แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านหาที่พัก นั่งให้สบาย ฟังให้ชัดเจนแล้วก็ตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ที่เราทั้งหลายได้ถือเป็นกิจประจำ คือต้องมาวัด มาเพื่อฟังธรรม เพื่อสำรวจตัวเอง เพื่อจะได้รู้จักตัวเองมากขึ้น และจะได้มีการแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่บกพร่องให้เป็นความสมบูรณ์เรียบร้อย เพื่อชีวิตจะได้มีความสงบตามสมควรแก่ฐานะ การมาวัดในวันพระก็ดี ในวันอาทิตย์ก็ดี เป็นการมาเพื่อศึกษา ปฏิบัติ ขัดเกลาจิตใจ ให้สะอาดปราศจากสิ่งเศร้าหมองใจ เพราะว่าสิ่งเศร้าหมองใจนั้น อาจจะเกิดขึ้นแก่เราได้ทุกเวลา คล้ายกับว่าในบ้านของเรา มันมีขี้ฝุ่นเข้ามาจับอยู่ตามพื้น ตามสถานที่ต่างๆ ทุกเวลานาที ถ้าเราไม่หมั่นเช็ดหมั่นกวาด สิ่งนั้นก็จะเพิ่มมากขึ้น แม้กวาดทุกวัน มันก็มีทุกวัน มีให้กวาดทุกวัน เวลากวาดพื้นหรือว่าเช็ดถู ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่งในที่พัก ทำให้นึกว่า เออ! มันมาจากไหน มากมายอย่างนี้ มาทุกวัน ๆ มีงานให้เรากวาดทุกวัน ให้เราเช็ดถูทุกวัน ก็ดีเหมือนกัน คือได้มีงานทำ ได้มีการปัดกวาดเช็ดถูอยู่เรื่อยไป ทำให้ได้ออกกำลังกาย ให้ได้เคลื่อนไหว ไม่ได้นั่งอยู่กับที่ ทำให้สุขภาพกายดีขึ้น แต่ว่าสุขภาพจิตจะดีขึ้นหรือไม่อยู่ที่ความคิดของเรา
ถ้าเราคิดเป็น สุขภาตจิตก็ดีขึ้น ถ้าคิดไม่เป็นสุขภาพจิตก็ “ตกต่ำ” ที่ตกต่ำนั้นเพราะคิดเบื่อหน่ายในสิ่งนั้น คือนึกว่า เออ! ไอ้เจ้าขี้ฝุ่นทั้งหลายทั้งปวงนี่มันมาจากไหน มากมายเสียจริงๆ ทำให้เราต้องปัดต้องกวาด ต้องเช็ดต้องถูอยู่ทุกวันทุกเวลา แล้วก็เบื่อหน่ายไม่อยากจะทำสิ่งนั้น เมื่อเราไม่อยากจะทำมันก็เพิ่มมากขึ้น ความสกปรกก็เพิ่มขึ้น เชื้อโรคก็เพิ่มขึ้น เราอาจจะหายใจเข้าไปก็ได้ อาจจะติดตามผิวกายแล้วก็มีเชื้อโรคเข้าไปในร่างกายของเราก็ได้ ทำให้สุขภาพกายไม่ดี และเมื่อกายไม่ดี ใจก็พลอยไม่ดีไปด้วย
เพราะฉะนั้น การทำการปัดกวาดเช็ดถูบ้านเรือนอันเป็นที่อยู่อาศัยนั้น เราต้องทำด้วยความพอใจ อย่าทำด้วยความทุกข์ ด้วยความเดือดร้อนใจ ให้นึกเสียว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของสิ่งทั้งหลายที่จะมีสิ่งอื่นเข้ามาปะปนอยู่ โลกเรานี้ มันไม่สะอาดดังที่เราคิด แต่ว่ามันมีสิ่งเศร้าหมองเข้ามากระทบอยู่ตลอดเวลา มีอะไรๆ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของโลก ลอยฟ่องมาในอากาศ แล้วก็มาจับอยู่ตามสถานที่ต่างๆ สมมติว่าเราไม่ได้กวาดสักวันเท่านั้น แล้วไปดูว่า โอ้! มันมีสิ่งสกปรกเกิดขึ้น แม้ในห้องน้ำอันเป็นที่ทำความสะอาดร่างกาย ถ้าว่าส่วนใดส่วนหนึ่งที่เราไม่ได้เช็ดไม่ได้ถู ก็จะเห็นว่ามีฝุ่นมาจับ เพิ่มความสกปรกขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าห้องน้ำก็ต้องเช็ดตรงนั้น กวาดตรงนี้ ทำความสะอาดให้แก่สถานที่ ครั้นทำความสะอาดให้แก่สถานที่แล้ว เราก็ทำความสะอาดแก่ร่างกายของเรา ทำความสะอาดแก่ร่างกายของเราแล้ว เราก็ต้อง “” ของเราด้วย
การทำความสะอาดกายก็จำเป็น ทำความสะอาดใจก็จำเป็นเหมือนกัน แต่ว่าจำเป็นทั้งสองอย่าง ถ้าทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็ไม่เรียบร้อย เช่น เราทำความสะอาดใจ แต่ว่าบริเวณที่เรานั่งเราพักมันสกปรก มีขี้ฝุ่นมีสิ่งโสโครกเต็มไปหมด ก็แสดงว่าผู้นั้นไม่ได้จัดการทำความสะอาดภายนอก เมื่อไม่ได้ทำความสะอาดภายนอก เขาก็เห็นว่าไม่สะอาด แล้วเขาคงไม่นึกว่าใจสะอาด เพราะถ้าใจสะอาด ภายนอกมันก็ต้องสะอาด แต่งตัวก็เรียบร้อย สถานที่อยู่อาศัยก็ต้องเรียบร้อยตามไป เพราะใจที่สะอาดอยู่ แต่ถ้าที่อยู่มันไม่เรียบร้อย สกปรกรกรุงรัง ด้วยขี้ฝุ่น ด้วยขยะมูลฝอย ทิ้งของเพ่นพ่านไม่ปัดไม่กวาด ก็แสดงว่าใจของบุคคลนั้นยังไม่สะอาดเท่าที่ควร คือยังเป็นคนมักง่าย ปล่อยอะไรไปตามเรื่องตามราว ไม่ได้จัดให้มันเป็นระเบียบเรียบร้อย แสดงว่าจิตใจยังไม่ดี เพราะฉะนั้น คนใจดี ใจสะอาด อยู่ที่ไหน สถานที่นั้นก็ต้องสะอาดด้วย บริเวณที่เขาอยู่อาศัยก็ต้องสะอาด มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะว่าเขาเป็นคนหมั่นเช็ดถูปัดกวาด ทำความสะอาดสถานที่นั้นๆ อยู่ตลอดเวลา มันเกื้อกูลแก่จิตใจด้วยเหมือนกัน
ในทางธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ก็ได้สั่งสอนภิกษุบริษัท ภิกษุณี รวมทั้งอุบาสก อุบาสิกา ให้รู้จักทำความสะอาดภายนอก สะอาดภายใน ที่อยู่ต้องสะอาด อาหารการกินก็ต้องสะอาด เครื่องนุ่งห่มที่เราเอามาใช้ก็ต้องสะอาดเรียบร้อย จึงต้องทำการหมั่นปัดกวาด ซักฟอก เช็ดถู ในสิ่งเหล่านั้น เพื่อให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย ดีงาม ผู้ที่ปฏิบัติธรรม ก็ต้องทำสิ่งเหล่านั้นด้วย ไม่ใช่ปฏิบัติธรรม แล้วก็ปล่อยตามเรื่องตามราว ที่อยู่ก็สกปรกรกรุงรัง ผ้าห่มก็ไม่ซักไม่ฟอก อะไรอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง คนบางคนไปเห็นเข้าก็อาจจะชอบเหมือนกัน ชอบว่า เออ! คนนี้ปล่อยตามเรื่องตามราว ไม่เอาใจใส่ เป็นความเลื่อมใสประเภทหนึ่ง เราเรียกว่า พวก “ลูขัปปมาณิกา” เลื่อมใสในความเศร้าหมอง ในความเป็นอยู่ง่ายๆ ของคนเหล่านั้น พระบางองค์ท่านเป็นอยู่อย่างนั้น คนก็มีคนเลื่อมใสเหมือนกัน เพราะว่าท่านเป็นอยู่แบบนั้น แล้วก็เป็นพระอรหันต์ด้วยเหมือนกัน คนก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา เพราะการนุ่งห่มด้วยเสื้อจีวรที่ไม่สะอาดเท่าใด การเย็บก็หยาบๆ ผ้าก็ปนกันไปหมด ผ้าเนื้อดีบ้าง เนื้อหยาบบ้าง เอามารวมๆ เย็บปะๆ กันเข้า ชาวบ้านเห็นก็มีความเลื่อมใส ว่าท่านไม่ได้สนใจสิ่งภายนอก สนใจแต่สิ่งภายใน ดึงความสนใจคนได้เหมือนกัน เรียกว่าเป็นพวก...ลูขัปปมาณิกา...เลื่อมใสในความเศร้าหมอง เราจึงเห็นพระบางรูปในปัจจุบันนี้ มีความเป็นอยู่เยี่ยงนั้น เศร้าหมอง รกรุงรัง
วันหนึ่งมีพระมาหาอาตมาองค์หนึ่ง จีวรก็สกปรก ปะแล้วปะอีก เลยถามว่า “คุณไม่มีจีวรจะใช้หรือ จึงใช้ผ้าแบบนี้” ท่านบอกว่า “มันก็มีเท่านี้ ใช้มานานแล้ว” บอกว่า “เออ ถ้าอย่างนั้น ผมจะเปลี่ยนให้เสียใหม่” เลยหาจีวรดีๆ ไปเปลี่ยนให้ บอก “เอาๆอันนั้นออก ไปอาบน้ำก่อน อาบน้ำแล้วเอาไอ้ชุดนี้ออกให้หมด ผมให้” เลยให้ห่มผ้าไวไป กลับไปวัดเดิมของตัว เดิมท่านมีอย่างใด ท่านก็ใช้อย่างนั้น ยังไม่มีคนให้ แต่ท่านก็ห่มไปตามเรื่อง เมื่อเจอคนที่ให้ เขาก็ยินดีเปลี่ยนเหมือนกัน เพราะว่ามันเก่าเต็มที ผุเต็มทีแล้ว ไอ้อย่างนั้นมันก็มี แต่บางองค์ก็ห่มจีวรเรียบร้อย สะอาด เย็บอย่างดี ใช้ผ้าอย่างดี อะไรนั่นก็มีเหมือนกัน อย่างนี้ก็มีคนเลื่อมใสไปในรูปนั้นด้วยเหมือนกัน ก็เป็นพวกที่ชอบความสะอาด ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย มันมีหลายแบบ หลายอย่าง ที่คนเข้ามาเลื่อมใสศรัทธาภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น นักบวชในประเทศอินเดียนี่ เราจึงเห็นว่ามีภาวะแบบแรกแปลกต่างๆ กัน ใครจะมีสภาพอย่างไร ก็ดึงคนมาให้เป็นสานุศิษย์ ให้เคารพให้เลื่อมใสได้เหมือนกัน ชอบความเป็นอยู่ในรูปอย่างนั้น แต่ในทางพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าสอนให้นุ่งห่มให้เรียบร้อย ส่วนจีวรก็ต้องสะอาด ที่อยู่ก็ต้องสะอาด มีความเป็นระเบียบ ให้หมั่นเช็ดหมั่นปัดกวาดถู ภาชนะที่ใช้ เช่น บาตรสำหรับใส่อาหาร ก็ต้องมีระเบียบ ใช้แล้วก็ต้องเช็ดต้องทำความสะอาดให้แห้ง เอาไปผึ่งแดดนิดหน่อย แล้วจึงจะเก็บไว้เป็นที่เป็นทาง ก็เป็นระเบียบอันหนึ่งที่จะให้คนปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รักษาของใช้ รักษาเนื้อตัว สุขภาพร่างกายให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดีงาม เป็นระเบียบอันหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา
สังคมในปัจจุบันนี้มีความเจริญก้าวหน้าในทางด้านวัตถุมากขึ้น คนใช้สอยวัตถุก็เป็นไปตามความนิยมสมัยใหม่ ดูเสื้อผ้าที่พวกเราใช้กันในปัจจุบันนี้ มันหลายสี หลายอย่าง หลายแบบ เสื้อตัวหนึ่งก็หลายสี กางเกงตัวหนึ่งก็หลายสี ที่ขาก็เป็นสีขาวบ้าง สีแดงบ้าง สีอะไรบ้างปนกันไป เขาก็ขายอย่างนั้น คนก็ชอบซื้อเอามาใช้ ที่ได้ใช้ก็เพราะเห็นว่ามันแปลกดี มันเป็นเรื่องเครื่องเด่น ทำให้คนสนใจ ทำให้คนมองว่า เออ แต่งตัวแปลกๆ เขาก็มองกัน คนหนุ่มสาวในประเทศอังกฤษชอบไว้ผมแปลกๆ เราเรียกว่าพวก “พั้งค์” พวกนี้ชอบทำผมรูปแปลกๆ ต่างๆ บางทีโกนเกลี้ยงข้างๆ เหลือไว้หย่อม สองหย่อม สามหย่อมตรงกลาง แล้วไปทำให้เป็นหย่อมแหลมๆ แล้วเดินเข้าไปเป็นหมู่เชียว ถ้าหากว่าใครมองดูแล้วเขาชอบอกชอบใจ แสดงว่าคนสนใจเขา ดูเขา เขาก็มักจะยิ้มร่วน แสดงความยินดีปรีดา เขาทำอย่างนั้น ก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น ให้คนอื่นได้สนใจในเรื่องการเป็นอยู่ การกระทำของตัว การกระทำเช่นนั้นก็เกิดขึ้นจากปมด้อย คือเขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในสภาพความเป็นอยู่ของเขา เลยทำอะไรให้มันแปลก เพื่อให้คนได้สนใจ แล้วได้ดูเขา แล้วเขาก็แสดงอาการหัวเราะชอบอกชอบใจกับคนเหล่านั้น อันนี้มีอยู่ทั่วๆไป ในเมืองไทยยังไม่มี ยังลามมาไม่ถึง แต่ถ้ามาถึงเมื่อไร ก็คงจะวุ่นวายพอสมควร ไอ้พวกแต่งตัวแปลกๆ แผลงๆ อย่างนั้น แต่งตัวบ้าง อะไรบ้าง ทำอะไรให้มันแปลก คนเรามันชอบของแปลกเหมือนกัน
พระสงฆ์องค์เจ้าในพระพุทธศาสนานี่ ก็ชอบทำอะไรแปลกๆ ทำอะไรแปลกนี่ คนสนใจ คนติดตาม มองดู หากไปนึก ไปสังเกตในเรื่องต่างๆ ของท่านเหล่านั้น เลื่อมใส สังเกตดู พระเราที่คนเลื่อมใสมีแบบต่างๆกัน ชอบทำอะไรที่มันแปลกๆ ชอบพูดอะไรแปลกๆ แล้วแสดงอาการอะไรที่มันแปลกๆ ให้มันประหลาดๆ ไม่เหมือนกับคนอื่นเขา คนก็มีความสนใจ ในการกระทำเช่นนั้น คนที่ไปสนใจเช่นนั้น ก็เพราะไม่รู้จริงในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เข้าใจว่าการกระทำเช่นนั้น เป็นการถูกต้อง เป็นทางตรงที่จะไปสู่มรรคผลนิพพาน ทำตนให้พ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อนได้ แต่ความจริงหาใช่ทางไม่ แต่เป็นการกระทำเพื่อล่อใจคน จูงใจคนเหล่านั้น ให้คนมาเลื่อมใสศรัทธา เมื่อคนมาเลื่อมใสศรัทธามาก ก็เป็นกลุ่มเป็นก้อน มีบริวาร ไปไหนก็เอาคนมากๆ ไปเป็นเครื่องประกอบ ให้เกิดความตื่นเต้น คนทั้งหลายก็เห็นว่า โอ! นั่นมาแล้ว แหม คนเดินตามหลังเป็นแถวเลย แต่คนที่เดินตามหลังนั้นก็ ส่วนมากก็เป็นพวก “เชื่อง่ายๆ” เชื่อดายเกินไป ไม่ได้พิจารณาเหตุผลต้นปลายของเรื่องเหล่านั้น แล้วก็ไปกันด้วยความตื่นเต้นกัน ไปกราบไปไหว้ ไปทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ เอาของไปถวาย ด้วยนึกว่า ถ้าถวายกับพระเช่นนั้น จะได้อานิสงค์มาก จะได้บุญมาก อะไรต่างๆ แล้วก็ทำ พระเราก็รู้จิตใจคนเหมือนกัน เห็นว่าคนชอบอะไรแปลกๆ ก็ทำอะไรมันแปลกๆ หน่อย ไม่ให้เหมือนคนอื่น พูดไม่ให้เหมือนเขา กิริยาไม่เหมือนเขา การนุ่งห่มหรือการทำอะไรให้มันแปลกคนอื่น พอแปลกไปคนก็สนใจ เข้ามาเป็นพรรคเป็นพวก ในบ้านเมืองของเรานี้ ไม่ว่าจะเป็นพระหรือเป็นชาวบ้าน ถ้าทำอะไรผิดปกติขึ้นมา คนก็สนใจเหมือนกัน แล้วไปเป็นลูกศิษย์ลูกหา มีจำนวนมากขึ้น เห็นปรากฎเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ ว่ามีคนติดตามท่านผู้นั้น ติดตามท่านผู้นี้ อันนี้ถ้าไปดูเหตุการณ์ในชีวิตแล้ว เห็นว่า อ๋อ! ไม่มีอะไร แต่ว่าชอบทำอะไรให้มันแปลกผู้แปลกคนหน่อย แล้วคนก็สนใจเท่านั้นเอง แล้วก็สอนธรรมะบ้าง แต่ว่าสิ่งสำคัญที่ล่อใจคนก็คือว่าทำอะไรให้มันแปลก คนก็เห็นว่าเป็นของแปลก มีอยู่
สมัยโบราณก็มีเหมือนกัน สมัยยุคพระพุทธเจ้า ก็มีคนทำอะไรแปลกๆ แผลงๆ เหมือนกัน เช่นนักบวชบางประเภท ไม่นุ่งผ้าเลย เดินไปตามที่ต่างๆ ไม่มีผ้านุ่งผ้าห่ม คนเห็นก็เลื่อมใส นึกว่าโอ้ คนนี้สำคัญ เป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะว่าไม่สนใจในเรื่องร่างกายเลย ไม่สนใจในเรื่องเครื่องประกอบการกินการอยู่ ไม่มีผ้านุ่ง นอนคลุกฝุ่น นอนข้างเตาไฟ ใครไปเห็นเข้าก็เลื่อมใส หากความจริง จิตใจไม่ได้สูงส่งอะไร แต่ว่าทำอย่างนั้นก็เพื่อจูงใจคน ให้เข้ามาเป็นพรรคเป็นพวก ให้เลื่อมใสศรัทธาในตน ก็ทำตัวเช่นนั้น บางคนก็อยู่ด้วยอาการแปลกๆ เช่นว่า เอาเท้าเหนี่ยวกิ่งไม้ เอามือเลี้ยวเหนี่ยวกิ่งไม้มือเดียว แล้วก็ยืนห้อยอยู่ แต่ว่าไม่ได้ห้อยอยู่ตลอดเวลาหรอก ถ้าเห็นคนมาก็ลุกขึ้นยืนสักทีหนึ่ง ห้อยๆ ไว้ พอคนมาก็ต่างเห็นแสดงความชอบใจ พอคนพ้นไปแล้วก็ลงมานั่งตามปกติต่อไป ทำอย่างนั้นบ่อยๆ เหมือนที่ปากช่อง แถวทับกวาง มีพระไปอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง พอรถไฟจะมา แกก็ออกไปนั่ง นั่งบนชะง่อนหิน นั่งทำสมาธิ หลับตา หลับตาไป พอรถไฟพ้นแล้ว แกก็ลงมานั่งปกติต่อไป พอรถไฟจะมา แกก็ไปนั่งต่อไป แกรู้ว่ารถไฟขึ้นผ่านเวลาใด รถไฟล่องผ่านเวลาใด ต้องไปนั่งก่อนเวลาเล็กน้อย พอในรถไฟเห็นก็ โอ้ แหมพระองค์นี้เคร่งครัด ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แล้วคนก็มาหา ไม่ใช่มาหาเรื่องอะไร มาขอหวยขอเบอร์ มาถามเรื่องเบอร์เรื่องหวยอะไรจากท่านผู้นั้น แล้วต่อมาก็มีคนมาฆ่าท่านองค์นั้นให้ถึงแก่ความตายไป ที่มาฆ่านั้น คาดว่าคงจะเป็นเจ้าของขายหวยขายเบอร์ พอมันถูกเข้าบ้าง ถูกเข้าบ้าง มันก็รำคาญ เลยมาฆ่าเสีย เลยพระองค์นี้ก็ตายไป ก็เพราะความแผลงๆ ของตนอย่างนั้น อย่างนี้มีอยู่ ทำอะไรแปลกๆ เวลาเดินก็เดินไม่ให้เหมือนใคร เขาเดินปกติก็แกล้งเดินช้าๆ ยกเท้าค่อยๆ กลัวจะเหยียบตัวหนอน ตัวแมลงอะไรอย่างนั้น แล้วก็เหยียบแล้วก็ค่อยยกต่อไป ใครเห็นก็ โอ้ ท่านองค์นี้เคร่งจริง แม้จะเดินก็ต้องระมัดระวัง ความจริง เปล่าหรอก แกล้งทำแบบนั้นเอง เป็นเครื่องล่อจูงใจคนให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสในการกระทำเช่นนั้น อันผิดปกติธรรมดาที่ทำอย่างนั้น คือทำอะไรให้ผิดปกติ คนก็สนใจ แล้วก็เข้าใกล้ ถามไถ่เรื่องราว เอามาเป็นพรรคเป็นพวกมีความเลื่อมใส ศรทธา อย่างนี้ก็มีอยู่
ชาวบ้านก็เหมือนกัน บางคนเขาชอบทำอะไรแปลกๆ แผลงๆ แต่งตัวไม่ให้เหมือนเพื่อน แล้วทำอะไรให้ไม่เหมือนเพื่อน คนก็มาห้อมล้อม มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ลูกหา มาเป็นพรรคเป็นพวก คนก็ค่อยมากขึ้น พอมากขึ้น ก็ตั้งเป็นก๊กเป็นเหล่าขึ้นมา เป็นอาจารย์สอนคนไป แต่ความจริงก็ไม่ได้สอนอะไร นอกจากว่าให้ทำพิธีสวดมนต์อะไรต่ออะไรไปต่างๆ ทำพิธีทรงเจ้าเข้าผีบ้าง อะไรบ้าง ให้คนตื่นเต้นไปในรูปอย่างนั้น อย่างนี้ในทางธรรมะ เขาเรียกว่า “โอฮั่นหยี่” คำบาลีใช้คำว่า “โอหันเย” โอหันเย แปลว่า อยู่ให้โลกพิศวง คือทำอะไรแปลกๆ ให้โลกสนใจ ให้เขาฉงนสนเท่ห์ แล้วก็จะได้เข้าใกล้มาเป็นลูกศิษย์ลูกหาอะไรไปตามเรื่อง อย่างนี้มีอยู่ มีปรากฎอยู่ แล้วถิ่นที่มีสิ่งเหล่านี้มากก็ดู ลพบุรี สระบุรี ไร่พุทธบาท บริเวณไร่พุทธบาทนี่ คนศักดิ์สิทธิ์มักจะไปอยู่ที่นั่น แม่ชีศักดิ์สิทธิ์ อุบาสกศักดิ์สิทธิ์ พระศักดิ์สิทธิ์ ก็ไปนั่งกองอยู่แถวนั้นแหละ เพราะว่าแถวนั้น คนชอบไป ไปไหว้พระพุทธบาทจำลอง ที่มีอยู่ที่นั่น ไปแล้วก็ ก็เล่า ลูกศิษย์องค์นั้น มีพระมาอยู่องค์หนึ่ง ที่นั่นมีแถวนั้น ก็มีคนเขาสนใจไปหา ไปหาแล้วก็ไปเล่าลือกันต่อไป ไปเล่าลือกันว่า มีองค์นั้นเคร่งครัด อยู่อย่างนั้น อยู่อย่างนี้ ว่ากันไปอย่างนั้น คนก็สนใจมาหามาสู่ มีพรรคมีพวกมากขึ้น อะไรต่างๆ นั่นเป็นวิธีการล่อคน ให้เข้ามานับถือตน แล้วก็ได้คนเป็นศิษย์เป็นบริวารมากขึ้น อย่างนี้มีบ่อยๆ ที่บริเวณพระพุทธบาทจำลอง บางทีก็เป็นแม่ชี แม่ชีก็เป็นคนศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา เชิญวิญญาณพระพุทธเจ้ามาพูดกับชาวบ้านได้ นะ มันชักจะมากไปเสียแล้ว แบบว่าเชิญวิญญาณพระพุทธเจ้า เลยมาที่นี่นะ มาที่นี่แล้วก็เปิดเทปให้หลวงพ่อฟัง พอฟังแล้วก็ถามว่า
“เสียงใครนี่หนอ”
“เสียงพระพุทธเจ้า”
“อ้อ! เสียงพระพุทธเจ้าทำไมมันเหมือนเสียงโยมเล่า”
บอกว่า “พระพุทธเจ้าเข้าทรงดิฉัน แล้วก็พูดออกมาอย่างนั้น” แล้วบอกว่า “เอ! ท่านเชื่อไหม”
“อื้อ! อาตมาไม่เชื่อ มันเป็นเสียงของโยม ไม่ใช่เสียงพระพุทธเจ้า แล้วก็พูดออกมาก็ไม่ค่อยเป็นสาระ เป็นแก่นเป็นสารอะไร”
แล้วแกก็เก็บ ก็ถามว่า “จะไปไหน” แกบอกว่า
“จะไปวัดโพ ไปหาพระสังฆราช ให้พระสังฆราชได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าเสียบ้าง” ว่างั้น
อาตมาก็บอกว่า “พระสังฆราชท่านไม่ค่อยว่างหรอก มีงานเยอะ โยมอย่าไปเลย อย่าไปกวนพระสังฆราชเลย” อะไรก็ แกก็ไปน่ะ แต่ว่ามากันหลายคน บริวาร มีบริวารตกอยู่ข้างหลัง เที่ยวไปดูวัดข้างหลังแล้วก็เขาไปแล้ว ยังไม่ได้ไป ไปเจอะกัน ไปพบกันที่ประตูวัด ก็ว่า
“อ้าว! โยม มาจากไหน”
“มากับแม่ชี แม่ชีเอาเทปเสียงพระพุทธเจ้ามาเปิดให้ท่านฟังหรือยัง”
“ฟังแล้ว”
แล้วแกก็ถามว่า...ท่านเชื่อหรือเปล่า
“ฉันไม่เชื่อ”
“โอ้! คนสมัยนี้ลำบาก ไม่ค่อยเชื่อไอ้ของที่เขาเอามาแสดงเลย”
หาว่าเรานี่ไม่เข้าท่าเสียอีก คือไม่เชื่อแม่ชีคนนั้น แล้วแกก็แต่แกเป็นลูกศิษย์ แล้วแกก็ไปติดตาม ถามว่า ไปเถอะลูก ไปวัดโพแล้ว ขึ้นรถไปแล้วเมื่อตะกี้นี้ แกก็ตามไป ความจริงแม่ชีคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แกเคยไปอยู่พุทธคยา เมื่อไปอินเดีย ก็เกิด “จะไปอยู่ที่นั่น ไปไหว้พระ ไหว้อะไรอยู่สักครึ่งปี แล้วก็เดินทางกลับบ้าน พอเดินทางกลับบ้าน ก็มีความคิดแผลงๆ เกิดขึ้นในใจ เจ้าเข้าทรง เชิญวิญญาณพระพุทธเจ้า คือแกไปรู้จักพระพุทธเจ้าที่พุทธคยา แล้วแกก็เชิญมาเมืองไทยด้วย เอามาเข้าทรงแก แล้วแกก็พูดอะไรไป คนตามบ้านนอกบ้านนา ก็เชื่อไป ว่าเป็นเสียงพระพุทธเจ้า แต่คนที่มีปัญญาสักหน่อย เขาคงไม่เชื่อ เขาฟังแล้ว มันเสียงแม่ชีดีๆ นี่เอง ไม่ใช่เสียงพระพุทธเจ้าที่ไหน ก็บอกว่าเสียงโยมชีนี่
“นั่นแหละ เสียงดิฉัน แต่ว่าพระพุทธเจ้าเข้าสิงใจดิฉันให้พูด”
บอกว่า “ที่พูดมานี่ มันไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า พูดเลอะเทอะ ไม่เข้าเรื่องเข้าราว”
แกบอก “เออ คนสมัยนี้ เชื่อยากหลาย (25.16) หาว่าเราไม่เชื่อแก แต่แกหาว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิไปเสียด้วยซ้ำไป เป็นอย่างนั้น มีอยู่ เห็นอยู่บ่อยๆ อย่างนี้ ที่ไหนๆ ก็มี ปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือ มักจะมีคนประเภทนี้เกิดขึ้น แล้วคนก็ไปเลื่อมใสศรัทธา ไปเป็นพวก เป็นลูกศิษย์ลูกหา มีจำนวนมากมาย เพราะในหมู่นั้น ไม่มีคนฉลาดที่จะไปสอน ไปเตือน ไปทำความเข้าใจกับคนเหล่านั้น เขาก็เชื่อไปในอย่างนั้น มันมีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ยุคก่อนพระพุทธเจ้าก็มี และยุคหลังมาก็มี เช่น ยุคพระพุทธเจ้าก็มี คนคนหนึ่ง ไปเที่ยวค้าขายทางทะเล เรือล่ม เรือล่มก็ว่ายน้ำมาในทะเล ได้เกาะท่อนไม้มาก็ขึ้นฝั่งได้ แต่เสื้อผ้าก็ไม่มี มาขึ้นฝั่ง ก็ไปนั่งล่อนจ้อนอยู่ใต้ต้นไม้ คนมาเห็นก็ว่า โอ้นี่ เป็นคนสำคัญ ไม่นุ่งผ้า คงจะเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้วิเศษ ก็เอาอาหารมาให้ เอาของมาให้กิน แกก็ได้กิน ได้สบาย ที่อยู่นี้ก็ดีแล้ว คนเอาอาหารมาให้ ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องหาผ้านุ่งล่ะ นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต่อไป แกก็นั่งอยู่อย่างนั้น ต่อมาก็มีคนคนหนึ่งมาเห็นเข้า มาเห็นเข้าก็ เวลาใครไปหมดแล้ว แกเข้าไปประชิดบอกว่า ท่านอย่าทำอยู่ในรูปนี้ เพราะการทำในรูปนี้ มันไม่ได้สาระประโยชน์อะไร ทำคนให้หลง ให้งมงายไปเสียเปล่าๆ ท่านรู้ไหมเวลานี้ พระพุทธเจ้ามีอยู่ในโลกแล้ว เกิดขึ้นในโลกแล้ว ท่านควรจะไปหาพระพุทธเจ้า ไปฟังธรรม แล้วก็น่าจะบวช ก็ไปบวชกับพระพุทธเจ้า จะได้เป็นพระที่เรียบร้อยหน่อย
แต่ว่าแกก็ดีเหมือนกัน พอมีคนมาเตือนแบบนั้น แกก็ไปเลย ออกเดินทางเวลากลางคืน ไม่ให้ใครรู้ใครเห็น เพื่อว่าให้คนเขารู้ว่าหายไปแล้ว ว่างั้น แกก็ไปกลางคืน ไปจนไปพบพระพุทธเจ้า แล้วก็ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังธรรมก็เกิดความรู้ความเข้าใจ เลยขอบวชในพระพุทธศาสนา แต่ว่าไม่มีผ้าจะนุ่งในการที่จะบวชนี้ พระองค์ก็บอกว่า เธอไปหาผ้ามานุ่งด้วย แล้วจะบวชให้ แต่ความจริงแกได้ฟังธรรมก็บรรลุมรรคผลชั้นสูงแล้ว แกก็เดินไปเพื่อจะไปหาผ้า แต่ว่าเดินเดินไป เมื่อเดินไปริมกำแพง พอเลี้ยวกำแพงมาเจอแม่วัว ลูกวัว สวนทางมาพอดี วัวนั้นก็ตกใจแก เลยก็ขวิดเอาแก ไส้ไหล ถึงแก่ความตาย เลยไม่ได้นุ่งผ้า ตายทั้งเปลือยกายอยู่อย่างนั้นแหละ พระสงฆ์ก็ได้เห็นเข้า ก็มาสนทนาพาทีกัน เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนพระฟังกัน จนดังไปถึงพระสูตรพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ผู้ที่ถึงแก่ความตายไปนั้น ไม่ใช่คนธรรมดา เขาได้บรรลุมรรคผลก่อนแล้ว เพราะเขาได้มาฟังธรรมจากตถาคต เขารู้แจ้งเห็นจริงในธรรมะ แต่เขาไม่มีผ้าจะนุ่ง บอกให้ไปเที่ยวหาผ้า เลยไปถูกวัวขวิดเอาถึงแก่ความตาย ไม่ใช่ตายอย่างชาวบ้านหรืออย่างปุถุชน แต่ตายอย่างพระอริยบุคคล ชาวบ้านทั้งหลายก็ได้ช่วยกันเอาศพของท่านผู้นั้น ไปทำการเผาที่เชิงตะกอนให้เป็นการเรียบร้อย นี่ก็มาจากว่าความหลงผิด ทำอะไรมาก่อน แต่ทีหลังมีคนมาบอกมาเตือน ก็เชื่อฟัง แล้วก็ไปเปลี่ยนแนวทางชีวิตเข้าหาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เลยกลายเป็นคนเรียบร้อยขึ้น เข้าสู่เส้นทางที่ถูกที่ชอบต่อไป อันนี้มันก็มีอยู่เหมือนกันในสมัยนั้น
เรื่องที่มีมาในสมัยก่อนอย่างใด ในสมัยนี้ก็มักจะมีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นในบ้านในเมืองของเราบ่อยๆ เราจึงได้ยินข่าวว่า มีคนวิเศษเกิดที่นั่น มีคนศักดิ์สิทธิ์เกิดที่นี่ แล้วไม่ว่าเกิดขึ้นที่ไหน ต้องมีคนไปห้อมล้อม ไปเป็นลูกศิษย์ลูกหา ไปได้นั่นได้นี่จากท่านผู้นั้นมาด้วยประการต่างๆ เพราะคนเหล่านั้นไม่ค่อยจะรู้อะไร ไม่เข้าใจอะไรซึ่งเป็นเนื้อแท้ของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นอะไรแปลกๆ ก็นึกว่า โอ้ คนนี้สำคัญ เป็นอย่างนี้ก็นึกว่าเป็นผู้วิเศษอะไรไปต่างๆ ปรากฎอยู่ในที่ทั่วไป แล้วก็พระสงฆ์องค์เจ้าในสถานที่นั้น ก็เป็นผู้ขาดความรู้ขาดความสามารถ ไม่กล้าไปโต้แย้งกับชาวบ้านเหล่านั้น ไม่กล้าไปพูดไปอธิบายให้เขาเข้าใจความจริง เพราะคนเขามาก เกรงกลัวอิทธิพลของคนเหล่านั้น เพราะบางทีเพราะมีคนก็เลยทำอะไรแปลกๆ ก็มีคนเข้ามาช่วยเหลือเพื่อหาเงินหาทองจากการแสดงกลของคนเหล่านั้น คนเหล่านั้นเลยกลายเป็นตัวเชิด สำหรับคนบางประเภทที่จะหาปัจจัยเอามาใช้สอยกันต่อไป แล้วคนที่ไปเป็นตัวเชิดหาปัจจัยน่ะ เป็นคนมีอิทธิพลในท้องถิ่น เป็นคนกว้างขวาง พระก็เกรงใจไม่กล้าเข้าไปพูดจาคัดค้านอะไร เลยอยู่ในสภาพที่เรียกว่า “วางเฉย” เมื่อพระท่านวางเฉย ไม่คัดค้าน คนก็ไปหามาสู่มากขึ้น จนกระทั่งตำรวจต้องจับกุมคนนั้นเอาไปโรงพัก ไปกักไว้ในสถานที่ที่ถูกกักขัง เลยก็เงียบหายไป เขาเรียกว่า “จนบุญ” (31.33) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขาเรียกว่า...จนบุญ จนบุญเกิดขึ้นที่นั่น เกิดขึ้นที่นี่ชอบทำอะไรแปลกๆ
สิ่งเหล่านี้ จะไม่หมดไปจาก ...... (31.44 เสียงขาดหายไป) นี้ก็เกิดได้ ยังหลอกกันได้ต่อไป มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น เกิดแล้วมักจะอยู่นานๆ บางทีก็อยู่ไปตั้งปี สองปี จึงมีเจ้าหน้าที่ต้องไปจัดการจับกุมเอาไปลงโทษ ฐานหลอกลวงต้มตุ๋นมนุษย์ด้วยประการต่างๆ เรื่องก็จบลงไป แต่ไม่ทันไรก็เกิดขึ้นใหม่อีก ที่นั่นที่นี่ หนังสือพิมพ์ก็ช่วยประโคมเป็นข่าว ทำให้คนตื่นเต้นไปหาสิ่งเหล่านั้น นี่เป็นเรื่องคนก็มี วัตถุก็มี เช่น เกิดบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แม่ย่านางเรือศักดิ์สิทธิ์ อะไรต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว คนก็ไม่รู้เรื่อง สงสัยว่ามันมาอย่างไร ไปอย่างไร ได้ยินข่าวว่ามีที่แห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นมันก็ไม่มีน้ำ น้ำมันแห้งแล้งอยู่ แต่ต่อมาน้ำมัน “พุ” ขึ้นมา มันผุดขึ้นมา คนก็ไปกราบไปไหว้ ไปจุดธูปจุดเทียนบูชาน้ำที่ผุดขึ้นมานั้น ไม่มีใครในที่นั้น ที่จะแสดงให้คนทั้งหลายได้รู้ว่า น้ำนี่มันมีอยู่ในแผ่นดิน แต่ว่าจำนวนมันเพิ่มขึ้น แล้วก็ดินที่อยู่กับน้ำมันอ่อน น้ำมันก็พุ่งขึ้นมาแทงแผ่นดินทะลุขึ้นมา เป็นน้ำพุขึ้นมา มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่ว่าบางที คนที่ไปเห็นครั้งแรกก็เห้นว่า โอ้! โอกาสที่จะหาสตางค์ได้แล้ว ก็เลยบอกว่ามันเป็นของขลัง เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นของวิเศษขึ้นมาทันที คนก็ตื่นเต้น มาเอาน้ำนั่นไปกินบ้าง ไปรดหัวบ้าง เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ไป แล้วก็ได้สตางค์ คนมาทำบุญสุนทาน แล้วน้ำนั่นก็เกิดขึ้นในบริเวณวัดด้วย วัดก็เลยตกกะไดพลอยโจนหากินไปเลย อย่างนี้มันก็ไม่ถูกต้อง เพราะทำคนให้หลงให้งมงาย ในสิ่งที่ไร้สาระ ความจริง พระเราควรจะชักจูงคน อธิบายให้คนรู้ว่ามันไม่มีอะไร มันเรื่องธรรมชาติ มันอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ เหมือนเราขุดบ่อ ขุดลงไปๆ ตาน้ำมันก็ผุดขึ้นมา เพราะว่าไปเจอตาน้ำเข้ามันก็ไหลออกมา อันนี้ไม่ต้องขุด แต่แรงน้ำมันดันมาก ดันแรง ก็พุ่งขึ้นมาเอง เป็นน้ำพุธรรมดาๆ
ในโลกนี้มีสิ่งที่อาจจะเกิดเป็นอย่างนั้นขึ้นมา ณ ที่ใดเมื่อใดก็ได้ มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ใช่ของแปลก ไม่ใช่ของวิเศษ ไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์อะไร ถ้าพูดกันอย่างนั้น คนก็จะเข้าใจ แล้วบอกว่า อย่ามาหลงว่าน้ำนี่เป็นน้ำวิเศษวิโสอะไร เพียงแต่เห็นแล้วก็กลับไปบ้านไปบอกเขาว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติเท่านั้นเอง ถ้าพูดกันให้คนเข้าใจคงไม่มีการตื่นเต้น แต่ว่าต้องทำให้ตื่นเต้น เพราะอะไร เพราะทางที่จะได้สตางค์มันเกิดแล้ว ก็ต้องทำเรื่องให้มันตื่นเต้น มีการโฆษณาไป บางทีท่านสมภารอาจจะฝันเห็นเสียก่อนที่น้ำจะพุขึ้นด้วยซ้ำไป คือตกกระไดพลอยโจน เล่าเรื่องอะไรต่างๆ ให้มันเกิดขึ้น แต่คนก็เลยเชื่อในสิ่งเหล่านั้น เพราะไม่มีฐานแห่งปัญญา ไม่มีฐานแห่งความเข้าใจถูกต้อง ก็เลยเชื่อไปตามเรื่องเหล่านั้น อันนี้เกิดมีขึ้นบ่อยๆ ในที่ต่างๆ ทั่วๆ ไป ความจริงมันเป็นปรากฎการณ์ของธรรมชาติ มันอาจจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อใดก็ได้ แต่ถ้าสมมติว่าหินมันหนา ก้อนมันใหญ่ แล้วน้ำมันพุ่งออกมาจากหิน เออ! มันคงจะประหลาดหน่อย เพราะหินมันแข็ง น้ำมันพุ่งมาไม่ได้ แต่นี่ดินมันอ่อน เป็นดินทรายปนโคลน ปนเลน มันก็พุ่งขึ้นมาได้ เราควรจะถือว่าเป็นแหล่งน้ำ ช่วยกันขุดดินตรงนั้นให้มันกว้าง แล้วก็ทำเป็นบ่อ เป็นสระ เอาน้ำไปกินไปใช้ ให้เกิดประโยชน์ต่อไป เพราะแหล่งน้ำมันมีแล้ว อย่างนี้ก็จะได้ประโยชน์ดีกว่าที่จะไปทำให้คนเชื่อในสิ่งเหลวไหล ในสิ่งไร้สาระ เรื่องอย่างนี้มันเกิดก็เพราะว่า ต้องการลาภ ต้องการสักการะจากสิ่งเหล่านั้น เลยโฆษณาไปในทางเป็นของขลัง เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นของวิเศษไปในรูปต่างๆ ปรากฎเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ เราคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา เมื่อได้ยินข่าวอะไรในรูปอย่างนั้น ให้คิดไปในแง่ที่ว่า ถ้าสิ่งนั้นศักดิ์สิทธิ์จริง อำนวยประโยชน์ให้แก่คนได้จริงตามข่าวลือ คนในสถานที่นั้นก็คงจะไม่ผิดหวังอะไร ไม่เจ็บป่วยไข้ได้ป่วย ไม่ต้องสูญเสียอะไรในชีวิต แต่ว่าพอความจริงมันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ คนเหล่านั้นก็ยังเป็นอยู่เหมือนคนธรรมดา ยังเจ็บไข้ได้ป่วย ยังมีอะไรๆ กันอยู่ แต่ว่ามันไม่ได้เกิดจากเหตุเหล่านั้นอะไร ที่ช่วยคิดไปในแง่อย่างนั้น ว่ามันช่วยอะไรไม่ได้ จึงคิดไปในแง่ธรรมะข้อหนึ่งว่า มันไม่ได้เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ อะไรๆที่เกิดขึ้นให้เราถือว่าไม่ใช่ทางแห่งความดับทุกข์ ไม่ใช่ทางแห่งความดับทุกข์ ทางดับทุกข์ไม่ใช่ทางนั้น ทางดับทุกข์คือ “อริยมรรคมีองค์ ๘” ที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ แล้วมีอะไรแทรกแทรงเกิดขึ้นในที่ใด ด้วยอะไรก็ตาม เราก็ควรคิดแต่เพียงว่า นั่นไม่ใช่ทางดับทุกข์ ไม่ใช่แนวปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ เราอย่าไปตื่นเต้นกับเขาเลย อย่าไปหาสิ่งเหล่านั้นเลย อยู่เฉยๆ ที่บ้านเสียดีกว่า ถ้าเราคิดไปในรูปอย่างนั้น ถ้าคิดไปในรูปอย่างนั้นก็จะไม่ถูกหลอก ไม่ถูกต้มให้ไปทำอะไรแปลกๆ ดังที่กล่าวมา (คอแห้ง เป็นหวัดยังไม่หายดี ปากมันแห้ง) – ถ้าเราคิดไปในแง่ว่า ไม่ใช่ทางดับทุกข์ เราก็ไม่ต้องทำอะไร ใครมาพูดอะไรจูงใจเราอย่างไรก็ตาม เราก็ต่อสู้ไว้ในใจว่า ไม่ใช่ทางดับทุกข์ สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ทางดับทุกข์ ไม่ใช่ทางเดินที่พระพุทธเจ้าสอนให้เดิน เราเป็นผู้เคารพพระพุทธเจ้า บูชาพระพุทธเจ้า เชื่อฟังคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะไม่ไปสู่สถานที่นั้น เราจะไม่ไปหาบุคคลนั้น ดังที่เขาเล่าลือกันในรูปต่างๆ เราก็ไม่ถูกหลอกถูกต้ม ให้ไปทำอะไรแปลกๆแผลงๆ ดังที่เขาทำกันอยู่ เพราะเรื่องอย่างนี้มันจะเกิดขึ้นบ่อยๆ เป็นวิธีการของคนฉลาด ที่จะหากินกันนั่นเอง ตัวอย่างเห็นง่ายๆ เช่น พระวัดไตรมิตรนี่ คือ พระวัดไตรมิตรนี่เป็นพระสมัยสุโขทัย คนสมัยก่อนกลัวพระจะเสียหาย ก็เอาปูนมาพอกไว้หนาเลย แต่ว่าก็ทำรูปให้เป็นพระนั่นแหละ ก็ทิ้งไว้กลางลานวัด อยู่วัดโน่น วัดสิงขรน่ะ ที่ถนนตก ทิ้งอยู่นานแล้ว ไม่มีใครสนใจอะไร ท่านมหาสนองอยู่วัดปทุมคงคา สร้างโบสถ์ที่หลังสวน ก็ไปเรียนให้สมเด็จวัดมหาธาตุท่านทราบ สมเด็จก็ ... (39.54 เสียงไม่ชัดเจน)
ท่านว่า “เออ สนอง ไปเอาพระที่วัดสิงขรมาสิ ตั้งอยู่กลางแจ้งนานแล้ว เอาไปไว้ในโบสถ์ที”
มหาสนองก็ไปเห็นเข้า โอ้! พระอะไร เป็นพระปูนองค์ใหญ่เบ้อเริ่มเลยนะ ก็เลยไม่ต้องการ มาบอกว่ามันใหญ่เกินไปพาเข้าโบสถ์ไม่ไหว เลยก็ไม่เอาไป ก็ยังอยู่ที่นั่นต่อมา ทีนี้ต่อมาวัดไตรมิตรเขาบูรณะ ซ่อมแซมสร้างใหม่ เพราะว่าอะไร รื้อกุฏิเก่า ถมที่ ทำให้สะอาดให้เรียบร้อย มีลานกว้าง จัดให้เป็นระเบียบขึ้น ก็สร้างโบสถ์ใหม่ สมเด็จก็สั่งสมภารว่า ไปเอาพระที่วัดราชสิงขรมาไว้ในโบสถ์ใหม่สิ อ้าว ท่านสมภารก็เกรงใจสมเด็จ ก็ไปเอามา เอามาแล้วมันใหญ่ เอาเข้าโบสถ์ไม่ไหว ก็เลยเอามาวางไว้กลางลานวัดอีกแหละ วางไว้อย่างนั้น วางไว้กลางลานวัด ก็ไม่มีใครสนใจ ต่อมาก็จะพัฒนาบริเวณนั้นเป็นสนามให้เด็กนักเรียนวิ่งเล่น พระไปนั่งขวางอยู่ทั้งองค์ มันก็ลำบาก เลยคิดย้าย เอาเครื่องมาย้ายพระ ทีนี้เวลาย้าย ปูนมันแตก พอปูนแตกเข้ามา โอ้ ข้างในนี่มันไม่ใช่ปูนนี่ เป็นสำริดแต่ไม่สวยงามอะไรก็เป็นสำริดธรรมดา แต่ว่ามีคนหัวแหลม คนคนนี้ เขาเป็นคนที่มีแผนดี แผนที่จะทำให้คนตื่นเต้นได้ง่าย บอกอย่า!อย่าโฆษณา เดี๋ยวแกะออกให้หมดเรียบร้อย ไปหาช่างมา หาช่างมาอาบให้เป็นนาค เอานาคมาฉาบให้สวย แล้วโฆษณาว่า พระทอง ผุดขึ้นที่วัดไตรมิตร เป็นพระยุคสุโขทัยองค์ใหญ่ โอ๊ย คนไปกันใหญ่โตเลย ไปกราบไปไหว้กันใหญ่ ได้เงินเยอะนะ ได้เงินเยอะ ไปไหว้หลวงพ่อว่าพระทองคำที่วัดไตรมิตร ก็เลยได้เงินมากมาย ได้เงินจนกระทั่งว่าเอามาสร้างสถานที่เอาท่านขึ้นไปประดิษฐานไว้ คือเข้าโบสถ์ไม่ได้ เพราะโบสถ์มันเล็ก พระองค์นั้นใหญ่โตมาก เลยต้องตั้งไว้ต่างหาก เดี๋ยวนี้คนก็ยังไปไหว้ ไปสั่นกระบอก ไปบนบานศาลกล่าว ไปจุดลูกประทัด คนจีนมันมาก แถวนั้นน่ะ คนจีนก็ชอบใจ เรียกว่าพระองค์ใหญ่ๆ นี่เขาชอบ องค์เล็กเขาไม่ค่อยชอบไหว้เท่าใด เพราะนึกว่าช่วยอะไรเขาไม่ได้ แต่องค์ใหญ่นี่ช่วยได้มากเลย ก็ไปไหว้ไปเซ่นสรวงบวงบน ทำพิธีรีตรอง วัดก็มีรายได้ จากการกระทำเช่นนั้น แต่มูลเหตุเดิมนั้นคือพ่อค้าหัวแหลมคนนั้น ตายไปแล้ว คนนั้นเขาตายไปแล้ว แกก็ไปหาช่างมา ทำให้สวย ให้เห็นเป็นทองนะ เอามาชุบให้เป็นทองเลย แล้วโฆษณาออกทางหนังสือพิมพ์ ถ่ายรูป ออกโทรทัศน์ให้คนได้เห็น คนก็แห่แตกตื่นกันไปดูว่าพระทองวัดไตรมิตร ความจริงพระทองเหลือง พระสำริดนะ แต่ว่ามันทองขึ้นนาค ไอ้นี่ก็เอาออกเสีย เรียกว่าพระทองเฉยๆ คนก็ตื่นเต้นกันไป ไปไหว้ไปบูชา พอเกิดขึ้นที่วัดไตรมิตรองค์หนึ่ง อ้าว ที่วัดมหรรณก็มีพระพอกปูนไว้เหมือนกัน เอาปูนออกก็ได้พระสวยงามอีกองค์หนึ่ง ที่วัดสงฆ์ก็มีอีกองค์หนึ่งได้กันมา ที่วัดโพ พระนั่งเรียงเป็นแถว ท่านเจ้าอาวาสเห็นแล้ว เอ นี่คงจะเป็นพระสำริด ไม่ใช่พระธรรมดา เคาะแตกปูนออกปูนออก อ้าวสวยๆงามๆ คนก็ไปขโมยทีนี้ เอาไปทั้งองค์ไม่ได้ ตัดพระเศียรไป เลยเป็นพระหัวขาดนั่งเป็นแถวนั่งในวัด ก็ไปเปิดปูนออก คนก็เห็นของงาม สวยงาม คนโบราณนี่เขาปิดไว้ ไม่อยากให้ใครเห็นว่าสวยงาม ซ่อนไว้ ซ่อนพระไม่ให้เห็นเนื้อแท้ ก็เลยไม่ถูกลักขโมย แต่พอเปิดออกมา คนก็ขโมยเอาไปหมด อันนี้มันเป็นอย่างนี้
ที่จังหวัดน่านมีอยู่องค์หนึ่ง ที่วัดเมืองน่าน ชั้นแรกก็อยู่ที่พระเจดีย์ เป็นพระยืน ยืนอย่างนี้ มีสามองค์ ในเจดีย์นั้นมีสามองค์ แต่ว่าสององค์หายไปเสียแล้ว ยังเหลือองค์เดียว ทีนี้มีฝรั่งคนหนึ่ง ที่เป็นชาวอเมริกัน ฝรั่งคนนี้แกสนใจในโบราณวัตถุของพระพุทธศาสนา นายคริสวู้ด ชื่อนายเอมี คริสวู้ด บ้านแกอยู่ที่แมรี่แลนด์ ใกล้กรุงวอชิงตันน่ะ บ้านแกเป็นพิพิธภัณฑ์เรื่องพระพุทธศาสนานะ เวลานี้แกก็แก่แล้ว รักษาพิพิธภัณฑ์อยู่ แกมาแล้ว แกไปเที่ยวดูที่นั่นที่นี่ ชอบบุกป่าฝ่าดงไปดูตามวัดต่างๆ พอไปถึงวัดนั้นเข้า แกก็บอกว่าพระนี่ ไม่ใช่พระปูน ชาวบ้าน โอ๊ย เป็นอย่างนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ผมเด็กๆ ก็เป็นอยู่อย่างนี้ ถ้าคนแก่ๆ บอกเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เป็นปูนมานานแล้ว แกบอกว่าทดสอบก็ได้ ไปเอาตะปูมาสักตัวสิ ก็ไปเอาตะปูมา ก็เลยตอกตะปูเข้าไปในส่วนหนึ่งขององค์พระนะ ตอกไป มันก็ติด กิ๊ก นะ มันไม่ใช่ปูนแล้ว ข้างในมันเป็นสำริด เพราะตะปูมันติด เลยก็ พอรู้อย่างนั้นก็เลย สมภารก็ เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็เอาปูนออกเสีย แกะเอาปูนออก โอ้ เป็นพระสวยมาก พระสมัยสุโขทัย พุทธลีลา ...... (45.52 เสียงไม่ชัดเจน) สวย อันนี่เมื่อสวยอย่างนั้น จะวางไว้ที่เจดีย์นั้นได้อย่างไร เดี๋ยวขโมยเอาปิคอัพเข้ามาขนเอาไปเท่านั้นเอง ต้องยกขึ้นไว้บนกุฏิ เอาไปวางไว้เฉยๆ คุณโยมสหวรรณดิษฐ์ ที่อยู่กรุงเทพแกไปเมืองน่าน ไปถึงเห็นก็ โอ้ สวยมาก เลยตีราคาให้สมภารตกใจว่าพระองค์นี้ราคามันตั้ง ๕ แสนนะท่านนะ ท่านอย่าวางไว้อย่างนี้นะ พอตีราคาสมภารตกใจ โยมจะบอกว่าไม่ใช่ อะไร ตีราคาให้ท่านสนใจหน่อยจะได้รักษาให้ดีขึ้น พอตีราคา ๕ แสน สมภารก็เอาลูกกรงมาขังไว้ เอาใส่ลูกกรงเหล็ก ใส่กุญแจ ๓ ดอก ให้พระเข้าไปอยู่ในลูกกรงนั้นแหละ ขังเลย ขังเลย ขังหลวงพ่อเสียเลย ขังไว้อย่างนั้น
เมื่อปีก่อนนี่ อาตมาไปเมืองน่าน ก็ไปที่วัดนั้น บอกว่า “พระองค์นั้นยังอยู่ไหม”
“อยู่”
“อยู่อย่างไร”
“อยู่บนกุฏิ”
เลยไปดู โอ้ ขังแข็งแรงมาก ลูกกรง ๔ ด้าน ด้านบนก็ตีลูกกรงเหล็กรอบทิศเลย ที่พื้นก็ทำแข็งแรง ใส่ลูกกรงเหมือนกัน เพราะว่าบางทีคนมันเจาะข้างล่างได้ เจาะขึ้นมาแล้วขึ้นไปยกพระไปได้เหมือนกันนะ ถ้าเจาะกระดาน กันหมดทุกด้าน เรียบร้อย เลยยังอยู่ เพราะ ๕ แสนนี่เอง คนก็ไม่กล้าเอาไป เพราะราคามันมาก สมภารก็รักษา ยังอยู่เรียบร้อย อย่างนี้มันก็มี เรื่องพระเรื่องเจ้านี่ บางทีมันก็ คนมันต้มง่ายอยู่แล้ว มาต้มสมภารได้
สมภารรูปหนึ่งถูกต้มไป คือมีผู้หญิงคนหนึ่งแกมา อุ้มพระมา น้ำตาไหลนองหน้า สะอึกสะอื้นมา มาถึงก็กราบ “โอ๊ย ดิฉันบ้านถูกไฟไหม้หมดเนื้อหมดตัวเจ้าค่ะ มีแต่พระองค์นี้ เป็นพระของบรรพบุรุษเก็บเอาไว้นานแล้ว ไม่รู้จะไว้ที่ไหน เลยนึกถึงหลวงพ่อ เอามาฝากไว้ด้วย ให้ท่านช่วยเก็บรักษาไว้ด้วย” สมภารก็ใจดี แกก็รับไว้ มาวางไว้ที่โต๊ะบูชา วางไว้ ๓ วัน ๔ วัน เดี๋ยวมีคนมาคุยๆ นั่งคุยๆ ชำเลือง คุยๆ แล้วก็ชำเลืองไปดูที่พระ ท่านก็ถามว่า “อะไร คุณดูอะไรบ่อยๆ”
“พระองค์นี้ผมเหมือนแปลกตามาก ท่านได้มาจากไหน”
“เขาเอามาฝากไว้”
“ผมขออนุญาตไปดูใกล้ๆหน่อย” เข้าไปดูใกล้แล้ว แกก็จ้องดู “โอ้ หลวงพ่อพระองค์นี้ราคาสูงนะ ท่านเก็บไว้ให้ดี อย่ามาวางไว้อย่างนี้ เดี๋ยวขโมยจะเอาไปนะ นี่ถ้าเอาไปในตลาด ราคาตั้ง ๓ แสนนะ” ท่านสมภารก็ โอ้ ราคามันมาก เลยเก็บเข้าที่เรียบร้อย ใส่ในตู้เลย วางไว้ในตู้ ๓-๔ วัน มีมาอีกคนหนึ่ง มานั่งคุยนะ คุยๆ ก็ดูตู้บ่อยๆ “เอ ในตู้ท่านนี่มีพระหลายองค์อยากจะไปดูหน่อย” แล้วก็ไปดู “โอ้ ไม่เหมือนองค์ไหนนะ สวยมากองค์นี้ พระเก่าแก่ ราคาแพงนะ เอาไปสู่ตลาด ๕ แสน ยังขายได้นะ ราคานี้”
คนแรกว่าตี ๓ แสน คนหลังมาตีไว้ ๕ แสน สมภารก็ว่า โอ้ ราคามันมากตรงนี้ ต้องเก็บแล้ว เอาเข้าห้องเลย ไม่ไว้ในตู้แล้ว เอาเข้าห้องเลย พอเอาเข้าห้องได้ ๖-๗ วัน ผู้หญิงคนนั้นมาเลย มาถึงบอกว่า “โอ้ ท่านเจ้าขา ดิฉันนี่เที่ยววิ่งหาบ้านเช่าอยู่นานแล้ว ยังไม่ได้บ้านเลย พระก็ยังฝากท่านอยู่ เกรงใจ รบกวนท่าน วันนี้ได้บ้านแล้ว แต่ว่าเงินที่จะดาวน์ก็ไม่ค่อยจะมี อยากจะมาขอยืมเงินหลวงพ่อสัก ๒ แสน ให้หลวงพ่อเอาพระองค์นี้ไว้ก็แล้วกัน” ท่านก็ว่า เอ้อ มันเอาไปสองแสน แต่พระนี่ราคาตั้ง ๕ แสน เออ ไม่เป็นไร เลยก็ให้ไปเลย ให้ไป ๒ แสน แล้วก็เอาพระไว้นะ เอาพระไว้ เดือนสองเดือนไม่มีใครมาสักคนเดียว ไอ้ผู้หญิงคนนั้นก็หายไป ไม่เห็นมาเยี่ยมมาเยือนเลย เลยนึกว่าเอามาวางไว้ที่หน้าพระตามเดิมดีกว่า เลยวางไว้หน้าพระ วันหนึ่งเพื่อนสนิทกันมา คุยๆ กันก็บอก เอ นี่ เขามีพระใหม่องค์หนึ่งนะ ไปดูสิว่าพระอะไร คนนั้นน่ะเขานักดูพระเหมือนกัน พอดูๆแล้วก็ว่า “อ้อ ได้มาอย่างไร”
“เขาเอามาฝากไว้ แต่ว่าไม่ได้ฝากเปล่านะ เขายืมเงินอาตมาไป ๒ แสน เขาให้พระนี้ไว้”
“อ้าว นี่พระบวชใหม่ ...... (50.40 เสียงไม่ชัดเจน) สมภารนอน เสียใจ เสียใจว่ากูนี่ มันไม่เคยถูกต้มน่ะ มาคราวนี้ถูกต้มเข้าให้แล้ว หายไป ๒ แสน ไม่รู้ใคร ไม่ได้จดชื่อจดเสียงไว้ด้วยนะ อันนี้เขาเรียกว่า เมตตาตกบ่อ คือสงสารมากไปก็เลยตกบ่อไปเลย ด้วยความแบบว่า เรื่องพระพุทธรูป คนมันต้มกันได้ เราอย่าไปเชื่อง่ายๆ เขามาให้ โอ้ พระอย่างนี้ อย่างนั้น พระเก่าแก่ ที่นี่ก็เอามาบ่อย พระเก่าแก่ อุ้มมา มาถึงว่า
“นี่ ดิฉันมีพระเก่าอยู่องค์หนึ่ง เวลานี้ สตางค์มันไม่ค่อยมี อยากจะให้หลวงพ่อเช่าไว้”
ก็บอกว่า “อุ๊ย ฉันมีหลายองค์แล้วในกุฏิ ไม่รู้จะวางตรงไหนแล้ว ไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน ราคามากฉันไม่เอา”
“ไม่ ไม่มากเท่าใด เอาสัก ๕ หมื่นก็พอ”
บอก “๕ หมื่น ฉันก็ไม่มี ก็ไม่เอา ใครเอามาให้อย่างนั้นก็ไม่เอา”
แกก็แบกต่อไปวัดอื่นต่อไป ไปเจอสมภารปัญญาอ่อนวัดไหน แกก็ขายของแกได้ต่อไป มันเป็นอย่างนั้น คนลวงพระ เลยก็เอาพระมาหลอกให้หลงงมงายไปด้วยประการต่างๆ มีอยู่ ญาติโยมก็ต้องระวังไว้ คนสมัยนี้ มันหลอก แล้วมันพูดเก่งนะ ไอ้คนหลอกนี่มันพูดเก่ง พูดน่าเชื่อ แสดงอาการเป็นที่น่าเชื่อถือ อ้างว่าเป็นคนชื่อนั้น ชื่อนี้ สำคัญอย่างนั้น อย่างนี้นะ พูดเราเพลินไปนะ เพลินไปก็เสียท่า อันนี้อย่าเพลินกับคำพูดคำชมของคนเหล่านั้น ต้องคิดทบทวนไป เอ มันจะจริงหรือ อะไรต่ออะไร คนโบราณว่า อย่าเชื่อใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง อันนี้ก็ต้องทันไว้ ต้องคิดไปให้รอบคอบ ก็จะไม่ถูกหลอก ถูกต้ม เพราะสมัยนี้คนที่จะหลอกมันมีมาก ถ้าเราไม่พิจารณาไตร่ตรองแล้ว ถูกต้มได้ง่าย แล้วมาเสียใจในภายหลัง โอ้ ไม่น่าเลย เสียอกเสียใจอย่างนั้น คิดทีหลังก็เป็นทุกข์ เพราะเราถูกเขาต้มไป แต่ก็ดี เป็นบทเรียน เป็นเครื่องสอนใจ ให้ได้คิด ได้นึกไว้ คนมีสตางค์มากๆ ก็ต้องระวัง คนจะมาหลอกมาต้มได้ง่าย
สำหรับวันนี้ก็พูดเรื่องเกี่ยวกับเรื่องที่หลอกที่ต้มกันก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ เป็นเวลา ๕ นาที