แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ นั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงได้ชัดเจน แล้วจงตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการฟัง ตามสมควรแก่เวลาตรงนี้ก็ขึ้นเดือนใหม่ คือเดือน ๑๒ ขึ้นเดือน ๑๒ นั่นเป็นเดือนสุดท้ายของปี ตามแบบโบราณ แล้วก็ถึงเดือนอ้ายเป็นปีใหม่ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ยังไม่เป็นปีใหม่ เพราะว่าเขาเปลี่ยนมาเป็นปีใหม่เดือนมกราคม ซึ่งไม่กี่เดือนก็จะถึงแล้วพฤศจิกา ธันวา เรื่อยไป ก็ถึงวันปีใหม่
ชีวิตของเรานี้มันขึ้นอยู่กับเวลา เวลาล่วงไปๆ ชีวิตเราก็เปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา เวลาที่ล่วงไปนั้น ทำให้ชีวิตของเราได้อย่างหนึ่งขึ้นมา คือได้อายุ อายุนี่มันเกิดขึ้นเพราะเวลา เวลาล่วงไปทุกวินาที ทำให้เราได้อายุเพิ่มขึ้น ฉะนี้การได้อายุเพิ่มนั้นก็เป็นเครื่องหมายของความแก่ ที่เราเรียกว่าแก่ แก่ มันแก่อยู่ตรงที่อายุมาก ถ้าอายุมากก็แก่มาก อายุน้อยก็แก่น้อย ไอความจริงความแก่มันแก่มาตั้งแต่เริ่มต้นของชีวิต พอเริ่มจะปฏิสนธิในท้องของคุณแม่ ก็เริ่มแก่ขึ้นแก่ขึ้นโดยลำดับ ที่เราพูดกันว่าท้องแก่ ท้องแก่ก็คือเด็กในท้องมันแก่ มันเติบโตขึ้น จนกระทั่ง ๑๐ เดือน ตามปกติมันก็ต้อง ๑๐ เดือน แล้วจึงจะคลอดออกมาเป็นคน แต่เดี๋ยวนี้บางทีก็ไม่ถึง ๑๐ เดือน แสดงว่าคนมันใจร้อนมากขึ้นรีบคลอด บางทีก็ยังไม่ถึงกำหนดคลอด ก็คลอดแล้ว ต้องเอามาไว้ในตู้อบ ตู้อบนี่ราคาตู้หนึ่งตั้ง ๑๔๕,๐๐๐ บาท เอามาใช้ต่างต้มให้เด็กเข้าไปนอนอยู่ก่อน จนกว่าจะสมควรเวลาจึงเอาออกจากตู้ เอาไปให้คุณแม่เลี้ยงต่อไป ความแก่ของคนเรามันก็เป็นอย่างนั้น แก่มาโดยลำดับ แล้วเมื่อเกิดออกมาได้ลืมตาดูโลก
เสียงร้องไห้ การร้องไห้นี่ก็แสดงว่ามันเป็นทุกข์ ไม่ได้หัวเราะสักคนเดียว เกิดมาร้องทุกคน ไม่มีใครหัวเราะ เพราะมันเป็นทุกข์มันถึงร้อง การร้องไห้ของเด็กนั่นเป็นการแสดงความทุกข์ ทุกข์เพราะว่าได้พบสิ่งที่ใหม่แปลก ไม่เหมือนกับที่ตนได้อยู่อาศัยมาก่อน ตอนอยู่ในท้องของคุณแม่มันมีสภาพอย่างหนึ่ง แต่พอคลอดออกมานี่ สภาพมันเปลี่ยนแปลงไป กระทบกับอากาศ ร้อนหนาวตามธรรมชาติ เด็กไม่เคยสัมผัสกับสิ่งนั่น ก็เลยตกใจกลัว ออกมาถึงนี่แสดงอาการกลัว แล้วก็ร้อง ก็แสดงว่าเป็นทุกข์นั่นเอง
ที่พระท่านว่าความเกิดเป็นทุกข์ นั้นก็เป็นทุกข์แบบหนึ่งเหมือนกัน แต่ว่าเกิดเป็นทุกข์นั่นมันอีกแบบ ลึกซึ้งกว่านั้น แต่นั่นเราเห็นง่าย ว่าความเกิดนี่มันก็เป็นทุกข์ แล้วก็วันเวลาล่วงไป เด็กนั่นก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปตามลำดับ พ่อ แม่ ปู่ ตา ย่า ยาย สบายใจเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของเด็ก ก็มีความสบายใจ เพราะว่าเปลี่ยนไปในทางที่เจริญขึ้น เติบโตขึ้น ก็มีความพึงใจพอใจ เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ตามวันเวลา จนกลายเป็นเด็กขนาดเดินได้ วิ่งได้ พูดได้ ไปโรงเรียนได้ แล้วก็เป็นเด็กวัยรุ่นวัยคะนอง เริ่มสร้างปัญหา
พอเติบโตขึ้นนี่ก็เริ่มมีปัญหา หาความทุกข์ให้แก่พ่อแม่ พ่อแม่เป็นทุกข์เพราะว่าลูกไม่ค่อยจะเรียบร้อย ทีนี้ลูกไม่เรียบร้อยนี่ เป็นความผิดพลาดของใคร ถ้าคิดกันให้ดีแล้ว ไม่ใช่เป็นความผิดของเด็ก คือเด็กยังไม่รู้อะไร ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น ผู้ใหญ่นี่เป็นผู้รู้ผู้เข้าใจ แต่ว่าทำหน้าที่ของความเป็น ไม่สมบูรณ์ เป็นพ่อไม่สมบูรณ์ เป็นแม่ไม่สมบูรณ์ ไม่ได้ให้การอบรมบ่มนิสัยแก่เด็ก ไม่ได้ฝึกหัดอบรมให้เขามีความเป็นอยู่ที่ถูกต้อง เพราะว่าความรักปิดหูปิดตา รักมากและไม่สั่งสอนไม่อบรม สุดแล้วแต่ลูกจะทำอะไร ก็ตามใจเขา เด็กมันทำอะไรตามชอบใจ บางทีก็ผิด บางทีก็ถูก
ถ้าหากว่าทำถูกมันก็ดี แต่ถ้าทำผิดมันก็ไม่ดี เพราะการกระทำของเด็กทุกอย่างสร้างนิสัย สร้างนิสัยให้เกิดขึ้นแก่เด็ก ถ้าเราไม่สอนไม่เตือน ไม่บอกให้เขาเข้าใจ เขาก็จะทำสิ่งนั้นบ่อยๆ ทำบ่อยเข้า มันก็กลายเป็นนิสัยเป็นสันดาน มีปกติเป็นอย่างนั้น เลยสอนไม่ได้ เราก็บ่น เฮ้อ ไอนี่มันดื้อ ว่าไม่นอนสอนไม่ฟัง พ่อแม่หาว่าลูกดื้อ
ใครเป็นผู้ทำให้ลูกดื้อ ก็คุณแม่นั่นแหละเป็นผู้ทำให้ลูกดื้อ คือไม่หัดเสีย เมื่อเขายังอ่อน คนโบราณว่าไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก อันนี้เราไม่ได้ไม้ยังอ่อน ปล่อยให้มันมันตามเรื่องของมัน จนมันชินกับสิ่งนั้น และเราไปแก้ไข มันก็ลำบาก เพราะมันชินเสียแล้ว ติดนิสัยเสียแล้ว เสียผู้เสียคนไปตามกรรม อันนี้เรื่องของความผิดของแม่ของพ่อ พ่อก็มีส่วนผิด แม่ก็มีส่วนผิด
พ่อที่ทำผิดก็คือว่าไม่ทำตนให้เป็นตัวอย่างแก่ลูก ชอบประพฤติอะไรตามใจตัว ตามใจอยาก เช่นเป็นคนชอบดื่มของมึนเมา ชอบเที่ยว ชอบสนุกในเรื่องอะไรต่างๆ ไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้าน ไม่มีเวลาที่จะได้คุยกับลูก สนทนากับลูก แล้วก็ไม่ได้มองลูกว่า เขาทำผิดหรือทำถูก ไม่ได้มีเวลามอง เพราะมัวแต่เที่ยวสนุกสนานเฮฮา ลูกโตขึ้นก็เสียคนมีความประพฤติไม่เรียบร้อย ขี้เกียจเรียนหนังสือ ไม่ทำการทำงาน คอยแต่ขอสตางค์คุณแม่ใช้ คุณแม่ก็ต้องให้ไปตามเรื่อง ส่งเสริมให้มันชั่วหนักลงไปทุกวันทุกเวลา อันนี้เป็นความผิดของคุณแม่ทั้งนั้น ไม่ใช่ความผิดของใคร เป็นเรื่องที่มีอยู่ทั่วๆ ไป
ฉะนั้น คนที่เป็นพ่อก็ดี เป็นแม่ก็ดี ถ้าทำหน้าที่ถูกต้องแก่ลูก ลูกจะไม่เสียคน ฝึกสอนได้ ธรรมชาติของเด็กนี่ว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อโดยธรรมชาติ ไม่ได้ดื้อโดยธรรมชาติ แต่เป็นคนอ่อนที่เราจะสอนให้เป็นอะไรก็ได้ มันอยู่ที่ว่าเราสอนหรือไม่ ถ้าเราไม่สอนก็ดีไม่ได้ ฉะนี้จึงเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องสอนเขาอบรมเขา ให้เกิดความรู้ความเข้าใจถูกต้อง เช่น สอนให้นั่งเป็น ให้ไหว้เป็น กราบเป็น พูดจาเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตัวต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้าเราหมั่นสอนหมั่นเตือนเขาก็ทำได้ ทำเป็นนิสัย เป็นสันดาน โตขึ้นก็เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องหนักใจไม่ต้องเดือดร้อนใจ ถ้าเราทำดีมาตั้งแต่เบื้องต้น อย่าเข้าใจผิดว่านิสัยมันเป็นอย่างนั้น เกิดใหม่ๆ มันยังไม่มีนิสัยอะไร ไม่มีสันดานอะไร นอกจากมีความต้องการตามธรรมชาติ ความต้องการตามธรรมชาติก็คือว่าอยากกินอาหาร อยากดื่มน้ำ อยากหลับ อยากนอน อันนี้เป็นของธรรมชาติ ไม่ว่าคน ว่าสัตว์ มันก็เหมือนกัน สัตว์ตัวน้อยๆ พอเกิดหลุดออกมาจากท้องแม่นี้ มันก็ต้องคลานต้วมเตี้ยมเพื่อจะไปหานมแม่ พอเจอนมแม่ก็ดูดทันที นี่ธรรมชาติดั่งเดิม คือความอยากอาหาร อยากดื่มน้ำ น้ำก็คือนมของแม่ แล้วก็อยากนอนพักผ่อน สะดุ้งกลัวภัยเมื่อมีอะไรปึงปังโผงผาง ได้ยินเสียงก็ตกใจกลัว หนีหัวซุกหัวซุน อันนี้คือธรรมชาติ ที่เป็นอยู่อย่างนั้น นอกนั้นไม่มี
สิ่งอื่นใดที่เกิดขึ้นในจิตใจของเด็ก ล้วนแต่สิ่งที่เป็นการเกิดขึ้นจากการละเลยเพิกเฉยของพ่อแม่ ไม่ได้เอาใจใส่ ในการที่จะแก้ไขปรับปรุงลูก ลูกก็เป็นไปในทางที่เสื่อมเสีย ถ้าเราเอาใจใส่แก้ไขปรับปรุงลูกเราก็จะเป็นคนดี มีชีวิตเรียบร้อย จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่ในเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ เพราะว่ามีปัญหาเยอะ
พ่อแม่นี่บ่นบ่อยๆ บางคนก็โทรศัพท์มาบ่น กลางคืนมาโทรศัพท์มาบ่น บอกว่าลูกดิฉันนี่มันแย่ มันดื้อ ว่าไม่นอนสอนไม่ฟัง แล้วก็ไม่ทำงานทำการ เที่ยวเตร่สนุกสนานไปตามเรื่อง นั่นมันเป็นความผิดของแม่ ก็ตอบไป บอกว่าอย่าไปโทษลูก แม่มันไม่ดี ไม่สั่งสอน ไม่อบรม ลูกมันจึงเป็นเช่นนั้น ควรจะสั่งสอน พูดกับเขาบ้าง ทำความเข้าใจกับเขาบ้าง พามาวัดบ้าง เพื่อจะมาพบพระได้ยินเสียงพระ ได้เห็นอะไรๆ เป็นเครื่องกระตุ้นเตือนจิตใจ โดยมากไม่ค่อยได้พามา เพราะว่าไม่เข้าใจเรื่องที่ควรเข้าใจ แล้วก็ไม่คิดแก้ไข อันนี้แหละคือปัญหาที่เกิดขึ้นแก่เด็กเราทั่วๆ ไป
อีกประการหนึ่ง สังคมในยุคปัจจุบันนี้ มันเป็นสังคมที่มีสนุกสนานมากเกินไป สนุกสนานเฮฮามากเกินไป ความสนุกสนานนั้น รุกเข้าไปถึงในบ้าน รุกเข้าไปถึงห้องนอน สมัยก่อนนี้ ความสนุกมันน้อย นานๆ จะได้ดูลิเกสักทีหนึ่ง นานๆจะดูอะไร เขามีงาน เช่น มีงานบวชนาค ก็มีมหรสพตามท้องถิ่น เป็นคนภาคใต้ ก็มีการบวชนาค ก็มีหนังตลุงแสดงกัน หรือว่าตามวัดมีงาน เช่น ก่อพระเจดีทราย ต้องการหาเงินเข้าวัด ก็จัดให้มีการแข่งมโนราห์ มโนราห์ ๒ โรงมาแข่งกัน แล้วก็มักจะมีเรื่องตีกันตอนใกล้จะจบเรื่องจะจบ เพราะว่าไปดึงคนเขามาในโรงของตัว เพื่อให้เห็นว่าชนะ แล้วมีคนมาถือหางมโนราห์ไปยืนล้อมไม่ให้คนออก มโนราห์ก็เชิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว อยากแสดงอะไรแปลกๆ ให้คนดู แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ได้แสดงสักที คนเข้ามาดูกันอยู่นั่นแหละ เห็นมัน เมื่อเด็กๆ มันเป็นอย่างนั้น นานๆ มีที แต่เดี๋ยวนี้นั้นมันมีทุกคืน โทรทัศน์เข้าไปทุกบ้านทุกเรือน แม้บ้านนอกบ้านนา ก็มีโทรทัศน์ มีละคร มีลิเก มีโขน มีการร้องรำทำเพลง ในเรื่องต่างๆ
อิทธิพลของโทรทัศน์นี่นับว่าแปลกมาก ทำให้เด็กๆ ตามจนหมดทั่วไป แม้เด็กในกรุงเทพเอาอย่าง เอาอย่างการแต่งตัว ตามแบบดาราโทรทัศน์ เอาอย่างการพูดจา เอาอย่างทุกเรื่องที่ปรากฏออกมาที่จอแก้ว เพราะว่าสิ่งนั้นมันค่อยๆ ประทับใจทีละน้อยๆ จนกระทั่งประทับอยู่ในใจมากๆ เลยกลายเป็นการกระทำออกมาปรากฏแก่พ่อแม่ อันนี้ลำบากไม่ใช่น้อย หนังสืออ่านเล่น ประเภทที่ไม่คิดถึงอะไร แต่ต้องการจะเอาสตางค์ท่าเดียว ก็เขียนให้มันสนุก มีภาพสนุกสนานเฮฮา เด็กหนุ่มเด็กสาวก็ติดหนังสือเหล่านั้นงอมแงม นิสัยก็เป็นไปตามสิ่งที่เขาอ่านเขาศึกษา อันนี้เรียกว่าสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนจิตใจคนได้ แล้วมีอิทธิพลมากเสียด้วย แต่ว่าสมัยก่อนนั้น สิ่งแวดล้อมมันเป็นไปตามธรรมชาติ มีทุ่งนา มีป่า มีภูเขา มีอะไรอย่างนั้นแหละ ฝูงวัวฝูงควาย ไม่มีหนัง ภาพยนตร์ ไม่มีอะไร ที่เป็นเรื่องดัดข้อนิสัยให้คนเป็นอะไร มันไม่มี เด็กๆ ในสมัยก่อนจึงไม่ค่อยจะมีปัญหา ก็ไม่มีอะไรยั่วยุ ที่จะทำให้เขาเสียผู้เสียคน เขาเติบโตขึ้นตามธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมไม่มีอิทธิพลแก่เขา เพราะไม่มีอะไรที่จะรุนแรง จึงไม่ค่อยจะมีปัญหา ไม่มีเรื่อง เด็กถูกจับไปเข้าคุกเข้าตารางนี่มันไม่ค่อยมี มีแต่ผู้ใหญ่ถูกจับเพราะก่ออาชญากรรม แต่เด็กนั้นทำไม่เป็น ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร แต่ถ้าเด็กคนใดได้เข้าไปอยู่ในคุก ก็เหมือนกับได้เข้ามหาวิทยาลัยแห่งอาชญากรรม ก็เมื่อเข้าไปอยู่ในคุก ผู้ใหญ่ก็ค่อยไปสอน ค่อยแนะนำเขา เด็กเหล่านั้นให้รู้เรื่องรู้ราวมากขึ้น ออกมาเก่งกว่าเดิม แล้วก็เลยติดคุกซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อยไป ก็สมัยก่อนไม่ได้แยกคุก เอาเด็กไปปนกับผู้ใหญ่ ก็เหมือนว่าไปอยู่กับพี่เลี้ยงที่แสนจะตกต่ำ พี่เลี้ยงก็สอนอบรมให้ในเรื่องต่างๆ เดี๋ยวนี้ราชการจึงได้เปลี่ยนคุกเด็กเอาไว้ต่างหาก ผู้ใหญ่ไว้ต่างหาก มีเรือนจำเด็ก มีศาลเด็ก ทำอะไรกับเด็กโดยเฉพาะ แล้วเอาเด็กไปรวมกันไว้แต่พวกเด็ก เด็กบางคนไปถามดูประวัติแล้วก็รุนแรง ลักเงินคุณยายนี่ไม่ใช่เล็กน้อย เป็นหมื่นบาทสองหมื่น เอามาเที่ยว ตัวเล็กนิดเดียว ลักเงินคุณยาย ๒๐,๐๐๐ เอามาเที่ยวกรุงเทพ สมัยปัจจุบันเคยไปพบเด็กที่เรือนจำเด็กที่นู่น แถวพระประแดง บางนา ไปเทศน์แล้วก็เลยคุยกับเขา ถามเรื่องราว เห็นเด็กตัวน้อยๆ ว่าทำผิดอะไร บอกว่าลักสตางค์คุณยาย บอกอย่างนั้น ลักมาเท่าไร ๒๐,๐๐๐ คุณยายนี่รวยมาก เอาสตางค์ที่เกลื่อนกลาดอยู่ในบ้านตั้ง ๒๐,๐๐๐ ให้หลานเสียผู้เสียคน ผู้หลักผู้ใหญ่มีอะไรอย่าทำให้เด็กเสียคน ทำให้เด็กเสียคนคือเที่ยวทิ้งเต็มบ้าน เด็กมันก็หยิบเอาไปใช้ พอเด็กหยิบเอาไปก็หาว่าเด็กขโมย ความจริงคือมันไม่รู้ว่าขโมยคืออะไร แต่มันเห็นวางอยู่ก็เอาไปซื้อของกินได้ มันก็ต้องกินนะ ของที่มันไปทำอะไรมันก็เอาไป เอาไปโดยไม่รู้เรื่องอะไร อันนี้ผู้ใหญ่ก็หาว่าไอนี่มือไวใจโจร ลักข้าวลักของ แล้วทำบ่อยๆ มันก็เป็นนิสัยขึ้นมาเหมือนกัน เพราะว่าเราวางให้เด็กได้เห็น เด็กมันก็เอาไป
เมื่อสมัยเด็กๆ ก็เคยทำอย่างนั้นเหมือนกัน คือว่าคุณแม่เอาสตางค์ไปวางไว้ใต้ที่นอน เงินบาท เงินสลึง ๕๐ สตางค์ เอาไปวางไว้ เราเปิดที่นอนไม่รู้มันมีสตางค์ก็หยิบไปเลย หยิบไปตามเรื่องแต่ไม่ได้เอาไปมากอะไร สลึงหนึ่ง ๑๐ สตางค์ ๕ สตางค์ ทำอย่างนั้น ที่หลังคุณแม่จับได้ก่อน ก็ไอนี่ขโมย ความจริงไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่เห็นมันน่าหยิบ เพราะว่าสตางค์นี่ ซื้อขนมได้ ก็เลยหยิบเอาไปซื้อขนมกินนะ ไม่ได้เอาไปไหน ถูกอบรมสั่งสอนว่าไม่ให้ทำอย่างนั้น ก็เลยหยุดไป ไม่ได้ทำต่อ ถ้าหากว่าทำต่อไปก็คงไม่ได้มาเทศน์ให้โยมฟัง คงจะไปอยู่ในคุก ลักเล็กลักน้อยต่อไปมันลักใหญ่ ลักวัว ลักควาย ลักช้าง มันก็ติดคุกไปเท่านั้นเอง แต่ก็เป็นบุญ ที่คุณแม่ได้บอกให้เข้าใจว่าไม่ดี ทำอย่างนี้ไม่ดี ต้องการอะไรต้องบอกแม่ แม่จะให้ไปตามที่ต้องการ ก็ไม่ได้สอนหลายหน สอนทีเดียวมันก็เลิกของมันเอง นิสัยมันเป็นอย่างนั้น ก็เลยเลิกมา
แต่ว่าเด็กบางคนไม่อย่างนั้น มันเอาเรื่อยไป แล้วไม่เอาของแม่ไปเอาของคนอื่นด้วย อะไรของชาวบ้านเผลอไม่ได้หยิบไปทั้งนั้น เลยกลายเป็นโจรไป โตขึ้นเป็นหนุ่มมันก็เป็นอย่างนั้น ผลที่สุดก็ไปติดคุกติดตาราง ก็นิสัยมักง่าย ชอบหยิบของของคนอื่นมาใช้ โดยไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนั้นมันถูกหรือผิด ดีหรือชั่วเขาไม่เข้าใจ เลยทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นนิสัย แล้วก็ลักของใหญ่มากขึ้น จนกลายเป็นโจร เที่ยวปล้นเที่ยวสะดมเขา เป็นชีวิตที่ตกต่ำอย่างน่าเสียดาย เช่นนี้ผู้ใหญ่จึงต้องระวัง
แม้คนใช้ที่อยู่ในบ้านเรา อย่าให้คนใช้มันเสียคน คือว่าอะไรที่มีค่าอย่าเที่ยววางไว้ อย่าเผลอ อย่าประมาท อย่าไปวางไว้ ถอดแหวนวางไว้ที่อ่างน้ำ แล้วไปทำอะไรต่ออะไรเพลินไป กลับมา นึกขึ้นได้ว่าแหวนหายไปแล้ว ดูที่มือไม่มีนี้ เอ้า ท่าจะเอาไปวางที่อ่างล้างมือ ก็ไปดู หายไปแล้ว ไม่รู้จะจับมือใครดม เพราะคนใช้มีหลายคน ก็ลำบาก จะไปว่าใครก็ไม่ได้ ก็มันหายไปแล้ว ก็ไปแจ้งความกับตำรวจ ตำรวจก็หาวิธี เอาคนใช้มาหลอกมาถามทำไปตามเรื่อง ผลที่สุดก็จับตัวได้อันนี้เป็นความผิดของนายจ้าง ที่เอาของไปเที่ยววางไว้ให้มันเห็น แล้วมันเกิดความโลภขึ้นมา เหมือนกับคนคนหนึ่งที่ไปซื้อแหวนเพชรมา ราคาแพง เอามาถึงก็อวดคนใช้ นี่ๆมาดูนี่ๆ มันเรื่องอะไรที่เอาไปให้คนใช้ดู คนใช้เป็นผู้ชายให้มันดู ดูแล้วก็เอาไปเก็บ ไปเก็บไว้ในตู้ ในลิ้นชัก มันก็เกิดอยากขึ้นมา อยากได้แหวนวงนั้นขึ้นมา แล้วมันทุบคุณนายเจ้าของแหวนนั้นตาย แล้วมันลักของไป แหวนไม่ได้จึงเอาเงินไป เพราะว่ามันค้นไม่พบเลยมาเอาเงินไป ออกจากบ้านหนีไปแล้ว ไปเที่ยวถึงภูเก็ต ตำรวจตามไปจับตัวได้ที่ภูเก็ต ไปเอาตัวมารับสารภาพ ว่าที่ได้ทำไปก็เพราะว่าอยากได้แหวนวงนั้น แต่ว่าเอาไม่ได้ นี่เป็นความผิดของคุณนาย ที่เอาแหวนไปอวดคนใช้ นี่มันเรื่องอะไร ไปอวดเขาทำไม ของมีค่าอย่าเอาไปอวดคนใช้ เอามาเก็บไว้ในลิ้นชักไว้ในตู้เช็คในอะไรที่มันสมควร นี่ไปอวดมันเกิดความอยากขึ้นมา แล้วมันก็ไปทำร้ายคุณนายถึงแก่ความตาย คุณนายก็เป็นคนเรียบร้อย ความจริงก็เป็นคนดี เป็นคนดีแต่ว่าดีไม่หมด ดีไม่สมบูรณ์ ดีไม่รอบคอบ ไม่ได้คิดไปให้มันการณ์ไกล แหวนหมั้นซื้อมาจะ็็็้้ร
เอาไปหมั้นลูกสะใภ้ให้แก่ลูกชาย เลยก็ไม่ได้หมั้น แม่ตายซะก่อน นี่เพราะความผิดพลาด เสียหายเกิดขึ้นในบ้าน เพราะมันเห็นของ ของมีค่าไม่ควรจะให้ใครดู ไม่ควรให้ใครเห็น โดยเฉพาะคนในบ้าน เราไม่รู้ว่าเขามาจากไหนเป็นนิสัยใจคอเป็นอย่างไร เราไม่เข้าใจ ก็ควรจะเก็บในที่มิดชิด ห้องใดควรเข้า ห้องใดไม่ควรเข้า ไม่ใช่ว่าจะไปเช็ดไปถู ห้องที่เราเก็บข้าวเก็บของไม่ต้องเช็ดไปถูก็ได้ ทำเองก็ได้ มันนิดเดียว ห้องพระนี่ พระพุทธรูปเยอะ มันเข้าไปเช็ดทุกวันๆ มันเลื่อมใสพระขึ้นมา มันอยากจะได้เอาหลวงพ่อ เอาไปขาย ไม่ใช่เรื่องอะไร แต่ว่ามันไม่ทำเองหรอก คนใช้มันทำ มันไปบอกคนอื่นที่คุ้นเคยกัน พวกบ้านเดียวกัน บอกว่าบ้านนี้มีพระราคาแพง พระเชียงแสน พระสุโขทัย โอ้ย งามๆทั้งนั้นแหละ
ไปวัดสิฉันจะเปิดประตูบ้านให้ แล้วขโมยก็มาลักเอาไปจริงๆ ลักเอาไปเสียสองสามองค์ที่มีค่านะ ราคาแพงนะ เอาไป คนใช้ก็ เจ้าของบ้านก็ไม่รู้ว่ามันเอาไปอย่างไร โจรผู้ร้ายมันงัดเข้ามา ประตูเข้ามาไม่ได้ถูกงัดนี่ กลอนเรียบร้อย แสดงว่ามีคนในบ้านช่วยเปิดประตูให้ ก็สงสัยกันไปตามเรื่อง เป็นบาปเป็นโทษไป เขาเรียกว่าของหายกลายเป็นบาป บาปตรงที่เที่ยวสงสัยคนนั้น สงสัยคนนี้ ให้วุ่นวายไปหมด นี่เพราะว่าเรามีของแล้วให้เขาเห็น ทำให้เสียหาย ไว้ใจไม่ได้ คนมาใหม่ต้องระวัง แต่บางคน คนใช้ดีมาก อยู่กับนายมาเป็นสิบๆปี อยู่มาตั้ง ๒๐ ปี ๓๐ ปี ไม่ไปไหน อยู่ไหนรับใช้กันมา มีอยู่ครอบครัวหนึ่ง แกมีคนใช้อยู่คนหนึ่ง เลี้ยงให้เหมือนเป็นลูกไปเสียแล้ว เวลานี้ เพราะว่าลูกก็ตายไปเกือบหมด ยังเหลืออยู่คนหนึ่งก็ไม่เอาไหน แต่ว่ายายบอนี่ก็เหมือนกับลูกดิฉันแล้วเวลานี่ ต้องทำพินัยกรรมให้เขาด้วย เวลาตายนี่เขียนพินัยกรรมแบ่งทรัพย์สมบัติให้เขาด้วย เพราะเขาอยู่มานาน ไม่ไปไหน มีความจงรักภักดี ไว้วางใจได้ทุกประการ เรื่องงาน เรื่องเงิน ไว้ใจทั้งนั้น นายที่มีบุญมันได้คนใช้ดี แต่นายที่ไม่มีบุญมันได้คนใช้ประเภท ไม่ได้เรื่อง คนนี้มามันเกี่ยงกันไปเรื่อย ลำบาก คนมีบุญมันได้มาสักคน ก็เรียกว่าไม่ไปไหน อยู่กันเป็นประจำ
มีหลายครอบครัวเหมือนกันที่หลวงพ่อคุ้นเคย เขาอยู่กันมาเรื่อย บางทีเจ้าของบ้านไปไหนมาไหน 5-6 วัน คนใช้เฝ้าบ้าน ก็ไม่เสียหาย เขาอยู่กันเรียบร้อยเป็นคนซื่อสัตย์ รักนาย มีความจงรักภักดี อย่างนี้มันก็เรียบร้อย
สุนัขนี่ มันรักเจ้าของ วันก่อนดูโทรทัศน์ รายการเจาะใจ ของนายดำรงค์ พุฒตาล มันมีคนแก่คนหนึ่ง ไม่แก่หรอกอายุยังไม่แก่ ตาบอด ตาบอดเพราะว่าไประเบิดหินที่ปากช่อง ที่หนองแค ระเบิดหินที่หนองแค เอาดินปืนใส่ไปมันระเบิด เข้าตาเลยตาบอดหมดสองข้าง แสนทรมาน ก็ตาบอดนี่ลำบาก เคยคิดว่าจะไปนอนให้รถไฟทับซะเลย ให้ตายไปซะเลย แต่ว่าได้ฟังธรรม พระวัดต้นสน จังหวัดอ่างทอง เทศน์ทางวิทยุ เทศน์ไม่ให้ท้อแท้ ไม่ให้อ่อนแอทางจิตใจ ให้ต่อสู้ แกเลยไม่ยอมตาย อยู่ต่อไป อยู่สู้ต่อไป มีลูก ๙ คน ลูก ๙ คนนี่หายหัวไปหมด ไม่เคยมาเยี่ยมพ่อเลย เดินสวนทางลูกมันก็ไม่ทัก ก็แกก็ไม่รู้ว่าคนเดินสวน คนเขาบอก บอกว่าเมื่อตะกี้นี้ ลูกเดินสวนทาง ทำไมไม่ทักทายปราศรัย มันไม่ทัก มันก็นึกว่าพ่อไม่เห็นกู อย่าไปทักแกเลย เออมันเป็นซะอย่างนั้น ไม่เอาใจใส่กับคุณพ่อเลย อยู่กันคุณแม่ คุณแม่ก็แก่อายุ ๗๕-๗๖ ปีแล้ว อาชีพก็ทำไร่ สวนผักเล็กๆน้อยๆ ปลูกมะเขือ ปลูกฟักแฟงแตงเต้า ไปตามเรื่อง แต่ว่าได้ลูกคนใหม่ใจดีมา ชื่อไอเต้ ไอเต้นี่มัน ๔ ขานะ ๒ หัว ตัวผู้มันรักนายสมบูรณ์ คนนั้นแกชื่อนายสมบูรณ์ รักพ่อสมบูรณ์มาก พ่อสมบูรณ์จะไปไหน เต้มันต้องเดินหน้า แกดึงเชือก ปึ้กๆๆ เดินเร็ว ดูในภาพเดินเร็วเลย ก็ไอเต้นำทาง แกไปในสวนจะเอาน้ำรดผัก เต้มานำเลย พาไปที่หนองน้ำ ไปถึงหนองน้ำก็ตักน้ำใส่ปี๊บทั้งสองเต็ม เต้มันก็นำมาที่สวนผัก รถผัก แล้วมันก็ยืนอยู่แถวนั้นแหละ มันไม่ไปไหน ไอเต้ รดผักเสร็จ ไอเต้ก็เดินนำกลับบ้าน จูง ถือเชือกนำทาง เดินได้เรียบร้อย เจ้าเต้เป็นตาให้ จะไปสถานีรถไฟ จะไปตลาด เต้นำไปทั้งนั้น ไปตลาดมันก็นำไป หาบของเดินไป เดินคล่องไปขายของที่ตลาด คุณแม่ไปด้วยไปรออยู่ที่ตลาดเอาของไปให้คุณแม่ขาย เดินกลับบ้าน เดี๋ยวนี้แกมีความสุขความสบาย เพราะอาศัยธรรมะที่ได้ฟังจากพระที่เทศน์ทางวิทยุ แกมีวิทยุเล็กๆ คอยเปิด เปิดแต่เรื่องธรรมะ ฟังแต่เรื่องธรรมะทุกวัน สบายใจ ตาบอดแต่ใจไม่บอด แล้วเจ้าเต้นั้น มันจงรักภักดีจริงๆ มันไม่ไปไหนเลย ถ้าคนนั้นไปนั่งไหน มันก็ไปนั่งหมอบอยู่ตรงนั้น ใครเดินมาใกล้ๆ มันก็ไม่เห่า ไม่อะไร แต่ถ้าทำท่าจะทำร้ายตาสมบูรณ์ ไอเต้มันก็จะสู้ มันจะก็กัด แต่ว่าเดินไปเดินมา มันไม่ว่าอะไร มันนอนเฉยเรียบร้อย แล้วมันไม่ไปเที่ยว แม้มันจะเป็นหมาหนุ่มแต่มันก็ไม่ไปเที่ยว ไม่ไปเที่ยวหานางสาวหมาที่ไหนเลย มันอยู่กับพ่อสมบูรณ์เรียบร้อย เออมันแปลก เจ้าเต้นี่มันแปลก มันเป็นหมาที่จงรักภักดีกับพ่อสมบูรณ์ ดูแล้วตื้นตันใจเหมือนกัน ดูแล้วเรื่องนี้มาแสดงมาพูด น่าสงสาร คือน่าสงสารว่าลูกตั้ง ๙ คนมันไม่มองดูพ่อเลย มันสู้หมาไม่ได้ ไอลูก ๙ คนนี่มันสู้หมาไม่ได้ สู้หมาตัวเดียวไม่ได้ หมามันมีใจเป็นมนุษย์ แต่ว่าลูกใจมันต่ำกว่าหมา ทำไมมันไม่มาดูแลพ่อเลย ถ้าว่าลูกได้ดูโทรทัศน์คืนนั้น ถ้าว่ามันมีใจเป็นมนุษย์อยู่บ้าง มันก็คงจะเศร้าใจเสียใจ แต่ถ้าใจมันต่ำกว่าใจหมามันก็นึกอะไรไม่ออก นี่มันเป็นอย่างนั้น คนในโลกมันก็มีแปลกๆ ได้เห็นแล้วโอ้แม่เอ๋ย มาตัวนี้มันดีจริงๆ แล้วเวลานายสมบูรณ์กลับบ้าน มันก็มาบ้าน นอนอยู่ในบ้านไม่ไปไหน มันเป็นหมาที่แปลก ถ้าว่าเป็นสมัยก่อนเขาเรียกว่าหมาโพธิสัตว์ โพธิสัตว์คือหมาดีอยู่ช่วยคนตาบอดให้ได้รับความสุขความสบาย
คนเรามันบางทีมันก็ตกต่ำ ในฐานะการเงินการทองอะไรต่างๆ มันเป็นปัญหา อันนี้ความทุกข์ในชีวิตของคนเรา มันอาจจะเกิดขึ้นเพราะอะไรก็ได้ มันเกิดเพราะอะไร อะไรๆ มันก็เป็นอยู่ตามธรรมชาติ ฝนมันก็ตกอยู่ตามธรรมชาติ แดดออกตามธรรมชาติ มีอะไรตามเรื่องตามราวของธรรมชาติ แต่ว่าเราไปเป็นทุกข์กับมันเรื่องอะไร ไปกังวลกับมันเรื่องอะไร นี่เป็นปัญหา เราไปเป็นทุกข์กับฝนจะตกบ้าง แดดจะออกบ้าง เขาว่าพายุจะมา ก็คนเป็นทุกข์ก่อนแล้วล่วงหน้า พายุยังไม่มาสักที ก็เตรียมเป็นทุกข์ไว้แล้ว กลัวว่าบ้านจะพัง กลัวไอนั้นจะเสียหาย นี่เขาเรียกว่าวิตกกังวล การวิตกกังวลมันเป็นอาการอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจเรา เขาเรียกว่าวิตกจริต คนเราบางคนชอบวิตกกังวลไปในเรื่องต่างๆ ที่เป็นทุกข์มันก็ทุกข์ ๒ เรื่อง ทุกข์กับเรื่องที่ยังไม่มาถึง ทุกข์กับเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว เรื่องบางเรื่องมันพ้นไปแล้ว เก็บเอามา มาคิดให้เป็นทุกข์ ลูกตายไปนานแล้ว ยังคิดอยู่ ลูกก็ลูกชาย ของหายไปนานแล้วก็มาคิดให้กลุ้มใจ อะไรๆ มันผ่านไปแล้วเอามานั่งคิด ให้กลุ้มใจ มันเรื่องอะไร ที่ไปเก็บไอเรื่องอย่างนั้นมาทุกข์ใจ ทีนี้เรื่องบางเรื่องยังไม่มาถึงหวาดกลัว กังวล ว่าสิ่งนั้นมันจะเกิดขึ้นแก่เรา แล้วก็มีความวิตกกังวลด้วยประการต่างๆ ไม่เป็นอันกินอันนอน ไม่เป็นอันทำมาหากิน นอนก็ไม่หลับ ก็มีความทุกข์ มีปัญหากับเรื่องนู้นเรื่องนี้ ทำให้ยุ่งใจด้วยประการต่างๆ นี่ก็เป็นความผิดของเราเอง คือเราเอาใจไปเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น เรียกว่ามีอุปทานเกิดขึ้นในสิ่งนั้น อะไรๆ มันก็เป็นอยู่ตามธรรมชาติ อยู่ตามปกติ แต่ว่าเราไปยึดถือในสิ่งนั้นเข้า วิตกกังวลกับสิ่งนั้น จนกระทั่งว่านอนไม่ได้ หลับไม่ลง ก็จิตมันคิดมาก คนที่นอนไม่หลับนี่เพราะว่าจิตคิดมาก ประสาทมันทำงานหนัก ไม่ได้พักได้ผ่อน เลยอาการมันเป็นอย่างนั้น อันนี้ถ้าหากว่าเราคิดให้มีปัญญาเสียบ้างในเรื่องนั้นๆ เช่นคิดว่าถ้าอะไรมันจะเกิดมันก็เกิดตามสภาพของมัน ธรรมชาติมันก็ต้องเกิดตามสภาพอย่างนั้น เรากลัวมันก็เกิด เราไม่กลัวมันก็เกิด ก็เรื่องมันจะเกิด แล้วความกลัวกับความไม่กลัว อันไหนมันดีกว่ากัน กลัวนี่มันเป็นทุกข์ ถ้าไม่กลัวมันก็ไม่เป็นทุกข์อะไร เลือกเอาข้างไหน เลือกเอาข้างทุกข์หรือข้างไม่ทุกข์ล่ะ มันก็ควรจะเลือกเอาข้างไม่ทุกข์ อย่าไปเลือกเอาข้างเป็นทุกข์ นั่งกลุ้มใจ เพราะเราจะกลุ้มใจก็ เหตุการณ์อย่างนั้นมันก็ต้องมีอยู่ เป็นอยู่ มันเลือกไม่ได้ มันเปลี่ยนไม่ได้ มันก็เป็นทุกข์ ยกตัวอย่างง่ายๆว่า เรามีบ้านอยู่หลังหนึ่ง ก็อยู่กันมาสะดวกสบายเป็นปกติ ไม่มีอะไร แต่ต่อมาคนเขามีสตงค์สตางค์ ดินเขาอยู่ตรงนั้น เขาก็จะมาสร้างตึกสูง ใกล้บ้านเรา อันนี้เมื่อสร้างเสร็จ ก่อสร้างนี่มันก็ พวกก่อสร้างพวกช่างทั้งหลายมันไม่ค่อยระมัดระวัง อะไรมันจะลงบนหลังคาใคร มันจะทำยังไงมันไม่ค่อยคิดกัน เจ้าของบ้านที่อยู่ใกล้จุดนั้นมันก็ไม่สบายใจ เป็นปัญหา รำคาญ พอทำงานกลางคืนก็กลัวไปว่าอะไรมันจะพังลงมาใส่หลังคาบ้าน เรานอนในบ้านเดี๋ยวมันจะทับเรา ถึงแก่กรรมไปอะไรต่างๆ เป็นทุกข์ นอนไม่หลับ มีปัญหา นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆ เกิดขึ้นแก่ชีวิตของเรา ทีนี่ถ้าหากว่าเราไปไหนไม่ได้ คือมันต้องอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป ไอจะย้ายไปอยู่มันก็ไม่ได้ เพราะว่าอยู่มานานแล้ว ก่อสร้างมันมาทีหลัง แต่พูดกันก็ไม่รู้เรื่อง เพราะว่าการพูดสมัยนี้มันอยู่ที่นายหลวงด้วย จะเอานายหลวงเข้าไปเกี่ยวข้องมาก แล้วมันก็ได้เปรียบ คนที่นายหลวงมีน้อยมันก็เสียเปรียบเป็นเรื่องธรรมดา พูดไม่ดัง ถ้ามีนายหลวงหนาๆ เสียงก็ดัง ถ้าไม่มีนายหลวงเสียงไม่ค่อยดัง เป็นปัญหา เราจะไปเรียงถ้อยร้อยความกับคนอย่างนั้น เขามีพวกมีอิทธิพล เสียงของเรามันน้อย มันก็ลำบากเราก็ต้องอยู่ต่อไป ฉะนี้เราต้องอยู่ต่อไป จะอยู่อย่างไร อยู่ให้ต้องเป็นทุกข์ หรืออยู่ให้ไม่ต้องเป็นทุกข์ อยู่ไม่ให้เป็นทุกข์ได้ไหม ต้องหันหน้าเข้าธรรมะ ไม่เป็นทุกข์ได้ไหม ได้ พระท่านสอนว่าได้ อยู่อย่างไรไม่ให้เป็นทุกข์ ก็ต้องปลงลงไปเสียว่า อะไรมันจะเกิดก็ขอให้มันเกิดไปตามเรื่องของมันเถอะ ฉันอยู่มาจนป่านนี้แล้ว อายุขนาดนี้แล้ว ถ้ามันจะเกิดเจ็บเกิดตายแล้วก็สร้างตึกหลังนี้ ตามใจมันเถอะ ยอมมันเสีย ยอมมันแล้วก็หมดเรื่อง มันไม่มีเรื่อง ที่มันเป็นทุกข์เพราะเรายังไม่ยอม ไม่ยอมที่จะรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เมื่อเราไม่ยอมรับมันก็เป็นทุกข์ อะไรมันจะเป็นก็เป็นไป อะไรมันจะเกิดก็เกิดไป ฉันอยู่อย่างนี้ ยอมรับทุกอย่าง ถ้าเรายอมรับทุกอย่างใจมันก็เบาสบาย ไม่ต้องกลัว ก็รับเสียแล้ว อะไรมันจะตกลงหัวก็ให้มันตกลงไป ก้อนน้อยหัวไม่แตก ถ้าตกก้อนใหญ่หัวแตก หมดลมหายใจก็ไม่ว่าอะไรเพราะว่าอยู่มานานแล้ว อายุปูนนี้แล้ว จะอยู่ต่อไปถึงไหนก็ไม่รู้ มีอะไรจะเกิดก็ยอมมันเสีย มันก็สบาย เพราะเรายอม แล้วเวลาจะหลับจะนอนก็อย่าไปคิดถึง นอนเฉยๆ ไหว้พระ สวดมนต์ แล้วก็นอน เสียงตึงตังโผงผาง มันก็ดังตามเรื่อง เข้าหูซ้ายออกหูขวา อย่าเก็บไว้ เสียงที่มันเข้าหู ถ้าเราไม่เก็บมันก็ผ่านไป
อารมณ์ต่างๆที่มากระทบตัวเรา เข้ามาทางตาบ้าง ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าเราไม่เก็บมันก็พ้นไปเท่านั้นเอง แต่นี่เรามันชอบเก็บ ชอบเปิดกระเป๋าเก็บไว้ หรือว่าเอาตะกร้ามารับเก็บอารมณ์ เก็บไว้ เก็บเอามาคิดให้มันยุ่งอกยุ่งใจ ก็เป็นทุกข์ อย่าเก็บก็ให้มันไปเสียบ้าง อะไรผ่านมาก็ผ่านไป สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นแล้วมันดับไปแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายไปเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เราไม่ยอมให้ดับ ไม่ดับแล้วเอามาปรุงแต่งในใจของเรา นั่งคิดเรื่องนั้นต่อไปไม่ยอมให้มันดับ ธรรมชาติมันดับแล้ว แต่เราไม่ยอม เราเก็บมาไว้ในอารมณ์ นี่เรียกว่าอุปาทาน คือเข้าไปยึดถือสิ่งนั้นไว้ เอาเข้ามาคิดมาตรอง ต่อไปเป็นปัญหาต่อไป ไม่เป็นอันกินอันนอน มันอยู่ที่เรา ทุกข์ตัวนี้มันอยู่ที่เราไปเก็บอารมณ์ ให้เราหัดปล่อยหัดวางเสีย วางเสียบ้าง ถือไว้มันหนักวางเสียบ้าง อย่าไปถือ มือถือไม่เป็นไร แต่ใจมันถือ ใจไปเก็บเอามาคิดมานึกอยู่กับมันตลอดวันตลอดเวลา ตื่นก็คิด หลับก็คิด ก็ไม่ต้องคิด สบายหน่อยหลับก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอตื่นเอาคิดอีกแล้ว มองเห็นตึก เดี๋ยวมันจะพัง ถ้าเราคิดอย่างนั้นมันก็เป็นทุกข์ ถ้าคิดว่า เออ เมื่อไรมันจะพังมาสักทีหนอ มันจะได้หมดเรื่องหมดราวไปเสียที ยอมรับสถานการณ์ที่มันจะเกิดขึ้น ก็สบายใจ ไม่มีอะไร ถ้าเรายอมรับแล้วมันก็สบายใจ นั่งยิ้มได้ แม้เมื่อมีภัยมา ที่เขาบอกว่ายิ้มได้เมื่อภัยมา เรายอมรับว่ามันจะเกิดก็เกิด เราไม่กลัว อะไรจะเกิดก็เกิด อย่างมากก็แค่ตาย ไม่มากไปกว่านั้น เป็นมากก็ถึงตายเท่านั้นเองคิดปลงไป รับมันเสียแล้วมันก็สบายใจ เรื่องอะไรก็เหมือนเดิม ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เรายอมรับสถานการณ์ แล้วก็ยอมรับสุดแล้วแต่ธรรมชาติที่มันจะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เราไม่ต้องวิตกกังวลกับสิ่งนั้นต่อไปแล้ว สบายใจ มันไม่มีปัญหา
ที่นี้บางทีมันมีอะไรเกิดขึ้นในใจ ความต้องการในเรื่องอะไรต่างๆ อยากจะมีนั่นอย่างจะมีนี่ อยากจะได้เงิน อยากจะได้บ้าน อยากจะได้สวน ได้นา ได้อะไรต่ออะไร มันคิดกันตามเรื่องของมัน ตามอารมณ์ เห็นคนอื่นเขามีบ้านหลังใหญ่ แม้ฉันอยากจะมีบ้านหลังใหญ่บ้าง เห็นเขามีรถคันใหญ่ๆ ฉันอยากจะมีรถคันใหญ่ๆ อย่างนั้นบ้าง เห็นเขามีเครื่องประดับประดารุงรังไปทั้งเนื้อทั้งตัว แม้ฉันอยากจะมีกับเขาบ้าง เขาเรียกว่าเพ้อฝัน ในเรื่องที่จะมีจะได้ ความคิดเพ้อฝันอย่างนี้ มันก็เป็นอันตรายแก่สุขภาพจิต คิดบ่อยๆ มันไม่ได้ก็ไม่สบายใจ ลงโทษตัวเองว่า ฉันนี่เกิดมาอาภัพ ไม่มีเหมือนเขา ความจริงก็มีอยู่พอสบายแล้ว เรามีบ้านอยู่แล้ว มีรถนั่งแล้ว มีอะไรต่ออะไร พอกินพอใช้แล้ว แต่ใจมันทะเยอทะยาน อยากจะมีอะไรๆ เพิ่มขึ้น
ฉะนี้เราตั้งปัญหาถามตัวเองว่าจะเอาไปทำอะไรนักหนา เอาเงินไปทำอะไร เอาบ้านไปทำอะไร เอาเครื่องประดับร่างกายไปทำอะไร มันจำเป็นอะไรแก่ชีวิตนักหนา ที่จะต้องมีสิ่งนั้น จะต้องมีสิ่งนี้ ความสุขสบายที่แท้จริงมันอยู่ที่อะไร ความสุขที่แท้จริงมันอยู่ที่อะไร มันอยู่ที่เราพอใจเท่านั้นเอง เราพอใจแล้วมันก็สบาย มีนาฬิกาอยู่เรือนหนึ่ง มันก็เดินใช้ได้อยู่ พอใจ มันก็สบายใจ แต่ถ้าไปเห็นใครเขามีนาฬิกาดีกว่านี้ แม้กูอยากมีอย่างนั้น แต่มันยังมีไม่ได้ พอเห็นนาฬิกาเรือนนี้ ใจมันคิดอย่างนั้น ก็เป็นทุกข์ มันเรื่องอะไร หาความทุกข์ให้แก่ตนเองมันเรื่องอะไร ก็พอใจในเรือนนี้เสียก็แล้วกัน ฉันมีเรือนนี้ก็ใช้ได้แล้ว มันยังใช้ได้อยู่ ดูเวลาแล้วมันก็ยังใช้ได้อยู่ พอใจ ฉันสุขี ปรมัง ปะนัง (50.40) พระพุทธเจ้าบอกว่า ฉันสุขี ปรมัง ปะนัง (50.45) ความพอใจในสิ่งที่เรามีเราได้อยู่ในขณะนั้น เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ยอดทรัพย์มันอยู่ที่เราพอใจ ถ้าเราพอใจแล้ว สิ่งนั้นมันเป็นทรัพย์อย่างยิ่งของเรา เป็นทรัพย์มีค่าแก่ชีวิตของเรา ให้มีเต็มบ้านเต็มเรือนแต่เราไม่พอใจ ก็เป็นทุกข์ ไม่มีความสุข ความสบายเลย แม้แต่น้อย ไม่สบาย สองคนตายายอยากจะได้ทรัพย์มากๆ เลยวิงวอนกับเทพเจ้า เทพเจ้าถามว่าต้องการอะไร ต้องการเงินมากๆ เทพเจ้าว่า เอาฉันไป ฉันจะให้เงิน พอกลับไปถึงบ้าน เงินมันก็ตกลงมาเป็นเงิน ตกลงมาจนท่วมตัวคนนั้น ตกลงมาจนท่วมบ้านท่วมเรือนหายใจไม่ออกตาย เลยตกลงมาท่วมจนตายหายใจไม่ออก ความต้องการมันมากไป จนเงินเต็มไปหมด หายใจไม่ออก พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ให้ฝนตกลงมาเป็นกหาปนะ (52.08) ก็ไม่ทำให้คนเป็นสุขได้ ฝนตกมาเป็นเงินเป็นทองก็ไม่ทำให้เราเป็นสุขได้ ถ้าเรายังไม่พอใจ แต่ถ้าเราพอใจมันก็มีความสุข ความสุขแล้ว เพราะเราพอใจ
พระราชาองค์หนึ่ง ท่านไม่มีความพอใจในความเป็นอยู่ของท่าน อยากได้ความสุขยิ่งๆ ขึ้นไปกว่านี้อีก ก็ถามอำมาตย์ว่า ฉันจะอยากได้ความสุขมากกว่านี้จะทำยังไง อำมาตย์บอกว่าต้องไปเที่ยวถามใครๆ ต่อใครๆ ดูว่า เขามีความสุขบ้างไหม ถ้าพบใครมันมีความสุข เอาเสื้อคนนั้นมาสวมซะ แล้วมันจะได้มีความสุข พระราชาก็ค่อนข้างไม่ค่อยเต็มบาทหน่อย เลยต้องไปเที่ยวถามใคร ต่อใครเยอะแยะ เจอใครเป็นสุขดีไหม อุ้ย ยุ่ง ภาษีมันเพิ่ม ใครๆ ก็ยุ่งทั้งนั้นแหละ ก็ไปเจอตาแก่คนหนึ่งขุดดินอยู่ในนา ถามว่า เป็นไง สบายดีหรือ สบายมาก เจอเข้าแล้ว เรียกว่าเจอคนมีความสุขเข้าแล้ว แต่อำมาตย์บอกว่า ถ้าเจอคนมีความสุข ให้เอาเสื้อคนนั้นมาสวม คนมีความสุขไม่มีเสื้อนี่ แต่งตัวชุดวันเกิด ล่อนจ้อน เหงื่อไหลไคลย้อย แล้วจะให้มีความสุขได้อย่างไร เพราะว่าไม่มีเสื้อจะสวม แต่พระราชาก็ได้ปัญญา ได้ความรู้ว่า ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่เสื้อ ไม่ได้อยู่ที่วัตถุเครื่องประกอบ แต่มันอยู่ที่ความพอใจเท่านั้นเอง ตาแก่คนนั้น แกพอใจขุดดิน พอใจขุดเรื่อยไป ไม่ต้องดูตะวันว่าเวลาเท่าไร ขุดเรื่อยไป ทำงานด้วยความพอใจ แกก็มีความสุข พระราชาก็ได้ปัญญา ความสุขไม่ได้อยู่ที่เครื่องประกอบที่เป็นวัตถุ แต่มันอยู่ที่เราพอใจหรือไม่ แล้วตั้งแต่นั้นพระราชาก็สบายใจ ไม่ต้องแสวงหาความสุขต่อไป เพราะความจริงก็มีอยู่พอกินพอใช้ เหลือกินเหลือใช้แล้วพระราชา แต่ว่าจิตมันยังฟุ้งซ่าน ยังอยากจะมีอะไรต่ออะไรต่อไป ที่นี่ถ้าเราคิดว่าเท่านี้ก็พอแล้ว เช่นว่าเราจิตจะมีกินสักเท่าไร กินไม่เท่าใดมันก็อิ่มแล้ว นุ่งห่มสักกี่ชุด บ้านเรือนนี่จะอยู่จะนั่งจะนอนนี่ จะเอากว้างเท่าไร ที่นอนจริงๆ มันก็นิดเดียว เท่าตัวเท่านั้นเอง แล้วก็นอนก็กว้างสักศอก แม้เตียงมันกว้างขนาดนี้ ก็ไม่ได้นอนเต็มเตียง ถ้านอนเต็มเตียงก็กลิ้งไปกลิ้งมาๆ มันก็นอนไม่หลับเท่านั้นเอง เพราะเจ้าของตายเรียบ (55.27) ไม่ได้นอนทั้งเตียง มันนอนนิดเดียว รถยนต์ก็นั่งนิดเดียว คันเล็กก็ไปถึงได้ คันใหญ่ก็ไปถึงได้ ก็เท่านั้นแหละ แต่ว่าความแข่งขันกันในวัตถุ มันมีมาก อยากอวดนั่นเอง ไม่ใช่อะไร อวดมั่งอวดมี อวดความเป็นเศรษฐี อวดไปอวดมาก็เป็นการอวดความจนไป เศรษฐีที่มีเงินมากๆ ยังเป็นคนจนอยู่ จนเพราะมันไม่พอ ไม่ใช่เรื่องอะไร จนเพราะไม่พอ จนมันมีสองอย่าง จนไม่มีกับจนไม่พอ คนบางคนจนเพราะไม่มี แต่บางคนจนเพราะมันไม่พอ มันก็เป็นทุกข์ ให้ทำใจให้สบาย ให้มี ยังนะ ภันเตนะ สุตะภัง (56.21) ได้สิ่งใดก็พอใจด้วยสิ่งนั้น มันเป็นความสุข มีความสันโดษ มีความพอใจก็เป็นสุข
แต่ว่าไม่ได้หมายความว่า ไม่ทำอะไร เราก็ทำงาน ทำงานก็ทำให้เป็นสุข อย่าทำให้เกิดเป็นความทุกข์เป็นความเดือดร้อน ทำไปตามหน้าที่ ที่เราจะต้องทำ ก็ใจสบาย มันเป็นอย่างนี้ วันนี้เป็นวันดับ ก็ดับความทุกข์ ดับความเดือดร้อนใจ ดับอะไรๆ เสียบ้าง ดับไฟกิเลส ไฟทุกข์ ที่มันมาเผาให้ร้อนในใจ ให้ใจสงบ ให้เย็น เป็นการถูกต้อง วันนี้พูดมาก็สมควรแก่เวลาขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
- ปาฐกถาธรรม ประจำวันอาทิตย์ ๒๕ ตุลาคม ปี พ.ศ.๒๕๓๕