แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านหาที่นั่ง อย่ามัวเดินไปเดินมาอยู่ หาที่นั่งซึ่งได้ยินเสียงชัดเจนจากลำโพงขยายเสียง แล้วจงตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชย์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา เพราะว่าเรามาวัดนี่เรามาเพื่อการศึกษาหาความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมะอันเป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัทเราก็ต้องศึกษาหลักธรรมะที่พระองค์สอนไว้ให้เกิดความเข้าใจถูกต้อง แล้วจะได้นำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไป
การศึกษาเป็นกิจเบื้องต้น การปฏิบัติเป็นกิจท่ามกลาง แล้วเกิดผลจากการปฏิบัติ คือพ้นจากปัญหา พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน คนเราทุกคนมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น มีความทุกข์ มีความเดือดร้อนใจ ในเรื่องอะไร ๆ ต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นในใจ แต่ว่าไม่รู้วิธีที่จะแก้ไขความทุกข์นั้น แล้วก็ไปเที่ยวทำอะไรตามคำที่เขาทำ ๆ กัน ไปทำแบบคนปัญญาอ่อนเพื่อแก้ไขปัญหา แต่มันก็แก้ไม่ได้
เมื่อวานนี้ก็มีมา ๒ ราย มีความทุกข์ มีความกลุ้มใจ รายหนึ่งก็ยังไม่แก่ไม่เฒ่าเท่าใด มีลูกเพียงคนเดียว แล้วก็มาถึงก็ถามว่าหนูมีอะไร มีความทุกข์มีความเร่าร้อนใจในเรื่องอะไรบ้าง แกก็บอกว่ามันมีแต่ความวิตกกังวลในเรื่องอะไร ๆ ต่าง ๆ ก็เลยถามว่าวิตกกังวลในเรื่องอะไร ที่ทำให้เกิดปัญหาเกิดความทุกข์ความเดือดร้อน มันหลายเรื่องหลายอย่าง เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง เรื่องมันมาก เลยตอบว่านี่แหละเขาเรียกว่าฟุ้งซ่าน ความคิดไม่มีระเบียบ ไม่รู้จักจัดระเบียบของความคิด ให้มันอยู่ในรูปเดียวเพื่อแทงตลอดปัญหา ก็เลยนั่งกลุ้มใจด้วยประการต่าง ๆ หัดคิดให้เป็นระเบียบเสียบ้าง มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเฉพาะหน้า เราก็คิดปัญหานั้น คิดให้มันแตกออกไปว่าปัญหาคืออะไร มันมาจากอะไร อะไรเป็นเหตุให้เกิดปัญหา แล้วเราจะแก้ตัวปัญหานั้นอย่างไร
ในเบื้องต้นก็ต้องยอมรับเสียก่อน คือยอมรับว่าปัญหาทั้งหลาย ความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น ไม่ได้เกิดมาจากสิ่งภายนอก ไม่ได้มีผู้อื่นใดหรือสิ่งใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ แต่ว่ามันอยู่ที่เราคิดผิดนั่นเอง เราคิดไม่ถูกต้อง ไม่รู้จักจัดระเบียบแห่งความคิดในชีวิตประจำวัน และก็เกิดมีความทุกข์ มีความเดือดร้อนใจ ถ้าเรารู้จักคิดรู้จักนึกให้มันถูกต้อง ปัญหามันก็ไม่มี เช่นว่า มีความกังวลในเรื่องอะไร ถามว่ายกตัวอย่างมาสักเรื่องสิ ว่าเธอกังวลในเรื่องอะไร
"กังวลว่าสามีจะไปมีหญิงอื่น แล้วเขามีแล้วหรือยัง เขามีท่าทางที่จะไปมีหรือเปล่า"
"เขาไม่มีท่าทางอะไร เธอมันคิดไปเองใช่ไหม"
"ใช่"
"ทำไมจึงได้คิดไปรู้ไหม ก็เรามันหึงนั่นเอง อารมณ์หึง อยากจะมีไว้เป็นของตัวถ่ายเดียว ไม่อยากแบ่งให้ใคร"
อันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เป็นคู่ครองกัน โดยเฉพาะผู้หญิงนี่มีความหึงหวงมาก อย่าไปหึงให้มันเป็นทุกข์ ปล่อยเขาไปตามเรื่อง เขาจะไปไหน เขาจะทำอะไรก็ปล่อยเขา นึกไว้ใจก็แล้วกัน เราแต่งงานกับเขาแล้ว เราก็ต้องไว้ใจเขา อย่าไปคิดให้วุ่นวาย ตัวสามีของเธอไม่ได้เป็นทุกข์ เขาไปทำงานทำการตามปกติ แต่เธอนั่งทุกข์อยู่ที่บ้าน หรือไปทุกข์ในที่ทำงาน หาเรื่องกลุ้มใจคนเดียว สามีไม่ได้พลอยกลุ้มใจด้วยแม้แต่น้อย แล้วมันดีหรือไม่ ลองคิดดูสิ เขาก็บอกว่ามันไม่ดี แต่ว่ามันคิด คราวนี้จะคิดก็คิดในแง่ดีเสียบ้าง ว่าสามีเขาเป็นคนเรียบร้อย เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต จงรักภักดีต่อเรา เขาไม่คงเป็นหาผู้อื่น แล้วเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี อย่าให้เกิดความบกพร่อง เรื่องมันก็จะไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ คิดเสียใหม่
"แล้วเขาบอกว่า เดี๋ยวนี้มันกลุ้มใจเรื่องงาน กลุ้มอะไรเรื่องงาน ก็ทำงานไปตามหน้าที่ หนูทำงานอะไร"
"ทำงานที่ร้านขายยา เราเรียนเภสัชฯ มาหรือ"
"ไม่ได้เรียนเภสัชฯ แล้วเรียนอะไร"
"ได้ปริญญาตรีคณะมนุษยศาสตร์"
เรียนวิชามนุษยศาสตร์ เรียนศาสตร์ของความเป็นมนุษย์ แต่ว่าได้ปริญาแล้ว แต่ตัวเองก็ยังเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ เพราะมันยังทุกข์อยู่น่ะ มันยังทุกข์อยู่ก็เรียกว่าเป็นคนไม่สมบูรณ์ แต่ว่าได้ปริญญา รับปริญญาจากในหลวง มนุษยศาสตร์ เรียนเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์นี่ แต่ว่าเราไม่รู้ว่ามนุษย์คือใคร มนุษย์ควรจะมีใจอย่างไร มนุษย์ควรคิดอย่างไร ควรพูดอย่างไร ควรทำอย่างไร ศาสตร์นี้เราไม่ได้เรียน แล้วพอมีความทุกข์เกิดขึ้นมนุษย์จะแก้ไขปัญหาคือความทุกข์ความเดือดร้อนใจอย่างไร ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ใจมันก็จะสบาย ไม่มีปัญหาอะไร
ทำงานก็ทำไปตามหน้าที่ อย่าไปคิดมาก อย่าไปทำแข่งกับใคร ดูหน้าที่ของเราก็แล้วกัน ว่าเรามีหน้าที่อะไร เราขายของก็นั่งขายไป ใครเข้าร้านเราก็ออกไปต้อนรับโอภาปราศัย ยิ้มแย้มแจ่มใสกับเขา แล้วก็ชวนให้เขาซื้อของ แนะนำให้เขาซื้อยาประเภทต่าง ๆ แนะนำให้เขาใช้ให้เอาไปกินให้ถูกต้อง นั่นแหละ พูดจาโอภาปราศัยกับเขาก็จะขายของได้ แล้วมันมีปัญหาอะไร เดี๋ยวนี้เขาจะให้ออก
"เขาให้ออกเพราะอะไร เราคงจะทำตนไม่เป็นที่พอใจของเจ้าของร้าน ถึงเขาให้ออก"
นี่ต้องคิดแก้นะ อย่าไปโทษเขา อย่าไปโทษเจ้าของร้าน แต่โทษตัวเองว่าเรานี้ทำผิดอะไร เราประพฤติตนอย่างไร เราจึงเข้ากับเขาไม่ได้ คนเราบางคนมันเข้ากับคนไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็เข้ากับใครไม่ค่อยได้ เป็นคนบ่อนแตก อยู่ไหนแล้วมีการแตกแยก แตกร้าว เพราะว่าไม่รู้จักปรับตัวเองให้เข้ากับคนอื่น จะเอาคนอื่นมาเข้ากับเรานั้นมันไม่ได้ เราต้องไปเข้ากับเขา เราอยู่กับใครเราต้องเข้ากับคนนั้นได้ ต้องรู้จักนิสัยใจคอของคนนั้น แล้วเราควรจะทำตนอย่างไร เขาชอบอะไร นิสัยเขาเป็นอย่างไรต้องศึกษา ต้องอ่านคน ไม่ใช่อ่านแต่หนังสือ นี่อ่านหนังสือจนได้ปริญญาแล้ว แต่ไม่อ่านคน เข้าไปอยู่กับใครไม่รู้จักคน รู้จักแต่หน้าตา รูปร่าง แต่ไม่รู้จักจิตใจ ไม่เรียนนิสัยคน มันก็ลำบาก เราจึงต้องรู้นิสัย แล้วทำตนให้เขาพอใจ แล้วเราก็ไม่เสียหาย ไม่เกิดความทุกข์ ไม่เกิดความเดือดร้อนใจ อะไรๆ มันก็ดีขึ้น
"บอกว่ามันแก้ไม่ได้แล้ว เพราะเขาให้ออกเสียแล้ว"
อ้าวหมดเรื่องกัน จำไว้ไปทำใหม่ เวลาไปทำงานกับใครที่ไหน ก็ต้องใช้หลักการนี้ เพื่อทำตนให้เข้ากับเขา อย่าเอาเขามาตามใจเรา แต่เราต้องตามใจเขา เราอยู่กับนายก็ต้องตามใจนาย ถ้าเราไม่ตามใจนาย จะให้นายตามใจเรามันก็ไม่ได้ มันผิดหลักการ จำไว้เอาไปใช้ต่อไป
"เขาพูดต่อไปว่า ดิฉันมันคนขี้โมโห"
"มันไม่ใช่โมโห แต่เป็นคนโทสะ โทสะจริต โทสะคือใจร้อน แต่เรามักจะเรียกว่าโมโห คนไหนที่โกรธใจร้อน เราเรียกว่าโมโหมาก โมโหมันไม่ใช่อย่างนั้น มันมี ๓ ตัว คือ โลโภะ โทสะ โมหะ"
โลภะนั่นหมายถึงความอยากได้ของคนอื่น อยากได้ในสิ่งที่ไม่ควรจะได้ อยากได้เกินขอบเขตที่เราจะพึงมีพึงได้ อย่างนี้มันเป็นความโลภ ความโลภเป็นอันตรายของธรรมะทั้งหลายทั้งปวง ถ้าเรามีความโลภเกิดขึ้นในใจ ธรรมะอื่นหายไปทำให้เกิดความมืดความบอด แล้วก็จะเป็นเหตุให้ผิดศีลผิดธรรมได้ โลภจะฆ่าคนก็ได้ ลักของเขาก็ได้ ประพฤติผิดในเรื่องกามารมณ์ก็ได้ พูดจาโกหกหลอกลวงต้มตุ๋นใครก็ได้ ดื่มสุราเมรัยก็ได้ เล่นการพนันก็ได้ ทำอะไรได้ทั้งนั้นนะ เพราะความโลภมันเกิดขึ้นในใจ ใจมีความโลภเป็นพื้นฐานอันนี้เป็นความเสียหาย ให้เกิดปัญหาขึ้นในชีวิตของเรา เราจะต้องรู้ลักษณะมันไว้ รู้จักหน้าตาผู้ร้าย ผู้ร้ายจะไม่มารบกวนเรา กิเลสมันก็เป็นผู้ร้ายที่คอยเข้ามาทำลายชีวิต ทำลายจิตใจของเรา เราจะต้องศึกษาทำความเข้าใจ
ไอ้ตัวที่สองเรียกว่าโทสะ โทสะลักษณะเป็นคนหงุดหงิดงุ่นง่าน ใจร้อนใจเร็ว กระทบนิดก็โกรธ กระทบหน่อยก็โกรธ แดดออกก็ไม่พอใจ ฝนตกก็ไม่พอใจ คนนั้นมาก็ไม่พอใจ คนนั้นไปก็ไม่พอใจ อะไร ๆ ก็ไม่เป็นที่พอใจ แล้วเกิดอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านด้วยประการต่าง ๆ อันนี้เขาเรียกว่าโทสะ พวกโทสะนี่ชาวบ้านเรียกว่าคนใจร้อน คือใจมันไม่เย็น โลภะมันก็ร้อน โทสะมันก็ร้อนเหมือนกัน
ทีนี้ตัวโมหะนั้นคือความไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไร ๆ ตามสภาพที่เป็นจริง มีความคิดหลงใหลมอมเมาไปด้วยประการต่าง ๆ หลงในรูป ในรส ในกลิ่น ในสัมผัส ในนั่นในนี่ หรือว่าหลงในพิธีรีตรอง ในเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องอะไรต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องพระพุทธศาสนา แต่เราหลงใหลมัวเมาไปในเรื่องเหล่านั้น เรียกว่ามันเป็นโมหะ จิตใจของหนูมันไม่ใช่ลักษณะโมหะอย่างนั้น แต่มันก็พอเป็นโมหะได้ เพราะว่า เพราะเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราจึงเกิดความโกรธ เกิดความเกลียด เกิดอารมณ์หงุดหงิดงุ่นงาน ถ้าเรามีปัญญามันก็ไม่มีอะไร อะไรมากระทบเราก็มีสติมีปัญญารู้ทัน รู้เท่าต่อสิ่งนั้น จิตดวงนั้นมันก็หายไป มีสภาพเข้าสู่ปกติ
ทีนี้ปกติของหนูนั้นเป็นคนใจร้อน แล้วก็มักโกรธในเรื่องอะไรต่าง ๆ หัดใหม่ ไอ้ความโกรธมันไม่ใช่อยู่ในตัวเรา ไม่ได้ติดมากับเรามาตั้งแต่เกิด มันเกิดขึ้นประเดี๋ยวประด๋าวแล้วมันก็ดับไป อะไร ๆ ในโลกนี้จะเป็นรูปก็ตามเป็นนามก็ตาม มันตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่าเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่จะตั้งอยู่ในใจของเราถาวร ความโลภเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป ความโกรธเกิดขึ้นมันก็ดับไป ความหลงเกิดขึ้นมันก็ดับไป อะไร ๆ เกิดมันก็ดับทั้งนั้นแหละ แต่ว่ามันดับแล้วมันเกิดอีก ทีนี้ทำไมมันเกิดอีก เพราะเราไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องนั้นถูกต้อง ไม่มีสติเป็นเครื่องกำหนด ไม่มีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรามีสติ มีปัญญา สติรู้ทันปัญญารู้เท่าในสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในวิถีชิวิตของเรา พอมันเกิดปุ๊บเราก็รู้ปั๊บ อย่างนี้เรียกว่ามีสติทันท่วงที แล้วปัญญามันก็เกิดตามมาเอง คือมันเกิดสงสัยว่านี่อะไร อะไรเกิดขึ้น อะไรตั้งอยู่ อะไรดับไป มันมาจากอะไร ต้นสายมันมาทางไหน ปัญญาเข้ามาตอบสวนตรวนถาม พิจารณาต่อไป เรื่องนั้นมันก็เบาไป
"แต่คนที่มีโทสะจริตหรือมีโมหะ มีอะไรก็ตาม มันไม่มีตัวสติตัวปัญญา เพราะไม่เคยฝึกฝน ไม่เคยอบรมจิตใจ อ่านหนังสือธรรมะบ้างหรือเปล่า"
"ไม่ค่อยได้อ่าน"
"ฟังธรรมะบ้างหรือเปล่า"
"นานๆ ได้ฟังสักทีหนึ่ง"
อันนี้คือความบกพร่องของเธอ ที่ไม่ได้สนใจแสวงหาดวงประทีปเอามาส่องจิตส่องใจ ธรรมะเป็นดวงประทีปส่องใจ เราต้องหาไว้ นี่ต่างคนมีกระบอกไฟฉาย แต่ไม่มีแบตเตอรี่ จะไปกดให้เกิดแสงสว่างได้อย่างไร ตัวเราเหมือนกับตัวกระบอกไฟฉาย แต่ว่ามันไม่มีแบตเตอรี่ คือไม่มีตัวธรรมะสำหรับใส่ในกระบอกไฟฉาย แล้วมันก็มืดดึ๊ดตื๋ออยู่ตลอดเวลา มองอะไรก็ไม่ชัด ฟังอะไรก็ไม่ชัด รู้อะไรก็ไม่ชัดตามสภาพที่เป็นจริง เพราะไม่มีถ่านไฟฉาย คือตัวธรรมะ เราจึงต้องแสวงหาธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวัน อ่านหนังสือเสียบ้าง ก็เลยแจกหนังสือให้ไปหนึ่งเล่ม ให้เอาไปอ่าน ว่างๆ มาเอาเทปไปฟังเสียบ้าง เวลาอยู่คนเดียวก็ฟังเทปธรรมะ มันจะไม่ได้กลุ้มใจ ไม่มีอารมณ์อันวุ่นวาย และไม่มีความคิดไม่ดีเกิดขึ้นในใจ เอาเทปไปฟังเสียบ้างเวลาว่างๆ แล้วจิตใจมันจะได้สบายขึ้น
นี่ก็เป็นคนรุ่นเดียวกัน อยู่บ้านทุกข์ใจ เอาเทปไปบ้างที่นี้ เวลาว่างๆ อยู่คนเดียวก็เปิดเทปฟัง แล้วจะได้สบายใจ นาน ๆ จะมาวัดสักทีหนึ่ง วันนี้อาตมาหาเทปไปให้บ้างสักเก้าม้วนสิบม้วน เอาไปเปิดฟังวิทยุมีที่บ้าน เปิดเทปได้ ใส่เข้าไปนั่งฟังนอนฟังแล้วจะได้สบายใจ เรามีเทปธรรมะฟังเสียบ้าง เพราะว่ามาวัดไม่ไหวแก่เต็มที่แล้ว แต่ว่าถ้ายังแข็งแรงก็มาวัดบ้าง วันอาทิตย์มาวัด ถ้ามาคนเดียวก็ไม่ดี ชวนสามีมาด้วยจะได้รู้ได้เข้าใจพร้อมๆ กัน ช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตต่อไป รายนี้พอพูดให้ฟังก็จบไป แล้วเขาก็ลากลับไป บอกว่าไปคิดไตร่ตรอง หัดทำใจเย็น ๆ ไปเขียนไว้ที่กระจกด้วย กระจกสำหรับส่องหน้านั่นแหละ มีทุกคนในบ้าน บานใหญ่นั่น เขียนว่า “ใจเย็นเย็น ใจเย็นเย็น” เขียนไว้สักสองที “ใจเย็นเย็น ใจเย็นเย็น” แล้วขีดเส้นสัญประกาศไว้ข้างใต้ ตื่นเช้าต้องไปดูกระจก พอดูกระจกก็ท่องว่า “ใจเย็นเย็น ใจเย็นเย็น ใจเย็นเย็น” ว่าสักสามครั้ง แล้วก็คอยเตือนตัวเอง คอยพูดกับตัวเองบ่อยๆ ว่าใจเย็นเย็น ใจเย็นเย็น เดี๋ยวค่อยเย็นขึ้นเอง
ถ้าเราพูดเราเสก อันนี้แหละเขาเรียกว่าเสกตัวเอง คนโบราณเขามีพิธีปลุกเสก แต่เสกทีไรแล้ววุ่นวายทุกที เมื่อสมัยเด็ก ๆ ก็เคยเห็น คนเขาทำกันปลุกเสกตัวเอง นั่งหลับตาแล้วเอามือลูบตามเนื้อตามตัว โอมปัจจคง โอมปัจจคัง โอมหนังเหนียว โอมอย่างนั้นโอมอย่างนี้ ว่าไปว่ามาเดี๋ยว หึหึหึ ตัวสั่นขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวลุกขึ้นแล้ว ลุกขึ้นไม่รู้จะต่อยกับใครเลยเอาหัวชนฝา พอเอาหัวชนฝาแรงมันก็เจ็บก็เลยนั่งลงเรียบร้อย ไอ้ที่ปลุกมันก็หายไป อันนั้นเขาเรียกว่าปลุกแบบไสยศาสตร์ ปลุกแบบความโง่ความเขลาไม่ได้เรื่องอะไร เรามันปลุกไม่ถูกต้อง คือพูดกับตัวเองนั่นคือการปลุกใจ เช่นเราบกพร่องอะไร เราเป็นคนใจร้อน ก็พูดกับตัวเองว่าอย่าใจร้อน หรือพูดในทางใหม่บอกว่าใจเย็น ๆใจเย็น ๆ พูดบ่อย ๆ จะไปไหน ก็ลงจากบันไดบ้านก็ใจเย็น ๆ จับพวงมาลัยรถก็ใจเย็น ๆ ปิดประตูรถก็ใจเย็น ก็คอยพูดคอยสอน เวลาไปพบใครก็บอกใจเย็น ๆ อย่าไปใจร้อน อย่าไปคอยแสดงอาการไม่เป็นสุภาพบุรุษสุภาพสตรีให้คนอื่นเห็น เพราะการกระทำด้วยอารมณ์เกิดความหุนหันพลันแล่นมันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เราจึงคอยปลุกคอยเตือนตัวเองไว้ สอนเขาอย่างนั้น แล้วเขาก็กลับไป
มีมาอีกรายหนึ่ง มาอีกรายหนึ่งนี่มีถัง ถังสังฆทานถังใหญ่ ๆ ไปซื้อมา ถังหนึ่งก็หลายร้อยบาทแล้ว โยมมาวัดก็ชอบเอาถังนั้นมาด้วย ความจริงมันก็มากมายเหลือเกินแล้วไอ้ถังเหล่านี้ที่เอามาถวาย เปลี่ยนเป็นอื่นบ้างก็ได้ มาถวายสังฆทานไม่ต้องซื้อถังมาก็ได้ เอาปัจจัยที่ว่าไปซื้อถังนั้นราคาเท่าไหร่ ๒๐๐ บาท ก็เพิ่มเข้าอีกสักร้อยเป็น ๓๐๐ ร้อย แล้วเอามาทำบุญเฉย ๆ ทำบุญโรงพยาบาลก็ได้ บำรุงวัดวาอารามก็ได้ มันก็จะได้ใช้จ่ายในเรื่องอื่นที่จำเป็นต่อไป เอาถังมาก็ไม่รู้จะใช้อะไรมันมากเกินไป จะประกาศเลหลังถังมันก็ดูกระไรอยู่ ต้องไปลงหนังสือพิมพ์ว่าที่วัดชลประทานฯจะประกาศเลหลังถังสังฆทาน ผู้ใดสนใจก็ไปได้ ก็จะหาว่าท่านปัญญาเป็นนักธุรกิจไปเสียอีก เป็นพ่อค้าขายถังมันก็เสียชื่อเปล่า ๆ ไม่ได้เรื่องอะไร ทีนี้โยมไม่ต้องซื้อถังมาก็ได้ มาทำบุญเฉย ๆ เอาปัจจัยมาถวายสเป็นกองกลางไว้ ถวายก็เป็นของวัดทั้งนั้นแหละ เอามาไม่ได้เอาอะไรเอาถวายวัดทำประโยชน์แก่วัดต่อไป มันก็ดีกว่า จะได้ประโยชน์กว่า
คนนั้นแกก็มาเอาถังมา ๓ ถัง แล้วมาถึงก็นั่งลงเรียบร้อย แล้วก็บอกว่าดิฉันนี่กลุ้มใจ มีความทุกข์ อ้าวทุกข์อีกแล้ว คนมาหาพระนี่ส่วนมากเป็นทุกข์ทั้งนั้น ไอ้ที่สบายแล้วไม่ค่อยมา คนสบายนี่ไม่มา เถ้าแก่นายห้างถ้าเป็นทุกข์ก็มาเหมือนกัน นี่ก็บอกเป็นทุกข์ อ้าวทุกข์เรื่องอะไร ทุกข์เรื่องมรดก อ้าว แล้วนี่ทุกข์เรื่องมี บางคนทุกข์เรื่องจนเรื่องไม่มีจะกิน ไม่มีจะใช้ แต่ว่าคน ๆ นี้แกทุกข์เรื่องมี ถามว่าเป็นทุกข์อย่างไร สามีถึงแก่กรรม เมื่อสามีถึงแก่กรรมแล้วก็ทำหนังสือพินัยกรรมมอบให้คน ๆ หนึ่งเป็นผู้จัดการมรดก ปีหนึ่งแล้วยังไม่จัดการอะไรเลย ยังไม่จัดการอะไรให้ แกก็ลำบากสิ ไม่มีเงินมีทองจะทำงานทำการอะไรเขาไม่จัดให้ ไปพูดไปจาเขาก็บอกว่าจัดให้ได้ แต่ว่าจะให้เพียงยี่สิบเปอร์เซ็นนอกนั้นให้กับลูก ๆ ลูกนั้นก็ไม่ใช่ลูกของโยมคนนั้น เป็นลูกภรรยาเก่าแต่ว่าภรรยาเก่าตาย เมื่อภรรยาเก่าตายนี่ลูกภรรยาเก่าตัวยังเล็ก ๆ อายุเพียง ๑๑-๑๒ เท่านั้น แกก็เลี้ยงมา เลี้ยงมาจนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลี้ยงจนกระทั่งโต คราวนี้พอเตี่ยตาย พอเตี่ยตายก็มอบพินัยกรรมไว้กับน้องชายให้เป็นผู้จัดการมรดก มันก็จะยกให้ลูกทั้งหมดมันไม่ถูกต้อง ทีหลังก็มาบอกห้าสิบห้าสิบ คือแบ่งคนละครึ่ง แล้วมันจะเอาของแกไปแบ่งด้วย ไอ้ที่แกหาแกทำมานี่ก็มีเหมือนกันมันจะเอาแบ่งด้วย
ได้ฟังเรื่องแล้วก็นึกในใจว่า โธ่เอ๋ย มนุษย์ในโลกนี่มันแย่เต็มที มีแต่เรื่องเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ มีแต่เรื่องเอารัดเอาเปรียบกันด้วยประการต่าง ๆ คนที่มันฆ่ากันแกงกันอยู่ทุกวัน ๆ นี่มันไม่ใช่เรื่องอะไร เรื่องความไม่เป็นธรรม ความไม่เป็นธรรม มันก็ฆ่ากันทำลายกันด้วยอาวุธนะถ้าโกรธจัดขึ้นมา แต่นี่ไม่ถึงอย่างนั้น แกบอกว่าจะทำอย่างไร ให้หลวงพ่อช่วย จะช่วยอย่างไร หลวงพ่อจะไปช่วยได้อย่างไร ช่วยดลบันดาลจิตใจคนพวกนั้นให้มันดีขึ้นหน่อย มันก็ไม่ได้ เพราะมันไม่ได้เข้าใกล้ ถ้าเข้าใกล้จะได้พูดได้คุยกัน แกก็บอกว่ามันฟังเทศหลวงพ่อทางโทรทัศน์ มันฟังเฉย ๆ แต่มันไม่ได้เอาไปใช้ มันฟัง แต่มันไม่ได้เอาไปใช้ ฟังไว้คุยเล่น แบบคือว่า เออ ผมก็ฟังท่านปัญญาเหมือนกัน แต่มันไม่ได้เอาไปปฏิบัติ เพียงสักแต่ว่าฟังแล้วมันจะได้เรื่องอะไร แล้วก็พูดจาไปบอกว่าเอาไปอย่างนี้ก็แล้วกัน คือยอมเขาเสีย ยอมให้เขาแบ่งห้าสิบห้าสิบก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้เลย ไม่ได้เจ้าค่ะ อย่างนั้นมันก็เสียเหลี่ยมดิฉัน อ้าว ทีนี่แหละ
นี่มันมากแล้วก็ยุ่งอย่างนี้แหละ ลบเหลี่ยมออกเสียบ้างซี ไอ้เหลี่ยมนั่นคืออะไร ก็คือความมีตัวมีตนนั่นเอง อัตตาตัวตนนั่นเป็นเหลี่ยมที่เราถือไว้แล้วมันยุ่งกับเหลี่ยมนั่นแหละ มนุษย์เรามันยุ่งกับเรื่องมีเหลี่ยม มีตัวมีตนไม่ยอม อย่างนั้นไม่ยอม ไม่ยอมแล้วจะทำอย่างไร ถามว่าแล้วจะให้ทำอย่างไร บอกว่าไปนู่น ไปหาอัยการ เขามีแผนกอัยการเวลานี้ เขาช่วยปรึกษาหารือ ช่วยให้คำแนะนำ แล้วเขาบอกว่าไปหาก็ลำบาก นี่ส่งเรื่องไปที่ศาล ตั้งปีแล้วศาลก็ไม่ตอบว่าอย่างไร บอกว่าราชการบ้านเรามันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ช้า เพราะคนมันมาก ต้องมีน้ำอดน้ำทนหน่อย แล้วก็บอกว่าไม่อย่างนั้นก็ไปนู่น ไปสมาคมสตรีทางกฎหมายนั่นเขามีการช่วยเหลือพวกสตรีด้วยกัน ที่เกิดปัญหา เกิดความลำบากเดือดร้อนในเรื่องเกี่ยวกับกฎบัตรกฎหมาย เขาจะช่วยกัน ให้ไปหา แกถามว่าอยู่ที่ไหน โอ! อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกันเรื่องนี้ ก็ไม่เคยไปหาสมาคมเหล่านี้ ไปศึกษาเอาสิ ไปสืบเอาสิ หรือว่าจะไปหาทนาย ทนายก็ลำบาก แกบอกว่าต้องไปหาทนายที่เขาดี ๆ มีชื่อมีเสียง เช่นคนลูกศิษย์มงคลนานทร์นี่เขามีสำนักงานทนายใหญ่ ลองไปปรึกษาหารือกับเขา เพื่อเขาจะได้แนะนำ แต่มันก็ไม่จบเรื่องนะ ถ้าให้จบเรื่องก็ยอมความเสียดีกว่า มันไม่มีเรื่องอะไร ยอมเสียมันก็หมดเรื่องไป ได้เท่าใดก็พอใจเท่านั้น ไอ้ไม่ได้ก็ไปขึ้นศาลอะไรต่ออะไรเป็นเรื่องประสาท กว่ามันจะจบเรื่องมันก็เป็นโรคประสาทไปเสียเปล่า ๆ แนะนำไปอย่างนั้น แล้วจะไปทำอย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน อันนั้นรายหนึ่ง
อีกรายหนึ่งมาแปลกกว่านั้นอีก แปลก บอกว่าผมมีลูกชาย มีลูกชายแล้วมันก็ไปเรียนโรงเรียนอาชีวะ เรียน ปวช. เรียนอะไรอย่างนั้นแหละ แล้วมันไปคบเพื่อนไม่ดี คราวนี้เพื่อนไปขโมยของเขา ไปขโมยแล้วมันเอามาให้ลูกของผมนี่ไปจำนำ เขาก็ไปจับได้ จับได้ว่าคน ๆ นี้ไปจำนำไว้ เรื่องมันก็โดนตำรวจจับ ทีนี้แกบอกว่าตำรวจเขาจับแล้ว แกบอกว่าไปที่ตำรวจทุ่งมหาเมฆ ออกชื่อหน่อยก็ได้เผื่อตำรวจได้ยินบ้างก็จำได้เอาไปรู้ไว้ ตำรวจทุ่งมหาเมฆบอกว่าอย่างนี้ เอามาสามหมื่น ถ้าได้คนละสามหมื่นนะ จำเลยก็หลายคน คนละสามหมื่น ๆ จะทำให้เบาลงไป ให้เรื่องมันเบา ให้เป็นเรื่องฉกชิงวิ่งราว ไม่ให้เป็นเรื่องปล้น เพราะเรื่องปล้นโทษมันหนัก อย่างน้อยติดคุกตั้งสิบปี ขอเงินคนละสามหมื่น ๆ แกไม่ให้ แกชอบความยุติธรรมเหมือนกันเลยไม่ให้ ไม่ให้ได้เลยไง ตำรวจก็ทำเรื่องให้ติดจริง ๆ ฟ้องกันไปจนถึงศาล ศาลก็ตัดสินจำคุก แต่ก็ขออุทธรณ์ โดยติดคุกอยู่สองเดือน ก็เลยรับประกันออกมา เสียเงินประกันเป็นหลักประกันไว้สามแสน แล้วก็ศาลอุทธรณ์ก็ตัดสินขังเหมือนกัน แล้วก็ฎีกาอีก เวลานี้ฎีกามาแล้ว แต่ว่าคำสั่งคำตัดสินศาลฎีกาลงมาแล้ว ใส่ซองประทับตรามาเรียบร้อย ให้ศาลล่างอ่านให้เขาฟัง เขาบอกว่าให้ไปศาลนะ คราวนี้ทนายความบอกว่าอย่าไป อย่าไปศาล อย่าไปฟังคำพิพากษา หลบตัวไปเสีย บอกอ้าวโยม อย่าไปเชื่อทนายอย่างนั้นนะ ถ้าไปเชื่ออย่างนั้นลูกของโยมนี่ต้องมีชนักติดหลังตลอดไป ถ้าสมมติว่าเขาตัดสินขัง ก็ต้องชนักติดหลังอยู่ต่อไป จะหนีไปไหนเขาก็ตามจับมา แล้วไม่ใช่ติดคุกเรื่องเดียว แต่ติดคุกสองเรื่อง คือว่าขัดคำสั่งศาลด้วย แล้วเงินประกันสามแสนนี่โยมต้องเสียเปล่า ไม่ได้เอาคืนมาเลยแม้แต่น้อย อย่าไปเชื่อทนายความ
แล้วแกบอกว่าทนายความคนก่อนนี่ มาถึงจะช่วย แต่เรียกเงินหนึ่งแสน แล้วบอกว่าคนครอบครัวผมมันยากจน จะเอาเงินแสนมาให้ที่ไหน บอกไม่ได้ คดีนี้คดีใหญ่และอุกฉกรรจ์มหันตโทษมันต้องเอาแพงหน่อย แกก็บอกไม่เอา หาทนายคนอื่น ทนายคนอื่นก็ลดลงมาหน่อย เอาเพียงหมื่นเดียว แกบอก แหม กับทนายนี่ก็เหลือเข็ญเหมือนกัน ไม่ปราณีปราศัยนะ ใครเป็นทนายฟังแล้วก็อย่าหาว่าหลวงพ่อว่าทนาย มันไม่เหมือนกันทุกคนหรอก ทนายดีก็มีทนายไม่ดีก็มีมันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้ออกว่าใครตรงไปตรงมา มันก็เป็นอย่างนั้น
ทีนี้ก็บอกว่าให้ไปศาล ให้ไปฟังคำพิพากษาเสีย บอกว่าถ้าไปเขาตัดสินขังจะทำอย่างไร อ้าว ก็ขังสิ เรามันทำบาปทำกรรมไว้นี่ ก็ต้องรับโทษแหละ แต่ถ้าเราไม่ไปนี่ หนึ่งเสียเงินสามแสนฟรีให้เขาไป ศาลยึด ประการที่สอง ชนักติดหลังลูกต่อไป จะไปอยู่ที่ไหนก็ชนักติดหลัง ทนายเขาบอกว่าเวลานี้ลูกเปลี่ยนชื่อแล้ว เปลี่ยนชื่อนั่นมันเปลี่ยนได้ แต่รูปหน้าตามันจะเปลี่ยนได้หรือเปล่า หน้าตามันเหมือนเดิมหรือเปล่า เมื่อก่อนชื่อนายแก้ว เปลี่ยนเป็นนายจันทร์ แล้วหน้าตามันเหมือนนายแก้วอยู่หรือเปล่า นั่นสิหน้ามันเปลี่ยนไม่ได้ ทำงานอยู่ที่ไหน ทำงานอยู่ที่บริษัทนั้น แล้วทำงานในบริษัทนั้นแล้วบอกว่าอย่าไป ถ้าเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเสียงแล้วเขาคงจับไม่ได้ นั่นเป็นคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง แล้วบอกว่าเชื่อหลวงพ่อดีกว่า ให้ไปรับฟังคำพิพากษา
พอกลางคืนโทรมาอีก โทรมาบอกว่า หลวงพ่อ ผมมีเงินที่ประกันอยู่สามแสนนะ ถ้าหากว่าถอนเงิน ถ้าหากว่าเอาเงินสามแสนออกมาได้ ผมจะถวายหลวงพ่อหนึ่งแสนสร้างตึกพยาบาล แล้วจะให้ทำอย่างไร ให้หลวงพ่อไปติดต่อกับประทานศาลฎีกา อ้าว แล้วกัน มันจะให้สินบนท่านปัญญาเสียแล้ว ให้ไปติดต่อกับประทานศาลฎีกา แล้วก็ให้ประทานช่วยแก้ไขคำสั่ง บอกไม่ได้ เขาตัดสินแล้ว เขาใส่ซองประทับตราส่งมาศาลล่างแล้ว ประทานจะทำไม่ได้ แล้วประทานก็เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ประทานเดี๋ยวนี้ก็เป็นซื่อสัตย์สุจริต จะทำอย่างนั้นไม่ได้ แล้วถ้าว่าฉันจะไปพูดกับประทานอย่างนั้น ฉันมันเสียคนนะศิ ฉันเป็นท่านปัญญามันก็ไม่มีปัญญาเสียแล้วนะ ถ้าขืนไปทำอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ ต้องให้ลูกไปฟังคำพิพากษา แกว่า ลูกมันไม่ยอมไป อ้าว ไม่ยอมไปก็สุดแล้วนะ ถ้าไม่ยอมไปก็ลำบากมีปัญหา ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น นี่เรื่องพรรณนั้น เรื่องเกี่ยวกับลูก เมื่อลูกมีปัญหา ห้าปีแล้วนะ ในระหว่างคดีนี่ ๕ ปีแล้วเวลานี้ลูกแต่งงานแล้ว มีลูกสองคนแล้ว แล้วก็ ๓ ศาลนี่ กว่าจะได้จบเรื่องกับศาลฎีกามันตั้ง ๕ ปีนะ ไม่ใช่เวลาเล็กน้อย ครานี้ถ้าหากว่าถูกตัดสินขัง เขาเคยไปอยู่ในคุกสองเดือน เขาโอยอยู่ในคุกลำบาก บอกว่านี่แหละเราไม่ได้สอนลูกให้รู้ว่าคุกมันลำบาก ให้ไปดูคุกเสียบ้างก็ได้ก่อน ว่าง ๆ ดูว่าเขาอยู่กันอย่างไร แล้วจะไม่ไปคบเพื่อนชั่ว แล้วจะไม่ทำชั่ว มันก็ติดคุกกันทั้งชุดนั่นแหละ ไอ้พวกลักก็ติดด้วย ติดกันทุกคน ๒-๓ คนด้วยกัน มันก็ต้องติด
นี่คือปัญหาที่เขามาไต่ถาม มาปรึกษาหารือ วันหนึ่ง ๆ มีเรื่องเยอะแยะ ไปอยู่เชียงใหม่นี่สบาย ไม่ต้องเป็นที่ปรึกษาใคร เป็นที่ปรึกษาตัวเองเพราะว่าอยู่ห่าง มันห่างบ้านห่างเมืองมันก็ไม่ค่อยไปหา ไม่ค่อยมีเรื่อง แต่ก็มีบ้างเหมือนกัน แต่ว่าวันพรุ่งนี้นี่เป็นวันที่ชาวไทยตื่นตัวตื่นใจกันมาก เพราะเป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ มีการกระทำอะไรดังปรากฏเป็นข่าวในทางโทรทัศน์ทางวิทยุ ซึ่งโยมผู้สนใจฟังก็ได้รู้ได้เข้าใจอยู่แล้ว ไม่ต้องเอามาพูดพรรณาให้ยาวความ แต่ว่าแสดงว่าคนไทยเรานั้นมีความจงรักษ์ภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และบรมราชินีนาถ อาจพูดได้เป็นการที่เขาเรียกว่า จงรักษ์ภักดีต่อพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติของบ้านเมือง ประเทศไทยเรานั้นอยู่มาได้โดยอาศัยบารมีพระมหากษัตริย์ เพราะสมัยก่อนนั้นคนไทยยังไม่เจริญยังไม่ก้าวหน้าในเรื่องการศึกษาเล่าเรียน ยังไม่รู้ว่าจะจัดอะไร จะทำอย่างไร ความรับผิดชอบในเรื่องการบ้านการเมืองอยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดที่จะทำอะไรได้ตามชอบใจ แต่ว่าไม่เคยใช้อำนาจในทางที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อน พระมหากษัตริย์เป็นเหมือนกับพ่อของประชาชน ทำแต่เรื่องให้เกิดความสุขความเจริญแก่ประชาชนตลอดมา ตั้งแต่ยุคสุโขทัยเป็นราชธานี
จนมากระทั่งถึงกรุงเทพพระมหานครเรานี้ กษัตริย์ในราชวงศ์จักรีผู้ปกครองกรุงเทพมหานครทุกพระองค์ก็ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องเรียบร้อยมาโดยลำดับตามยุคตามสมัย ทำให้บ้านเมืองเจริญขึ้นตามยุคตามสมัยของพระองค์นั้น ๆ จนกระทั่งถึงพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ที่ชาวโลกยอมรับรองว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีนโยบายในการปกครองบ้านเมืองอย่างแนบเนียน ทรงเข้าถึงประชาชน ไปพบปะกับประชาชน ไปเป็นกันเอง ไปปรึกษาหารือแนะแนวทางชีวิตด้วยประการต่าง ๆ เมื่อพระมหากษัตริย์เสด็จไป พระราชินีก็เสด็จไปด้วย เจ้าฟ้าหญิงเจ้าฟ้าชายก็ไปด้วยเหมือนกัน เรียกว่าครอบครัวนี้เป็นครอบครัวชั้นหนึ่งของประเทศไทย ได้ทำกิจอันเป็นประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมืองด้วยประการต่าง ๆ เป็นปูชนียบุคคลที่ชาวไทยได้เคารพสักการะกันด้วยประการต่าง ๆ แล้วก็มีการจัดทำอะไร ๆ เป็นอนุสรณ์แก่พระองค์หลายเรื่องหลายอย่างด้วยกัน ดังปรากฏเป็นข่าวอยู่แล้วไม่ต้องพรรณาให้ยาวความก็ได้ แต่ว่าการกระทำทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องฝ่ายวัตถุ ไม่ใช่เป็นเรื่องฝ่ายจิตใจ เราควรจะปฏิบัติในทางจิตใจเพื่อเป็นอนุสรณ์ในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาหรือในวันที่ราชการถือว่าเป็นวันแม่
วันแม่นี่สมัยก่อนมันถือเอาวันเมษายน เดือนเมษายน เอาวันใดวันหนึ่งในเดือนเมษายนเป็นวันแม่ แต่ต่อมาก็ถือว่าวันเฉลิมพระชนม์พรรษาพระบรมราชินีนาถนี่แหละเป็นวันแม่ ถือว่าพระบรมราชินีนาถนั้นเป็นแม่ของคนไทยด้วยเหมือนกัน เป็นแม่ที่ให้ความสุขให้ความเจริญ เลยถือว่าเป็นวันแม่ วันพรุ่งนี้ก็คงจะมีงานใหญ่ปฏิบัติกันเป็นงานใหญ่ในเรื่องเกี่ยวกับวันแม่ เวลานี้ตามโรงเรียนต่าง ๆ ก็ทำพิธีกรรมเกี่ยวกับให้ลูกได้นึกถึงพระคุณของแม่ ก็เชิญแม่มาร่วมที่โรงเรียน โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ตอนนี้ก็มีวันแม่เหมือนกัน เขากำลังทำกันอยู่ที่นู่น เมื่อ ๘ โมงนี้หลวงพ่อก็ได้ไปพูดตักเตือนเด็ก ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ แต่เห็นแม่มาน้อย ก็เลยบอกว่าแม่นี่ยังไม่เอาเรื่องเอางาน วันนี้เป็นวันสำคัญที่แม่กับลูกควรจะเจอกัน แต่ไม่มาร่วมพิธี มาเหมือนกันแต่มาช้า ไม่ค่อยจะตรงเวลา หลวงพ่อออกมาแล้วสวนทางกับแม่หลายคน บอกว่าบ้านอยู่ไหน อยู่หลังวัดนี่เอง อ้อ หลังวัดแต่มาช้า ไอ้พวกคนอยู่ใกล้มักจะมาช้า ไอ้คนอยู่ไกลมักจะมาก่อนเพราะไกลนั่นเองไม่ใช่เรื่องอะไร นี่เพิ่งมา หากเป็นอย่างนั้นนิสัยช้า ๆ บอกว่าทีหลังอย่ามาช้าเพราะอยู่ใกล้ ควรรีบมาหน่อย แล้วบอกว่ามีธุระที่จะต้องจัดต้องทำ ก็วันนี้นี่วันพิเศษ หยุดงานเสียบ้างหยุดธุระเสียบ้างรีบมาหน่อย ก็ตักเตือนไปในรูปอย่างนั้น
ก็เราทั้งหลายก็มีแม่ด้วยกันทั้งนั้น แล้วเราก็ควรจะระลึกถึงแม่ แม้คนเราอายุมากแล้ววันแม่นี่ก็ควรระลึกถึงแม่ นั่งสงบจิตสงบใจแล้วก็นึกว่า ใครเกิดเรามา ใครเลี้ยงเรามา ใครให้การศึกษาแก่เรา ชีวิตเราที่ได้อยู่ก็สุขสบายเท่าที่เราเป็นเราอยู่นี้ใครเป็นผู้ทำให้เราได้อย่างนี้ ไม่มีใคร คำตอบมันก็ไปรวมจุดเดียวก็คือคุณพ่อกับคุณแม่ นึกทั้งสองคนนั่นแหละอย่าเอาแต่แม่คนเดียว ความจริงวันพ่อเขาก็มีเหมือนกันแต่ไม่ค่อยใหญ่เท่าใด วันแม่นี่สำคัญเพราะแม่เป็นผู้ได้รับเกียรติสูง เพราะแม่นี่เป็นคำที่สำคัญมาก แม่นี่ไม่ว่าแม่อะไรมันใหญ่ทั้งนั้นเก่งทั้งนั้น เขาจึงถือเอาแม่เป็นเรื่องใหญ่ พ่อเรื่องเล็กไปหน่อย แต่เราก็นึกควบกันไปเพราะถ้าไม่มีพ่อ แม่ก็เกิดเราไม่ได้ อันนี้มันต้องสองคนร่วมกัน
ชีวิตของเราก็คือการรวมตัวของคุณแม่คุณแม่ แบ่งภาคร่างกายมาให้ แบ่งจิตใจ แบ่งเลือดแบ่งเนื้อมาให้แก่เรา เราก็มาระลึกถึงสิ่งที่ท่านได้มอบให้แก่เรานึกถึงว่าสมัยเราเด็ก ๆ นี่คุณพ่อเคยสอนอย่างไร คุณแม่เคยสอนอย่างไร ท่านทำอะไรกับเรา อาจนั่งสงบใจอยู่สักหนึ่งชั่วโมงในวันแม่ แล้วนึกย้อนหลังไปเมื่อสมัยเด็ก ๆ นั้น ว่าเราได้รับอะไรจากแม่บ้าง นั่งนึกไป นึกไปประเดี๋ยวก็น้ำตาไหลเองแหละมันตื้นตันใจ ตื้นตันใจขึ้นมา พูดอะไรไม่ออกน้ำตามันไหลออกมา ไหลเพราะความปิติว่าเรานี้เป็นคนมีบุญที่ได้แม่อย่างประเสริฐที่มีน้ำใจ ได้เลี้ยงดูให้การอบรมบ่มนิสัยด้วยประการต่าง ๆ อาตมานี่ก็นั่งคิดถึงบ่อย ๆ ไม่ใช่คิดแต่ในวันแม่หลอก ว่าง ๆ บางทีก็นั่งคิดถึงคุณแม่เสียหน่อย คิดถึงคุณพ่อเสียหน่อย แล้วคิดถึงแล้วมันก็ตื้นตันใจทุกทีในคุณงามความดีนั้น ๆ เป็นเครื่องสร้างคุณค่าทางจิตใจ สร้างพลังงานให้เราได้เกิดความสำนึกว่าเราควรจะทำอะไร เราควรจะใช้ชีวิตอย่างไร เพื่อเป็นการบูชาพระคุณของคุณแม่ของเรา เราก็ได้คิดก้าวหน้าในชีวิตในการงานต่อไป นี่เป็นเรื่องสำคัญ
แต่ทีนี้ตัวแม่ที่สำคัญนั่นคืออะไร เราต้องคิดให้ลึกลงไปคิดให้ลึกลงไปว่า ตัวแม่ที่แท้จริงนั้นคืออะไร คุณแม่ของเราก็เป็นสุภาพสตรีธรรมดา ๆ แต่ว่ามีคุณค่าอะไรขึ้นในจิตใจจึงได้ทำหน้าที่ของแม่อย่างสมบูรณ์เรียบร้อย ตัวคุณค่าที่เกิดขึ้นในน้ำใจของคุณแม่นี่แหละคือแม่แท้ของเราเป็นแม่แท้ของเรา ถ้าแม่ขาดคุณค่าทางจิตใจแล้วความเป็นแม่ก็จะไม่มี
ในสังคมปัจจุบันนี้สุภาพสตรีหรือผู้หญิงเรามีความเป็นแม่ที่ขาดคุณธรรมขึ้นบ่อย ๆ เพราะว่าประพฤติผิดศีลธรรม ไม่ถึงเวลาที่จะควรจะมีลูกแต่ว่ามันมีเกิดขึ้นมาเพราะความไม่ประพฤติธรรม ขาดศีลขาดธรรม ไม่รู้จักควบคุมจิตใจทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง แล้วมันก็เกิดอะไรขึ้นมา เกิดอะไรขึ้นมาแล้วก็ต้องการปกปิดไม่ให้ใครรู้ ไม่อยากเปิดเผย ความเป็นแม่มันไม่มีในจิตใจก็ไปทำการเรียกว่าทำแท้ง ทำแท้งตามภาษาที่เขาใช้ คือไปเอาออกเสียโดยไม่ถึงเวลาจะให้เอาออก อย่างนี้ผู้หญิงคนนั้นไม่มีคุณค่าของความเป็นแม่ ไม่มีธรรมะของความเป็นแม่ขึ้นในใจ ความเป็นแม่มันก็ไม่มี แต่ถ้ามีคุณธรรมของความเป็นแม่คงไม่ทำอย่างนั้น นึกว่าช่างเถิดไหน ๆ เขาก็มาเกิดในท้องของเราแล้ว เราก็ต้องทนเลี้ยงต่อไป อุ้มท้องต่อไปจนครบวาระที่จะเกิดแล้วก็เกิดกันไปตามเรื่อง
มีหมอคนหนึ่ง ชื่อหมอพร เดี๋ยวนี้คงจะตายไปแล้วเพราะว่าหลายปีแล้ว แกเป็นผู้คุ้นเคยกับเจ้าพระคุณสมเด็จวัดสามพระยาในสมัยที่ยังเป็นพระราชาคณะสามัญ ไม่ได้เป็นสมเด็จ แล้วก็วันหนึ่งนิมนต์ไปฉันที่บ้าน หลวงพ่อก็ติดสอยไปด้วย ท่านพาไปฉัน ก็มีเด็กตัวน้อย ๆ คลานป่วนเปี้ยนอยู่ตรงนั้น ท่านเจ้าคุณท่านก็ถามเป็นเชิงล้อว่า มีอีกแล้วหรือ ท่านบอกว่ามีใหม่อีกแล้วหรือ ท่านบอกว่าไม่ใช่ ๆ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง แล้วท่านก็เล่าให้ฟัง บอกว่ามีเด็กนักเรียนนักศึกษามหาวิทยาลัย เขาตั้งท้องแล้วเขามาหา มาหาเพื่อให้หมอช่วย
"ถามว่าให้ช่วยอย่างไร"
"ให้ช่วยเอาออกเสีย"
"โอ! อย่างนั้นมันทำไม่ได้ หมอทำไม่ได้ เพราะหมอไม่ได้หากินทางนี้ หมอทำไม่ได้"
"แล้วบอกหนูขายหน้า"
"บอกว่าไม่เป็นไร หมอจะช่วย ให้นึกว่าหมอนี่เป็นพ่อของหนูก็แล้วกัน หนูมาอยู่กับหมอ มาอยู่กับหมอ หมอจะเลี้ยงดูเหมือนลูกของหมอ แต่ว่าก่อนที่หนูจะมานี่ ไปตามนักศึกษาผู้ชายมาพบหมอด้วย" ถามว่าไปตามมาได้ไหม บอกว่าได้ เขาก็ไปตามนักศึกษาชาย เอามาพูดจากทำความเข้าใจกัน
หมอก็พูดว่านี่เป็นความบกพร่องของเธอทั้งสอง ที่ขาดคุณธรรมขาดความยับยั้งชั่งใจ ขาดการบังคับตัวเอง ไปทำอะไรที่มันตามใจกิเลสมากเกินไป แต่ไม่เป็นไรมันผิดไปแล้วก็ให้แล้วกันไป แต่ว่าเธอจะต้องรับรองกับหมอว่าเมื่อจบการศึกษาแล้วต้องแต่งงานกับหนูคนนี้ แล้วหนูคนนี้ก็ต้องหลบไปก่อน ไม่ต้องไปเรียนเป็นเวลาสิบเดือน สิบเดือนกว่า ๆ หลบไป ค่อยไปเรียนต่อ เลยมาอยู่ในความคุ้มครองของคุณหมอ หมอก็ดูแลเลี้ยงดูอย่างดี ไม่ได้อนาทรร้อนใจ นักศึกษาคนนั้นก็มาเยี่ยมบ่อย ๆ ตามสัญญาที่ได้ทำไว้กับคุณหมอ จนกระทั่งคลอดลูกเป็นผู้ชาย น่ารักน่าเอ็นดู คลานต้วมเตี้ยม รูปร่างอ้วนท้วนแข็งแรง หมอเลี้ยงไว้ แล้วก็ให้หนูคนนั้นไปเรียนหนังสือก่อน เรียนหนังสือจยกระทั่งจบได้ปริญญา ได้ทั้งสองคนแล้วก็ทำพิธีแต่งงานกันต่อไปเป็นระเบียบเรียบร้อย
นี่เขาเรียกว่าเป็นหมอที่มีคุณธรรม ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วทำการฆ่าคนด้วยใจเย็น เวลานี้มันก็มีนะ พวกหากินทางนี้มันก็มีเหมือนกัน เป็นหมอบ้าง เป็นนางพยาบาลพดุงครรภ์บ้าง ทำหน้าที่อย่างนี้ มาเที่ยวทำการอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นบาปเป็นอกุศล เป็นเรื่องที่เราไม่ควรจะทำ แต่ว่าเขาก็มาจ้างให้ทำ ถึงจ้างก็ไม่ควรทำ เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นการฆ่าคน คนที่มาเกิดแล้วมันถูกฆ่ามันเป็นการไม่เหมาะไม่ควร แกก็ไม่ทำอย่างนั้น เพราะหมอนั้นมีคุณธรรม มีความเป็นธรรมอยู่ในใจ
ไอ้ความเป็นธรรมที่อยู่ในใจนี่นะ ทำอะไรแล้วมันสมบูรณ์ เป็นคนสมบูรณ์ เป็นพ่อสมบูรณ์ เป็นแม่สมบูรณ์ เป็นครูอาจารย์สมบูรณ์ เป็นอะไรสมบูรณ์ เป็นพระสงฆ์องค์เจ้าที่สมบูรณ์ ก็เพราะว่ามีคุณธรรมตามฐานะ ก็ธรรมะที่พระพุทธเจ้าประกาศสอนไว้นั้นมีมากมายหลายขั้นหลายตอน ให้เหมาะแก่คนที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติ พระราชามหากษัตริย์ก็ต้องดำรงพระองค์อยู่ในทศพิศราชธรรม ทศพิศราชธรรมนั้นเป็นคุณธรรมของพระราชา ข้าราชการก็ต้องมีธรรมของข้าราชการ ชาวนาก็มีธรรมชาวนา ชาวสวน พ่อค้า กสิกรอะไรต่าง ๆ ต้องมีธรรมะทั้งนั้น ถ้าไม่มีธรรมะความเป็นคนก็ไม่สมบูรณ์ไม่เรียบร้อย เมื่อความเป็นคนไม่สมบูรณ์ อะไร ๆ จะสมบูรณ์ได้อย่างไร การงานมันก็ไม่สมบูรณ์ ความสุขก็ไม่สมบูรณ์ สร้างเนื้อสร้างตัวจะเอาความสมบูรณ์ไม่ได้ เพราะขาดธรรมะเป็นหลักครองใจ เพราะฉะนั้น ความเป็นพ่อก็ดี ความเป็นแม่ก็ดี ที่แท้จริงนั้น จึงอยู่ที่ความมีคุณธรรมของคนทั้งสอง คุณพ่อมีคุณธรรม คุณแม่มีคุณธรรม ลูกก็เกิดมาจากธรรม
เมื่อเด็ก ๆ ได้ยินคุณยายพูดเสมอว่า พระธรรมให้เกิด พระธรรมคุ้มครอง พระธรรมรักษา เราต้องเคารพพระธรรม นี่ก็พูดเข้าหูมาตั้งแต่ตัวน้อย ๆ แต่ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องว่าอะไร แต่ก็ฟังนะ ตอนกลางคืนแล้วให้ไหว้พระ ให้ไหว้หมอนก็ไหว้ไปตามเรื่อง แต่ว่าคำพูดนี้ฝังอยู่ในใจ ว่าพระธรรมให้เกิด พระธรรมคุ้มครอง พระธรรมรักษา เราอยู่กับพระธรรม ท่านพูดให้ฟังอย่างนั้น ก็เอาหัวใจของพระพุทธศาสนามาให้ทีเดียวแหละ เพราะว่าตัวธรรมะนี่เป็นสิ่งสำคัญ เป็นสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อเป็นหนัง เวลานี้พระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อเป็นหนังเสด็จปรินิพพานไปนานแล้ว ยังเหลืออยู่แต่พระธาตุที่คนเขาสมมติว่าเป็นธาตุของพระพุทธเจ้า แต่นั่นก็ไม่ใช่ตัวแท้ตัวจริงของพระพุทธเจ้า ตัวแท้ตัวจริงของพระพุทธเจ้าคือธรรมะที่เกิดขึ้นในน้ำพระทัยของเจ้าชายสิทธัตถะในวันเพ็ญวิสาขะก่อน พ.ศ. ๔๕ ปี นั่นแหละองค์พุทธธาตุที่แท้ องค์ที่แท้ไม่สูญไม่หาย ไม่ได้ดับไปจากโลกนี้
เวลาพระองค์จะปรินิพพานก็ได้ตอบปัญหาแก่พระอานนท์ที่ทูลถามว่า เมื่อพระองค์ยังดำรงพระชนม์อยู่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ได้เข้าเฝ้า ได้ฟังธรรม ได้ถือเอาพระองค์เป็นครูเป็นอาจารย์เป็นที่พึ่งทางใจ คำบาลีใช้คำว่า สตฺถา สตฺถา แปลว่าผู้นำทางใจ เป็นผู้นำทางจิตใจ ผู้นำทางวิญญาณ เรียกว่าเป็นสตฺถาของประชาชน ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จนิพพานไปแล้ว พระองค์จะตั้งผู้ใดให้เป็นตัวแทนพระองค์ต่อไป พระองค์ไม่ตั้งใครทั้งนั้น เพราะคนนี่มันยุ่ง ตำแหน่งนี้จะเป็นตำแหน่งที่จะต้องแย่งกันถ้าตั้งคนไว้ เลยไม่ตั้ง พระองค์ตั้งสิ่งสำคัญที่สุดแทนองค์พระพุทธเจ้าที่นิพพาน สิ่งนั้นคือตัวธรรมะนั่นเอง
พระองค์ได้ตรัสว่าอยู่คู่อานันทะ “ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต โส มมจฺจเยน สตฺถา” อานนท์เอ๋ย ธรรมวินัยอันใดที่เราได้สอนแล้วบอกแล้วบัญญัติไว้แล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั่นแหละจะเป็นศาสดาแทนเราต่อไป อันนี้สำคัญมาก ที่ญาติโยมทุกคนควรจะได้เข้าใจไว้ให้ถูกต้อง ว่าสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้าที่แท้คือตัวธรรมะ เพราะธรรมะนั้นเป็นตัวแท้ตัวจริงของความเป็นพุทธะ ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะไม่เข้าถึงตัวธรรมะก็ไม่เป็นพุทธะ ไม่เป็นผู้รู้ ไม่เป็นผู้ตื่น ไม่เป็นผู้เบิกบานแจ่มใส ไม่หลุดพ้นจากความทุกข์อะไร แต่เมื่อพระจิตของพระองค์ได้สัมผัสกับสิ่งนั้น พระองค์ก็ได้เป็นพุทธะขึ้นมา ได้เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้มีความเบิกบานแจ่มใน ไฟกิเลสไฟทุกข์ทั้งหลายดับวูบไปหมด ไม่มีในน้ำพระทัยของพระองค์อีกต่อไป นี่แหละคือตัวแท้
ทีนี้คุณแม่เราก็ดี คุณพ่ออะไรของเรานี้ก็เหมือนกัน ท่านมีธรรมะของความเป็นแม่อยู่ในใจของท่าน ธรรมะของความเป็นแม่ที่สำคัญก็คือเมตตา ปราณี นี่เรียกว่าเอาเข้าไปทั้ง ๔ อย่าง เรียกว่าพรหมวิหารธรรม ธรรมสำหรับคุณแม่คือ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ท่านมีครบอยู่ในน้ำใจของท่านตลอดเวลา ธรรมะนี้มีอยู่ท่านจึงได้ครองความเป็นแม่ แล้วก็ตำแหน่งแม่นี้ไม่จบไม่สิ้น ลูกจะใหญ่จะโตเท่าใด ความเป็นแม่ของแม่ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น แม่ยอมเปลี่ยนแปลง
อาตมาเป็นพระเที่ยวเทศสอนคนทั่วบ้านทั่วเมือง แต่พอกลับไปถึงบ้านคุณแม่เทศน์ทุกที พอนั่งเรียบร้อยคุณแม่ก็เริ่มเทศน์แล้ว สอนอย่างนั้นสอนอย่างนี้ให้ระมัดระวังตัวอย่างนู้นอย่างนี้อะไรต่าง ๆ ฟังแล้วมันตื้นตันใจ เวลาฟังคุณแม่เทศน์แล้วมันตื้นตันใจพูดไม่ค่อยออก ตื้นตันในใจ ก็นั่งฟังด้วยความสบายใจ บอกว่าเออนี่แหละน้ำใจแท้ของแม่ แม้ลูกจะโตแล้วคุณแม่ก็นึกว่าไอ้หนูของแม่นั่นเอง ไอ้หนูของแม่มานั่งอยู่ตรงนี้ ไม่นึกว่าเป็นพระเป็นอะไร แต่นึกว่าไอ้หนูของแม่ ก็สอนก็เตือนตลอดเวลา พูดแล้วแม้เวลาป่วย ป่วยถึงไม่หนักอะไรนะ ป่วยตามประสาคนแก่ คือว่ามันอ่อนเพลียไม่ค่อยจะมีกำลัง แต่ก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าหวีผมหวีเผ้าเรียบร้อยแล้วก็มานอนอยู่ตามปกติ เขาก็บอกว่าเจ็บหนักก็ไปเยี่ยม ก็ยังสอนอยู่นั่นแหละ ไปเยี่ยมแล้วก็ยังสอนยังเตือนอยู่ เป็นคำพูดที่ประทับใจ แม้ไม่มีเทปอัดเสียงแต่มันก็อัดอยู่ในน้ำใจตลอดเวลา นี่คือคุณแม่ของเราอย่างแท้จริง น้ำใจของท่านเป็นอย่างนั้น
อันนี้เราทุกคนเมื่อถึงวันแม่ก็ต้องนึกถึงพระคุณของแม่ แล้วทำอะไรตอบแทน จะตอบแทนด้วยอะไร ๆ ไม่ประเสิรฐเท่าชำระชั่วประพฤติดี ทำจิตใจของเราให้เข้าถึงธรรมะของความเป็นแม่ ให้มีน้ำใจของความเป็นแม่ คือให้มีความเมตตาปราณีต่อคนทั้งหลาย ให้มีน้ำใจกรุณาสงสารเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ที่เราควรจะสงสารเพราะเขาอยู่ในความทุกข์ความเดือดร้อนใจ แล้วเราก็มีมุฑิตา ยินดีในความดีในความสุขในความเจริญของเพื่อนมนุษย์ ไม่มีความริษยา ไม่มีความใจเหี้ยมใจโหดกับใคร ๆ มีแต่มุฑิตาพลอยยินดี อุเบกขาเมื่อยังทำอะไรไม่ได้ก็ดูไปก่อนว่าเราควรจะสอดแทรกเข้าไปช่วยเหลือใครอย่างไรได้บ้าง ถ้าไม่มีโอกาสก็ดูไปก่อน เรียกว่าอุเบกขา ไม่ใช่วางเฉย แต่ว่าดูไปก่อนว่าเราควรจะทำอะไร ถ้าเราทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่าเราทำหน้าที่ของความเป็นแม่ของเราเหมือนกัน
แม้เราไม่มีลูกแต่เราก็ทำหน้าที่ของความเป็นแม่แก่คนทั่วไป เป็นแม่คือมีความเมตตาแก่คนทั่วไป กรุณาแก่คนทั่วไป มุฑิตายินดีในความสุขความเจริญกับคนทั่วไป มีอุเบกขาคือดูอยู่ว่ามีอะไรจะช่วยใครได้บ้าง แล้วก็เข้าไปช่วยเหลือเจือจุนตามฐานะ นี่แหละคือแม่ที่แท้จริง ขอให้เราได้ระลึกถึงแม่คือพระธรรม แล้วสร้างพระธรรมให้เกิดขึ้นในใจของเรา มีอยู่บ้างแล้ว แต่ว่าเพิ่มให้มันมากขึ้น ๆ ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อพ้นทุกข์อย่างแท้จริง จึงจะเรียกว่าเรามีความกตัญญูกตเวทีต่อธรรมะคือแม่ของเรา
ดังนี้ สมควรแก่เวลาสำหรับวันนี้ ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้