แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะแล้ว ขอให้หยุดพักการเดินเสียที นั่ง ณ ที่ใดที่หนึ่ง ที่ได้ยินเสียงชัดเจน แล้วตั้งใจฟัง หรือจะมาบนนี้ก็ได้ เก้าอี้ยังว่างเยอะ มานั่งฟังให้สบายใจ จะได้ประโยชน์คุ้มค่าที่มาวัด เพราะการมาวัดนี่เรามาเพื่อการศึกษา มาหาความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำไมจะต้องศึกษาธรรมะ ธรรมะมีประโยชน์แก่ชีวิตอย่างไร ถ้าเราไม่คิดก็จะมองไม่เห็น แต่ถ้าคิดให้ละเอียดก็จะเห็นว่าธรรมะ เป็นสิ่งจำเป็นแก่ชีวิต เพราะว่าเราต้องการความสุข ต้องการความเจริญ ไม่ต้องการความทุกข์ ไม่ต้องการความเสื่อม ความสุข ความเจริญนั้นจะไม่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ปฏิบัติธรรมะ ไม่ได้นำธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวัน ก็ไม่เกิดความสุขสมใจ หรือเมื่อเกิดมีความทุกข์ความเดือดร้อนใจเกิดขึ้น เราไม่รู้ธรรมะ ก็ไม่รู้จะแก้ทุกข์อย่างไร ไม่รู้จะแก้ความทุกข์ด้วยธรรมะโดยวิธีใด ก็ไม่สามารถจะดับทุกข์ได้ ถ้าชีวิตยังมีความทุกข์อยู่ ยังมีปัญหาอยู่ ยังต้องต่อสู้กับเรื่องอะไรๆ ต่างๆ หลายเรื่องหลายอย่าง เราก็ต้องมีธรรมะมาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับปัญหานั้นๆ เพราะว่าธรรมะสอนเราให้รู้จักสิ่งทั้งหลายถูกต้อง ตามที่เป็นจริง คือสอนให้เรารู้ความจริงของสิ่งทั้งหลาย ตามสภาพที่เป็นจริง นี่ความจริงของสิ่งทั้งหลายนั้น ไม่ได้สอนไว้ในที่อื่น แต่สอนไว้ในธรรมะ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ให้เราได้ศึกษาทำความเข้าใจ เราก็จะได้รู้เข้าใจในเรื่องนั้นถูกต้อง ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี่ทำให้เกิดความหลงผิด เห็นเชือกเป็นงู เห็นงูเป็นเชือกไปบ้าง เห็นเชือกเป็นงูก็เลยกระโดดหนี บางทีก็เกิดเสียหายแก่เท้า เพราะว่าเห็นผิด เห็นเชือกเป็นงูเลยตกใจ เห็นงูเป็นเชือก เลยเข้าไปจับงูนึกว่าเชือก เลยโดนมันแว้งกัดได้ ก็ได้รับความเสียหายแก่ชีวิตเหมือนกัน ที่ได้เห็นไปเช่นนั้นก็เพราะไม่รู้ว่า เชือกคืออะไร งูคืออะไร ไม่เข้าใจที่ว่าเชือกเป็นอย่างไร งูเป็นอย่างไร มันมีความแตกต่างกันอย่างไร เราไม่เข้าใจ เลยจับเข้าด้วยความไม่เข้าใจ มันก็เกิดอันตราย แต่ถ้าเราได้ศึกษา เรารู้ว่าเชือกก็คือเชือก งูก็คืองู เราก็สามารถที่จะหลบหลีกไม่ให้งูกัดได้ เพราะเราเห็นงูเป็นงู เห็นเชือกเป็นเชือก นี่คือความเข้าใจถูกต้อง ในเรื่องชีวิตของเราประจำวันนั้น เราเห็นเชือกเป็นงูบ้าง เห็นงูเป็นเชือกไปบ้าง แล้วก็เข้าใจผิดในกระบวนการของชีวิต จึงได้เกิดปัญหาขึ้นด้วยประการต่างๆ สิ่งที่ไม่เป็นสาระ เราเข้าใจว่าเป็นสาระ สิ่งเป็นสาระ เราเข้าใจว่าไม่เป็นสาระ คือไม่รู้จักอย่างนั้นถูกต้อง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ เห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ เขาย่อมได้รับความทุกข์จากความหลงผิดนั้น แต่ถ้าบุคคลใดเข้าใจสิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสาระ สิ่งมิใช่สาระว่ามิใช่สาระ เขาก็ถือเอาแต่สิ่งที่เป็นสาระ ไม่เคยยึดถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ เขาก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น ที่นี้ในชีวิตของเราแต่ละคนนั้น เรายึดถือสิ่งที่ผิดไว้ด้วยประการต่างๆ เช่น เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเป็นของเที่ยง เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน แล้วเข้าไปยึดไปครองไว้ในสิ่งนั้น จับมั่นอยู่ในสิ่งนั้นไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง เหมือนกับคนไปรับเอางูเข้า เช่น ชาวนาไปเห็นงูมันนอนตายอยู่ ก็เลยอุ้มไป พออุ้มไปมันก็อุ่นขึ้น งูได้รับความอบอุ่นแล้วรู้สึกตัวก็กัดชาวนาคนนั้นให้ถึงแก่ความตาย อย่างนี้เป็นบทเรียน เป็นเรื่องสอนใจในแง่ธรรมะ ว่าคนเรานี้ชอบไปยึดถืออะไรๆ ต่างๆ ว่าเป็นตัวบ้าง ว่าเป็นของตัวบ้าง แล้วก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนจากความยึดถือนั้นมีมากมาย
ตัวอย่างเห็นง่ายๆ เช่นว่าในครอบครัว สามีภรรยาที่อยู่กันไม่ค่อยจะเรียบร้อย มันก็มีปัญหา ปัญหาเกิดขึ้นจากสามีบ้าง เกิดจากภรรยาบ้าง เพราะว่าไม่ประพฤติธรรม ไม่ดำเนินชีวิตตามหลักธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่ว่าดำเนินชีวิตตามใจตัวเอง ตามใจตัวเองก็คือตามใจความอยากที่เกิดขึ้น ไม่เดินตามทางธรรมะ ตามใจกิเลส ก็มีความยุ่งยากขึ้นในครอบครัว เมื่อมีความยุ่งยากขึ้น อีกฝ่ายหนึ่งก็มีความทุกข์ มีปัญหาในสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร ไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวางสิ่งเหล่านั้น แต่ไปยึดมั่นอยู่ในสิ่งนั้น ความยึดมั่นนี่ ภาษาธรรมะเรียกว่า “อุปาทาน” อุปาทานนั้นเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง เราไปมีอุปาทานในสิ่งนั้นขึ้นมา ยึดถือว่าเป็นของฉัน เกี่ยวข้องกับฉัน อะไรในรูปต่างๆ มันก็เป็นความทุกข์ เป็นความเดือดร้อนใจ ฝ่ายที่เป็นทุกข์ ก็คือฝ่ายผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ เพราะสามีเป็นผู้ตามใจตัวเอง ชอบไหลไปตามอำนาจของความอยากที่เกิดขึ้น ไม่รู้จักบังคับตัวเอง ขาดคุณธรรม ขาดธรรมะ ๔ อย่าง คือขาดความซื่อสัตย์ต่อภรรยา ขาดการบังคับตัวเอง ไม่บังคับจิตใจเพื่อเอาชนะสิ่งที่มันเกิดขึ้น ไม่มีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งเหล่านั้น แล้วก็ไม่มีความเสียสละ คือไม่รู้จักว่าควรเอาหรือไม่ควรเอา ควรมีหรือไม่ควรมี ไม่เข้าใจ เรียกว่าไม่เสียสละ เมื่อมีความอยากขึ้นก็บังคับตัวเองไม่ได้ อดทนไม่ได้ เสียสละไม่ได้ ก็เลยไปทำตามความอยากที่เกิดขึ้น เมื่อไปทำตามความอยากที่เกิดขึ้น อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่สบายใจ มีปัญหา ไม่สบายใจเพราะว่า ผู้ชายไม่ซื่อต่อตัวเอง แล้วก็มีความไม่สบายใจเพราะหลงยึดว่าสามีของฉัน ไอ้คำว่าของฉันนั่นล่ะที่มันเป็นปัญหา ทำให้เกิดความยุ่งขึ้นในจิตใจ ไม่ได้คิดว่า ไม่ใช่ของฉันเสียบ้าง ไม่ปล่อย ไม่วาง กอดรัดสิ่งนั้นไว้ ไม่รู้จักปล่อย มันก็มีปัญหา มีความทุกข์ทางใจ แต่ถ้าปล่อยไปเสียบ้าง มันก็ไม่ต้องมาทุกข์ (11.23) แต่ว่าปล่อยไม่เป็น เพราะว่าในโลกนี้ไม่มีใครสอนให้ปล่อย สอนให้วาง แต่สอนให้ยึดติดทั้งนั้น ตั้งแต่เป็นเด็กน้อยๆ พ่อ แม่ พี่เลี้ยง ผู้ดูแลก็สอนให้ติดในเรื่องอะไรต่างๆ นี่ตุ๊กตาของหนู เสื้อของหนู อะไรๆ ของหนู เด็กนั้นก็ยึดไว้ว่าเป็นของตัว ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง ถ้าใครมาเอาตุ๊กตาไปก็ร้องไห้ เอาของเล่นที่ตัวเล่นอยู่ไปเสียก็ร้องไห้ ร้องไห้เพราะอะไร เพราะเด็กมันยึดถือว่า ของฉันๆ แล้วใครสอนให้เด็กยึดถือ ก็พ่อแม่ อันนี้ของหนู สอนให้ยึดถือในวัตถุ ในบุคคล ในสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว เราทุกคนได้รับคำสอนมาอย่างนั้น แล้วก็ค่อยยึดเข้าไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ของเล็ก ของน้อย ของขนาดใหญ่ จนกระทั่งผู้คน ชาติ ประเทศ ลัทธิ ธรรมเนียม ประเพณี อะไรต่างๆ เข้าไปยึดไว้ว่าเป็นของตัว เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆ แต่คนเราไม่คิดว่า ไอ้สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นอะไรต่อไปข้างหน้า เราไม่ได้สอนเด็กให้เกิดปัญญา ไม่ได้สอนเด็กให้มีความคิดถูกต้องในเรื่องนั้นๆ เราไม่เคยสอนเด็กว่าสิ่งนี้มันไม่เที่ยง มันมีความเปลี่ยนแปลง มันอาจจะแตกเมื่อใดก็ได้ หักเมื่อใดก็ได้ สูญหายไปเมื่อใดก็ได้ แตกแล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ หักแล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ หรือว่ามันหายไปก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ค่อยซื้อมาใหม่ก็ได้ เราไม่เคยสอนอย่างนั้น เด็กไม่เคยได้รับคำสอนในรูปอย่างนั้น แต่สอนให้ยึดติดอยู่ในสิ่งนั้นตลอดเวลา
ความยึดติดนั้นค่อยเจริญงอกงามขึ้นในจิตใจ จนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ ไปอยู่โรงเรียนก็สอนให้ติดโรงเรียน ให้รักโรงเรียน ทำอะไรก็ต้องทำเพื่อโรงเรียน เวลาไปเล่นกีฬาก็ต้องให้ชนะ แพ้ไม่ได้โรงเรียนจะเสียชื่อ เด็กก็ไปติดโรงเรียน เล่นกีฬาก็ต้องเอาชนะ ชนะโดยการโกงไม่ได้ ก็เล่นทางเกเรกัน เพื่อเอาชนะ เพราะครูสอนไว้อย่างนั้น ใครดูหมิ่นเก่งแคลนโรงเรียนเราไม่ได้ ก็สอนกันอย่างนั้น แล้วก็สอนให้รักชาติ รักประเทศ ไม่ให้เสียสละเพื่อชาติไปเฉยๆ โดยไม่ต้องไปยึดถือก็ได้ เราไม่ได้สอนอย่างนั้น แต่สอนให้รัก และรู้ชาติ เมาชาติ หลงศาสนา เมาศาสนา เลยก็โตขึ้นก็ไปก่อเรื่อง รบกัน รบกันเรื่องชาติ สงครามในยุโรปตะวันออกที่รบกันไม่รู้จักจบ มันไม่ใช่เรื่องอะไร เรื่องความยึดถือในคำว่า ชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนาที่ตนนับถือ พวกหนึ่งเป็นมุสลิม ก็ยึดอยู่ในคำว่ามุสลิม พวกหนึ่งเป็นคริสเตียน ก็ยึดอยู่ในคำว่าคริสเตียน เผ่าก็แตกต่างกัน เราไม่ได้รู้ว่ามันเป็นคนเหมือนกัน เกิดเหมือนกัน แก่เหมือนกัน เจ็บเหมือนกัน ตายเหมือนกัน เวลาเกิดก็ไม่มีอะไรมา เวลาตายก็ไม่มีอะไรไป เราไม่ได้สอนอย่างนั้น แต่สอนให้ยึดมั่นถือมั่น ซึ่งมันไม่ถูก แต่ว่ามันผิดกันทั้งโลก เพราะเค้าสอนให้มีชาตินิยม ศาสนานิยม ภาษานิยม ผิวนิยม แล้วสิ่งเหล่านี้มันสร้างความรักได้ไหม สร้างความสามัคคีได้ไหม สร้างความวุ่นวายขึ้นในสังคม ในชาติ ในโลกได้หรือไม่ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่า มันไม่ได้เรื่อง ก็สอนกันผิดให้มีปัญหา คนชาติเดียวกัน มันมีหลายพรรค เข้าไปยึดพรรคติดพรรค จนกระทั่งต้องรบกัน เหมือนกับเขมรรบกันอยู่เวลานี้ ฆ่ากันอยู่บ่อยๆ เพื่ออะไร ฆ่ากันเพื่ออะไร รบกันเพื่ออะไร คนนั้นจะเป็นใหญ่ไปกี่วัน จะครองความเป็นใหญ่ไปได้สักกี่ปี ไม่เท่าไรก็ตายแล้ว ประเทศลาวคนที่เป็นใหญ่ก็ตายไปแล้ว คนรองขึ้นต่อมาก็แก่นักแล้ว ไม่เท่าใดก็ตายอีกล่ะ มันไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า ไม่ได้อยู่ยั่งยืนอะไร ทำไมไม่คิดสร้างสิ่งที่มันเป็นความมั่นคงในทางจิตใจที่ถูกต้อง ทำไมไม่สร้างความรักความเมตตา ความปรารถนาดีต่อกัน แต่ไปสร้างสิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกแตกร้าวขึ้นในสังคม ระหว่างชาติ ระหว่างประเทศ แม้ในชาติเดียวกันก็ยังถืออีก พวกเหนือ พวกใต้ พวกตะวันออก พวกอาชีพนั่น พวกนี่ ก็เกิดการเสียพวกขึ้น อยู่คนเดียวไม่ค่อยถือเท่าใด เพราะถือไปไม่ได้มันจะเสี่ยงมีด พอมีพวกขึ้นสักสองสามคนล่ะชักจะรวมพวกขึ้นล่ะ เกิดการต่อสู้ขึ้นมาเพื่อพวกตัว พระสงฆ์องค์เจ้าก็เป็น มาอยู่ในวัด มาองค์เดียวเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย ไม่มีเยอะ แต่พอมีพวกขึ้นสามสี่รูปชักจะแข็งข้อแล้ว ตั้งป้อมล่ะ พวกเขา พวกฟากนั้น พวกฟากนี้ แบ่งภาค แบ่งพรรคขึ้นมาแล้ว ตั้งป้อมแล้ว อันนี้มันเรื่องไม่ถูกต้อง เรื่องเสียทั้งนั้น ที่มาเกิดแบ่งพรรคแบ่งพวกกันขึ้น เป็นพวกเขา เป็นพวกเรา ทำให้เกิดความเสียหาย ทำไมไม่คิดว่าเป็นพวกเดียวกัน เป็นชาติด้วยกัน หรือเป็นคนชาติเดียวกัน ชาติมนุษย์ก็พอแล้ว อย่าเป็นชาติอื่นเลย ถ้าว่าชาติไทย ชาติลาว ชาติเขมร ชาติพม่ามันยุ่ง อันนี้บอกว่าชาติมนุษย์ มันไม่ยุ่งกันเลย ถามว่าชาติอะไร บอกชาติมนุษย์ มันไม่ยุ่งไอ้ชาติมนุษย์ เป็นมนุษย์เหมือนกัน เกิดแก่เจ็บตายร่วมกัน ไปปรโลกด้วยกัน ไม่ได้เป็นพลเมืองของชาติใดประเทศใดโดยเฉพาะ แต่เป็นพลเมืองของโลก เป็นผู้ร่วมทุกข์กัน ร่วมสุขกัน ร่วมเสื่อมกัน ร่วมความเจริญกันและกัน คิดอย่างนั้นมันก็ดีขึ้น แต่ว่าคิดไม่ได้ เพราะไม่มีใครสอนให้คิดอย่างนั้น แต่สอนให้เสพทุกข์ผิวๆ ผิวขาว ผิวดำ ก็ถือกันอยู่ ไอ้ที่ผิวดำ ก็ถือว่าดำ พวกดำ ผิวขาวก็ถือพวกขาว ถือกัน ถือกันจนกระทั่งรบกัน ตายกันไปมากมายก่ายกอง เพราะเรื่องผิวนั่นหรือไม่ใช่เรื่องอะไร นี่มันไม่ถูกต้อง ไปเหยียดหยามกันทำไม ของภายนอกมันไม่ได้สำคัญอะไร แต่มันสำคัญอยู่ที่ใจของคนเหล่านั้น ใจนั้นจะเป็นใจเดียวกัน คือใจที่มีธรรมะแล้วมันก็ใจเดียวกัน เป็นใจที่สะอาด สว่าง สงบ เหมือนกัน แต่ถ้าใจมีกิเลสแล้วมันก็หลายใจได้ ใจโลภ ใจโกรธ ใจหลง ใจริษยา ใจพยาบาท ใจถือตัว มันหลายใจ มันหลายคน แล้วมันก็โกรธกัน
แต่การปลงนี่ มันหลายอย่าง ใจมันเป็นกิเลสแล้วมันยุ่ง แต่ถ้าใจเป็นธรรมะ มันก็ใจเดียว เพราะว่าใจที่มีธรรมะนั้นมันสะอาด สว่าง สงบ มันไม่มีอะไรเลย คนมีธรรมะอยู่ในใจมองอะไรมันก็เป็นธรรมไปหมด มองคน มองสัตว์ มองวัตถุ มองอะไรต่างๆ ก็เป็นธรรม มองเห็นเป็นธรรมะในวัตถุนั้นๆ ไม่เกิดความแตกแยก ที่นี้เรามันไม่มองอย่างนั้น มองเอาแต่เปลือก มองเห็นว่าคนนั้นขาว คนนั้นดำ คนนั้นสูง คนนั้นต่ำ คนนั้นพูดภาษานั้น คนนั้นพูดภาษานี้ มันเลยแตกต่าง ไปมองสิ่งที่แตกต่าง แล้วคนเราชอบสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้น ให้คนแต่งตัวอย่างนั้น ถ้ามาวัดนี้ต้องแต่งตัวอย่างนั้น ต้องนุ่งขาวห่มขาว อันนี้มันขาวเหมือนกัน วัดนี้ต้องมีขลิบริมหน่อย ขลิบริมสีแดงบ้าง สีเขียว สีขาว ใส่แล้วก็ดูว่าเอ้ ดูคุณยายคุณตานี่มันไม่ค่อยเต็มบาทมาจากไหน คือผิดปกติ ไปพักอยู่ที่วัดสระเกศ อ.หล่มสัก รถคันใหญ่มากัน คนรุ่นแก่ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่รุ่นหนุ่มรุ่นสาว แต่งตัวแปลกๆ ใส่เสื้อมีอะไรๆ ซึ่งมันผิดปกติของคนแก่ เสื้อคนแก่มันก็จะเรียบๆ ร้อยๆ แล้วก็มีเชือก บัตรแดงบ้าง บัตรเขียวบ้าง อะไรตะไล เดินลงมา แล้วก็มีคนหนึ่งเป็นหัวหน้าแขวนลูกกระพรวน ลูกกระพรวนนั่นมันลูกกระพรวนที่เค้าไปผูกม้า เอามาแขวนคอคน เวลาเดินให้มันดังกริ๊งกรั๊งๆ ไอ้บริวารก็แขวนลูกพรวนลูกเล็กๆ แขวนคอบ้าง แขวนมือบ้าง ยกมือขึ้นกริ๊งกรั๊ง เดินก็กริ๊งกรั๊งๆ ว่าเอ๊ะ ดูแปลกๆ คน เลยเข้าไปถามว่า มากันจากไหนนี่ จากเมืองสิงห์บุรี โอ้โห! เอ๊ะคนเมืองสิงห์มันพิกลพิการยังไง นึกในใจ แล้วก็มาในนามคณะอะไรนี่ ในนามลูกศิษย์หลวงพ่อเขียด เขียด ถามย้ำว่าเขียด เขียด เขียดที่มันเล็กกว่ากบอ่ะนะ หลวงพ่อเขียด เป็นอะไรเหรอหลวงพ่อเขียด ก็เป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นหลวงพ่อเขียด แล้วใครเป็นหัวหน้าหลวงพ่อเขียดขึ้นมากันก่อนนั้นล่ะ คนที่แขวนรูปก็โชว์รูปใหญ่ เรียกว่าหัวหน้ามันก็วิกลวิกาล แล้วก็หลวงพ่อพักอยู่ในโบสถ์ เค้าเลยบอกว่าขออนุญาตใช้โบสถ์เป็นที่สวดมนต์ได้ไหม บอกโอ้! เต็มใจดีใจ สวดเลย ถึงเวลาเค้าก็มาสวดมนต์ สวดมนต์ อาตมาก็ออกจากโบสถ์ไปนั่ง ไปยืนดูอยู่ข้างนอก ไอ้หัวหน้านะไม่สวด ลูกน้องสวดหลับตาสวด สวด สวด ดูหัวหน้านั่งสูบบุหรี่เฉย สูบตัวแล้วตัวอีกกว่าจะสวดจบนะ ก้นบุหรี่กอง ไอ้หลวงพ่อเขียดนี่มันไม่ไหว มันกำลังสูบบุหรี่พ่นควันโขมง อันนี้พอสวดมนต์เสร็จแล้ว มีการตีกลอง ตีกรับ ตีฉิ่ง รำกันแล้ว รำกันในโบสถ์ รำกันไปรำกันมา เดี๋ยวตีกันแล้ว เขียดกัดกันแล้ว อาตมาก็ดูว่าเอ้า! ทำไมตีกันแล้ว เลยถามว่าทำไมตีกันล่ะ เค้าว่าการตีกันนี่เป็นบทปฏิบัติอันหนึ่ง คือว่าไอ้พวกหนึ่งจะตีตก ไอ้พวกหนึ่งจะเลิก ไม่ตกลงกัน ไอ้หัวหน้าก็นั่งสูบบุหรี่เฉย ลูกน้องตีกันทะเลาะกัน ดูๆ แล้วเอ้! นี่มันเป็นพวกวิตถาร เรียกว่าทำอะไรแปลกๆ ก็มีคนนับถือเหมือนกัน ไม่ว่าอะไรในเมืองไทยทำให้ไม่เหมือนเพื่อนแล้วก็มีคนนับถือทั้งนั้น ถ้าปกติๆ คนไม่ค่อยสนใจ ต้องเอามันแปลกๆ ให้มันแผลงๆ หน่อย คนก็สนใจ เพราะฉะนั้นคนที่ชอบทำอะไรแปลกๆ นั่นไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก เรียกร้องความสนใจเท่านั้นแหละ จึงได้ทำอะไรให้มันแปลกออกไปหน่อย ไม่ให้เหมือนใครๆ ก็อยู่ในประเภทที่ผิดปกติเหมือนกันในยามนั้น นี่ก็คือสร้างพวกเหมือนกัน พวกนั้นต้องอย่างนั้น พวกนั้นต้องอย่างนี้ เวลาฉันอาหารต้องทำอย่างนั้น เดินต้องอย่างนั้น ให้มันแปลก คนเห็นแล้วก็แปลก เหมือนพวกหนึ่งเดิน ต้องเดินช้าๆ เดินบนถนนไปช้าๆ ก้าวทีละก้าวเหมือนกับว่ากลัวหนามจะตำเท้า เดินช้าที่สุด ให้คนเห็นว่ามันแปลกเท่านั้นเอง แล้วคนก็นับถือ เพราะคนชอบนับถือของแปลกๆ ใครจะเรียกร้องความสนใจจากใคร ก็ต้องทำอะไรให้มันแปลกๆ หน่อย คนชอบ เลื่อมใสของแปลก อะไรอย่างนั้นแหละมีบ่อยๆ แล้วก็เกิดเป็นก๊ก เป็นเหล่าขึ้น ยิ่งเกิดเป็นพวกหลายพวกแล้วยิ่งยุ่ง พวกมากแล้วก็พวกหลายก๊กนี่มันยุ่ง ก็ต่างก็ยึดถือในก๊กของตัว ในพวกของตัว ในอาจารย์ของตัว มันยุ่งทั้งนั้น ทำให้เกิดปัญหา มีแขกอินเดียคนหนึ่งชื่อ "กฤษณามูระตี" แกไปอยู่เมืองฝรั่งส่วนมาก ฝรั่งนับถือ เพราะแกพูดธรรมะแบบที่ฝรั่งไม่เคยได้ยินนะ พูดแปลกๆ ฝรั่งก็นึกว่าคนนี้เก่ง ก็นับถือกัน พอนับถือฝรั่งก็ตั้งเป็นสมาคมขึ้น "สมาคมกฤษณามูระตี"
แกบอกยุ่งแล้วๆ ไอ้พวกนี้ยุ่งแล้ว มาตั้งสมาคมนี่มันยุ่งแล้ว สั่งปิด สั่งปิดสมาคม มันไปปิดสมาคมเข้าอีก ไปปิดชื่อสมาคม แกสอนไม่ให้ติด ไม่ให้ยึดในเรื่องอะไรต่างๆ แล้วคนมันไปสร้างเป็นที่สถิตขึ้นมา ที่จะยึดขึ้นมา จิตมันไม่ว่าง มันไปวุ่นกับไอ้เรื่องนั้น สมาคม เลยกลายเป็นพรรคหนึ่ง พวกหนึ่งขึ้นมาอีก เลยศักดิ์สิทธิ์ ไม่ศักดิ์สิทธิ์เฉยๆ แต่แกไปเฉยๆ แกไม่ยุ่งกับพวกนั้นต่อไป ไม่ยุ่งด้วยแล้ว ถ้าอยู่กันอย่างนี้ ฉันไม่เอาด้วยแล้ว แล้วแกก็ไปเที่ยวสอนที่อื่น แกไม่ชอบตั้งอะไรอีก ไม่ชอบสร้างอะไรขึ้นให้คนยึดถือ ให้แต่คำสอน ให้แนวปฏิบัติ แล้วก็ต่างคนต่างไปปฏิบัติกันเอง อย่าไปทำกลุ่ม ทำพรรค ทำพวก ทำอะไรขึ้นให้วุ่นวาย เพราะว่ามันจะมีปัญหาในกาลต่อไปข้างหน้า ก็นับว่าเป็นคนที่สอนแนวทางที่ถูกต้อง ไม่ให้คนติดยึดในอะไรๆ ต่างๆ เป็นการสอนที่ถูกต้อง เวลานี้แกตายไปแล้ว คำสอนของแกก็ยังพิมพ์ขายกันอยู่ให้คนได้อ่าน ได้ศึกษา สอนอย่างนั้น ไม่ต้องการอะไรแต่ว่าให้คนเข้าถึงธรรมะ ปฏิบัติหลักธรรมะ ธรรมะก็ไม่ให้ชื่อหรอก ไม่ชื่อว่าอะไร ธรรมะไม่มีชื่อ ชื่อว่าธรรมะมันก็พอแล้ว พอไม่มีชื่อเลยก็ไม่รู้จะพูดกันอย่างไร เลยให้ชื่อว่าธรรมะ ไม่ใช่ธรรมะของใคร ธรรมะเป็นสิ่งสากล แต่เรามักจะเรียกตามชื่อผู้สอนพุทธรรม คือคำที่พระเยซูคริสต์นำมาสอน อิสลามธรรม ก็คือธรรมที่พระนาบีมูฮัมมัดนำมาสอน แต่ว่าพระเวทนี่เค้าไม่มีชื่อผู้สอน คัมภีร์พระเวทของฮินดูนี่ ไม่มีชื่อผู้สอน แต่เขาก็เขียนไว้เป็นตำรา ผู้เขียนก็ไม่เอาชื่อไปใส่ไว้ในตำรา เขียนแต่พระเวทเฉยๆ ให้คนศึกษา เอาไปปฏิบัติเท่านั้นเอง แต่ว่าคนสร้างพิธีขึ้นให้ติดในพิธี ต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ ไปติดอยู่ในรูปแบบ ไม่เข้าไปสู่ตัวธรรมะที่แท้ ทีหลังก็มีคนที่มีความคิดแนวใหม่มาค้นคว้าคัมภีร์พระเวทนั่นแหละ แล้วเอามาเปิดเผยให้คนเข้าถึงตัวเนื้อแท้ของธรรมะ แล้วก็ต้องมีชื่ออยู่นิดหน่อยว่า "อุปนิษัท" อุปนิษัท หมายความว่า เข้าไปใกล้ๆ อย่ามาอยู่ห่างๆ ให้ใจเข้าไปใกล้ ใกล้สิ่งถูกต้อง ใกล้แสงสว่าง ใกล้ความสงบ ใกล้ความสะอาด อะไรอย่างนั้น แต่ว่าคนส่วนมากมันเข้าไม่ถึง เพราะปัญญาโอด ไม่มีปัญญาคิดค้นอย่างลึกซึ้ง เข้าไม่ได้ เข้าถึงแต่เพียงรูปแบบ หรือพิธีการ แล้วก็ถือศาสนาแบบนั้น ถ้าพวกบ้านเราก็แบบคุณยาย คุณตา ที่ถือกันอยู่ ไม่ยอมพัฒนาให้มันลึกซึ้งเข้าไปอีกสักหน่อย ถือกันอยู่อย่างนั้น ติดรูปแบบ แม้เดินทางไปอยู่ต่างประเทศถึงอเมริกา ถึงอังกฤษก็เอารูปแบบไปใช้ ไม่เอาตัวธรรมะที่แท้ไปใช้ มาวัดก็มาตามรูปแบบที่เคยมา มาสนุกกัน มาทำบุญกินข้าว สนุกๆ คุยกัน พอมาถึงวัดแล้วเสียฉาวเหมือนกับว่าตลาดนัดอะไรอย่างนั้น คุยกัน ต่างคนต่างคุยไม่มีคนฟัง คุยกัน คนนั้นก็คุยกับคนนั้น คนนั้นก็คุยกับคนนี้ คุยกันอยู่นั่นแหละ มาแล้วก็กลับไปบ้าน เหมือนเดิม ไม่มีความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ ความคิดความอ่านก็อย่างนั้นไม่ก้าวหน้าอะไร ทำไปตามรูปแบบ พระท่านก็เห็นว่าคนมันชอบอย่างนั้น ก็หอบอะไรต่ออะไรจากเมืองไทยไปวางไว้ให้คนมานั่งไหว้ มานั่งกันแล้วบอกบ้าง ไหว้ยักษ์บ้าง ไหว้รูปนั้น ไหว้รูปนี้ แม้กระทั่งรูปพระพรหมก็อุตส่าห์เข้าห่อ เข้าหีบโชว์ไว้ เอาไปตั้งในวัดให้คนโอ้โห! มาไหว้กันต่อไป เมื่อไปอย่างนั้น คือไม่เอาธรรมะไป ไม่ประกาศสิ่งที่เป็นธรรมะ แต่ประกาศสิ่งที่เป็นรูปแบบ
ซึ่งไม่ใช่เนื้อแท้ของพระธรรม คนก็มาไหว้มาบูชา เช่น มีรูปหลวงพ่อแก้วถ่ายแบบไว้ ไปไหว้ที่วัดใดก็ตาม คนก็เอาข้าวเหนียวมาไหว้ เอาไข่มาไหว้ สมภารก็คุยว่าที่โอ้! ที่วัดนี้ได้ฉันไข่หลวงพ่อทุกวันๆ ไม่น่าจะดีใจอะไรที่ได้ไข่นั้นมาฉัน เพราะเป็นไข่แห่งความโง่ ความเขลา คนมาเอาไข่มาถวายหลวงพ่อแก้ว มาด้วยความโง่ ไม่ได้ฉลาดขึ้นเลย มาถวายอยู่อย่างนั้น ก็ยังคุยว่าได้ฉันไข่หลวงพ่อทุกวันๆ ไม่คลาบแคลง ฟังแล้วมันก็ไม่สบายใจเท่าใดนัก เพราะไม่ได้เรื่อง แล้วก็มีพระสงฆ์องค์เจ้าชอบไป อเมริกา หอบแต่เครื่องวัตถุไปแจกญาติแจกโยม เครื่องราง ของขลัง อันโน้นอันนี้ แหวนบ้าง เหรียญบ้าง ล็อกเกตห้อยคอบ้าง แจก ไม่ใช่แจกฟรีนะ ๑๐๐ เหรียญ ใครเอาไปแขวนแล้วก็เอามา ๑๐๐ เหรียญ เห็นนางพยาบาลแขวนกันเก้อไป หนอยแน่ แขวนเหมือนๆ กันเอามาจากไหน หลวงพ่อให้ ให้ฟรีหรือว่าให้อะไร ๑๐๐ เหรียญ เอ๊ย หลวงพ่อจะเอาเงินไปทำอะไร ขายล็อกเกตได้ตั้งร้อยเอาไปทำอะไร ท่านบอกว่าจะเอาไปซ่อมเจดีย์ที่เสด็จพ่อไปสร้างไว้ที่เมืองลังกา เอ๊ะ หลวงพ่ออะไร เป็นลูกเจ้าลูกนาย โอ้! ท่านเป็นลูกพระองค์เจ้า สืบไปสืบมาตอแหลแล้ว หลวงพ่อนั่นตอแหลแล้ว เลยบอกหลวงพ่อตอแหล ลูกเจ้าไหนอ่ะ เจ้านอกรั้วหรือว่าเจ้าในวังล่ะ พอบอกชื่อเจ้า อ่า เจ้าโกหกทั้งเพ เพราะว่าเจ้าองค์นั้นแกไม่มีลูก แกมีแต่ลูกผู้หญิงไม่มีลูกผู้ชาย ลูกหญิงอยู่ตรงนี้ เขานิมนต์ไปรับสังฆทานบ่อยๆ ที่บ้าน เดี๋ยวนี้ชายาท่านก็เป็นหม่อมเจ้า ตายแล้ว ลูกสาวยังอยู่ ก็นิมนต์ไป ไม่ปรากฏว่ามีลูกชาย แต่เมื่อไปอยู่เชียงใหม่นี่ ไปได้กับเจ้าหญิงทิพวรรณ ก็ได้ลูกชายมาคนหนึ่งไม่ใช่ลูกเกิดหรอก บุตรบุญธรรม ไม่ค่อยเต็มเต็งอะไรอ่ะ ตายไปอีกเหมือนกัน ไม่ค่อยเต็มบาท แล้วไอ้หลวงตานี่มันมาเป็นลูกหม่อมพระองค์เจ้านี้ได้อย่างไร ยังคุยต่อไปว่า สมัยก่อนนี้คุณเสด็จพ่อส่งไปเรียนวิชาแพทย์เมืองปารีส กลับมาก็ได้เป็นนายพล หมอสมัยก่อนเป็นนายพลนั่นไม่ถึงอ่ะ พันเอกพระยาวิบูลย์ อายุรเวชนายแพทย์ใหญ่ก็เท่านั้น ไม่ถึงนายพล ก็ทหารมันไม่มา ไอ้นี่เป็นถึงนายพลโท แต่ว่าของเรานี่มัน เรื่องของลูกฉันมันหมดแล้วถึงได้มาบวช นางพยาบาลคนหนึ่งส่งมือไปให้ หลวงพ่อดูมือดิฉันหน่อย ลายมือมันเป็นยังไง โถ่! อืม มันเข้าไปแล้วก็ต้องให้มันออกมาเรียบร้อยนะ เอะไร นางพยาบาลก็สงสัยว่าอะไรมันเข้าไป อะไรมันจะออกมา เลยบอกว่าเธอจะมีท้อง เอ้า มีท้องอย่างไร ดิฉันยังไม่มีผัวซะหน่อยจะมีท้องกับเขาได้อย่างไร เอ้า เลยก็ ออกไป เพราะไม่เข้าเรื่อง นางพยาบาลคนหนึ่งส่งมือไปให้ อืม นี่เป็นโรค โรคอยู่ไฟไม่ได้ เดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยรู้เรื่องโรคอยู่ไฟไม่ได้ โรคอะไร คือคลอดบุตรแล้วก็ต้องอยู่ไฟสมัยก่อน อยู่ไฟ นอนผิงไฟ ตามปักษ์ได้เขามีเรียกว่า ไม้คา ไม้ ไม้เนียน เป็นไม้ที่มีแก่น ถ้าว่าภรรยามีท้องใกล้จะคลอดแล้วต้องไปตัดไม้มาผึ่งไว้ เวลาคลอดแล้วจะได้ไปจุด อยู่ไฟ นอนใต้กองไฟให้มดลูกมันเข้ารูปเข้ารอย เดี๋ยวนี้เขาไม่อยู่กันแล้วล่ะ อยู่ไฟ ใครจะไปนอนผิงไฟอยู่ในตึกเขาอย่างนี้ เขาไม่อยู่ เขาไม่กินหยูกกินยา นางพยาบาลก็เอ้ อยู่ไฟยังไงล่ะ ก็มีลูกแล้วก็ต้องอยู่ไฟ นี่เป็นลูกอยู่ไฟไม่ได้ อ้าว เพราะดิฉันยังไม่มีสามีจะมีลูกได้อย่างไร ลายมือทำไมมันขึ้นเป็นผัวขึ้นมาได้ล่ะ (หลวงพ่อหัวเราะ) ไม่ได้ความอะไร
แล้วก็มีเขียนเครื่องยาไว้ให้แก่นางพยาบาลคนหนึ่ง ให้ไปต้มกิน อะไรบ้าง เถาสะค้า กานพลู ดีปลี อบเชย ยาแผนโบราณทั้งนั้น ไม่ใช่นายแพทย์จากปารีสเขียนสักหน่อย แล้วตัวหนังสือก็ไม่ค่อยได้เรื่อง เด็กป.๔ ยังเขียนสวยกว่า เอามาให้ดู นี่เหรอ ยาของคุณหมอนายพลโท ไม่ได้เรื่องอะไร สืบไปสืบมาก็พระหลวงตา อยู่ที่หินกอง วัดบนภูเขาแถวนั้นแหละ ตั้งตนเป็นหมอหลอกชาวบ้านอยู่แถวนั้นแหละ แต่ว่าไปเมืองนอกกลายเป็นหมอใหญ่ มีคนๆ หนึ่งอ้างตัวว่าเป็นนกซื้อ เป็นล่าม เป็นผู้โฆษณาล่วงหน้า ให้คนเชื่อคนฟัง คนมันก็เชื่อ ฟังแล้วมันก็เชื่อ เพราะไปในในรูปของผู้นุ่งห่มผ้ากาสายะ อันเป็นเครื่องแบบของนักบวชในพระพุทธศาสนา ใครห่มเครื่องแบบนี้คนก็ไหว้ ก็นึกว่าเป็นพระ ที่เมืองระยอง สมัยโน้นเขาทำถนนสายระยอง-จันทบุรีไปโน้น เอานักโทษไปทำ นักโทษ ๓ คนหนี พอดีแล้วก็ไปเข้าไปในวัดลักผ้าจีวรพระมาห่มเลย โกนหัว โกนหยาบๆ ไม่ค่อยเรียบร้อย ไม่ได้โกนคิ้ว เดินไป ๓ องค์ แหม่! ทำท่าสำรวม บ้านนั้นเขาทำบุญ มีพระเพียง ๒ องค์ พอเห็นพระ โอ้! บุญแท้ๆ มาอีก ๓ เลยนิมนต์ขึ้นมาฉันอาหาร พระพร้อมล่ะ นักโทษมานั่งฉัน ฉันจนอิ่มล่ะ กำลังฉันของหวาน ไอ้ผู้คุมมันติดตามมาเจอเข้าแล้ว กำลังฉันของหวาน ไปถึงก็จับดึงออกมาเลย ตีเลย ชาวบ้าน โอ้! อย่าตี ๆ เห็นแก่ผ้าเหลือง บอกไอ้นี่มันไม่ใช่พระ มันนักโทษหนีมา ปลอมตัว ลองดูสิคิ้วก็ยังไม่โกนเลย ลืมโกนคิ้วเว้ย โกนแต่หัว เลยก็นักโทษก็คว้าไว้ ให้ห่มผ้าจีวรเดินไป แล้วพบคนๆ ก็นั่งลงไหว้ พอนั่งก้มลงไหว้ ผู้คุมก็ตี เอาหวายหวดก้น พอนั่ง พอใครไหว้ หวด ใครไหว้ หวด เลยเดินพอเห็นคน เลยบอก อย่าไหว้ๆ ต้องตะโกนบอก อย่าไหว้ๆ ฉันจะถูกตี อ้าว! เพราะถ้าคนไหว้แล้วเฆี่ยนทุกที ลงโทษ จับได้ ก็นึกว่าเป็นพระเพราะนุ่งเหลืองห่มเหลืองเป็นอย่างนั้น ติดรูปแบบ คุณยายมีหลานชายอยากให้บวช ฉันอยากเห็นผ้าเหลือง มันยากอะไรกับผ้าเหลือง ไป (44.22 ฟังไม่ทัน) ซื้อมาสักผืนก็ได้ แล้วมาทำม่านไว้ให้คุณยายนอนดู นี่ผ้าเหลืองก็พอแล้วล่ะ คุณยายอยากเห็นผ้าเหลือง หลานก็เลยบวชให้คุณยายเห็นผ้าเหลือง แต่ความจริงน่ะ ท่านก็คิดถูกเหมือนกันแหละคุณยายไม่ได้เสียหาย คืออยากให้ลูกได้เข้าวัด ได้ศึกษาธรรมะ ได้อะไรอย่างนั้น แต่บางทีบวชก็ไมได้เรื่อง เพราะบวชเอาวัดใกล้บ้านไว้ บวชวัดใกล้บ้านนี่ ฉันจะได้ส่งปิ่นโต มันไม่ได้เรื่องอะไร ส่งปิ่นโตไม่ต้องส่งก็ได้ให้บิณฑบาตฉันก็ได้ แล้วก็ส่งปิ่นโต คนมาบวชวัดนี้ บางคนว่าอย่างนี้ ฉันอยู่ไกลจะมาส่งอาหารได้ยังไง บอกโยมไม่ต้องยุ่งอ่ะ บวชแล้วฉันเลี้ยงเอง ไม่ให้อดตายหรอก โยมเค้าเลี้ยงกันเอง ไม่ลำบากอะไร ไม่ต้องส่ง โดยมากเค้าลูกบวชที่ไหนก็ไปส่งปิ่นโตเช้าเพล พอลูกได้ฉันสบาย แต่ไม่ได้เรียนอะไร ไมได้ศึกษาอะไร บวช ๑๕ วัน สึกไปก็ไม่ได้อะไร คือได้บวชเท่านั้นเอง คุณยายก็ดีใจว่าได้เห็นผ้าเหลืองบนร่างกายของหลานแล้ว โยมคิดเท่านั้น ไม่ได้นึกไปว่าบวชเพื่อศึกษา บวชเพื่อปฏิบัติ เพื่อขัดเกลาจิตใจ เพื่อสร้างเสริมคุณธรรมให้เกิดขึ้นในใจเป็นพื้นฐาน ออกไปอยู่บ้านจะได้เป็นคนดี มีศีลธรรมประจำใจ ไม่ได้คิดไกลไปอย่างนั้น คิดว่าให้บวชก็แล้วกัน คือคิดแบบชาวบ้าน แต่บวชแล้วนี่มันเป็นเรื่องหน้าที่ของอาจารย์อุปัชฌาย์ที่จะต้องช่วย สั่งสอน อบรม บ่มนิสัย ทำให้ดีขึ้น ที่นี้บวชเข้ามาแล้วก็ต้องได้เล่าได้เรียน ได้อบรมบ่มนิสัย ๑๕ วัน ก็ไม่เป็นไร แต่ว่า ๗ วันนี่ไม่ไหว ไม่ทันได้รู้อะไรสึกแล้ว ๑๐ วันนี่ก็ยังแย่ อย่างน้อย ๒ อาทิตย์ พอได้บวชหน่อย แต่ให้ดีมันก็เดือนหนึ่ง
แบบว่าพอใช้ได้ ๒ เดือน ๓ เดือน มันก็ยิ่งดีไปมากไปหน่อย แต่ว่าอาชีพการงานมันมัดตัวคนสมัยนี้ ก็เลยเอา ๑๕ วัน เดือนหนึ่ง บางทีบอกขอบวชสัก ๗ วัน บอกเธออย่ามาบวชสิ ฉันไม่รับสึก อย่างน้อย ๑๕ วัน ไปบอกผู้จัดการบริษัทขอสัก ๑๕ วันจะไปบวช บวชแล้วมันดีขึ้นจะได้ทำงานให้บริษัทเจริญขึ้นหน่อย บอกให้เขาเข้าใจ คนเขาไม่รู้ ญี่ปุ่นไม่รู้ จีนก็ไม่รู้ ฝรั่งก็ไม่รู้ เราต้องไปพูดกับเขาให้เข้าใจ แล้วก็บวชให้มันได้เรื่องได้ราว จะได้ประโยชน์พอสมควร ทำอะไรมันต้องใช้ปัญญา มีเหตุมีผลในการกระทำ ไม่ได้ทำตามเขาว่าเสมอไป เพราะว่ามันไม่เกิดประโยชน์ขึ้นมา พิธีกรรมต่างๆ ที่เราทำกันอยู่นี้ ยิ่งสิ้นเปลืองมากขึ้น เช่น งานศพนี่สิ้นเปลืองมากเวลานี้ ในกรุงนี่ค่อยๆ เบาหน่อย แต่ชานกรุงล่ะก็ไปกันใหญ่ ต่างจังหวัดยิ่งไปกันใหญ่ ทำศพแล้วก็กินกันเป็นงานใหญ่ เลี้ยงกันเป็นงานใหญ่ เรื่องกินเรื่องเลี้ยงถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องสำคัญ เรื่องบุญเรื่องกุศลไม่ค่อยเท่าไหร่ คนมากินกัน สนุกกัน บางแห่งก็เปิดบ่อนเล่นการพนันกัน เก็บค่าต๋ง คุณพ่อคุณแม่ตายก็ได้ค่าต๋ง มันก็ขายศพพ่อแม่กินอย่างนั้นแหละ มันไม่ได้เรื่องอะไร พระสงฆ์องค์เจ้าท่านก็ไม่ประท้วงไม่ทักไม่อะไร นิมนต์ท่านก็เข้าไปฉัน รับเครื่องไทยทานกลับเข้ากุฏิ ไม่พูดกันบ้างไม่ชี้แจงเหตุผลกันบ้าง ใครจะมาทำศพก็บอกเค้าเสียบ้าง ทำวัดนี้ต้องอย่างนั้นๆ เราไม่ได้หากินทางเผาศพ แต่ต้องการแก้ความฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายในงานศพให้มันน้อยลง พูดให้เขาเข้าใจ ทำให้มันถูกต้อง อะไรก็จะดีขึ้น ส่วนเกินมันเยอะนะโยม ส่วนเกินทำบุญนี่ ส่วนเกินบวชนาค ส่วนเกินทำศพมีส่วนเกิน แต่งงานมีส่วนเกิน ส่วนเกินแหละทำให้เกิดปัญหา เกิดความทุกข์ เกิดความเดือดร้อน ตัดส่วนเกินออกไปเสียบ้าง เอาเท่าที่จำเป็น เมื่อวานมีคนมาแต่งงาน ๒ สองคู่ บอกว่านี่แต่งงานแล้วไปจดทะเบียนเสียก็เท่านั้นแหละ ไม่ต้องเลี้ยง ไม่ได้หรอกต้องเลี้ยงเพื่อนเลี้ยงฝูง มันไม่คุ้มในการเลี้ยงเพื่อน ให้ไม่คุ้ม แต่เขากินมากกว่าเขาให้ ช่วยกันคนละร้อยสองร้อยแต่กินมากกว่า ถ้ากินข้าวมันก็ไม่เปลืองเท่าใดแต่กินเหล้านี่มันเปลือง กินเหล้า แล้วก็ให้ของขวัญคู่แต่งงานกองไว้ เปิดออกมาแล้วก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร นิดๆ หน่อยๆ ไม่มากมาย ไม่จำเป็น ของขวัญเหล่านั้นมันรกเรือนรกบ้าน เอามามากๆ ไม่รู้จะวางตรงไหน แล้วมันจำเป็นอะไรที่ชายหนุ่มคนหนึ่งกับหญิงสาวคนหนึ่งจะแต่งงานกันแล้วต้องไปบอกให้ใครๆ รู้ว่า นายนั้นนางสาวนี้ได้แต่งงานกันแล้ว มันจำเป็นอะไร ไม่บอกมันไม่เกิดลูกเหรอ ไม่โฆษณามันออกลูกไม่ได้เหรอ มันไม่ได้มีความจำเป็นอะไร แก้ประเพณีเสียบ้างไอ้ที่มันฟุ่มเฟือยนี่ ตัดออกเสียบ้าง ทำเรียบๆ ง่ายๆ มาขอพรจากพระก็หมายความว่ามาให้พระสอน ให้รู้เรื่องว่าแต่งงานทำไม แต่งงานกันแล้วจะอยู่กันอย่างไร สามีควรประพฤติอย่างไร ภรรยาควรประพฤติอย่างไร นั่นแหละควรสอนให้ อัดเทปไปไว้ก็ไปเปิดฟังบ่อยๆ เท่านั้นพอแล้ว แค่ไปจดทะเบียนกัน ไม่ต้องไปเที่ยวโฆษณาประกาศให้ใครรู้ว่านายนั้นนางสาวนี้ได้แต่งงานกันแล้ว มันไม่ได้จำเป็นอะไร แต่ว่าสังคมมันเป็นอย่างนั้น สังคมนี่ใครสร้าง ก็คนนั่นแหละสร้างสังคม ช่วยกันสร้างขึ้น แล้วมันบานปลายออกไป สมัยก่อนมันไม่บานเท่าใด เพราะวัตถุมันน้อย เดี๋ยวนี้บานปลาย วัตถุมันมากพอหาซื้อกันได้เลยใช้กันมาก อะไรๆ ก็มากขึ้นๆ เพราะความเจริญทางวัตถุ สิ่งก่อสร้างมีมากขึ้น สมัยก่อนนี่คนตายแล้วเก็บกระดูกใส่ไว้ในเจดีย์น้อย คนที่เค้ามีสตางค์จริงๆ จึงจะสร้างได้เพราะวัตถุมันหายาก เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ใส่เจดีย์ทั้งนั้น ไปไว้รกวัด เต็ม ไปวัดบางวัดนี่เจดีย์อยู่เกือบครึ่งวัดเข้าไปแล้ว ที่วัดนี้ก็เคยให้ บอกเดี๋ยวนี้ปิดรายการแล้วไม่ให้แล้ว ถ้าขืนให้แล้วมันเต็มเดี๋ยวจะมาสร้างไว้ตรงนี้ เต็มประตู (หลวงพ่อหัวเราะ) เลยบอกว่าโยมอย่าเอามาสร้าง ถ้าโยมจะสร้างเจดีย์ให้ผีอยู่ไม่เอา สร้างกุฏิให้พระอยู่ดีกว่า เพราะกุฏิมันยังไม่พอ หลังเล็กๆ ไม่ต้องใหญ่อะไร ใช้เงินไม่มากเกินไป แล้วจะเอากระดูกเข้าไปใส่ไว้ในฝา เอาหินมาติดไว้สักแผ่นหนึ่ง เป็นอนุสรณ์ให้ลูกหลานได้มาดูบ้าง แต่บางรายก็ทำไว้แล้วไม่เคยได้มาดู ไม่เสียภาษีประจำปีเลย ภาษีประจำปีมันก็ต้องมานิมนต์พระบังสุกุลบ้าง (หลวงพ่อหัวเราะ) ไม่เชื่อ ไอ้เราจะรื้อเค้าไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นประโยชน์พระอยู่ แต่ถ้าเจดีย์นะ ถ้าไม่เสียภาษีฉันจะรื้อทิ้งเสียก็ได้ เพราะไม่ได้มาลูกหลานไม่มาดูแล เอาไว้ทำไมอย่างนี้ ไม่จำเป็นอะไร สมัยก่อนเจดีย์มันสำหรับบรรจุกระดูกคนที่มีเกียรติมีชื่อเสียง เดี๋ยวนี้คนขี้เมาก็ได้เจดีย์ พ่อค้าของเถื่อนก็ได้เจดีย์ คอรัปชั่นก็ได้เจดีย์ ตายแล้วใส่เจดีย์ เจดีย์คอรัปชั่น มันก็มีอย่างนั้น เพราะวัตถุมันซื้อได้ ไม่ลำบากยากเข็ญอะไร เลยค่อนข้างเป็นตามนั้น เป็นเรื่องน่าคิดที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อทำให้ดีขึ้น พูดมาก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งฝึกจิต กำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นเวลา ๕ นาที เอ้า! เชิญได้