แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักธรรมสอนในทางพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา วันนี้เป็นวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม เดือนมีนาคม มี ๓๑ วัน วันนี้วันที่ ๒๘ อีก ๓ วัน ก็หมดเดือนแล้ว แล้วออกเดือนเมษายนขึ้นต่อไป วัน คืน เดือน ปี ก็หมุนเวียนไปตามลำดับ โดยโลกสมมติ คือ สมมติว่าเป็นวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น และมันก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามเรื่องของมัน
วันคืนที่เปลี่ยนไปนั้นไม่ได้ริเปลี่ยนไปแต่เวลา แต่ทำชีวิตเราให้เปลี่ยนไปด้วย ท่านจึงกล่าวว่า วัน เวลา ย่อมเคี้ยวกินตัวเอง และเคี้ยวกินสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย คือทำให้สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนแปลงไปสู่ความแตกดับ ต้นไม้ ต้นหญ้า ก็มีความเติบโตขึ้น คน สัตว์ ก็มีความเติบโตขึ้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็เปลี่ยนไปตาม วัน เวลา เมื่อเวลาเปลี่ยนไปชีวิตร่างกายก็เปลี่ยนไป แล้วก็จะถึงที่สุด คือ “ความแตกดับ”
ความแตกดับนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะเกิดมีแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นเรื่องที่เราหลีกไม่ได้ แต่ว่าเราควรจะทำความศึกษาเข้าใจธรรมชาติของสิ่งเหล่านั้นว่ามันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ ก็คือความเปลี่ยนแปลงนั้นเอง หรือเรียกตามภาษาธรรมะว่า “อนิจจัง” หรือ “อนิจจตา” อนิจจตา หรือ อนิจจัง ก็แปลว่า ไม่เที่ยง ไม่เที่ยงหมายความว่าไม่อยู่กับที่ มันไหลอยู่ตลอดเวลา เช่น ร่างกายของเรานี้ไหลอยู่ตลอดเวลา ไหลไม่หยุด ถ้าหยุดไหล เมื่อใดก็ถึงแก่ความแตกดับกันเมื่อนั้น
ความตาย ก็คือที่สุดของการไหล หรือที่สุดของความเปลี่ยนแปลง เมื่อถึงที่สุดของความเปลี่ยนแปลง ก็เรียกว่า แตกดับ คือตาย สรรพสิ่งทั้งหลายมีอย่างนี้เป็นธรรมดา พระผู้มีพระภาคเจ้าสอนให้เราได้พิจารณาเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ได้รู้ว่าเนื้อแท้ของสิ่งนั้นๆเป็นอย่างไร จะไม่ไปหลงใหลยึดถือในสิ่งนั้นให้มากเกินไป เพราะความเข้าไปยึดถือไม่ว่าอะไร ย่อมเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ คนเราที่เป็นทุกข์ก็เพราะมีความยึดถือ ยึดมั่นในเรื่องนั้นๆ ซึ่งภาษาธรรมะ เรียกว่า “อุปาทาน”
อุปาทาน แปลว่า การยึดถือ ในสิ่งนั้นๆยึดถือว่าเป็นของฉัน เงินของฉัน ทองของฉัน เสื้อผ้าของฉัน บ้านเรือนของฉัน ลูกของฉัน สามีภรรยาของฉัน ยึดอย่างนั้น เรียกว่ายึดด้วย อุปาทาน การยึดด้วยอุปาทานอย่างนั้นเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ความทุกข์เกิดจากความยึดถือ เพราะสิ่งนั้นมันไม่อยู่กับที่มันเปลี่ยนแปลงมันไหลอยู่ตลอดเวลา อันนี้เราจะไปจับเอาตอนใดตอนหนึ่ง ว่าเป็นตัวเราก็ไม่ได้ว่าเป็นของเรา ก็ไม่ได้ ถ้าเราไปจับเอาตอนใดตอนหนึ่งว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา เราก็ถูกมันกัดเอา คือกัด หมายความว่าเป็นทุกข์ มันกัดให้เราเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมันในเรื่องนั้นๆ
อันนี้ท่านสอนให้ปล่อยวาง ปล่อยวางก็หมายความว่า ทำใจให้รู้ว่าความจริงมันเป็นอย่างไร เนื้อแท้ของสิ่งทั้งหลายเป็นอย่างไรให้ทำใจอย่างนั้น เมื่ออะไรเกิดขึ้นเป็นขึ้น เราก็ต้องรู้ว่านี้คือเรื่องธรรมดา ธรรมชาติ มันมีการเกิดขึ้นแล้วมีการเปลี่ยนแปลงไป แล้วก็มีการแตกดับไปในที่สุด ให้เรารู้ระเบียบของมันรู้กฎของมันไว้ แล้วเราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะเรื่องนั้น คนเราที่มีความทุกข์ เพราะไม่รู้กฎธรรมดา ไม่รู้จักธรรมชาติว่ามันเป็นอย่างไร แล้วก็มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ ด้วยอะไรๆที่มันเปลี่ยนแปลงไป เพราะสิ่งทั้งหลายมันเป็นอย่างนั้น มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ แต่นี้เราไม่รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ เรานึกว่ามันไม่เปลี่ยนแปลงหรือนึกว่ามันยังไม่ควรจะเปลี่ยนแปลง แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องของมัน เราก็มีความทุกข์เพราะไปยึดถือในสิ่งนั้นมากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาขึ้นแก่ชีวิต แล้วก็เป็นความทุกข์ อันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในใจคนได้บ่อยๆ
ในเมื่ออะไรมันเปลี่ยนแปลงมันแตกดับไปเพราะเราไปยึดถือนั่นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร ที่นี้ศัพท์สองศัพท์นี้มันคล้ายกัน คือ “อุปาทาน” กับคำว่า “สมาทาน” สมาทานนั้นไม่เป็นพิษไม่เป็นภัย แต่เป็นไปเพื่อความถูกต้องของชีวิต เป็นไปเพื่อให้เกิดปัญญาเกิดความคิดที่ถูกต้อง การสมาทานก็หมายความว่ารับเอาไปปฏิบัติ รับไปใช้ให้ถูกต้องเรียกว่า สมาทาน เช่น เราสมาทานศีล สมาทานศีล 5 ก็หมายความว่ารับเอาศีล 5 ประการ ไปฝึกหัด ไปปฏิบัติ สิกขาบท ก็เรียกว่า เป็นแบบฝึกหัดนั้นเอง เป็นแบบฝึกหัดที่เราควรจะนำไปใช้เป็นหลักปฏิบัติ ปฏิบัติว่าจะไม่ฆ่าใคร ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำใครให้เดือดร้อน ปฏิบัติฝึกหัดว่าเราจะไม่ถือเอาสิ่งของของใครๆที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ปฏิบัติว่าเราจะไม่ประพฤติผิดในเรื่องเกี่ยวกับกามารมณ์ ไม่สำส่อนทางเพศ อันจะเป็นเหตุให้เกิดโรคเอดส์ติดต่อกันได้
ปฏิบัติฝึกหัดในเรื่องว่าจะหัดพูดแต่คำจริง คำอ่อนหวาน คำสมานสามัคคี คำที่มีประโยชน์แก่ผู้ฟัง ไม่พูดคำที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่พูดคำที่เป็นพิษเป็นภัยแก่ผู้ใด การฝึกหัดพูด หัดควบคุมวาจา หัดใช้ลิ้นให้เป็นในทางที่เกิดประโยชน์ เวลานี้ในสังคมการเมืองเห็นทุกข์เห็นโทษเพราะการใช้ลิ้นมาก เพราะว่าพูดมาก นักการเมืองนี้พูดมาก ฝ่ายค้านก็พูดมาก ฝ่ายรัฐบาลบางคนก็พูดมาก อันนี้การพูดมากมันทำให้เสียผลให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ เพราะพูดไม่ถูกเรื่อง พูดไม่เป็นเวลา พูดแล้วพูดอีก ซ้ำๆซากๆ ในเรื่องเดียวกันไม่จบไม่สิ้น เช่นว่า คนๆหนึ่งเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง แล้วก็พูดติเตียนรัฐบาลที่ตนไปนั่งอยู่ด้วย เป็นรองนายกก็ไปนั่งอยู่ด้วย ทำอะไรก็ทำด้วยกัน แล้วก็ออกไปพูดด่าว่ารัฐบาลทำไม่ถูกไม่ชอบ ไม่ควร พูดให้มันเสียเครดิตของตัวเอง พูดแล้วลดค่า ลดราคาของตัวเอง
ผู้มีปัญญาเขาฟังแล้ว เขาก็มองเห็นว่าคนๆนี้พูดไม่เป็น ใช้ลิ้นไม่เป็น พูดวาจาที่ไม่สมควรออกไปก็เกิดความเสียหายหรือบางคนไม่ได้อยู่ในตำแหน่งบริหาร แต่เป็นเพียงรองหัวหน้าพรรค และก็พูดอะไรมันขัดกับหัวหน้า หัวหน้ามีความคิดอย่างหนึ่งแต่ไอรองหัวหน้ามันมีความคิดอย่างหนึ่ง แล้วก็พูดไป เพราะว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยจะทราบชื่อเสียง คนไม่ค่อยจะรู้จัก ก็เลยพูดให้รู้จักเสียหน่อยเพื่อดังนั้นเอง แต่ว่าดังในทางด้อย ไม่ได้ดังในทางดีทางเด่นอะไร ก็อยู่ในประเภทพูดไม่เป็นเหมือนกัน ไม่ได้เรื่องเหมือนกันแล้วก็มีหลายคนพูดอย่างนั้น บางคนก็เคยอยู่กับพรรคนี้แล้วก็ออกไป อยู่กับพรรคอื่นในเวลาใกล้การเลือกตั้ง โดยคิดว่าพรรคนั้นจะชนะคะแนนจะได้เป็นรัฐบาล ตัวก็เข้าไปผสมโรงเพื่อจะเป็นรัฐบาลกับเขาด้วย แต่ว่าไม่ได้เป็นเพราะว่าพรรคนั้นมีคนเลือกน้อย ตัวก็เสียท่า เมื่อเสียท่าแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องด่าพรรคเดิมอยู่บ่อยๆ ด่าแม้กระทั่งกับหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี หาว่าเป็นคนไม่ได้เรื่อง ทำอะไรอย่างนั้น ทำอะไรอย่างนี้ ยิ่งด่าก็ยิ่งขาดทุน เพราะคนที่ถูกด่าไม่เคยด่าตอบ
ท่านนายกรัฐมนตรีคุณชวนไม่โต้ตอบกับใครๆ ใครเค้าว่าอย่างไรท่านก็ไม่โต้ไม่เถียง เฉยๆให้เป็นคลื่นกระทบฝั่งไปเอง เอาชนะความชั่วด้วยความดี เอาชนะคนพูดพล่อยด้วยการพูดน้อยๆ หรือการพูดแต่เรื่องถูกต้องเรื่องจริง แล้วผลที่สุดก็จะไม่มีอะไร อันนี้พวกฝ่ายค้านหรือพวกหนังสือพิมพ์นี้โจมตีนายกในเรื่องอะไรก็ไม่ได้แล้ว เลยหันไปโจมตีภรรยา หาว่าภรรยานี้ลำบากยากแค้นตกนรกอยู่เพราะว่าสามีไม่เอาใจใส่ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องจริงเรื่องแท้อะไร แกล้งเอาไปลงเป็นข่าวดังไปทั่วโลก วิทยุ บีบีซี ของอังกฤษก็พลอยผสมโรงเอาไปว่าด้วย เพราะคนที่พูดภาษาไทยนั้นเป็นคนไทยก็เลยผสมโรงไปด้วย แต่ว่าสองสามวันเรื่องก็จบเท่านั้นเองเพราะท่านนายกไม่ได้โต้ตอบอะไร ไม่โต้เถียงในเรื่องนั้น เรื่องมันก็จบไปแต่เป็นการแสดงถึงคนผู้มุ่งร้ายว่าเป็นพวกจิตใจต่ำทราม โจมตีแม้กระทั่งแม่บ้านซึ่งก็ไม่ควรจะไปโจมตีเขา เพราะเขาไม่ใช่นักการเมือง และก็เป็นคนอยู่ตามปกติเลี้ยงลูกอยู่ตามปกติ นายกแกจะไปหาแม่บ้านบ้างจะต้องโฆษณาด้วยรึจะต้องลงหนังสือพิมพ์ด้วยว่าวันนี้ฉันจะไปหาแม่บ้าน มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทำอย่างนั้น เขาไปหามาสู่กันก็ไม่ต้องโฆษณาเพราะนายกแกแต่งงานแกก็ไม่ได้โฆษณาไม่ได้ไปเลี้ยงกันตามโรงแรมไม่ได้เชิญแขกมากินเลี้ยง หรือออกบัตรเชิญในวันแต่งงาน แต่งงานกันโดยไม่บอกใคร ไม่ให้ใครรู้ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา
ความจริงเรื่องการแต่งงานนั้นไม่ต้องโฆษณาก็ได้ ไม่ต้องแจกบัตรแจกการ์ดให้คนมาร่วมงานก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของคนสองคนที่จะตกลงกัน แล้วก็มีคนมาเกี่ยวข้องคือ พ่อแม่ทั้ง 2 ฝ่าย ญาติพี่น้องอีกไม่กี่คน ถ้าเราทำอย่างนั้นมันก็ประหยัดได้เยอะไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองเพราะว่าการเชิญแขกไปกินเลี้ยงที่โรงแรม เรียกว่า รับขวัญการแต่งงานนั้นมันเป็นปัญหา เกิดความทุกข์เพราะเขาลงข่าวทางหนังสือพิมพ์ ไอ้คนที่ไม่ได้รับเชิญมันก็ไปกินด้วย ครั้ง (14.41 เสียงไม่ชัดเจน) แรกก็เชิญ 100 แต่พอคิดรายหัวมันกลายเป็น 150 ทั้งสองฝ่ายก็สงสัยว่าทำไมมันมาก คือแขกที่ไม่ได้รับเชิญมันไปกินด้วย ถือโอกาส ไปกิน กินแล้วมันก็ออกไปเฉยๆ มันไม่ได้ให้อะไร ทำให้เกิดการเสียหาย ก็สมน้ำหน้าที่อยากดัง อยากลงให้เป็นข่าวอะไรต่างๆ เมื่อเป็นข่าวดังเวลาหย่ากันมันก็ดังอีกเหมือนกัน แตกกันมันก็ดังอีกเหมือนกัน ไม่ดังดีกว่าสบายใจดี
แต่คนเรามันไม่ค่อยคิด ทำอะไรก็มักเอาหน้า เอาตา เอาดัง เอาเด่นกัน เอาหน้าความจริงหน้ามันก็มีอยู่แล้วไม่ต้องเอาหน้าอื่นมาเพิ่ม ถ้าเอามาเพิ่มมันก็เป็นสองหน้า สามหน้า มันก็เป็นความทุกข์เปล่าๆ หน้าเดียวนี้ก็แต่งไม่ค่อยไหวแล้ว ซื้อเครื่องสำอางมาแต่งหน้านี้มันก็พออยู่แล้ว ราคามันก็ไม่ใช่ถูกๆเราก็ต้องซื้อมาแต่ง แต่นี้ถ้าอยากได้หน้ามันก็ต้องแต่งมากขึ้นไปอีกความทุกข์มันก็เกิดมากขึ้น คนเรามันไม่ค่อยคิด มันคิดแต่เรื่องดัง อยากเด่น เลยทำให้มีปัญหาขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆอันนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวังเหมือนกัน ต้องสำรวมหมายความว่าระวังไม่ให้เกิดปัญหาทำอะไรก็ประหยัด ประหยัดเอาประโยชน์ ทำบุญสุนทานก็ดี ทำกิจกรรมอะไรต่างๆก็ดี ทำแบบประหยัดเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือแก่ตัวผู้กระทำเอง ไม่ต้องทำให้มันเป็นการส่วนเกิน
คนเราในปัจจุบันนี้ชอบทำอะไรเป็นส่วนเกิน กินส่วนเกิน แต่งตัวเกิน อะไรต่ออะไรเกินไปทั้งนั้น ของที่ไม่จำเป็นมีเยอะแยะในบ้านมีของไม่จำเป็นเยอะแยะ เสื้อผ้าที่ไม่จำเป็นก็มี เครื่องใช้ไม้สอยที่ไม่จำเป็นก็มี เราไม่มีสิ่งเหล่านั้น เราก็อยู่ได้ แต่ว่าก็ต้องมีเพราะเพื่อนเขามี ถ้าเราไม่มีก็รู้สึกว่าน้อยหน้าความคิดว่าน้อยหน้าหรือได้หน้านี้ มันมาจากอะไร มาจาก อัตตานั้นเอง
ที่พระท่านเรียกว่า อัตตา “อัตตา” แปลว่า ความยึดถือในตัวตน “อัตตวาอุปาทาน” การยึดถือในตัวตนถือว่าฉันมี ฉันเป็น ฉันอย่างนั้น ฉันอย่างนี้ แล้วก็สร้างปัญหา คือสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆ เพราะความมีอัตตาในการปฏิบัติทางธรรมะสอนให้ทำลายอัตตา ทำลายตัวให้มันลดน้อยลงลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนไม่มีตัวจะให้เห็นอีกต่อไป ก็จะเป็นความสุข ความสบาย เช่นว่า ในการ ปฏิบัติ กรรม เอ้ย (18.04) กิจกรรมทางศาสนาให้ทานรักษาศีลการเจริญภาวนา ทั้ง 3 ประการนี้ จุดมุ่งหมาย ก็เพื่อทำลายตนให้น้อยลง ไปขูดตัวอัตตาให้มันบางลงไป จนกระทั่งหมดตัวไม่มีตัวจะให้เห็นอีกต่อไป
ความเห็นแก่ตัวนั้นเป็นกิเลสตัวหนึ่งที่เป็นตัวสำคัญที่ก่อให้เกิดอะไรๆอื่นขึ้น คนทำชั่ว ทำบาป ก็เพราะความเห็นแก่ตัว ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความริษยา พยาบาท อะไรต่างๆที่เกิดแซงขึ้นมาในชีวิตของเรานั้นก็เกิดจากความเห็นแก่ตัว เมื่อเรามีความเห็นแก่ตัวมีตัวให้เห็นอยู่ มันก็เพิ่มสิ่งเหล่านั้น เพิ่มความอยากได้ เพิ่มความขัดใจ เพิ่มความหลงใหล ความมัวเมา การกระทำผิดต่างๆ เช่นการฆ่ากัน ทำร้ายกัน ก็เพราะเรื่องความเห็นแก่ตัว การลักการขโมยกันก็เกิดจากความเห็นแก่ตัวการไปประพฤติผิดสำส่อนทางเพศก็เรื่องความเห็นแก่ตัว การพูดจาโกหกหลอกลวงต้มตุ๋นกันก็เนื่องจากความเห็นแก่ตัว การไปดื่มสุราเมรัยย้อมใจ ให้เกิดความกล้าในทางที่ผิด
ก็เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัวอะไรๆที่ผลิตขึ้นมาในชีวิตของเราเป็นความชั่ว ความร้าย ก็มาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นไม่ได้มาจากอะไร เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงมองเห็นว่าเรื่องตัวตนนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญที่ควรจะให้ชาวโลก เกิดความรู้ความเข้าใจ พระองค์จึงได้สอนหลักธรรมะอันสูงสุดที่เรียกว่า อนัตตา “อนัตตา” ที่เราสวดมนต์ว่า (20.20 บทสวดมนต์) สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตาทั้งนั้นคือไม่มีตัวตน ไม่มีเนื้อแท้ ความเข้าใจในเรื่องอนัตตาเป็นเรื่องลึกซึ้งในพระพุทธศาสนา และถ้าเราเข้าใจถูกต้องก็ไม่มีตัวจะให้เห็นอีกต่อไป ทำลายตัวตนของเราให้หมดไปเลยกลายเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้มีชีวิตอยู่มิใช่เพื่อตัวเองแต่อยู่เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ผู้อื่น เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ทั้งหลายที่ท่านได้บรรลุคุณธรรม คือเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป
การอยู่ต่อไปของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองไม่ได้อยู่เพื่อตัวท่านเองแล้ว แต่ว่าอยู่เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ชาวโลกทั้งหลาย อยู่ช่วยชาวโลก อยู่นำชาวโลกอยู่ช่วยส่องแสงสว่างให้ชาวโลกได้เห็นแสง ได้เห็นทางแล้วจะได้เดินถูกต้องไม่หลงไม่หลงใหล ไม่มัวเมาออกไปนอกลู่นอกทาง เรียกว่า ท่านอยู่เพื่อหน้าที่ ทำหน้าที่ เพื่อหน้าที่ทำงานเพื่อหน้าที่ไม่ได้เพื่ออะไร
ผิดกับคนปุถุชน คนธรรมดา คนธรรมดาเขาเรียกว่า ปุถุชน “ปุถุชน” ก็คือคนที่ยังหนาอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว หนาด้วยกิเลสประเภทต่างๆ ใจยังไม่สว่างไม่เข้าถึงตัวปัญญาอนัตตา ก็ย่อมเห็นว่ามีตัวมีตนมีเขามีเรา มีนั้น มีนี้ด้วยประการต่างๆ จะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร ก็เอาตัวเป็นใหญ่เพื่อตัวตนแล้วจึงจะคิดถึงคนอื่น หรือบางทีก็เพื่อตัวฝ่ายเดียว แต่ไม่คิดถึงใครทั้งนั้น เขาเรียกว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวนี้จะไปอยู่ในที่ใดก็สร้างปัญหาเกิดขึ้น สามีเห็นแก่ตัวก็สร้างปัญหาให้แก่ครอบครัว ภรรยาเห็นแก่ตัวก็สร้างปัญหาให้แก่ครอบครัว นายจ้างเห็นแก่ตัวก็สร้างปัญหาให้แก่ลูกจ้าง ลูกจ้างเห็นแก่ตัวก็สร้างปัญหาให้แก่นายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นคนมีอาชีพประเภทใด ทำอะไร ถ้าเป็นคนเห็นแก่ตัวก็สร้างปัญหาวุ่นวายทั้งนั้น สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นทั้งนั้น
บรรดาเรื่องร้ายๆวุ่นวายทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสังคมในบ้านในเมืองก็เรื่องความเห็นแก่ตัว ผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านก็มีความเห็นแก่ตัวทำอะไรก็เพื่อตัวอยากดังบ้างอยากได้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อบริหารบ้าง เพื่อจะได้กอบโกยบ้าง ผู้แทนฝ่ายรัฐบาลที่ยังเห็นแก่ตัวก็ทำอะไรเพื่อตัวพอสภาปิดก็เห็นแก่ตัว ไปเที่ยวเมืองนอกไปเที่ยวทำไมเมืองนอกไปดูอะไรไป หน้านี้มันหนาวจะตายเดินชักดิ้นชักงอตัวสั่นงันงกเพราะมันเป็นหน้าหนาวแล้วไปทำไม ยกโขยงกันไปดูงานอะไรหน้าหนาวมันดูไม่สะดวกหน้าหนาวนี่ จะไปที่ไหนมันก็หนาวตัวสั่นจะไปดูไปชมอะไรมันก็ไม่สะดวกสบาย แล้วไปทำไมถ้ายังไม่เคยไปพอได้เป็นผู้แทนขึ้นได้เป็นกรรมาธิการขึ้น ก็ถือโอกาสอยากไป แล้วก็ไปกันเป็นการใหญ่ความจริงยังไม่ไปก็ได้
แต่กลัวว่าเขาอาจจะยุบสภาเสียก็ได้เลยจะไม่ได้ไป เพราะแบบนี้ต้องรีบไปราวกับว่าเมืองนอกมันจะหายไปในมหาสมุทรซะอย่างนั้นแหละ จะไม่ได้ไปดูไปชมต้องรีบไปดู ความจริงไม่ต้องรีบไปก่อนก็ได้ เพราะทำงานเป็นผู้แทนราษฎรอยู่ตั้ง 4 ปี ค่อยไปปีหลังๆก็ได้ แต่ทำไมรีบไปหนักหนานั้นแหละคือความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้แล้วก็รีบไปจนเกิดเรื่องเกิดราวอื้อฉาวกันไป เพราะมาประชุมไม่ทันที่มาประชุมไม่ทันก็เพราะว่าเกิดพายุหิมะรุนแรง เรือบินลงสนามบินไม่ได้ ขึ้นก็ไม่ได้ คนก็ไปติดอยู่ในสนามกันเป็นแถวๆ เพราะความวิปริตของอากาศในฤดูหนาวซึ่งมีบ่อยๆ คนฉลาดเขาไม่ไปเที่ยวหน้าหนาว เพราะมันไม่สบายอะไร รอไว้ไปเดือนเมษา , พฤษภา , มิถุนา , กรกฎา , สิงหา ก็ได้ อากาศมันดีปลอดโปร่งหรือค่อยไปปีอื่นก็ได้ ไม่ต้องไปปีนี้ เพราะปีนี้เพิ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องรีบไป ไปเพราะอะไร ก็เพราะความเห็นแก่ตัวไม่ใช่เรื่องอะไร
ความจริงคนที่เป็นผู้แทนราษฎรนี้ควรจะไปดูเมืองไทยก่อน เพราะคนบางคนอยู่ภาคเหนือ ไปภาคใต้ ไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ไปดูภูมิประเทศ ไปดูบุคคล ดูเหตุการณ์ ดูความเป็นอยู่ของประชาชนว่ามีอะไรเป็นปัญหา มีอะไรควรจะแก้ไขบ้างไปดู เพราะผู้แทนราษฎรไม่ใช่ผู้แทนของจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ราษฎรในจังหวัดนั้นเลือกแบ่งเขตกันเลือกเพื่อให้สะดวก แต่เมื่อเป็นผู้แทนแล้วเรียกว่า เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นหน้าที่ที่เราต้องทำก็คือว่า เมื่อปิดประชุมผู้แทนสภาก็ควรจะไปดูจังหวัดต่างๆที่เรายังไม่เคยจะไปดู เช่น อยู่เชียงใหม่ก็ลงไปปักษ์ใต้ ไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปดูว่าเขาอยู่กันอย่างไร เขาทำมาหากินอะไร มีปัญหาอะไรบ้างในหมู่คนเหล่านั้น ที่เราจะเสนอเข้าไปให้รัฐบาลรับทราบหรือว่าเสนอออกเป็นกฎหมายเพื่อควบคุมสิ่งเหล่านั้น
อันนั้น เรียกว่า รักหน้าที่ทำงานเพื่อหน้าที่ ไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตัวที่จะไปเที่ยวไปเตร่ แต่ว่าไปสังสรรค์กับประชาชนชาวบ้าน ไปเยี่ยมให้ถึงบ้านเขาไปเดิน ไปเที่ยว ไปดูการทำมาหากินเขาทำสวนยางกันอย่างไร เขาปลูกกาแฟกันอย่างไร กาแฟขายได้หรือเปล่า ยางขายได้หรือเปล่า เลี้ยงหมูขายได้ราคาดีไหม ราคามันตกต่ำอย่างไร จะได้เอามาช่วยคิดช่วยแก้ปัญหา ไปดูเมืองนอกดูอย่างนั้นไปเดิน เดินดูกลับมาก็ไม่ได้ทำอะไร ได้พบกับพวกนักการเมืองไปดูงานหลายคนแล้ว ไม่ได้ไปดูอะไรไปนอนพักผ่อนแล้วก็ไปเที่ยวดูนั่นดูนี่ เดินดูตึกเท่านั้นเองไม่ได้ดูถึงงานอะไร ได้เคยพบข้าราชการอยู่กรมศุลกากรเมื่อเช้าไปดูงานแล้ว ถามว่าไปดูอะไร ดูท่าเรือ ดูท่าเรือ เมืองซานฟานซิสโก ดูงานชั่วโมงเดียว คือไปเดินดูท่าเรือเท่านั้นเอง ดูแล้วก็กลับบ้านมันได้อะไร ไปดูอย่างนั้นมันไม่ได้เรื่องอะไร
คนไปเมืองนอกมันต้องออกไปต่างจังหวัดนั่งรถไป ไปดู ไปต่างจังหวัดไม่ใช่ไปซุกหัวอยู่ที่นอนปารีสหรือนิวยอร์กไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าไปดูบ้านนอกบ้านนา ไปดูว่าคนบ้านนอกฝรั่งเขาเป็นอย่างไร เขาอยู่กันอย่างไร ทำมาหากินอย่างไร มีอะไรพอจะถ่ายแบบมาใช้ในเมืองไทยของเราบ้างไหม แต่ว่ามันไม่ได้หรอกโยม ถ้าไปดูอเมริกานี่เอามาใช้ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะอเมริกามันใหญ่เกินไป อเมริกามันใหญ่ทั้งนั้นถนนมันใหญ่หนังสือพิมพ์มันมีตั้งร้อยหน้าไม่รู้จะอ่านหน้าไหนด้วยซ้ำไป หนีบรักแร้ก็เหนื่อยมันหนาฉบับร้อยหน้าวันอาทิตย์ออกร้อยหน้า ฉบับธรรมดาก็ตั้งห้าสิบหน้าอ่านไหวหรือ จะเอามาเป็นตัวอย่างได้อย่างไร ถนนหนทางก็ใหญ่อะไรมันก็ใหญ่ทั้งนั้น อเมริกามันเล็กไม่เป็นทำเล็กไม่ได้ เราไปดูแล้วเอามาทำไม่ได้ ไปดูใกล้ๆ ไปดูมาเลเซียว่าเขาพัฒนาประเทศอย่างไร ถนนหนทางความสะอาดเป็นอย่างไร ปราบยุงอย่างไร นอนกลางคืนไม่กางมุ้งยุงไม่กัดนี่เขาทำอย่างไร ไปดูใกล้ๆเงินมันก็ไม่สิ้นเปลืองอะไร แต่มันไม่ดัง ไม่ได้ไปถึงต่างประเทศมันไม่ดัง ต้องไปเมืองอเมริกาดังเพราะมันใหญ่ ยุโรปก็ไม่ค่อยมีใครไปเท่าใด มันไม่ดัง ต้องไปอเมริกามันถึงจะดัง มันเป็นอย่างนั้นพระสงฆ์องค์เจ้าก็ชอบไปกันไปนอก บางองค์ไปก็ไม่ได้เรื่องอะไร ไปดูพูดจาภาษาเขาก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าอะไร ไปดูอะไร (31.11 เสียงไม่ชัดเจน) ไปแล้วมันดังได้เที่ยวต่างประเทศมันก็เท่านั้นเอง
มันควรจะเที่ยวเมืองไทยก่อนดูบ้านเมืองเราให้รู้จักเมืองไทย ว่าสภาพดินฟ้าอากาศ ภูมิประเทศของบ้านเมือง เรามันเป็นอย่างไร เพราะก่อนเป็นผู้แทนไม่เคยไปดูไม่เคยไปศึกษา อันนี้เป็นผู้แทนได้นั่งเรือบินก็ฟรี นั่งรถไฟก็ฟรี มันสะดวกจะตายก็ไปดูให้ทั่วถึง จะได้เอามาถกมาพูดกันในสภาว่ามีเรื่องเกี่ยวข้องกับ ภูมิประเทศเหตุการณ์บุคคลในท้องถิ่นนั้นๆ อันนี้ควรจะไปดูก่อนจำเป็นอะไร ที่จะไปดูต่างประเทศดูแล้วก็ทำไม่ได้ แต่ว่าความเห็นแก่ตัว ตัวนั้น ตัวอยากไปเมืองนอกนี้พอได้เป็นผู้แทน ประชุมสมัยเดียว จบประชุมแล้วไปเถอะ ประธานสภาก็ยังไปไปแล้วก็บ่นว่าไม่มีใครต้อนรับ เขาไม่รู้ ไปเขาก็ไม่ต้อนรับ เที่ยวเดินมะงุมมะงาหราอยู่ใน ลอสแอนเจลิส ทูตก็ไม่มาต้อนรับ กงสุลก็ไม่มา แล้วก็เที่ยวมาบ่น เพราะเขาไม่รู้ว่าไป เขาจะไปต้อนรับได้อย่างไร ถ้าไปก็ต้องบอกกล่าวว่าจะไปดูอะไร เขาก็จะจัดให้ดูได้ศึกษาอย่างนี้มันก็ได้
แต่ส่วนมากชวนกันไปเที่ยวไปพักเสียเงินหลวงด้วย ใช้เงินของสภาไปเที่ยวอย่างนี้มันก็ไม่สมควร ก็เรื่องความเห็นแก่ตัวนั้นแหละ ไม่ใช่เรื่องอะไร การทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างคนสองคน ระหว่างพวกระหว่างพรรค ก็ไม่ใช่ได้เรื่องอะไร มูลฐานมันก็อยู่ที่ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมีอยู่ในกลุ่มชนใดในพรรคใดในพวกใดเอาความสามัคคีไม่ได้ เอาความร่วมแรงร่วมใจกันก็ไม่ได้ เพราะความเห็นแก่ตัวมันมาแทรกแซง ทำให้เกิดการแตกแยกแตกร้าวให้ถือเขาถือเรา ถือพรรคถือพวกกันด้วยประการต่างๆล้วนแต่เป็นเรื่องเสียหายทั้งนั้น รวมความว่าสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในจิตใจคนนั้นให้รู้ไว้ว่าฐานมันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว เขาจึงสอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว
ในศาสนาที่นับถือพระผู้เป็นเจ้า หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า GOD นี้ เขาให้ทำลายความเห็นแก่ตัวโดยวิธีว่ายอมมอบตัวให้พระให้หมด มอบตัวให้พระผู้เป็นเจ้าให้หมดไม่เอาไว้เลย เขาเรียกว่า เอาตัวให้ท่านไปหมด จงรักภักดี 100% ต่อพระผู้ เป็นเจ้า แล้วมันก็จะลดอะไรๆลงไปได้ แต่ว่าในพระพุทธศาสนาของเรานั้นไม่มีพระผู้เป็นเจ้าไม่มีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่จะกำอำนาจไว้ในมือแล้วจะทำให้ใครเป็นอะไรนั้นไม่มี พระพุทธศาสนาไม่มีอย่างนั้น พระพุทธศาสนาสอนให้เกิดปัญญาให้คนเข้าใจสิ่งทั้งหลายถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง โดยเฉพาะในเรื่อง อัตตา กับ อนัตตา ท่านสอนให้พิจารณาให้รู้จักแยกแยะ วิเคราะห์วิจัย ในเรื่องนั้นให้เห็นว่ามันไม่มีอะไร สมมติว่าเป็นวัตถุที่เราเห็นง่ายๆ เช่น ตะกร้าใบหนึ่งเรายกขึ้นมาวางบนโต๊ะ เป็นตะกร้า (35.11 เสียงไม่ชัดเจน) สอนนักเรียนบอกนี่อะไรนักเรียนก็บอกว่าตะกร้า ตะกร้านี้ทำด้วยอะไร นักเรียนก็จะตอบว่าทำด้วยหวายบ้าง ทำด้วยไม้ไผ่บ้างหรือทำด้วยวัตถุอะไรก็ได้ วัตถุที่เรามาประกอบกันเข้าเป็นรูปอย่างนี้ เรียกว่า “ตะกร้า” อย่างนี้เรียกว่า “กระเชอ” อย่างนี้เรียกว่า “ข้องใส่ปลา” หรืออะไรต่างๆ คราวนี้ลองถอดออก ถอดออกที่ละชิ้น ถอดเส้นตอกที่เขาเอามาสานเป็นตะกร้าออกไป ผลที่สุดไม่มีตะกร้า ตะกร้าหายไป ตะกร้าหายไปเพราะไม่มีส่วนประกอบ อะไรๆที่เป็นรูปเป็นร่างเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ ก็เพราะรวมตัวของสิ่งทั้งหลาย
เมื่อสิ่งทั้งหลายรวมกันเข้าก็เป็นสิ่งหนึ่งขึ้นมา โดยสมมติเรา เรียกว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นนั่น เป็นนี่เป็นอะไรต่างๆ สิ่งที่เป็นๆ ให้เราเห็นอยู่นั้นก็เป็นสิ่งที่เกิดจากผสมของสิ่งต่างๆอะไรๆ มารวมกันเข้าก็เกิดเป็นนั้นขึ้นมา เป็นตะกร้า เป็นเข่ง เป็นโต๊ะ เป็นตู้ เป็นเก้าอี้ เป็นอะไรขึ้นมา เพราะการรวมตัวของสิ่งต่างๆแต่นี่ถ้าเราแยกออกให้หมดแยกสิ่งนั้นออกไปเสีย ตัวนั้นมันก็หายไป ตะกร้าหายไป โต๊ะหายไป ตู้หายไป เรือนทั้งหลัง ถ้าแยกออกแล้วมันก็หายไปไม่มีเรือนปรากฏอีกต่อไป ครั้งหนึ่ง (37.10) พระพุทธเจ้าสนทนากับ (37.15) พระเจ้าปเสนทิโกศล (37.18) พระเจ้าปเสนทิโกศลนี้เสียพระทัยมาก เสียใจมาก ในเรื่องว่า พระราชินีสวรรคต พระราชินีนี้เป็นผู้ที่ดีมากเป็นพุทธบริษัท และก็เป็นผู้แนะนำตักเตือนพระเจ้าปเสนในเรื่องอะไรต่างๆหลายเรื่อง ครั้นเมื่อพระนางสวรรคตไป ท่านก็ว้าเหว่ เหมือนกับว่าไม่มีที่ปรึกษา ใจไม่สบาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเรื่อง ก็เสด็จมาหาไม่ขึ้นไปบนปราสาท แต่เสด็จไปที่โรงรถ โรงเก็บรถ เรือนเก็บรถเก่า รถสมัยก่อนๆไม่ใช่รถยนต์ยี่ห้อต่างๆในสมัยนี้ไม่ใช่ สมัยนั้นไม่มี มีแต่รถทำด้วยไม้สวยๆงามๆ แล้วใช้ม้าลากไป เขาจอดไว้เต็มในบริเวณนั้น
พระพุทธเจ้าท่านก็ไปที่นั่นไปนั่ง ข้าราชการสำนักพระราชวังเห็นพระพุทธเจ้าไปนั่งอยู่ที่โรงรถก็เลยไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน บอกว่าเวลานี้พระผู้มีพระภาคเจ้าไปนั่งอยู่ที่โรงรถ พระเจ้าแผ่นดินพอทรงทราบก็รีบไปสิ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วก็ถามว่าทำไมพระองค์ไม่ขึ้นไปบนปราสาท เหมือนอย่างเคยทำไมมานั่งในโรงรถเก่าๆหรือถ้าพูดสมัยนี้ว่า นั่งในโกดังเก็บรถนี่ มันไม่สบาย ไม่สะดวก พระองค์ก็ไม่โต้ตอบอะไร แต่ก็ถามว่ารถคันนี้ของใคร รถคันนี้สร้างมาแต่สมัยพระเจ้าทวด และรถคันนี้ละ และนี่สมัยพระเจ้าปู่ รถคันนี้สมัยเสด็จพ่อ รถคันนี้สมัยหม่อมฉัน แล้วพระองค์ก็ชี้ไปที่รถว่านี่อะไร ล้อรถ นี่อะไร ตัวถังรถ นี่อะไร หลังคา นี่อะไร นี่เป็นคัน สำหรับ (39.55 เสียงไม่ชัดเจน) ถามหมดทุกอย่างถามถามไป ถามไปจนหมดเรื่องของรถทีละชิ้น ทีละชิ้นถามไป แล้วผลที่สุดพระองค์ก็ถามว่า แล้วรถมันอยู่ตรงไหน ถามพระเจ้าแผ่นดินว่ารถมันอยู่ตรงไหน พระเจ้าแผ่นดินก็บอกว่ารถมันเกิดขึ้นเพราะรวมส่วนต่างๆเข้า รวมสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เข้า จึงเกิดเป็นรถขึ้นมา เหมือนกับเรือนรวมสิ่งต่างๆเข้าจึงเกิดเป็นเรือนขึ้นมา ถ้ารื้อออกหมดเรือนก็หายไป ปราสาทมันก็หายไป พระที่นั่งหลังใหญ่หมดหายไป หายไปแล้ว
เมื่อสมัยสงครามญี่ปุ่น หลวงพ่อพักอยู่ที่วัดสามพระยา วันนั้นเป็นกลางวัน เรือบินไอพ่น 4 เครื่องยนต์ บินมาหลายลำมาแต่ท้องฟ้าโน้นมาแล้ว มาแล้ว มันจะมาว่านเห็ดให้เรากินกันแล้ว แล้วก็มาทิ้งระเบิดที่เทเวศร์ทิ้งลง (41.11) วังกรมหลวงปาจิณกิจติบดี หลังใหญ่วังมันหลังใหญ่ เสียงดัง ตึ้ง ตึ้ง หลายตึ้งอยู่ แล้วก็พอสิ้นเสียงระเบิดก็ไปดูหน่อยว่ามันทิ้งระเบิดตรงไหน คนมันชอบไปดู เห็นเขาทิ้งระเบิดแล้วชอบไปดู ไปดูว่ามันไม่ลงบนหัวกูก็แล้วกัน ไปดูกัน ไปดูบางทีก็เสียหายเพราะระเบิดบางลูกมันยังไม่ระเบิด พอไปดูก็ระเบิดขึ้น มา หัวขาด แขนขาด คนหายไปเลย ชื่อนายนั่น นายนี่ มันก็หายไปหมด ก็ไปดู ไปถึง วังทั้งหลังหายไปไหนหมดแล้ว วังทั้งหลังใหญ่โตหายไปหมด เกิดความสังเวชขึ้นในใจว่า โธ่เอ๊ย! ตรงนี้มันวังใหญ่ ระเบิดมาทิ้งหายไปหมด จะว่าพับราบไปเลย พังราบไป ตัววังหายไป เหลือแต่ซากของวัง หรือถ้าพูดว่าเหลือแต่ศพ เรียกว่าเป็นซากศพของวังหลังใหญ่เหลืออยู่ ตัววังหายไป หายเพราะว่าส่วนที่ประกอบกันเข้าแยกออกจากวัง พังทลายไปหมดเลย วังไม่มี
อันนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นได้ง่ายว่าในเรื่อง สิ่งต่างๆที่เรียกว่า เป็นนั่น เป็นนี่ เป็นบ้านเป็นเรือน เป็นโรง เป็นรถ เป็นอะไรต่ออะไร มันก็รวมกันเข้าแล้วมันก็เป็นสิ่งนั้นขึ้นมา อันนี้เรามาพูดถึงร่างกายคนเรา โยมเคยสวดมนต์ว่า (43.10 บทสวดมนต์) รวมทั้งหมดเป็น 32 อย่าง ในตัวเรานี่มันมีส่วนประกอบ 32 เรื่อง แยกออกให้ท่องอย่างนั้นเพื่ออะไร เพื่อให้รู้จักแยกแยะวิเคราะห์วิจัย ที่เรียกว่า นายนั่น นายนี่ คุณนั่น คุณนี่ อะไรต่างๆนั้น มันไม่มีเนื้อแท้ไม่มีตัวจริงอะไรหรอก แต่เพราะส่วนทั้งหลายประกอบกันเข้า ส่วนประกอบที่สำคัญคือธาตุ 4 ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มารวมตัวกันเข้า อาศัยมารดาบิดา เป็นผู้ให้เกิดร่างกายนี้จึงเกิดออกมา แล้วก็อยู่ได้ด้วยการประกอบส่วนต่างๆ เรากินอาหาร ดื่มน้ำ สูดลมหายใจเข้า ออก ร่างกายนี้เป็นไปได้ ถ้ารับประทานอาหารไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ สูดลมหายใจไม่ได้ ร่างกายนี้ก็นอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อไป นอกจากสัปเหร่อดีใจว่าได้อีกศพหนึ่งแล้ว แล้วก็เอาไปเผาก็แค่นั้นเอง อันนี้เวลาเผาแล้ว เขาให้เก็บกระดูก เวลาไปเก็บกระดูกเขาเอามารวมทำเป็นรูปคน พลิกไปนั้นพลิกไปนี้พลิกไปพลิกมาก็กองกระดูกนั้นแหละ แต่พลิกไปพลิกมาให้เป็นรูปคนให้ดู ดูเพื่ออะไร เพื่อให้ใช้ปัญญาว่าเหลือแต่กระดูกขี้เถ้าผสมไม่ได้แล้ว จะให้มีชีวิตจิตใจมันก็ไม่ได้ ราคามันก็ไม่มีแล้วแต่ที่เราไปเก็บอยู่ก็เพราะว่ากระดูกนี้ เป็นกระดูกของคนที่เมื่อสมัยชีวิตอยู่ได้ประกอบคุณงามความดี ได้ทำประโยชน์แก่ชีวิตเรา เรานึกถึงคุณงามความดีของท่าน เลยเก็บกระดูกไปบูชาไปกราบไปไหว้ มันมีเท่านั้น นอกนั้นก็สลายไปหรือหมดไป บางแห่งไม่มีอะไรก็สร้างอะไรขึ้นมา ให้มันรกบ้าน รกเมือง เต็มไปหมด
เดี๋ยวนี้จะเห็นตึกสูงๆ ๓๐ ชั้น ๔๐ ชั้น ถ้าเกิดแผ่นดินไหวขึ้นแรงๆมันก็ครืนไปหมดเลย ตึกเหล่านั้นหายไปหมดเหมือนกับประเทศญี่ปุ่นที่เมือง ฮิโรชิมา ถูกระเบิดปรมาณู ๒ ลูก เรียบไปหมด หายไปหมดพังทลายไป สลายไปหมด มดสักตัวก็ไม่เหลือ สิ่งที่มีชีวิตในเมืองนั้นไม่มีเหลือเลย ตายหมด ทำไมมันจึงตาย เพราะเมื่อระเบิดนี้ ระเบิดตึ้ม ไม่มีออกซิเจนสำหรับหายใจ ไม่มีออกซิเจนหายใจ ก็ตายกันหมด ตึกราบ้านช่องพังทลายวินาศไปหมด แล้วมันก็เกิดความร้อนรุนแรง คนที่ไม่ตายก็เรียกว่า เผาไหม้ เป็นแผลเหวอะหวะไปทั้งเนื้อทั้งตัว ลำบากที่สุดทรมานที่สุด ลูกระเบิดนี้เป็นบาปเป็นโทษก็ใช่ คนที่ไปทิ้งระเบิดมันก็ตายไม่ปกติ เวลามันอยู่หลังทิ้งระเบิดแล้วก็ยังอยู่ แต่เวลาตายนี้อาการผิดปกติ ละเมอเพ้อฝันตกอกตกใจอะไรต่างๆ คือว่ามันคิดถึงภาพที่สร้างขึ้นคือ มันไปนึกถึงเหล่านั้น เกิดวิตกกังวลเหมือนคนฆ่าวัวนี่ เวลาตายร้องเหมือนกับเสียงวัว ร้องเหมือนกับเสียงวัวถูกฆ่า มันคิดขึ้นในเวลาจะหมดลมหายใจมันกลัว คนที่ตีไก่เวลาใกล้จะตายเอาหมัด ตีกันใหญ่ตีกันเอง เอามือขวามือซ้ายมาจิกกัน ตีกัน มันนึกถึงภาพไก่ขึ้นมา เรียกว่า ยังไม่ตายก็เกิดเป็นไก่แล้ว ยังไม่ตายก็เกิดเป็นวัวแล้วอย่างนั้น คนทำอะไรนานๆติดเป็นนิสัย เป็นสันดาน เวลาใกล้จะตายก็แสดงภาพเหล่านั้นออกมา
แต่คนใจดีใจงามทำบุญสุนทานเวลาใกล้จะตายก็เห็นภาพ เห็นพระเห็นเจ้า เห็นอะไรต่ออะไรในทางที่ดีงาม ไม่เห็นภาพร้ายๆ เห็นภาพพระ เห็นราชรถ ลอยอยู่ในฟ้า เทวดาจะเอาตัวไปแล้วอะไรอย่างนั้น นี่เป็นเขาเรียกว่า นิมิตก่อนตาย ก่อนตายคนเราจะเห็นนิมิตอะไรใจมันไม่ปกติ แล้วก็เห็นสิ่งเหล่านั้นเป็นภาพมายาคือเกิดขึ้นในจิตของเรา สิ่งต่างๆนั้นมันออกได้รวมได้ ถอดแล้วกรรมนั้นมันก็ หายไป นาฬิกานี้ถ้าถอดออกหมดนาฬิกาหายไปไม่มี แต่เป็นนาฬิกาอยู่ได้ก็เพราะว่ามีส่วนประกอบได้อย่างรูปนี้ ใช้ประโยชน์ดูเวลาได้เขาเรียกว่า นาฬิกา อะไรต่างเหมือนกันหมดดูอะไร เพราะฉะนั้นเวลาดูอะไรอย่าดูให้มันเป็นก้อน คำว่า เป็นก้อนในภาษาธรรมะ เขาเรียกว่า “คณะสัญญา” สำคัญว่าเป็นก้อน เป็นตัว เป็นตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นอะไรขึ้นมาอย่าไปดูอย่างนั้น แต่ให้ดูว่าไม่เป็นตัวตน ไม่เป็นก้อน ไม่เป็นกลุ่ม ดูให้เห็นว่าเป็นของว่าง เป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุ ตามธรรมชาติเท่านั้น
เหมือนคำที่พิจารณาเวลาอยากกินอาหารพิจารณาว่า ธาตุมัตตะโก เป็นสักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น “นิสัตโต ไม่ใช่ นิชีโว ไม่ใช่ ชีวะสุญโญ ว่างเปล่า” ว่างเปล่า จากความหมายว่าเป็นตัวเป็นตนไม่มีอะไร ที่เรียกว่าเป็นตัวเป็นตน ที่เป็นเนื้อแท้ มันเป็นแต่เพียงว่าสิ่งต่างๆรวมกันเข้าไหล ไปตามอำนาจของธรรมชาติ แล้วก็จะแตกสลายออกจากกันหายไป เหมือนกับเราดูดอกไม้เพลิน โยมดูดอกไม้เพลินบ่อยๆสวย พอเขาจุดขึ้นไปแตกกระจาย แล้วหายไป ดูแพลบเดียวมันก็หายไป ถ้าดูอย่างนั้นมันก็เพลินไปสนุกไป ไม่ได้ปัญญา แต่ถ้าเราเอาธรรมะเข้าจับ เอาดอกไม้เพลิน มันเป็นลูกกลมๆมีฉนวน เขาใส่ลงไปในกระบอก แล้วก็จุดฉนวน แล้วมันก็มีดินระเบิดก็พุ่งขึ้นไปในอากาศ พอมันแตกตึ้ง กลายเป็นรูปมะพร้าว เป็นนั่น เป็นนี่ แล้วมันก็หายไป มันก็เกิดแล้วก็ดับไป นั้นแหละเกิดดับ เกิดดับ ธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งหลาย มีปกติเกิดดับ เกิดดับ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเนื้อแท้ ไม่มีสิ่งถาวร แต่มันก็เกิดดับ เกิดดับ ถี่ยิบอยู่ตลอดเวลา ที่เกิดดับอยู่ได้ก็เพราะอะไร ก็เพราะมีเครื่องปรุงแต่ง เขาเรียกว่ามี “สันตติ” มีเครื่องประกอบต่อๆกันไปตลอดเวลา จึงยังไม่ขาดตอน แต่วันหนึ่งมันจะต้องขาดตอน เพราะเครื่องปรุงแต่งนั้นจะหมดจากทิพย์
เรื่องหมดเรื่องขึ้นก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรที่จะติดต่อถาวรตลอดไปมันต้องมีวันหมด น้ำมันก็ต้องหมด รถก็ต้องหยุดหมด แรงงานมันก็ต้องหยุด จรวดที่ขึ้นไปบนฟ้ามันก็ขึ้นไปตามแรงส่ง แล้วก็ไปลอยอยู่ในอวกาศ เดี๋ยวนี้ไปลอยเคว้งคว้าง อยู่เยอะแยะ มันออกไปนอกวิถีของความดึงดูดของโลก มันก็ลอยอยู่อย่างนั้น ถ้าเผลอๆมันลอยเข้ามาใกล้โลก ก็หล่นกองมาเป็นเศษเหล็ก ตกลงในประเทศนั้นประเทศนี้ ถ้าตกลงในตลาดนัดเช้าๆคงจะยุ่งกันใหญ่ คนมันจะหัวแตกอะไรต่ออะไร มันใหญ่โตไม่ใช่ลูกเล็กๆ ตกลงมาแย่กันไปตามๆกัน แต่มันไม่ค่อยตกลงในเมืองที่คนบวช เมื่อคราวนี้ก่อนตกในประเทศออสเตรเลีย ไปตกลงในทะเลทราย ออสเตรเลียทะเลมันกว้างใหญ่ไพศาล แล้วคนก็ไปเก็บเศษของดาวเทียมเอาไปให้อเมริกา เขาให้รางวัลประกาศให้รางวัลแก่คนที่เก็บเศษดาวเทียมได้ ชิ้นส่วนของดาวเทียมเก็บได้ไปได้รับรางวัล มันเป็นอย่างนั้น มันก็แตกสลายไป สิ่งทั้งหลายไม่มีเนื้อแท้มีขึ้นก็การปรุงแต่งของวัตถุ
ถ้ามีประการต่างๆคราวนี้ลำพังธาตุมันก็สลายเหมือนกันไม่ใช่ถาวร ธาตุแท้ๆมันก็สลายตัวสิ่งทั้งหลายในโลกมันเป็นอนัตตา นักปราชญ์ทางวิทยาศาสตร์ เขาเอาหลักอนัตตาของพระพุทธเจ้า ไปใช้ในการทดสอบวิทยาศาสตร์ เลยได้เกิดลูกระเบิดปรมาณูขึ้น ด้วยหัวคิดของนักปราชญ์ที่เรียกว่า ไอน์สไตน์ แกชอบคำสอนของพระพุทธเจ้า แกเป็นพุทธโดยน้ำใจ แกใช้หลักการของพระพุทธเจ้าไปใช้มาก โดยเฉพาะหลักอนัตตา นี้เอาไปใช้ หลักอนัตตา ช่วยแก้ทุกข์ได้ ถ้าเราพิจารณามัน ไม่มีอะไรที่น่ารัก ไม่มีอะไรน่าเอา ไม่มีอะไรที่น่าเป็น สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นไหลไปตามอำนาจของปรุงแต่ง แล้วก็แตกดับไปเท่านั้นเอง บอกตัวเองบ่อยๆคิดบ่อยๆ มองอะไรก็อย่ามองให้มันเป็นก้อน แต่มองว่าสิ่งนี้มันอยู่ได้เพราะมีเครื่องประกอบ พอหมดเครื่องประกอบก็สลายไป อะไรๆมันก็สลายไปเยอะแยะ ร่างกายของคนเราก็สลายไป ตายไป เผาไป เป็นขี้เถ้าไป มันก็เป็นเหมือนกันทั้งนั้น ให้พิจารณาอย่างนี้จิตใจจะได้สบาย คลายทุกข์คลายร้อนคลายความยึดมั่นถือมั่น จิตจะเป็นอิสระมากขึ้น ตามสมควรแก่การปฏิบัติแสดงมาก็สมควรแก่เวลาขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
- ปาถกฐาธรรม ประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๘ มีนาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๓๖