงจะไปไถใครมาแล้ว ไอ้ทำนองนี้นะ ท่านอาจจะนึกไปอย่างนั้นก็ได้ เพราะราคามันแพง ไปไถพ่อค้ามานะ “เป็นเจ้าหน้าที่ ผมจะไปไถใครมาได้” ท่านลังเลใจที่จะรับ ไม่สบายใจ เอาของธรรมดาๆ ดอกไม้มัดเป็นช่อไปให้ กราบอวยพร
ยังไม่ยอม มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ไปพูดที่จังหวัดหนึ่งนะ บอกว่าวันสำคัญๆนี่ควรจะเลี้ยงอาหารแบบง่ายๆ ต่างคนต่างหิ้วปิ่นโตมา เอามาวางบนโต๊ะ แล้วก็ตักข้าวใส่จาน จะตักแกงคนนั้นนิดคนนี้หน่อยเอามากินกัน ไม่ต้องเลี้ยงเหล้าเลี้ยงเบียร์อะไร เลี้ยงกันแล้วจะร้องรำทำเพลงก็มันน่าดูกว่า ดีกว่าเมาแล้วร้อง พอพูดจบท่านผู้ว่าจังหวัดลุกขึ้นบอกว่า “ไอ้อย่างที่ท่านเจ้าคุณว่านะทำไม่ได้ ที่จังหวัดนี้ทำไม่ได้” มันจังหวัดระยอง มันที่จังหวัดระยอง ผู้ว่าลุกขึ้นทันทีบอกว่า “อย่างที่เจ้าคุณว่ามันทำไม่ได้ สังคมเดี๋ยวนี้มันทำอีกรูปหนึ่ง ถ้าทำอย่างนั้นมันสวนกระแสมากเกินไป” ท่านว่าอย่างนั้น ไม่ให้ตอบแล้ว เพราะว่าจบเรื่องแล้ว ถ้าให้ตอบก็จะว่า “มันต้องสวนกระแสไว้บ้าง ปลาเป็นนะมันว่ายทวนน้ำ แต่ปลาตายมันหงายท้องแล้วก็ลอยตามน้ำอยู่ตลอดเวลา” แต่เราอยู่แบบปลาตายมันก็ไม่มีความหมาย มันต้องอยู่แบบปลาเป็นบ้าง แต่ว่าตอบไม่ได้เขาปิดฉากแล้ว หมดเวลาจะพูดแล้วก็เลยไม่ต้องพูดอะไร นี่สังคมมันเป็นไปอย่างนั้น เขาเรียกว่ามัวแต่ไหลตามกระแส ไม่มีใครว่ายทวนกระแส และก็ไหลตามกระแสนะมันเกิดปัญหานะ ถ้าเราไปกระโดดที่หน้าผาที่มีน้ำตกน้ำ …… (31.55) โดดลงไปในอ่างน้ำวน เราก็ไหลวนไปกับกระแสน้ำ หมดความรู้สึก กระแสน้ำก็จะพัดเราไปตามกระแสไหลเรื่อยไปจนออกทะเล มันไม่ทันถึงทะเล คือเน่าเสียก่อนเท่านั้นเองเป็นอย่างนั้น
(32.16 เสียงไม่ชัดเจน) ชีวิตของคนเราในสมัยปัจจุบันนี้ก็เป็นอยู่ในสภาพที่เรียกว่า ไหลตามกระแสโลก ไม่มีใครทวนกระแส แล้วกระแสความไหลของโลกนั้น มันทำให้เรากระทบอะไรต่ออะไรต่างๆ เหมือนเราถูกน้ำพัดไปกระทบหินบ้าง กระทบท่อนไม้บ้าง กระทบอะไรบ้าง ทำให้เกิดความเสียหาย ในสมัยที่น้ำท่วมใหญ่ที่ปักษ์ใต้นครศรีธรรมราช โดยเฉพาะอำเภอ สวาย คานทอ นาสารนี่ (32.47) ท่อนไม้เป็นต้นๆ คนลักตัดไม้ในป่าทิ้งไว้ แล้วก็พายุมา …… (32.56) ไอ้ท่อนไม้เหล่านั้นที่ลอยมากับกระแสน้ำนะ เปลือกหลุดหมด ไม่มีเปลือกเลย กะเทาะเปลือกเกลี้ยงเลย ใครเป็นคนทำ กระแสน้ำ แล้วมันกระทบกันเอง เรียบหมดเลย ไหลมา เหลือแต่ท่อนไม้ (33.16) ไม่มีเปลือกทั้งนั้น นี่กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวมันทำให้เป็นอย่างนั้น เสียหายหมด หินก้อน อูย! ใหญ่ๆ ถ้าจะทำสวนหินก็ไม่ต้องไปขนแล้ว เขาเอามาให้เรียบร้อย ตกอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง วัดน้ำห้วย …… (33.33) หินนี้มาเมื่อไหร่หลวงพ่อ …… (33.38) น้ำท่วมใหญ่เขาก็เอามากองให้เรียบร้อย หลวงพ่อนี่มีบุญไม่ต้องซื้อหินมาทำสวนแล้ว เพราะว่าน้ำไหลเอามาให้ ก้อนใหญ่ๆ สูงๆ วางกันระเกะระกะ ตามธรรมชาติไม่ต้องจัด จัดก็ไม่ไหวยกไม่ไว้ หินมันใหญ่ๆ บอกว่าดีแล้ว เป็นสวนหินอยู่ในวัดเรียบร้อยดี มันเอามาได้ หินไม่ใช่ก้อนเล็กๆ น้ำมันแรงนะพัดมาได้
กระแสน้ำ กระแสคลื่น กระแสลม ว่าแรงยังไม่รุนแรงเท่าใด กระแสของอารมณ์ต่างๆที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของคนเรานั้น มันแรงกว่ากระแสเหล่านั้น เพราะมันกระทบแล้วมันก็ดึงเราไป ดึงใจเราไป ให้ไหลไปตามอำนาจกระแสเหล่านั้น ไหลไปตามกระแส รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ แล้วทำให้เราเป็นทุกข์ขนาดไหน เป็นทุกข์ในส่วนลึกของร่างกายคือใจ ร่างกายกระทบมันเยียวยาได้ แต่ว่าใจกระทบนี่ลำบาก เราก็ได้รับผลถึงความทุกข์ เป็นความเดือดร้อนใจกันด้วยประการต่างๆ พิษสงของอารมณ์ที่มากระทบ … รู้จักต่อสู้ต้านทานกับสิ่งนั้น (34.59) ทำให้เรามีปัญหาขึ้นในชีวิต ด้วยประการต่างๆ ปัญหาส่วนบุคคล ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาประเทศชาติ ปัญหาโลก ไม่ได้เกิดจากอะไร แต่เกิดจากกระแสอารมณ์ที่มากระทบ แล้วเราไม่รู้ทันรู้เท่าต่อสิ่งนั้น เราก็ไหลไปตามกระแสทำให้เกิดปัญหา มีความทุกข์ด้วยประการต่างๆ
สังคมโลกที่เราเห็นง่ายๆ ประเทศบางประเทศ เป็นประเทศใหญ่ เรียกว่าอยู่กันในรูปของสหภาพ สหภาพโซเวียตนี้เป็นต้น มันหลายประเทศถูกรวมเข้ามาอยู่ในอาณา แต่ต่อมาในสมัยนายกอร์บาชอฟ (Gorbachev) นี่ แกเกิดความคิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ มันไม่ถูกต้องแล้วที่บังคับกันให้อยู่กันอย่างนี้ ก็เลยเลิกระบอบคอมมิวนิสต์ พอเลิกระบอบคอมมิวนิสต์คนก็กระจายกันออกไป เมื่อก่อนอยู่กันเรียบร้อยสงบไม่มีอะไร ถึงมีคนก็ไม่รู้ เพราะนักข่าวจะเข้าไปทำข่าวได้ (36.20) แต่พอเปิดคนก็เข้าไปทำข่าว ได้พบสภาพความเป็นจริงว่า ประเทศรัสเซียนี้ยากจน อดอยาก อาหารไม่พอกิน การสุขาภิบาลอนามัยก็แย่ หลายสิ่งหลายอย่างแย่ ลำบากเดือดร้อน คนที่มารวมกันก็ต้องการออกไปเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย แล้วในต่างประเทศ คนมันอยู่กันหลายกลุ่มคน หลักศาสนา โดยเฉพาะพวกคริสเตียนไม่ว่านิกายใดกับพวกมุสลิมอยู่มาด้วยกัน เพราะมีคนมีอำนาจครอบงำไว้ แต่พอปล่อย (37.07) เท่านั้นแหละ ต่างคนต่างสิทธิของตัว จะต้องอยู่ในพวกของตัว ปกครองตัวเองอะไรๆของตัวเอง อันนี้คนมันปนกัน จะแยกกันอย่างไรมันก็ยึด ก็เลยรบกัน จนกรรมการห้ามไม่ไหวแล้วเวลานี้ กรรมการห้ามไม่ไหว เป็นมวยหมู่ อยู่กันขณะนี้ (37.30) รบกันอยู่
ในประเทศศรีลังกาเรียบร้อย ใครจะไปเที่ยวก็สะดวกสบายไม่ต้องหวาดระแวง แต่ว่ามันมีคน ๒ กลุ่ม พวกสิงหลซึ่งมีจำนวนมาก และพวกทมิฬซึ่งอพยพมาจากอินเดียตอนใต้มาจากรัฐ …… (37.51) มาอยู่นั่นสมัยก่อนอังกฤษครอบครอง ก็อยู่กันสบาย รักกันเหมือนกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งอะไรกันเลย แต่พออังกฤษปล่อยให้ได้รับอิสรภาพเท่านั้นแหละ พวกทมิฬก็อยากจะเป็นอิสระกับเค้าบ้างเหมือนกัน เพราะว่าอยู่กับชาวสิงหลมันคนละเผ่าคนละภาษา ศาสนาแตกต่างกัน ก็เลยแยก แยก เขาไม่ให้แยกก็เลยรบกัน ฆ่ากันตาย พระสงฆ์องค์เจ้าก็พลอยตายไปหลายองค์ โดยเฉพาะพระที่เก่งๆ เป็นนักพูด นักสอน นักพัฒนาชุมชน ถูกฆ่าก่อนเพื่อน อาตมาอยู่เมืองลังกาก็ถูกฆ่านานแล้ว เพราะว่า …… (38.44) มันก็ฆ่าด้วยกันเอง ไม่ได้การ เพราะถ้าพระองค์ไหนอยู่เฉยๆ ไม่ยุ่ง ถ้าอยู่ไม่ทำอะไรมันก็ไม่ฆ่า แต่ว่าฆ่าพระที่ทำงาน ตายไปหลายองค์ นี่เรื่องมันยุ่งอย่างนั้นเกิดขึ้น
(39.00 เสียงไม่ชัดเจน) ประเทศพม่าบ้านใกล้เรือนเคียง ก็กะเหรี่ยงมันก็อยู่ในป่า ไม่มีอะไร แต่ว่าคนอังกฤษเขาฉลาด เขาเอาพวกกะเหรี่ยงไปให้การศึกษา ว่าให้เป็นทหาร ให้เป็นตำรวจ มาคุมคนพม่า เอาอินเดียมาเป็นทหารเป็นตำรวจคุมพม่า เอาพม่าไปอยู่มาเลเซียไปคุมคนมาเลเซีย เรียกว่าสับคนกันให้มันอยู่กันอย่างนั้นแหละ ทีนี้พอปล่อย ไอ้กะเหรี่ยงมันเป็นทหาร กูก็อยากเป็นทหารกองกะเหรี่ยง อยากจะเป็นตำรวจกะเหรี่ยง พวกนายพลมันไม่มีกองทัพแล้ว มันก็ตั้งกองทัพขึ้นมาสำหรับพวกกะเหรี่ยงที่ต่อสู้กับพม่า เป็นหอกตำอกพม่าอยู่ทุกวันนี้ แล้วมันอยู่ในป่าด้วยนะ เป็นเจ้าของป่าไม้ คนไทยจะไปทำป่าในประเทศพม่านี่ ต้องไปติดต่อที่รัฐบาลย่างกุ้ง เสียไปต่อหนึ่ง ได้สัมปทานเรียบร้อย ต้องไปหาพวกกะเหรี่ยง ต้องให้เงินพวกกะเหรี่ยงอีก ถ้าไม่ให้กะเหรี่ยงไม่ยอมให้ทำ ไม่ยอมให้ขนไม้ เอ้า! ก็ต้องให้ ให้เขามันเป็นอย่างนั้น
ความแตกแยกแตกร้าวมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะความยึดถือในเรื่องตัวตน ยึดถือในชาติ ในศาสนา ในลัทธิ ในภาษา ในวัฒนธรรม ที่มันทำให้เกิดการแตกแยก แตกร้าวไม่สามารถจะเข้ากันได้ แล้วไม่มีใครคิดว่า ควรจะหลอมคนเหล่านี้ให้มันเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พูดนะมันเข้ากันได้ มันพูดไม่ได้ เพราะว่ามันไม่มีคุณธรรมเป็นหลักของใจ พูดไม่ได้ แม้ประเทศอินเดียนะ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาพูดภาษาคนอินเดีย ทำงานอยู่ ๔๕ ปี แต่ว่าไม่สำเร็จ ไม่สามารถจะให้อินเดียรวมกันได้ มันยังถือชั้นวรรณะ ถือว่าฉันเป็นกษัตริย์ ฉันเป็นพราหมณ์ ฉันเป็นแพศย์ ฉันเป็นศูทร เข้ากันไม่ได้ แล้วก็สร้างธรรมเนียมไม่ให้เข้ากัน บ่อน้ำบ่อเดียวกันก็กินร่วมกันไม่ได้ ถ้าหากว่าพวกวรรณะต่ำเดินไป เดินไปในทางที่เงาไปทับคนวรรณะสูงก็ไม่ได้ ไปทับพวกกษัตริย์ก็ไม่ได้ พราหมณ์ก็ไม่ได้ แหม! มันไม่ได้ทำให้เจ็บปวดอะไร แต่ว่าต้องเดินหลีกไปข้างโน้น อย่าให้เงาไปทับกษัตริย์พราหมณ์ ถ้าไปทับกับพวกกษัตริย์ กษัตริย์มันจะลุกขึ้นเตะไอ้คนที่เดินไป มันถือไม่เข้าเรื่อง ยึดถือในสิ่งที่มันไม่จำเป็นอะไรแก่ชีวิต ก็ทำให้เกิดการแตกแยกแตกร้าวกัน
แล้วทีหลังมุสลิมเข้ามาในอินเดีย กลับใจคนอินเดียบางพวกไปเป็นมุสลิม อ้าว! เกิดแตกกันใหญ่ ไม่ถูกกัน มุสลิมไปสร้างมัสยิด พวกฮินดูว่า ไปสร้างตรงที่เกิดพระราม ไอ้พระรามความจริงไม่มีตัวตนอะไร มันเป็นเรื่องนิทานแท้ๆ ฤๅษีวาลมิกิเขียนขึ้น (42.11) แต่ก็อ่านกันมานาน ว่ากันมานาน จนนึกแต่ว่าพระรามคือคน คนจริงๆ ความจริงพระรามเป็นบุคคลในนิยาย แล้วก็เขียนว่าเกิดที่เมืองอโยธยา แล้วไปถามพระฤๅษีแก่ๆให้นั่งหลับตาว่าพระรามเกิดตรงไหน ไอ้ฤๅษีแก่นั่นก็ไม่ได้เรื่อง หลับตาแล้วไปชี้ตรงนู้น ไอ้ตรงที่เป็นมัสยิด หาเรื่องให้คนชกต่อยกัน มันเรื่องอะไร ไอ้นี่มันไม่เป็นธรรมนี่ เรียกว่าไม่ได้มองด้วยธรรมะ ไม่ได้ใช้ธรรมะมอง ถ้าใช้ธรรมะมอง เอ! เขาสร้างไว้แล้ว จะไปสร้าง ให้ไปเกิดในทุ่งตรงไหนก็ได้ที่มันว่างๆ แล้วไปสร้างเทวสถานให้พระรามก็ได้ แต่เป็นความโลภของฤๅษีแก่คนนั้นเอง แกก็คงมีอารมณ์ค้างเหมือนกัน อารมณ์ค้างว่าพวกมุสลิมนี่มารังแกฮินดูมาหลายร้อยปีแล้ว ถึงคราวที่จะคิดบัญชีกันบ้างนะ เป็น …… (43.15) เป็นฤๅษีมาตั้งหลายสิบปี ยังไม่ได้เรื่องอะไร สภาพจิตใจยังไม่ได้ฟูขึ้น พ้นจากกระแสของอารมณ์ ยังตกเป็นทาสของอารมณ์ เลยทายไปอย่างนั้น แล้วก็ฉิบหายกันทั้งเมือง ตีกันฆ่ากันทุบบ้านทุบเมือง ก็ไปรื้อมัสยิดของเขา พวกมุสลิมก็ยึดถือว่ามัสยิดของเรารื้อไม่ได้ มุสลิมนี่ก็เลยนะ เราจะทำทางด่วนผ่านหมู่บ้านแถวนั้นนะ (43.42) ไม่ยอม เรื่องอะไร รื้อป่าช้าก็ไม่ได้ รื้อมัสยิดก็ไม่ได้ เอ้า! ยึดถือ รุนแรง ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลกบ้าง ว่าโลกเขาหมุนของเขาทำอะไร เราก็ย้ายไปอยู่ตรงอื่นก็ได้ แต่ไม่ยอมเกิดแข็งข้อเกิดเป็นปัญหา
อย่างนี้มันเกิดจากอะไร “ทิฐิมานะ” ไม่ยอมตัวเดียวเท่านั้นเอง แล้วก็เลยแข็งข้อกันไป เป็นเรื่องเป็นราวกันเวลานี้ เรื่องแข็งข้อกันมาก เพราะว่าทุกคนมีเสรีภาพประเภทไม่เคารพ เสรีภาพที่ไม่เข้าเรื่อง สิทธิที่ไม่เข้าเรื่อง มันมีอยู่ในจิตใจคนเวลานี้ ทำอะไรก็อ้างสิทธิ อ้างเสรีภาพ แต่ไม่ได้คิดว่ามันถูกต้องหรือเปล่า มันเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นประโยชน์หรือเปล่าไม่ต้องคิด เอาสิ่งนั้นมาใช้เพื่อประโยชน์ตัว เป็นอัตตาธิปไตย ไม่เป็นธรรมาธิปไตยก็เกิดปัญหากันขึ้น แต่ถ้าเราคิดให้เป็นธรรมก็ เออ! ประโยชน์ส่วนรวม เรามาอยู่ในแผ่นดินนี้ไม่ถึง ๑๐๐ ปี ๖๐ กว่าปีก็จะลาโลกแล้ว แล้วจะไปหวงแหนอะไรหนักหนา เขาจะพัฒนาท้องถิ่น ทำให้บ้านเมืองมันเจริญขึ้น ให้จราจรมันสะดวกสบายปล่อยไปเถอะ เราหลีกเขาไป เออ! เป็นความคิดที่เสียสละ ศาสนาทุกศาสนาก็สอนให้สละทั้งนั้น แต่ว่าไม่สละ ไม่ยอมให้ ถือว่าเป็นสิทธิของตัว เป็นเสรีภาพของตัว เสรีภาพก็ไม่ใช่สูงส่งอะไร เป็นความคิดแบบเห็นแก่ตัวเท่านั้นเอง ไม่ได้สูงอะไร เสรีภาพชั้นสูงนั้นจะต้องปลดปล่อยตัวเอง ให้หลุดพ้นจากความเป็นทาสของสิ่งทั้งปวง ไม่เป็นทาสของอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แต่ปลดปล่อยตัวเองให้พ้นจากสิ่งนั้น มันก็ไม่มีปัญหาอะไร ทำอะไรกันก็ได้เข้ากันได้เรียบร้อยไม่ต้องมีปัญหายุ่งยาก เดี๋ยวนี้ทำอะไรมีปัญหาทั้งนั้น เพราะคนมันหวงสิทธิ หวงเสรีภาพแห่งความเป็นทาส ไม่ได้คิดถึงเสรีภาพแห่งความเป็นไทอย่างแท้จริง จึงได้เกิดปัญหาขึ้นด้วยประการต่างๆ
ก็พูดได้ว่าไม่เข้าถึงธรรมะของศาสนาที่ตัวนับถือ ไม่ว่าศาสนิกในศาสนาไหนเวลานี้เหมือนกันทั้งนั้นๆ นี่เวลานี้เขาจะประชุมกันเรียกว่า ศาสนิกแห่งโลก เรียกว่า World’s Religions Parliament ประชุมกันที่ชิคาโก (Chicago) ครั้งก่อนประชุมทีหนึ่งแล้ว แล้วก็ตั้งแต่นั้นมาจนถึงบัดนี้ครบ ๑๐๐ ปีของการประชุม สมัยนั้นชาวพุทธเป็นชาวลังกาไปประชุมแทนชาวพุทธทั้งหลาย ก็ได้ไปพูดในที่ประชุม คนฟังก็พออกพอใจกันเหมือนกัน ชาวฝรั่งเขาก็ตื้นเต้นขึ้น ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชาวตะวันตกจะต้องศึกษาทำความเข้าใจกันต่อไป ฝ่ายฮินดูก็มี สวามีชื่อวิเวกานันทะ (Swami Vivekananda) (47.01) แกก็ไม่ได้รับเชิญนะ แต่แกรู้ว่าเขาประชุม แกก็ไปของแกเอง ก็เที่ยวดั้นด้นหาที่ประชุมว่า “เอ! อยู่ที่ไหน?” ก็นั่งรถรางไป ไปเจอแหม่มเข้าคนหนึ่ง แหม่มเห็นแกแต่งตัวแปลกๆ ไม่เหมือนใคร ก็เลยถามว่า “นี่ท่านมาจากไหน ทำไมแต่งตัวแบบนี้” ก็ไม่เคยเห็นนี่ เหมือนพระเลย ถ้าไปครั้งแรกคนก็มอง มองกันใหญ่เวลาไปเดินอยู่ที่เจนีวา (Geneva) โลซาน (Lausanne) นะ เด็กเห็นวิ่งเข้าไปในบ้านเรียกคุณยายมา ให้มาดู ว่า ไม่รู้ใครแต่งตัวแปลกๆ มาเห็นเด็กวิ่งมา เอ้า! ช่วยเขาหน่อย เดินช้าๆ ให้เขาดูหน่อย ไม่ไปไวๆ ให้คุณยายนี่มาดูหน่อย คุณยายเดินมาดูแล้วก็ ดูแล้วก็ถอยไปเท่านั้น เขาไม่เคยเห็นคนดูกันใหญ่ เพราะว่าพระไม่เคยไป ก็มาดูกัน
สวามีนั้นแกแต่งตัวแบบคนอินเดียโพกหัวโพก …… (48.01) แหม่มนั้นไม่เคยเห็น
“อือ! ท่านแต่งตัวอะไร?”
“อ้อ! นี่แหละมาจากอินเดีย”
“มาทำไม?”
“ได้ข่าวว่าเขาประชุมสันนิบาตศาสนา อยากจะไปประชุมด้วยแต่ไม่รู้ว่าประชุมที่ไหน”
เมืองชิคาโก (Chicago) มันกว้างใหญ่ เขาประชุมกันที่พิพิธภัณฑ์ใหญ่กลางเมืองนะ ถ้ารู้มันก็ไม่ลำบาก ถ้าไม่รู้มันลำบาก แหม่มก็บอก
“อ้าว! ดิฉันนี้แหละเป็นเลขาธิการของที่ประชุม”
เอ่อ! บุญแท้ๆ แกก็เลยพาไปรีจิสเตอร์ (register) จดทะเบียนเข้าสู่ที่ประชุมได้ พอถึงเวลาจะให้พูด แกก็ยืนขึ้นพูด พูดไม่ออก ยืนเฉย พูดไม่ออก …… (48.46) ก็ไม่รู้ พูดไม่ออก แต่แกฉลาดนะแกบอกว่า “วันนี้เจ้าแม่สรัสวดีไม่อนุญาตให้พูด” ว่างั้น คือเจ้าแม่สรัสวดีนี้เป็นเทพเจ้าแห่งปัญญา ไอ้ที่เราไหว้กันอยู่นั่นแหละ พอจะเปิดเรียนก็ไหว้ คือไหว้เจ้าแม่สุรัสวดีนั่นเอง เริ่มต้นมันมาจากนั้น แกก็เลยบอกว่า “วันนี้เจ้าแม่สุรัสวดีไม่อนุญาตให้พูด ไว้โอกาสหน้า” พอถึงคราวหน้าเขาก็ให้แกพูด แกก็พูดดีเหมือนกัน พูดดี พอขึ้นพูดนี่คนก็ตบมือเกรียว เพราะแกเรียกคนอเมริกันว่าพี่น้อง ชาวอเมริกันทั้งหลาย Brothers Sisters of America …… (49.34) อเมริกันตบมือเพราะไปเรียกว่าพี่น้องกัน เขารู้สึกว่าเป็นพี่เป็นน้องกัน แต่เป็นพี่เป็นน้องที่ไม่ค่อยจะเข้ากัน ไอ้น้องดำกับน้องขาวมันทะเลาะกันอยู่ตลอดเวลา เข้ากันไม่ได้ …… (49.49) พูดดี แล้วแกก็เที่ยวพูดอยู่ในอเมริกาตั้งสองสามปี จึงกลับมาอินเดีย …… (49.59) เขาเชิญไปพูดตามมหาวิทยาลัยบอกว่าไม่ได้ ธุระมากอยู่ที่อินเดียต้องรีบกลับ เลยก็กลับมาเป็นงั้น นี่เขาจะประชุมกันอีกปลายเดือนสิงหาคมนี้ประชุมกัน หลวงพ่อไปอยู่ที่นั่น เขาจะเชิญให้เข้าไปเหมือนกัน ให้เข้าไปพูดเหมือนกัน ก็ต้องไปพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเรามันยังแย่กันอยู่แหละ ไม่ว่าศาสนาไหน ไม่เข้าถึงแก่นของพระศาสนา ถือกันแต่เพียงเปลือกนอก ผิวเผินไม่เอาเนื้อแท้มาใช้
พระเยซูสอนว่า ให้รักตัวเหมือนรักเพื่อนบ้าน love god love your neighbor (50.32) มันไม่รักกัน ระหว่างประเทศมันไม่รักกัน กับเพื่อนบ้านก็ไม่ค่อยรักกันเท่าไหร่ ทะเลาะกันบ่อยๆ มันไม่เข้าถึงความรักที่ถูกต้องที่พระผู้เป็นเจ้าสอน ถ้าเขาตบแก้มซ้ายหันแก้มขวาให้มันตบอีกทีหนึ่ง มันไม่หันให้มันตบตอบ มันไม่ถึง ไม่ถึงธรรมะข้อนั้น ถ้าหากว่าเขาเอาเสื้อคลุมของท่านไป ตามเอาเสื้อชั้นในก็ให้เขาด้วย มันไม่สร่างเมา เอากระสุนไปให้ มันเป็นอย่างนั้น มันยังยุ่งกันอยู่ เพราะความยึดถือกันอยู่ มันเป็นปัญหา ทุกแห่งเหมือนกัน โลกยุ่งเพราะเรื่องอย่างนี้ จะต้องไปพูดแนวอย่างนั้น แต่ต้องไปคิดไปเถียงกันที่นู่น ไปถึงนู่นแล้วก็ไปคิดเถียงกัน ให้คนเขาแปลให้เรียบร้อย ให้ฝรั่งมันฟังบ้างคนไทยเราคิดอย่างไร ชาวพุทธคิดอย่างไรในแง่นี้ ให้ได้รู้ได้เข้าใจ เพราะว่าปัญหาโลกแก้ไม่ได้ถ้าไม่ทำลายความเห็นแก่ตัว ไม่ลดความเห็นแก่ตัวให้น้อยลงไปแล้วทำอะไรไม่ได้
พระพุทธศาสนาสอนหลัก “อนัตตา” เรื่องไม่มีตัวตนที่จะยึดถือ แล้วก็สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว ให้ทานเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว รักษาศีลเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว เจริญภาวนาเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว แสดงธรรมเพื่อลดความเห็นแก่ตัว ฟังธรรมก็เพื่อลดความเห็นแก่ตัว จุดหมายมันอยู่ที่ตรงนั้น แต่ว่าเราไม่ค่อยจะเข้าถึงจุดหมาย ยังทำอะไรเพื่อตัวอยู่มาก อยากได้ตอบแทน การอยากได้นั้นมันก็เป็นกิเลสอยู่แล้ว กิเลสในตัวเราก็มีหลายกระบุงแล้ว ยังจะเอาเพิ่มเข้ามาอีก ทำบุญสัก ๑๐๐ บาท แหม! เอามากมาย อธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก ก็จะเอาทั้งนั้นแหละไม่ใช่เรื่องอะไร อย่างนี้มันก็ยังไม่เข้าถึงเนื้อแท้ เราทำเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรช่วยเหลือ คนนั้นเขาลำบาก สังคมนั้นเขาเดือดร้อน เราทำด้วยความเต็มใจด้วยความเสียสละ ไม่ต้องหวังอะไรก็ได้ ไม่หวังนั่นแหละจะได้ คือได้ความบริสุทธิ์ แต่ถ้าเราหวังก็ไม่ได้สิ่งที่บริสุทธิ์ถูกต้องอะไร ให้เข้าใจอย่างนี้ไว้ก่อนก็จะดีขึ้น พูดมาก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้ สำหรับวันนี้ขอเตือนญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที