แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้วันที่ ๑๙ เดือนพฤษภาคม อาตมาก็มีอายุเพิ่มขึ้น ๘๐ ปีกับ ๘ วัน หรือ ๙วันก็ได้ อายุนี้มันก็ผ่านไปเรื่อยๆเพราะโลกหมุน โลกหมุนทำให้เกิดกลางวันกลางคืน เมื่อมีกลางวันกลางคืนก็เกิดเวลาขึ้น เวลาเป็นเครื่องวัดความเป็นอยู่ของสิ่งต่างๆว่าเกิดขึ้นเมื่อใด แล้วก็มาบัดนี้เป็นเวลาเท่าไหร่ เวลานั้นเรียกว่าอายุ คนเราจึงมีอายุด้วยกันทุกคน ความมีอายุก็คือความแก่นั้นเอง เพราะว่ามีอายุมากขึ้นก็เรียกว่า แก่มากขึ้น เป็นเด็กน้อยๆอายุน้อยก็เรียกว่าแก่น้อย แล้วก็แก่มากแก่ขึ้นมากขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งแก่งอม แล้วโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนก็ถึงแก่กรรมไป เมื่อตอนเช้านี้มีโยมมาจากเชียงใหม่มาทำบุญ เพื่อให้คุณแม่ได้มีใจในการทำบุญส่วนนั้นบริจาคทรัพย์ ๒๖๒,๐๙๐บาท เมื่อคุณแม่อายุครบ ๑๐๐ วัน เอ้ยไม่ใช่ ๑๐๐ ปี ครบ ๑๐๐ ปีในวันนี้ อายุ ๑๐๐ ปี เลยถามว่าอายุ ๑๐๐ ปี เป็นอย่างไร ความรู้สึกเป็นอย่างไร บอกว่าก็เลือนๆหลงๆ ทำอะไรก็ไม่ค่อยได้ ต้องนอนอยู่กับที่ นั่นเป็นเรื่องธรรมดา อิริยาบถสุดท้ายของชีวิตก็คือการนอน เมื่อเกิดใหม่ก็นอนเหมือนกัน ออกมาจากท้องแม่ก็นอน แล้วคนก็ไปอุ้มขึ้นเอาไปลงในอ่างน้ำ อาบน้ำให้ ถ้าไม่ร้องก็ไปเคาะให้มันร้อง เพื่อแสดงว่ายังมีชีวิต เมื่อมีชีวิตมาโดยลำดับจนกระทั่งแก่ชรา แล้วก็นอนอีก นอนจนที่สุดนอนไม่หายใจ เมื่อนอนไม่หายใจก็ถึงแก่กรรมไป ตามสภาพของชีวิต สรรพสิ่งทั้งหลายมีเกิดแล้วก็มีดับ ระหว่างเกิดระหว่างดับคือชีวิต ชีวิตก็คือตัวความเปลี่ยนแปลง ถ้ายังเปลี่ยนแปลงอยู่ก็เรียกว่ามีชีวิต ถ้าหมดความเปลี่ยนแปลงก็เรียกว่าหมดชีวิต เราเรียกว่าชีวิตดับไป ดับแล้วไปไหนเป็นเรื่องที่ไม่ต้องคิด เพราะไม่จำเป็นอะไรคิดไปก็ยุ่งเปล่าๆคิดมันก็ไม่รู้ไม่พบสภาพเช่นนั้นอย่างแท้จริง เราจึงไม่ต้องคิดว่าตายแล้วไปไหน เราควรคิดว่าอยู่อย่างไรทำอย่างไรคิดอย่างไรควรจะดำเนินชีวิตอย่างไรในขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ดีกว่า อย่าไปคิดว่าตายแล้วจะไปที่ไหนหรือจะไปเกิดที่ไหน คนที่พ่อแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วก็มักจะกังวล มาถามบ่อยๆ ถามว่าคุณแม่ดิฉันตายแล้วไปไหน หลวงพ่อก็บอกตรงๆว่าฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะว่าคุณโยมตายก็ไม่มาบอกว่าตายแล้วจะไปไหน ไอ้จะบอกก็เหมือนว่าพูดจาตอแหลไปเปล่าๆ ไม่ได้เรื่องอะไร ถ้าเป็นพระที่ชอบพูดอย่างนั้นท่านก็บอกไปตามเรื่องเพื่อเอาสตางค์ไม่ใช่เรื่องอะไร บอกว่าไปอยู่ที่นั่นที่นี่ ยังลำบากอยู่ขาดนั้นขาดนี่ แล้วญาติโยมก็ทำบุญให้ ทำบุญถึงกับซื้อรถยนต์ถวาย เพราะว่าตายไปแล้วไม่มีรถยนต์นั่ง ลูกหลานกลัวจะลำบากไปไหนมาไหนไม่สะดวก ไปซื้อรถยนต์ถวายพระตอแหลรูปนั้นคันหนึ่ง อย่างนี้มันเป็นเรื่องพูดไม่ได้ อาตมาพูดอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าพูดบอกว่าฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะโยมว่าคนที่ตายไปแล้วไปไหน ก็ไม่มาบอกเวลาตายก็ไม่มาบอก ไปอยู่ไหนก็ไม่มาบอก ไอ้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตายแล้วจะไปไหน รู้แต่เรื่องในปัจจุบันเรื่องอนาคตไม่รู้ ก็รู้เรื่องอดีต แต่อดีตถ้าเอามาคิดมากก็ยุ่งเหมือนกัน ทำไมเกิดปัญหา เกิดความทุกข์กลางใจ เราจึงไม่ควรคิดด้วยความอาลัยอาวรณ์ แต่ถ้าคิดเพื่อให้เกิดปัญญาก็คิดได้ เช่นเรามานั่งมนสิการทำในใจโดยแยกความคิดถึงชีวิตที่ผ่านมา
ในรอบวันเกิดของอาตมา ก็เวลาว่างก็นั่งคิดนั่งนึกว่า เรานี้เกิดมาเป็นมาอย่างไรไปมาอย่างไร เป็นมาอย่างนั้นอย่างนี้ ก็นั่งพิจารณาไป ว่าสมัยเป็นเด็กนั้นอยู่ในสภาพอย่างไร ความเป็นเด็กกับความเป็นอยู่ในเวลานี้แตกต่างกันอย่างไร ว่าเราเป็นเด็กอยู่ในทุ่งในนา อยู่ตามสภาพของคนบ้านนอก น้ำในบ่อจะไปกินเดี๋ยวนี้ก็ไปดื่มไม่ได้ จะไปอาบก็ยังไม่ค่อยได้บางแห่งเพราะจะคันผื่นไปทั้งตัว แต่เมื่อเด็กๆดื่มได้ น้ำในทุ่งนาเวลาเขาไถนาแล้วมันก็ขุ่นข้น เวลากระหายน้ำขึ้นมาก็ก้มลงไปเอามือกรอกดื่มไปก็สบายดี ท้องไส้ไม่เสีย ร่างกายเป็นปรกติ แล้วก็เลี้ยงวัวเลี้ยงควายกันไปตามเรื่อง ไม่มีแผนการณ์อะไร เพราะไม่มีใครวางแผนให้ว่าโตขึ้นจะไปเป็นอะไรจะไปทำอะไรเป็นไปตามเรื่องตามราว ไม่เหมือนหลวงวิจิตรวาทการ แกวางแผนให้แก่ลูกเสร็จ ก็เกิดวันแกเขียนไว้เลย ว่าลูกคนนั้นเกิดเดือนนั้นวันนั้น แล้วให้ชื่อว่าอย่างนั้น แล้วก็มีแผนว่าอายุเท่านั้นเรียนชั้นอนุบาล ชั้นประถม ชั้นมัธยม อุดมศึกษา วางแผนจนถึงเป็นดอกเตอร์ ลูกแกนี่ต้องเรียนเป็นดอกเตอร์ทุกคน แล้วก็เป็นไปตามแผนทุกอย่าง นั่นเรียกว่ามีพ่อแม่ที่เจริญด้วยการศึกษาสมัยใหม่ ก็วางแผนให้แก่ลูกได้ คุณพ่อคุณแม่ของอาตมานั้น แม้ว่าจะเป็นคนไม่ทันสมัยเหมือนคนปัจจุบัน มีความรู้แต่ก็เป็นความรู้ของคนในสมัยนั้น ยังไม่รู้ว่าจะวางแผนให้แก่ลูกอย่างไร แต่วางให้ง่ายว่าต้องให้เรียนหนังสือ จึงให้เรียนหนังสือเมื่ออายุเจ็ดขวบ ได้เล่าได้เรียนเขียน ก ข ก กา เอากระดานแผ่นยาวทำด้วยไม้ เอามาเขียนตลอดบรรทัด เขียนตัว ก ก่อน แล้วก็เขียน ข ค ง ว่าไปด้วยโดยลำดับ แล้วก็เขียนผสมสละ กอ กะ กา กิ กี กึ๊ก กือ กุ๊ก กู เก๊ก เก แก๊ะ แก โก๊ะ โก เก๊าะ กอ กั่ว เกึ้ย กำ กึง ก็ว่าไปตามเรื่องโดยตลอดแถว แล้วก็ผสมการอ่าน อ่านหนังสือ กน กาน กัน กิน กิน กืน กืน กุน กุน โกน กอน กวน เกียน ก็ว่าไปจนตลอดแล้วก็มาตรากง มาตรากก มาตรากม มาตราเกย แล้วก็อ่านหนังสือ วิธีสอนแบบโบราณนี่ก็อ่านหนังสือได้เร็วเหมือนกัน ก็เพราะผสมตัวไปหมด แต่ว่าต่อมาก็ได้เรียนแบบใหม่ แบบเรียนเร็วเล่มหนึ่งของทางราชการ เขาส่งไปไว้ที่วัดสิบเล่ม พอดีน้าชายบวชเข้าไป ก็เลยบอกว่ามึงไปหาตาหลวง ท่านสมภารเรียกว่าตาหลวง ไปขอหนังสือแบบเรียนเร็วมาสักเล่มหนึ่ง กูจะสอนให้ แล้วเราไปขอ ครั้งแรกท่านไม่ให้ ท่านบอกว่าของหลวง เขาให้มาไว้ที่วัด เข้าไม่ได้แต่ไปบอกได้ บอกว่าท่านบอกมาอย่างนี้ น้าบอกว่ามึงไปบอกว่าหลวงที่เขาให้ เขาให้เด็กเรียน ไม่ใช่เก็บมาไว้ในตู้เฉยๆ เลยไปบอกอย่างนั้น ท่านก็ให้เล่มหนึ่ง เอาไปอ่านแบบผสมตัวผันอักษร คอ คา ข่า ค่า ค้า ขา ค้า ข่า ข้า คา ค่า ค้า ไม่รู้ว่าเสียงสำเนียงเสียงอ่านเป็นอย่างไร แล้วก็เรียนแบบเรียนเร็วเล่มหนึ่ง อ่านเกือบจบจึงได้ไปเข้าโรงเรียน ไปเข้าโรงเรียนชั้นป.๑ ป.๒ ป.๓ ไปโดยลำดับ ฉันจบประถมแล้ว โยมก็นึกว่ายังเรียนต่อได้ก็พาไปเรียนมัธยม ก็เรียนไปอย่างนั้น ไม่ได้มีจุดหมายว่าเรียนไปไหนเรียนไปทำอะไร แล้วก็ไม่มีใครบอกว่าเรียนไปทำไม ก็เรียนไปตามหน้าที่ เรียนเรื่อยไป เรียนจนไปถึงชั้นม.๔ แต่ไม่ได้สอบก็เลยออกไป เพราะว่าต้องไปทำงานทำการ คุณพ่อไม่สบาย ไถนาไม่ได้ อาตมาก็โตพอจะจับหามยามได้ไล่วัวให้ลากคันไถได้ ก็ไปไถนา ก็ไปไถนาไปตามเรื่อง ทำนาเสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป
หลวงลุงมาเจอเข้า ก็เลยพาไปไปทำเรื่อยอย่างนั้น นั่งคิดๆดูชีวิตเรามันไปตาม มันคล้ายๆกับว่ามันไปตามเรื่องตามราว ไม่ได้มีแผนคิดว่าจะทำอะไรจะไปอย่างไร เหมือนวางแผนในการสร้างงานสร้างการในสมัยปัจจุบันนี้ แล้วก็ไปเรื่อยไป ไปอยู่ปีนังเรียนหนัง ไม่ได้เรียนหนังสือ ก็เป็นเด็กวัดหุงข้าวต้มแกงถวายพระ เพื่อนชวนไปภูเก็ตก็ไป ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรว่าจะไปอะไรเขาบอกไปโน้นไปหางานทำง่ายก็ไปกับเขา ไปเที่ยวทำงานทำการรับจ้างไปตามเรื่องตามราว ชีวิตมันก็ไปอย่างนั้น ต่อมาก็มีคนแนะนำให้ชวนให้ไประนอง ก็เลยไปเพื่อจะเป็นครูแต่ว่าไม่ได้เป็นครู ก็เลยให้บวชเป็นสามเณร ชีวิตมันเลยเข้าแนวแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้คิดว่าบวชทำไมบวชเพื่ออะไร บวชแล้วจะบวชไปถึงไหน ก็บวชไปเรื่อยๆ เรียนนักธรรมไปเรื่อยๆ ก็อายุ ๒๐ กลับบ้านเขาก็บวชพระ ความจริงจะไปเป็นครูต่อ แต่ว่าเพื่อนเขาจะมาเรียนหนังสือ ก็เลยเปลี่ยนความคิดว่าไปเรียนหนังสือดีกว่าไปเป็นครู มันก็ไปอย่างนั้น ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน แล้วก็ไป แต่ก็ไปเป็นนักเรียน เรียนนักธรรมเรียนบาลี เรียนไป ได้ข่าวพระโลกนาถเกิดความตื่นเต้น อยากจะไปต่างประเทศขึ้นมา ไม่ได้วางแผนไว้ ก็ไป ไปก็ไม่ตลอด ไปได้เพียงพม่าแล้วก็เดินทางกลับ กลับแล้วก็อยู่กรุงเทพไม่ได้ เพราะว่าไม่มีพระวัดไหนรับ หาว่าเป็นลูกศิษย์โลกนาถราวกับว่าเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิอะไรอย่างนั้น ความจริงสมภารถ้ามีหัวคิดน่าจะรับไว้ รับไว้ว่าพระองค์นี้มันมีความคิดแปลกๆไม่เหมือนเพื่อน น่าจะรับไว้เป็นลูกศิษย์เรียนหนังสือ แต่ปฏิเสธไม่รับก็เลยไม่ได้อยู่ ก็ไปอยู่สงขลา ก็ไม่ได้คิดว่าจะอยู่ทำไมอยู่อย่างไร อยู่ว่างๆก็พักไปตามเรื่อง หนังสืออ่านสักเล่มก็ไม่มี มีแต่คัมภีร์ใบลาน อ่านไม่ออกก็ไม่ได้เรียนหนังสือขอม เลยบอกรักหนังสือธรรมจักษุเอาไปอ่านๆไปเรื่อยๆ ต่อมาก็มีคนเอาหนังสือพุทธศาสนาไชยาไปให้อ่าน อ่านแล้วชักจะชอบใจเลื่อมใสในการทำงานของท่าน แต่ว่าเพื่อนคนหนึ่งเขาไปอินเดียได้ส่งจดหมายมาว่าให้ไปอินเดีย ก็ไปอีกนั้นหล่ะ ไปทำไมก็ไม่รู้ งัยก็ไป แต่ว่าไปไม่สำเร็จกลับมา เพื่อนคนนั้นไปอยู่สวนโมกข์ก็เลยติดสอยห้อยตามกันไปอยู่สวนโมกข์ เอาเข้ารูปเข้าแนวแล้ว ไปอยู่สวนโมกข์ก็ได้ความคิดได้อุดมการณ์จากท่านเจ้าคุณพุทธทาส แต่ว่าอยู่เพียง ๓ เดือนก็กลับไปอยู่สงขลา เป็นนักเทศน์พูดไปตามเรื่องเทศน์ไปเทศน์มา แต่เกิดมาอยู่กรุงเทพมาเรียนบาลีต่อ ก็เรียนไปอย่างนั้นไม่ได้มุ่งว่าจะให้ได้เข้าไปอยู่หรืออะไรต่ออะไร เรียนไปตามเรื่องเพราะว่าเวลามันมีก็เรียนไป แต่เรียนไปเรียนไปก็เอ๊เกิดสงคราม เกิดสงครามก็อพยพหนีสงครามไปอยู่สงขลาอีก เสร็จสงครามแล้วก็ไปอยู่มาเลเซีย ก็ไปของมันเอง เพราะว่าเขามีจดหมายมาขอพระ จดหมายมาตั้งอยู่ไม่มีใครอ่าน ก็เลยกลับบ้านไปเยี่ยมอาจารย์ อาจารย์ก็ว่ามึงอ่านเถอะ อ่านดูซิ เราก็อ่านว่าเขาต้องการพระ เออไม่รู้จะส่งใครไป เราบอกผมไปเองก็ได้ ก็เลยได้ไป ไปอยู่มาเลเซียอยู่ไปจะ ๒ ปี จากมาเลเซียท่านเจ้าคุณพุทธทาสส่งจดหมายไปให้กลับขึ้นมาเมืองไทย จะส่งมาเชียงใหม่ก็เลยไปเชียงใหม่ เมื่อไปอยู่เชียงใหม่เรียกได้ว่าเริ่มมีแผนงานจริงจังขึ้นมา ทำงานอย่างจริงจังที่เชียงใหม่โดยการเทศนามีแนวคิดวางแผนว่าจะเทศน์อย่างไรจะสอนอย่างไรควรจะให้ชาวพุทธรู้อะไรเรื่องทำงานที่นั้น ๑๐ ปีเลยเข้ามาอยู่วัดชลประทาน เขานิมนต์ให้มาอยู่ แต่ก็มาอยู่แล้วก็นึกว่าควรทำอะไรให้มันมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปบ้าง ก็เลยทำตามที่โยมเห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้
อันนี้เป็นเรื่องที่ผ่านมา นั่งคิดนึกในเวลาว่างๆว่าเรามันมา มันเรียกว่าพุทธ พูดตามภาษาว่ามันพุทธมากกว่า ก็ไม่ได้มีการแผนการณ์ว่าจะอยู่อย่างไรจะทำอะไรเป็นเวลาหลายปีจึงได้เกิดความคิดวางแผนชีวิตขึ้นมา วางแผนจริงๆก็ตอนไปอยู่เชียงใหม่ เพื่อเทศนาสอนคนและก็คิดว่าควรจะสอนอะไร สอนโดยวิธีใดให้คนเข้าใจเรื่องอะไรก็ต้องสอนแนวคิดอย่างนั้นแก่ประชาชน ประชาชนรับได้เขาเข้าใจความหมายแล้วก็ทำมาจนมีชื่อมีเสียงโด่งดังขึ้น แล้วเขาพามาวัดชลประทานเข้ามาทำงานที่นี่ก็วางแผนว่าต้องเข้าสถานีวิทยุ ก็ถ้าไม่เข้าวิทยุมันก็คับแคบไปไม่ไกล เลยไปขอเทศน์ทางวิทยุยานเกราะบ้าง กจฉ.๘ บ้าง สถานีบ้างให้เสียงมันดังไปทั่วประเทศ แล้วก็ขอไปออกๆโทรทัศน์ ก็มันดังออกไปเรื่อยๆจนมีคนรู้จักมากมายดั่งที่ญาติโยมได้เห็น อยู่วัดชลประทานก็คิดว่าควรจะสร้างอะไรบ้าง มันก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเครื่อง (15.22) ทรงแปลก ไม่ได้คิดว่าจะทำอะไร แต่คิดเรื่องเดียวว่าจะสอนคนอันนี้เป็นความคิดหลักที่ทำอยู่ตลอดเวลาเพราะเรามีหน้าที่สอน มีหน้าที่อธิบายหลักธรรมะให้คนได้เกิดปัญญา เกิดความรู้ความเข้าใจ ว่าสอนไปมากเข้าๆก็เลื่อมใส เอาลูกมาบวชในวัดมากขึ้น สถานที่ไม่พอก็เลยต้องวางแผนสร้างกุฏิ เสนาสนะที่แสดงปาฐกถามันก็คับแคบไม่กว้างขวางเพียงพอ คนจำนวนเพิ่มขึ้นก็เลยมาสร้างโรงเรียนหลังนี้ ปรับปรุงรอบข้างให้เป็นสวนเป็นที่ร่มรื่นชื่นใจ ปลูกต้นหมากรากไม้ สมัยก่อนมันเป็นทุ่งนาล้วนๆ ไม่มีต้นไม้อะไร มีแต่ต้นสนที่เขาปลูกกันเขตไว้ตอนนั้น ก็วางแผนว่าจะต้องปลูกต้นไม้ การปลูกต้นไม้สำเร็จก็เพราะอาศัยท่านพระครูปลัดทองใบซึ่งอยู่ที่วัดนี้ได้เป็นหัวเลี่ยวหัวแรงในการทำงานเรื่องนี้มาก ต้นไม้จึงเต็มวัดร่มรื่นชื่นใจ แล้วก็วางแผนแสดงธรรมกันต่อไป
เมื่อคนมากขึ้นก็เกิดมีอะไรตามขึ้นมา มันเป็นไปตามงานที่ทำอยู่ทุกวันเวลา มุ่งหมายแต่เรื่องงานเรื่องเดียว แต่ว่างานมันแตกกิ่งแตกก้านก็คนมามากขึ้น ก็เลื่อมใสเอาลูกเอาหลานมาบวช ก็วางแผนเรื่องจะบวชคนอย่างไร ครั้งแรกก็บวชพร่ำเพรื่อ บวชวันที่ ๑ บวชวันที่ ๕ บวชวันที่ ๙ มันไม่พร้อมกันสักที ลำบากแก่การสอนการอบรม เลยวางแผนว่าหน้าร้อนบวชกันสัก ๔ ชุด ๑ กุมภา ๑ มีนา ๑ เมษา ๑ พฤษภา ใครจะเข้าอย่างไหนก็ได้ คนก็มาสมัครบวชกันเดือนละมากๆมาชุดตั้ง ๑๐๐ กว่า เช่นเดือนพฤษภานี่ตั้ง ๑๐๐ กว่า เดือนเมษาก็เหยียบ ๑๐๐ เหมือนกัน หลังจากนั้นก็ไม่บวช เตรียมบวชพวกเข้าพรรษา อันนี้พวกมาบวชเข้าพรรษา บางคนก็มาบวชเพราะพ่อแม่บังคับให้บวช ขอร้องให้บวช บวชแล้วไม่เต็มใจในการศึกษาในการปฏิบัติ ไม่ทำวัดไม่สวดมนต์ ไม่มาฟังการอบรมสั่งสอนในตอนทำวัตรเช้าตอนบ่าย ไปเยี่ยมเยียนถามก็เป็นไข้ปวดหัวบ้างปวดท้องบ้างปวดฟันบ้าง แหมมันปวดตลอดปี ๓ เดือนนี่มาบวชเป็นไข้อยู่ตลอดเวลา พอนึกในใจว่านี่มันไม่ใช่ไข้จริงอะไรมันไข้ปลอม เอา (18.00) ยาฟีเด็นให้กินมันก็ยังไข้อยู่อย่างนั้นเอง ความจริงมันขมเพื่อจะดัดสันดาน เพราะว่าไม่สบายปวดหัวปวดตาเอ้ากินฟิเด็น เอาฟิเด็นมาให้ฉัน ๑ ช้อนโต๊ะ เพื่อจะได้กลัวไม่ต้องฉันอีกต่อไป แต่ก็สันดานมันไม่หายยังขี้คร้านอยู่อย่างเดิม ก็เลยต้องปล่อยไปจนออกพรรษาแล้วก็สึกไป ทีหลังมาก็ต้องเปลี่ยนระบบ ผู้จะบวชเข้าพรรษาต้องมาสมัครเสาร์แรกของเดือนเมษาแล้วรับหนังสือทำวัตรสวดมนต์ที่โยมสวดนี้เอาไปท่อง ๒๐ หน้าท่องให้ได้ทั้งบาลีทั้งคำแปล แล้วก็ต้องมาสอบด้วย สอบในวันเสาร์ที่ ๒ ของเดือนมิถุนายน สอบได้ถึงให้เขียนใบสมัคร ถ้าสอบไม่ได้ก็ไม่ให้เขียนใบสมัคร แม้แต่ข้าราชการลาบวชได้แต่ว่าท่องหนังสือไม่ได้ก็ไม่ให้บวช ไม่ให้บวชแล้วจะบันทึกส่งกลับไปสำนักเดิมบอกว่าบวชไม่ได้เพราะขี้เกียจท่องหนังสือสวดมนต์ ๒๐ หน้า จึงขอส่งคืน เจ้านายจะได้ดุได้ด่าให้บ้าง แต่ว่าพวกนั้นกลัวว่าจะสอบไม่ได้ก็เลยท่องกันเป็นการใหญ่ เวลามาสอบก็สอบได้จำนวนพอสมควรปีละ ๑๕๐ ๑๖๐ ก็บวชกัน แล้วปัญหาคนก็เพิ่มมากขึ้น อะไรก็มีความต้องการเพิ่มขึ้น มันเป็นไปตามงานตามผลของงาน แผนการมันไม่ได้วางไว้แน่นอน แต่บางเรื่องก็วางแผนจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดเวลา จนกระทั่งอยู่วัดนี้ ๓๒ ปี คนเข้ามาบวชมากมาย ญาติโยมก็มาฟังธรรมจำนวนมาก ก็เป็นอยู่กันอย่างนี้
อันนี้เรื่องต่อไปก็นึกว่าอายุ ๘๐ ปีแล้ว ก็ควรจะมีการพักผ่อนบ้างไม่ต้องตะเวนไปเที่ยวบ้านนั้นเมืองนี้บ่อยๆ แต่คนก็ยังมานิมนต์อยู่จะปฏิเสธก็ไม่ได้ แต่ก็รับนิมนต์ไว้แล้วให้ลูกศิษย์ไป ลูกศิษย์ที่จะให้ไปแทนนั้นไว้ใจว่าเทศน์ดีคนฟังรู้เรื่องเข้าใจจึงให้ไป ครั้งแรกก็ให้ลูกศิษย์ไปผู้ที่มานิมนต์ก็หน้าเสีย นึกว่าไม่ได้หลวงพ่อ แต่บอกว่าหลวงพ่อไปไม่ได้ มีธุระต้องบอกว่ามีธุระๆมันเยอะว่าไปอย่างนั้น ทีหลังมันมีปวดเจ็บคอบ้างคอแห้งก็ได้อ้างว่าคอไม่ดี หมอให้พักผ่อนแล้วก็ส่งลูกศิษย์ไป แต่เมื่อไปเทศน์แล้วกลับมาถามว่าเป็นอย่างไร เออดีครับใช้ได้ ทีหลังก็ไม่ต้องลำบาก ให้องค์นั้นให้องค์นี้ไปตามเรื่องตามราวให้ไปเทศน์แทน ก็มีตัวแทนเพิ่มขึ้น พระที่อยู่วัดนี้ส่วนมากก็เทศน์ได้ องค์ที่เทศน์ไม่ได้ก็คือไม่เอาไหน ฉันแล้วนอนไม่ได้เรื่องอะไรมีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่พระที่เป็นนักศึกษาไปเรียนมหาจุฬา วัดมหาธาตุหรือไปเรียนวัดบวรมีความรู้พอจะเป็นนักเทศน์สอนได้ก็ให้ขึ้นไปเทศน์ เทศน์ในงานศพก่อน กลางคืนไปเทศน์งานศพ ดีไม่ดีก็ไม่เป็นไร คนฟังเขาก็ฟังไปตามเรื่อง เทศน์บ่อยๆก็เทศน์เก่งขึ้นพอออกโรงได้ เอ๊เวลาวันอาทิตย์นี่ให้พระที่เป็นลูกวัดหัดพูดอนุโมทนา องค์นั้นพูดบ้างองค์นี้พูดบ้างอาตมาไม่ได้ผูกขาดไม่ได้พูดเสียคนเดียว แล้วถ้าพูดคนเดียวลูกน้องก็ไม่ได้รับการฝึกฝนก็ต้องให้พูดบ้าง แม้เทศน์ที่โรงเรียนนี้ก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้บางคราวอาตมาไม่เทศน์แต่ให้พระองค์อื่นเทศน์ โยมก็ต้องตั้งใจฟังเหมือนกัน คือฟังช่วยไม่ได้ฟังเรื่องอะไร ฟังช่วยๆอย่างไร ช่วยให้พระเทศน์เป็น พระมาเทศน์โยมฟังแล้วก็ พระท่านก็สบายใจ ไม่ใช่ว่าพอเปลี่ยนหน้าขึ้นมา โยมออกเป็นแถวกลับบ้าน อย่างนั้นพระผู้เทศน์ก็ไม่สบายใจไม่มีอารมณ์ที่จะเทศน์แล้วเกิดอึดอัดขัดใจ ทำให้เกิดความไม่ก้าวหน้า อันนี้เรานั่งทนฟังเพื่อให้ท่านเทศน์ให้ฟัง ท่านก็จะได้ก้าวหน้า โดยเฉพาะพระที่เป็นพระหนุ่มพระน้อยที่เป็นนักศึกษาท่านก็มาเทศน์ มหาจรรยามาเทศน์บ้าง มหาทวีปมาเทศน์บ้าง มหาประทีปมาเทศน์บ้าง มหาองค์เอกมาเทศน์บ้าง โยมก็ต้องช่วยกันๆฟังช่วยกันฝึกพระให้เป็นนักเทศน์ จะได้เทศน์กันหลายๆองค์ เพราะว่าอาตมามันก็ร่างกายมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ
แม้ว่าเวลานี้ ๘๐ กว่าแล้วก็ยังแข็งแรงอยู่ ยังไม่ทื่อกระไรแต่ว่าคนเขากลัวว่าจะเป็นนั่นจะเป็นนี่ อาตมาไม่ได้เป็นอะไรร่างกายมันก็ปรกติสภาพจิตใจก็เป็นปรกติไม่มีอะไร เวลากลางคืนจำวัดเขาบอกต้องให้พระมานอนด้วย กลัวเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมา บอกว่ามันไม่เป็นหรอกเพราะว่าร่างกายมันปรกติ หรือว่าไปต่างประเทศกลัวว่าจะเป็นลมในเครื่องบิน ก็บอกว่าในเครื่องบินมันจะเป็นลมได้อย่างไรก็นอนไปสบายๆไม่ลำบากยากเข็ญอะไรมันคงจะไม่เป็นอย่างนั้น แต่บางคราวมันก็เป็นบ้างเหมือนกัน เป็นเพราะเรื่องอะไรเพราะความอ่อนเพลีย เดินทางตลอดวันแล้วกลางคืนก็มาเทศน์ เทศน์ให้เขาฟังกำลังเทศน์ไปๆ ไปดุโยมเข้าบอกว่าโยมทำไมนั่งไม่สงบเลยโยกเยกๆไปมา ที่นี้โยมที่เป็นหมอเป็นนางพยาบาลบอกว่าท่านไม่สบายแล้วนอนได้แล้ว เขาก็บอกให้นอนๆแล้วเลือดมันก็หมุน มันมีอาการอย่างนั้น มันก็เป็นบ้างแต่ไม่ถึงกับว่าจะหมดลมหายใจสักทีเดียว มันมีความบกพร่องทางการเดินของโลหิตนิดๆหน่อยๆ แล้วก็รู้ตัวว่าจะเป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าเกิดจากการอ่อนเพลีย
เดี๋ยวนี้ก็ไม่ทำให้มันอ่อนเพลียไม่ให้อ่อนแอ ทำอะไรพอสมควรเป็นบทเรียนสำหรับชีวิต ก็ได้ผ่านมาได้พบได้เห็นอะไรต่างๆในชีวิตมากมายหลายเรื่องหลายประการ เหตุการณ์ของลูก เหตุการณ์ของบ้านเมือง ความเป็นอยู่ของสังคมประชาชน ก็นั่งนึกคิดพิจารณาว่าในระยะ ๘๐ ปีที่ผ่านมานี้ เราได้พบอะไรบ้าง เราได้พบคนที่ดีก็มี คนที่ปานกลางก็มี คนที่เลวร้ายก็มีเหมือนกัน ได้พบได้เห็นได้ฟังข่าวความชั่วความร้ายที่เกิดขึ้นในสังคมด้วยประการต่างๆ ก็มานั่งคิดพิจารณาว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไมจึงเกิดขึ้นมากในยุคปัจจุบันนี้ ปัญหาตัวนี้คิดตรงตกลงไปได้ด้วยว่า ตัวเหตุอย่างแท้จริงนั้นเกิดจากคนไม่มีธรรมะเป็นหลักครองใจเพราะไม่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยในด้านธรรมะพอสมควร โดยเฉพาะการศึกษาของรัฐที่ให้การศึกษาแก่เด็กๆ ไม่ได้ให้การศึกษาทางธรรมะแก่เด็กเหล่านั้นตามสมควรที่จะให้การศึกษา เด็กเติบโตขึ้นด้วยวิชาความรู้แต่ไม่มีธรรมะประจำจิตใจ คล้ายกับรถที่ปรับสึกแล้วลืมใส่ห้ามล้อ พอไปวิ่งบนถนนไม่ได้มันอันตรายเพราะการจราจรคับคั่ง เด็กของเราในปัจจุบันนี้การศึกษาไม่ได้ใส่ห้ามล้อให้แก่เด็ก ให้แต่ความรู้ให้แก่เด็กเท่านั้นเอง ต้องการให้รู้วิชาการที่จะเอาไปทำมาหากินแต่ไม่ได้ติดห้ามล้อให้แก่เด็กเหล่านั้น เด็กจึงไม่มีห้ามล้อจิตใจไม่มีธรรมะเป็นเครื่องห้ามจิตห้ามใจ ก็ไหลไปตามอารมณ์ไหลไปตามความอยาก มีความรู้ที่จะโกงเขาได้มากก็โกงเขาไปที่จะทำอะไรโดยไม่ให้เขาจับได้ก็ทำความผิดลงไป
แม้แต่เจ้าหน้าที่เช่นเป็นตำรวจก็ไปทำการฆ่าคนได้ง่ายๆ เพราะเห็นแก่เงินมากมายที่ตนจะเอาไปได้ แต่ผลที่สุดเอาไปไม่ได้ถูกจับได้ถูกตัดสินประหารชีวิตน้ำตาไหลนองหน้าเสียดายชีวิตที่ผ่านมา พอจะอุธรณ์ต่อไปก็คงจะไม่สำเร็จ อันนี้ทำให้เห็นว่าคนเรามันขาดสิ่งหนึ่งซึ่งจำเป็นแก่ชีวิตอย่างยิ่ง คือไม่มีธรรมะเป็นหลักครองใจ แม้จะมีกันมากก็ไม่มีความสุข ชีวิตตกต่ำเสียหายเพราะไปหลงมัวเมาในเรื่องสิ่งชั่วร้ายเช่น อบายมุข เป็นนักการพนันเพราะอยากรวยมากๆ เป็นคนเสพสิ่งเสพติดเพราะว่ามันเหน็ดเหนื่อยทั้งกายทั้งใจแล้วไม่รู้จะแก้ความเหนื่อยอย่างไร เลยหันเข้าหาสุรายาเมาเสพทุกวันๆจนกระทั่งติดสิ่งเหล่านั้น ความเหน็ดเหนื่อยมันก็ไม่หาย แต่เป็นการเพิ่มสิ่งทำลายร่างกายจิตใจมากขึ้นชีวิตก็ตกต่ำ แม้จะมีงานการดีก้าวหน้า แต่ว่าอาจจะเกิดความเสียหายก็ได้ เช่นเราดื่มเหล้าเมาขับรถก็อันตราย อาจจะเจอสิบล้อก็ได้ บางคนก็เคยเจอมาแล้วแต่ว่าไม่ถึงแก่ความตาย ก็ยังไม่ได้มองเห็นว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้นเพราะไม่ได้เรียนรู้เรื่องเหตุผลของชีวิต ไม่ได้เรียนหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้รู้ว่าอะไรๆมันเกิดจากเหตุ ไม่มีเหตุ ผลเกิดขึ้นไม่ได้ แล้วเหตุนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหนแต่มันอยู่ในเนื้อในตัวของเราเอง ไม่เคยมองดูตัวเอง ไม่เคยพิจารณาตัวเอง ก็ไม่มีเครื่องมือสำหรับที่จะพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเองแก้ไขตัวเอง ชีวิตจึงตกต่ำไปเรื่อยๆ สิ่งอำนวยความสุขมันก็เป็นแต่ความสนุกสนานความเพลิดเพลิน ไปตามอำนาจของสิ่งแวดล้อม เกินไปกับวัตถุที่ตนมีตนได้ แล้วก็ไม่รู้จักจบจักสิ้นเพราะความสุขอันที่เกิดขึ้นจากวัตถุนั้นเป็นความสุขที่ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักจบมันก็ต้องการเรื่อยไป ได้เท่านี้อยากได้เท่าโน้น ได้หนึ่งอยากได้สองได้สามได้สี่ได้ห้า ไม่รู้จบลงไปสักที ความอยากเพิ่มขึ้นความทุกข์มันก็เพิ่มขึ้น การทำลายตัวเองทำลายครอบครัวทำลายการงานที่ตนสร้างขึ้น มันก็มีมากขึ้นเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่รู้จักแก้ปัญหา ไม่ได้ใช้หลักธรรมเป็นเครื่องแก้เพราะไม่ได้เข้าวัดไม่ได้ศึกษาธรรมะ ถ้าใครชวนไปวัดก็ร้องยี้ไม่อยากไป ถ้าชวนไปเที่ยวบาร์เที่ยวไนท์คลับ ไปอาบไปอบชอบใจดิ่งโลด เหมือนเด็กได้ของเล่นเที่ยวดีใจแล้วก็ไป ที่ไปอย่างนั้นก็ไปด้วยความโลภความเขลา คล้ายปัญญาทำด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ชีวิตก็ตกต่ำไปเรื่อยๆเป็นอยู่อย่างนี้ อยู่มาจนแก่จนเฒ่าก็ยังไม่รู้จักแก้ไขปัญหาชีวิต ยังไม่เคยมองดูตัวเอง ไม่เคยพิจารณาตัวเองว่าเรามีชีวิตอยู่อย่างไร ความทุกข์คืออะไร เหตุได้เกิดทุกข์คืออะไร ความดับทุกข์ได้มีหรือไม่ แล้วจะดับได้โดยวิธีใด พิจารณาไตร่ตรอง เพราะไม่ได้เคยศึกษา ชีวิตก็ชอบเที่ยววนเวียนอยู่ใน (29.52) สรรฐานะ ก็เวียนอยู่ในกองทุกข์กองร้อนตลอดเวลาไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น จนกว่าบุคคลผู้นั้นจะได้เห็นแสงสว่างทางธรรมะ เช่นได้พบธรรมะเข้าได้เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจ
คนในสมัยโบราณก็มีเหมือนกันที่สนุกสนานเพลิดเพลินจนลืมเนื้อลืมตัวคิดไม่ได้ ครั้นมาพบพระพุทธเจ้า พระองค์พูดสะกิดเพียงคำสองคำก็เกิดความรู้สึกตัวว่า เรานี้หลงไปมากแล้ว เดินผิดทางไปนานแล้ว อายุปานนี้แล้วควรจะกลับจิตกลับใจ หันเข้าหาความถูกต้องสักที เขาก็เลยเปลี่ยนชีวิตหันเข้าหาความถูกต้องก้าวหน้าต่อไปได้เป็นอริยบุคคล อริยบุคคลก็คือบุคคลที่ไกลจากข้าศึกโดยกิเลส คือความชั่วความร้าย เรียกว่าคนอริยะ อริแปลว่าข้าศึก ยะแปลว่าไป อริยะแปลว่าไปจากข้าศึก ไปจากความชั่วไปจากความร้าย คนที่ไปจากความชั่วความร้ายเรียกว่าอริยาชนหรืออริยชน อริยชนนั้นไม่ใช่วัดกันด้วยทรัพย์สมบัติ ด้วยความมั่งมี ด้วยความเป็นใหญ่ ด้วยความมีอำนาจวาสนาอะไรอย่างนั้นไม่ใช่ แต่วัดกันด้วยว่าน้ำใจของบุคคลนั้นห่างจากความชั่วขนาดไหน มีสติมีปัญญาควบคุมตัวเอง ไม่ให้คิดเรื่องชั่ว ไม่ให้พูดเรื่องชั่ว ไม่ให้ทำเรื่องชั่วไม่ให้คบคนชั่ว ไม่ให้ไปสู่สถานที่ชั่วได้ขนาดไหน นั่นแหล่ะเป็นเครื่องวัดความเป็นอริยาชนหรือความเป็นอริยบุคคลอย่างแท้จริง เราจะดูคนก็ต้องดูอย่างนั้น อย่าดูเครื่องแต่งกาย อย่าดูรถยนต์ที่เขานั่ง อย่าดูบ้านหลังใหญ่ เพราะสิ่งเหล่านั้นอาจเกิดขึ้นจากการทุจริตคิดไม่ชอบก็ได้ แต่ว่าความร่ำรวยอันใดที่เกิดจากการทุจริต คนนั้นก็นอนอยู่ในกระทะทองแดงเรียกว่ามันนอนอยู่ด้วยความร้อนใจ ไม่มีความสุขใจ แต่คนอื่นมองไม่เห็นว่าเขาร้อน แต่ว่าตัวเขาเองเขารู้ว่าอยู่ด้วยความร้อนใจ อยู่ด้วยความหวาดระแวง อยู่ด้วยความกลัวไปรอบข้าง จะไปไหนก็ไปด้วยอาการที่ไม่เป็นสุขเพราะระแวงภัยอันตรายด้วยประการต่างๆ ไม่เหมือนกับคนที่ไม่มีภัยไม่มีเวรกับใครๆ กลางคืนจะนอนตรงไหนก็ได้ จะนั่งตรงไหนก็ได้
คนในสมัยก่อนที่เขาอยู่ดีเรียบร้อยตามหลักศีลธรรม กลางคืนหน้าร้อนเขาก็ลงมานอนบนแคร่ไม้ไผ่ที่ใต้ถุนบ้าน ไม่มีอะไรนอนอย่างนั้น ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาแทงพุงหรือทุบหัวเพราะเขาไม่ได้คิดประทุษร้ายต่อใคร เขามีธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันชีวิต เขาอยู่กันด้วยความสุขความสบาย แต่คนที่มีพิษภัยก่อกรรมทำเข็ญไว้กับคนอื่นหลายแง่หลายมุม สร้างฐานะของตัวขึ้นด้วยความลำบากของคนอื่น เรียกว่าเหยียบคนขึ้นไปบนที่สูง เอาคนเป็นบันไดเหยียบกันขึ้นไปเหยียบกันขึ้นไป แล้วก็ไปยืนอยู่บนที่สูง แล้วก็กลัวว่าคนที่เป็นบันไดเหล่านั้นจะลุกขึ้นแก้แค้น ลุกขึ้นทำลายตัว ตัวก็ไม่มีความสุขความสบายอะไร อันนี้เราจะเห็นได้จากคนที่ร่ำรวยในทางที่ไม่ชอบไม่ควร ด้วยการโกงเขาด้วยการเอาเปรียบเขา ด้วยการเบียดเบียนเขาขัดประโยชน์กันก็ต้องฆ่ากัน เมื่อเราฆ่าเขาเราก็จะถูกฆ่า เราฆ่าเขาเราก็ไม่มีความสุขทางกายทางใจมีความทุกข์ แต่คนเหล่านั้นมองไม่เห็นเหมือนกับตัวหนอนที่เกิดในพริก ความจริงพริกมันร้อนแต่ตัวหนอนมันไม่รู้สึกอะไร เพราะมันเคยกับสิ่งเหล่านั้น คนเราที่เคยกับความชั่วก็นึกว่าตัวเก่งนึกว่าตัวฉลาด ไม่ได้คิดว่าตัวผิดตัวชั่วตัวร้ายแล้วก็ทำสิ่งนั้นไปด้วยความเพลิดเพลินสนุกสนานในทางที่ตกต่ำ เพราะไม่ได้รับธรรมะเป็นหลักครองใจ เป็นเรื่องเสียหาย ได้มองเห็นสังคมเห็นความเป็นอยู่ของแต่ละบุคคลที่เป็นคนชั่วคนร้ายเป็นไปอย่างนี้ แม้เพื่อนกันที่เป็นนักเรียนร่วมชั้นเรียนหนังสือกันมาด้วยกัน แต่บางคนก็ก้าวหน้าเจริญงอกงาม คนที่ก้าวหน้าเจริญงอกงามเขาว่าเป็นผู้ประพฤติดีประพฤติชอบอยู่ในศีลในธรรม ชีวิตเรียบร้อย แก่ชรา อายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็ยังอยู่กันปรกติไม่เสียหาย แต่ว่ามองเห็นเพื่อนบางคนที่เรียนร่วมชั้นกันมีชีวิตตกต่ำน่าเสียดายตายไปแล้ว เคยติดคุกติดตารางออกมาก็ถูกฆ่าถูกทำลายแล้วก็ตายไป ได้ทราบข่าวแล้วก็รู้สึกสลดใจสงสารว่า เพื่อนคนนั้นเกิดในครอบครัวที่ไม่มีพระคุ้มครองรักษา แล้วก็ไม่รู้จักพระไม่รู้จักธรรมะชีวิตถึงได้ตกต่ำ เขาเกิดในครอบครัวที่เป็นเจ้าของบ่อนการพนัน สนุกสนานกันด้วยการเล่นการพนัน นิสัยการพนันมันก็ติดลูกๆก็กลายเป็นนักการพนันแล้วก็คบเพื่อนชั่วเพื่อนเสเพล ทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่หามาได้ในทางใดก็ตามอยู่ไม่ได้ ลูกผลาญหมด แล้วตัวก็ถูกฆ่าถูกทำร้ายถึงแก่ความตายไป ได้รับข่าวแล้วก็นึกสลดใจนึกสงสารว่าเขาเกิดมาในที่มีแสงสว่าง เกิดกับพุทธศาสนาแต่ตาเขาบอดเขาเป็นคนบอดลืมตาไม่ขึ้นไม่เห็นแสงสว่างเลย อย่างนี้จึงมีชีวิตตกต่ำอย่างน่าเสียดาย
อันนี้เพื่อนบางคนที่พ่อแม่เป็นสัมมาทิฏฐิประพฤติดีประพฤติชอบตามขนบธรรมเนียมประเพณี แม้จะไม่เข้าใจหลักธรรมะซาบซึ้งเพราะในสมัยนั้นไม่มีการสอนไม่มีการเทศน์อะไรแต่ว่าได้เสวนากับพระสงฆ์องค์เจ้า ได้เข้าวัดเข้าวาได้รู้จักว่าบาปเป็นอย่างไรบุญเป็นอย่างไร อะไรเป็นคุณอะไรเป็นโทษเกิดปัญญาเกิดความรู้ความเข้าใจ ประคับประคองตนดีงามในครอบครัว ลูกก็เจริญตามรอยพ่อแม่และก็ให้มีการศึกษาเล่าเรียนก้าวหน้าได้สำเร็จวิชาได้ปริญญาไป ชีวิตเรียบร้อยเจริญงอกงามก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นอกชื่นใจว่าเขาอยู่ในครอบครัวที่ดี ตัวอาตมาเองก็นั่งคิดว่าเรานี่ก็มีบุญอยู่สักหน่อยที่เกิดในครอบครัวที่มีสัมมาทิฏฐิ คุณพ่อก็เป็นคนมีสัมมาทิฏฐิคุณแม่ก็เป็นสัมมาทิฏฐิไม่มีการก่อกรรมกระทำชั่วทำร้ายอะไร อยู่ด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความรักเพื่อนบ้านสงสารเพื่อนบ้าน มีข้าวแล้วกินก็ให้เพื่อนบ้านกิน มีวัวมีควายหลายตัวก็ให้เพื่อนบ้านเอาไปใช้ไถนา ไม่คิดค่าเช่าค่าอ่อนไม่เอาอะไรตอบแทน ให้อยู่ตลอดเวลา เราก็ผ่านชีวิตแบบนั้นได้พบได้เห็นสภาพเช่นนั้น แล้วก็ได้คลุกคลีกับวัดมาตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ คุณพ่อคุณแม่ส่งเข้าวัดได้เรียนหนังสือ แล้วหลวงน้าบวชแล้วก็ไปอยู่โรงเรียนมัธยมก็ไปอยู่วัด อยู่กับอาจารย์เดียวใกล้ๆคอยแนะนำพร่ำเตือนคอยชี้แนะแนวทางชีวิตให้เข้าใจ ให้ได้เดินทางในที่ถูกที่ชอบที่เจริญก้าวหน้า ชีวิตมันก็เป็นไปเรียบร้อย
แม้ว่าไปอยู่บ้านเมืองที่เขาเจริญในวัตถุ เช่นจังหวัดภูเก็ตมีสิ่งชั่วร้ายมากมาย แต่ก็ไม่ได้หลงใจมัวมอมไปกับสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้น แม้เพื่อนฝูงก็ชักชวนให้ไป ไปแต่ว่าไม่ยอมเข้าไปสู่สถานที่เช่นนั้น เอาตัวรอดปลอดภัยมาได้ก็นึกภูมิใจสบายใจแก่ตัวเองว่าเรานี่ผ่านความชั่วความร้ายมาได้ ชีวิตต้องลำบากตรากตรำมากในการต่อสู้ทำงานทำการรับจ้างแบกหามอะไรต่างๆ แต่เราก็ไม่กระทำสิ่งชั่วร้าย ไม่ไปประกอบกิจที่ไม่เหมาะไม่ควร เพื่อนฝูงชักจูงก็ไม่ยอมไปเพราะว่าได้พบพระบ่อยๆ ได้เข้าใกล้พระ สนทนากับพระได้อ่านหนังสือธรรมะบ้าง หนังสือเรื่องอื่นที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิตบ้าง สิ่งแวดล้อมแม้แต่ตกต่ำแต่ก็ไม่ดึงดูดอาตมาให้ตกต่ำเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ดีที่งาม สิ่งดีงามก็ซึมซาบเข้าไปสู่จิตใจจึงเจริญก้าวหน้ามาด้วยความเรียบร้อย จนกระทั่งได้เข้าสู่วงจรแห่งพระพุทธศาสนา ก็พูดตามภาษาหนังสือ (39.05) ...... เขาเรียกว่าตกลงในวงเวียนของธรรมะ เราเลยลงไปในวงเวียนของธรรมะ แล้วมันก็วนอยู่ในนั้น ไม่สามารถจะขึ้นออกไปจากธรรมะได้ ไม่มีอะไรที่จะมายั่วยวนชวนใจให้ขึ้นจากธรรมะ มันติดลงไปในธรรมะอยู่ตลอดเวลา แล้วก็คิดถึงสงสารเพื่อนมนุษย์ที่ยังมีความตกต่ำจิตใจไม่ประกอบด้วยธรรมะ ก็ทำหน้าที่เผยแผ่สั่งสอนธรรมะแก่คนเหล่านั้นเพื่อให้ได้เกิดปัญญาเกิดความรู้เกิดความเข้าใจ ทำงานก็เพลิดเพลินสนุกสนานหมด เราเลือกอาชีพทำจนทำมาเรื่อยๆไม่รู้จักหมดไม่รู้จักเหนื่อย ยิ่งทำก็ยิ่งสบายใจยิ่งเกิดความเพลิดเพลินเจริญใจมากขึ้นทุกวันทุกเวลา ชีวิตได้เกิดมาในที่อย่างนี้ก็มีความสุขทางใจ ร่างกายก็เป็นปรกติสุขภาพจิตก็เป็นปรกติ ไม่มีอะไรเสื่อมเสียหายมากเกินไป
แต่พบคนบางคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เมื่อวานนี้ก็มีนายทหารรุ่นเก่าแก่ท่านเป็นทหารที่กล้าหาญนะ เมื่อครั้งกบฏบวรเดชญาติโยมคงจะทราบว่ามีการปล่อยรถจักรมาชนกับรถตีนตะขาบ (40.29) ไอ้ทหารที่ขับรถตีนตะขาบยิงปืนกลอยู่ในวัยหนุ่มเวลานั้น แล้วก็รถฟืนรถไฟ ... บางครั้ง ... รถจักรรถใหญ่มันก็ชนจนรถนี่พลิกคว่ำกันไปแต่ก็ไม่ตาย บาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ อยู่ได้มาจนกระทั่งอายุ ๘๐ เมื่อวานนี้มาทำบุญก็ว่าปีเดียวกันเดือนเดียวกัน แต่ว่าอ่อนกว่าอาตมานิดหน่อยไม่กี่วันมาทำบุญ ก็ได้เห็นชีวิตแกว่าได้ต่อสู้มา แต่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอ่อนแอ อันนี้เรามามองดูตัวเราเองว่าเราก็ ๘๐ แต่ว่าร่างกายก็ยังดี ก็นึกขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ให้สังขารดีงามแข็งแรงมา สำหรับใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ พระศาสนาอันเป็นส่วนรวมต่อไป อีกคนหนึ่งก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกันอ่อนกว่าอาตมา ๑๐ กว่าวัน คือคุณเสถียร ธรรมพะรังสีเป็นเปรียญ ๔ ประโยควัดมหาธาตุลาสิกขาแล้วก็ได้ไปเรียนต่อประเทศญี่ปุ่น ไปบวชเป็นพระญี่ปุ่น บวชพระญี่ปุ่นนี่สบายเพราะมีปัญญาได้ แกก็เลยบวชเป็นพระญี่ปุ่น แล้วก็เรียนหนังสือจบกลับมาอยู่บางไทรเป็นนักหนังสือพิมพ์ เป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยได้เวลาถึงแก่กรรมไปเมื่อเร็วๆนี้เอง เมื่อไม่กี่วันถึงแก่กรรมไปแล้ว อันนี้การที่ถึงแก่กรรมไปก็ด้วยโรคตับคือโรคมะเร็ง ที่นี้สังเกตชีวิตของท่านผู้นี้ว่าชอบดื่มชอบสูบ ดื่มกับสูบสองอย่างนี้ทำให้คนเราเป็นโรคมาก สูบบุหรี่จัดแล้วก็ดื่มทำให้เกิดเป็นมะเร็งโดยการไม่ให้ผ่าตัดแล้วก็ถึงแก่ความตายไป ได้ไปเยี่ยมศพแล้วๆมานั่งนึกปลงอนิจจังว่าถ้าว่าไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุราเมรัยก็อาจจะอยู่ต่อไป ก็จะไม่มีโรคอย่างนั้นเกิดขึ้น แต่ว่าอยู่ในสังคมที่มันชอบดื่ม โดยกับสมาคมนักข่าวคือดื่มกับนักข่าว จะหลีกเลี่ยงไม่ค่อยได้ พอบอกเข้าสังคมกันก็สั่งเหล้ามาดื่มกันเบียร์มาดื่มกัน ดื่มเหล้าไปสูบบุหรี่ไปล้วนแต่เป็นพิษทั้งนั้น สิ่งที่ดื่มเข้าไปก็เป็นพิษ สิ่งที่สูบเข้าไปก็เป็นพิษ (42.52) ทั้งนั้น ...... เป็นพิษอยู่ตลอดเวลา โรคภัยก็เกิดขึ้นโดยน่าเสียดายความรู้ความสามารถที่มีอยู่พอสมควร ถึงแก่กรรมก่อนก็ไปไว้อาลัยอาวรณ์กัน เพราะว่าร่างกายไม่แข็งแรงพอ อาจจะไม่รับใช้สังคมต่อไปได้ แรกๆก็สลดใจ แล้วพอมานึกถึงตัวเราเองว่าเราไม่เป็นอย่างนั้นเพราะเรางดเว้นไม่สูบบุหรี่ ไม่ได้ดื่มเหล้าเพราะมาบวชสักตั้งแต่อายุ ๑๘ เลยไม่มีโอกาสจะดื่ม ถึงว่าก่อนนั้นก็ไม่ได้ดื่มอะไรมากมาย เคยโดนว่าเป็นเด็กก็สนุกกันในเด็กวัด แล้วก็ดื่มเมามายอาเจียนเลอะที่นอน แล้วก็เข็ดหลาบตั้งแต่นั้น ไม่ทำชั่วต่อไป คนเราถ้าทำชั่วทำผิดและมองเห็นทุกอันเกิดขึ้นจากความชั่ว แล้วมีความละอายบาปกลัวบาป ความชั่วนั้นก็จะไม่เกิดซ้ำสอง แต่ถ้าเราทำชั่วแล้วเราไม่รู้สึกละอาย ไม่เห็นโทษเห็นทุกข์ของความชั่ว นึกว่าความชั่วเป็นของดีเป็นของเด่นเป็นเรื่องทำให้เราเข้าสังคมได้ แล้วก็ดื่มกันไปกินกันไปไม่รู้ว่ากำลังทำลายตัวเอง ทำลายอายุให้มันหมดลงไปทุกวันทุกเวลา มีอยู่อย่างนี้มากมายเป็นเรื่องที่น่าสงสาร ถ้ามีโอกาสที่จะพูดจาปรับความเข้าใจกันได้ ก็ได้พยายามพูดจาแนะนำให้เขาคลายไปจากสิ่งเหล่านั้น บางคนก็เลิกได้น่าอนุโมทนา แต่บางคนพูดเท่าไหร่ๆก็ไม่ยอมเลิก ตอบว่ามันเลิกไม่ได้มันอยาก ความอยากนั้นมันอยู่เหนือจิตใจ เราก็เป็นทาสของมัน แต่ถ้าเราจิตใจเราเหนือความอยากเราก็ไม่เป็นทาส เราเป็นไทแก่ตัว คนที่ตกเป็นทาสเพราะจิตอ่อนแอไม่มีความเข้มแข็งเพียงพอจึงสู่สิ่งที่ใฝ่ต่ำไม่ได้อยู่อย่างผู้แพ้ พระพุทธเจ้าสอนว่าให้อยู่อย่างผู้ชนะ ชนะอะไรก็ไม่ประเสริฐเท่ากับชนะตนเอง มีพุทธภาษิต (45.06) อัตตาคาเว คิดอย่างใช้เหตุการชนะตนนั่นเป็นความดี ชนะข้าศึกศัตรูชนะอะไรไม่ประเสริฐ แต่ชนะใจของตัวเองให้คิดเรื่องไม่ดีเราบังคับตัวเองได้ ควบคุมตัวเองได้ อดทนได้อดกลั้นได้ เสียสละไม่ยอมทำสิ่งนั้นได้ นั่นคือความชนะเป็นความประเสริฐแห่งชีวิต เราเป็นคนอยู่อย่างผู้ชนะ อย่าอยู่อย่างผู้แพ้ แล้วถ้าเราชนะสิ่งใดแล้วอย่ายอมแพ้สิ่งนั้นเป็นอันขาดให้ชนะตลอดไป พุทธเจ้าท่านตรัสว่าชี้กรรมสดับชี้ (45.44) อนิเวจโยสิยา ถ้าชนะแล้วให้รักษาความชนะนั้นไว้ เหมือนทหารยึดแผ่นดินส่วนใดได้แล้ว เราต้องไม่ปล่อยให้ข้าศึกมายึดเอาคืนไป เราก็เหมือนกันเราอยู่ในสงครามของกิเลสสงครามภายใน ถ้าเราสู้มันได้เราก็ชนะ ถ้าเราสู้ไม่ได้เราก็พ่ายแพ้ เราถึงไม่ควรจะอยู่อย่างผู้แพ้เราควรจะอยู่อย่างผู้ชนะ แล้วก็ให้ชนะตลอดไป ชีวิตจึงจะปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง อันนี้เป็นข้อคิดในวันที่ทำบุญฉลองความแก่ ในวันที่ ๑๑ พฤษภาคมนี่ฉลองความแก่คือแก่ ๘๐ ปี แก่แล้วก็ ๘๑ ปีย่างเข้ามา ๘ วันแล้ว ก็แก่ไปเรื่อยๆไปตามลำดับของสังขาร นั่นเป็นเรื่องของธรรมชาติที่จะเป็นเช่นนั้น ทุกคนเป็นเหมือนกันไม่มีข้อยกเว้น เราจึงควรพิจารณาให้รู้ตามสภาพที่เป็นจริง ว่าสิ่งเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรหยุดนิ่งแต่ก็ควรให้เปลี่ยนแปลงด้วยปัญญา อย่าให้มันเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแล้วเราไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนแปลง ไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดความทุกข์เกิดปัญหาขึ้นแก่ชีวิตได้ แสดงมาก็คอแห้งแล้ว สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที