แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรม อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ข้างนอกฝนทำท่าจะตกอยู่ โปรยปรายลงมานิดๆ หน่อยๆ ก็คงจะไม่ตกมากเท่าใด นึกว่าเป็นน้ำมนต์สวรรค์ก็แล้วกัน ตกมาถูกต้องตัวญาติโยมบ้างเพื่อความสบายทางกาย เพราะมันเย็น และจิตใจก็พลอยสบายตามไปด้วย ปกติวันอาทิตย์ฝนไม่ค่อยตก แต่วันนี้ทำท่าโปรยปรายนิดหน่อย ก็อย่ามาตกที่นี่เลย คนเขาจะทำบุญสุนทานกัน ไปตกในทุ่งนาที่เขาต้องการน้ำดีกว่า จะเกิดประโยชน์ แต่ว่าลมมันไม่ค่อยมี ฝนมันก็ตกที่นี่ ช่างมันเถอะ ฟังธรรมกันดีกว่า
ในขณะนี้ ญาติโยมทั้งหลายในประเทศไทยก็คงจะสบายใจไปตามๆ กัน เพราะว่าได้มีคณะรัฐบาลเข้ามาครองบ้านครองเมืองแล้ว ก่อนนี้ก็มีแล้วเหมือนกัน แต่ว่าเป็นรัฐบาลที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มาปกครองชั่วคราว แล้วก็มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร เลือกตั้งเสร็จก็มีพรรคที่ได้คะแนนเสียงข้างมาก คือ ประชาธิปัตย์ ก็ได้จัดตั้งรัฐบาล
คุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีที่ญาติโยมสบายใจได้ เพราะว่าเป็นคนสะอาด มือสะอาด จิตใจสะอาด ไม่รับสินบนจากใครๆ พยานปรากฏเพราะว่าเคยเป็นรัฐมนตรี เช่น กระทรวงเกษตราธิการ ถ้าสมมติว่าในสมัยนั้นเป็นคนมักมากอยากได้ จะสร้างบ้านสักหลังนี่ก็สร้างได้ เพราะโรงเลื่อยมันเยอะ ที่ขึ้นอยู่กับกรมป่าไม้ในกระทรวงเกษตรฯ เพียงพูดเปรยๆ ว่า “แหม…ฉันนี่บ้านอยู่ยังไม่มีเลย อยากจะได้บ้านสักหลังหนึ่ง” พวกโรงเลื่อยก็คงจะบริจาคให้ด้วยความเต็มใจและหวังว่าจะได้ตัดไม้ต่อไป แต่ท่านไม่เอา ไม่อยากได้ ไม่พูดอะไร คงอยู่บ้านเล็กๆ ไปตามเดิม ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เศรษฐการ รองเศรษฐการ พ่อค้าเขาส่งของไปต่างประเทศสะดวกสบาย เพราะว่าเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ให้ความสะดวกเขา เขาก็มีกำไรกัน แต่หัวหน้าได้มาหาบอกว่า “พ่อค้าเขาดีใจที่ได้รับความสะดวกในสมัยที่ท่านเป็นรัฐมนตรี อยากจะบริจาคเงินสัก ๖ ล้าน เพื่อสร้างบ้านให้ท่านอยู่สักหลังหนึ่ง เพราะบ้านที่อยู่นี่มันคับแคบ” ท่านบอกว่า “ขอทีเถอะ...ขอบใจที่แสดงไมตรีจิตมิตรภาพ แต่ว่า…ผมขอร้องอย่าทำให้ผมเสียชื่อเลย เพราะครองตัวมานานแล้ว รักษาตนมาได้เรียบร้อย ขออย่าทำให้ผมเสียชื่อเลยครับ” แกพูดลงครับทุกที พวกนั้นก็ถอยทัพกลับไป แปลว่าเอาเหยื่อมาอ่อยแล้ว ไก่นี้ไม่กินเหยื่อ ก็ใช้ได้
ท่านเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาฯ ไม่ค่อยมีอะไร เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ก็ไม่มีอะไร เรียบร้อย ทำงานมา เป็นนักการเมืองมาตั้งแต่หนุ่ม ชาวบ้านเขาเรียกว่า “พ่อหนูเมืองตรัง” เพราะยังดูเหมือนกับเด็กๆ รูปร่างน้อยๆ ท่าทางสุภาพเรียบร้อย น่าเอ็นดู พวกคุณย่าคุณยายจังหวัดตรังเวลาเลือกนะไปกันหมดแหละ กลัวลูกชวนจะแพ้ ไม่ได้ ลูกชวนจะแพ้ ต้องไปกันหมด เป็นคนที่คนรัก รักเพราะอะไร เพราะว่า “อ่อนน้อมถ่อมตัว” เข้าไปหาใครก็ไปนั่งพับเพียบกราบลงบนตัก คุณย่าคุณยายก็แหมชื่นใจ หลานชวนมากราบ ไม่ไป ยายต้องไป ไม่ไปเดี๋ยวหลานชวนจะแพ้ ลูกชวนจะแพ้ เป็นที่รักเขาเพราะเป็นคนดี
พอตั้งรัฐบาลขึ้นก็เรียบร้อย แต่มีคนทำนายทายทัก พวกปากโป้งมันก็พูดกันอยู่ รัฐบาลนี้น่ากลัวจะไปไม่นาน คุณชวนจะพาไปได้หรือ เขานึกว่าคุณชวนนี่เป็นคนอ่อนแอ ไม่ใช่ ไม่ใช่คนอ่อนแอแต่เป็นคนเข้มแข็ง ลักษณะอ่อนโยนแต่ไม่ใช่อ่อนแอ มีความแข็งอยู่ข้างใน พูดกับใครก็ไม่หยาบไม่คาย แต่ว่าเจ็บไปหลายวัน โต้ตอบอะไรนี่พูดสุภาพเรียบร้อย เหมือนมีดโกนชุบน้ำผึ้ง เขาว่ากันว่าอย่างนั้น แล้วก็คนนั้นเจ็บไปหลายวัน เพราะเฉือนเข้าไปถึงหัวใจด้วยคำคม ไม่หยาบ เบาๆ ไม่กระโชกกระชาก เป็นลักษณะนิสัยอย่างนั้น แต่ว่าเป็นคนเข้มแข็งในการทำงานทำการ อะไรถูกก็ว่าไปตามถูก อะไรผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่เข้าใครออกใคร ไม่มีความลำเอียงด้วยอคติ คือ ความรัก … ความชัง … ความกลัว … ความหลง ไว้ใจได้ ที่พูดนี่ไม่ได้เชียร์กันเพราะเป็นคนปักษ์ใต้ด้วยกัน แต่ว่าเชียร์เพราะว่าเป็นคนดี ใครดีก็เชียร์ไปเถอะ นายกไหนดีก็เชียร์ ถ้าไม่ดีก็ไม่เชียร์ นี่คนนี้เขาดี พอใช้ได้
และก็เมื่อวันเข้าไปรับตำแหน่งสำนักนายกฯ มีกาเป็นจำนวนบินมาที่ทำเนียบรัฐบาล ไอ้พวกถือโชคถือลางก็ว่า “โอ้…รัฐบาลนี้ท่าจะแย่ เพราะกามามาก” กามันเสียหายอะไร นกกานี่ไม่ใช่นกเสียหายอะไร เป็นนกที่ดี กานี่มีความดีหลายอย่าง หนึ่ง…ขยันเหลือเกิน ตื่นแต่เช้า แล้วร้องเรียกชาวบ้านชาวเมืองให้ตื่นด้วย เพราะบินก๊า ก๊า ก๊า ไปตลอดเวลา ใครได้ยินเสียงกาก็ต้องลุกขึ้นกันไปตามๆ กัน กาเป็นผู้มาปลุกคนให้ตื่นว่า “เช้าแล้ว อย่าหลับไหลมัวเมาอยู่เลย ลุกขึ้นไปทำมาหากิน สร้างเนื้อสร้างตัวกันเถอะ” แล้วกาก็ไปทำมาหากิน เป็นนกตื่นเช้ากว่านกประเภทใดๆ
อันนี้ก็เป็นตัวอย่างแห่งความขยัน เป็นธรรมะเหมือนกัน เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ฐานะ (08.57) คือหมายความว่าให้ลุกขึ้น อย่านั่งนิ่งนั่งเฉย จับจอมจับเสียม จับไถจับแอกไปทำนา ไปขุดดิน ไปทำกิจกรรมที่ควรทำ อย่าอยู่นิ่งอยู่เฉย กามันเตือน กานี่มีดีอีกอย่าง คือรักพวกรักพ้อง รักกันจริงๆ ถ้าเราจับกามาตัวหนึ่ง มาถือมาชูอย่างนี้ กาทั้งหมดจะต้องบินมาโฉบเฉี่ยว จะมาตีเรา จะแย่งเอากาพวกไป จ่อรุมกันจิก คนนั้นจะต้องหลบกันพัลวันเลย เพราะมันรักพวก มันไม่หนี กามีนิสัยสู้ สู้ไม่ถอย ไม่ยอมหนี ไม่ยอมถอย ถ้าใครทำร้ายพวกแล้วก็ต้องรุมกันต่อสู้ เป็นลักษณะพิเศษของกา นี่…เป็นเช่นนั้น ก็เป็นความดีอันหนึ่ง คือรักพวกรักหมู่
แล้วกานี่มันก็มีทั่วๆ ไปในบ้านในเมือง เป็นสัตว์ประจำบ้านประจำเมือง ในวังหลวงมีกาอยู่เยอะ ตอนเย็นนี่ก็จะเห็นว่ากาบินเข้าไปพักอยู่ตามพระที่นั่งต่างๆ ตามหลีบของหลังคา กาไปพักอาศัย บินให้ว่อนไปหมด วังหลวงก็ยังอยู่เรียบร้อย
พระเจ้าแผ่นดินครองวังหลวงมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๔ ที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ ก็ไปพักอยู่ที่วังพญาไท ซึ่งเป็นโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ เพราะว่าท่านเป็นคนสมัยใหม่ จะทำวังเก่าให้สมัยใหม่มันก็ไม่ได้ ก็เลยไปอยู่วังพญาไทที่เป็นส่วนมาก และมาสร้างวังจิตรลดาขึ้น ก็ไปพักอยู่ที่วังจิตรลดารโหฐาน วังเก่าก็ยังอยู่เรียบร้อย ยังเจริญรุ่งเรือง แม้กาจะมาอยู่มาก แต่ราชวงศ์จักรีก็เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ทำงานเป็นประโยชน์แก่ชาติประเทศมากมาย ประเทศชาติเราที่ได้เจริญก้าวหน้ามาจนกระทั่งทุกวันนี้ ก็เพราะอาศัยแรงงานของพวกราชวงศ์จักรี ตั้งแต่พระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ ช่วยกันรักษาบ้านรักษาเมืองมาโดยลำดับ จนกระทั่งถึงมือพวกเราทั้งหลายที่เป็นประชาชน ได้มีการปกครองแบบประชาธิปไตย ก็เพราะอาศัยบารมีพระเจ้าแผ่นดิน กาก็ไม่ได้ทำพิษภัยอะไรแก่ราชวงศ์จักรีให้เสียหาย เจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับ
อาตมามาอยู่วัดชลประทานฯ นี่ตั้งแต่ปี ๒๕๐๓ (12.03) วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๐๓ (12.07) นี่เข้ามาอยู่ในวัด มาเป็นสมภารเลย ไม่ต้องรักษาการ เขาตั้งให้เป็นเลยในวันนั้น ตราตั้งมอบให้เสร็จ แล้วก็อยู่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบัดนี้ ไม่ค่อยมีกามาที่วัดนี้เลย แต่ว่าวันหนึ่งเมื่อสองปีมาแล้ว อีกาตัวหนึ่ง ไม่รู้มาจากไหน มาถึงก็อาบน้ำในอ่างปลูกบัวหน้ากุฎิน่ะ อาบเพลินเลยไม่ขออนุญาตสักหน่อย อาบอย่างสบายใจ เราก็ “โอ้ย … กามาจากไหนมาอาบน้ำที่นี่” อาบน้ำแล้วก็ไม่ไปไหน ยังอยู่ กาตัวนั้นยังอยู่ แล้วทีหลังก็มีเพื่อนมาอีกตัวหนึ่ง มาอยู่ แต่ว่าเพื่อนที่มานั้นไม่ค่อยอยู่ประจำ กาตัวนั้นอยู่ประจำ เช้าๆ เปิดประตูขึ้น ประเดี๋ยวเดียวมันก็มาละ วิ่งยอกแยกเข้าไป เข้าไปใกล้ประตูน่ะ เกาะจับอยู่ตรงนั้น บอกว่า “หิวเหมือนกัน เช้าแล้ว ยังไม่ได้กินอะไรเลย หลวงพ่อมีอะไรบ้าง” ก็ให้เขา พอให้แล้วเขาก็คาบไป คาบไปแล้วพาไปซ่อนไว้ เอาไว้กินเวลาอื่น เป็นคนรู้จักสะสมอาหาร วันไหนไม่มีกินก็ไปเอามากิน วันนี้ค่อยกินก่อนไปหาใหม่ เดี๋ยวกลับมาขออีก ก็เป็นอย่างนั้น อยู่อย่างนั้นแหละ
แล้วตั้งแต่กามานี่ เอ้อ…เงินทองไหลมาเทมา (ญาติโยมหัวเราะ) ญาติโยมก็มาทำบุญกันเป็นการใหญ่ ได้เงินสร้างโรงพยาบาลตั้งสองร้อยกว่าล้าน เพราะกานี่เอง จะถือว่ากามาก็นำลาภมาให้ก็ได้ แต่มันไม่ใช่หรอก ไม่ใช่เรื่องกา แต่ถ้าเราคิดในแง่ว่าเป็นมงคล ก็เป็นอย่างนั้น ในประเทศศรีลังกานี่มีกามากเหมือนเมืองไทย เพราะคนไม่ทำร้ายสัตว์ ริมทะเลนั่นน่ะ ชายทะเลอีกาเยอะมากมาย มีแขกคนหนึ่ง กามันจำได้ ถ้าแขกคนนั้นมาแล้ว อูย บินมารุมกัน ลอยอยู่บนหัวแขกนี่เต็มไปหมด เป็นร้อยๆ เพราะแขกคนนั้นไม่มาเปล่า เอาอาหารมาแจกกา เอาอาหารใส่ถาดมานะ เอาผ้าคลุมมา มาถึงก็เปิดถาดชูขึ้นมาอย่างนี้ กาก็โฉบไปโฉบมา โฉบไปโฉบมากินอาหาร แขกคนอื่นเดินมาจะกี่แขกก็ตาม กาไม่มา ถึงแต่งตัวคล้ายๆ กัน มันก็ไม่มา มันจำได้ แต่พอนายแขกคนนั้นมาล่ะ กามาแล้ว มากินอาหาร มันจำ เป็นอย่างนี้ทุกวัน แขกนั้นก็มาให้ทุกวันเป็นประจำ ถือเป็นกิจวัตรต้องให้ทานอาหารแก่กา พวกกาเลยได้รับความสะดวกสบาย เขาไม่ทำร้ายใครน่ะกา ถ้าทำร้ายบ้างก็ลูกไก่เล็กๆ เขาชอบเอาไปกินเป็นอาหาร มันเป็นเรื่องอย่างนั้น แต่กับผู้คนนี่เขาก็ไม่ทำร้าย เป็นสัตว์ที่ไม่รังแกใคร
ที่ทำเนียบรัฐบาลนี่คงจะไม่ค่อยมีกา แต่ว่ามีกามาในวันที่นายกฯ เข้ามา ถ้าพูดกันในแง่ดีก็เรียกว่า “เป็นเครื่องหมายแห่งความดี” เป็นเครื่องหมายแห่งความก้าวหน้า แห่งความสุขความเจริญ แห่งความรักความสามัคคี การปฏิบัติงานในคณะรัฐบาลนี้คงจะเรียบร้อย เพราะกาก็มาไชโยด้วย มาร้องกันก้องไปเลย ชาวบ้านก็ดูแล้ว “โอ้ย…กามาไชโยโห่ร้อง ชอบใจรัฐบาลคุณชวน” เป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่พวกปากสกปรกก็ชอบพูดไปอย่างนั้นน่ะ “โอ้…รัฐบาลนี่ท่าจะแย่” เพราะกามาตีกัน มันไม่ได้ตีกันหรอก มันบินเวียนไปเวียนมาแล้วมาร้อง กา…กา กัน มาให้พรมากกว่า ไม่ได้อะไร ถ้าคิดให้มันดีก็ดีนะ แต่พวกชอบคิดร้ายมันก็อย่างนั้น…อะไรๆ ก็คิดให้ร้าย
คิดร้ายนี่มันได้อะไร…ได้ความทุกข์ได้ความเดือดร้อนใจ แต่ถ้าเราคิดดีนี่ได้ความสุขความสบายใจ พูดดีมันก็สบายใจ พูดร้ายก็ไม่สบายใจ แล้วไปพูดร้ายๆ ทำไมให้มันเป็นอัปมงคลแก่ปาก เราควรพูดแต่เรื่องดีเรื่องงาม พูดให้มันเป็นมงคลให้เจริญทางจิตใจ จึงจะใช้ได้ นั่น…มันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจอะไร ที่มีกามาอย่างนั้น แต่มาสอนเราให้รู้จักตื่นตัว ให้รู้จักว่องไว ให้รู้จักก้าวหน้า ให้รู้จักรักสามัคคีกัน เสียสละต่อกัน เรื่องมันดีทั้งนั้น ไม่ได้มีเรื่องอะไรเสียหาย จึงเอามาพูดไว้เป็นหลักฐานเสียหน่อย
คือเราชาวพุทธนี่ พุทธบริษัทนี่ เรียกว่า “อุบาสก อุบาสิกา” อุบาสก คือผู้อยู่ใกล้พระ อุบาสิกาก็เหมือนกัน แต่ว่าเป็นผู้หญิง “อุบาสก อุบาสิกา” แปลว่า “ผู้อยู่ใกล้พระรัตนตรัย” ใกล้พระพุทธเจ้า ใกล้พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ใกล้ นี่หมายความว่า “ใจใกล้” ใจเข้าถึง เข้าถึงคุณของพระพุทธเจ้า เข้าถึงคุณพระธรรม เข้าถึงคุณพระสงฆ์ เรียกว่าเป็น “อุบาสก อุบาสิกาในพระพุทธศาสนา” อันบุคคลที่เป็นผู้อยู่ใกล้พระนี่ย่อมมีความสุข เพราะว่าการเข้าถึงพระทำให้ใจเรามีความสุข มีคำกล่าวในพระสูตรหนึ่งว่า
“เยเกจิ พุทธัง สะระณัง คะตา เส นะ เต คะมิสสันติ อะปายะภูมิง ปะหายะ มานุสัง เทหัง เทวะกายัง ปะริปูเรสสันติ” แปลความว่า “บุคคลใดถึงพระพุทธเจ้าพระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เขาย่อมไม่ไปสู่อบาย ตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นเทวดา” เรียกว่า…ไปดี เพราะจิตมันอยู่กับพระ จิตที่อยู่กับพระก็ไม่ตกอบาย เพราะไม่คิดเรื่องชั่ว ไม่พูดเรื่องชั่ว ไม่ทำเรื่องชั่ว ไม่คบเพื่อนชั่ว ไม่ไปสู่สถานที่ชั่วๆ ก็ไม่ตกอบาย คิดแต่จะให้คนอื่นสบาย คิดไม่เบียดเบียนใคร คิดไม่ทำร้ายใคร คิดที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขมีความเจริญ มีความก้าวหน้าในชีวิต ในการงาน แล้วคิดจะออกจากสิ่งไม่ดีไม่งาม ความชั่วความร้ายอันใดมาเกาะจับอยู่ในใจของเราบ้าง เราก็มองเห็นทุกข์เห็นโทษ แล้วก็ขจัดเอาสิ่งนั้นออกไปจากใจ ไม่ให้พัวพันอยู่ในใจของเราต่อไป ไม่กลับไปสู่ความชั่วความร้ายนั้นอีกต่อไป แต่เดินรุดไปข้างหน้า ตามเส้นทางที่ถูกที่ชอบ อันนี้ก็เรียกว่า ไม่ตกอบายแล้ว จิตไม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่เป็นสัตว์นรก ไม่เป็นเปรต ไม่เป็นอสูรกาย ไม่เป็นผี
ถ้าจิตเราไม่ได้อยู่กับพระ เราก็เป็นสัตว์เดรัจฉานได้ง่าย เป็นสัตว์เดรัจฉานน่ะมันเป็นกันที่ตรงไหน ไม่ใช่เป็นเพราะร่างกายเปลี่ยนภาพไป ไม่ใช่เป็นสุนัข เป็นแมว เป็นอะไรต่ออะไร ไม่ใช่อย่างนั้น ร่างกายมันเปลี่ยนไม่ได้ เกิดมาเป็นคน มันก็เป็นคนตลอดไป แต่ใจมันเป็นได้ ใจที่เป็นสัตว์เดรัจฉานน่ะมันเป็นอย่างไร คือมีความโง่เข้ามาเกาะจับอยู่ในใจ เมื่อใดเรามีความโง่เกาะอยู่ในใจของเรา คิดอะไรก็คิดแบบโง่ๆ พูดอะไรก็พูดแบบโง่ๆ ทำอะไรก็ทำแบบโง่ๆ ไปไหนก็ไปอย่างคนโง่ คบกับใครก็คบกันแบบโง่ๆ
ไปไหนแบบคนโง่นี่ไปอย่างไร ตื่นแต่เช้า เข้าไปร้านเหล้า ไปดื่มเหล้าให้มันเมา อย่างนี้ไปแบบคนโง่ หรือไม่บ่อนการพนันก็ไปแบบคนโง่ ไปเที่ยวกลางค่ำกลางคืนหาความทุกข์ใส่ตัว หมดเปลืองเงินทอง ไม่ได้หลับได้นอน อย่างนี้ก็เป็นความโง่ ใช้จ่ายทรัพย์สุรุ่ยสุร่ายจนเป็นหนี้สินรุงรัง ไม่รู้จักเก็บ ไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักทำให้มันเจริญงอกงาม เป็นประโยชน์แก่ตัว เป็นประโยชน์แก่ครอบครัวก็เรียกว่าเป็นความโง่ ความเขลา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ชีวิตไม่เรียบร้อย โง่ทั้งนั้น เราทำอะไรที่มันผิดนี่เป็นความโง่ทั้งนั้น
ความโง่นี่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ทรัพย์สมบัติ การงาน ไม่สร้างความสุขให้แก่ครอบครัวเลยแม้แต่น้อย ไม่สร้างความสุขให้เกิดขึ้นในสังคม เพราะมีความโง่เกาะจับเป็นนิสัย นี่เขาเรียกว่าเป็น “สัตว์เดรัจฉาน” สัตว์เดรัจฉานคือตัวแท้ ก็คือ “ความโง่”นั่นเอง เพราะฉะนั้นเราคอยสังเกตตัวเราได้ ว่าเวลาใดเราคิดอะไรแบบโง่ๆ คิดเกลียดคนนั้น คิดโกรธคนนี้ คิดพยาบาทเขา คิดจะไปทำร้ายเขา คิดแช่งชักหักกระดูกเขาให้มันตายไปซะทีเถอะ นี่คิดแบบโง่ๆ ไม่ได้เรื่อง แล้วจิตใจมันก็เศร้าหมอง หน้าตาก็เศร้าหมอง อะไรมันเสียไปหมด เพราะคิดไม่ถูกต้อง
แต่ถ้าเราคิดว่า “จะทำประโยชน์แก่ใครหนอในวันนี้” ตื่นขึ้นเช้าก็คิดว่า “วันนี้จะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์อย่างไร จะช่วยเหลือใครบ้าง จะทำอะไรบ้างที่เป็นบุญเป็นกุศล” เช่น วันพระ เราก็คิดว่าวันนี้วันพระตรงกับวันอาทิตย์พอดี ไปวัดเถอะ ไปรักษาศีล ไปฟังธรรม ไปนั่งสงบจิตสงบใจ ไปชำระชะล้างเอาความชั่วที่มันเกาะจับอยู่นี่ออกจากจิตใจเสียบ้าง ชีวิตจะได้ดีขึ้น อย่างนี้คิดแบบคนฉลาด…ไม่โง่ ถ้าคิดตรงกันข้ามก็เป็นความโง่ความเขลา ไม่ถูกต้อง ไม่เจริญ ไม่ก้าวหน้า เราอย่าคิดอย่างนั้น
พูดก็เหมือนกัน จะพูดอะไรกับใครก็กลั่นกรองเสียก่อน อย่าพูดสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อย่าพูดคำโกหกกับใครๆ อย่าพูดคำหยาบกับใครๆ อย่าพูดแบบคนเพ้อเจ้อ ไม่ได้เรื่องได้ราวกับใครๆ อย่าพูดยุยงส่งเสริมให้คนมันแตกกัน พูดให้เขารักกัน ให้สามัคคีกัน ให้ร่วมแรงร่วมใจกันเป็นกันอยู่ อย่างนี้เรียกว่าพูดแบบคนฉลาด…พูดอะไรให้เป็นประโยชน์นี่พูดแบบคนฉลาด พูดให้เขาตื่นตัว ให้รักงาน ให้ก้าวหน้า เช่น เราพูดกับเด็กก็พูดให้เด็กมันขยันในการศึกษาเล่าเรียน ให้รักพ่อแม่ ให้เคารพครูบาอาจารย์ ให้ตั้งตนอยู่ในความดีความงาม…นี่พูดเป็นประโยชน์ พูดชักชวนในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ชวนให้ทาน ชวนให้รักษาศีล ชวนให้ฟังธรรม ชวนให้ไปเจริญภาวนา ชวนให้อ่านหนังสือธรรมะ ให้ฟังเทศน์ธรรมะ อะไรอย่างนั้น อย่างนี้เรียกว่า พูดเป็นประโยชน์ เป็นคุณเป็นค่าแก่ชีวิต คนฟังก็สบายใจ เราเองก็สบายใจ ชีวิตก็ไม่เสียหาย มันดีขึ้น เจริญขึ้น เป็นคนฉลาด ฉลาดในการพูด
คนฉลาดพูด…คนรัก ไม่ฉลาดพูด…ก็คนเกลียด เอ่ยปากขึ้นเขาก็เห็นไรฟันแล้ว เขารู้ว่าจะพูดอะไร พูดไปแล้วไม่เป็นที่ประทับใจใคร ไม่เป็นที่พอใจ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า “พึงเปล่งวาจางาม” คือวาจาที่ไพเราะเพราะพริ้ง เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง ไม่แสบแก้วหู ไม่กระเทือนใจ อย่างนี้เป็นวาจาไพเราะ เราพูดอย่างนั้นก็พูดแบบคนฉลาด พูดเพราะมีสติมีปัญญากำกับการพูด ไม่ได้พูดส่งเดชออกไป แล้วก็เป็นคำพูดที่ไม่ได้เรื่อง เสียเวลา เสียแรงงาน ไปด้วยประการต่างๆ เราก็ต้องคิดให้เป็นคนฉลาดพูด เป็นคนฉลาด จะไปไหนก็ต้องไปอย่างคนฉลาด เช่น จะไปไหนก็ควรคิดซะก่อนว่า “นี่เจ้าจะไปไหน ไปทำไม ไปเพื่ออะไร ไปแล้วจะได้อะไร แล้วสิ่งที่ได้นั้นมันดีหรือชั่ว มันเป็นเหตุให้เกิดสุขหรือทุกข์ เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมหรือเกิดความเจริญ” ต้องคิด คิดแล้วมองเห็นว่า…เฮ้อไม่ได้เรื่อง ไปทำไม ไปให้โง่ทำไม ก็มันไม่ได้เรื่องแล้วจะไปทำไม เสียเวลา เสียเงิน เสียทองเปล่าๆ ไม่เข้าเรื่อง เราก็ไม่ไป อยู่กับบ้านจะดีกว่า อย่างนี้ก็เรียกว่า ฉลาด คิดก่อนจึงไป คิดก่อนจึงทำ “นิสัมมะ กะระนัง เสยโย” แปลว่า “ใคร่ครวญแล้วจึงทำดีกว่า” อย่าทำอะไรโดยอารมณ์ โดยความหุนหันพลันแล่น โดยใม่ได้คิดไตร่ตรองให้รอบคอบมันก็เสียหาย เรื่องเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น เราไม่สร้างความโง่ให้เกิดขึ้นในชีวิต แต่เราเพิ่มความฉลาด เพิ่มปัญญาให้เกิดขึ้น เรารู้จักใคร เราสนิทสนมกับใครเราก็เหมือนกัน เราจะไม่ชักชวนในทางโง่เขลา แต่ชวนให้เขาฉลาดให้มีปัญญา ชวนเขาไปบ่อนการพนัน ชวนเขาไปดื่มเหล้า ชวนเขาไปเที่ยวกลางคืน สนุกสนาน สิ้นเปลืองเงินทอง ชวนให้เขาสุรุ่ยสุร่าย ชวนให้เขาขี้เกียจทำงานทำการ อย่างนี้ไม่ได้เรื่อง ไม่ฉลาดเลย ในการที่กระทำเช่นนั้น ต้องหลีกเลี่ยงทุกอย่างที่ไม่ถูกไม่ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้น ควรจะคิดจะพูดจะทำไอ้ที่ถูกที่ตรงให้สมศักดิ์ศรีของความเป็นอุบาสก อุบาสิกาในพระพุทธศาสนา
“สัตว์นรก” นั้นหมายถึงอะไร “นรก” แปลว่า “ร้อน” นรกนี่มันร้อน ภาพนรกเป็นเปลวเพลิง เพลิงรุกมารอบทิศพุ่งเข้าหาตัวคนนั้น จากข้างล่าง..ลงมาจากข้างบน จากขวา…จากซ้าย จากหน้า…จากหลัง เพลิงทั้งนั้น เขาเขียนภาพให้เห็นก็หมายความว่า นรกนี่มันร้อน ร้อนรอบทิศ ไม่มีความเย็นเลย ก็หมายความว่าจิตของคนนั้นมันร้อนอยู่ตลอดเวลา ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะทำผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด คบคนผิด ไปสู่สถานที่ผิด แล้วก็ร้อนใจ เพราะเราทำผิด ทุกคนที่ร้อนใจนี่มันเรื่องผิดทั้งนั้นแหละ คิดดูให้ดี โยมคิดดูให้ดี ที่นั่งร้อนใจมีอะไรล่ะ นั่นมันเรื่องผิดทั้งนั้น ผิดแล้วก็มานั่งร้อนใจเ ป็นทุกข์ใจ ไอ้เวลานั่งร้อนใจนี่เราอยู่ในนรกแล้ว อยู่ในนรก แม้อยู่ในบ้านก็ตกนรก อยู่ในห้องปรับอากาศ…เย็น แต่ก็นั่งร้อนใจเพราะตกนรกอยู่เหมือนกัน นรกมันอยู่ตรงนี้…อยู่ที่ร้อนใจ
ถ้าเราร้อนใจขึ้นเราจะทำอย่างไร … เราก็ต้องปฏิบัติตามหลักการของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้ทำอย่างไร ให้รู้ว่าความ (30.27 เสียงขาดหายไป) เราไปโทษดินฟ้าอากาศจะไปแก้อย่างไร ไปโทษคนนั้นคนนี่จะไปแก้อย่างไร โทษดวงเวลาเกิดจะไปแก้อย่างไร ไม่ได้ แก้ไม่ได้ แก้ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าไปโทษคนอื่นแล้วมันแก้ไม่ได้ ทีนี้เราควรจะโทษตัวเอง ถือหลักของพระพุทธเจ้าว่าต้องโทษตัวเอง ความสุข ความทุกข์ ความเสื่อม ความเจริญ ที่เกิดขึ้นที่ตัวเรานั้น เราทำให้มันเกิดขึ้น อันนี้เป็นหลักสำคัญที่จะเอาไปใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาชีวิต คือแก้ที่ตัวเรา อย่าไปแก้ที่อื่น
ถ้าเราเชื่อตามหลักการของพระพุทธเจ้านะ เราไม่ต้องไปหาหมอดู ไม่ต้องไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ที่คนปัญญาอ่อนเขาไหว้กัน ไม่ต้องไปสะเดาะเคราะห์ สะเดาะโศก ไม่ต้องทำพิธีรีตองใดๆ แต่เรานั่งลงใช้สงบใจ หรือถ้าจะไปวัดก็ไปได้ แต่ไปถามปัญหาชีวิต ไปปรึกษา เช่น มาหาพระนี่เรามาปรึกษา ไม่ใช่มาให้ท่านมาดูดวงชะตาราศี ไม่ใช่มาให้ท่านรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ หรือทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ทายชะตาราศี ไม่ได้…ช่วยไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านั้นเอาออกไม่ได้ถ้าเราโง่…โง่เลยเอาออกไม่ได้ ฉลาดจึงจะเอาออกได้ เพราะมันอยู่ในใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่ผิวหนังที่จะไปรดน้ำมนต์แล้วมันหลุดออกไป และรดมันก็ไม่มากอะไร ก็นิดหน่อย มันก็ไม่ชุ่มไม่เย็นอะไร หลอกให้สบายใจเท่านั้นเอง มันไม่ใช่วิธีการในทางพุทธศาสนา เราจึงต้องแก้ที่ตัวเรา อันนี้พูดย้ำบ่อยๆ เพราะว่าญาติโยมยังไม่ค่อยจะซาบซึ้ง คนที่มาวัดบ่อยๆ ก็ซาบซึ้งแล้ว ไม่ทำอย่างนั้นแล้ว แต่ที่เพิ่งมาก็จะได้รู้ว่า อ้อ…วิธีแก้ปัญหาชีวิตต้องแก้ที่ตัวเรา เพราะเหตุมันอยู่ในตัวเรา
พระพุทธเจ้าสอนว่า “สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ” เหตุมันอยู่ที่ไหน ไม่ใช่อยู่ที่ดวงดาว ที่ท้องฟ้า ไม่ได้อยู่ที่ดวงชะตาราศี ไม่ได้อยู่ที่อะไรๆ ภายนอก แต่มันอยู่ที่ตัวเรา…อยู่ที่เราคิด เราพูด เราทำ เราคบหาสมาคม เราไปเรามา แล้วมันเป็นเหตุให้เกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเรา เราจึงต้องดูที่ตัวเรา ด้วยการนั่งสงบใจ แล้วก็คิดถามตัวเองว่า “แกทุกข์อะไร ร้อนใจเรื่องอะไร ทำไมจึงทุกข์ ทำไมจึงร้อนใจ อะไรเป็นเหตุให้เกิดขึ้น” รู้ ไม่ต้องไปหาหมอดู หมอดูแกไม่รู้อะไร ไปก็ไม่รู้ ทายเดาๆ ไปเท่านั้นเอง คนโง่เท่านั้นแหละที่ไปหาหมอดู คนฉลาดเขาไม่ไป มาวัดชลประทานฯ แล้วก็ฉลาดเสียบ้างนะโยมนะ ไม่ต้องไปหาหมอดู ไม่ต้องให้หมอดูต้มต่อไปอีก หลอกต่อไป เพราะว่าหมอดูนั่นหลอกเราเท่านั้นเอง หลอกให้เราสบายใจชั่วครั้งชั่วคราว…เหมือนเด็กร้องไห้แล้วก็จะให้ตุ๊กตาให้มันหยุดร้อง อยากได้ตุ๊กตา ให้กินขนมหยุดร้อง พอหยุดร้องแล้วไม่เอาขนมให้ วันหลังบอกว่าจะให้มันก็ไม่เชื่อ เพราะหลอกมาทีหนึ่งแล้ว…เด็กมันก็รู้ขึ้นมาบ้างใช่ไหม ทีนี้ผู้ใหญ่ยังเป็นเด็กอยู่เยอะ ขอโทษเถอะ คือไม่รู้เรื่องชีวิตถูกต้อง เพราะไม่ได้ฟังคำสอนที่ถูกต้องไปเชื่อสิ่งเหลวไหลรับตามๆ กันมา เห็นเขาทำก็ทำตามๆ กัน ทำโดยไม่รู้ว่าทำทำไม ทำเพื่ออะไร ทำแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ทำไปอย่างนั้นเอง เขาให้ทำก็ทำกันไปอย่างนั้นเอง อย่างนี้เป็นตัวอย่าง…มีถมไป
เราผู้ได้รับการศึกษามีปัญหาพอสมควรแล้ว จะไม่ทำอย่างนั้น แต่เราจะทำตามหลักการของพระพุทธเจ้า “หลักการของพระพุทธเจ้า คือ ต้องรู้ว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ” ไม่มีเหตุ…ผลเกิดไม่ได้ แล้วเหตุนั้นมันอยู่ที่ไหน อยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่กรรมของเราเอง เราทำมันขึ้นแต่ว่าคนเราโดยทั่วไปนั้นมีข้อบกพร่อง…บกพร่องตรงที่ว่า…ไม่ยอมรับว่าตัวผิด ไอ้นี่สำคัญหนักหนา ไม่ยอมรับว่าตัวผิด เมื่อไม่ยอมรับว่าตัวผิดแล้วจะแก้ได้อย่างไร เพราะไม่รู้ว่าผิดตรงไหน จะแก้ให้มันถูกได้อย่างไร เหมือนเราไม่รู้ว่าโคลนติดสันหลังนี่เราจะไปล้างได้อย่างไร เพราะมองไม่เห็น ไม่ยอมรับ ถ้าใครบอกก็ไม่เชื่อว่าโคลนติดอยู่ที่เสื้อข้างหลัง เราก็ไม่เชื่อ เราก็ไม่มีการแก้ไข แต่ถ้าเรามีความเชื่อหลักการของพระพุทธเจ้าว่าอะไรๆ ที่มันเกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น เกิดเพราะเราทำให้มันเกิดขึ้น เหตุมันอยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่ภายนอก “ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะดลบันดาลให้ใครเป็นอะไร” อันนี้สำคัญ โยมจำไว้ให้ดี แล้วเมื่อเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ตัดปัญหาเยอะ ไม่ต้องยุ่งกับพิธีรีตองอะไรที่มันวุ่นวายกันอยู่ในบ้านในเมืองของเรา ไม่ต้องไปยุ่ง ไม่ต้องไปเที่ยวไหว้อะไรต่ออะไรให้มันวุ่นวาย ไม่ต้องไปว่ายพระภูมิบนหลังคา อะไรต่ออะไรให้มันวุ่นวาย สร้างไว้ข้างล่างมันได้ ดันเอาไปไว้บนหลังคา คณะรัฐมนตรีต้องปีนไปไหว้บนหลังคา เราไม่ต้องไปไหว้ แต่ว่าจิตใจมันยังหวั่นไหวอยู่ กลัวคนจะว่า เวลามีอะไรกันล่ะก็นี่เพราะไม่ไหว้พระภูมิเจ้าที่
พระภูมิเจ้าที่ทำอะไรเราไม่ได้ ช่วยเราก็ไม่ได้ แช่งเราก็ไม่ได้ ทำให้เราจนก็ไม่ได้ ทำให้เรารวยก็ไม่ได้ ทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ได้ ทำให้เราหายป่วยก็ไม่ได้ เราทำเอาเองทั้งนั้น เราจนก็เพราะเราไม่ทำงาน ไม่หาเงิน หามาได้แต่กินหมดใช้หมด ไม่รู้จักเก็บ มันก็จนตาย ไม่ใช่ว่าเพราะดวงไม่ดี ถ้าเราไปหาหมอ แหม..หมอแกรู้ว่าเรามันจน แกบอก อ้อ เพราะดวงมันไม่ดี เกิดยามทลิโทฤกษ์ (38.12) ยามฤกษ์คนจน ไม่ได้เกิดยามคนรวย ก็เป็นอย่างนั้น เขาว่าอย่างนั้น แต่ไม่ใช่ ถ้าเราขยันขันแข็งในการทำมาหากิน เก็บหอมรอบริบ สร้างเนื้อสร้างตัวมันก็รวยได้ทุกคน รวยได้ตามฐานะ รวมความว่ามันอยู่ที่เราทั้งนั้นแหละขอให้โยมเข้าใจข้อนี้ไว้ ว่าอะไรอะไรๆ มันอยู่ที่ตัวเอง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธเย” แปลว่า “ความบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะคน คนหนึ่งคนใดจะทำใครให้บริสุทธิ์ก็ไม่ได้” ให้เศร้าหมองก็ไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นว่า เขาว่าเราชั่ว ถ้าเราไม่ชั่วแล้วมันจะชั่วได้อย่างไร ถ้าเรารู้ว่า เราไม่ได้ชั่วจะไปหวั่นไหวอะไรกับคำกล่าวเช่นนั้น เช่น ถ้าเขาพูดว่า “แกนี่มันชั่ว” ก็เฉยๆ ถ้าเรารู้ กูไม่ได้ชั่ว มันโกหก แล้วเราจะไปเป็นทุกข์อะไร แล้วเราไม่ด่าตอบ เพราะถ้าเราไปด่าตอบเราชั่ว ถ้าเราอยู่เฉยๆ ทำจิตทำใจปลงตก เราไม่ชั่ว แต่ถ้ามันว่า “มึงชั่ว…ไอ้แกนั่นแหละชั่ว” กลายเป็นชั่วขึ้นมาสองคนแล้ว มันไม่ถูกต้องแล้ว เราต้องถือหลักว่า ไม่เพิ่มความชั่ว…ไม่เพิ่มคนชั่ว ถ้าคนหนึ่งมันมาว่าเราชั่ว…เราเฉยๆ เราสงสาร…ที่เข้าใจผิด เราสงสารที่มันยังโง่อยู่ พูดจาคำเท็จนั้นออกมา แล้วเราไม่ทำตอบ…เราฉลาด ถ้าเราด่าตอบ…เราก็โง่ โง่ขึ้นมาอีกคนหนึ่ง แล้วก็เพิ่มความชั่วขึ้นอีกคนหนึ่ง
พระท่านจึงสอนว่า “อย่าเพิ่มความชั่ว … อย่าเพิ่มคนชั่ว” คือว่าเราไม่ทำตอบ…เราก็ไม่เพิ่มความชั่ว ไม่เพิ่มคนชั่ว นั่งเฉยๆ เขาด่าได้ก็ด่าไป นึกว่า เอ้อ…ถ้ามันด่าเราแล้วมันสบายใจก็ปล่อยให้มันด่าไปเถอะ มันจะได้สบายใจหน่อย โปรดมันหน่อย ให้เขาสบายใจ เราก็ไม่ต้องเดือดร้อนอะไร นี่เรามันไม่ได้คิดอย่างนั้น มันว่ากู…กูไม่ได้ชั่วสักหน่อย เลยต้องว่าตอบมันบ้าง เขาว่าคำหนึ่ง กูตอบไปสอง เอาให้มันสาสามกันหน่อย แล้วมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เลยเถียงกัน สองคนก็เถียง ทะเลาะกัน ด่ากันก้องทุ่งไปเลย คนอื่นเขามายืนดูว่าลิเกแสดงกำลังจะบู๊ (41.08) เขาก็มาดูกัน ไม่ได้เรื่องอะไร เราต้องทำใจเย็นๆ หัดเป็นคนใจเย็น อย่าเป็นคนใจร้อน ใครมาพูดมาว่าอะไรก็เฉยๆ ถ้าเขาว่าแกมันชั่ว เออ ชั่วตามเขาว่ารึเปล่า อ้าวไม่ได้ชั่ว ไม่ได้ชั่วแล้วไปโกรธเขาทำไม เฉยๆ ทำใจเย็นๆ เรียกว่ามีสติเกิดขึ้น รู้ทันรู้เท่า มีปัญญาตามมาก็ปลงตกลงไปว่า ไม่เป็นไร ไม่เสียหาย เราไม่ต้องไปทุกข์ในเรื่องอย่างนั้น เขาว่ามันเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา เราไม่โต้ตอบ การไม่โต้ตอบนั่นแหละเรียกว่า “เราชนะความชั่วด้วยความดี” ชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ เป็นความชนะที่ถูกต้อง ชนะที่มันหยุด แต่ถ้าเราจะชนะคะคานกันด้วยการโต้ตอบ…มันไม่หยุด มันยาวออกไป
พระท่านสอนว่า…
“อย่าเห็นแก่ยาว” คือ “อย่าต่อเรื่อง”
“อย่าเห็นแก่สั้น” คือ “อย่าใจร้อน”
ทำลายมิตรไวเกินไป ต้องอยู่ด้วยปัญญา ด้วยความคิดรอบคอบ สิ่งต่างๆ มันก็ไม่เสียหาย อยู่อย่างนี้ ให้จำหลักนี้ไว้ให้ได้ว่า “การแก้ไขปัญหาชีวิตต้องแก้ที่ตัวเรา” ด้วยการศึกษาให้เข้าใจว่า อะไรๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น มันเกิดเพราะเราทำให้มันเกิดขึ้น เมื่อเราทำให้เกิดเราก็ต้องแก้ที่ตัวเรา ดับเหตุสิ่งนั้นออกไป ถ้าเราไปทุกข์เพราะแพ้การพนัน ก็เลิกเล่นการพนันมันก็หมดทุกข์ เป็นทุกข์เพราะเสพสุรามึนเมาแล้วเกิดอุบัติเหตุ ไม่ตาย ยังอยู่ต่อไป ก็เลิกมันเสีย ไม่เสพต่อไป เป็นทุกข์เพราะไปเที่ยวกลางคืน คนเขาทะเลาะกันแล้วเขาแบ่งให้เราบ้าง ได้ลูกกระสุนมาเม็ดหนึ่งต้องไปนอนโรงพยาบาล เราก็คิดว่ามันเป็นเรื่องอะไรต้องไปนอนโรงพยาบาล ก็เพราะเขาไปเที่ยวกลางคืนน่ะสิ ไปเที่ยวกลางคืนเขาทะเลาะกันแล้วเขายิงผ่านเราเข้า เราก็เลยได้ส่วนแบ่ง เราต้องโทษตัว อย่าไปโทษคนยิง เราโทษตัวก็จำว่า เอ้อ…กูไม่ไปเที่ยวต่อไป ค่ำแล้วนอนบ้านดีกว่า ค่ำแล้วจะไปเที่ยวทำไม นอนบ้านดีกว่า
ถ้าเราเป็นทุกข์เพราะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย…หัดประหยัดเสียบ้าง อะไรไม่จำเป็นอย่ากินอย่าใช้ กินอย่างประหยัดอดออม อย่ากินให้มันเปลืองเงินเปลืองทองมากเกินไป ทำกับข้าวกินที่บ้านมันอร่อยพอสมควร แต่ถ้าไปกินตามภัตตาคารมันแพง ยิ่งไปกินบ่อยๆ เงินเดือนมันไม่พอใช้ พอเงินเดือนไม่พอใช้ก็เดี๋ยวหาทางได้โดยผิดวิธี คอรัปชั่น ติดสินบนอะไรต่างๆ เสียหายกันไปใหญ่ เราต้องแก้ที่เหตุ มีอะไรเกิดขึ้นก็ต้องแก้ที่เรา อย่าไปโทษใคร อย่าไปโทษดินฟ้าอากาศ เช่น ฝนตก ถนนมันก็ลื่น ธรรมดา เราก็ต้องระวังขับรถไม่เร็วเกินไป ไม่ประมาทในการขับรถ รถก็ไม่เกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าเกิดขึ้นก็ต้องเขกกระบาลตัวเอง ว่าแกมันประมาทขับรถไม่ระวัง จึงได้เกิดเรื่อง ก็แก้ไขต่อไป ทำอย่างไรต้องไปหารถมาช่วยยกเอากลับบ้านเอาเข้าอู่ซ่อมต่อไป ลงโทษตัวเองทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่เรื่องอะไร เราไม่โทษใคร
มีอะไรเกิดขึ้นต้องไม่โทษใคร แล้วก็ไม่ต้องไปหาใครให้ดูให้ เพราะมันอยู่ที่ตัวเรา เราดูที่ตัวเราเอง หัดดูตัวเองเสียบ้าง เพ่งเข้าข้างในเสียบ้าง อย่าเพ่งไปข้างนอก ดูไปข้างนอกมันกว้างเหลือเกินหาไม่ค่อยพบ ยิ่งดูไปบนสวรรค์โอ้ยดวงดาวระยิบระยับไม่รู้ว่าดวงไหนกันแน่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะดาวเหล่านั้น อันนี้ดูข้างในมันแคบ ร่างกายนี่มันแคบนิดเดียว ดูเข้ามา ดูสิว่าเราคิดอะไร เราพูดอะไร เราทำอะไร เราเข้าไปเกี่ยวข้องกับใคร แล้วอะไรมันเกิดขึ้น คิดง่ายๆ นี่แหละคือวิธีทำใจให้ฉลาด แล้วก็ไม่ต้องร้อนใจ ร้อนใจเพราะเราไม่ดับไฟ ไฟนั้นคือความร้อนที่เกิดจากเราผิด เมื่อเราผิดเราต้องแก้ให้มันถูก ดับความผิดให้เป็นความถูกต้อง เรื่องมันก็เรียบร้อยไม่เสียหาย โยมฟังแล้วเข้าใจไหม หลักการมันอยู่ที่ตรงนี้ มันง่าย ถือพุทธศาสนานี่ง่ายที่สุด ไม่มีพิธีรีตองอะไร นับถือพุทธศาสนา ไม่มีเรื่องยุ่งเลย แต่ที่ยุ่งๆ กันเพราะเรามันไม่ถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า เลยไปเที่ยวทำอะไรกันวุ่นวายไปหมด
นี่ถ้าเรารู้ความจริงอย่างนี้แล้วเราไม่วุ่น ถ้าจะมาวัดก็มาศึกษาธรรมะ เช่นวันอาทิตย์เราก็มาวัด นี่วันนี้ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ อาทิตย์หน้าก็กลางเดือน ๑๑ แล้วก็ออกพรรษา ออกพรรษาแล้วก็อย่าออก เพราะว่าออกพรรษามันตั้ง ๙ เดือน พรรษามัน ๓ เดือนเท่านั้น พรรษาเรามาปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มาวัดมาวา อีก ๙ เดือนห่างไปเลย ไม่เข้าวัดเลย เดี๋ยวก็ยุ่งกันใหญ่ หนีพระไปตั้ง ๙ เดือน ๙ เดือนนั่นแหละควรมาวัด ๓ เดือนน่ะไม่เป็นไร แต่ว่ามามันทั้ง ๑๒ เดือนก็ดีแล้ว มาเรื่อยๆ ก็มาเหมือนที่เคยมา วันอาทิตย์เราก็มาวัด วันพระเราก็มาวัดตามที่เคยมา มาเหมือนที่เคยมา มาวัดก็เท่ากับว่า มาอาบน้ำเสียหน่อย ร่างกายมันเปรอะเปื้อน เราก็มาอาบน้ำชำระกาย ชำระจิตใจให้สะอาดปราศจากสิ่งเศร้าหมองใจ ก็มาบ่อยๆ เวลาใดกลุ้มใจก็มาวัด อย่าไปที่อื่น อย่าไปทำอะไร อย่าไปเที่ยวไหว้อะไรต่ออะไร ไปสั่นกระบอกเซียมซีเพื่อจะดูว่ามันเป็นอย่างไร ไอ้กระบอกเซียมซีไอ้ใบปลิวนั้นน่ะ ๑๐๐ ใบ เขาทำดี ๙๕ ใบ ไอ้ที่ชั่วมี ๕ ใบเท่านั้นแหละ ใครไปสั่นตกไอ้ชั่วก็ซวยเต็มที เพราะมันดีตั้ง ๙๕ ใบ แล้วใบดีมันก็พูดว่าใบนี้มันดีแท้ ถามโชคลาภก็จะได้ลาภ ถามคู่รักจากไปก็จะกลับมา ถามของหายก็จะได้คืน ถามโรคาก็จะหายป่วย โอ้หายทั้งนั้น ดีทั้งนั้น อ่านแล้วดีใจ โอ้สบายๆ ต่อไปนี้สบาย แต่ว่ากลับไปถึงบ้านก็เป็นทุกข์ต่อไปเพราะยังไม่เลิก กลับไปเล่นไพ่ต่อไป กลับไปกินเหล้าต่อไป ไปเหลวไหลต่อไป ให้มาสั่นอีก มันก็อย่างนั้น มันไม่ได้เรื่องอะไร แต่ที่เรามาศึกษาทำความฉลาดในชีวิตจะได้แก้ไขปัญหาชีวิตให้มันถูกต้อง แม้ออกพรรษาเราก็ไม่ออก แต่เรามาวัดต่อไป มารักษาศีล มาฟังธรรมต่อไป แก้ไขปัญหาชีวิตต่อไปด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้า อะไรมันก็ดีขึ้น
มาฟังธรรมบ่อยๆ นี่ก็ต้องดูตัวเองว่ามันดีขึ้นบ้างหรือเปล่า ความเชื่อ ความคิด ความเห็น การกระทำในชีวิตประจำวันของเรานั้น ดีขึ้นบ้างหรือเปล่า ยังเชื่อเหลวไหลอะไรอยู่บ้าง ยังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องอะไรอยู่บ้าง ก็ต้องแก้ไข ต้องละอายอยู่ ละอายในความเป็นพุทธบริษัท ถ้าเรานึกว่าเราเป็นพุทธบริษัท เรารู้สึกละอายที่จะไปทำอย่างนั้น จะไปนั่งสั่นกระบอกแล้วอายในความเป็นพุทธบริษัท หรือเราจะไปทำพิธีบนบานศาลกล่าว ไปคอรัปชั่นกับพระพุทธรูป กับหลวงพ่อวัดไร่ขิง กับหลวงพ่อนู้นนี่เยอะแยะ เราไปนั่งขอซุบซิบคอรัปชั่น เหมือนเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ซุบซิบๆ ช่วยหน่อยนะคราวนี้ จะสมนาคุณสักห้าพัน แน่ะ (หัวเราะ) ให้สินบน ไปให้สินบนเจ้าหน้าที่ อันนี้เราไปให้สินบนกับหลวงพ่อพระพุทธรูป ถ้าหลวงพ่อพระพุทธรูปพูดได้ว่า “เอ้ย..ไอ้แกนี่มันไม่เข้าเรื่อง นับถือพุทธศาสนาอย่างไรวะ มาไหว้พระไม่พบพระไม่ถูกพระสักที มาไหว้เหมือนกับไหว้ผี” ท่านดุเอานะ แต่ว่าท่านดุไม่ได้…เพราะเขาปั้นไม่ให้พูด แต่ก็หลวงพ่อช่วยดูแทนให้หน่อยจะได้รู้สึกว่ามันไม่ได้เรื่อง เรามาหาความฉลาด มาวัด วัดไหนให้แสงสว่าง ให้ความฉลาดก็ไป ไปที่นั่น ไปศึกษา ไปปฏิบัติ อย่าทำอะไรแบบที่มันไม่ถูกต้อง แบบงมงาย เดี๋ยวนี้มีเยอะ ทำอะไรแบบที่มันวุ่นวาย ส่งเสริมแต่เรื่องเหลวไหล ขายกันแต่พระนะเวลานี้ ลงหนังสือพิมพ์เต็มหน้าเลย เสียกันไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ขายพระ พระที่แท้มันอยู่ที่เราทำดีนั่นแหละ ไม่ต้องไปเที่ยวซื้อพระวัดนั้นวัดนี้ให้มันวุ่นวายหรอก ถ้าเขาจะสร้างอะไรก็ไปช่วยเขาหน่อย สร้างสิ่งที่มันจำเป็นนะโยม อะไรที่มันไม่จำเป็นไม่ต้องไปช่วย สร้างของที่จำเป็นและก็เป็นประโยชน์เราช่วยกันสร้าง ถ้าเห็นว่าไม่ได้เรื่อง สร้างทำไม ไม่จำเป็นเราก็ไม่ช่วย อันนี้เราไปซื้อพระเพื่อทำบุญ มันเป็นการซื้อขาย ไม่ได้ทำบุญอะไร แลกเปลี่ยนกันไปในตัวแล้ว ทำกันหมื่นหนึ่งได้พระทอง ทำเท่านั้นได้องค์เท่านั้น องค์นั้น…เท่านี้ พระร้อยแปด บางทีตั้ง ๕ องค์แน่ะ พระมั่น … พระคง … พระยืน พระอะไรหลายองค์ เข้าชุดเลย เป็นชุดๆ มั่นคง…ยั่งยืน อะไร มีอยู่วัดหนึ่งขายอยู่ พระมั่น… พระคง…พระยืน…พระอะไร ๕ องค์น่ะ ชุดหนึ่งน่ะ ต้องซื้อครบชุด ไม่งั้นมันขาดประโยคไป ได้แต่มั่น…มันไม่คง มั่นคงแล้ว…ไม่ยั่งยืน ยั่งยืนแล้ว…ไม่ถาวร โอ้ย…ยาว! ต้องแต่งให้มันยาว ประโยคยาวๆ หน่อยจะได้มากๆ นี่วิธีการหาเงิน ซี่งไม่ถูกต้องนะ ทำกันอย่างนั้นน่ะ เรามาทำให้มันถูกต้องดีกว่า จะทำอะไรก็บอกญาติโยมตรงไปตรงมา ว่าจะสร้างนั่นสร้างนี่เพื่อประโยชน์อะไรก็บอกให้โยมเข้าใจ โยมที่ได้ศึกษาธรรมะเขาก็ให้ ไม่ได้ลำบากยากเข็ญอะไร ได้มาพอใช้ไม่ลำบาก อย่างนี้มันดีกว่า ขอให้ญาติโยมเข้าใจอย่างนี้ แล้วก็อาทิตย์หน้าก็มาพบกันต่อ ต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที
- ปาฐกถาธรรม ประจำวันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม ปีพ.ศ.๒๕๓๕