แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศานาแล้ว ขอให้ทุกคนหาที่นั่ง แล้วก็นั่งอยู่กับที่อย่าไปไหน ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา ถ้าเราเดินไปเดินมา หูก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง เลยไม่รู้เรื่อง การมาวัดมีจุดหมายสำคัญอยู่ที่การมาศึกษาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจถูกต้อง จะได้ทำลายความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ความหลง ความงมงายประเภทต่างๆ ที่รับไว้โดยไม่รู้ ไม่เข้าใจ ซึ่งมีจำนวนมากมาย เกิดมาเราก็เห็นเขาทำอย่างนั้น เขาแสดงอย่างนั้น เราก็นึกว่านี่แหละคือพุทธศาสนา แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ มันเป็นเรื่องไสยศาสตร์เสียเป็นส่วนมาก เราก็ไปรับมาโดยไม่รู้ไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร แล้วก็ยึดถือหลงใหลด้วยความเข้าใจว่าสิ่งนั้นจะช่วยเราให้พ้นจากปัญหา คือความทุกข์ความเดือดร้อน แต่ความจริงสิ่งนั้นช่วยไม่ได้ เพราะสิ่งนั้นไม่มีอำนาจอะไร ไม่มีฤทธิ์มีเดชอะไร ที่จะทำให้ใครเป็นอะไร แต่ว่าเรารับเชื่อไว้ด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ เป็นความเชื่อประเภทปราศจากปัญญา ไม่ถูกหลักทางพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาสอนให้เรามีความเชื่อแต่ต้องมีปัญญากำกับด้วย ไม่ให้เชื่อด้วยความงมงาย แต่เชื่อเพราะคิดแล้วตรองแล้ว เข้าใจแล้วในเรื่องนั้นอย่างถูกต้อง แล้วก็ปฏิบัติดู ก็ได้ผลจากการปฏิบัติ คือได้ทดสอบด้วยตนเองแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าท้าให้มีการทดสอบ ดังที่เราสวดในพระพุทธคุณ ที่เราสวดว่า สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เอหิปัสสิโก ควรเรียกกันมาดูมาชม โอปะนะยิโก ควรน้อมเข้ามาใส่ตน ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญูชนผู้ปฏิบัติจะเห็นชัดด้วยตนเอง อันเป็นลักษณะสำคัญของพระธรรมในพระพุทธศาสนา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว คือตรัสถูกต้องเป็นหลักปฏิบัติอันควรแก่การนำไปปฏิบัติอย่างแท้จริง ผู้ใดนำไปปฏิบัติก็ย่อมจะประจักษ์ชัดเจนใจ ว่าผลของการปฏิบัตินั้นเป็นอย่างไร เรามีความสุขอย่างไรจากการปฏิบัตินั้น เห็นผลด้วยตัวของเราเอง แล้วพระธรรมนั้นเป็นสิ่งท้าให้เราพิสูจน์ คือให้เรามาดูมาศึกษา มาปฏิบัติด้วยตนเอง ที่เรียกว่า เอหิปัสสิโก เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาผู้ปฏิบัติพึงเห็นชัดด้วยตัวเอง เรียกว่าท้าให้มาดู ท้าให้มาทดสอบหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกบททุกตอนเป็นสิ่งที่ทนต่อการพิสูจน์ เราจะพิสูจน์ด้วยหลักอะไร เอาอะไรมาพิสูจน์ก็ได้ เช่น สมัยนี้เราเรียนกันมากมีศาสตร์ประเภทต่างๆ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ คณิตศาสตร์ ศาสตร์อะไรหลายอย่าง บรรดาศาสตร์เหล่านี้ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเอามาพิสูจน์หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ทั้งนั้น พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่กลัวต่อการพิสูจน์ ไม่กลัวต่อการทดสอบ ผู้ใดจะมาท้าเพื่อเอาไปพิสูจน์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพอพระทัย ไม่ทรงกลัว ไม่ทรงหวาดหวั่น ในการที่ใครจะเอามาพิสูจน์ด้วยตัวเอง เอามาศึกษาด้วยตัวเอง ยิ่งบุคคลผู้มีปัญญาในเรื่องใดก็ตามมารับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้าเอาไปพิสูจน์ก็เป็นที่พอพระทัย ของพระผู้มีพระภาค เพราะพระองค์ต้องการปัญญาชนให้มาเข้าใจ ให้มาศึกษา ให้นำไปปฏิบัติ ผู้ใดนำคำสอนไปพิสูจน์ ด้วยการปฏิบัติด้วยตนเอง พระองค์ก็จะพอพระทัยว่าคนนั้นจะเข้าถึงธรรมะ จะเห็นผลของธรรมะด้วยตัวของเขาเอง คำสอนนี้เป็นหลักสำคัญมาก เพราะเป็นคำสอนที่ให้อิสรภาพ เสรีภาพ แก่คนผู้ต้องการพิสูจน์ ผู้ต้องการจะทดสอบด้วยตนเอง ว่าให้ผลเป็นอย่างไร ใครจะมาทดสอบก็ดีใจ พระผู้มีพระภาคทรงพอพระทัยในการทดสอบนั้น เพราะผู้ทดสอบจะประจักษ์แก่ใจด้วยตนเอง ว่าธรรมะนี้ดีอย่างไร ให้ผลอย่างไร มีความสุขสงบอย่างไร มีความสะอาดสว่าง กาย จิตใจ อย่างไร เป็นเรื่องที่ผู้ทดสอบจะเห็นชัดด้วยตัวเขาเอง พระพุทธศาสนาจึงเป็นเหมือนทองแท่งทึบ เอาไปหล่อหลอมเท่าใดเท่าใดก็ยังคงเป็นทองอยู่นั้นเอง ไม่กลายเป็นตะกั่ว หรือไม่แปรเป็นสารอื่นตามอำนาจของการทดสอบ แต่จะคงเป็นของที่มั่นคงมีจุดยืนแน่วแน่ อยู่ในหลักการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนไว้
เพราะฉะนั้น พระธรรมจึงเป็นหลักสำคัญที่เราควรจะศึกษาทำความเข้าใจ ทุกครั้งที่เรามาวัดเราก็มาเพื่อศึกษาทำความเข้าใจในส่วนนี้ เพราะฉะนั้นการมาวัดเรื่องสำคัญจึงอยู่ที่เรื่องกการศึกษาธรรมะ เรื่องอื่นเป็นเรื่องปลีกย่อย ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ เป็นเรื่องประกอบเล็กๆน้อยๆ แต่ว่าเรื่องการศึกษาธรรมะนั้นแหละเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่เรามาวัด เราก็ต้องตั้งเป้าหมายไว้ว่าเรามาเพื่อการศึกษา เพื่อการทดสอบธรรมะของพระพุทธเจ้า ด้วยการนำไปปฏิบัติ ฝึกหัดกาย วาจา ใจ ของเราให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ชอบ แล้วผลจะเกิดขึ้นเป็นอย่างไร เราย่อมรู้ชัดเห็นชัดด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องเชื่อตามเขาบอก ไม่ต้องเชื่อตามตำรา แต่เชื่อประสบการณ์ของเราเอง ว่าเราได้เห็นสิ่งนั้นด้วยตัวเอง เหมือนกับอาหารบางอย่างที่เขาบอกว่าอร่อย รสชาติอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเราไม่ทดสอบด้วยการรับประทานเข้าไป เราจะรู้รสชาติอาหารนั้นได้อย่างไร แต่เมื่อเรารับประทานเข้าไปสักคำสองคำเราก็รู้ว่าอาหารนั้นเป็นอย่างไร แล้วต่อไปก็จะรู้ว่าให้ประโยชน์แก่ร่างกายอย่างไร เมื่อเราได้รับประทานอาหารนั้นแล้วสุขภาพทางกายเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร เราก็เห็นด้วยตัวเราเอง เหมือนเราจับถ่านไฟเราก็ร้อนเอง จับน้ำแข็งมันก็เย็นเอง จับของเปลื้อนมันก็เปลี้อนเอง เมื่อเราไปล้างมันก็สะอาดหมดจดเอง อันนี้มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ถ้าเราไปทดสอบเราก็จะรู้ชัดเห็นชัดในเรื่องนั้นตามสภาพที่เป็นจริงตลอดเวลา จึงเป็นหน้าที่ของเราผู้นับถือพระพุทธศาสนา จะต้องมาศึกษาทำความเข้าใจในหลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ศึกษาด้วยการฟังก็ได้ ศึกษาด้วยการอ่านจากหนังสือตำหรับตำราก็ได้ ศึกษาจากการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกับเพื่อนผู้ประพฤติธรรมด้วยกันก็ได้ล้วนเป็นเรื่องก่อให้เกิดปัญญา ให้เกิดความรู้ความเข้าใจถูกต้องทั้งนั้น เป็นเรื่องที่ควรกระทำโดยเฉพาะในวันอาทิตย์ เป็นวันที่เราว่างจากงานการทางกาย ก็ควรจะมาวัดมาทำงานทางใจ มาศึกษาธรรมะ มาปฏิบัติธรรมะ มามองดูตัวเราเอง เพื่อเห็นเองชัดเจน ให้รู้จักว่าตัวเราคืออะไร อะไรมันเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เราควรจะแก้ไขสิ่งนั้นอย่างไร โดยวิธีใด ถ้าเป็นเรื่องที่จะต้องใช้จิตที่สงบตามสมควร เพื่อศึกษาค้นคว้าในเรื่องเหล่านี้ ถ้าเราอยู่บ้านบางทีก็ทำไม่ได้ เพราะอารมณ์มันมาก อยู่บ้านมีเรื่องมาก มีความยึดถือในวัสดุสิ่งของต่างๆ ว่าเป็นของเรามากมาย จิตใจไม่ค่อยว่าง ไม่โปร่ง ไม่สงบ แต่ถ้าเราออกจากบ้านมามันก็เริ่มดีขึ้น จิตใจสบายขึ้น เพราะฉะนั้นคนบางคนจึงชอบไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะหน้าร้อน อยู่ที่บ้านนี้ร้อนเหลือเกินก็เลยไปเที่ยวที่นั้นที่นี่ เวลาไปเที่ยวนี้ใจมันโปร่งมันเบา เพราะไม่มีความยึดถือในสถานที่ ไม่ยึดถือในบุคคล ในทรัพย์สมบัติ มีแต่ตัวกับเงินเล็กๆน้อยๆ เพียงพอสำหรับการไปเที่ยวเท่านั้น ไปนั่งที่ไหนใจก็ไม่ได้ผูกใจไว้ที่นั่งของฉันรถของฉัน หรือสวนป่าของฉัน หรืออะไร อะไรว่าเป็นของฉันมันไม่มี มันไปนั่งด้วยใจว่าง ใจโปร่ง ใจสงบ ญาติโยมย่อมประสบด้วยตนเอง เวลาเราไปเที่ยวรู้สึกว่าสบายใจ เบาใจ โปร่งใจ ด้วยประการต่างๆ แต่พอกลับมาถึงบ้านไอ้ภาระเก่าๆทั้งหลายทั้งปวงมันก็มาลงกันมากลงไปที่ตัวเราอีก มาทับตัวเราให้จมแบนต่อไป แต่พอออกจากบ้านไปแล้วก็สบาย เพราะฉะนั้นคนโบราณเขาจึงตั้งหลักการไว้ว่า เจ็ดวันนี้เราก็ควรจะไปพักผ่อนเสียสักวันหนึ่งหรือสักสองสามชั่วโมง นั้นก็คือการไปสู่ศาสนสถาน ไม่ว่าเรานับถือศาสนาใด เราก็ไปสู่ศาสนสถานนั้นที่เราเคารพนับถือ ชาวพุทธเราก็มาวัด มานั่งพักผ่อนมาสนทนากับพระ มีปัญหาข้องใจ มีความทุกข์ความเดือดร้อนอะไรอยู่ในใจบ้าง เราก็มาพูดให้พระฟัง เป็นการปรึกษาหารือในเรื่องเกี่ยวกับปัญหาชีวิต พระท่านก็แนะแนวให้ ให้คิดอย่างไร ให้ทำใจอย่างไร ให้ปล่อย ให้วางอย่างไร ให้รู้ทันรู้เท่าต่อสิ่งนั้นว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร มันมีเนื้อแท้ที่เราเข้าไปเกาะไปจับหรือไม่ หรือมันเป็นแต่เพียงกระแสที่เกิดขึ้นไหลไปตามอำนาจของการปรุงแต่ง แล้วก็จะแตกดับสลายไปในที่สุด ท่านชี้ให้เราคิด ให้เราเข้าใจในเรื่องเหล่านั้น เมื่อเราคิดได้เข้าใจได้ เราก็เบาไป โล่งไป จิตใจมันก็สบาย เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่สนทนาธรรมทำให้จิตใจผ่องใส บาปไม่เกิด
ในขณะที่เราพูดธรรมะบาปไม่เกิด ในขณะที่เราฟังธรรมะบาปไม่เกิด ในขณะที่เราปฏิบัติธรรมอยู่ จิตมันก็เป็นสิ่งสะอาด สงบ สว่างขึ้น ในขณะนั้นเรียกตามภาษาชาวบ้านว่า เราเป็นตัวของเราเอง ไม่เป็นทาสของอะไร อะไร มีใจเป็นของตน ใจไม่ตกอยู่กับอำนาจของสิ่งนั้น สิ่งนี้ ซึ่งมีอยู่รอบๆตัวเรา แล้วเราเข้าไปจับไปฉวยไปยึดไปถือเอาสิ่งนั้นมาเป็นของตัวของตัว ของตน มันก็เกิดปัญหา เกิดความทุกข์ เกิดความเดือดร้อนใจ ถ้าเรามานั่งอยู่ที่วัด แต่ใจเรากลับไปบ้าน เป็นห่วงเป็นกังวล เรื่องนั้นเรื่องนี้ที่บ้าน เป็นห่วงว่าใส่กุญแจแล้วยัง เก็บของเหล่านั้นแล้วยัง หรืออะไรมันอยู่อย่างไรนั้น ฟุ้งซ่านไปอย่างนั้น มันก็ไม่ได้กฎตามที่ตั้งใจ เพราะว่าใจมันกลับไปบ้าน เรามาอยู่วัดก็ให้ใจอยู่ที่วัด แม้ใจมันจะไปคิดถึงบ้าน ก็ต้องสอบสวนทวนถามตัวเอง ว่าทำไมจึงคิดถึงบ้าน ทำไมจึงคิดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ สิ่งนั้นมันเป็นของเราจริงหรือ เรามีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เราได้มาเมื่อใด เพราะเหตุใด แล้วเมื่อเรามีเราได้มาแล้ว มันจะอยู่กับเราตลอดไปหรือไม่ เมื่อใดเราจะจากโลกนี้ไป เรานำสิ่งนั้นไปด้วยหรือไม่ นำเงินไปได้ไหม นำเช็คธนาคารไปได้ไหม หรือว่า …… (16.16 เสียงไม่ชัดเจน) ไปได้ไหม อะไร อะไรต่างๆที่เรายึดถือว่าเป็นของเรานั้นเราเอาไปได้หรือเปล่า ถ้าหากว่ายังลังเลสงสัย ก็ไปดูคนที่เขาไปไปกันแล้วเขานำอะไรไปบ้าง เศรษฐี เจ้าของธนาคารมีเงินแสนล้าน เอาไปได้หรือเปล่า เจ้าของห้างใหญ่ที่สุดในประเทศไทยคือห้างเซ็นทรัลเวลาตายขนห้างไปด้วยหรือเปล่า ใส่เข้าโลงไปด้วยหรือเปล่า ไปเปิดห้างใหม่ในปรโลกขายของอีกหรือเปล่า ถ้าเราพิจารณาด้วยปัญญาของเรา เราก็จะมองเห็นด้วยตัวของเราเองว่า มันไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง มันเป็นแต่เพียงสิ่งสำหรับอาศัยชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เพราะสิ่งที่สำหรับอาศัยนั้น เราจะไปยึดไปถือว่าเป็นตัวเราได้เมื่อไหร่ ว่าเป็นของเราได้เมื่อไหร่ ถ้าเราไปยึดถือเข้า สภาพจิตใจจะแป็นอย่างไร เหมือนกับท่านพุทธทาส ท่านบอกว่า ถ้าไปยึดเข้ามันก็กัดเราเท่านั้นเอง มันกัดหมายความว่าทำให้เราเป็นทุกข์ ทุกครั้งที่เราเป็นทุกข์เรียกว่าถูกกัด ถูกวัตถุต่างๆที่เราเข้าไปยึดไปถือไว้มันกัดเราเอง ทำให้เราเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น แล้วถ้าเราถูกมันกัดบ่อยๆ ร่างกายเราก็ยิ่งเป็นนแผลไปทั้งตัว และถ้าร่างกายเราเป็นแผลไปทั้งตัว เราจะมีความสุขได้อย่างไร เราจะมีความสะดวกสบายได้อย่างไรให้ลองพิจารณา ถ้าเราพิจารณาเห็นว่ามันไม่สบายหมากัดยังพอรักษาได้แมวข่วนก็พอรักษาได้ แต่ว่าอารมณ์กัด มันกัดบ่อยๆ กัดทุกข์ครั้งที่เรา …… (18.33 เสียงไม่ชัดเจน) โง่ ก็ถูกกัดทันที ทำให้เราเจ็บป่วยทันที ความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ ที่มันเกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น เกิดเพราะความโง่ ความเขลา โง่เพราะไม่รู้จักสิ่งนั้นถูกต้อง แล้วก็ไปจับไปฉวยเอามาเป็นตัวบ้าง เป็นของตัวบ้างแล้วเราก็ไปนั่งเป็นทุกข์เพราะสิ่งของเหล่านั้น อันนี้มันได้อะไรขึ้นมา มันได้ประโยชน์อะไรจากการที่เรานั่งเป็นทุกข์อย่างนั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแก่เรานอกจากความทุกข็เท่านั้นเอง แล้วเรานั่งเป็นทุกข์เราก็ยิ่งโง่หนักลงไป เราไม่มีหน้าที่ที่จะเกิดมาเป็นทุกข์ แต่เราเกิดมาเพื่อให้จิตใจสบาย ให้มีความสุข ความสงบ ทั้งกาย ทั้งใจ แล้วเรามานั่งเป็นทุกข์ด้วยเรื่องนั้น ด้วยเรื่องนี้ ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นสาระไม่เป็นแก่นสารอะไร จะเรียกว่าเราฉลาดได้อย่างไรเราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เรามีของดีแต่เราไม่ค่อยจะได้ใช้ ไม่หยิบของดีของพระพุทธเจ้ามาใช้ ไม่คิดตามแบบที่พระพุทธเจ้าสอนให้คิด แต่เราไปคิดตามแบบที่คนโง่สอนให้เราคิด เราจึงติด จึงหลง จึงมัวเมา อยู่ในสังคมนั้นด้วยประการต่างๆ แล้วก็มีแต่ความกลุ้มอกกลุ้มใจ สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นแก่ตนด้วยวิธีการหลายอย่าง หลายประการ อันนี้ก็เป็นปัญหา ทำให้เกิดความวุ่นวายใจ
เมื่อวานซืนนี้ มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งมาที่วัด มีหมามาด้วยสองตัว หมาที่มีขนขาวปุกปุย ตัวหนึ่งใหญ่ ตัวหนึ่งเล็ก ตัวเล็กชื่อว่าสำลี ตัวใหญ่ชื่อฝ้าย ฝ้ายกับสำลีมันก็อันเดียวกัน แต่ชื่อมันต่างกัน แล้วก็บอกว่าหมาสองตัวนี้ป็นหมาเรียบร้อย มันเชื่อฟังคำสั่ง คำบอกเล่าทุกประการ แล้วบอกว่าตัวใหญ่ชอบกินผลไม้ อาตมาเลยบอกว่า มันคงเป็นสมาชิกพรรคพลังธรรม เพราะมันชอบกินผักผลไม้ เอามะม่วงให้มันกิน มะม่วงในจานเต็มจาน ก็ตักให้มันกินชิ้นหนึ่ง มันกินหมด กินหลายชิ้น ตัวเล็กไม่กิน มันอยู่คนละพรรค แต่มันก็ไม่กัดกัน เดี๋ยวนี้พรรคการเมืองหลายพรรคมารวมกันเปนรัฐบาล คอยกินคอยแทะกันอยู่ตลอดเวลา คอยพูดให้เกิดแตกแยกแตกร้าว ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เพราะว่านักการเมืองไม่ค่อยมีธรรมะ ไม่ประพฤติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เล่นการเมืองเพื่อตัวเพื่อพรรค ไม่เล่นการเมืองเพื่อชาติ เพื่อประเทศ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่เราเล่นการเมืองเพื่อประเทศชาติเราไม่มีตัว ไม่มีเรื่องส่วนตัว ไม่คิดอะไรเพื่อตัว ไม่พูดอะไรเพื่อตัว ไม่ทำอะไรเพื่อตัว เราก็สามารถจะเข้ากันได้ จะกี่พรรคก็ตาม ถ้าว่าทุกพรรคมีธรรมะเป็นหลักครองใจ ถ้ารวมกันเข้าก็เรียกว่า ธรรมะหลายฝ่ายมารวมกัน มันก็ ็เป็นธรรม แค่ปกครองเมืองโดยธรรม พูดจาโดยธรรม คิดโดยธรรมะ อยากจะให้สัมภาษณ์ใครก็พูดเป็นธรรมะ ไม่พูดเรื่องที่จะให้เกิดความแตกแยก แตกร้าว สังคมก็จะเรียบร้อย แต่ว่าเรายังหานักการเมืองอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าการสอนธรรมะยังไม่แพร่หลาย ยังไม่ได้เอาจริงเอาจัง แม้ในกระทรวงศึกษาธิการซึ่งมีหน้าที่อบรมคน สอนคนให้เป็นคนดีของชาติของบ้านเมือง ก็ยังทำไม่เรียบร้อย เพราะคนที่ทำงานยังไม่มีธรรมะเพียงพอ ยังไม่รู้ซึ้งในเรื่องธรรมะ แล้วไม่เอาธรรมะไปใช้ แต่เอากิเลสไปใช้ คนเราถ้าใช้กิเลสแล้วมันยุ่ง ถ้าใช้ธรรมะแล้วก็ไม่ยุ่ง
เรื่องบุคคล เรื่องสังคม เรื่องครอบครัว เรื่องประเทศชาติ เรื่องของโลก ที่มันยุ่งๆกันอยู่ทุกวันนี้ มันยุ่งเพราะคนไม่มีธรรมะทั้งนั้นประเทศเขมรยุ่งเพราะคนเขมรไม่มีธรรมะ พระเขมรไม่ค่อยสอนธรรมะแก่ประชาชน สอนแต่ไสยศาสตร์ ทำยันต์บ้าง สักไปทั้งเนื้อทั้งตัว สักจนกระทั่งบนหัว สักทำอะไร อันนี้เขาเรียกเพี้ยนจนโง่ ...... (24.15 เสียงไม่ชัดเจน) ร่างกายภายนอกมันโง่ ภายในมันก็โง่ เลยพูดกันไม่รู้เรื่องต่างคนต่างมีทิฐิ มีมานะ ไม่ยอมใคร โดยไม่คิดว่าชาติจะเป็นอย่างไร ประเทศจะเป็นอย่างไร พลเมืองเขมรจะเป็นอย่างไรเขาไม่คิด คิดแต่เรื่องของตัวเท่านั้นเอง ความเห็นแก่ตัวมันล้นบ้านล้นเมือง จนทำให้บ้านเมืองพินาศเสียหาย เกิดปัญหา ในแถวยุโรปตะวันออกก็เหมือนกัน ประเทศเล็กๆน้อยๆมีคนหลายเผ่า สมัยก่อนรวมกันอยู่ด้วยความสุขความสงบ แต่พอเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นก็เลยต้องการจะแย่ง แม้ชาติเล็กๆ พลเมืองไม่เท่าไหร่ก็ต้องการอิสรภาพ ไม่รู้ว่าอิสรภาพคืออะไร เขาไม่เข้าใจว่าอิสรภาพที่แท้มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ใจที่ไม่เป็นทาสของอะไร อะไร แล้วการรบกันนั้นมันจะได้อิสรภาพอย่างไร เป็นการกระทำเพื่อความเป็นทาส ไม่ได้กระทำเพื่อความเป็นไท แม้เขาขนอาหารไปเลี้ยงก็ยิงขบวนอาหาร ทำลายอาหาร ทำลายเรือบิน ทำลายรถที่ไปช่วย อย่างงี้มันก็บ้าเต็มทีแล้ว ไม่มีศาสนาแล้ว ไม่มีจริยธรรมอยู่ในใจแล้ว แต่ว่าคนพวกนั้นก็ยังสำคัญตนว่าเป็นผู้นับถือศาสนา นับถือแต่เพียงเปลือกของศาสนา ไม่เข้าถึงเนื้อแท้ของศาสนา คือไม่เข้าถึงธรรมะของศาสนา เรานับถือศาสนาอะไรก็ตาม ถ้าเราติดแต่เพียงเปลือก เราก็จะไม่เข้าถึงเนื้อ เหมือนเราได้ทุเรียนมาผลหนึ่ง แล้วเราก็ติดเปลือกทุเรียนไม่อยากจะปลอก นั่งดูเล่น ดูหนามทุเรียน ดูเปลือกทุเรียน แล้วก็ดมกลิ่นทุเรียนจากเปลือกมัน แล้วจะได้กินทุเรียนอย่างไร ทุเรียนนั้นจะเป็นประโยชน์ให้โปรตีน วิตามินแก่ร่างกายได้อย่างไร มันไม่ได้อะไร เพราะมัวไปกอดผลทุเรียนอยู่ กอดแรงๆมันก็ตำอกตำแขน เลือดก็ไหลถลอกปอกเปิกไปเท่านั้นเอง นี่เรียกว่าถือไว้ด้วยความโง่ เราถือศาสนาด้วยโง่นิ ขออภัยเถอะมีจำนวนไม่ใช่น้อย ถือศาสนาด้วยความโง่คือ ไปยึดเอาพระศาสนาไว้ ไม่ได้ยึดธรรมะแต่ว่าเอาเปลือกของศาสนา ติดเรื่องของศาสนา ติดพระพุทธรูป ติดหลวงพ่อ ติดวัดติดวา ติดอาจารย์นั้นติดอาจารย์นี่ แต่ไม่เข้าถึงธรรมะของหลักศาสนา มันก็ยุ่งไง แม้ตัวธรรมะ พระพุทธเจ้าก็ยังสอนว่าไม่ให้ยึดติดเลย ไม่ให้ติดธรรมะ แต่ให้ใช้ธรรมะเหมือนกับแพข้ามฟาก แล้วก็สูตรหนึ่งท่านเปรียบไว้ดี เปรียบว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงใช้ธรรมะเหมือนแพสำหรับข้ามฝั่ง แพน่ะเขามีไว้สำหรับข้ามฝั่ง จอดไว้ฝั่งนี้ให้คนลงแพ แล้วก็ถ่อแพไปฝั่งนู้น เมื่อไปถึงฝั่งนู้นแล้วก็ต้องขึ้นจากแพ วิ่งไปต่อไป ทีนี้เราไปเห็นแพแล้วเราลงไปในแพ พอลงไปในแพแล้วก็เลยติดแพ เพราะว่าแพมันใหญ่ ไม้มันสวย ไม้ถ่อมมันก็ยาว แล้วคนอื่นก็ลงแพเหมือนกัน เลยมาเถียงกันอยู่ที่ข้างตลิ่งว่า เอ้ย ไอ้แพของแกมันเล็กกว่าของฉัน ไม้ไผ่ของแกมันก็ลำน้อย ไม้ของฉันมันลำใหญ่กว่า ไม้ถ่อฉันมันก็แข็งแรงยาวกว่า เถียงกันไปเถียงกันมาแล้วเอาไม้ถ่อทุบหัวกัน เลือดไหลไปตามๆกัน แล้วคนนั้นจะเอาแพข้ามฟากได้อย่างไร มันไม่มีทางที่จะข้ามได้ เพราะไปติดแพ แล้วก็ไปเถียงกันอยู่เรื่องแพ อันนี้มันไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าบอกว่า เมื่อเธอลงไปถึงแพแล้วอย่าไปติดแพ จงจับไม้ถ่อค้ำไป ค้ำให้เรือออกจากตลิ่ง แล้วก็รีบค้ำๆๆไปจนกระทั่งถึงฝั่งนู้น เมื่อถึงฝั่งนู้นแล้วเธอก็อย่าไปเสียดายแพ อย่าไปหลงแพที่ได้ข้ามมา จงกระโดดขึ้นจากแพ ขึ้นไปบนฝั่งแล้วก็วิ่งไปไกลจากข้าศึกศัตรู อย่างงี้มันก็ปลอกภัยไงโยม แต่ว่าส่วนมากเรามันติดแพกัน แล้วก็ติดไม้ถ่อบ้าง เลยมาเถียงกัน อาจารย์ท่านเป็นอย่างงั้น อาจารย์ฉันเป็นอย่างนี้ วัดนั้นเป็นอย่างนั้น วัดนี้เป็นอย่างนี้ เถียงกัน ทะเลาะกัน ตีกัน แตกแยกกัน แล้วมันไม่ได้อะไรขึ้นมา เราทำอย่างนั้นมันไม่ได้อะไร ไม่ใช้หน้าที่ของพุทธบริษัทที่จะไปนั่งเถียงกันด้วยปัญหาที่ไม่เข้าเรื่อง พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อย่าพูดเรื่องอันจะต้องพูดเถียงกัน อย่าพูดเรื่องอันจะต้องเถียงกัน เพราะว่าเถียงกันแล้วก็ต้องพูดมาก เมื่อพูดมากจิตมันก็ฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา แล้วก็เกิดเรื่องระหองระแหงกันด้วยประการต่างๆ วัดนี้แตกวัดโน้น วัดโน้นแตกวัดนั้น นิกายนี้แตกกับนิกายโน้น อะไรให้วุ่นวายกันด้วยประการต่างๆ นี้คือความบ้าทั้งนั้น ได้เรื่องอะไร มีคนมาที่วัดนี้ถามหลวงพ่อบ่อยๆ ว่าท่านนิกายอะไร อาตมาจึงบอกว่าวัดนี้ไม่มีนิกายอะไร ไม่มีคำว่านิกายอะไร เพราะว่านิกายนั้นเป็นเรื่องของกิเลส ไม่ใช่เรื่องของธรรมะ ที่วัดนี้ไม่มีนิกายให้ยึดถือ วัดนี้ถือแต่เพียงว่าเป็นวัดของพระพุทธศาสนาเท่านั้นไม่มีนิกายอะไร และไม่ได้มองว่าวัดนั้นเป็นนิกายนั้น วัดนี้เป็นนิกายนี้ ก็มองว่าเป็นพระเท่านั้น แต่ไม่ได้สนใจว่าจะเป็นพระวัดใด นิกายอะไร ไม่ได้สนใจอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าเคยคุยกับพราหมณ์คนหนึ่งว่า เมื่อมาเจอกันอย่าไปถามเรื่องชาติ อย่าไปถามเรื่องวรรณะ อย่าไปถามเรื่องภูติ อย่าไปถามเรื่องตระกูล แต่ให้ถามว่าท่านไปประพฤติธรรมอะไร ท่านอยู่กับธรรมอะไร ปกติในชีวิตประจำวันนั้นอยู่กับธรรมอะไร ท่านให้ถามอย่างนั้น ให้ถามเรื่องธรรมะ อย่าไปถามว่าชาติอะไร ศาสนาอะไร ภูติอะไร ตระกูลอะไร ถามให้มันแตกแยก ให้มันยุ่งเท่านั้นเอง สมมุติว่าคนหนึ่งไปวัดธรรมยุติ แล้วมาถามหลวงพ่อ ถ้าหลวงพ่อบอกว่ามหานิกาย ใจมันก็เริ่มไม่สบายแล้ว ไม่เหมือนพวกเรา ถ้าหากพวกมหานิกายไปถามพวกเป็นธรรมยุติ ใจมันก็ห่างออกมาแล้ว มันสร้างกำแพงน้อยๆขึ้นกั้นไว้ระหว่างคนสองคน ไม่ให้เข้าไปชิดกัน แต่มีกำแพงนิกาย กำแพงนั้น กำแพงนี้ เข้ามากั้นไว้ พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่าสร้างกำแพง จะเป็นกำแพงผ้า กำแพงอิฐ กำแพงไม้ กำแพงเหล็กอะไรมันใช้ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าเราไปสร้างมันแล้วมันเป็นเครื่องกั้นไม่ให้คนเข้าถึงกัน เราก็ควรจะมองกันแต่ว่า เป็นคนเหมือนกัน ร่วมทุกข์กัน ร่วมสุขกัน ปรารถนาความดีความเจริญเท่ากัน เกลียดชังความชั่วร้ายเหมือนกัน แล้วเราก็ควรจะยิ้มกัน โดยไม่ต้องรู้จักว่าชาติอะไร ภาษาอะไร ศาสนาอะไรก็ได้ แต่เราดูว่าเขาประพฤติธรรมอะไร เป็นคนเจริญด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยศีล ด้วยธรรมอะไร เรามองอย่างนั้น ถ้ามองอย่างนั้นแล้วมันไม่เกิดปัญหา ไม่เกิดความแตกแยกแตกร้าว เพราะเรามองด้วยปัญญาด้วยความรู้ความเข้าใจ เดี๋ยวนี้คนนับถือศาสนาปรับเอาศาสนาเป็นไม่ตะบอง เป็นอาวุธ แล้วเอาไปรบกัน ฆ่ากัน ดังเป็นข่าวปรากฏในโทรทัศน์อยู่ทุกวันทุกเวลา เรื่องศาสนาทั้งนั้น ที่รบกันไม่ใช่เรื่องอะไร เรื่องเชื้อชาติ เรื่องศาสนา เรื่องผิว เรื่อง …… (39.09 เสียงไม่ชัดเจน) ประเทศแอฟริกากับแอฟริกาใต้ อันนี้รบกันเรื่องผิว เพราะคนฝรั่งเข้าไปอยู่มาก แล้วไปสร้างความเจริญให้แก่บ้านนั้น แต่ฝรั่งมันก็ไม่ดีเหมือนกัน เพราะมันเกลียดพวกผิวดำ กีดกันพวกผิวดำด้วยวิธีการต่างๆ วิชาการต่างๆพวกผิวดำเรียนไม่ได้ เช่น เป็นหมอไม่ได้ เป็นนักปกครองก็ไม่ได้ เป็นทหารก็ไม่ได้ มันสร้างความแตกแยก พวกผิวดำมันก็เกิดความต่อสู้ในเรื่องนี้ ก็เลยแตกแยกกัน อันนี้มันไม่ถูก เราอย่าไปถือผิวของคน ถือว่าเป็นคนเหมือนกัน แต่อาจจะแตกต่างกันด้วยอะไรต่ออะไรตามหน้าที่ แต่สามารถจะเท่ากันได้ เอามาหล่อหลอมให้เท่ากันได้ด้วยความมีธรรมะเป็นหลักจิตใจ มันก็จะไม่แตกแยก แต่ไม่ได้คิดอย่างนั้น เพราะคนขาวที่ไปอยู่ที่นั้นก็ไปด้วยทิฐิมานะ ไปด้วยสำคัญตนว่าฉันเป็นคนเจริญ ไอ้พวกพื้นบ้านมันยังป่าเถื่อน ยังไม่มีความเจริญก้าวหน้า แล้วก็ไปอยู่กันคนละที่คนละพวก ไม่เข้ากัน อะไร อะไรก็แยกกันทั้งนั้น มันก็ยิ่งแตกกันไปใหญ่ เพราะเข้ากันไม่ได้ ในบ้านเมืองคนที่เข้ากันไม่ได้เพราะเรื่องอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงสอนไว้ว่า อย่าเอาตัวตนเข้าไปเป็นเครื่องกีดกั้นอะไร อะไร แต่ว่าเราทำลายตัวของเราเสีย หลอมตัวเราให้เข้ากับคนอื่นได้ ให้เหมือนกับน้ำที่มันเข้ากันได้ น้ำที่มันไหลไปจากแผ่นดิน เช่น เมืองไทยเรามีแม่น้ำเจ้าพระยา ท่าจีน แม่กลอง บางประกง แม่น้ำสายใหญ่ๆ มันไหลไปรวมลงในทะเลในอ่าวไทย เมื่อลงไปในทะเลแล้วเราจะไปตักแยกได้ไหม จะตักเอาเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำแม่น้ำเจ้าพระยาก็ไม่ได้ น้ำในแม่น้ำท่าจีนก็ไม่ได้ บางประกง แม่กลองก็ไม่ได้ เพราะมันปนกันสนิทแล้ว เป็นน้ำเค็มเหมือนกันอยู่ในมหาสมุทรเดียวกัน ก็อยู่กันได้ น้ำมันไม่เคยทะเลาะกัน น้ำเจ้าพระยาไม่ได้ทะเลาะกันท่าจีน แม่กลอง น้ำท่าจีนแม่กลองก็ไม่ทะเลาะกับแม่น้ำบางประกง แต่มันเข้าแล้วมันรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นประโยชน์แก่จะใช้ จะทำอะไรได้ฉันใด คนเราก็ควรจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่าแตกแยกแตกร้าว อย่าทำอะไรให้เกิดการแตกแยก อย่าพูดอะไรให้เกิดความแตกแยก อย่ายุยง เขาเรียกว่า อย่ายุแยงตะแคงรั่ว ให้มันเกิดความแตกต่างระหว่างชนชั้นให้เกิดปัญหา ให้ทะเลาะกัน แล้วก็ตนจะได้ประโยชน์อะไร อะไรที่มนุษย์ทำนี้ไม่มีอะไรหรอก ประโยชน์ทั้งนั้นแหละ เรื่องประโยชน์ทั้งนั้น ประโยชน์ตัวเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าว่าตัวจะได้ประโยชน์ก็ทำทุกอย่าง เพื่อให้คนอื่นแตกแยกแตกร้าวกัน ไม่ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตัวก็จะได้แซงทับไปหาประโยชน์ ฆ่าแกงกันก็เรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องอะไร ทำร้ายเจ้าหน้าที่ที่รักษากฎหมายก็เพื่อประโยชน์ของตัว ไม่ใช่เพื่ออะไร ประโยชน์ตัวในทางวัตถุเขามีความโลภมาก มีความอยากได้ แต่ไม่ได้คิดว่าคนเราควรจะมีสักเท่าไหร่ ควรจะได้สักเท่าไหร่ นักปราชญ์ชาวรัสเซียชื่อตอลสตอยได้เขียนเรื่องนิยายไว้เรื่องหนึ่ง เรื่องต้องการแผ่นดิน คนๆหนึ่งนั้นเป็นคนยากจนข้นแค้น ไม่มีที่ดินตอนตอลสตอล เขียนเรื่องนี้ ก็ด่าพวกนายทุน ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะว่าประเทศรัสเซียนั้นที่ดินเป็นของคนสามคนเท่านั้น
๑.ของพระเจ้าชาร์ลซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์ ๒.เป็นของนายทุนใหญ่ ๓.เป็นของวัด วัดคาทอลิกในรัสเซียเป็นเจ้าของที่ดินมากมาย แล้วก็นายทุนพวกเศรษฐีมีที่ดินมาก แล้วก็ของพระเจ้าชาร์ลมีที่ดินมากมาย ส่วนชาวบ้านอื่นนั้นไม่มีที่ดินเป็นของตัว ต้องไปเช่าเขาทำกันอยู่ทั้งนั้น เช่น เช่าที่ดินวัด วัดก็ต้องบังคับให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้ นายทุนก็บังคับอะไรต่างๆ จึงเกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ขึ้น เพื่อทำลายล้างสิ่งเหล่านี้ แต่ว่าตอลสตอยนั้นได้เกิดในสมัยที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ เป็นนักเขียนที่โด่งดังไปทั่วโลก แกก็เขียนว่าคนๆหนึ่งไม่มีแผ่นดินจะอยู่อาศัย เลยอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าอ้อนวอนทุกวัน ทุกวัน เพื่อขอที่ดินให้เป็นที่อยู่บ้าง พระผู้เป็นเจ้าได้เห็นไอ้นี้มันอ้อนวอนชักจะรำคาญ เลยก็นึกว่าไปช่วยมันหน่อย เลยลงมาบอกว่า แกจะเอาสักเท่าไหร่ที่ดิน เดินเอาก็แล้วกัน เดินไปจบตรงไหนก็เป็นที่ของแก แกก็เดินวันหนึ่งยังไม่พอ สองวันยังไม่พอ สามวัน สี่วัน ห้าวัน เดินเลื่อย เดินเอาเป็นของตัว เดินเอามากๆไอ้แบบที่สเปนที่มายึดเอาฟิลิปปินส์ เวลาที่มันจะทิ้งเกาะฟิลิปปินส์ให้อเมริกาเนี้ย มันให้พวกฟิลิปปินส์ที่มาอยู่มาอยู่แล้ว บอกว่า วิ่งเอาเถอะเอาเท่าไหร่ก็วิ่งเอา ขี่ม้าเอาก็แล้วกัน ขี่ม้าวิ่งเอาไป จะไปปักไม้เป็นเครื่องหมายว่าเป็นของตัว ที่ดินเป็นของตัว เพราะฉะนั้นในเมืองมะลิกาของฟิลิปปินส์ที่ดินเป็นของคนสองสามคนเท่านั้นเอง สองสามตระกูลเท่านั้นเองเป็นเจ้าของที่ดินเพราะว่า รัฐบาลสเปนเวลาจะออกก็ทิ้งทวนให้คนเชื้อสายสเปนขี่ม้าวิ่งเอา วิ่งไปทิศเหนือปักไว้ ไปทิศใต้ปักไว้ มันปักเอาทั่วกรุงมะลิลา กลายเป็นที่ดินสองสามตระกูลเท่านั้นเอง คนอื่นไม่มีสิทธิเลย ต้องซอยเขาอยู่ซอยเขาอาศัย เป็นที่ดินของอย่างนั้นทั้งนั้น พระผู้เป็นเจ้าแกก็บอกเธอวิ่งเอาก็แล้วกัน เดินเอาก็แล้วกัน เดินไป เดินไป เดินไป เดินไปเจ็ดวันก็ยังไม่พอ ยังไม่อิ่มไม่พอในเรื่องจะมีจะได้ เดินต่อไป เดินไป เดินไปจนล้มเลยล้มตาย แล้วได้อะไรเล่า ได้ที่ฝังศพเท่านั้นเอง ไม่ได้อะไรมากไปกว่านั้น นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราจะโลภมาก อยากได้สักเท่าใด มันก็เอาไปไม่ได้ อย่างมากถ้าเป็นการฝังก็ได้ที่ฝังเท่านั้นเอง ไม่ได้มากมายอะไร ได้ที่ฝังศพนิดเดียว แต่ถ้าเราเผาก็ได้ที่ฝังขี้เถ้านิดเดียวเท่านั้นเอง เอาขี้เถ้าไปฝังนิดเดียว เดี๋ยวนี้ในประเทศยุโรปเขาไม่ค่อยฝังศพแล้ว (42.25 หลวงพ่อแก้ไขแล้วเปลี่ยนจากไม่ค่อยเผา) เพราะไม่มีที่ฝัง ฝังจนเต็มทุกป่าช้าแล้ว ไม่มีที่แล้ว ครอบครัวหนึ่งเขามีที่อยู่สักนิดหน่อย ก็เลยต้องเอาศพไปเผา เขามีสถานที่เผาสี่มุมเมือง คนไปเผาป่าช้าไหนก็ได้ เผาแล้วก็เอาขี้เถ้าไปฝังมันไม่กินเนื้อที่เท่าไหร่ แล้วเอาไปฝังซ้อนกันก็ได้ ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน อย่างนี้มันก็ได้ดีเหมือนกัน แต่ว่าก็ยังรกอยู่นั้นเอง ยังรกที่อยู่นั้นเอง สู้อินเดียไม่ได้ อินเดียเผาแล้วก็โกยทิ้งน้ำไปเลย ไม่ต้องอาลัยอาวอน ทิ้งลงแม่น้ำ ทิ้งหมดลงแม่น้ำคงคาไป คนไทยเราสมัยนี้บางคนก็มีหัวดี เผาเสร็จแล้วก็เอาไปนู้นอ่าวไทย ไปสีราชา จ้างเรือหางสักลำ วิ่งออกไปกลางทะเลแล้วก็โรยลงไปในทะเลเลย เอ้อไอ้นั้นดี ทิ้งเท่าไหร่ก็ไม่เต็มมหาสมุทรยังว่างๆ ไอ้เนี้ยเอามาก่อเจดีย์ เอามารกวัดนี้ไม่ไหว ต่อไปต่อมาก็อยู่กันแต่ผี เจดีย์เต็มไปหมด วัดนี้ไม่อนุญาตแล้ว โยมจะมาขอสร้างที่บอกว่าสร้างเจดีย์ก็อยู่แต่กระดูกเท่านั้นเอง มีเงินสร้างกุฏิเล็กๆให้พระอยู่สักหลังได้ไหม นี้เอากระดูกมาใส่ไว้ใน???(นาทีที่๔๔.๐๙น.-๔๔.๑๐น.เสียงหลวงพ่อฟังไม่ชัด)และก็ทำกุฏิให้พระได้อยู่ได้อาศัย ดีกว่ามาสร้างเจดีย์ให้กระดูกอยู่ แต่ว่าเผลอไปหลายราย สร้างไว้แล้วก็ต้องปล่อยไว้ ไม่รู้จะขุดเอาไปทิ้งไหนก็ต้องปล่อยไปก่อน แต่อันนี้โยมคนไหนตายก็เอามาสร้างกุฏิไว้ แต่ถ้าไม่สร้างกุฏิจะเอามาฝังตรงไหนก็ได้ ฝังลานนี้ก็ได้ ขุดหลุมลงไปสักครึ่งเมตรแล้วฝังไปเลย ปลูกหญ้าปลูกต้นไม้มันเป็นอย่างนั้นดีกว่า ไม่ยุ่งไม่ยากอะไร สิ่งที่ควรเก็บมันไม่ใช่กระดูก ไมใช่กระดูก แต่ว่าเก็บอะไรไว้ เก็บความดีของพ่อแม่ ปู่ ตา ย่า ยาย ไว้ พ่อแม่เราตาย บรรพบุรุษเราตาย เราก็เก็บความดีไว้ แต่ว่าความดีมันไม่เป็นรูปธรรม ขี้หลงขี้ลืม เขาก็มักจะมีอะไรเป็นเครื่องเตือนใจ
คนจีนสมัยโบราณก็ทำป้าย ป้ายชื่อ เขียนชื่อคนนั้น คนนี้ ในวังก็มีพระป้ายนะ มีวังหนึ่งเรียกว่าทำบุญพระป้าย ทำบุญพระป้ายก็คือทำบุญอุทิศให้แก่ พระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนๆ บรรพบุรุษก่อนๆที่ได้เขียนป้ายไว้ ทำตามแบบจีน แต่เรียกว่าพระป้าย ตามวัดจีนต่างๆมีห้องๆใหญ่ ห้องใหญ่อย่างนี้ทำเป็นชั้นๆไป เขียนป้ายเอาวางไว้ตรงปิดทอง ตระกูลนั้นชื่อนั้นชื่อนี้ แต่ไม่ได้วางเฉยๆนะ ต้องเสียเงินให้วัดด้วย ป้ายละหมื่นบ้าง ห้าหมื่นบ้าง เอาไว้ตั้งทุนให้วัดบำรุงศาสนามันก็ดีเหมือนกัน เราทำไว้เป็นอนุสรณ์ความดีนั้นแหละ เราเก็บไว้ได้เก็บไว้ในใจของเรา ไม่เปลืองเนื้อที่ ไม่รกเพราะอยู่ในใจของเรา เราถ่ายทอดความดีนั้นไว้ก็ได้ประโยชน์ ส่วนกระดูกนั้น ถ้าจะเก็บไว้ก็อย่าเอาไว้มาก สักชิ้นก็พอแล้วไม่ต้องมากมายอะไร
มีคนๆ หนึ่งแกเป็นคนบ้านนอกอยู่ …… (46.37 เสียงไม่ชัดเจน) แล้วพ่อแม่ตาย แกก็เผา เผาแล้วเอากระดูกคุณพ่อคุณแม่ห่อผ้าห้อยคอ ไปไหนก็ห้อยคอไปเรื่อย เข้ามากรุงเทพเที่ยวหางาน หาตามห้างตามร้านคนไทยคนจีนไม่ได้งานสักที ก็เที่ยวเดินกินน้ำประปาแก้หิวไปตามเรื่อง เลยเดินผ่านห้างฝรั่ง พอผ่านห้างฝรั่งก็เออ ขอทำห้างจีน ห้างไทยมานานแล้ว ต้องไปขอห้างฝรั่งหน่อย เลยเข้าไป เข้าไปจะทำยังไงล่ะ ไปถึงนั่งยองๆแบบไทยยกมือไหว้ กราบ กราบฝรั่ง กราบ ๓ ทีเลย ฝรั่งมอง มองด้วยอารมณ์ยิ้ม นึกขำว่ากูมาอยู่เมืองไทยหลายสิบปีแล้ว ไม่เคยมีใครมากราบกูแบบนี้เลย ฝรั่งชอบใจ เลยถามว่าธุระอะไร บอกว่ามาของาน จากนายบ้าง ฝรั่งชอบเพราะมาของาน แต่คนไม่ใช่น้อยเข้าไปถึงก็กราบ เสร็จแล้วก็ โอ้นายตั้งแต่เช้าไม่ได้อะไรตกท้องสักเม็ดเลย ขอสตางค์ไปซื้อข้าวหน่อย อย่างนี้คนไม่อยากให้ เขาไม่ค่อยให้ เพราะว่ามันแสดงอาการมากไปหน่อย แต่แกไม่เอา แกของาน ฝรั่งก็ถามว่ามีความรู้อะไรบ้าง ก็ผมเป็นคนบ้านนอก ไม่ค่อยได้เล่าได้เรียนอะไร อ่านออก เขียนได้ บวกเลขเป็นเท่านั้นเอง ความรู้อื่นมันก็ไม่มี ฝรั่งมอง เอ๊ะ! อะไรอยู่ที่คอ ปกติคนไทยเรามันห้อยพระ ห้อยพระก็เห็นเป็นพระ แต่นั้นมันมีห่อตุงๆแขวน ฝรั่งสงสัยว่าอะไร บอกว่านี้กระดูกของคุณพ่อคุณแม่ เอ้ากระดูกผี (48.26 หลวงพ่อพูดซ้ำว่ากระดูกผีเป็นสำเนียงฝรั่ง) เอากระดูกผีมาห้อยคอไว้ทำไม ไม่ใช่กระดูกผีครับนาย เป็นกระดูกคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่ตายแล้ว แล้วก็เอากระดูกมาห้อยคอไว้เพื่อกราบไหว้บูชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตสกิดใจ ไม่ให้กระทำความชั่วความเสียหายให้แก่วงศ์ตระกูล ฝรั่งฟังแล้วก็ โอ้ คนนี้มันใช้ได้ ใช้ได้ตรงใด ใช้ได้ตรงที่มีคุณธรรม ความกตัญญูกตเวที คนเราถ้ามีความกตัญญูกตเวทีนี้ เป็นผู้มีคุณธรรม เพราะถ้ามีคุณธรรมคือความกตัญญูแล้ว คุณธรรมอย่างอื่นมันจะเกิดตามมา มันจะดีต่อไป ฝรั่งก็เลยนึกในใจว่าต้องช่วยคนนี้ ก็เลยถามว่า ทำอะไรได้บ้าง บอกอะไรก็ได้ งานออกแรง เป็นกรรมกร เช็ดถู ปัดกวาด ทำได้ทั้งนั้นแหละ ฝรั่งก็รับไว้ให้ทำงานเป็นภารโรง ทำความสะอาด แต่คนมีพื้นฐานทางจิตใจ คือความกตัญญูกตเวที ระลึกอยู่ทุกวันว่าเราได้รับความสะดวกสบาย เพราะนายห้าง นายห้างช่วยให้เราได้มีงานทำ ได้มีเงินใช้ ได้มีที่อยู่อาศัย เราจะต้องตอบแทนนายห้างด้วยการทำงานให้ดีที่สุด แกก็เช็ดถูสะอาดสะอ้าน ในสำนักงานเอามือไปแตะไม่มีขี้ฝุ่นเลย ไม่ว่าไปแตะตรงไหน ฝรั่งก็ไปแตะไม่มีเลย เช็ดถูเรียบร้อย พอนายขับรถเข้ามา แกไปเปิดประตูรถ หิ้วกระเป๋าไปส่งนาย จะออกมาเช็ดรถสะอาด รถนายนี้แววตลอดเวลา ตั้งแต่ล้อถึงหลังคา สะอาด รถบางคันที่วิ่งไปกรุงเทพขี้ฝุ่นมากเต็มที เจ้าของมีแต่ใช้แต่ไม่เช็ดไม่ถูรถเลย ไม่กตัญญูต่อรถที่เราใช้ ไม่เช็ดไม่ถู แต่ว่านายคนนั้นแกเช็ดถูเรียบร้อย ทำความสะอาดดี ทีนี้ต่อมา แกก็เห็นพวกเสมียนไปพูดกับฝรั่ง ฟุดฟิดฟุดฟิดอยู่กับฝรั่ง แกก็ถามว่าพูดอะไร ภาษาอะไร เสมียนอ๋อ นี่แหละเขาเรียกภาษาอังกฤษ เพราะนายเป็นคนอังกฤษ เราก็พูดอังกฤษกับนาย พูดอังกฤษไอ้คนอย่างผมนี้จะเรียนภาษาอังกฤษได้ไหม เสมียนบอกว่าได้ เรียนได้ พวกเสมียนเอ็นดูแกทั้งนั้น เพราะใช้ง่าย เช่นว่า เสมียนคนใดอยากจะซื้ออะไร ก็โอ้ไปซื้อให้หน่อย แกก็วิ่งไปซื้อมาให้ ซื้อของมาให้ ใช้ง่าย ทุกอย่าง แกทำให้ ใครใช้อะไร แกทำทั้งนั้น เรียกว่าเป็นผู้พร้อมที่จะรับใช้คนอื่น ไอ้คนเราถ้ามันรับใช้คนอื่นแล้ว จะมีคนอื่นมาช่วยเรา คนที่ไม่รับใช้ใคร ไม่มีใครมาช่วยหรอก แกก็ช่วยเขา เขาบอกว่าไปซื้อหนังสือเล่มนี้มา พวกเราจะช่วยสอนให้ เวลาเที่ยงหยุดพักแกก็ขยันเรียน เสมียนสอนให้แกก็มานั่งท่องนั่งบ่น เวลาไหนว่างก็หยิบหนังสือมาอ่านมาเรียน เรียนอยู่สองสามปี ก็สามารถจะฟังฝรั่งได้ พูดจากับฝรั่งได้นิดๆหน่อยๆ ฝรั่งก็ได้เลื่อนชั้นให้มาถือกุญแจสำนักงาน แต่ว่าถือกุญแจเอง เปิดกุญแจรักษาของมีค่าในสำนักงาน จนกระทั่งกุญแจเซฟ ฝรั่งก็ให้แกถือไว้ เพราะเป็นคนมีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ไว้ใจของนาย แกรักษาทุกอย่างเรียบร้อย แล้วก็ก้าวหน้าไปโดยลำดับเจริญในงานที่ทำ สงครามโลกครั้งที่๒ ญี่ปุ่นเข้ายึดเมืองไทย ฝรั่งหนีหมด แกเป็นผู้รักษากุญแจ แกรักษาเรียบร้อย ไม่มีอะไรสูญหาย สินค้าที่มีอยู่ในสต๊อกในร้าน แกก็ขายลงบัญชีเรียบร้อย เงินเดือนที่เบิกเดือนละเท่าไหร่ ก็เบิกเฉพาะเท่านั้น ไม่ขึ้นไม่ลง เอาเท่านั้น เก็บฝากบัญชีไว้เรียบร้อย จนสงครามเสร็จ ฝรั่งกลับมา เมื่อฝรั่งกลับมา แกก็เข้าไปรายงานเรื่องต่างๆให้นายทราบ ว่าเรื่องเงิน เรื่องทอง เรื่องข้าว เรื่องของทุกอย่างเล่าให้ฟังหมด ฝรั่งชอบใจมาก เข้าไปกอด เหมือนนักฟุตบอลกอดคนที่เตะเข้าโกล์ เข้าไปกอดหอมขวาหอมซ้าย แล้วก็บอกว่าฉันจะพาคุณไปเที่ยวประเทศอังกฤษ เลยพาไปเมืองนอก ไปรู้จักห้างใหญ่ๆ แล้วก็ให้เป็นเอเย่นของที่ขายในประเทศไทย แกก็เจริญร่ำรวยขึ้นเป็นคนมีฐานะดีร่ำรวย เป็นนายห้างกับเขาด้วยเหมือนกัน คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ มันดีเพราะอะไร คนนี้ดีเพราะอะไร เพราะมีคุณธรรมคือความกตัญญูกตเวที
ความกตัญญูกตเวทีนี้เป็นเครื่องหมายของคนดี เราจะดูคนว่าดีไม่ดี อย่าเพิ่งไปดูอะไรอื่น แต่ดูว่าคนนี้ปฏิบัติตนต่อพ่อแม่ ปู่ ตา ย่า ยาย ครูบาอาจารย์ ขนาดไหน บูชาคุณงามความดีของบรรพบุรุษขนาดไหน แต่ถ้าเป็นคนไม่รู้จักเคารพพ่อแม่ใช้ไม่ได้ คุณยายที่เอาหมามา ๒ ตัวนั้น แกมีลูกอยู่ ๒ คน ชายคนหญิงคน อุส่าห์ส่งลูกไปเรียนถึงประเทศอังกฤษ แต่ลูกชายมมันไปเที่ยวนักศึกษา กลับมาก็ไม่ได้เรื่องอะไร งานการก็ไม่มีทำ มาขูดเงินแกใช้ทุกเดือน ลูกสาวเรียนจบทำงานได้ แต่ไม่เคารพแม่ เถียงแม่ไม่ขาดคำ ไม่ว่าแม่พูดอะไรก็ต้องเถียง หาว่าแม่เป็นคนล้าสมัย ไม่ทันสมัยอะไรต่างๆนาๆ ไม่ได้นึกว่าแม่ให้กำเนิดกูมาเลี้ยงกูมา ไปเรียนเมืองนอกด้วยเงินแม่ แม่อุส่าห์ขายของเก็บหอมรอมลิด ส่งเงินให้ลูกสาวไปเรียน แต่พอกลับมาถึงบ้านลูกสาวไม่นับถือแม่ ไม่เคารพแม่ แม่พูดอะไรไม่เชื่อไม่ฟังทั้งนั้น ดุแม่ว่าแม่ด้วยประการต่างๆ ไอ้ลูกสาวบ้านนี้อย่าเอามาเป็นลูกสะใภ้เป็นอันขาด หลานมันจะเสียหายเพราะพันธุ์มันไม่ดี อย่าไปเอามาเป็นลูกสะใภ้ ใช้ไม่ได้ ไอ้แบบนี้มันก็เยอะอยู่เหมือนกันนะโยมนะ มีคนมาเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ มีคนมาเล่าให้ฟังบ่อยๆว่าลูกแบนี้จะทำอย่างไร บอกว่าเอามาวัดมา เขาจะได้ฟังพระเทศน์ให้ฟังบ้าง มันจะได้เปลี่ยนนิสัย หรือว่าไปเมืองนอก ไม่ใช่เรื่องอะไรเห่อเมืองนอก เหมือนลูกคนหนึ่ง ได้ไปเรียนปริญญาโท กลับใช้แม่ตลอดวัน แม่เอาน้ำมาให้ลูกแก้ว แม่เปิดหน้าต่างด้านนั้นหน่อยลมมันจะได้เข้ามาหาลูก จะได้เย็นหน่อยแม่ก็เปิดให้ แม่(หัวค่ำ)เอายากันยุงมาจุดวางที่เท้าหน่อย ยุงมันกัดหน้าแข้งหนู แม่ก็ทำให้วันยันค่ำ เรียกแม่ใช้วันยันค่ำ จนแม่หลับคา เลยก็บอกว่า แหมลูก ตั้งแต่กลับมาจากเมืองนอกเปลี่ยนไปเยอะ เปลี่ยนยังไงแม่ ดุแม่ เปลี่ยนยังไง ก็เปลี่ยนไปใช้แม่เหมือนคนใช้ แม่ไม่มีความกตัญญูกตเวที มันหาว่าแม่ไม่กตัญญู เมื่อหนูไปเรียนเมืองนอกได้ปริญญาโท แม่ได้หน้าได้ตา แม่ต้องดูแลหนูให้ดีหน่อย นี้แม่ชักจะไม่รู้จักบุญคุณหนูแล้ว ดูมัน ไปเอายอดที่โคนมันไม่พูด แล้วต้นไม้ไม่มีโคนมันจะอยู่อย่างไร ไม่มีรากมันจะอยู่อย่างไร ไอ้ที่ไปเรียนก็ทุนแม่ ไม่ใช่ทุนลูกสาว แต่ก็มามันถือว่าแม่นี้ควรจะปฏิบัติมันให้ดี เพราะแม่พลอยได้หน้าได้ตา เฮ้อ ไอ้ลูกแบบนี้ก็มีด้วย มันเป็นอย่างนั้น เรียกว่าลูกมันกลับกันเสียแล้ว มันเอาปลายลงแล้ว ต้นไม้พลิกเอาปลายลงหมดแล้ว มันยุ่งคนสมัยใหม่มันล้น สมัยมันเรียกว่ามันเวอร์ มันเวอร์เกินไปมันใช้ไม่ได้ คนอย่างนี้มันใช้ไม่ได้ มันมีเหมือนกันไอ้แบบนี้ เดี๋ยวนี้มันมี ครูที่เชียงใหม่เป็นครู แม่เก็บหอมรอมลิดไว้ แล้วลูกชายมันจะสร้างบ้าน ให้หมด ให้เงินลูกไปสร้างบ้าน สร้างบ้านเสร็จแล้วมันไม่ให้แม่ไปอยู่ด้วย มันว่าแม่อย่ามาอยู่บ้านนี้ของผม แม่ก็ต้องไปซอยโรงเรียนอยู่ แล้วมาเข้าค่ายที่วัด …… (59.00 เสียงไม่ชัดเจน) เล่าให้ฟัง บอกว่า โยมไม่ต้องเป็นทุกข์นะ ออกจากโรงเรียนวันไหนก็มาอยู่วัด …… (59.06 เสียงไม่ชัดเจน) มาอยู่เรือนอุบาสิกาที่วัด กินอยู่สบายไม่ต้องทำอะไร ช่วยเหลืออบรมเด็ก ช่วยเรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องที่อยู่ คอยดูแลเป็นครูมาก่อน ไม่ต้องเดือดร้อน ไอ้ลูกจัญไรคนนั้นอย่าไปหามัน ปล่อยมันรู้สึกตัวของมันเอา นี่มันเป็นอย่างนั้น ไม่ให้แม่อยู่สร้างบ้านแล้วไม่ให้แม่อยู่มันใช้ไม่ได้ เพื่อนคุณชวนนายกที่คุณชวนไปอาศัยบ้าน เขาไปสร้างบ้านใหม่ เขารักเพื่อน กันไว้ห้องหนึ่งสำหรับคุณชวนไปอยู่ แล้วบอกว่า ชวนเอ้ย เขาเป็นเพื่อนรักกัน ไปอยู่บ้านใหม่ที่สร้างไว้แล้ว ชวนบอกไม่ชอบ อยู่หลังนี้ก็ดีแล้ว ก็อยู่หลังนั้นซอยหมอเหล็งต่อไป นั้นเพื่อนแท้ ไม่ใช่พี่ไม่ใช่น้อง ไม่ใช่ลูกใช่เต้า แต่ว่าสร้างบ้านคิดถึงเพื่อน เพราะว่าอยู่กันมาหลายปีแล้วห้องเล็กๆ อยากให้ไปอยู่ห้องใหญ่หน่อย แกก็ไม่ไป เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ห้องเล็กหลังนั้น แต่เจ้าบ้านย้ายแล้วไม่อยู่ แกก็ยังอยู่ซอยหมอเหล็ง เขาจะให้ย้ายไปอยู่บ้านพิษณุโลก ก็ยังอิดๆออดๆ ไม่อยากจะไป ยังพอใจบ้านหลังน้อยซอยหมอเหล็งเท่านั้นเอง คนเป็นอย่างนั้น เป็นคนมักน้อยสันโดษ ไม่อยากได้อะไร คนอย่างนี้เป็นนายกได้เพราะไม่เอา นายกอื่นมันไปกอบโกยกันไม่ใช่น้อยนะ เมืองไทยเสียประโยชน์ไปเยอะ คนนี้เขาไม่เอา แต่ว่าพวกฝ่ายค้านพยายามเกาแข้งเกาขา ให้ล้มอยู่ตลอดเวลา มันมีคนเกาอยู่ไม่กี่คน เล็บมันยาวหน่อย มันคอยดึงไป ดึงเสื้ออยู่ตลอดเวลา แต่คุณชวนแกไม่หวั่นไหว แกเฉยๆ ใจเย็น ยิ้มๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ถือ เขาบอกว่าฝนมันจะแล้งมันก็ไม่แล้ง มันตกทั่วประเทศ คนดีครองเมืองฝนฟ้ามันก็ตกเองไม่ต้องสงสัย แต่คนจัญไรครองเมืองฝนแล้งชิบหาย เป็นอย่างนั้น มีอยู่ฝนตกวันสุดสงกรานต์มันตกทุกทั่วทุกเมืองเลย ตกทั่วบ้านทั่วเมืองตกทุกแห่ง หลวงพ่อไปอยู่ภูเก็ตไปเทศน์คืนนั้นไม่ได้เทศน์ฝนตก น้ำเจิ่งไปทั้งวัด แต่ว่าโปรแกรมเปลี่ยนไปวันรุ่งขึ้น พอวันรุ่งขึ้นบอกว่าคืนนี้ฝนไม่ตก หลวงพ่อจะเทศน์ แล้วมันไม่ตกจริงๆ เรียบร้อย แสดงมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
- ปาถกฐาธรรม ประจำวันอาทิตย์ที่ ๑๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๖