แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ต่อนี้ไปขอให้อยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา วันนี้ญาติโยมหายไปไหนหมด หรือว่ากลัวฝนตกฟ้าร้อง ฝนไม่ตก ที่วัดนี้ฝนไม่ตก วันอาทิตย์นี่ฝนไม่ตก ตกวันอื่น หรือว่าไปเที่ยววัดท่าซุงกัน เพราะว่าฤาษีลิงดำตายไปแล้ว โรคหัวใจวาย คงจะไปอยู่วิมานแล้ว เพราะว่าดึงคนไปดูวิมานบ่อยๆ คงจะไปอยู่วิมานสวรรค์
วันนี้เป็นวันอาทิตย์แรกของเดือนพฤศจิกายน เมื่อเช้าก็ไปออกโทรทัศน์ไปพูดถึงเรื่องป่ากับน้ำ ให้ญาติโยมได้ฟังกัน ทำไมจึงพูดเรื่องป่ากับเรื่องน้ำ เพราะว่า มันจะเป็นปัญหาแก่บ้านเมืองในกาลต่อไปข้างหน้า เพราะว่าป่ามันน้อยลงไป แล้วน้ำก็พลอยน้อยไปด้วย เพราะน้ำกับป่านี่มีความสัมพันธ์กัน ถ้าป่ามากน้ำก็มาก ป่าน้อยน้ำก็น้อย เมื่อน้ำน้อย คนที่อยู่ในเมืองก็ลำบากอยู่ไม่ได้ เพราะมันไม่มีน้ำ
ร่างกายของเรานี่ต้องดื่มน้ำวันละมากๆจึงจะดี ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำก็จะรู้สึกว่าอ่อนเพลียละเหี่ยใจ คอแห้ง พูดจาอะไรก็ไม่ค่อยจะชัดเจน แต่ถ้าได้ดื่มน้ำแล้วก็จะชุ่มคอทำให้เกิดความสบาย น้ำมันเกิดในดินแต่ในดินจะมีน้ำก็ต้องมีป่า ถ้าไม่มีป่า น้ำในดินก็จะแห้ง ที่เมืองเชียงใหม่นั้นมีคูรอบเมือง ถ้าน้ำในคูแห้ง น้ำในบ่อก็แห้ง แล้วน้ำในคู่แห้งก็เพราะน้ำห้วยแก้วมันแห้ง ห้วยแก้วน้ำน้อย พอห้วยแก้วน้ำน้อย น้ำในคูเมืองก็น้อย น้ำบ่อซึ่งอยู่ในตัวเมือง ในเวียงก็จะแห้ง ไปตามๆกัน แสดงให้เห็นว่า น้ำที่ออกมาในบ่อมันก็เป็นน้ำในคูเมืองที่ซึมเข้ามาในบ่อ คนโบราณจึงได้ขุดคูเมืองไว้สำหรับน้ำเลี่ยงเมือง แล้วก็กันข้าศึกไม่ให้มาโจมตีได้ง่ายด้วย เขามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องธรรมชาติ จึงได้ทำคูน้ำไว้รอบเมือง น้ำในคูในเมืองนั้นก็ไหลมาจากห้วยแก้ว สมัยก่อนในตัวเมืองเชียงใหม่นี่น้ำไหลในคูข้างถนน ซักผ้าได้ ทำอะไรก็ได้ เพราะเป็นน้ำสะอาด ปราศจากรูป แต่เดี๋ยวนี้นี่น้ำในคูนั้นใช้ไม่ได้ เพราะว่าคนในบ้านในเมืองชอบถ่ายสิ่งโสโครกลงในคูน้ำแล้วก็ลงในคลอง ลงไปในแม่น้ำ และน้ำในแม่น้ำจึงสกปรก เช่น น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนน้ำเจ้าพระยาในสมัยก่อน เดี๋ยวนี้น้ำสกปรกมากขึ้น มีสิ่งโสโครกลอยมาตามน้ำมากขึ้น ก็เพราะคนมักง่ายชอบทิ้งอะไรลงไปในน้ำ บ้านอยู่ริมน้ำ ซักผ้าลงไปในน้ำ ทิ้งขยะมูลฝอยลงไปในน้ำ สัตว์ตายก็โยนลงไปในแม่น้ำ มันก็ไหลไปตามน้ำทำให้เกิดความสกปรก ความสกปรกยิ่งเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในคลองต่างๆในกรุงเทพฯ มีความสกปรกมาก อาบก็ไม่ได้ ล้างเท้าก็ไม่ได้แล้ว
สมัยก่อนนี้มากรุงเทพฯ เมื่อปี ๒๔๗๕ พักที่วัดบวรนิเวศฯ แล้วก็ถามพระในวัดว่า พระวัดนี้อาบน้ำที่ไหนท่านก็บอกว่านั่นแหล่ะ น้ำในคูนั่นแหล่ะ ก็นึกในใจว่าเรามาจากบ้านนอกพระที่อยู่ในกรุงเทพฯ อาจจะหลอกให้เราลงไปอาบน้ำในคูก็ได้ แต่ความจริงน้ำในคูสมัยนั้นยังอาบได้ ก็ยังไม่ลงอาบสงวนท่าทีไว้ก่อน แต่พอถึงตอนเย็น ทั้งพระ ทั้งเณร ทั้งเด็ก ลงไปอาบน้ำในคูกันเป็นแถว ก็นึกในใจว่า กรุงเทพฯนี่เป็นเมืองเจริญแต่น้ำอาบอยู่ในคูวัดมันไม่สะอาดเท่าไหร่ สู้น้ำในเหมืองข้างบ้านที่ไหลมาจากภูเขาไม่ได้ เพราะน้ำนั่นสะอาดกว่า แต่ว่าต่อมาเดี๋ยวนี้น้ำในคูวัดบวรฯอาบไม่ได้ ดำ สกปรก และน้ำในคลองบางลำพูก็ใช้ไม่ได้ สมัยก่อนน้ำในคลองบางลำพูยังใช้ได้ คลองเทเวศร์ก็ใช้ได้ แต่เดี๋ยวนี้ใช้ไม่ได้ เพราะมีกลิ่นเหม็น สกปรก ถ้าใครลงไปอาบก็เป็นผืนคันไปทั้งตัว อันนี้แสดงว่าความสกปรกมีมากขึ้น น้ำในคลองที่อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดี๋ยวนี้ก็อาบไม่ได้ พระลองไปอยู่ที่นั่น ลงไปอาบน้ำในคลองข้างมูลนิธิแผ่นดินธรรม อาบแล้วคันไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว ต้องหาน้ำอื่นมาล้าง น้ำบาดาลมีเอามาล้างตัว อาบไม่ได้ ที่อาบไม่ได้ก็เพราะว่าเราใช้ยาพิษกันมาก เมื่อใช้ยาพิษไปฉีดกันแมลงในนาข้าว ใช้ยาบางประเภทให้นาพึ่งแล้วนาพึ่ง (07.11 เสียงไม่ชัดเจน) นั้นก็ถ่ายลงในแม่น้ำ ทำให้น้ำสกปรกเสียหาย ทำให้เกิดมลพิษมากขึ้นจนไม่สามารถจะใช้น้ำได้
ในประเทศอังกฤษวัดป่าจิตตวิเวก ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกที่พระไปอยู่กัน พระก็ พระฝรั่งที่ไปจากหนองป่าพง ที่จังหวัดอุบลราชธานี ไปอยู่ที่นั่น มีหนองน้ำใหญ่ ก็กั้นทำนบฝายน้ำล้นไว้ น้ำก็ไหลไป อันนี้อยู่มาวันหนึ่งแม่ชี ที่ตั้ง ที่อยู่ริมหนองมีบ้านอยู่ ๒ หลัง แม่ชีอยู่ที่นั่น แกตื่นขึ้นเช้าก็มองลงไปในหนอง “โอ้ ทำไมปลาตายมากเหลือเกิน” เลยก็มาฉันอาหาร ก็มาบอกพระ บอกว่าปลาที่อยู่ในหนองตายลอยฟ่องไปหมด พระฉันข้าวแล้วก็ไปดู พอดูแล้วก็โทรศัพท์ไปบอกเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่เขาเรียกว่าควบคุมสิ่งแวดล้อม สำนักงานควบคุมสิ่งแวดล้อม แจ้งให้ทราบ พอแจ้งให้ทราบ เดี๋ยวเดียว ไม่ถึงชั่วโมงเขาก็มาแล้ว มารถคันใหญ่ มีเครื่องมือเครื่องใช้ มีคนพร้อม มาถึงก็ไปจอดริมฝั่งหนองนั้น เขาก็ลงไปในหนองตักน้ำขึ้นมาส่งเข้าไปในรถ เอาไปทดสอบว่าน้ำมันมีอะไร เขาก็รู้ว่า น้ำมันมีพิษ แต่ว่าไม่รู้ว่าพิษนี่มันมาจากไหน เขาจึงส่งคน ๒ คน เดินทวนกระแสลำห้วย เพราะมันมีลำห้วย เดินทวนกระแสลำห้วยขึ้นไป ก็ไปพบกองหญ้าที่เขาตัดแล้วมันกองไว้ริมน้ำ ฝนตกมันก็เลื่อนลงมา ลงมาในน้ำ เอาหญ้านั้นมาพิสูจน์ก็พบว่า ในหญ้านั้นมียาพิษ ซึ่งเขาใช้ป้องกันศัตรูพืช เลยก็เอามาพิสูจน์ ก็รู้ว่าเป็นยาพิษอะไร คน ๒ คนนั้นก็เดินทวนกระแสขึ้นไปอีก ไปพบกับเจ้าของฟาร์ม ซึ่งปลูกหญ้าถามว่าได้ใช้อะไรพ่นหญ้าเหล่านี้ เขาก็บอกว่าใช้ยาชื่อนั้น บอกว่าท่านทำด้วยความประมาท หญ้าที่ไม่ใช้เอาไปทิ้งไว้ริมแม่ ริมห้วย แล้วมันก็ไหลไปกับน้ำทำให้ปลาของวัดตาย ทีหลังอย่าทำอย่างนี้ เขาเตือน เขาไม่ลงโทษ แต่ว่าเตือนไว้ แล้วต่อมาก็ เขาก็บอกทางวัดให้ไปเก็บปลาขึ้นมาทั้งหมด ว่าปลาตายกี่ตัวเอามานับจำนวนดูว่าตายเท่าไหร่ แล้วให้แจ้งไปที่สำนักงานควบคุมสิ่งแวดล้อม เขาจะจ่ายเงินให้เพื่อซื้อปลาใหม่เอามาปล่อยต่อไป แต่ว่าอีกสักเดือนจึงจะปล่อยได้ ให้ฝนมันตก แล้วก็ เอาน้ำที่เป็นพิษนั้นไปก่อน แล้วก็ปล่อยปลาได้ เขาควบคุมแข็งแรง ดูแลสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านในเมือง
เมืองสุพรรณมีปลาตายกันเป็นหนองๆ ปลาที่เขาเลี้ยงตาย ตายกันมากมายก่ายกอง ยังหาสาเหตุไม่ได้ และทำช้าไม่ทันท่วงที เพราะเจ้าหน้าที่เรามันค่อนข้างเฉื่อยชา ชักช้า ทุเรียนที่เมืองนนท์นี่ตายกันเป็นสวน กว่าจะพิสูจน์ทดสอบรู้ว่าอะไร แต่ว่าทดสอบไปสอบมาก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่ทุเรียนก็ตายไปเป็นอันมากก็ไม่รู้ว่าอะไร ความจริงทุเรียนที่ตายนี่ก็เพราะว่าน้ำในสวนนี่มันเป็นพิษ ทุเรียนไม่ชอบสิ่งที่เป็นพิษ ชอบน้ำสะอาด อันนี้ชาวสวนไปลอกท้องร่อง เอาดินโคลนในท้องร่องขึ้นมาโป๊ะ ปะเข้าที่โคนทุเรียน ทุเรียนก็ได้ยาพิษ รากเน่าตาย ยืนตายเป็นแถวเพราะรากเน่า ได้ถามกำนันบางกรวย เพราะมีสวนทุเรียนมาก ถามว่า “โยมทุเรียนมันตายเพราะอะไร” “เอ๊ะ! ไม่รู้ ส่งไปให้เจ้าหน้าที่เกษตรก็ยังไม่รู้” เลยถามว่า “ทุเรียนสมัยก่อนมันไม่ตาย เพราะว่าน้ำมันสะอาด แต่เดี๋ยวนี้น้ำมันไม่สะอาด ไปตกตะกอนลงในท้องร่อง แล้วเราลอกโคลนในท้องร่องขึ้นมาปะที่โคนทุเรียน ทุเรียนก็คงจะได้สิ่งไม่สะอาด แล้วก็รากเน่าตาย” แกก็บอก “เออ ท่ามันจะจริง เพราะว่าอาศัยน้ำที่ไม่สะอาดทุเรียนตายกันเป็นแถว” เดี๋ยวนี้เจ้าของสวนเมืองนนท์หนีแล้ว ไปทำสวนแถวระยอง จันทบุรี หรือปราจีนบุรี เพราะน้ำในสวนไม่สะอาดนี่คือโทษของความมักง่ายของคนเราที่ทำอะไรโดยไม่ได้คิดได้กรองว่ามันจะเกิดเหตุเภทภัยอะไรขึ้น น้ำในคลองที่เรียกว่า คลองนี่ คลอง ผ่านเข้าไปถึงกรุงเทพฯ ผ่านไปถึงวัดเบญจฯ คลองเปรมประชากร ชื่อดี เปรมประชากร เดี๋ยวนี้มันไม่เปรมประชาแล้ว เพราะว่าน้ำในคลองเปรมนั้นมันสกปรกมาก เหม็น คนที่อยู่ริมคลองเปรมนั้น มีโทษทางลมหายใจไปตามๆกัน เป็นยาพิษไปแล้ว ทำไมจึงได้เกิดเป็นพิษมากอย่างนั้น โรงงานต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในคุ้ง ปล่อยน้ำเสียลงมา น้ำเสียก็ไหลลงคลองเปรม น้ำในคลองเปรมก็ขุ่นข้นไปหมด อันนี้เป็นความบกพร่องของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ให้เขาตั้งโรงงาน แล้วก็ไม่ให้มีเครื่องกำจัดน้ำเสีย น้ำเสียมันก็ไหลลงมาในคลอง แล้วไหลไป ออกแม่น้ำ ทำให้น้ำเน่าเหม็นไปตามๆกัน คลองทุกคลองในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะคลองแสนแสบเหม็นที่สุดเลย
สมัยก่อนนี้เคยไปบ้านท่านเจ้าคุณนทีจะมาประกันกับท่านพุทธทาส (14.22 เสียงไม่ชัดเจน) น้ำในคลองแสนแสบขาวๆ เคยอาบได้ ซักผ้าได้ ทำอะไรได้ทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ไปนั่งอยู่ที่บ้านริมคลองแสนแสบ เหม็นตลอดเวลา เลยถามเจ้าของบ้านว่าอยู่อย่างไรมันมีกลิ่นเหม็นเหลือเกิน ตอบว่าอยู่ๆไปมันก็ชินนะ เพราะไม่รู้จะไปอยู่ไหน จากบ้านเป็นหลักเป็นฐานเป็นตึกเป็นอะไรใหญ่โตก็ต้องทนอยู่ต่อไป ทนดมกลิ่นนั้นต่อไปมันก็ชิน ชินแล้วมันก็ไม่เหม็น คนมาอยู่ใหม่ก็เหม็น ได้กลิ่นใหม่ๆก็เหม็น น้ำในคลองเหล่านั้นใช้ไม่ได้ เวลานี้เหม็นมาก เขาเอาเรือหางยาวไปเดิน เพื่อให้มันเคลื่อนไหว เพื่อจะได้มีออกซิเจนหล่อเลี้ยงน้ำ แต่ก็ไม่ไหว คนนั่งเรือหางยาวไปในคลองนั้นต้องนั่งอุดจมูกไปด้วย เพราะกลิ่นน้ำมันเข้าจมูกทำให้เกิดความเสียหาย เคยนั่ง เรือเร็ว จากท่าน้ำเมืองนนท์ ก็อยากจะนั่งดูว่าไปทางเรือมันจะเป็นยังไง ก็นั่งไปขึ้นโน่นท่าพระจันทร์ พอถึงปากคลองเทเวศร์นี่ เหม็นที่สุด พอถึงปากคลองบางลำพูเหม็นอีกแล้ว เพราะว่าปากคลองนั้นน้ำสกปรกจริงๆ ที่ออกมาสู่แม่น้ำ น้ำเจ้าพระยาก็เลยจะเน่า ต่อไปข้างหน้าจะเน่า แล้วเอามาดื่มมากินไม่ได้ นี่คือความเสียหาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นจากความประมาทนึกว่าเล็กน้อยไม่เป็นไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ปมาโท มฺจจุโน ปทํ ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตาย ทำอะไรกันด้วยความประมาทก็ตาย ไม่ประมาทก็ไม่ตาย
เวลานี้บ้านเมืองของเราส่งเสริมการอุตสาหกรรมมากขึ้น แต่ว่าไม่มีโครงการกำจัดน้ำเสีย พวกน้ำเสียก็ทำให้เกิดมลพิษ ตามแม่น้ำต่างๆ เวลาไปที่เมืองชิคาโก้ คนไทย ๒ คนเขาทำงานอยู่กับสำนักงานกำจัดน้ำเสีย เลยเขาว่าจะพาหลวงพ่อไปดูหน่อยว่าเขาทำอย่างไร เลยพาไปดูที่โรงงานกำจัดน้ำเสีย บริเวณใกล้โรงงานนั้นมีบึง ทำเป็นบ่อใหญ่ๆ เนื้อที่มากมาก เอาน้ำมาไว้ที่นั่น ให้มันตกตะกอน อันนี้ตะกอนที่ตกลงไปนั้น เขาเอาไปทำปุ๋ย เป็นประโยชน์ต่อไป ส่วนน้ำในเมืองที่ออกมาจากบ้านจากช่องจากที่ต่างๆนั้น เขาให้ไหลมาสู่โรงงานกำจัดน้ำเสีย โรงงานนี้ลึกลงไปในดิน ขุดลึกลงไปในดินประมาณสัก ๒๐ – ๓๐ เมตร เวลาลงก็ต้องลงไปข้างล่างแล้วก็มีท่อใหญ่ที่จะดูดน้ำมา เอามาทำให้มันใสสะอาด พอน้ำใสสะอาดแล้ว ก็ปล่อยตามท่อ ท่อใหญ่ ท่อนี่รถสิบล้อวิ่งได้ ไปประมาณ ๖๐ ไมล์ เอาไปปล่อยที่แม่น้ำมิสซิสซิปปี ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่อยู่ระหว่าง ๒ รัฐอิลลินอยส์ กับเซนต์หลุยส์ เอาไปปล่อยที่นั่น เขาไม่ให้น้ำโสโครกของตัวเมืองชิคาโก้ ลงในทะเลสาบ เพราะทะเลสาบนั้นเป็นทะเลน้ำจืด แล้วเขาสูบน้ำจากทะเลสาบขึ้นมาทำประปาให้คนดื่มกินกัน เพราะฉะนั้นไม่มีน้ำโสโครกลงไปในนั้น แล้วเขาไม่ให้สร้างบ้านติดกับทะเลสาบ ระหว่างบ้านกับทะเลสาบมีถนนใหญ่ และก็มีที่โล่งแจ้ง ไม่ให้คนเข้าไปอยู่ เพราะคนไปอยู่ก็จะปล่อยสิ่งโสโครกลงในทะเลสาบ นี่มีตึกใหญ่ๆ ตึกใหญ่ๆทุกตึกก็ต้องมีเครื่องกำจัดน้ำเสีย หรือว่ามีท่อไปลงท่อใหญ่ แล้วท่อนั้นก็ไหลไปสู่โรงงานกำจัดน้ำเสียใหญ่ ทำน้ำให้สะอาดแล้วก็ปล่อยไป โรงงานกำจัดน้ำเสียบางประเทศเขาทำให้น้ำสะอาดจนดื่มได้ ให้คนดื่มก็ได้ไม่มีเชื้อโรค ไม่มีสิ่งโสโครกเลย เขาทำถึงขนาดนั้น เขาป้องกันไม่ให้บ้านเมืองของเขาสกปรกเสียหาย
ประเทศฮอลแลนด์นี่เป็นประเทศที่มีคลองมาก แต่น้ำในคลองนั้นสะอาดไม่มีสิ่งโสโครกเลย เป็นบ้านเป็นเรือนอยู่รอบริมฝั่งคลองเต็มไปหมดแต่ ไม่มีน้ำโสโครกลงในคลองเขาไม่ให้ลง เขาให้ลงที่อื่น แล้วไปกำจัดสิ่งโสโครกออก ทำให้น้ำสะอาดขึ้น เขาทำอย่างนั้น เขาป้องกันไว้ก่อน เพราะเขามองเห็นอนาคตว่าจะเกิดความเสียหาย เราทำอะไร ทำด้วยความประมาท ไม่คิดป้องกันไว้ล่วงหน้า แล้วก็เกิดปัญหาขึ้น ทำให้แม่น้ำเสียหาย
เมืองเชียงใหม่ เมื่อก่อนนี้น้ำในแม่ปิงสะอาด เขาเรียกว่าคลองแม่ข่า อยู่กลางเมือง ไหลผ่านกลางเวียง เดี๋ยวนี้น้ำในคลองแม่ข่านั้น มองไม่ได้แล้ว เพราะมันเป็นน้ำคลำ แสนจะสกปรก แล้วมันไหลไปไหน มันก็ไหลไปลงแม่ปิง แล้วก็ไหลต่อมาลงแม่น้ำเจ้าพระยา มาถึงกรุงเทพ สิ่งโสโครกก็ไหลมาตามน้ำ มีเชื้อโรค มีตัวเชื้อโรคต่างๆติดมาตามน้ำ ใครได้กินเข้าไปก็เกิดโรคเกิดภัยทำให้เกิดความเสียหาย อันนี้มีปรากฏอยู่ในที่ทั่วๆไป ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายแก่ชีวิตของพวกเราที่เป็นชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลาย คนในสมัยนี้จึงมีโรคมากขึ้น แล้วมีโรคแปลกๆ อายุสั้น ตายเร็ว เพราะสิ่งโสโครกมันมาก แต่คนในสมัยก่อนนั้นเขาอยู่กันตามธรรมชาติ ขยะมูลฝอยมันก็น้อย ไม่ค่อยมีมูลฝอยสำหรับทิ้งเท่าใด ถึงมีมากเขาก็เอาไปเผา ในบริเวณบ้าน เผาไฟ ขยะนี่เขากวาดแล้วก็เผาไฟ กลายเป็นขี้เถ้า ขี้เถ้าเหล่านั้นก็เอาไปใส่นา ทำปุ๋ยต่อไป หรือว่าเอาไปเผาในนาแล้วก็กลายเป็นปุ๋ยต่อไป คนอยู่กันบ้านห่างๆ น้ำที่ใช้มันก็ซึมลงไปในดิน ไม่เที่ยวไหลเพ่นพ่าน ไม่มีสิ่งโสโครกเท่าใด เขาเป็นอยู่อย่างนั้นธรรมชาติมันช่วยให้เกิดความสะอาด แล้วในบริเวณบ้านก็มีต้นไม้มาก เพื่อกรองอากาศเสีย ปล่อยอากาศออกซิเจนออกมา คนหายใจเข้าไปก็สบายจมูก สบายปอด ไม่เกิดปัญหาเป็นมลพิษขึ้นมาในร่างกาย อันนี้เป็นเรื่องของคนสมัยก่อน ดังนั้นคนในบ้านนอกจึงไม่ค่อยเป็นโรคร้ายๆ ไม่มีโรคมะเร็ง ไม่มีโรครุนแรงเหมือนกับคนในเมืองคนในเมืองนี่เป็นมะเร็งกันมาก ถ้าไปดูตึกที่มหิดล เขาเรียกว่าสถาบันมะเร็ง ตึกนั้น ๔ – ๕ ชั้น คนมันเป็นมะเร็งไปนอนกันเต็มหมด คนในเมืองเป็นมะเร็งมาก เพราะเอาสิ่งเป็นพิษเข้าไปในร่างกายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สูดเข้าไปโดยไม่รู้ตัวก็มี สูดเข้าไปโดยความตั้งใจก็มี เช่นบุหรี่ นี่สูดเข้าไปด้วยความตั้งใจ ดื่มเหล้าเข้าไปด้วยความตั้งใจ กินของที่เป็นพิษเข้าไปด้วยความตั้งใจ สิ่งเหล่านั้นก็ไปสะสมอยู่ในกระเพาะอาหาร ไปสะสมในลำไส้ ทำให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นในท้อง แล้วก็มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอย่างรุนแรง รักษายาก อันนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นพิษเป็นภัย เราจึงต้องระมัดระวังในการที่จะทำอะไรให้เกิดความเสียหายแก่แผ่นดินที่เราอยู่อาศัย อย่าทิ้งสิ่งโสโครกลงบนแผ่นดิน โดยไม่ได้ฝัง ไม่ได้กลบ หรือไม่ได้เผาทำลาย เพื่อจะช่วยกันแก้ไขสิ่งที่เป็นมลภาวะภายนอกออกไปจากบ้านเรือนของเรา จากสังคมของเราได้ นี่เป็นเรื่องที่อยากจะฝากไว้ให้เป็นแนวคิด สำหรับญาติโยมทั้งหลายที่อยู่ในบ้านในเรือนอย่างหนึ่ง
คราวนี้อีกอย่างหนึ่งมันเป็นสิ่งที่ภายใน มลพิษที่เกิดขึ้นภายในตัวเราเอง คือภายในร่างกายของเรา ร่างกายของเราประกอบขึ้นด้วยกายกับใจ กายกับใจรวมกันก็เรียกว่ามีชีวิตขึ้นมา ชีวิตประกอบด้วยกายกับใจ ถ้าพูดตามภาษาธรรมะเป็นศัพท์เป็นแสงเขาพูดว่า ประกอบด้วยนามรูป รูปก็คือร่างกายทั้งหมด ตั้งแต่ปลายผมถึงปลายเท้า ยาววา หนาคืบ กว้างศอก มีใจตรง อันนี้ใจนั้นเรียกว่านาม มีหน้าที่กำหนดรู้ในเรื่องอะไรต่างๆ รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างไร เป็นผู้กำหนด คิดนึกตรึกตรอง พอใช้ใจของเราเป็นผู้จับ เราจึงมีความรู้สึก มีการกำหนดจดจำ ในเรื่องอะไรๆต่างๆ เพราะเรามีนามคือใจ อันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นแก่ร่างกาย หากเป็นของหยาบมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นได้ เบียดเบียนร่างกายได้ พระพุทธเจ้าจึงถึงกับว่า โรคนิทฺธํ ปภงฺคฺณํ ร่างกายนี้เป็นเรือนโรค เป็นรังของโรค และเป็นของเปื่อยเน่าได้ง่าย ที่ว่าเป็นรังโรค คือโรคมันอยู่ในตัวเรามากมายหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ที่เรามีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะว่ายังแข็งแรง ภูมิต้านทานยังดีอยู่ โรคมันก็ยังเอาชนะเราไม่ได้ แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ความอ่อนแอก็เกิดขึ้น ภูมิต้านทานในร่างกายก็ลดน้อยลงไป ก็เกิดโรคขึ้นในร่างกาย เราก็แพ้แก่โรคนั้น เพราะรักษาไม่ไหว อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา ที่จะเกิดขึ้นแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ทุกเวลานาทีของชีวิต เรียกว่าเป็นเหตุให้เกิดโรคในร่างกาย แล้วโรคมันเกิดก็เพราะการกระทบเรื่องดินฟ้าอากาศ เช่นร้อนๆ แล้วก็หนาว หนาวแล้วก็ร้อน หรือว่าฝนตกแดดออก สิ่งกระทบภายนอก ภาษาธรรมะเรียกว่า อุตุ คือการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ เช่น ฤดูที่ลมพัดแรงเขาเรียกกันว่า ไข้หัวลม คนมักเป็นไข้ในฤดูที่ลมพัดแรง เช่นว่า ฤดูหนาวเข้ามาลมหนาวก็พัดมาจากทางเหนือ คนที่อยู่ในที่โล่งแจ้ง หรือบ้านที่อยู่ในทุ่ง ลมแรงมาก ถ้าใครอยู่ที่อยุธยา เช่น สถานีบ้านภาชี อะไรแถวนั้น ลมแรงมาก หน้าหนาวนี่ลมแรงจริงๆ เคยเดินทางด้วยเท้าไปย่างกุ้ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ กลางคืนก็ไปนอนอยู่ที่มาบพระจันทร์ ออกจากตัวเมืองก็ถึงสถานีรถไฟมาบพระจันทร์ มาบพระจันทร์และก็พระแก้ว จากพระแก้ว ก็บ้านภาชี ช่วงนั้นลมแรงมาก กลางคืนนี่พัดตูมเลยทีเดียว พวกเรานอนนี่ต้องเอาจีวรคลุมหัว แล้วก็นอนกลางแจ้ง ไม่มีกลด ไม่มีอะไร ก็นอนไม่หลับ มันหนาว ชาวบ้านเอาฟางมาให้เพื่อจะได้ปูนอน แต่แทนที่จะปูนอนก็เลยมุดเข้าไปในกองฟาง ให้ความอุ่นมันเข้า เหมือนกับสุนัขนอนในกองฟางอย่างนั้นหล่ะ นึกแล้วก็ขำตัวเอง การที่เดินไปเจอความหนาวอย่างนั้น เป็นหวัดกันทุกคน เป็นหวัดงอมแงมเลย แต่ว่ามันค่อยชิน เวลาเป็นก็เป็นมันก็หาย พอหายแล้วไม่เป็น ถูกหนาวก็ไม่เป็น ถูกร้อนก็ไม่เป็น ถูกฝนก็ไม่เป็น อันนี้แสดงว่าร่างกายของเรานั้น มันสู้กับธรรมชาติ แต่ว่าก่อนที่สู้ได้มันก็พ่ายแพ้ แต่แพ้แล้วมันก็ปรับตัวของมันเอง สู้กับธรรมชาติ สู้ได้เลยไม่เป็นพิษเป็นภัย ไม่เป็นอะไร ร้อนก็ไม่เป็นหวัด แดดจัดก็ไม่เป็นหวัด ฝนตกถูกขณะเดินก็ไม่เป็นหวัด เรามันทนเสียแล้ว คล้ายกับว่ามีวัคซีนป้องกันอยู่ในตัว วัคซีนนั้นก็ไม่ใช่อะไร ก็คือ ความเคยชินกับสิ่งนั้น เลยเอาชนะสิ่งนั้นได้ ร่างกายก็ปลอดภัย เวลาไปไหนมาไหนสมัยนั้น ไม่กางร่ม ใครก็ว่ากางร่มเสียมั่งเดี๋ยวไม่สบาย ไม่ตอบให้มันสู้ของมันเอง ให้ร่างกายมันชินกับความธรรมชาติ เป็นร้อน เป็นหนาว เป็นฝน เลยมันก็อยู่ได้ไม่เป็นไร ร่างกายของคนเรานี้ถ้าหากว่าไม่เคยแล้วมันก็อันตราย เช่น น้ำ ถ้าเราไม่เคยดื่มน้ำ ที่มันมีอยู่ตามบึง ตามหนอง ตามแม่น้ำ ไปดื่มเข้าก็ท้องร่วง แต่คนที่ดื่มอยู่ทุกวันๆ เขาไม่เป็นไร เพราะเขาเคยชินกับน้ำเหล่านั้น ไอ้เราไม่เคยกินไปดื่มก็เกิดเรื่องเท่านั้นเอง สมัยเด็กๆเลี้ยงควายอยู่ในทุ่ง เวลาอยากน้ำขึ้นมาก็น้ำในนา เอามือกอบแล้วก็ดื่ม ไม่เป็นไร ท้องไม่เสี่ยง ไม่มีการลงท้อง ลงไข้อะไร อยู่ได้สบาย เดี๋ยวนี้ถ้ามาอยู่ในเมืองดื่มน้ำสะอาด อ่อนแอ ถ้าไปดื่มน้ำ ไปบ้านนอกนี่ ท้องเสียบ่อย ไปดื่มน้ำที่ไม่เหมือนน้ำที่เราเคยดื่มก็ท้องเสีย คนโบราณท่านบอกว่าไปไหนให้ขุดดินไปด้วย เวลาจะดื่มน้ำเอาดินใส่ลงไป แล้วถ้าดินที่เราเก็บมาสกปรก น้ำมันจะกลายเป็นของสกปรกไป คนโบราณเขาถืออย่างนั้น คือความเคยชินนั่นเอง น้ำในสระไม่สะอาดมีกลิ่นโคลน เขาก็ตักมาก็ดื่มกันเลย เขาอยู่ได้ พวกเราไปดื่มดูสิ ประเดี๋ยวก็ตาริบกันเท่านั้นเอง ถ่ายท้อง ลงท้องกันเป็นการใหญ่ นี่คือความไม่ชินกับสิ่งนั้น ร่างกายมันก็สู้ไม่ได้ แต่พอมันชินแล้วมันก็สู้ได้ เราก็เรียนรู้เอาวิธีการนี้มาใช้ เช่นว่า การปลูกฝี การปลูกฝีก็คือเอาเชื้อโรคมาปลูกให้ ให้ร่างการมันสู้ สู้กับโรคไข้ทรพิษ ฉีดให้มันเข้าไปสู้กัน แล้วร่างกายสู้ได้ คนที่ฉีดฝีแล้วมีไข้ทรพิษไม่เป็นไร เพราะร่างกายมันเคยสู้กับโรคนั้นแล้ว หรือฉีดวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค มันก็เชื้อโรคนั่นหล่ะ แต่ฉีดเข้าไปน้อยๆ ให้ร่างกายมันต่อสู้มันได้ชินกับสิ่งนั้น เราก็อยู่ได้ เอาไปใช้ ก็เอาเรื่องของธรรมชาตินี่หล่ะไปใช้ ช่วยให้เราอยู่ได้สบายขึ้นเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นร่างกายของคนเราอย่าหนีธรรมชาติให้มากเกินไปสู้กับมันเสียบ้าง แล้วเราก็จะคุ้นเคยกับธรรมชาติ คนเป็นทหารเป็นตำรวจ ตชด. อย่างนี้อยู่แต่ในป่า ไปอยู่ในป่าเดินบุกป่าอยู่ตลอดเวลา ทหารบางทีก็ออกกลางคืน กำลังหลับสบายๆ เป่าแตร แต๊ดแต่ แต๊ดแต่ ลุกขึ้น เข้าไปในป่า บุกเข้าไปจะหนาวจะร้อนไม่ต้องพูดถึง เพราะว่าข้าศึกมันอาจจะมาเมื่อไรก็ได้ ก็ให้ไปฝึกให้มันชินกับธรรมชาติ แล้วก็แข็งแกร่ง ทนได้ทุกอากาศ นี่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เราจึงควรจะให้มันคุ้นกันเสียบ้าง อย่าหนีธรรมชาติมากเกินไป หากแต่มันเกิดความคุ้นเคยกัน แล้วเราก็จะสู้ธรรมชาติได้ พระสงฆ์องค์เจ้าสมัยก่อนท่านอยู่ป่า ท่านก็ไม่ค่อยจะมีโรคภัยเบียดเบียน มีบ้างไม่มากนัก แต่ถึงมีก็รักษาอยู่ในป่า รักษาไปก็จนหายแล้วก็อยู่กันได้ต่อไป ไม่เดือดร้อน ท่านเจ้าคุณพุทธทาสท่านป่วย หมอไปจากกรุงเทพฯ บอกว่าขอนิมนต์หลวงพ่อไปกรุงเทพฯ พาไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ท่านยิ้มแล้วท่านบอกว่า พระสมัยก่อนป่วยอยู่ในป่า รักษาในป่า หายบ้าง ตายบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา อาตมานี่อยู่ป่ามาตั้ง ๖๐ ปีแล้ว เวลาป่วยจะหนีไปรักษาที่กรุงเทพฯ ได้อย่างไร มันต้องรักษากันที่นี่ ถ้ามันจะตายก็ตาย ถ้าหายก็คงจะหาย หมอก็ต้องไปรักษาที่นั่น เอาเครื่องมือเครื่องใช้ไป เอาออกซิเจนไปวางไว้ แล้วก็ให้หมอมาคอยดูแล ตรวจตรารักษาท่าน เดี๋ยวนี้ท่านก็เรียกว่าอยู่ในสภาพปกติ ร่างกายเหมือนเดิม พอแสดงธรรมได้แต่ว่ายังไม่แสดงมาก ๓๐ นาที ๒๐ นาที คนไปมา เดี๋ยวนี้คนมาแวะมากพวกกฐิน กฐินทัศนาจร ไปแล้วกลับมาก็แวะ แวะแล้วก็ให้ท่านพูดธรรมะให้ฟัง ๓๐ นาที ๒๐ นาที วันหนึ่งมันก็หลายหมื่น ท่านก็พูดเรื่อยๆไป ขัดคำสั่งหมออยู่ที่พูดอย่างนั้น แต่ไม่เป็นไร ร่างกายแข็งแรงแล้ว รักษาเป็นปกติจะได้สอนคนต่อไป แต่ว่าบุกมากไม่ได้ เพราะว่าอายุมากแล้ว ท่านก็เทศน์แค่พอสมควร ไม่ให้มากเกินไป ก็พออยู่ได้ รักษาอยู่ในป่า ความเคยชินกับธรรมชาติ คนเราถ้าหนีธรรมชาติก็อ่อนแอ แต่ถ้าสู้กับธรรมชาติจะแข็งแรงขึ้น แดดกล้าแต่ถ้าไปเดินกลางเที่ยงไม่ได้สู้ไม่ไหว ต้องเดินแต่เช้า เช้าเดินแดดก็ค่อยสูงขึ้น ความร้อนเพิ่มขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย สู้ได้ แล้วก็ตอนเย็น มันค่อยผ่อนละทีละน้อย ทีละน้อย ร่างกายเราปรับได้ อุณหภูมิในร่างกายมันก็ปรับตัวเองได้ แต่ถ้าอยู่ๆแดดเปรี้ยงๆออกไปเดินนี่ อันตรายมันปรับไม่ทัน พอปรับไม่ทันก็เกิดอันตราย เพราะฉะนั้นต้องมีร่ม มีอะไรกางนิดหน่อย แล้วก็ค่อยให้มันชินขึ้น ก็เป็นไปได้ เขาบอกว่าแสงแดดจัดนี่เป็นเหตุให้เกิดมะเร็งผิวหนัง พวกฝรั่งนี่ชอบอาบแดด แต่งตัวเปิดผ้า เปิดอกนอน นอนหงายอาบแดด นอนคว่ำอาบแดด ให้แดดส่องจนผิวคล้ำ ฝรั่งมันขาว มันมองแล้วมันจืดตา เพราะฉะนั้นมานอนให้ผิดคล้ำซะหน่อย ฝรั่งจึงมีภรรยาเป็นไทยผิวดำเหมือนสีหมึกก็มี (36.25 เสียงไม่ชัดเจน) สีแปลกกว่าคนอื่น ดูแล้วมันสวย สีมันไม่เหมือนเพื่อน ดำบ้าง ดำแดงบ้าง ฝรั่งเขาก็เรียกว่ามันผิดตาหน่อย ไม่เอาคนสีขาว พวกผิวขาวก็พยายามมาอาบแดด เอาน้ำมันทาบ้าง แล้วก็นอนจนผิวคล้ำ กลับจากเมืองไทยขึ้นเรือบินกลับบ้าน ผิวคล้ำไปตามๆกัน แต่ไปอยู่โน่นมันไปบ่มอยู่ในตู้ มันก็ขาวขึ้นอีก ตอนอยู่เมืองนอกมันก็อยู่ในตู้กระจกปิดหมดอากาศเข้าไม่ได้ ยิ่งหน้าหนาวก็เหมือนอยู่ในตู้ระบายอากาศด้วยเครื่องฮีทเตอร์ พอมีอากาศหมุนเวียนบ้าง เขาก็อยู่กันอย่างนั้น ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น เพราะว่าดินฟ้าอากาศมันไม่เหมือนบ้านเรา แต่เขาก็อยู่ได้ ด้วยความเคยชิน แต่คนที่ไม่เคยชินไปอยู่ใหม่ๆก็อยู่ลำบากทั้งกายทั้งใจ อันนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ
อันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในใจมันมีเรียกว่า ข้าศึกภายใน เป็นพวกกิเลสที่เกิดขึ้นในใจ กิเลสนี่ไม่ใช่ของเดิม ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในใจเราตลอดเวลา ไม่ใช่มีอยู่ตลอดเวลา แต่มันเกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว เพราะฉะนั้นที่พูดว่าละกิเลสนี่มันก็ไม่ค่อยถูกต้อง คือไม่ใช่ละ เพราะมันไม่มีจะละ ไม่มีความโลภจะละ ไม่มีโกรธ ไม่มีความหลงจะละ เพราะโดยปกติธรรมดา มันก็ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง ไม่มีความริษยา ไม่มีความแข่งดี ไม่มีการถือเนื้อถือตัวอะไร อยู่ปกติมันไม่มีอะไร เพราะฉะนั้นเรานั่งอยู่คนเดียวก็ไม่มีอะไร สภาพใจเราเป็นปกติ เป็นตัวเดิมของมันแท้ๆ ไอ้ตัวเดิมของใจนั้นคือความสงบ สะอาด สว่าง อยู่โดยธรรมชาติ มันไม่มีอะไร แต่ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น ก็เพราะว่ามีสิ่งมากระทบจากภายนอก สิ่งที่มากระทบก็ผ่านเข้าไปทางอายตนะ เรียกว่าอายตนะคือเครื่องต่อกับสิ่งภายนอก ตาต่อกับรูป หูต่อกับเสียง จมูกต่อกับกลิ่น ลิ้นต่อกับรส ประสาทกายต่อกับสิ่งที่เรียกว่าโผฎฐัพพะ เป็นศัพท์เทคนิค โผฎฐัพพะ คือสิ่งที่มากระทบปลายประสาทแล้วก็เข้าไปถึงใจ ใจเป็นผู้รับรู้ในสิ่งนั้น แล้วก็ปรุงแต่งให้เกิดอะไรขึ้น เกิดความรักเกิดความชัง เกิดความอยากได้ เกิดความไม่อยากได้ขึ้นในใจ สิ่งใดมันเข้ากับความรู้สึกของเรา เราก็อยากได้ แต่ว่าถ้ามันไม่เข้ากับความรู้สึกทางใจเราก็ไม่อยากได้ รูปบางอย่างเราก็พอใจ บางอย่างเราก็ไม่พอใจ เสียงบางอย่างเราฟังได้ แต่บางอย่างฟังไม่ได้ กลิ่นบางอย่างชอบ แต่บางอย่างก็ไม่ชอบ รสอาหารบางอย่างถูกปาก เราเรียกว่าถูกปาก คือหมายความว่าถูกใจ อร่อย กินอร่อย แต่อาหารบางอย่างไม่ถูกปาก มันถูกปากนิดเดียว แต่ว่าเราไม่พอใจ กินแล้วไม่พอใจก็ไม่อยากกิน นี่เป็นอย่างนั้น สิ่งถูกต้องบางอย่างก็พอใจ บางอย่างก็ไม่พอใจ ความพอใจความไม่พอใจ มันไม่ได้มีอยู่ในใจของเรา แต่มันเกิดขึ้นเพราะมีสิ่งภายนอกมากระทบ มีรูปมากระทบ มีเสียงมีกลิ่นมีรสมีโผฎฐัพพะ แล้วก็เกิดอารมณ์ขึ้นที่ใจเรียกกว่าธรรมารมณ์ เกิดขึ้นที่ใจของเรา ใจก็เปลี่ยนสภาพไป เปลี่ยนจากสภาพจากความสงบ กลายเป็นความวุ่นวาย จากความสะอาด เป็นความเศร้าหมอง จากความเย็นกลายเป็นความร้อนขึ้นมา สิ่งเหล่านี้ มันเกิดเป็นอยู่โดยธรรมชาติ เราก็เลยหลงผิด เข้าใจผิดว่ามันมีอยู่ในใจของเราความจริงมันไม่มี คำสอนในทางพระพุทธศาสนา มีอยู่อันหนึ่งว่า สิ่งทั้งหลายเกิด-ดับ เกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลา ไม่คงที่ อันนี้สำคัญ เป็นสิ่งที่เราต้องกำหนดรู้ไว้ เพื่อเอาไปเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาชีวิต อะไรๆที่มันเกิดขึ้น เกิด-ดับ เกิด-ดับ ตลอดเวลาถี่ยิบ มันไม่ได้ถาวร ไม่ได้เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา แต่มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไหลไปอยู่ตลอดเวลา ไม่คงที่ ไม่ว่าอะไร ความโกรธเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่มันก็เกิดอีก เกิดอีกเพราะเราเผลอเราประมาท ขาดสติปัญญา ไม่รู้ทัน ไม่รู้เท่าในสิ่งนั้น มันก็เกิด-ดับ เกิด-ดับในใจของเรา มันทำให้เราเต้น ก้าวร้าว อยู่ด้วยอารมณ์เหล่านั้น เราก็เลยหลงผิดคิดว่า มันมีอยู่ในใจของเรา มันไม่ได้มี มันเกิดขึ้นเพราะมีสิ่งมายั่ว มายึด ทำให้เราชอบใจบ้างไม่ชอบใจบ้าง ให้เราดีใจบ้าง ให้เราเสียใจบ้าง ให้เราอยากวิ่งเข้ามา อยากผลักออกไป เพราะสิ่งมากระทบ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านั้นมากระทบมันก็ไม่มีอะไร ในใจของเราก็ไม่มีอะไร แต่ว่ามันมีได้เหมือนกัน คิดถึงของเก่าๆ เรื่องเก่าที่เราเคยเห็น เคยได้ยิน เคยดม เคยลิ้ม เคยชิม เคยถูกต้อง ของเก่าเอามานั่งคิด คนเราที่เป็นทุกข์ก็เพราะคิดถึงเรื่องเก่าบ้าง คิดถึงเรื่องที่ยังไม่มาถึงบ้าง มี ๒ เรื่อง คิดถึงเรื่องเก่าแล้วก็ไม่สบายใจ คิดถึงเรื่องที่ยังไม่มาถึงก็ไม่สบายใจ คิดอย่างนั้นก็เรียกว่าคิดด้วยอวิชชา พูดภาษาธรรมดาก็ว่าคิดด้วยความโง่ ความเขลา แต่ถ้าเราคิดด้วยวิชชา คือความรู้ความเข้าใจ สิ่งนั้นก็จะไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยแก่เรา คิดด้วยความรู้ความเข้าใจ ก็คือคิดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา แต่ว่ามันไม่เที่ยง มันก็คงจะดับไป มันเกิดขึ้นเพราะอะไรต้องรู้ ว่าเกิดอารมณ์นี้ขึ้นเพราะอะไร เราโกรธเพราะอะไร เราเกลียดเพราะอะไร เรารักเพราะอะไร เราพอใจเพราะอะไร เราริษยาเพราะอะไร เราเกิดพยาบาทผูกแค้นกันมาเพราะอะไรต้องรู้ พิจารณาให้มันตลอดสาย ถ้าเราพิจารณาอย่างนั้น ไอ้ตัวนั้นมันก็ไม่ปรากฏ เช่นว่า พอเราโกรธ เราก็จะรู้ทันทีว่า กำลังโกรธ ความโกรธ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เราก็พิจารณาว่า ความโกรธนี้มันเกิดจากอะไร เราได้เห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้กลิ่นอะไร ได้รสอะไร ได้สัมผัสถูกต้องสิ่งใด มันถึงเกิดขึ้นมา พิจารณา ด้วยปัญญา ถ้าเราใช้ปัญญาเป็นเครื่องมือพิจารณาสิ่งนั้นอยู่ ไอ้ตัวความโกรธ ความเกลียด ความรัก ความชัง มันหายไป ทำไมมันจึงหายไป เพราะว่าใจเรามันคิดได้ทีละอย่าง ไม่ได้คิดพร้อมกันหลายเรื่องหลายอย่าง ไม่ใช่ มันคิดอันนี้ อันนั้นมันก็หายไป พอมาคิดอันโน้น อันนี้มันก็หายไป มันเป็นอย่างนั้น อันนี้ถ้าเราคิดถึงความโกรธ คิดเห็นให้เป็น คิดถึงคนที่เราโกรธเราเกลียด คิดถึงอะไรๆที่เราไม่ชอบใจไม่พอใจ เราก็เกิดความรู้สึกอย่างนั้นขึ้นในใจของเรา เป็นความโกรธ เป็นความเกลียดขึ้นมา แต่ถ้าเราเปลี่ยนความคิดมาสอบถามตัวเองว่าโกรธอะไร โกรธใคร เรื่องอะไรทำให้เราโกรธให้เราเกลียด วิเคราะห์วิจัยเอาเรื่องนั้นขึ้นมาพิจารณาว่าขณะที่เราพิจารณาเรื่องนั้นอยู่ ไอ้ตัวความโกรธมันก็ดับไปแล้ว มันไม่มีแล้ว เราก็พิจารณาให้รู้ว่าเหตุมันอยู่ที่อะไร เหตุของเรื่องนี้มันอยู่ที่อะไร แล้วเราก็พิจารณาแยกแยะ เหตุนั้นออกให้ละเอียด แยกออกไปจนกระทั่งให้เห็นว่ามันไม่มีอะไร ไม่มีเนื้อมีตัว ที่เราจะโกรธจะเกลียดไม่มีเนื้อมีตัว ไม่มีเนื้อมีตัวที่เราจะรักจะชอบ ไม่มีเนื้อมีตัวอะไรที่เราจะเอามาเป็นของเรา เราพิจารณาเข้าไปสิ่งนั้นตามสภาพที่เป็นจริง
สภาพที่เป็นจริงของสิ่งทั้งหลายนั้นก็คือความไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไหลลื่นอยู่ตลอดเวลา เราจะไปจับเอาตอนใดตอนหนึ่ง ว่าเป็นตัวเราก็ไม่ได้ เป็นของเราก็ไม่ได้ ว่ามันเป็นตัวถาวรมันก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นแต่เพียงรวมตัวกันเข้าไหลไปตามอำนาจการปรุงแต่งและเมื่อหมดสิ่งปรุงแต่งก็ดับไป หายไป ไฟลุกขึ้นเพราะอะไร เพราะมีเชื้อ หมดเชื้อไฟมันก็ดับไปก็ไม่มีอะไร สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในใจของเรานี้ก็เหมือนกัน มันมีเหตุให้เกิด ถ้าเหตุยังมีผลก็ยังมีต่อไป แต่ถ้าเหตุหมดผลมันก็หมด และหน้าที่ของเราก็จะพบกับสิ่งเหล่านั้น ก็ต้องนำมาพิจารณามาวิเคราะห์วิจัยในสิ่งนั้น ให้รู้ให้เห็นว่ามันคืออะไร มันคืออะไรกันแน่ บอกให้ละเอียดพิจารณาแยกแยะออกไป จนกระทั่งว่ามันไม่มีอะไรที่น่าทุกข์ ไม่มีอะไรที่น่ารัก ไม่มีอะไรที่น่าเอามาเป็นของตัว พิจารณาอย่างนั้น สิ่งเหล่านั้นมันก็หายไปจากใจของเรา อันนี้แหล่ะคือวิธีการแก้ทุกข์ตามหลักการในทางพระพุทธศาสนา อารมณ์ค้างต่างๆที่จะมาอยู่ในใจของเรามันก็จางไปหายไปมันไม่ค้าง เพราะเรารู้ว่ามันคืออะไร เรากำหนดสิ่งที่จะเข้าไปจับไปฉวยไว้ ว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา ความทุกข์มันก็ดับไปเท่านั้นเอง โดยปกติคนเราไม่ค่อยจะได้ใช้ปัญญาในเรื่องต่างๆ ไม่ค่อยจะพิจารณา พออะไรเกิดขึ้นก็ไม่อยู่กับสิ่งนั้น พอโกรธก็โกรธอยู่นั่นหละ นั่งโกรธอยู่ได้ตั้งชั่วโมง ทำไมจึงโกรธนานอย่างนั้น ก็เพราะไม่รู้ตัวว่าเรากำลังโกรธ ไม่รู้ ไม่รู้ตัว และไม่รู้ว่าโกรธอะไร เคืองอะไร เพราะไอ้สิ่งที่ทำให้เราโกรธนั้น มันเป็นอะไรจริงหรือไม่ มันแท้หรือไม่ เช่นว่าเขาด่าเรา ไอ้คำด่านั้นมันจริงหรือไม่ มันแท้หรือไม่ มันเป็นแต่เพียงลมที่ออกจากปาก แล้วก็เป็นเสียงตามความธรรมชาติ เป็นเสียงขึ้นมา แล้วเสียงนั้นมันยังอยู่หรือเปล่า มันหายไปแล้ว พอเข้าหูก็หายไปแล้ว พอคนนั้นปิดปากเสียงมันก็หายไปแล้ว มันหยุดไปแล้ว แล้วเราทำไมยังไม่หยุดบ้าง ทำไมเอามานั่งคิดนั่งฝัน ไปนอนคิดถึงบ้าง ให้เจ็บแค้น มันด่ากู มันเรื่องอะไร เอาแต่เจ็บใจเก็บใส่กระเป๋าไว้ทำไม (50.00 เสียงไม่ชัดเจน) ทำไมไม่ทิ้งหล่ะ ไอ้ของที่มันไม่ดีทำไมไม่ทิ้งไว้ที่ตรงนั้น (50.25 เสียงไม่ชัดเจน) ...... บกันไปเรื่อย หอบไปถึงบ้าน หอบไว้ ๒ เดือน ๓ เดือน บางคนหอบไว้ ๓-๔ ปี หอบไว้ครึ่งชีวิต เจ็บใจนัก มันทำกูเจ็บนัก มันเรียกว่าอะไร เรียกว่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ หาเรื่องก่อกรรมก่อเวรกันไม่เข้าเรื่องเปล่าๆ
ในสภาผู้แทนราษฎรทำเรื่อง (50.56 เสียงไม่ชัดเจน) คือรัฐบาลคุณอานันท์นี่แกก็ทำเรื่องดีมีประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมืองเยอะ เพราะฉะนั้นไปตั้งญัตติขึ้นมาว่า มันต้องตั้งกรรมการพิจารณาว่ารัฐบาลนี้ได้ทำอะไรเสียหายแก่บ้านแก่เมืองบ้าง ก็ต้องไปอภิปรายในสภา ตัวผู้ถูกอภิปรายไม่ได้ยินเลย ไม่รู้เรื่องเลย พวกนี้มานั่งด่าอยู่พวกเดียวในสภา แล้วก็จะให้ตั้งกรรมาธิการขึ้น เพื่อพิจารณาทบทวนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลเหล่านั้นซึ่งมันไม่ถูกต้อง เขาออกไปแล้ว เขาก็มา ไม่ใช่ว่า มาด้วยความพอใจอะไร แต่เห็นว่าชาติมันวุ่นวายสับสน ก็เข้ามาช่วยหน่อย เรือมันไม่มีกัปตัน มันแกว่งไปแกว่งมา ปัดซ้ายปัดขวา แล้วมีคนคนหนึ่งกระโดดลงมาจับพวงมาลัย ถือให้เรือมันไปตรงหน่อย ถ้ามันเรียบร้อย กัปตันนั้นขึ้นเรือแล้ว พวกที่ลงมาในเรือทีหลัง มานั่งถกเถียงกันว่า “เอ๊ ต้องตั้งกรรมการขึ้นพิจารณาว่ากัปตันคนนี้มันทำอะไรแก่บ้านแก่เมืองบ้าง” มันเรื่องอะไร มันถูกต้องหรือเปล่า ไม่ได้ถือหลักพระพุทธเจ้าว่า เวรน่ะมันไม่ได้ระงับด้วยการจองเวร ก่อกรรมก่อเวรกันทำไม เขาออกไปแล้ว เพราะเขามาช่วยพยุงเรือให้มันนิ่งไปด้วยความเรียบร้อย ไปเกือบจะถึงฝั่งแล้ว แล้วก็เปลี่ยนกัปตันขึ้นมา มีการเลือกตั้งมีอะไร คนอื่นก็มาเป็นต่อไป เสนอญัตติ ฝ่ายค้าน เรื่องของฝ่ายค้าน แต่ดูซีกฝ่ายรัฐบาลไม่เห็นด้วย แปรญัตตินี้ตกไป แหม ถ้าเห็นด้วยก็ฉิบหายกันใหญ่ แล้วก็ล้มใหม่ ต้องทำเรื่องมากรรมการ พวกฟื้นฝอยหาตะเข็บ แล้วมันจะได้อะไร (53.13 เสียงไม่ชัดเจน) เราไปสร้างความแตกแยกขึ้นในบ้านเมืองทำไม มันควรจะสร้างสิ่งที่เป็นสันติ เป็นความสุข เป็นความสงบ ไอ้เรื่องที่ผ่านมาแล้ว เค้าทำไว้บางอย่างอาจจะไม่ถูกต้องแต่ก็พูดกันได้ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร จะไปโทษคนเหล่านั้นทำไม ถ้าทำอย่างนั้นได้ ใครมาเป็นรัฐบาล พอออกไปก็ตั้งกรรมการขึ้นสอบสวน สอบเป็นชุดๆ แล้วบ้านเมืองมันจะเป็นอย่างไร มันก็ยุ่ง อยู่กันด้วยความยุ่งยากลำบากเดือดร้อน ไอ้คนมันไม่มีหัวคิดมันก็มีเหมือนกัน เรียกว่าไม่ได้ใช้ปัญญา “ปัญญามันน้อย” (54.04 หลวงพ่อพูดผิดจึงเห็นควรให้ตัดออก) สติมันน้อย ปัญญามันมาก สติกับปัญญามันต้องไปด้วยกัน ถ้าไม่ได้ไปด้วยกันแล้วก็ยุ่ง พวกปัญญาตื้นสติไม่มี มันก็ยุ่ง ทำให้เสียหาย ตัวอย่างเอามายกให้เห็นว่ามันมีอยู่เช่นนี้
คราวเรามันอยู่ในสังคมโลกนี้ก็ต้องรู้จักปล่อยรู้จักวางซะบ้าง อะไรที่แล้วกันแล้วก็แล้วกันไป สามีภรรยาที่หาเรื่องทะเลาะกันบ่อยๆก็เพราะแบบนี้เรื่องมันแล้วไปแล้ว ว่างๆก็ขุดคุ้ยทำไม เพื่ออะไร นั่งเถียงกันสองคน มาเถียงกันทำไม ทะเลาะกันทำไม มันบ้า ก็ยังว่าจิตใจมันผิดปกติขึ้นมา เลยก็นั่งเถียงกันเล่น เถียงกันมันไม่สนุกอะไรปั้นหน้ายักษ์หน้ามารเข้าใส่กันนี่มันไม่ได้เรื่องอะไร เราควรจะปล่อยๆ ไอ้เรื่องไหนที่จะยุ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อย่าพูดเรื่องอันจะต้องเถียงกัน เพราะว่าเถียงกันแล้วมันพูดมาก เมื่อพูดมากแล้วจิตฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา แค่นั้น ทีนี่บุคคลบางคนชอบเถียงเรื่องไม่จำเป็น ก็เถียงเขาแล้วไม่ได้อะไร เช่นคนหนึ่งว่า จากนั้นอีกคน ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไปค้านเขาทำไม ไม่ได้อะไร แต่นิสัยชอบค้าน ชอบขัดคอคนอื่น แล้วก็เถียงกัน มันไม่ได้อะไร มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่จะต้องคัดง้างกัน เถียงกัน สร้างความสงบดีกว่า สร้างปัญหา ให้แง่คิดไว้อย่างนั้น เอาหล่ะ พูดมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้