แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา วันอาทิตย์นี้เป็นวันอาทิตย์แรกของเดือนกรกฎาคม คือวันที่ ๕ เดือกรกฎาคม ๒๕๓๕ ตามปกติวันอาทิตย์ต้นเดือนก็ไปเทศน์วิทยุ วิทยุเทศน์แล้วเมื่อเช้า สถานีโทรทัศน์ช่อง๕ ก็เคยไปแสดงอยู่ แต่เมื่อเช้านี้นั่งคอยรถก็ไม่เห็นมา
และโทรศัพท์กลับไปถามว่า “เป็นยังไง ขัดข้องอะไร”เจ้าหน้าที่เป็นอนุศาสนาจารย์บอกว่า “นึกว่าหลวงพ่อยังไม่มาเลยนิมนต์พระวัดโพธิ์มาเทศน์แทนแล้ว เอาไว้เทศน์เดือนต่อไป ก็มาเชื่อมกันไป ไม่เป็นไร”ไม่ได้ไปก็ดีเหมือนกันจะได้นั่งพักผ่อนอยู่ที่กุฏิ รอเวลาที่จะมาพูดกับญาติโยมทั้งหลายที่โรงเรียนพุทธรรมต่อไป ในพรรษานี้ก็อยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปไหน แต่ก็ไปบ้าง ไปเยี่ยมเยียนญาติโยมทางจังหวัดเชียงใหม่ ไประยะ๕วัน ๖วัน แล้วก็กลับมาอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปอยู่จำพรรษาที่เชียงใหม่ ปีกลายนี้ไปอยู่เชียงใหม่ ให้ญาติโยมสบายใจเสียบ้าง ทีนี้ก็มาอยู่ที่นี่ต่อไป แต่ก็ไปเยี่ยมไปเยียนบ้างเป็นบางครั้งบางคราว เพื่อจะได้พูดธรรมะให้ญาติโยมทั้งหลายฟัง ไปไหนก็เอาธรรมะไปให้เขา เพื่อให้เขาได้รับธรรมะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป อันเรื่องของธรรมะนี้ขอให้ญาติโยมเข้าใจให้ชัด ว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชีวิต ชีวิตก็เป็นธรรมะเป็นหลักคุ้มครองจิตใจ จึงจะสมบูรณ์ ถ้าชีวิตไม่มีธรรมะเป็นหลักครองใจ ก็จะมีปัญหา มีความทุกข์ มีความเดือดร้อน ในครอบครัว สามี-ภรรยาที่อยู่กันโดยความมีธรรมะ ก็มีแต่เรื่องสงบ ไม่วุ่นวาย ลูกเต้าก็เรียบร้อยไม่มีปัญหา แต่ถ้าหากว่าพ่อบ้านหรือแม่บ้านเป็นผู้มีความบกพร่อง ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตนตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าวางไว้ ก็เกิดปัญหาขึ้นในครอบครัวด้วยประการต่างๆ ปัญหาอย่างนี้เกิดทั่วไป ไม่ว่าในชาติใด ประเทศใด ย่อมมีปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้น เพราะว่าไม่เอาธรรมะไปใช้ แม้จะเป็นผู้นับถือศาสนา แต่ก็นับถือแต่เพียงชื่อ ไม่ได้นำธรรมะนั้นไปเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ก็เลยเกิดปัญหา เช่นว่ามีการหย่าร้างกันบ่อยๆ
ในประเทศอเมริกา ฟังเขาเล่าให้ฟังว่ามีการหย่าร้างกันมาก ผู้หญิง ผู้ชายที่แต่งงานกัน แล้วก็อยู่ร่วมกันไม่เป็นสุขก็มีการหย่าร้าง ในการหย่าร้างดังกล่าว เกิดขึ้นในครอบครัวใด ผู้หญิงมักจะได้เปรียบ เพราะว่ากฎหมายเขาเขียนให้ภรรยาไม่ผิด คือสามีจะต้องเลี้ยงดูภรรยาต่อไป มีลูกก็ต้องเลี้ยงลูกต่อไป แม้จะหย่ากันแล้วแต่ก็ต้องส่งเสียเงินทองให้ภรรยาเอาไปใช้เลี้ยงลูกเลี้ยงเต้าต่อไป ทรัพย์สมบัติอะไรก็ภรรยาเค้าริบเอาไปหมด สามีเหลือแต่ตัวจริงๆ เป็นการถูกลงโทษที่ไม่ประพฤติธรรม ไม่เอาธรรมะมาใช้เป็นหลักในการดำรงชีวิต ก็เลยถูกลงโทษ ได้รับความเสียหาย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆในที่ทั่วๆไป เพราะว่าเมืองฝรั่งนั้นการแต่งงานมันง่าย การหย่าก็ง่ายอีกเหมือนกัน แต่เวลาหย่าเมื่อไหร่สามีก็เดือดร้อน ก็จะต้องชดเชยค่าเสียหายให้แก่ภรรยาด้วยประการต่างๆ กฎหมายเขาเขียนไว้อย่างนั้น เพื่อจะได้ควบคุมผู้ชายไม่ให้หย่า
แต่บางทีผู้ชายก็ไม่หย่าแต่ผู้หญิงต้องการหย่า ผู้ชายก็ต้องยอมเขา เพราะเขาจ้างทนายขึ้นมาฟ้อง ฟ้องหย่า ก็เลยต้องยอม นี่คือปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศนั้น มีปัญหาทั่วๆไป เพราะว่าเป็นผู้ไม่ประพฤติธรรม ไม่หันหน้าเข้าหาธรรมะ อันเป็นคำสอนในทางพระศาสนา ชีวิตก็เป็นอยู่อย่างลำบาก พวกผู้ชายบางคนก็ไม่แต่งงานกับผู้หญิง แต่ว่าไปแต่งงานกับผู้ชาย อยู่กินกันเหมือนสามี-ภรรยา ก็เกิดปัญหาขึ้นในชีวิต บางทีถึงฆ่าถึงแกงกัน มีเรื่องเขาเล่าว่า ในรัฐวิสคอนซินซึ่งเป็นรัฐสำคัญของอเมริกา เขาเรียกรัฐนี้ว่าเป็นรัฐที่ทำการเพาะปลูกมาก มีฟาร์มมาก มีการเลี้ยงสัตว์ มีทำการเพาะปลูก เขาเรียกว่า เป็นรัฐเพาะปลูกของอเมริกาก็ว่าได้ เคยไปเยี่ยมนักเรียนที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน นักเรียนไทยที่ไปเรียนที่นั่นส่วนมากเป็นผู้ใหญ่ เรียนปริญญาโท ปริญญาเอก เขารู้ว่าพระไปก็เลยมีคนไป ไปแสดงธรรมให้เขาฟัง แล้วก็พาดูบริเวณมหาวิทยาลัย เป็นบริเวณกว้างขวาง สวยงาม มีบ้านพักสำหรับนักศึกษา อยู่ติดกับทะเลสาบ ธรรมชาติสวยงามมาก การอยู่ก็สะดวกสบายแต่ในเมืองนั้นมันมีเรื่องเกิดขึ้น
คือ ผู้ชายคนหนึ่งถูกจับได้ว่าฆ่าคนเอาไปกินเนื้อ ไม่ใช่คน-สองคน ฆ่าทั้งหมด ๑๘คน แกฆ่ากินมาถึง ๑๘คน ปกติก็เป็นคนเรียบร้อย พูดจานิ่มนวล กริยาท่าทางไม่ได้เป็นยักษ์เป็นมารกับเขาเลย เข้าสู่สังคมใดก็พูดจาสุภาพเรียบร้อย ไม่มีใครสงสัยว่าจะเป็นคนกระทำเช่นนั้น แต่ว่าที่บ้านของแกนั้น กลางวันแกก็ไปทำงานตามปกติ แต่กลางคืนนั้นเปิดไฟสว่างตลอดเวลา ใครๆก็นึกสงสัยว่าป่านนี้ทำอะไรกลางคืน กลางคืนก็ไม่ได้หลับได้นอน คือว่าแกจับคนไปฆ่า แล้วก็เอาเนื้อมากินเป็นอาหาร มาปรุงอาหารกินต้มไว้อะไรไว้ ที่เหลือก็ใส่ตู้เย็นไว้ ว่าฆ่าแล้ว กะโหลกของคนนี่แกเอามาขัดแล้ว และก็ใส่เก็บไว้ข้างฝาและเป็นแถว เก็บไว้เรียบร้อย บ้านแกเป็นบ้านที่ไม่มีใครเข้าไม่ได้ แกไม่ให้ใครเข้า คนอเมริกันเค้าก็เคารพสิทธิของผู้อื่น เขาไม่อยากเข้าไปดูบ้านใคร ถ้าหากเขาไม่อนุญาต แกก็ทำอยู่อย่างนั้น หัวกะโหลกติดข้างฝาเป็นแถวไป ได้มากมาย วิธีฆ่าของแกก็คือว่า กลางคืนแกจะต้องไปเที่ยวตามร้านเหล้า ไปเที่ยวตามบาร์ตามสถานท่องเที่ยวยามราตรี ไปหาคนผู้ชาย เด็กหนุ่มๆที่รูปร่างดีๆ แกไปแกก็สุภาพเรียบร้อย เข้าไปตีสนิทสนมคุยกัน เลี้ยงเบียร์เลี้ยงเหล้าอะไรกันตามเรื่อง แล้วแกก็ชวนมาบ้านแก มาชวนมาที่บ้านแก ก็ทำการให้ได้ดื่มเหล้า แต่แกใส่ยาไว้ในเหล้า เป็นยานอนหลับ เมื่อกินแล้วก็หลับไป เริ่มเคลิ้มไป แกก็ทำการส่องเสพกามารมณ์กับเด็กคนนั้น เสร็จแล้วแกก็ฆ่าเสีย ฆ่าเอาเนื้อมากินเป็นอาหารต่อไป ไอ้ส่วนที่เหลือแกก็ใส่อะไรๆไป เอาไปทิ้ง ณ ที่ใดที่หนึ่ง ทำมาอย่างนี้เป็นจำนวนถึง ๑๘คน วันหนึ่งจับเด็กลาวไปได้คนหนึ่ง รูปร่างดี ไอ้เด็กลาวคนนั้นมันหนีออกมาได้ หนีออกมาจากบ้าน แกก็วิ่งตามออกมา แกก็จับตัว มันก็สู้กัน แต่งตัวล่อนจ้อนนุ่งเหลือแต่กางเกงใน ตำรวจไปเห็นเข้าก็เลยบอก เฮ้ย! ไม่ยุ่งๆ ตำรวจอย่ามายุ่ง ไอ้นี่มันเรื่องภายในครอบครัว เขาว่าคนอเมริกันนี้มีคู่ครองเป็นผู้ชายเยอะอยู่เหมือนกัน มันบอกว่านี่ เรื่องภายในครอบครัวอย่ามายุ่ง ตำรวจก็ไม่ยุ่ง ตำรวจที่โน่นมันก็อย่างนั้นแหละ ถ้าว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัวเขาทะเลาะเบาะแว้งอะไรกัน แล้วไม่ถูกขอร้องให้จับกุม เขาก็ไม่ยุ่ง เขาก็ไม่ว่า แกจับเข้าไปในบ้าน เอาไปทำการอะไรต่ออะไรแล้วแกก็ฆ่าเสีย กินเนื้อต่อไป
แต่ว่าวันหนึ่งคนเขาสงสัย สงสัยว่าบ้านนี้มันเป็นบ้านลึกลับ ก็เลยแจ้งความไปให้ตำรวจรับทราบ ตำรวจก็มา ขอเปิดเข้าไปในบ้าน ก็ไปเห็นแกกำลังกินเนื้อ เอาเนื้อคนมาผัดมาคั่วกินอย่างสบายใจ เหมือนเรากินเนื้อหมูอะไรอย่างนั้น เขาก็จับไปขึ้นศาล แต่เวลาไปขึ้นศาลนี้แกก็บอกว่า เขาถามว่าฆ่าทำไม บอกว่าฉันฆ่าเพราะฉันรักเขา ฉันรักเขามาก เลยฉันอยากจะให้ตัวเขากับตัวฉันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เลยก็ต้องกินเนื้อเขาเข้าไป มันจะได้เป็นเนื้อเดียวกัน เขาว่าอย่างนั้น ทนายความก็ต่อสู้ในฐานะเป็นคนวิกลจริต อย่างไรๆสู้กันอยู่ ศาลก็ยังไม่ยอม ว่าอย่างนั้นเขาว่าการพูดการจาเรียบร้อย พูดกับศาลนี้ก็พูดเรียบร้อย กริยาท่าทางสุภาพ ไม่ใช่แสดงว่าเป็นคนจิตมันวิตถารอะไร แต่ความจริงมันก็วิตถารนะ ที่กระทำเช่นนั้น ศาลก็ยังกักตัวอยู่ ยังขังอยู่ในเรือนจำ ยังไม่ได้ตัดสินว่าผิดอะไร
อันนี้เล่าให้โยมฟังว่ามันมีเรื่องแปลกๆ มันฆ่ากันได้ กินเนื้อกันได้โดยไม่กระดาก กินตามสบาย เขากินเพื่อให้ไปอยู่ในตัวเขา เพราะเขารักคนนั้นมาก คนนั้นต้องเอาไว้ในเนื้อในตัว จะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความคิดอย่างนี้มันก็วิตถารอยู่พอสมควรแล้ว ซึ่งศาลก็จะลงโทษกันต่อไป แต่ว่าเมืองอเมริกานี้กฎหมายเขาไม่มีการประหารชีวิต ไม่มีโทษประหารชีวิตในบางรัฐ แต่บางรัฐก็มีเหมือนกัน เมื่อไม่มีการประหารชีวิตก็เอาไปกักขังไว้ ขังไปเท่านั้นปี เท่านี้ปี ขังได้จนแก่จนเฒ่า ให้อภัยออกมาก็คลานออกมาจากคุกเลย เพราะว่ามันแก่เต็มที จะไปก่อกรรมทำร้ายใครๆก็ไม่ได้อีกต่อไป เขาเป็นอย่างนั้น
บ้านเมืองของเรานี้หากเป็นวันสำคัญของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปีนี้ก็เป็นวันสำคัญของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ คือวันที่ ๑๒สิงหาคม ก็จะมีการปล่อยผู้ต้องขังออกไปเหมือนกัน เวลานี้เขามีงานพบญาติ ให้คนเข้าไปคุยกับผู้ต้องขังในคุกได้เป็นกันเอง เอาอาหารไปกิน เอาลูกเอาหลานไปให้อุ้มให้ชู แล้วก็วันที่ ๑๒ก็ปล่อย หลายหมื่นคนเหมือนกัน แต่ว่าคนบางคนก็ไม่ทราบปล่อยออกไปที่ไม่ทราบปล่อยนั้นไม่ใช่เรื่องอะไรกลัวจะไปถูกฆ่า เพราะคนมันยังโกรธอยู่ เช่นแม่ชม้อย เป็นต้น แกได้ลดโทษไม่ถึงกลับปล่อย เพราะว่าปล่อยออกไปกลัวจะตาย ไอ้คนที่มันถูกโกงไปมันก็จะยังพูดอยู่ พอหลุดจากคุกมันก็เดี๋ยวเอากระสุนมาให้เท่านั้นเอง เป็นของกำนัล เลยก็ต้องเอาตัวเอาไว้ก่อน เพื่อช่วยเหลือชีวิตคนนั้นให้ทุกข์ทรมานต่อไป คนติดคุกมันก็เป็นทุกข์ คือไม่มีอิสรภาพ ไม่มีเสรีภาพที่จไปไหนได้ตามชอบใจ ก็ย่อมมีความทุกข์อยู่บ้างเป็นธรรมดา ก็เหมือนว่าตกนรกเหมือนกัน เพราะมีความทุกข์ นรกก็คือความร้อนอกร้อนใจ เรานั่งไม่สบายใจ เราก็ตกนรก ด้วยเรื่องอะไรๆต่างๆ การที่จะตกนรกก็เพราะว่าเราไม่ประพฤติธรรม ไม่เอาธรรมะของพระศาสนามาใช้
นับถือศาสนาใดก็ตาม ถ้าเราประพฤติดี ประพฤติชอบ ตามหลักคำสอนในศาสนานั้นก็เอาตัวรอด มีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย เพราะธรรมะนี้มันเป็นของกลาง เป็นสากล แต่ว่าผู้รู้ที่มาสอนอาจจะเกิดขึ้นในที่ต่างๆกัน เช่นพระพุทธเจ้าของเราเกิดในประเทศอินเดีย พระเยซูคริสเกิดในประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน พระนบีมูฮัมหมัดก็เกิดในซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นถิ่นทะเลทราย แล้วก็สอนธรรมะอันเหมาะแก่ความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นนั้น ถ้าคนในท้องถิ่นนั้นเชื่อฟังคำสอนเอามาปฏิบัติ ก็เรียกว่าพอเอาตัวรอดปลอดภัยได้ ถ้าเราประพฤติธรรมนั้นก็ใช้ได้ ธรรมะย่อมคุ้มครอง ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมอยู่ตลอดเวลา ในทางตรงกันข้ามถ้าเราไม่ประพฤติธรรม ธรรมะก็ลงโทษเอาเจ็บเหมือนกัน ธรรมะลงโทษให้เราต้องเป็นทุกข์ให้เดือดร้อนด้วยประการต่างๆ มีชีวิตอยู่อย่างยากจนข้นแค้น ไม่เกิดความเจริญ ไม่เกิดความก้าวหน้าในชีวิตในการงาน เพราะเราไม่ประพฤติธรรม
เมื่อประพฤติธรรมก็ได้รับรางวัล เมื่อไม่ประพฤติธรรมก็ได้รับการลงโทษ อันนี้มันเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่เราได้รับอยู่แล้ว แต่บางทีเราคิดไม่ค่อยได้ เพราะไม่เข้าใจความหมายของสิ่งเหล่านี้ เวลามีความทุกข์มีความความเดือนร้อนใจ ไม่นึกว่าตัวทำอะไรไว้ หรือมีความผิดความบกพร่องอะไร เราไม่ได้สนใจไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ค้นคว้า ก็เลยไม่รู้เหตุของสิ่งเหล่านั้น ไม่รู้จักความทุกข์ ไม่รู้จักเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ว่าทุกข์เป็นเรื่องแก้ได้ แล้วไม่รู้ว่าจะแก้ทุกข์ได้อย่างไร นั่นเป็นปัญหา พระสัมมา สัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายออกไปบวชเพื่อค้นหาสิ่งเหล่านี้ ค้นหาเรื่องความจริงในสิ่งเหล่านี้จึงได้ไปศึกษาค้นคว้าปฏิบัติในสำนักต่างๆที่มีอยู่ในสมัยนั้น ทำไปประพฤติไปก็ยังเห็นว่าไม่ได้เรื่องอะไร สภาพจิตใจยังเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สะอาดขึ้น สว่างขึ้น สงบขึ้น ก็ลาออกจากสำนักอาจารย์นั้นๆ ไปศึกษาด้วยลำพังพระองค์เอง นั่งศึกษา นั่งค้นคว้า นั่งคิด นั่งปฏิบัติอยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์ที่พุทธคยา ที่ประเทศอินเดียในสมัยนี้ ผลที่สุดก็ได้ตรัสรู้ความจริง คือได้รู้แจ้งเห็นจริงว่าความทุกข์มันคืออะไร เหตุให้เกิดทุกข์คืออะไร ทุกข์เป็นเรื่องแก้ได้ และแก้ได้โดยวิธีใด ได้ทรงพบทฤษฎีแล้วก็ทรงปฏิบัติด้วยพระองค์เอง จนประจักษ์ชัดเจนใจ ว่าพระองค์ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเดือนร้อนอีกต่อไปแล้ว เพราะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ถูกต้อง
ครั้นว่าได้พบสิ่งที่เป็นของประเสริฐ ทำให้ชีวิตดีขึ้นอย่างนั้นจะเก็บไว้เฉพาะพระองค์เองก็ไม่สมควร มันผิดเป้าหมาย เพราะในการเสด็จออกบวชนั้นทรงมีเป้าหมายว่าบวชเพื่อศึกษาค้นคว้าธรรมะ รู้ธรรมะแล้วก็จะเอาไปสอนคนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ช่วยให้ชาวโลกที่มีปัญหาหลุดพ้นปัญหา ช่วยชาวโลกที่มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจได้หลุดพ้นไปจากความเดือดเนื้อร้อนใจ บัดนี้พระองค์เองได้พ้นแล้วจากสิ่งเหล่านั้น มีความสงบใจอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าอยู่ด้วยจิตว่าง เพราะไม่มีความวิตกกังวลด้วยปัญหาอะไรต่างๆ คนจะมาก็อย่างนั้น ไม่มาก็อย่างนั้น มีอะไรเกิดขึ้นก็อย่างนั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็อย่างนั้น จิตขอพระองค์อยู่ในสภาพคงที่ถาวร ไม่ขึ้นไม่ลงไปตามอารมณ์ที่มากระทบ ไม่เหมือนกับจิตเราทั้งหลายที่เป็นปุถุชน คนที่ยังสติปัญญาไม่สมบูรณ์ ย่อมมีการหวั่นไหวโยกโคลงไปตามสิ่งที่มากระทบ อะไรเกิดขึ้นก็มีความกระทบทางด้านจิตใจ ยินดีบ้างยินร้ายบ้าง เป็นไปตามอารมณ์ที่มากระทบอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้เรียกว่าจิตเรามันไม่ว่างจากสิ่งเหล่านั้น ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ไม่เป็นทุกข์บ้าง อะไรต่างๆ ดังที่เราเป็นกันอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้เรียกว่าจิตมันไม่ว่าง เพราะมีสิ่งรบกวนจิตใจทำให้ขึ้นบ้าง ลงบ้าง อยู่เรื่อยไปไม่รู้จักจบจักสิ้นแต่ว่าน้ำพระทัยของพระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ท่านไม่มีสภาพอย่างที่เราเป็นแล้ว ท่านมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องทั้งหลายตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ แล้วก็ปล่อยวางในสิ่งเหล่านั้น ไม่เข้าไปยึดถือจิตอันอยู่ในสิ่งเหล่านั้น แต่ว่าทรงมีภาระที่จะต้องกระทำอยู่คือช่วยคนอื่นให้พ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อนต่อไป
การช่วยคนอื่นให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนก็เหมือนกัน ทรงกระทำด้วยจิตที่ว่าง ไม่ได้หวังอะไรเป็นเครื่องตอบแทนสำหรับพระองค์เองต่อไป ทำไปตาหน้าที่ในฐานะเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าต้องปลุกคนให้ตื่นจากความหลับใหลมัวเมา ปลุกให้เป็นผู้รู้ขึ้นมา ให้เป็นผู้ตื่น ให้เป็นผู้เบิกบานแจ่มใส ในสัจธรรมคำสอนของพระองค์ท่าน เพราะทรงกระทำไปตามหน้าที่ ไม่มีปัญหา ไม่มีความกังวล เวลาจะประทับพักผ่อนก็พักได้ทันที หลับได้ทันที ตื่นได้ทันที ไม่มีความวิตกกังวลอะไร สภาพจิตใจผ่องใสเหมือนกับดวงจันทร์วันเพ็ญที่ไม่มีเมฆมีหมอกมาปกคลุม สภาพเป็นเช่นนั้น เพราะว่าได้เข้าถึงสิ่งถูกต้องอย่างแท้จริงที่พระองค์ได้ค้นพบ แล้วก็นำสิ่งนี้มาประกาศแก่ชาวโลกทั้งหลาย ชาวโลกได้ฟังคำประกาศของพระองค์แล้ว ที่เกิดความรู้ความเข้าใจก็ได้บวชในพระศาสนาเป็นภิกษุบ้าง เป็นภิกษุณีบ้าง ที่ยังไม่ได้บวชในพระศาสนาก็เป็นผู้ครองเรือนที่เป็นอยู่โดยธรรม เป็นอุบาสกผู้เข้าถึงพระรัตนตรัย เป็นอุบาสิกาผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างถูกต้อง มีการครองชีวิตอย่างถูกต้อง มีความทุกข์น้อย ไม่มีความทุกข์มากแล้วก็ไม่มีปัญหามาก เป็นอยู่ด้วยความถูกต้องตามหลักธรรมะ บำเพ็ญชีวิตของตนนั้นเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เช่นว่าเคยเป็นเศรษฐีมั่งมีทรัพย์สมบัติ ในสมัยก่อนที่จะมาเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็มีความตระหนี่ มีความเห็นแก่ตัว ไม่เอื้อเฟื้อไม่แบ่งปันสิ่งที่มีที่ได้ไว้ เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ผู้อื่น ครั้นได้มารับมานับถือพระพุทธศาสนาก็เปลี่ยนสภาพจิตใจ คือกลายเป็นคนรักผู้อื่น สงสารผู้อื่น เห็นความทุกข์ของผู้อื่นเหมือนความทุกข์ของตัวเอง ทนไม่ค่อยได้เมื่อเห็นใครเดือดร้อนมีปัญหา ก็เข้าไปช่วยเหลือคนเหล่านั้น ตามฐานะที่พอจะช่วยได้กลายเป็นบุคคลประเภทที่เรียกว่า “ทำประโยชน์แก่สังคม ไม่ทำ ไม่แสวงหาทรัพย์เพื่อเอามาเป็นประโยชน์ตนผู้เดียว แต่ว่ารู้จักจ่ายทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ ได้ทรัพย์มาก็แบ่งเป็นสัดเป็นส่วน ส่วนหนึ่งเก็บไว้ ส่วนหนึ่งใช้จ่าย ส่วนหนึ่งเอาไปลงทุนสร้างงานสร้างการต่อไป อีกส่วนหนึ่งก็เอาไปแจกจ่ายแก่คนที่มีฐานะมีโอกาสด้อยกว่าตน ให้คนเหล่านั้นได้มีความสุข มีความสบายตามสมควรแก่ฐานะ สภาพของสังคมก็ดีขึ้น สภาพของโลกก็ดีขึ้น เพราะคนอยู่กันด้วยความน้ำใจอันงาม น้ำใจงามก็คืออยู่กันด้วยความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์
คนเราถ้าอยู่ด้วยความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ เรามีความสุขทางใจ คนที่เราแผ่ไปให้ หรือเราทำอะไรให้เขา เขาก็มีความสุข มีความสบายทางใจด้วเช่นเดียวกัน เมื่อทุกฝ่ายมีความสุข การเบียดเบียนกันมันก็ไม่มี การเบียดเบียนกันในทางร่างกายไม่มี ทางทรัพย์ไม่มี ทางกามารมณ์ก็ไม่มี ทางการพูดการเขียนการโฆษณามันก็ไม่มี แล้วไม่มีการทำร้ายตัวเอง ด้วยการทำสติปัญญาให้มันลดน้อยให้มันเสื่อมถอย ด้วยการเสพของเสพติดมึนเมาต่างๆ คนก็ไม่ค้าสิ่งเสพติด ไม่ส่งเสริมให้คนมีความมึนเมา ด้วยเนื่องจากสิ่งชั่วร้าย ด้วยประการใดๆ สังคมก็มีความสบาย มีความสุข มีความสงบ การปกครองก็สะดวกสบายขึ้น ไม่ต้องปกครองอะไร การปกครองที่ดีนั้นคือ การปกครองที่ไม่มีการปกครองนั่นเอง
การปกครองที่ไม่มีการปกครองมันก็หมายความว่า ไม่ต้องไปปกครองเขา ไม่ต้องออกกฎหมายบังคับเขา ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่ไปคอยดูแล เพราะทุกคนรู้จักดูแลตัวเองรู้จักปรับตัวเอง รู้จักทำตัวเองให้เป็นสุข จากสำหรับตนแล้วก็เผยแผ่ความสุขนั้นไปยังบุคคลอื่นต่อไป อย่างนี้มันก็ไม่มีปัญหาอะไร อะไรๆก็เรียบร้อย สุขอนามัยก็ดีขึ้น การเป็นอยู่ก็ดีขึ้น การเศรษฐกิจมันก็มีการแบ่งปันกันดี คนทุกคนก็ได้รับส่วนแบ่ง ได้รับความสุขทั่วกัน คนที่เรียกว่าด้อยโอกาส ด้อยฐานะมันก็ไม่มี เพราะได้รับกาช่วยเหลือเจือจุนกันให้ได้มีส่วนในการสร้างสรรค์ชีวิตจิตใจ ด้านการงานให้เจริญ ให้ก้าวหน้าด้วยประการต่างๆ สังคมมันก็เรียบร้อย ไม่มีปัญหา
แต่ว่าในสังคมปัจจุบันนี้ มันไม่เป็นอย่างนั้น เรามีปัญหามากมาย ปัญหาเกิดขึ้นจากอะไร ก็เกิดจากว่าเราไม่ประพฤติธรรมกัน เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ต้องการอะไรๆเพื่อตัวมาก แล้วก็ไม่ค่อยเฉลี่ยแบ่งปันให้คนอื่นทำให้เกิดมีปัญหากระทบกระเทือนกัน นายทุนก็ต้องการกำไรมากๆ ต้องการร่ำรวยมากๆ กรรมกรก็ต้องการค่าจ้างมากๆ เมื่อความต้องการมันไม่ตรงกันกับเรื่องที่ควรจะเป็น คนหนึ่งต้องการเอาเข้า แต่คนหนึ่งก็ต้องการเอาเหมือนกัน นายทุนเอาเข้ามาเพื่อผลิตสินค้าได้มากแล้วเอาไปขายให้มีกำไรมากๆ กรรมกรก็ไม่ได้รับส่วนแบ่งเท่าที่ควร ก็เกิดเป็นปัญหา เกิดความทุกข์ยากลำบาก เมื่อเกิดความทุกข์ยากลำบากในการเป็นอยู่ เขาก็ร่วมแรงร่วมใจกันขึ้นทำการคัดค้านนายทุน ด้วยการหยุดงานหยุดการ ก็เขาเรียกในสมัยใหม่ว่า “สไตรค์”
“สไตรค์” คือ หยุดงาน ไม่ทำงานกันด้วยกันทั้งหมด ทำให้เกิดเป็นปัญหาขัดข้องด้วยประการต่างๆ
ในประเทศเยอรมันเมื่อเดือนสองเดือนก่อนนี้กรรมกรหยุดหมดเลย หยุดทั้งประเทศ เรือบินไม่บินขึ้น ลงก็ไม่ได้เพราะไม่มีคนปฏิบัติงานในสนาม ไม่มีคนให้สัญญาณการจราจร เรือบินจะขึ้นจะลงก็ไม่ได้ รถไฟก็ไม่เดิน รถรางก็ไม่เดิน รถยนต์ก็ไม่เดิน ทุกสิ่งนิ่งหมดเลย นิ่งหมด หยุดนิ่ง หยุดนิ่งเพื่อต้องการอะไร ต้องการค่าจ้างเพิ่ม ต้องการค่าจ้างเพิ่มขึ้น เรียกร้องเอามาก จะเอาเท่านั้น จะเอาเท่านี้ รัฐบาลก็ต้องยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้อง มีการประชุมปรึกษาหารือกัน แต่ว่าจะให้ตามที่ต้องการนั้นไม่ได้เพราะว่าเกินที่จะให้ มันมาก กรรมกรทั่วประเทศนั้นขึ้นหมด เอาหมด มันมากเกินไป ก็เลยไม่ยอมให้ตามที่ต้องการ ให้เพียงนิดๆหน่อยๆ แล้วก็พวกนั้นก็ยังหยุดงานต่อไป แต่ผลที่สุดกรรมกรก็ต้องเลื่อนหยุดงาน เพราะมันเกิดปัญหาขึ้นในสังคมในบ้านเมือง ประชาชนทั้งหลายก็วิพากษ์วิจารณ์ หนังสือพิมพ์ก็เขียนโจมตีว่าทำทารุณมากเกินไปเสียผลแก่ประเทศชาติบ้านเมือง เรามันเพิ่งรวมตัวกันเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างตะวันตกกับตะวันออก แล้วเรามาบีบคั้นรัฐบาลมากมายอย่างนี้ มันก็จะเกิดความเสียหาย ให้ช่วยกันเห็นแก่ชาติแก่ประเทศ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมกันบ้าง
เมื่อคนมันจำนวนมากพูดขึ้นมาเช่นนั้น ความรู้สึกนึกคิดมันก็ค่อยมีขึ้น เลยเปลี่ยนใจ เอาเท่าที่เขาให้ ไม่ได้เอามากเกินไป อันนี้คือผลแห่งความที่ไม่เสียสละให้แก่กันและกัน ไม่ให้เสียก่อน จนกระทั่งเขาขอ ทีนี้เมื่อเขาขอ เขาจะเอามากเข้า เท่าที่เขาต้องการ เกิดการไม่ได้ก็เลยหยุดงานกันเป็นการใหญ่ แต่เขาก็ดี แม้จะมีการหยุดงานอะไรก็ตาม พวกที่เรียกว่าทหารไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง เขาก็มีกองทัพเหมือนกัน แต่ว่ากองทัพของเขา เขาไม่ยุ่งกับราชการบ้านเมือง เขามีไว้สำหรับต่อสู้กับข้าศึกที่มาจากภายนอก จากต่างประเทศ แต่ถ้าเป็นเรื่องภายในแล้ว เขาจะไม่เข้ามายุ่งเลย เขาอยู่แต่ในกองทัพของเขา ทหารเขาไม่เล่นการเมือง ไม่ทำปัญหาให้เกิดขึ้น ก็อยู่กันด้วยความสงบเรียบร้อย ต่างฝ่ายคนละเรื่องเขาก็จัดการแก้ไขปัญหา แต่ละเรื่องกันไป
ในบางประเทศหยุดไม่ใช่เล็กน้อย หยุดกันตั้ง ๓เดือน เช่นคนงานบ่อถ่านหินในประเทศอังกฤษ เขายิ่งไม่.....หยุดกันซะตั้ง ๓เดือนนายกรัฐมนตรีที่เข้มแข็งคือ มาดาม “แทชเชอร์” เป็นผู้หญิงแต่มีความเข้มแข็งมาก แกไม่ยอม ไม่ยอมพูดแทนพวกนั้น ให้มันหยุดไป ให้มันหยุดไปตามเรื่องของมัน หยุดหนักเข้าๆก็เดือดร้อน ไม่มีอะไรจะกินจะใช้ (30.52 เสียงไม่ชัดเจน) แต่นานเข้าจะเอาเงินที่ไหนมาช่วย ก็ต้องอ่อนข้อ กลับเข้าทำงานตามเดิม รัฐบาลก็เป็นฝ่ายชนะไป มันเป็นอย่างนี้ เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในที่ต่างๆ ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะการต่อสู้กันเพื่อจะให้ได้สิ่งที่ตัวต้องการ นายทุนก็รวมตัวกันต่อสู้ กรรมกรก็รวมตัวกันต่อสู้ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ ก็เกิดความขัดแย้งกัน ไม่ว่าในสังคมใด ถ้าเกิดมีความขัดแย้งกันมันก็
ปัญหามีแล้ว เป็นทุกข์เท่านั้นเอง ไม่ต้องอะไร คนสองคนในครอบครัว สามี-ภรรยาเกิดขัดแย้งกัน ก็เกิดปัญหาในครอบครัวแล้ว ลูกเต้าก็ไม่สบายใจ พอหันไปดูหน้าพ่อก็บึ้ง หันไปดูหน้าแม่ก็บึ้งตึง เด็กจะทำตัวอย่างไร จะไปหันหน้าไปหาใคร ก็มีปัญหา ถ้าหากว่าเด็กเหล่านั้นอยู่ในสถานที่ที่มันไม่ค่อยจะดี อยู่ในบ้านหน้ายุ่งกันทั้งนั้น ออกนอกบ้านไปดีกว่า ออกนอกบ้านก็ไปเที่ยวตามหน้าโรงหนัง ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ไปประสบแต่สิ่งที่มันไม่ถูกต้อง ถ้ามันมีปัญหา เด็กเหล่านั้นก็เสียผู้เสียคนไป เพราะภายในไม่ค่อยเรียบร้อย เพราะว่าคนสองคนไม่ยิ้มกัน ขัดกัน ทำให้เกิดผลเสียหายแก่ลูกเต้าเพราะฉะนั้นพ่อแม่ก็ต้องระมัดระวังเหมือนกัน ถ้าเรามีลูกมีเต้าก็ต้องคิดถึงลูกว่าอนาคตของลูกจะเป็นอย่างไร เราต้องมีน้ำใจเสียสละต่อกัน เพื่อลูกเพื่ออนาคตของลูกไม่โกรธไม่เคืองกัน มีเรื่องอะไรนิดๆหน่อยๆ ลิ้นกับฟันมันก็ขบกันบ้างเป็นธรรมดา แต่มันก็ออกจากปากไม่ได้ ฟันก็ยังอยู่ ลิ้นก็ยังอยู่ ยิ่งคนใส่ฟันปลอมด้วยแล้วมันกัดบ่อยๆ เคี้ยวๆเผลอมันกัดลิ้นได้ เคี้ยวๆเผลอมันกัดกระพุ้งแก้มได้ เพราะอย่างนั้นเวลาเคี้ยวอาหารนี้ต้องระวังที่สุด เผลอไม่ได้ เผลอมันก็ถูกกัดทุกที แต่ว่ามันก็อยู่กันต่อไปทั้งฟัน ทั้งลิ้น ทั้งกระพุ้งแก้ม มันก็อยู่ประนีประนอมกันต่อไป เป็นบทเรียนเป็นเครื่องสอนใจ ว่าเราที่อยู่กันตั้งแต่สองคนขึ้นไปมันต้องอดออม ถนอมใจแก่กันและกัน เรียนรู้นิสัยแก่กันและกัน อย่าขัดคอกัน อย่าขัดแย้งกัน ในเรื่องอะไรๆต่างๆ มีอะไรเกิดขึ้น ก็คนฝ่ายหนึ่งหยุดซะบ้าง อดไว้ ทนไว้ นั่งนิ่ง นั่งเฉย ไม่แสดงอาการอะไรออกมาให้อีกคนหนึ่งกระทบกระเทือนจิตใจ พูดจากันด้วยคำพูดที่อ่อนหวาน สมานใจ หัดยิ้มหัดต่อสู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่มันจะรุนแรงก็เบาไป ไม่เกิดความรุนแรงอะไร เพราะความที่ได้ประพฤติธรรม ก็ธรรมะที่เราประพฤติก็ไม่มีอะไรคือ “ขันติ” นั่นแหละ ความอด ความทน อะไรเกิดขึ้นก็อดได้ ทนได้ ไม่รุนแรงโต้ตอบ แม้เค้าจะพูดออกมาด้วยถ้อยคำที่ไม่น่าฟัง เราก็ฟังแล้วให้มันผ่านพ้นไป เข้าหูซ้ายออกหูขวา เข้าหูขวาออกหูซ้าย อย่าเก็บไว้ อย่าถือเป็นอารมณ์ ให้นึกว่าน่าสงสาร พ่อบ้านนี้เป็นคนน่าสงสาร ที่มีอาการเช่นนั้น เพราะเรียกว่าเป็นคนป่วยนั่นเองคนที่ทำอะไรไม่ค่อยปกติเป็นคนป่วยทั้งนั้น ไม่ได้ป่วยทางกายแต่มันป่วยทางใจ
ไอ้โรคทางใจมันหนักว่าโรคทางกาย ไอ้โรคทางกายเป็นขึ้นมามันก็มองเห็นชัด แล้วก็พาไปหาหมอให้ช่วยรักษาได้ แต่โรคทางใจนี้มันอาจจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ความวิปริต ผิดปกติ แห่งความคิดความนึกมันเกิดขึ้นในใจ แล้วก็พ้นออกมาเป็นคำพูด เป็นกริยาท่าทาง ตึงตังโผงผางอะไรต่างๆ เราเห็นแล้วก็ โอ! นี่เป็นโรคแล้ว น่าสารแล้ว ถ้าเราจะไปโกรธขึ้นอีกคนหนึ่ง ไปเกลียดขึ้น นี้มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร มันจะเพิ่มของแสลงให้คนนั้นเป็นโรคมากขึ้น เราควรจะทำอย่างไร เราก็ควรจะใจเย็น อดได้ทนได้ไม่ทำอะไรที่รุนแรง แต่ว่าอยู่ด้วยอาการสงบ หรือว่าชวนพูดชวยคุยในเรื่องที่มันจะเปลี่ยนอารมณ์ให้เป็นเรื่องสนุกสนานอะไรไปตามเรื่องตามราว ให้สภาพความขมขื่นมันเปลี่ยนไปเป็นอ่อนหวานเสีย เรื่องมันก็ไม่มีอะไร ไม่มีปัญหา บางทีแม่บ้านตึงตังโผงผาง พ่อบ้านก็นั่งเฉยๆ หยิบหนังสือธรรมะขึ้นมาอ่านเสีย ถ้ามีเทปธรรมะอยู่ใกล้ๆก็อัดเข้าไปในเครื่องแล้วก็เปิดเทปธรรมะให้มันดังๆ เพื่อจะได้มีเสียงธรรมะไปเข้าหูคนที่กำลังวิปริตบ้าง กำลังจิตใจผิดปกติอยู่ จะได้เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจเข้าหาคุณธรรมความงามความดีกันเข้าไป อย่างนี้เรียกว่าอยู่ด้วยกันถ้อยทีถ้อยแก้ไขกัน ตักเตือนกันพูดจากันด้วยความสุภาพเรียบร้อย มันก็ไม่มีปัญหาอะไร ลูกเต้าก็สบายใจ คนใช้ก็สบายใจ คนบ้านใกล้เรือนเคียงก็สบายใจ เพราะไม่ได้ยินเสียงกระโชกโฮกฮาก ไม่ได้ยินเสียงคำราม หรือไม่ได้ยินเสียงทุบตีกันหัวร้างข้างแตก ทุบถ้วยทุบจานแตกอะไรต่างๆ แตกแล้วก็ต้องไปซื้อเองนะ ไม่มีใครซื้อให้นะ เราก็ต้องไปซื้อมาใช้ต่อไป แล้วมันได้อะไรขึ้นมาจากการที่จิตมันวิปริตอย่างนั้น มันไม่ได้เรื่องอะไร ถ้าเราทำสักครั้งหนึ่ง ก็ควรจะคิดว่านี่มันเป็นบทเรียน เป็นของสอนใจเราไม่ให้กระทำอย่างนี้ ตัวเราเองก็ร้อนใจมีความกลุ้มใจ หน้าตาเศร้าหมองไม่ผ่องใส อะไรๆมันก็เสื่อมไปหมด เหมือนกับว่าอะไรมันเกิดขึ้นแล้วได้ทำให้เป็นอย่างนั้น ก็ควรจะได้จำไว้เป็นเครื่องพิจารณา เวลามันพ้นไปแล้วก็ยกมาพิจารณา พิจารณาด้วยปัญญา ด้วยความเข้าใจอันถูกต้อง แล้วก็จำเหตุการณ์นั้นไว้ว่า มันไม่ควรจะเกิดขึ้นแก่เราอีกต่อไป เราควรจะใจเย็นกว่านี้ ควรจะสงบกว่านี้ ควรจะมีปัญญามากกว่านี้ มีความอดทนมากกว่านี้ แล้วก็แก้ไขไปเรื่อยๆ
คนเรามันต้องอยู่ด้วยการแก้ไขปรับปรุง ถ้าไม่มีการแก้ไขปรับปรุงอะไรมันก็ดีขึ้นไม่ได้ เครื่องมือใช้สอยก็ต้องแก้กันอยู่ตลอดเวลา นาฬิกาก็ต้องแก้ เครื่องไฟฟ้าก็ต้องแก้ อะไรๆที่เราใช้มันต้องแก้ไขปรับปรุงกันอยู่ ถ้าแก้ไม่ได้ก็เอาไปโละทิ้ง เป็นกองขยะมูลฝอยไป มันแก้ไม่ได้แล้ว แต่ถ้ายังพอแก้ได้ก็แก้กันไปตามเรื่องตามราวให้มันพอใช้ได้ต่อไป แก้วัตถุภายนอกยังไม่สำคัญเท่ากับแก้ตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเองยกระดับจิตใจของเราเองให้มันสูงขึ้นๆจนพ้นจากความท่วมทับของความชั่วความร้าย ไม่ให้ความชั่วท่วมใจ ไม่ให้กิเลสท่วมใจ อะไรต่างๆที่จะมาท่วม มันไม่ท่วมเพราะว่าใจเราสูง เราคอยยกระดับไว้ ให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างนี้มันก็ปลอดภัย เพราะเราได้ใช้ธรรมะเป็นหลักในการปฏิบัติ เข้าหมั่นดูตัวเอง หมั่นพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเองไว้ เรื่องมันก็จะได้มีความถูกต้อง มีความเรียบร้อยขึ้นมา อันนี้เป็นเรื่องที่แก้ได้ ถ้าเราคิดจะแก้ แต่ว่าบางทีไม่คิดจะแก้ เป็นอยู่อย่างนั้นไม่ยอมแก้ไข ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง แม้จะได้ฟังใครสอนใครเตือน ก็ไม่เอามาเป็นบทเรียนเป็นเครื่องเตือนใจ จะดันทุรังไปอันนั้นเรื่อยไป อย่างนี้เค้าเรียกว่าเป็นคนดื้อ เด็กดื้อนี้อย่างหนึ่ง ผู้ใหญ่ดื้อนี้มันอย่างหนึ่ง คนฉลาดดื้อนี้มันอีกอย่างหนึ่ง
คนฉลาดบางคนดื้อเหลือเกินมีทิฐิ มีมานะไม่ยอมใครทั้งนั้น นึกว่าตัวเก่งนึกว่าตัวถูกอยู่ตลอดเวลา ไม่มีคิดแก้ไขอย่างนี้ลำบาก เค้าเรียกว่ามีทิฐิ “ทิฏฐุปาทาน” คือความยึดถือในทิฐิในความคิดความเห็น พูดง่ายๆว่าสำคัญตนผิดนั้นเอง สำคัญตัวว่าเป็นผู้รู้ แต่ไม่รู้อะไร สำคัญตัวว่าฉลาดแต่โง่อยู่ตลอดเวลา สำคัญตัวว่าเก่งแต่เก่งไม่ถูกทางไม่ได้สร้างคุณงามความดีให้เกิดขึ้นในจิตใจ อย่างนี้มันเป็นเรื่องความเข้าใจผิด ติดอยู่ในสันดานไม่คิดเอาออกเพราะไม่เคยพิจารณา ไม่เอากระจกธรรมะมาส่องให้มันละเอียดเข้าไปในจิตใจของเรา ว่าอะไรมันเกิดขึ้น อะไรตั้งอยู่ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวเรานั้นมันมีสภาพอย่างไรทำให้ร้อน ทำให้เย็น ทำให้สุข ทำให้ทุกข์ทำให้มีอาการขึ้นๆลงๆ เต้นเร่าๆเหมือนคนผีสิง มันเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร เราก็ต้องคอยพิจารณาศึกษาตัวเราเอง วันไหนหยุดงานหยุดการ ก็ควรจะใช้เวลาสำหรับที่จะนั่งสงบใจ แล้วก็พิจารณาตัวเองตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเองเสียบ้าง ดูความบกพร่องของตัวแล้วก็ต้องยอมรับ คนเราบางทีมันเสียตรงนี้โยม ไม่ยอม ไม่ยอมรับว่าตัวผิด ไม่ยอมรับว่าตัวไม่ดี นึกว่าตัวดี ตัวเก่งอยู่ตลอดเวลา นี้คือความเข้าใจผิด ทำให้เกิดเป็นปัญหาเขาเรียกว่ามี“มานะ” มีความถือตัว แล้วก็เกิดความดื้อด้านไม่ยอมฟังใครทั้งนั้น ใครจะพูดจะสอนก็ไม่ฟัง บางทียังพูดกลับว่า อย่ามาสอน ผมรู้แล้ว ไม่รู้!!! คนอย่างนี้มันไม่รู้หรอก ที่บอกว่ารู้แล้วคือยังไม่รู้อะไร ไอ้คำว่า“ผมรู้แล้ว” มันเป็นตัวทิฐิ ตัวมานะที่เกิดขึ้นในใจ ไม่ยอมรับฟังใคร จึงพูดออกไปว่ารู้ ความจริงไม่รู้ รู้ก็รู้ผิด ไม่รู้ตามความเป็นจริง แล้วก็ไม่ยอมรับ ถ้าไม่ยอมรับจะสอนได้อย่างไร เพราะไม่ยอมฟังคำสอน ไม่เอาไปดูตัวเองเหมือนเขาแจกกระจก ไม่ยอมรับกระจก แจกมาแจก เอาคนละบานๆ แต่ไม่ยอมรับ กลับพูดว่า เฮ้ย!กระจกผมมีแล้ว แต่เป็นกระจกที่แตกๆร้าวๆ มันมัวๆ มองอะไรไม่ค่อยเห็น มันมีแต่มันไม่ได้เรื่อง ใช้ไม่ได้มีฝ้าแผ่นปิดบังมองอะไรก็ไม่ชัดไม่แจ๋ว ทีนี้เขาเอาของดีมาแจกให้เป็นกระจกวิเศษ จะได้เอาไปส่องดูตัวบ้าง ไม่ยอมรับ จะรับไปก็ไม่ใช้ เอาไปใส่กระเป๋าเสียนี่! แล้วเอาไปโยนไว้ที่มุมห้อง ไม่เอามาใช้เป็นเครื่องส่องดูตัวเองพิจารณาตัวเอง อย่างนี้มันก็ไปไม่ได้ ความดื้อนี้เป็นตัวร้ายที่เกิดขึ้นในจิตใจคน คือไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น ที่ไม่ยอมรับเพราะนึกว่าฉันรู้แล้ว ฉันเก่งแล้วอะไรอย่างนั้นแหละ เลยไม่ยอมรับ พอใครพูดอะไรก็ เฮ้ย!อย่าพูด ผมรู้แล้ว ไอ้นี่แหละไม่ได้เรื่องมันรู้ทุกเรื่องแต่ไม่ได้เรื่องซักอย่าง รู้แต่ไม่ได้ทำตามที่รู้ ไม่ได้เอาความรู้นั้นมาใช้แก้ไขปัญหาชีวิต จึงพูดออกมาเช่นนั้น และคำพูดที่ออกมาว่า อย่าเถอะ! อย่าสอนเลย ผมรู้แล้ว เป็นคำพูดที่เรียกว่าทิฐิมานะ ไม่ยอมรับฟังใคร ไม่ยอมเชื่อใคร นึกว่าตัวดีตัวเก่ง ปิดประตูหมดเลย ปิดหมด ออกซิเจนเข้าไม่ได้ มันก็ตายกันเท่านั้นเอง
ถ้าเราเข้าไปในตู้แล้วก็ปิดตู้เสียมันก็ตาย เหมือนเด็กมันเล่นซ่อนหากันที่สงขลามันเล่นซ่อนหาบังเอิญมันมีตู้ ตู้เย็นนะ แต่มันเขาไม่ได้ใช้แล้ว เอามาทิ้งไว้ที่บริเวณนั้นมันไปเห็นก็กูจะต้องซ่อนที่นี่ มันมิดชิดดี ไม่มีใครเห็น แล้วมันเข้าไป พอเข้าไปแล้วมันเปิดออกไม่ได้ ไม่มีออกซิเจนเข้าไปมันก็ตาย ไอ้เพื่อนก็เที่ยวหา หาว่าเพื่อนกูไปซ่อนตรงไหน มันซ่อนมิดชิดจริงๆ ก็ไม่ได้นึกว่าเพื่อนเข้าไปอยู่ในตู้เย็นใบนั้น เที่ยวหารอบๆดูไปๆดูใต้ถุน ดูห้องครัว(44:26)ไม่เจอ ไม่เจอก็กลับบ้าน ทุกคนกลับบ้านแต่เด็กคนนั้นไม่กลับบ้าน เพราะไปนอนคุดคู้อยู่ในตู้เย็นใบนั้น แล้วปิดแล้วมันเปิดออกไม่ได้ มันอยู่ข้างในมันดันออกไม่ได้ ตู้เย็นออกไม่ได้ จนกระทั่งว่าเน่าเหม็นออกส่งกลิ่นออกมา คนเขาก็ว่าเอ๊ย!ตรงนี้ทำไมมันเหม็นๆเหมือนกับศพเลย เลยก็มาเปิด อ้าว!ไอ้เด็กคนหนึ่งเข้าไปนอนตายอยู่ในตู้นั้นแล้ว เพราะมันไม่มีออกซิเจนจะช่วยทำให้การหายใจดีขึ้น คนเราบางทีมันก็ปิดประตูขังตัวเองอย่างนั้น คือปิดหูไม่ยอมฟัง ปิดตาไม่ยอมดู ปิดใจไม่ยอมรับคำแนะ คำสอน คำเตือนของใครๆ เพราะมีความคิดอยู่ในใจว่าฉันรู้แล้ว อย่ามาสอนฉันเลยไอ้เรื่องอย่างนั้น ฉันรู้อยู่ตลอดทุกอย่าง แต่ว่าเพียงสักว่ารู้ แต่รู้ไม่ถูกต้อง รู้ไม่จริง รู้ไม่เป็นประโยชน์ เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากทิฐิมานะ คือความสำคัญผิดในตัว ความดื้อความกระด้าง ความแข็งตัวไม่ยอมรับฟังใคร อันนี้มันเสียหาย พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงให้พรแก่คนทุกคน เวลารับพรจากพระมันมีคำสำคัญอยู่ตอนท้าย ท่านกล่าวว่า
"อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง" แปลว่า สิ่งสี่ประการ คือ อายุ วรรณะ สุข และกำลัง ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นปกติ
หลักมันอยู่ที่ตรงนั้นว่า อายุวรรณะ สุข และกำลังนั้น ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นปกติ คนที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนนั้น อายุเจริญ ผิวพรรณเจริญ กำลังเจริญ ความสุขเจริญ แต่ว่าดี ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าความอ่อนน้อมถ่อมตัว เข้าไปใคร ใครก็อ่อนเข้าไป ยอมรับฟังคำแนะคำสอน ยอมรับเอาไปปฏิบัติ อ่อนน้อมถ่อมตัว เป็นคนไม่หยิ่งไม่จองหอง ไอ้คนหยิ่งมันก้มหัวให้ใครไม่ได้ ก้มไม่ได้ ไหว้ใครไม่เป็น ก็นึกว่าฉันอย่างนั้น ฉันอย่างนี้ ฉันมันหลายเรื่อง เป็นหลายเรื่อง แล้วก็ไม่ก้มหัวให้ใคร หนักหัว ก้มไปนิดหน่อย พยักหน้านิดหน่อย ไม่ค่อยสุภาพไม่ค่อยเรียบร้อย แสดงความเคารพก็กระด้างกระเดื่อง แสดงว่าในใจนั้น ฉันไม่ยอมรับแต่ฉันทำไปนิดหน่อย ตามธรรมเนียมตามประเพณีเท่านั้นแหละไม่ได้ทำด้วยความอ่อนน้อมจริงๆ ไม่ยอมรับคำสอนคำเตือนของใครๆ เขาพูดอะไรให้ฟังก็เมินหน้าไปเสีย ไม่ยอมรับฟัง ไม่ค่อยสนใจไม่เอาไปใช้ เป็นหลักในชีวิตประจำวัน นี่ก็เพราะว่าไม่อ่อนไม่น้อมไม่ถ่อมตัว ทำให้เป็นคนแข็งกระด้างไอ้ความแข็งกระด้างนี่แหละมันเป็นตัวปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเราไม่ยอมรับฟังเสียงใคร ไม่ยอมรับคำแนะนำจากใครๆ ใครจะพูดจาแนะนำตักเตือนไม่ยอมทั้งนั้น มันดันของมันไปคนเดียว นี่มันคืออย่างนั้น
เด็กๆที่สอนไม่ได้พ่อแม่พูดไม่รู้เรื่อง อันนี้จะไปโทษเด็กมันก็ไม่ได้นะแต่ว่าพ่อแม่ไม่มีอุบายในการที่จะชี้แนะชักจูง แนะนำ พร่ำสอน เอาแต่ดุแต่ว่า ถ้าลูกทำผิดอะไรก็ดุกันไป ทำไมถึงทำอย่างนั้น ไอ้แกมันอย่างนั้น ไอ้แกมันอย่างนี้ เอาแต่เรื่องดุเรื่องว่า เด็กก็ไม่ค่อยชอบคำพูดเช่นนั้นเลยไม่รับฟัง เพราะแม่ก็มีแต่ขี้โกรธโมโหโทโส เห็นลูกทำอะไรไม่ถูกก็เรียกมาด่าไปแดกไปอะไร ไอ้เอ็งนะมันอย่างนั้นอย่างนี้ มีแต่เรื่องเสียทั้งนั้น แช่งให้ลูกเสียทั้งนั้น ว่าแต่ลูกไม่ดีทั้งนั้นแหละ เด็กมันจะดีกันได้อย่างไร ก็เรามันยังไม่ดี แล้วจะให้ลูกมันดีได้อย่างไร พ่อแม่มันต้องดีก่อน ต้องสอนลูกด้วยความสุภาพและความนุ่มนวล เรียกเข้ามาใกล้ๆเอามือลูบหลังลูบหน้า แสดงความรักความเอ็นดูแล้วค่อยพูดค่อยจา อย่าเอาน้ำไปสาดลง เหมือนเอาน้ำร้อนไปสาดลงบนหลังสุนัข สุนัขมันก็วิ่งเตลิดเปิดเปิงไปเท่านั้นเอง แต่ว่าถ้าเราเอายาดีๆมาทาให้มันค่อยสบายๆ เด็กมันก็เหมือนกัน ถ้าทำอะไรผิดเราอย่าโมโหโทโส ถ้าเราไปโกรธไปเคือง แสดงอาการหุนหันพลันแล่น เด็กมันก็ไม่ชอบ ถ้ามันไม่อยากฟังคำสอนคำเตือน มันก็ดันขอมันไปตามเรื่องตามราว อย่าไปบ่นว่าลูกมันดื้อ ก็มาบ่นให้ฟังบ่อยๆ มาถึงเอาลูกมาด้วย “มันดื้อเหลือเกินเจ้าค่ะ พูดก็ไม่รู้เรื่อง” อย่าไปว่าอย่างนั้น ลูกมันไม่ดื้อหรอก แต่แม่มันสอนให้ลูกดื้อ มันจึงเป็นอย่างนั้น ต้องค่อยๆพูดค่อยจาสิ พูดกับเค้าดีๆ ใช้ว่าจาอ่อนหวานใช้ความสุภาพนิ่มนวล “ชมให้เขาทำดี ดีกว่าด่าให้เขาทำชั่ว” เรามันไม่ค่อยชมให้เขาทำดี แต่มีด่าให้เขาทำชั่ว คำที่ออกมาแต่ละคำมันบาดหู บาดใจ กิริยาก็บาดตา แล้วเด็กมันจะรับฟังได้อย่างไร ถ้าเราทำอย่างนั้น ฉะนั้นเราอย่างแสดงอาการอย่างนั้นแก่เขา ค่อยพูด ค่อยจาแนะนำพร่ำเตือน เขาก็จะได้เกิดความสำนึกโดยส่วนตัว เขาจะได้คิดว่าโอ้! แม่รักเรา พ่อรักเรา คุณยายรักเรา คุณย่ารักเรา เขาก็รักตอบบ้าง แต่ถ้าทุกคนเกลียดทั้งนั้น เกลียดเพราะว่ามันทำไม่ถูก เขาก็เลยเกลียดมัน ว่ามัน พอเจอหน้าก็ด่าเอาว่าเอา จิกหัวเข้าไป เหมือนไก่เจาะตาแมง(50:56) ตาหนูอะไรแบบนั้น ไม่ถูกต้อง เราทำไม่ถูกลูกมันจึงไม่ดี มันต้องศึกษาทำความเข้าใจ อ่านหนังสือรักลูกให้ถูกทางเสียบ้าง นี่เค้าพิมพ์ใหม่ พิมพ์ออกมาอยู่ที่สำนักงานใครอยากจะอ่านก็ไปซื้อมา ไม่แจกเล่มมันถูกแจกไม่ได้ เอาไปอ่านแล้วก็เอาไปใช้ในการอบรมบ่มนิสัย
ไปที่ประเทศอเมริกา คนหนึ่งเขามีลูก แล้วเขาบอกว่าจะสอนลูกอย่างไร บอกว่าจะส่งหนังสือมาให้ ตอนนี้ส่งไปแล้ว ส่งทางเมล์อากาศมันไวหน่อย ๒เล่ม เสียค่าส่งไปเรียบร้อย ป่านนี้คงจะถึงแล้ว อยู่ที่เมืองลอสแองเจลิส ส่งไปให้เขาอ่าน จะได้ศึกษาวิธีการเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้าเขา จะได้ทำแล้วมันดีขึ้น เป็นอย่างนั้น เราต้องศึกษา ต้องฟัง ในโทรทัศน์เขาก็ออกบ่อย ออกเรื่องเกี่ยวกับเด็ก เรื่องเลี้ยงเด็ก เรื่องอะไรต่ออะไรของเด็ก น่าฟังนะ แต่ว่าบางคนไม่ค่อยมีเวลา มันออกเวลาที่ไม่ค่อยว่าง แต่เขาก็สอนอยู่ เราไม่สนใจฟังก็ได้ แต่ไปปรึกษาหมอ ให้เค้าแนะนำในเรื่องสุขภาพเรื่องอนามัย แต่ทางด้านจิตใจก็มาปรึกษาพระ ให้พระช่วยสอนช่วยเตือน ช่วยชี้แนะแนวทางให้ อะไรมันก็จะดีขึ้น เราต้องช่วยกันแก้ไข ช่วยกันปรับปรุง
เวลานี้บ้านเมืองของเราต้องการสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุด คือต้องการให้คนในชาติในบ้านเมืองช่วยกันทำความดี ช่วยกันประพฤติธรรม ถ้าทุกคนในชาติช่วยกันประพฤติธรรมแล้ว ปัญหามันน้อย มันไม่มีปัญหา ความเป็นประชาธิปไตยมันจะเกิดไม่ได้ ถ้าคนในชาติไม่มี “ธรรมาธิปไตย” ไม่ถือธรรมเป็นใหญ่ ไม่เอาธรรมะมาเป็นหลักครองใจ ครองงาน ครองคน มันก็มีปัญหากันเรื่อยไป แก้ไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าเรานำธรรมะมาใช้แล้วก็จะดีขึ้น จึงต้องช่วยกันเอาธรรมะเข้าไป ต้องช่วยกันศึกษา แล้วก็ช่วยกันปฏิบัติ ช่วยกันชักจูงโน้มน้อมจิตใจเพื่อนฝูงมิตรสหายให้ได้หันหน้าเข้าหาธรรมะกันมากขึ้น
เรารักเพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนให้เป็นคนดี ไม่ใช่รักเพื่อนแล้วชวนกันไปกินเหล้าเมายาเสเพลเฮฮา รักเพื่อนแล้วไปนั่งล้อมวงเล่นไพ่กันทุกเสาร์-อาทิตย์ อันนี้มันรักกันยังไง ตัวเองก็ไม่รักตัวเอง แล้วจะไปทำให้เพื่อนเสียหายด้วย ทำให้ครอบครัวมีปัญหา ทำอย่างนั้นมันไม่ถูกต้องแต่เราควรจะช่วยกันชักจูงแนะนำ ถ้าหากว่าเราพูดเองไม่ได้ ก็เกรงใจเพื่อน ก็พามาวัดสิ มาหาหลวงพ่อนี้ก็ได้ พาเขามา แต่ว่าก่อนมาก็ต้องมาบอกให้รู้ว่าจะพาเพื่อนมา แล้วบอกให้รู้ว่าเพื่อนเป็นโรคอะไร มีสภาพชีวิตอย่างไร มีปัญหาอะไร บอกให้รู้ล่วงหน้า แล้วก็มาก็ค่อยพูดค่อยจาแนะนำพร่ำเตือนไป ให้เป็นการเรียบร้อย เพื่อนก็ค่อยได้รับแสงสว่างทางธรรมะบ้าง จะดีขึ้น อย่าพาเพื่อนไปหาหมอดูเลย ไอ้นี่มันแย่สะเดาะเคราะห์ให้มันหน่อย ช่วยรดน้ำมนต์ให้มันหน่อย ไอ้อย่างนี้ยิ่งฉิบหายหนักเข้าไปอีก ไม่ได้เรื่องเลย ก็พาเพื่อนไปหาสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง แล้วเพื่อนจะดีขึ้นได้อย่างไร เราต้องนำไปหาแสงสว่าง ให้พระช่วยสอนช่วยเตือน เอาเทปธรรมะไปฝากเขาบ้าง เปิดฟังนะ ก็ได้ฟัง ถ้าพบกันถามว่าเปิดฟังรึยังเรื่องนั้น เอ้ย!ยังไม่ได้เปิดฟังถามบ่อยๆ เพื่อนรำคาญมันก็เปิดฟังเอง วันหลังก็เปิดฟัง แล้วก็ชวนมาวัดบ่อยๆวันอาทิตย์ก็ชวนเพื่อนมา ถ้าเรามีรถยนต์ก็ขับเฉียดไปนั่งบ้านเขาบ้าง เอ้า!ไปวัดกัน ไปฟังธรรม ช่วยนำคนบรรทุกมา เอาเพื่อนมาวัดแล้วเอาไปส่งบ้าน มาบ่อยๆก็เกิดชอบใจ ติดใจ เพราะมีความสุขมีความสบายขึ้น เขาก็มาวัด มาบ่อยๆ เราก็เรียกว่า เป็นผู้สงเคราะห์เพื่อนด้วยธรรม สงเคราะห์เพื่อนช่วยเหลือเพื่อนด้วยธรรมะนั่นแหละประเสริฐที่สุด เอาของไปให้เขากินเขาใช้ช่วยแต่ร่างกาย ไม่ช่วยถึงจิตวิญญาณ แต่ถ้าเราชักจูงเพื่อนเข้าหาธรรมะ เรียกว่าช่วยเขาทุกประการ
ฤดูกาลเข้าพรรษาใกล้จะมาถึงแล้ว ตอนนี้ก็จะบวชนาค พรุ่งนี้ก็บวชนาคกันเป็นการใหญ่ บวชตอนเช้า บวชทุกวันที่๖ ที่๗ ที่๘ ที่๙ ที่๑๐ บวช ๑๐วัน(นาทีที่ 55.58หลวงพ่อพูดผิดท่านได้แก้ไขแล้ว ดังนั้นตัดข้อความสีแดงออกได้)บวช ๕วัน วันหนึ่งก็ราว ๓๐นาค ๒๐นาค ตามโอกาส บางคนอยากจะบวชวันเสาร์ อยากจะบวชวันอาทิตย์ บอกไม่ได้ ที่นี่บวชตามชอบใจไม่ได้ มันต้องบวชตามตารางตั้งไว้ว่าบวชวันนั้นๆเสร็จ ทุกคนเข้ามา ไม่ต้องเอาเพื่อนมาบวชมากๆเป็นไรไม่ต้องบอกแขกบอกเหรื่อก็ได้ ให้พ่อแม่มาก็แล้วกัน แต่ถ้าชวนเพื่อนมาด้วยมันก็ดี เพื่อนมันจะได้มาฟังธรรม ได้มาเห็นการบวชในวัดชลประทานว่าเขาบวชกันอย่างไร ทำอย่างไร ประหยัดอย่างไร เราก็จะได้เห็น ได้เอาไปเล่าไปคุยกันที่อื่นต่อไป
พรุ่งนี้ก็เริ่มบวชเวลา ๗โมงครึ่ง ก็เริ่มประชุมที่ลานไป มาเทศนาสั่งสอนอะไรกัน ขนาด๘โมงก็บวช ก็เข้าโบสถ์ บวชในลานไปบวชเป็นสามเณร แล้วก็เอาเข้าโบสถ์ไปบวชเป็นพระ บวชพระต้องบวชในสีมา บวชสามเณรนี้บวชใต้ต้นไม้ไหนก็ได้ บวชเสร็จแล้วก็ไปบวชพระกันต่อไป ทำอย่างนี้ทุกปี แต่ปีนี้คนบวชเพียง ๑๐๙รูป ๑๑๐-๑๑๒ ไม่มาก ปีก่อนนี้ ๑๕๐-๑๖๐ ปีนี้น้อยไปหน่อย เพราะว่าให้ท่องให้สอบ พามาลงชื่อไว้หลาย แต่หายไปก็เยอะไม่ท่องไม่สอบ เวลาถึงวันจะบวชก็มาบอกว่าแบบมันมีธุระไม่ได้ท่อง ใช่ไหม? จะมาแก้ตัวอย่างนั้น กลางคืนมันว่างมันทำไมไม่ท่อง ถ้ามาฝืนแกไม่ยอม แกจะให้ไปจัดการเรื่องนี้ไป เรื่องก็จะดีขึ้น วันนี้ก็พูดมาสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕นาที