แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านที่มีโอกาสเปิดเครื่องรับฟัง พึงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา วันนี้เป็นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๔ พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๕ เราเรียกกันว่าเป็นวันปีเก่าปีใหม่ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ก็เรียกกันอย่างนั้นตามสมมุติที่เราสมมุติกันไว้ ความจริงโดยปกตินั้น วันเวลาไม่มีเก่า ไม่มีใหม่ ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีอะไรให้เป็นอะไร แต่ว่าพูดกันลำบาก ต้องมีการสมมุติขึ้นไว้ จึงสมมุติวันว่ากลางวันว่าเป็นกลางวัน กลางคืนว่าเป็นกลางคืน กลางวันก็มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ กลางคืนไม่มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ แต่ว่าความเจริญทางวิทยาศาสตร์ ได้ทำแสงสว่างให้เกิดขึ้น คือมีไฟฟ้า มีพลังงานสามารถที่จะให้เกิดความสว่างแก่คนทั่วๆ ไปได้ เป็นความสว่างทางสายตา แต่ไม่เป็นความสว่างทางจิตใจ บางทีเราใช้แสงสว่างนั้นไปกระทำความผิดอันเกิดปัญหาแก่ชีวิตด้วยประการต่างๆ ก็มีเหมือนกัน
วันใหม่ก็เป็นวันที่เราควรจะคิดถึงเรื่องชีวิตของเราให้มาก ว่าชีวิตของเราที่อยู่ได้นี่ด้วยอะไร มีอะไรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิต ในวันปีเก่าคือคืนวันที่ ๓๑ ธันวาคมนี้ ท่านทั้งหลายควรจะอยู่บ้าน อยู่บ้านให้พร้อมหน้า อย่าไปเที่ยวเตร่สนุกสนานเฮฮา มันเป็นเรื่องที่ทำให้เสียสตางค์ เสียเวลาของชีวิตไปเสียเปล่าๆ แต่ว่าเราควรจะอยู่กับบ้าน ทำอาหารรับประทานกันเป็นพิเศษภายในบ้าน นั่งรับประทานพร้อมกันพ่อแม่ลูกทุกคน มารับประทานอาหารพร้อมกัน เป็นการหาความสบายใจภายในบ้าน บ้านของเรานี่เป็นสวรรค์ของเรา เป็นวิมานของเรา เราอาจจะหาความสุขได้จากบ้านของเรา แต่ว่ามีคนไม่ใช่น้อย ไม่หาความสุขที่บ้าน แต่ไปหาความสุขที่อื่น ไปเที่ยวไปเตร่สนุกสนานเฮฮา รถยนต์ติดจากการจราจรเกิดปัญหาอุบัติเหตุ บางทีก็ไปเที่ยวไกลๆ แล้วเกิดอุบัติเหตุตายกันหลายคน อันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรกระทำ แต่ว่าเราก็กระทำกันอยู่ทั่วๆ ไป หลวงพ่อเห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรงดเว้น โดยเฉพาะในวันสิ้นปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เราควรจะอยู่บ้าน เพื่อหาความสบายกันในครอบครัว รับประทานอาหารพร้อมกัน และก็สนทนากันในเรื่องอะไรต่าง ๆ พ่อแม่พูดกับลูกในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งสำคัญสำหรับชีวิต ให้ลูกได้เกิดความรู้สึกสำนึกตัวว่าเรานี้เกิดมาเพื่ออะไร มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร สิ่งดีงามอันควรทำนั้นคืออะไร และเราได้กระทำสิ่งนั้นอยู่แล้วหรือเปล่า ควรจะบอกลูกทุกคนให้ไปเขียนความบกพร่องของตัว เพื่อให้ไปนั่งคิดนั่งเขียนในคืนวันที่ ๓๑ นี้ ให้ทุกคนได้เขียนมาว่าตัวบกพร่องอะไร มีความไม่ดีไม่งามที่ตรงไหน เพื่อจะได้รู้จักตัวเอง ลูกทุกคนจะได้รู้จักตัวเอง ว่าตัวมีชีวิตบกพร่องอะไรบ้าง
โดยปกติทั่วไปนั้น ไม่ค่อยจะมีเวลาศึกษาตัวเอง เรามักจะใช้เวลาไปในเรื่องความสนุกสนานเฮฮาด้วยประการต่างๆ แต่ไม่เคยมองดูตัวเอง ว่าตัวเองคือใคร มีหน้าที่อะไร กิจที่ควรทำคืออะไร เราได้ทำสิ่งนั้นถูกต้องเรียบร้อยอยู่หรือเปล่า ไม่ค่อยมีเวลาคิดอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นคนทำอะไรที่ไม่ดีเป็นนิสัย ก็ทำต่อไป โดยไม่เลิกไม่ละ เพราะไม่ได้พิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษของสิ่งนั้นเลยนึกว่าตัวทำถูกตัวทำดี แต่ความจริงมันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องความผิดความเสียหาย แต่ไม่รู้ ไม่รู้ก็เพราะว่าไม่มีเวลาที่จะพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเอง
ในทางธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ท่านสอนให้เราทุกคนได้พิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเองบ่อย ๆ เพราะถ้าได้พิจารณาตัวเอง เราก็ได้รู้จักตัวเรามากขึ้น รู้จักสิ่งที่มันเกิดมีอยู่ในตัวของเรา รู้จักเหตุของสิ่งนั้น และก็รู้ว่าจะแก้ไขสิ่งนั้นอย่างไร ชีวิตจึงจะเรียบร้อย ให้ลูกทุกคนได้ไปกระทำอย่างนั้น และก็เข้าห้องพระ สวดมนต์ไหว้พระกันตามธรรมเนียม ผู้นับถือพระพุทธศาสนา ควรหัดไหว้พระสวดมนต์กันเสียบ้าง ในครอบครัวจะได้คุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมประเพณี คุ้นเคยกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เพราะเราได้เข้าไปหาพระทุกคืนทุกคืนก่อนหลับก่อนนอน การสวดมนต์นั้นก็ควรจะสวดมีคำแปล นโมก็มีคำแปล แล้วก็สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณมีคำแปลทั้งนั้น เอาสวดมนต์แปลนั่นล่ะไปใช้ สวดมนต์เสร็จแล้วก็นั่งสงบจิตสงบใจ อย่างน้อยก็สัก ๕ นาที ลูกทุกคนก็ต้องนั่งสงบใจ ให้นั่งนิ่งๆ หัดให้เด็กรู้จักบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง หัดให้เป็นคนมีระเบียบวินัย ตั้งแต่อยู่ในครอบครัว แล้วพอออกไปนอกบ้านก็จะเป็นคนมีระเบียบวินัย
คนไทยเราในปัจจุบันนี้ ถ้าจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ก็พูดได้ว่าเราขาดระเบียบวินัย ไม่ค่อยมีการบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง มักจะปล่อยตัวปล่อยใจ ไปตามอำนาจของสิ่งแวดล้อม ตามอารมณ์ที่มากระทบ โดยไม่ได้ใช้สติใช้ปัญญาเพื่อเป็นเครื่องพิจารณาในสิ่งเหล่านั้น เราจึงไม่รู้ว่าเรามีความบกพร่องอะไรบ้าง มีความไม่ดีอะไรอยู่ในตัวของเราบ้าง เพราะเราไม่ได้พิจารณา จึงอยากจะขอฝากแนวคิดนี้ ไปยังพ่อแม่ทั้งหลายให้ทำกิจดังที่กล่าว คือให้เข้าห้องพระ สวดมนต์ไหว้พระ เสร็จแล้วนั่งสงบใจอย่างน้อยสัก ๕ นาที แล้วก็หันหน้ามาพูดจากับลูกทุกคนเพื่อให้เค้าเกิดความรู้สึกสำนึกตัว ว่าวันนี้เป็นวันสมมุติว่าสิ้นปีเก่า พรุ่งนี้จะขึ้นปีใหม่ ขอให้ลูกทุกคนไปพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ด้วยการเขียนความบกพร่องของตัว ลงในแผ่นกระดาษ พรุ่งนี้เอามาส่งพ่อแม่ พ่อแม่ก็จะได้อ่าน ได้ศึกษาว่าลูกมีความสำนึกในเรื่องอะไร มีความผิดบกพร่องในเรื่องอะไร แล้วจะช่วยกันแก้ไขต่อไป
ส่วนพ่อกับแม่นั้นยังไม่ไปนอนก่อน ให้ลูกไปนอน ก่อนที่ลูกจะออกจากห้องพระให้กราบคุณพ่อ กราบคุณแม่ หัดลูกให้กราบพ่อแม่เสียบ้าง เพราะพ่อแม่นี้เป็นพระของลูก เป็นพรหมของลูก เป็นเทวดาของลูก เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ลูกตลอดเวลา แต่ว่ามันเคยชินเกินไป ลูกจึงไม่รู้จักไหว้พ่อแม่ แต่ไหว้คนอื่นได้ เวลาไปวัด พ่อแม่พาลูกไปวัดสอนลูกให้ไหว้ แต่มันก็ไม่ค่อยไหว้ ต้องมาบังคับให้ไหว้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราอยู่บ้านไม่เคยไหว้นั่นเอง เขาไม่ชินกับการกระทำอย่างนั้น สอนให้ลูกทำเสียบ้าง เมื่อลูกไปนอนแล้ว พ่อแม่ก็หันหน้าเข้าหากัน ปรึกษาหารือกันในเรื่องเกี่ยวกับปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัว ว่ามีอะไรไม่ถูก ไม่ชอบ ไม่ควร เกิดขึ้นอยู่ในครอบครัวของเรา ทั้งพ่อและแม่ก็พิจารณาตนเอง ให้ดีก็เอากระดาษมาคนละแผ่น แล้วก็เขียนความไม่ดีของตัวลงในแผ่นกระดาษนั้น ก่อนจะเขียนก็ต้องสงบใจ พิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเองเสียก่อน แล้วก็เขียนข้อความเหล่านั้นลงไป เขียนแล้วก็มาอ่านสู่กันฟัง ให้แม่บ้านอ่านความบกพร่องของพ่อบ้าน พ่อบ้านอ่านความบกพร่องของภรรยา แล้วเรามาพิจารณาว่า สิ่งบกพร่องทั้งหลายที่เราประพฤติปฏิบัติอยู่นั้นมันนำอะไรมาให้แก่ชีวิตของเราบ้าง นำความสุขมาให้ นำความเจริญมาให้ นำความเดือดร้อนใจมาให้หรือเปล่า ให้พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยใช้สติ ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาว่าเราเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ เป็นกิจที่ไม่ควรกระทำ เราก็ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูปอันเป็นรูปเปรียบแทนพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระพุทธรูปมีไว้ในบ้าน อย่ามีไว้เฉยๆ อย่านึกว่ามีพระแล้วจะป้องกันเราไม่ให้เป็นทุกข์ได้ เดือดร้อนได้ นั่นเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง เรามีพระไว้ในบ้านเพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจให้เราได้นึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า และก็ได้น้อมเอาพระคุณเหล่านั้นมาใส่ไว้ในจิตใจของเรา เวลาเราจะไปไหน เราก็กราบพระเสียก่อน แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่าจะไปเพื่อทำหน้าที่ ทำหน้าที่ด้วยดี ทำหน้าที่ให้เกิดความสุข เกิดประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย แล้วเราก็ไปทำงาน กลับมาจากทำงานก็ควรเข้าไปกราบพระพุทธรูปที่เราประดิษฐานไว้ในห้องพระ แล้วก็รายงานตัวว่าวันนี้ได้ทำหน้าที่อย่างไร ประพฤติถูกอย่างไร ประพฤติเสียหายอย่างไร เอามาพิจารณาตักเตือนตัวเอง
ถ้าเราทำอย่างนี้เราก็คุ้นเคยกับพระ ความเป็นญาติกันกับพระพุทธเจ้า เป็นญาติพระธรรมพระสงฆ์ ความเป็นญาติก็หมายถึงว่าความสนิทสนมนั่นเอง พระพุทธภาษิตมีอยู่ว่า วิสฺสาสา ปรมา ญาติ ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง เราคุ้นเคยกับบุคคลก็เหมือนว่าเป็นญาติกัน ที่คุ้นเคยกับธรรมะ เราเป็นญาติกับธรรมะ คุ้นเคยกับพระพุทธเจ้าก็เป็นญาติกับพระพุทธเจ้า คุ้นเคยกับพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เราก็ได้ชื่อว่าเป็นญาติกับพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า คนที่เป็นญาติกับพระรัตนตรัยย่อมมีความละอายบาป มีความกลัวบาป ไม่กระทำอะไรที่เป็นความผิดความเสียหายอันจะก่อให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน จึงขอให้ท่านได้กระทำอย่างนี้ และก็ได้พักผ่อนหลับนอนตามปกติ
ตื่นเช้าวันพรุ่งนี้ท่านควรจะทำอะไรบ้าง ท่านก็ไปวัดเพื่อทำเป็นกิจ ท่านก็ไปวัดไปกันทุกคนในครอบครัว พ่อแม่ลูกไปวัด เวลาจะไปวัดนี่ก็ควรจะทำความเข้าใจกับลูกทุกคนว่าเรากำลังจะไปวัด ไปวัดนี่ไปทำไม ไปเพื่อทำความดีที่เรียกว่าทำบุญ ทำกุศลให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา อย่าไปเฉยๆ โดยไม่รู้ว่าไปทำไม ถ้าเราไปโดยไม่รู้ว่าไปทำไม เด็กมันก็เที่ยววิ่งเที่ยวเล่น ปีนป่ายเจดีย์ ปีนป่ายข้างโบสถ์ เล่นซ่อนหากัน เสียงอึกทึกครึกโครม ทำให้เกิดปัญหาแก่คนที่ต้องการความสงบ เราจึงควรจะบอกลูกทุกคนว่าวันนี้เป็นวันปีใหม่ เราควรจะไปวัด ไปทำความดี วัดเป็นสถานที่สร้างความดี เป็นสถานที่ชำระความชั่วความร้ายออกจากจิตใจ เป็นสถานที่ที่เราจะไปศึกษาธรรมะจากพระสงฆ์ เมื่อเราเข้าไปในวัดก็ต้องนั่งเรียบร้อย เดินเรียบร้อยไม่เที่ยววิ่งเที่ยวเล่น ไม่เที่ยวเกะกะระรานกับวัตถุต่างๆ อย่าไปเด็ดดอกไม้ อย่าไปเด็ดใบไม้ อย่าปีนป่ายขึ้นต้นไม้ อันจะทำให้เกิดความเสียหาย เราควรประพฤติตนให้เรียบร้อย นั่งอยู่ใกล้พ่อใกล้แม่ ดูพ่อแม่ว่าเค้าทำอะไร เราก็ทำตามที่พ่อแม่สั่ง
ถ้าเราไปวัดด้วยวิธีการอย่างนี้ เด็กทุกคนก็จะเรียบร้อย ไม่เกิดปัญหา ไม่ห่างพ่อแม่ แล้วมันจะวิ่งเล่นจับกิ่งก้านร้างต้นไม้ทำให้เกิดความเสียหาย เอาอะไรไปกินก็เที่ยวทิ้งเศษขยะให้เพ่นพ่านเต็มวัด อันนี้แสดงว่าไม่มีระเบียบ ไม่มีวัฒนธรรม เพราะว่าพ่อแม่ไม่สอนไม่เตือน เราควรจะอบรมสั่งสอนเขา แล้วก็ทำพิธีการในทางศาสนา ไหว้พระ สวดมนต์ รับศีล บริจาคทาน เอาอาหารไปถวายพระ แต่อาหารอย่าเอาไปมากๆ เลย ก็คนมันไปกันมาก ถ้าเอาไปมากมันก็เหลือเฟือกินไม่หมดไม่สิ้น ไม่รู้จะเอาไปที่ไหน แต่ที่วัดชลประทานนั้น อาหารที่เหลือก็เป็นประโยชน์คือเอาไปให้เด็กพิการซึ่งอยู่หน้าวัด เด็กปัญญาอ่อน เด็กที่มีปัญญาแต่ก็ไม่มี (14.51 เสียงไม่ชัดเจน) อยู่ในความดูแลของกรมประชาสงเคราะห์ เราก็นำสิ่งเหล่านี้ไปแจกเด็กไม่สูญไปเสียเปล่า ๆ แต่บางวัดไม่รู้จะเอาไปไหนก็ทิ้งๆ ขว้างๆ ทำลายเศรษฐกิจเปล่าๆ เหมือนเราไปใส่บาตรสนามหลวงนี่ คนไปกันมากพระก็ไปกันมาก บิณฑบาตรก็มากเกินไป ไปทำกันในวันนั้น
ความจริงไม่จำเป็นอะไรที่เราจะไปทำพร้อมๆ กัน ในเรื่องเดียวกันอันจะก่อให้เกิดปัญหา แต่ว่าเราควรจะไปทำวันอื่น ไม่ใช่วันที่ ๑ ก็ได้ วันไหนก็ได้ เรานึกจะทำบุญก็หุงหาอาหารไปถวายพระ พระก็จะได้ฉัน เกิดความพอดี แต่ในวันที่ ๑ นี่ไม่ไหว ฉันกันไม่หวาดไหว ของเต็มไปหมด เพียงแต่ดูมันก็อิ่มเสียแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฉัน ของนั้นก็เป็นของที่ไม่เกิดประโยชน์ แต่ถ้าเราเอาของแห้งไปทำบุญมันก็ดีขึ้น เพราะว่าของแห้งนี่ได้เก็บไว้ ความจริงก็ไม่ได้เก็บไว้เพื่อส่วนตัวหรอก เก็บไว้เพื่อเอาไปแจกจ่ายแก่คนที่อยู่ในชนบทต่อไป ที่วัดนี่มีอาหารประเภทของแห้งมากในวันที่ ๑ พระไปบิณฑบาตรบ้านชลนิเวศน์ (16.07 เสียงไม่ชัดเจน) ได้เครื่องกระป๋อง ได้อาหารแห้งตั้ง ๒๐ กระสอบป่าน เราก็เก็บไว้เฉลี่ยให้ไป เช่นส่งไปที่วัดอุโมงค์จังหวัดเชียงใหม่ ท่านสมภารก็เอาไปแจกพวกกะเหรี่ยงที่อยู่อำเภออมก๋อย ได้ไปแจกมาบ้างแล้วแต่ยังไม่ทั่วถึง พ้นวันปีใหม่ก็จะไปได้แจกกันอีก ของแจกนั้นเกิดประโยชน์แก่ชาวลาวชาวกะเหรี่ยงเพราะเป็นคนที่ยากจน ผ้านุ่งผ้าห่มก็มีน้อย อยู่กันอย่างลำบาก เราเอาทุกอย่างไปแจกแก่เขา เขาก็มีความสุขมีความสบาย เขารักพระรักพระศาสนา อยากให้พระไปที่บ้าน เขารู้สึกว่าเป็นศิริมงคล ของที่เหลือเราก็ทำอย่างนั้น เอาไปไว้แจกจ่าย บางทีก็ส่งไปตามวัดบ้านนอกที่มีพระเณรมาก แต่อาหารขาดแคลน ส่งเครื่องกระป๋องไปให้ ท่านสมภารก็สบายใจ ของเหล่านี้ก็มีประโยชน์ขึ้น แต่ถ้าเราทำด้วยอาหารสด มันก็บูดไปเสียเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์เท่าใด อันนี้ก็เป็นข้อคิดที่อยากจะฝากไว้แก่ท่านทั้งหลาย
ในวันปีใหม่เราก็ไปเยี่ยมผู้หลักผู้ใหญ่ เรียกว่าไปขอพรจากท่านไปขอพรจากปู่ตาย่ายาย ความจริงนั้นเราไปให้ท่านสบายใจ เพราะคนที่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ดีใจเมื่อได้เห็นลูกหลาน มีความสบายใจเมื่อลูกหลานมาเยี่ยมมาเยียน ได้นำอะไรมาให้ ท่านไม่ได้ต้องการวัตถุอะไรมากหรอก แต่ว่าท่านยินดีในน้ำใจลูกหลานที่มีความสำนึกมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ปู่ตาย่ายายผู้บังเกิดเกล้า แล้วเราเอาของไปให้ท่าน ท่านก็สบายใจ ทำให้ท่านอายุมั่นขวัญยืน ท่านสบายใจตรงที่ลูกมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ปู่ตาย่ายาย เพราะคนที่มีความกตัญญูกตเวทีเป็นพื้นฐานทางจิตใจนั้น จะเป็นคนละอายบาป เป็นคนกลัวบาป มีความอดทนอดกลั้น ไม่ทำอะไรตามใจตัว ไม่ทำอะไรตามใจอยาก ชีวิตก็จะดีขึ้น มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป เป็นกิจที่ควรกระทำเหมือนกัน หรือว่าเรา ถ้าเราจะไปเที่ยว ก็ไปเที่ยวให้เกิดประโยชน์ อย่าไปเที่ยวเพื่อเพิ่มพูนกิเลส ไปชายทะเลอะไรอย่างนั้น ไปเพิ่มพูนกิเลส แต่ถ้าเราไปเที่ยวตามวัดวาอาราม พาเด็กไปเที่ยวด้วย ไปสนทนาธรรมกับพระ ไปถามเรื่องปัญหาชีวิต ว่าเรามีปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ ควรจะแก้อย่างไร พระท่านก็สอนแนวทางให้ ตามหลักการในทางพระพุทธศาสนา สอนให้เรารู้จักชีวิตถูกต้อง ให้เรารู้จักสิ่งที่มันเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ให้รู้จักเหตุของสิ่งนั้น และก็ให้รู้จักทำลายสิ่งนั้นให้หมดไปสิ้นไป อันนี้เป็นหลักเกณฑ์ทางพระพุทธศาสนา ถ้าเรานำหลักการของพระพุทธเจ้าไปใช้ เราก็จะมีความสุขมีความสบายใจ
เมื่อถึงวันปีใหม่คือวันพรุ่งนี้ เราก็ควรจะได้สร้างชีวิตใหม่ ตั้งต้นชีวิตใหม่ อะไรที่มันไม่ดีไม่งามเกิดอยู่ในชีวิตของเรา เราก็ตั้งใจที่จะเลิกสิ่งนั้น ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่นเราเป็นคนมั่วสุมในอบายมุข อบายมุขมีอะไรบ้าง คือเล่นการพนัน เสพย์สิ่งเสพย์ติด เที่ยวกลางคืน คบเพื่อนชั่ว สนุกสนานในทางสิ้นเปลือง เกียจคร้านการงาน สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นผีร้าย ทำลายชีวิต ทำลายครอบครัว ทำลายประเทศชาติของเราให้ไม่เจริญก้าวหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาติอื่นทั้งหลาย
เราก็ควรจะพิจารณาว่าเราเคยเล่นการพนันมา เล่นหวยบ้าง ซื้อหวยบ้าง ซื้อลอตเตอรี่บ้าง แล้วก็ไปทำอะไรในรูปต่างๆ เช่นเล่นแชร์กัน มีปัญหา มีความทุกข์ มีความเดือดร้อน เพราะไม่ได้ดังใจ เล่นแชร์ก็ท้าวแชร์หนี เราก็เกิดปัญหา เล่นการพนันก็มีอยู่สองประตู คือแพ้กับชนะ เวลาชนะก็ฮึกกเหิมใจ นึกว่าดวงดี และก็ไปเล่นอีก เล่นบางทีก็แพ้ แพ้แล้วก็หมดเงินต้องจำนำของ มีแหวนก็จำนำ มีสายสร้อยก็จำนำ สายสร้อยห้อยคอมีรูปหลวงพ่ออยู่ด้วย เลยเอาหลวงพ่อไปจำนำซะเลย อย่างนี้ก็เป็นความเสื่อม ตั้งตัวไม่ค่อยได้ แล้วนักการพนันนี่ ไม่เป็นที่ไว้ใจของใครๆ ไม่มีเครดิต ไม่มีเกียรติ เพราะเขารู้ว่าเป็นนักการพนัน เขาก็จะไม่เชื่อเรา ทรัพย์สมบัติก็ไม่เหลือ หมดสิ้น ชีวิตครอบครัวก็ไม่ดีขึ้น ไม่มีเวลาอบรมลูกเต้าเหล่าหลาน เพราะมัวแต่ไปคิดเที่ยวคิดเตร่ หาความสนุกสบายไปตามเรื่อง ปัญหาชีวิตก็เกิดขึ้น ก็ตกต่ำ
ที่นี้เมื่อเกิดความตกต่ำในชีวิต ก็ไม่ได้คิดตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ไปคิดตามแบบไสยศาสตร์ นึกว่าดวงไม่ดีบ้าง อะไรไม่ดีบ้าง ก็ไปวัดไปหาพระหมอดูให้ช่วยทำนายทายทัก ว่ามันจะดีขึ้นเมื่อไหร่ มันจะพ้นความทุกข์เมื่อไหร่ พระท่านก็เป็นพระพวกหมอ ไม่ได้เอาธรรมะของพระพุทธเจ้าไปสอนให้เขาเข้าใจ ไม่ทำคนให้ฉลาด แต่ทำคนให้งมงาย หลงใหลในเรื่องชะตาราศี ดวงดี ดวงร้าย อะไรต่างๆ พุทธบริษัทก็ไม่เป็นพุทธะ ไม่เป็นผู้รู้ ไม่เป็นผู้ตื่น ไม่เป็นผู้เบิกบานแจ่มใสในรสพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ชีวิตก็ไม่ก้าวหน้า
เราจึงควรจะได้พิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษในเรื่องนี้ เช่นพิจารณาดูว่าตั้งแต่เล่นการพนันมา มีอะไรเพิ่มพูนขึ้นในชีวิตของเราบ้าง เราได้ซื้ออะไร ได้ทำอะไร ได้ลงทุนอะไร อันเป็นเรื่องความมั่นคงของชีวิต เราไม่ได้ไปทำอะไร ท่านจึงเรียกว่าเป็นผู้มัวเมาในอบายมุขคือปากทางแห่งความเสื่อมความเสียหาย ทำชีวิตตกต่ำ ไม่ก้าวหน้า ไม่เจริญเท่าที่ควร เราจึงควรจะพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษของสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเราเอง อะไรที่เราทำอยู่ถ้าเป็นสิ่งไม่ดี ถ้าเรายังไม่เห็นโทษของมัน เราเลิกไม่ได้ แต่ถ้าเราเห็นโทษของมันชัดเจนแจ่มแจ้ง เราก็เลิกได้ ทำให้ชีวิตดีขึ้น อันนี้เป็นเรื่องควรพิจารณา
เราเป็นคนชอบเสพย์สิ่งเสพย์ติดมึนเมา ทำตนเป็นคนไม่มีศีลข้อที่ ๕ ศีลข้อที่ ๕ นั้นมันมีความหมายอยู่ ๓ คำ คือคำว่าสุราคำหนึ่ง เมรัยคำหนึ่ง มัชชะคำหนึ่ง สุราคือเหล้าประเภทต่างๆ ที่เขากลั่นแล้วก็ใส่ขวดสวยๆ งามๆ ติดฉลากเรียบร้อย โฆษณาทางโทรทัศน์ โฆษณาทางวิทยุ โฆษณาทำป้ายแผ่นใหญ่ ๆ ยาวหลายวา เรื่องของเหล้าทั้งนั้น ให้คนกินกันแล้วก็จะสบายใจ ความจริงมันไม่สบายใจ ใครดื่มเหล้านี่ทำลายตนเอง ทำลายอนาคตของตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ว่า คนดื่มเหล้านี่ ดื่มสิ่งเสพย์ติดนี่ให้โทษหลายอย่าง หนึ่งเสียทรัพย์ สองเกิดโรค สามก่อความทะเลาะวิวาทในเพื่อนฝูงมิตรสหายกันเอง หน้าด้านไม่รู้จักละอาย สติปัญญาก็เสื่อม ผู้คนทั้งหลายเค้าก็ดูหมิ่นดูแคลน อันนี้เป็นเรื่องไม่ดีไม่เจริญ
คนไทยเราแต่ดั้งเดิมนั้น ไม่ใช่นักการพนัน ไม่ชอบการพนัน ไม่มีสมบัติคือเครื่องเล่นการพนันอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ มีแต่เรื่องอื่น แต่เรื่องนี้ไม่มี ก็แสดงว่าคนไทยเรานั้นไม่ได้มัวเมาในการพนัน แต่ว่ารู้จักทำมาหากิน ไม่รู้ว่าเล่นการพนันเลย สมัยเด็กๆ อยู่ปักษ์ใต้ อยู่จังหวัดพัทลุง ไม่เห็นใครเค้าเล่นการพนันกัน แต่มีเล่นอยู่หมู่บ้านเดียว หมู่บ้านนั้นเป็นบ้านอยู่ชายทะเล เป็นท่าเรือ ที่คนไปมาค้าขาย
เมืองท่าเรือนี่มันมีสิ่งชั่วร้ายอยู่เยอะ ไม่ว่าเมืองไหนในโลกนี้ ถ้าเป็นเมืองท่าเรือแล้วมีผีมากมาย มีความชั่วมากมาย เพราะคนชั่วมันไปรวมกันที่นั่น เอาผีทั้งหลายไปประชุมกันที่นั่น คือมีการเล่นการพนัน มีการดื่มเหล้า มีการเที่ยวกลางคืน มีคนขายเนื้อขายตัวด้วยวิธีการต่างๆ มันเป็นแหล่งมั่วสุมแห่งความชั่วความร้ายเพราะท่าเรือ ก็มีอยู่ในหมู่บ้านเดียว นอกนั้นก็ไม่มีใครเล่น ถ้าว่าใครไปขอลูกสาวใครนี่ เค้าจะถามเป็นข้อแรกว่าครอบครัวนั้นเล่นการพนันหรือเปล่า ถ้าคนที่ไปติดต่อเป็นคนซื่อ พูดตรงไปตรงมา บอกว่าเขาชอบการพนัน ไม่มีหวังที่เค้าจะให้ลูกสาว แต่เขาไม่พูดอย่างที่เรียกว่าปฏิเสธเลยทีเดียว แต่เขาพูดแบบลิ้นทูตว่าเด็กมันยังเล็ก ต้มกุ้งก็ยังไม่แดง ต้มหอยแครงก็ยังไม่สุก การครัวการอะไรก็ไม่เข้าใจ เย็บปักถักร้อยก็ไม่เข้าใจ ยังไม่สมควรจะเป็นแม่บ้าน อันนี้คือการปฏิเสธแบบลิ้นทูต คนที่มาขอก็กลับไปโดยไม่ได้ลูกสาวเค้าไป แต่ถ้าว่าเป็นครอบครัวใดไม่เล่นการพนัน ไม่ประพฤติชั่วในเรื่องการพนัน เขาก็ยินดียกลูกสาวให้ เพราะว่าเป็นคนเรียบร้อยไม่เกิดความเสียหาย อันนี้เป็นนิสัยสันดานของคนไทยเราทั่วไปในสมัยก่อน
แต่เดี๋ยวนี้ผีการพนันแพร่หลายมาก มีกันทั่วๆ ไป แม้คนที่เป็นข้าราชการก็ชอบเสี่ยงด้วยการเล่นการพนัน ครูประชาบาลต่างจังหวัด หรือในกรุงเทพก็มีเหมือนกัน ชอบเล่นการพนัน ชอบดื่มเหล้า ทำให้เกิดความเสียหาย วันก่อนโทรทัศน์ออกเป็นข่าว ว่าครูทางภาคใต้ คือที่จังหวัดสงขลา ไปจี้เงินที่ธนาคาร ได้ไป 2 ล้าน แต่ว่าไปไม่พ้นไม่รอด ถูกตำรวจจับได้ พอจับตัวได้ถามว่าเป็นอะไร ทำงานอะไร ก็บอกว่าเป็นครูประชาบาล เป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ อยู่ที่บ้านนั้น ตำบลนั้น เสียชื่อตายเลย ครูอะไรไปเที่ยวปล้นจี้ธนาคาร ถามว่าทำไมจึงไปปล้นธนาคาร เพราะไม่มีเงินจะใช้ ทำอะไรจึงไม่เงินใช้ ชอบเล่นการพนัน ชอบดื่มเหล้า กระทรวงศึกษาธิการควรจะสำรวจกันเสียทีว่า ครูคนใดชอบเล่นการพนัน ครูคนใดชอบดื่มเหล้า รื้อออกไปเสียเลย ตอนนักเรียนสำเร็จความรู้จากวิทยาลัยครู เดี๋ยวนี้มีมากตกงานกันอยู่ อย่างนี้ควรจะรื้อของเก่าออกไป เอาคนใหม่เข้าไปแทน ตั้งต้นชีวิตกันใหม่ อย่าให้อยู่เป็นตัวอย่างแก่เด็กต่อไป จึงจะเป็นการถูกต้อง สุราเป็นพิษ ทำลายชีวิต ทำลายครอบครัว อีกคำหนึ่งคือเมรัย เมรัยนี่หมายถึงของเมาที่ไม่ได้ต้มกลั่น เอามาหมักมาดองไว้ให้มันบูดมันเน่า ...... (27.52 เสียงไม่ชัดเจน) แล้วเอามาดื่มเข้าไป อันนี้เป็นอันตรายมาก ก่อให้เกิดโรคได้ง่ายเพราะไม่ได้ฆ่าเชื้อ ทำให้เกิดความเสียหาย
แล้วก็มีอีกคำหนึ่งซึ่งอยากจะฝากญาติโยมทั้งหลาย คือคำว่ามัชชะ มัชชะแปลว่าของเสพย์ติดประเภทต่างๆ เช่นเราสูบบุหรี่ก็เรียกว่าติดอยู่ในเรื่องมัชชะ หรือว่าจะกินยาบางประเภท กินแล้วติด เช่นยาม้าที่สิบล้อชอบนักแล้วก็เกิดอุบัติเหตุกันบ่อย ๆ เพราะกินยาม้า ยาม้ามันทำให้ประสาทตึงอยู่ ตาแข็ง ขับรถไป แต่พอหมดฤทธิ์ยามันง่วง แป๊บเดียวเท่านั้น เกิดชนกัน ไถลลงไปนอนอยู่ในคู ไปพลิกไปคว่ำ ข้าวของเสียหาย ทางราชการกวดขันอยู่ ตำรวจก็กวดขัน แต่ก็ยังปราบไม่ได้หมด เพราะมันของเล็กๆ มันขายได้ง่าย ไอ้คนซื้อก็ปกปิด ไอ้คนขายก็ปกปิด เลยตำรวจก็จับยากเหมือนกัน เราควรจะลงโทษให้หนักกับคนประเภทนี้ เพื่อตัดปัญหาที่จะเกิดความเสื่อมความเสียหายขึ้นแก่บ้านเมืองของเรา สิ่งเหล่านี้เป็นของเป็นพิษเป็นภัย แล้วญาติโยมทั้งหลายอย่าเอาสิ่งที่เรียกว่ามัชชะไปถวายพระ อย่าเอาบุหรี่ถวายพระ อย่าเอาหมากไปถวายพระ เพราะว่าถ้าเราถวาย เราก็ทำให้พระเป็นพระขี้ยาไปตามๆ กัน ติดสิ่งเหล่านั้นงอมแงม เที่ยวเดินสูบบุหรี่ปุ๋ย เจอบนถนนก็สูบที่ไหนก็สูบ ดูน่าเกลียด ไม่สมควรแก่สมณะวิสัย เราไม่ควรทำบุญด้วยสิ่งเหล่านั้น ซื้อน้ำตาลทรายไปถวาย ละลายน้ำร้อน กินเข้าไปแล้วเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย แต่บุหรี่ไม่เป็นประโยชน์อะไร ของเมาทุกประเภทไม่เป็นประโยชน์อะไร คือในปีใหม่ควรจะเลิกถวายสิ่งเหล่านี้ กับพระสงฆ์องค์เจ้าเราก็ควรจะเลิกเสีย ไม่สูบบุหรี่ไม่ฉันหมากกันต่อไป ทำให้ชีวิตพระดีขึ้น และก็จะเป็นตัวอย่างแก่ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลาย เขาจะได้อยู่กันด้วยความเรียบร้อยกันต่อไป อันนี้เป็นเรื่องที่ควรจะพิจารณา แล้วเลิกซื้อไป อย่าเอาไปสืบต่อในวันปีใหม่ต่อไป
การเที่ยวกลางคืนนี้ก็เป็นเรื่องเสียหาย สมัยนี้บ้านเมืองมันสว่างด้วยแสงไฟ ดูเหมือนกับเป็นกลางวัน คนจึงได้หลงไปเที่ยวกลางคืน เหมือนไก่มันขันตอนที่ (30.24 เสียงขาดหายไป) มานั่งหลับตา แล้วพอลืมตา โอ้สว่างแล้ว เลยรีบขันใหญ่ นี่เรียกว่าขันผิดเวลา ไก่ขันผิดเวลาทำให้เกิดความเสียหาย เพราะมันมีแสงสว่าง คนเราเวลาค่ำแล้วไม่กลับบ้าน เลิกงานแล้วไปเที่ยวตามร้านขายเหล้า ไปเที่ยวบาร์ เที่ยวสถานที่เต้นรำระบำฟ้อนต่างๆ อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้ไม่รู้จักรับผิดชอบในเรื่องปัญหาของชีวิต ปัญหาครอบครัว ไปเที่ยวไปเตร่ บางคนพอไปเที่ยวเงินหมด มีบัตรเครดิตการ์ด ก็เลยไปแยงอยู่หน้าธนาคาร เข้าแถวเลยหลายคน ไอ้พวกสุรุ่ยสุร่ายทั้งนั้น วันนั้นนั่งรถผ่านกรุงเทพฯเวลากลางคืน เห็นคนเข้าแถวเรียงกันเป็นระเบียบดี ถามว่าทำอะไร เอาบัตรไปแยงที่ในตู้เพื่อเบิกเงิน ไอ้เงินแบบนี้เป็นเงินสุรุ่ยสุร่าย ทำให้ใช้จ่ายสิ้นเปลือง สมัยก่อนไม่มีตู้แบบนี้ตามธนาคาร เดี๋ยวนี้มีไว้อำนวยความสะดวกให้คนที่สุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายเงินไม่มีระเบียบ แล้วก็เกิดเป็นปัญหา เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะไปเที่ยวเวลาค่ำคืน
สถานที่ท่องเที่ยวยามราตรีต่างๆ นั้น เขาสร้างไว้เพื่อไก่ เขาสร้างไว้สำหรับคนปัญญาอ่อน คนไหนเป็นคนปัญญาอ่อน ขาดความรับผิดชอบในตัวในครอบครัวในทรัพย์สมบัติ ก็ไปเที่ยวไปเตร่ ไปสนุกสนานกัน ทำให้อดหลับอดนอน ไปทำงานก็นั่งโผลเผล อ่อนแรง ทำงานก็เป็นไปไม่ได้ถึงความเรียบร้อย บางคนบางทีก็ไปนั่งหลับอยู่ที่โต๊ะทำงาน เพราะกลางคืนไม่ได้นอน อันนี้เป็นเรื่องเสื่อมเสีย คนเที่ยวกลางคืนนี่ได้ชื่อว่าไม่รักษาตัว ไม่รักษาทรัพย์ ไม่รักษาครอบครัว มักถูกใส่ความ มักถูกทำร้าย เผลอๆ ตำรวจก็จับตัวเอาไปขังไว้ในโรงพัก ไปอยู่ในกรงเหมือนหมี เหมือนเสือ ซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉาน เขาขังไว้ในกรงเพราะปล่อยมามันจะกัดคน อันนี้คนเราก็หาเรื่องไปขังอยู่ในกรงเหมือนกับหมีกับเสือ อย่างนี้เป็นความประเสริฐที่ตรงไหน เราจึงควรจะเลิก ไม่เที่ยวเตร่ในเวลากลางคืน ทำงานเลิกแล้วก็ควรกลับบ้าน ไม่ไปเที่ยวที่ไหน
เคยไปประเทศนิวซีแลนด์ไปเยี่ยมพระที่ไปปฏิบัติงานแผยแผ่ธรรมะอยู่ที่นั่น แล้วก็วันหนึ่งขับรถผ่านตลาด เวลาสองทุ่มมื๊ดมืด ตลาดนี่ไม่มีคนเดินเลย ถามพระว่าเมืองนี้เขาไม่เที่ยวกันหรือ บอกว่าเมืองนี้เขาไม่เที่ยว เขาเที่ยวเพียง ๖ โมง แล้วเขากลับบ้าน บ้านเขาอยู่ไกล ๆ ก็ไปบ้าน ไปบ้านแล้วขี้เกียจมาอเลยไม่เที่ยวไม่เตร่ บ้านเมืองของเขาสงบ ไม่มีอาชญากร ไม่มีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจากอาชญากรทั้งหลาย เพราะคนทุกคนไม่เหลวไหล เลิกงานแล้วก็กลับบ้าน ตื่นเช้าก็มาทำงาน เห็นคนวิ่งกันเช้าๆ วิ่งกันไปทำงาน ไม่อยากขึ้นรถ ก็วิ่งได้ก็ออกกำลังไปด้วยในตัว แล้วก็ไปทำงานกัน ทำงานตามเวลา ตรงเวลา เสร็จแล้วก็เลิกงานกลับบ้าน พอไม่เที่ยวไม่เตร่ สังคมเขามีความสุข มีความสบาย อาชญากรรมน้อย เพราะไม่มีการเหลวไหลในเวลาค่ำคืน อันนี้จึงขอฝากไว้ ให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาตัวเอง
คนเราที่เป็นคนเสียหายนี่เพราะอะไร ปัญหาต้นตอมันอยู่ที่ตรงไหน อยู่ที่การคบหาสมาคม คือการคบเพื่อน คนทุกคนมันก็ต้องมีเพื่อน ไม่มีเพื่อนมันก็อยู่ลำบาก ไม่รู้จะปรึกษาอะไรกับใคร แต่ว่าเพื่อนนี้มันมี ๒ คน คนดีก็มี คนชั่วก็มี เขาเรียกว่ามิตรแม้มิตรเทียม ถ้าเราไปคบกับมิตรเทียม เราไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า คบคนเช่นใด จะเป็นเช่นคนนั้น เราไม่เคยดื่มเหล้า ไปคบกับคนดื่มเหล้า มันก็สอนให้เราดื่มเหล้า เราไม่เที่ยวกลางคืน ไม่รู้จักซองไม่รู้จักซอกไหน แต่ไปคบเพื่อนเข้า มันก็ชวนไปเที่ยว พอมันเที่ยวแล้วเกิดสนุกเลยติดกับสิ่งนั้น เลยเกิดความเสียหาย
ถ้าเราไปคบคนสุรุ่ยสุร่าย เราก็ต้องจ่ายตังค์แข่งกับเขา เพราะเรากินของเขาคนเดียวมันก็ดูกระไรอยู่ เลยก็ต้องจ่ายมั่ง เลยกลายเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย ขาดทุนทรัพย์สมบัติ ยากจนข้นแค้น เกิดความทุกข์ เกิดความเดือดร้อนขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆ เพราะการคบเพื่อนชั่ว ในมงคลสูตรจึงมีคำสอนขึ้นต้นว่า อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญจ เสวนา อย่าคบคนพาล ให้คบหาสมาคมด้วยบัณฑิต เพราะถ้าเราไปคบคนพาล เราก็เป็นพาลไปกับเขาด้วย คบคนโง่ก็โง่กับเขาด้วย คบคนขี้เกียจก็เลยขี้เกียจกับเขาด้วย คบคนอย่างใดก็จะเป็นเช่นคนนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า ถ้าไม่ได้เพื่อนที่ดีกว่าเรา เที่ยวไปคนเดียวดีกว่า ไปไหนไปคนเดียวอยู่คนเดียว ถ้าไม่ได้เพื่อนดี เพื่อนมันมีเยอะ เราหาคนดีๆ ได้ ไม่ไปคบเพื่อนชั่วเพื่อนร้าย ชีวิตของเราก็จะดีขึ้น มีความก้าวหน้า
แต่ถ้าว่าเราเป็นคนขึ้เกียจในการทำการงาน ก็เสียหายอีกเหมือนกัน เพราะเราเกิดมาเพื่อหน้าที่ เราอยู่เพื่อหน้าที่ เราทุกคนต้องทำงาน งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุข ทำงานให้สนุก เป็นสุขขณะทำงาน ไปเที่ยวตามต่างจังหวัด เห็นคนแก่ๆ เอามีดเล็กๆ ไปขุดดิน ปลูกพืชปลูกผักริมแม่น้ำ เข้าไปถามว่าคุณโยมทำอะไร บอกว่าขุดดิน ปลูกถั่วปลูกข้าวโพดอะไรเล็กๆ น้อย ๆ ที่ริมแม่น้ำ คนแก่อย่างนั้นอายุมั่นขวัญยืน มีความสุขเพราะได้ทำงาน คนเราถ้าได้ทำงานก็มีความสุขทางใจ ไม่มีงานทำใจก็หดหู่เหี่ยวแห้ง เพราะไม่มีงานทำ ไม่มีงานทำแล้วมันจะไม่มีเงินใช้ ไม่มีของจะกินจะใช้ ไม่มีเงินซื้อเสื้อซื้อผ้าซื้อหยูกซื้อยาซ่อมบ้านซ่อมเรือน มันเพราะว่าเราเหลวไหลไม่ทำงานทำการ แต่ถ้าหากว่าเราคบคนดี คนดีก็จะแนะนำเรา ชักจูงเราให้ไปสู่สถานที่ชอบ พระพุทธเจ้าท่านจึงเน้นหนักในเรื่องอย่างนี้
เพราะอย่างนั้นท่านทั้งหลายก็ควรจะพิจารณาตนเอง ว่าเราเป็นคนคบคนอย่างใด เพื่อนเรามีกี่คน เป็นคนประเภทใดบ้าง ถ้าคนใดเป็นเพื่อนเที่ยวเพื่อนร้ายก็ตัดเลย ไม่คบหาสมาคมต่อไป ถ้าจะไปคบหาสมาคมก็ต้องมีเป้าหมาย เป้าหมายอยู่ที่อะไร เราต้องการปรับใจคนนั้นให้เป็นคนดี มีปัญญา มีชีวิตถูกต้องอย่างนี้ไปได้ คบได้ ไม่มีความเสียหาย แต่ถ้าเราคบแล้วทำให้เราเสียหาย ก็ไม่ควรจะไปคบค้าสมาคม ควรเลิกจากการกระทำเช่นนั้น อันนี้เป็นหลักให้พิจารณา ว่าเรามีผีคือการพนันอยู่ในชีวิตหรือไม่ มีสิ่งเสพย์ติดหรือไม่ มีเพื่อนชั่วหรือไม่ เป็นคนสุรุ่ยสุร่ายในการจับจ่ายใช้สอยหรือไม่ เป็นคนเกียจคร้านหรือไม่ เราพิจารณาตัวเอง ถ้าเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่ ก็ถามตัวเองว่ามีไว้ทำไม มีไว้เพื่ออะไร ตั้งแต่เรามีสิ่งนี้ชีวิตดีขึ้นไหม การเงินดีขึ้นไหม ความเป็นอยู่ในครอบครัวดีหรือไม่ สังคมในบ้านเรียบร้อยหรือไม่ พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วท่านก็จะมองเห็นด้วยตัวเองว่า เออ ไม่ได้ความเลย
วันนี้เรามาพบพระ ได้ฟังเสียงพระ ก็เลยตั้งจิตอธิษฐานใจว่า จะไม่กระทำสิ่งนั้นต่อไป ถือพุทธภาษิตว่า นะ อะนะริยัง กะริสสามะ แปลว่าเราจักไม่กระทำสิ่งต่ำทราม สิ่งใดเป็นสิ่งชั่วสิ่งร้ายเป็นสิ่งต่ำ เราจะไม่กระทำสิ่งนั้นเป็นอันขาด เราจะมีการบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง เอาธรรมะมาเป็นสื่อรองรับจิตใจ เอาธรรมะมาเป็นดวงประทีปส่องจิตส่องใจ เอาธรรมะมาเป็นเพื่อน หรือว่าเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นเพื่อนของเรา เป็นเพื่อนร่วมคิดเป็นมิตรร่วมบ้านกับเรา เราก็จะมีแต่ความสุขแต่ความเจริญ ไม่มีความเสียหาย เพราะฉะนั้นคนใดที่ไม่ได้เป็นผู้คุ้นเคยกับพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ จงคิดเสียใหม่ เตรียมตัว เตรียมใจ หันเข้าหาคุณงามความดีเสียใหม่ ชีวิตก็จะดีขึ้น นี่ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่งในชีวิตของเรานั้น ต้องอยู่ด้วยพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จะอยู่ได้อย่างไร เราจะต้องทำเป็นลำดับตอนอย่างนี้ คือ หนึ่ง ศึกษาธรรมะให้เกิดความรู้ความเข้าใจ การศึกษาธรรมะในสมัยปัจจุบันนี้สะดวกมาก เพราะว่ามีสื่อช่วยเผยแผ่ธรรมะ เช่นสถานีโทรทัศน์นี่ก็ช่วยให้มีการเผยแผ่ธรรมะ วิทยุก็ช่วยให้มีการเผยแผ่ธรรมะ เรามีวิทยุมีโทรทัศน์อยู่ในบ้าน จงใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่าใช้เพื่อทำลายชีวิต ทำลายครอบครัว ทำลายลูกเต้าเหล่าหลานให้เสียผู้เสียคน ที่ทำลายนั้นก็คือว่าเปิดฟังแต่สิ่งสนุกสนานเฮฮา แล้วเครื่องมือสื่อสารต่างๆ เวลานี้ก็มีแต่เรื่องสนุกสนานมาก เปอร์เซ็นต์แห่งการที่จะก่อให้เกิดการอบรมบ่มนิสัยคนนั้นมีจำนวนน้อย ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเราขายเวลาให้แก่เขา พวกพ่อค้าเป็นผู้มาซื้อเวลา เอาไปแล้วก็ทำปู้ยี่ปู้ยำตามชอบใจ ออกรายการอะไรก็ไม่รู้ เอาเรื่องไม่ดีมาฉาย ทำให้เด็กเราเสียผู้เสียคน ไม่เป็นการสร้างเสริมวินัยของชาติ ระเบียบวัฒนธรรมของชาติ จึงเป็นเรื่องที่ควรแก้ไข
กบว.จะต้องพิจารณา เรื่องออกทางโทรทัศน์ ที่เขาจะออกวิทยุ ว่าเรื่องใดควรเรื่องใดไม่ควร ตัดออกไปเสียบ้าง เพื่อส่งเสริมสิ่งที่ดีที่งาม แต่มันก็ขึ้นกับนิสัยใจคอของคนอีกเหมือนกัน ถ้า กบว.เป็นคนที่มีสติ มีปัญญา มีความคิดถูกต้อง ก็ปล่อยสิ่งถูกต้องออกมา แต่ถ้าหากว่าขาดสติปัญญา ชอบความสนุกสนานเฮฮา เขาก็ปล่อยเรื่องที่ไม่ดีออกไปทางจอโทรทัศน์ คลื่นของวิทยุ ไปทำลายสังคม ทำลายประเทศชาติ ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นในบ้านเมืองของเรา เป็นเรื่องที่เราจะต้องช่วยกันแก้ไข ปรับปรุงให้ดีขึ้นตามสมควรแก่ฐานะ อย่างนี้ก็จะช่วยเราให้เจริญก้าวหน้า
แต่อีกประการหนึ่งเราก็ต้องอยู่กับพระ ต้องมีความเชื่อมั่นคง ในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน คนที่มีความเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นี้ จะมีความละอายบาป มีความกลัวบาป มีความอดทนอดกลั้น มีความเสียสละ ในสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง ไม่ดีไม่งาม ไม่เอามาเก็บไว้ในจิตใจ แต่จะเอาไว้แต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม เราต้องหมั่นถามตัวเองบ่อย ๆ ถามเวลาเช้า ๆ ไปยืนที่หน้ากระจกเงาแล้วก็ตั้งปัญหาถามว่า แกเกิดมาทำไม มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร สิ่งที่ดีที่สุดที่เราควรจะทำคืออะไร เราได้กระทำสิ่งนั้นแล้วหรือยัง ตั้งปัญหาขึ้นถามอย่างนั้น แล้วก็ตอบให้มันตรงไปตรงมาหน่อย อย่าตอบลำเอียง อย่าเข้าข้างกิเลส อย่าเข้าข้างความชั่วความร้าย แต่ต้องตอบว่า ฉันเกิดมาเพื่อธรรมะ อยู่เพื่อธรรมะ ธรรมะเป็นชีวิตจิตใจของฉัน จะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร จะไม่คิดตามกิเลส แต่คิดตามธรรมะ คิดตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยเอาคำสอนมาตั้งเป็นฐาน แล้วก็ถามตัวเองว่า เราประพฤติถูกธรรม หรือว่าประพฤติผิดธรรม เราเดินในสายธรรมะ หรือเดินนอกทางของธรรมะ ให้พิจารณาตัวเองอย่างนั้น แล้วชีวิตก็จะดีขึ้น
โดยเฉพาะวันปีใหม่ควรจะตั้งต้นอธิษฐานใจ อธิษฐานใจว่า วันนี้เป็นวันปีใหม่ตามที่โลกสมมุติ เราขอตั้งจิตอธิษฐานว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเรา แต่อยู่เพื่อผู้อื่น เพื่อทำให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อบ้านคิดว่าจะให้แม่และลูกในครอบครัวมีความสุข แม่ก็คิดเช่นเดียวกันว่า จะให้พ่อและลูกมีความสุข การคิดอะไรการพูดอะไร การทำอะไร ก็ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่คนในครอบครัว แล้วก็สอนลูกให้รู้จักเฉลี่ยความสุขให้แก่กันและกัน สอนลูกคนโตให้รู้จักดูแลน้องๆ ให้เอาใจใส่ช่วยเหลือน้อง สอนน้องทุกคนให้เคารพพี่ ให้เชื่อฟังพี่ แล้วก็จะอยู่กันด้วยความสุขความสบาย ไม่มีปัญหา ไม่เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน สิ่งดีสิ่งงามทั้งหลายก็เกิดขึ้นในครอบครัวนั่นแหละ
ความชั่วทั้งหลายก็เกิดขึ้นในครอบครัวเหมือนกัน มันเกิดอยู่ที่ผู้นำในครอบครัวคือพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่เป็นคนมีศีลมีธรรม ลูกก็จะมีศีลธรรมตามพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่เป็นคนไร้ศีลไร้ธรรม ลูกก็เป็นคนไร้ศีลไร้ธรรมตามพ่อแม่ เพราะสิ่งที่เดินหน้าเป็นตัวอย่างแก่คนเดินไปข้างหลัง พ่อแม่เดินในทางถูก ลูกก็เดินถูก พ่อแม่เดินผิดลูกก็เดินผิด พ่อเป็นคนขี้เหล้า ลูกก็มักจะดื่มเหล้าตามพ่อ แม่เป็นคนเล่นไพ่ ลูกก็เล่นไพ่ตามแม่ อย่างนี้มันไม่ถูกต้อง เป็นของเก่าของเรื้อรังแล้ว เลิกมันเสีย แล้วก็มาตั้งต้นชีวิตใหม่ อธิษฐานใจว่าในวันที่ ๑ มกราคมนี้ เราจะมีชีวิตอยู่ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย
การที่ชีวิตของเราจะเป็นประโยชน์เป็นความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายนั้น เราต้องมีธรรมะเป็นฐานรองรับจิตใจ ควรจะประพฤติธรรมอะไรบ้าง ประการแรกต้องมีศรัทธา ความเชื่อมั่นคงในองค์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้เสียสละความสุขส่วนพระองค์ในวัง ไปนั่งอยู่ในป่า เพื่อศึกษาค้นคว้าธรรมะ ครั้นเมื่อได้ธรรมะแล้วก็ไม่หวงไว้กับเฉพาะพระองค์ผู้เดียว ได้เอาธรรมะนั้นไปแจกประชาชน ให้คนได้รู้ได้เข้าใจธรรมะ ได้เข้าถึงธรรมะ
พระพุทธเจ้าเป็นแสงสว่างของชีวิตของเรา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักปฏิบัติที่จะทำผู้ปฏิบัติตามให้หลุดพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนได้จริง เวลาใดเรามีความทุกข์มีความเดือดร้อน เราก็ต้องนึกถึงพระพุทเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเอาหลักการของพระองค์นั่นแหละ มาแก้ปัญหาชีวิต หลักการที่ควรใช้ในชีวิตประจำวันก็คือว่า ให้เชื่อมั่นว่าสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น ไม่ได้เกิดมาจากอำนาจอะไร ไม่มีสิ่งใดที่จะดลบันดาลให้เราเป็นอะไร เราเป็นด้วยความคิด ด้วยการพูด ด้วยการกระทำของตัวเราเอง ถ้าเราคิดอย่างไร ผลอันนั้นมันก็ประทับอยู่ในใจ เราพูดอะไรผลอันนั้นก็ประทับอยู่ในใจ ทำอะไรมันก็เข้ามาอยู่ในใจ คบกับใคร มันก็เข้ามาอยู่ในใจของเรา เราเป็นผู้สร้างอนาคตของตัวเราเอง เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมีธรรมะเป็นหลักคุ้มครองจิตใจ
นอกจากความเชื่อดังที่กล่าวแล้ว ก็ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อพระรัตนตรัย ซื่อตรงต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คนที่ทำผิดในศีลในธรรมเป็นผู้ไม่ซื่อตรงต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเราไปเที่ยวไหว้สิ่งที่ไม่ควรไหว้ ที่คนปัญญาอ่อนสร้างขึ้นไว้ ก็ชื่อว่าเราไม่ซื่อตรงต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้ที่ซื่อตรงต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น ต้องมีความเชื่อมั่นในสิ่งเหล่านี้ เวลาใดเป็นทุกข์มีปัญหาก็ไม่ไปเที่ยวสั่นกระบอกติ้ว ตามสถานที่ต่างๆ ไม่ไปบนบานศาลกล่าวกับสิ่งใดๆ การไปบนบานศาลกล่าวนั่นแหละคือต้นตอของการคอรัปชั่นในบ้านในเมืองของเรา เราไปให้สินบนพระพุทธรูปบ้าง ให้สินบนกับเสาหลักเมืองบ้างหรือแก่อะไรๆ ต่างๆ ที่เรานึกว่าสิ่งนั้นจะช่วยเราได้ แต่ความจริงนั้นช่วยเราไม่ได้ ตัวเราเองจะต้องช่วยตัวเอง ต้องคิดต้องพูดต้องทำต้องมีความสำนึกในเรื่องอย่างนี้ มีความซื่อสัตย์ต่อพระรัตนตรัย ต่อไปก็หัดบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง
เรารับศีลเอาไปทำอะไร เพื่อเอาไปเป็นเครื่องมือบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยดีงาม แล้วเราก็มีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุ อันจะทำให้เราเสียผู้เสียคน สิ่งยั่วยุมันมากในสังคมปัจจุบัน เพราะว่าพ่อค้าทั้งหลายย่อมคิดประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ให้ยั่วยุ สิ่งที่ยั่วยุก็คือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มายั่วให้เราหลงให้เรางมงาย ให้เราไปติดพันในสิ่งเหล่านั้น ก็สร้างความทุกข์เพราะความเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัพพัง ปะระวะสัง ทุกขัง การเป็นทาสสิ่งทั้งปวงมันเป็นความทุกข์ สัพพัง อิสสะริยัง สุขัง จิตใจที่อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นเป็นความสุข เป็นความสบาย เพราะฉะนั้นจึงควรอยู่ด้วยความอดทนอดกลั้น แล้วก็อยู่ด้วยความเสียสละ อยู่เพื่อให้ ไม่ใช่อยู่เพื่อจะเอาอะไร แม้เราไปทำงานทำการอะไร เช่นทำราชการก็ทำเพื่อให้
ดูตัวอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่รักที่เคารพของเราทั้งหลาย พระองค์ประพฤติธรรมถูกต้องอยู่ตลอดเวลา พระองค์อยู่เพื่อให้ความสุข ความสงบแก่ประชาชน ที่ไหนมีปัญหามีความเดือดร้อน พระองค์ก็ไปช่วยแก้ปัญหา ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองได้อยู่เย็นเป็นสุขกันตลอดไป เราทั้งหลายก็ควรจะช่วยกันดำเนินชีวิตตามรอยพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเราก็จะมีความสุขมีความเจริญสมความปรารถนา ดังที่ได้กล่าวมา เพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ แก่ญาติโยมทั้งหลายก็พอสมควรแก่กาลเวลา ในที่สุดนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงมาตั้งอยู่ในใจของพี่น้องทั้งหลายจงทำให้ใจของท่านทั้งหลายดีขึ้น คนใดใจสกปรกเร่าร้อน ก็จงเป็นใจที่สะอาด มีความเยือกเย็นมีความสงบ คนใจขาดความอดทน ก็ขอให้มีความอดทน คนใดไม่มีความเสียสละ ก็จงสร้างความเสียสละ คนอ่อนแอ จงเป็นคนแข็งแรง คนมีโรคจงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มิจฉาทิฐิ จงกลายเป็นสัมมาทิฐิ เพื่อสร้างตัวสร้างตนให้เจริญให้ก้าวหน้า ตามหลักการของพระพุทธเจ้า จงทั่วกันทุกท่านทุกคน เทอญ