แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ถึงเวลาของการโชว์ ปาฐกถาธรรมะแล้ว ขอให้หาที่นั่ง อย่ามัวเดินไปเดินมาให้วุ่นวาย หาที่นั่งที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงนี้ได้ และจงตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์ อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
ธรรมมา (00.30) ประโยชน์ที่เชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๒๗ ไปเข้าพรรษาที่นู่น แต่วันที่ ๓๑ ก็ลงมาที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ เพื่อมาอัดเสียงทางวิทยุสำหรับประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ แล้วก็มาออกโทรทัศน์ เมื่อตอนเช้าที่นี่เอง (00.56 เสียงไม่ชัดเจน) ตามหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายไว้ เสร็จแล้วก็จะเดินทางกลับ ในวันที่ ๖ สิงหาคม ไปเชียงใหม่ต่อไป (01.08 เสียงไม่ชัดเจน) กลับมาอีกทีหนึ่งวันที่ ๑๐ มาถึงวันอาทิตย์ที่ ๑๑ ก็อยู่ที่นี่ วันที่ ๑๒ วันแม่ ไปออกโทรทัศน์ เป็นเวลา ๑ ชั่วโมง ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง ๕ สนามเป้า แล้วก็เดินทางกลับไปอีกทีหนึ่ง ไป ๆ มาๆ ถ้ามีกิจธุระก็มา ไม่มีกิจธุระก็ไม่มา
ที่ไปอยู่เชียงใหม่นั้น ก็ไปพักผ่อน ก็ว่าไปปลูกต้น ...... (01.43 เสียงไม่ชัดเจน) ไปมาหาสู่ ตั้งแต่นับ (01.47) คือเขายังไม่รู้ว่าไปอยุ่ที่นั่น ก็ยังไม่มีใครมารบกวนนิมนต์ ให้ไปปาฐกถาที่นั่นที่นี่ มีมานิมนต์รายเดียว วันที่ ๒๗ สิงหาคม ไปที่อำเภอ สันทราย แล้วก็ไม่มีรายอื่นจะ คงจะมาทีหลัง เมื่อรู้ข่าวว่าไปอยู่ เขาก็คงจะนิมนต์ไปให้ทำงาน ตามที่ต่าง ๆ ตามที่ต้องการ แต่ว่าเมื่อไม่มีใครไป ก็ได้พัก ได้พักผ่อน เพราะว่าอยู่ในที่เงียบ ได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่ยังไม่ได้อ่าน นั่งคิดนึกตรึกตรองในเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ เพราะมันว่าง แล้วอาจจะเขียนอะไร ๆ อันจะเป็นประโยชน์แก่ ชาวพุทธทั่ว ๆ ไปด้วย
จำได้ที่วัดชลประทานนี่ทำไม่ได้ เพราะมีคนมาหาตลอดเวลา บางทีคนที่มาก็ไม่ได้มารบกวนอะไร มาให้ทั้งนั้น เอาเงินมาให้ เพื่อสร้างตึก ๘๐ ปี เวลานี้ตึก ๘๐ ปี ก็ขึ้นไปสูงแล้ว ถึงชั้นที่ ๖ กำลังก็ทำห้องตามชั้นต่าง ๆ เมื่อวานซืนนี้ หลวงพ่อไปดูเห็นไม้วงกบหน้าต่างนี่ ใช้ไม้ไม่ค่อยจะดีเท่าไร เป็นไม้มาเลเซียเนื้อมันอ่อน ก็เลยบอกเจ้าหน้าที่ชลประทานว่าควรแก้ไข ตึกมันสูงมันใหญ่ คอนกรีตแข็งแรง แต่ว่าวงกบเป็นไม้ประเภทไม่ค่อยจะดี ต้องเป็นไม้ขนาดที่ใช้ที่นี่ นี่ไม้ดีทั้งนั้น ไม้ตะเคียนทั้งนั้น
แต่ไปดูนั้น ก็วนสามรอบ ดูว่าเป็นไม้อะไร ผู้ควบคุมการก่อสร้างว่าไม้ตะเคียนทอง ไม้ตะเคียนทอง …… (03.42 เสียงหลวงไม่ชัดเจน) ไม้อย่างนี้มันไม่ใช่ไม้ตะเคียน มันเป็นไม้มาเลเซีย ของมาเลเซียนี่เป็นพันธุ์ไม้เนื้ออ่อนไม่ค่อยจะแข็งแรง แล้วบอกว่าให้คนไปเปลี่ยนให้มันสมค่ากันหน่อย ทำไม่ดีนี่ หลังนี้ไม้ตะเคียนนั้น เครื่องมือทุกอย่างไม้ตะเคียน วัดนี้ไม่ใช้ไม้มาเลเซีย สร้างกุฎิหลังเล็กๆ และกรรมฐานเวลาจะสร้างเขาก็เอาไม้อย่างนั้นมาให้ ทำวงกบ ประตู หน้าต่าง หลวงพ่อไปเห็นก็บอกว่าไม้นี้ไม่เอา เพราะมันไม่คงทนถาวร ไม่กี่วันก็ผุด้วย ให้ไปเปลี่ยนไม้มาใหม่ แต่เค้าก็เปลี่ยนได้ ไม่ใช่มันไม่มี มันมี แต่ว่าแบบนั้นราคามันถูก กำไรมันมากหน่อย แต่มันไม่คงทนถาวร (04.36 เสียงไม่ชัดเจน) เท่าใด เตือนไว้ให้เปลี่ยนใหม่ ให้แข็งแรงสมกับตัวตึกตั้งหกชั้น คอนกรีตแข็งแรงมาก ไปดูแล้วก็มั่นคงดีแต่ว่าไม้ไม่ค่อยดี ก็เลยไปเปลี่ยนไว้แล้ว เค้าคงจะแก้ไขกันต่อไป อา!! มันเป็นเรื่องที่ได้เห็นแล้วก็ไปกระทำมา
อันนี้เรามาพูดกันถึงเรื่องหลักการปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไป คนพวกเรานี้เป็นคนไทย อยู่บนผืนแผ่นดินไทย แผ่นดินไทยนี้เป็นแผ่นดินที่เรียกว่า อุดมสมบรูณ์ มีทรัพย์ในดิน มีสินในน้ำ พอกินพอใช้ ไม่เดือดร้อนสำหรับคนทั่วๆไป พอเรามา …… (05.23 เสียงไม่ชัดเจน) สักร้อยล้านก็ยังอยู่ได้ ไม่ลำบากเดือดร้อนอะไร เพราะที่ดินยังกว้าง ทรัพยากรยังพอใช้ แต่ว่าเราไม่ค่อยประหยัด ในการใช้จ่ายทรัพยากรของชาติ ชวนกันใช้อย่างฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เช่นใช้น้ำมันนี่ก็ใช้อย่างฟุ่มเฟือย แร่ธาตุต่างๆที่มีอยู่ในดิน ก็ขุดขึ้นมาใช้กันใหญ่จนกระทั่งว่าแร่หมดแล้ว ดีบุกภูเก็ตหมดแล้ว ที่อื่นก็ไม่มีแล้วเพราะเอามาใช้กันมากเกินไป แล้วต่อไปก็จะไม่มีใช้
ฟืนไม้สักก็ตัดกันเป็นการใหญ่ ส่งไปขายต่างประเทศ ประโยชน์ที่ได้กับคนไม่กี่คน เวลานี้ป่าไม้ตัดก็เหี้ยนเตียนลงไป แต่ต้นไม้ปลูกใหม่ๆยังไม่เติบโต ไม่สามารถเก็บกลับมาใช้ประโยชน์ได้ เพราะไม้สักกว่าจะโตใช้ได้ มันต้องใช้เวลาตั้งร้อยปี ปลูกแล้วไม่เหลือ ถ้าพ่อปลูก แม่ลูกเหลนชั้นหลานถึงจะได้ใช้ ไม่ใช่ว่าลูกเริ่มได้ใช้ หลานจึงได้ใช้ได้ เพราะอย่างนั้นจึงมีการปลูกกันอยู่แต่ไม่ทันกับการตัด ก็ตัดไวมาก เดี๋ยวนี้เลื่อย เลื่อยโรงเรือนทำได้เกือบเป็นเครื่องจักร ใส่ปืน (06.42) กดจ๊อก!! ประเดี๋ยวเดียวไม้ต้นขนาดนี้ สามนาทีก็ล้มตึงแล้ว ...... (06.48 เสียงไม่ชัดเจน) โค่นได้เป็นร้อย แต่ปลูกวันละเท่าไร?
มีการปลูกกันบ่อยเวลานี้ ปลูกออกโทรทัศน์ แต่ว่าไม่มีใครดูแล ปลูกแล้วทิ้งๆขว้างๆ มีหวังจะตาย ๙๐ ต้น เหลือสัก ๑๐ ต้น กำลังดี ที่เหลืออยู่ได้ เรียกว่ามันแข็งแกร่ง มีความทนทานเป็นพิเศษจึงอยู่ได้ นี่คือสภาพของธรรมชาติที่กำลังถูกทำลายลงไป แล้วผลที่ได้รับเป็นอย่างไร ทำให้เกิดความแห้งแล้ง น้ำไม่พอใช้สำหรับทำการเพาะปลูก เดี๋ยวนี้น้ำตามเขื่อนต่าง ๆ แห้งลงไปมาก ยกเว้นเขื่อนภูมิพลที่อยู่จังหวัดตาก มันใหญ่น้ำยังพอใช้อยู่ แต่ว่าถ้าฝนไม่ตกเพิ่ม คนก็จะไม่พอใช้เหมือนกัน
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าต้นไม้ ป่าถูกทำลายมาก ความชื้นและความชุ่มเย็นมันหายไป ฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล ปีนี้ฝนยังไม่ตกมาก แต่พักอยู่เชียงใหม่หลายวันแล้ว ฝนยังไม่ตกจริงจัง พรึม ๆ พรัม ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มากมายอะไร ในหนองข้างที่ของวัดนั้นน้ำก็ยังแห้ง ปลาก็ยังเดือดร้อนกันอยู่ ยังไม่ได้เทลงมา แต่ที่วัดชลประทานนี่ เมื่อวานซืนนี้ก็เทลงมาห่าใหญ่ ตอนใกล้ค่ำน้ำเจิ่งเต็มบริเวณ แต่ว่าอาศัยเครื่องสูบน้ำ ที่ชลประทานเขามาตั้งไว้ที่หน้าวัด เขาก็มาสูบวันรุ่งขึ้น น้ำก็เลยแห้งไป ญาติโยมมาวัดก็ได้รับความสะดวกสบาย
อันนี้เป็นเรื่องที่เราเห็นกันอยู่ว่าธรรมชาติถูกเปลี่ยนแปลง เพราะตัณหาของคนที่ต้องการเงินทองมาก ๆ แล้วก็ทำลายสิ่งเหล่านั้น ไม่คิดถึงอนาคตว่าคนข้างหน้าจะลำบากจะเดือดร้อน กินเฉพาะมื้อเดียว มื้อต่อไปไม่ต้องคิดว่า จะกินอะไร? จะอยู่กันอย่างไร? นิสัยอย่างนี้เป็นนิสัยของการทำลาย ไม่ใช่เรื่องของการสร้างสรรค์ ปัญหาต่าง ๆ ก็จะเกิดมากขึ้นในกาลต่อไป แต่ว่าเราก็ทำอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะญาติโยมที่มาวัดนี่ก็ช่วยทำอะไรไม่ได้ แต่ว่าเราก็ช่วยกันพูดช่วยกันว่าต่อไปเรื่อย ๆ ให้เสียงมันดัง ๆ ออกไป คนที่จะทำลายธรรมชาติก็จะได้เกรงใจบ้าง จะได้นึกละอายใจบ้าง ว่าพระ ...... (09.25 เสียงไม่ชัดเจน) ตักเตือน ชาวบ้านชาวเมืองก็เตือนเพราะเห็นทุกข์เห็นโทษที่จะเกิดขึ้นในการณ์ต่อไปคราวหน้า จะสร้างปัญหาสร้างความเดือดร้อนด้วยประการต่าง ๆ
คนไทยเราเกิดบนแผ่นดินไทย จะเรียกว่ามีบุญก็ได้ เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ มันสมบูรณ์ไม่ลำบากเดือดร้อน สมัยเด็ก ๆ อยู่บ้านนอก จังหวัดพัทลุง แต่ยอดไม้ต่าง ๆ ที่กินได้มีเยอะ ตามป่าใกล้ ๆ บ้าน ไปเก็บเอามาใส่ตะกร้าใบใหญ่วางไว้ในครัว เวลากินอาหารก็เลือกกินยอดนั่นยอดนี่ กินเข้าไปเยอะ ก็ช่วยให้โปรตีน ให้วิตามินได้เหมือนกัน
คนสมัยก่อนร่างกายแข็งแรง เติบโตมากกว่าคนสมัยนี้ การกินอาหารไม่เหมือนกับคนเดี๋ยวนี้ที่กินอาหารที่มีคุณภาพแล้วก็กินไม่มาก สมัยก่อนเขากินยอดผักยอดไม้ กับปลาก็หากินง่าย จะหุงข้าว ต้มแกงลองแพนง ห้วยในคลอง เอามือจับตะปบตามข้างตลิ่ง เดี๋ยวก็ได้ปลาเอามากินได้ มาแกงได้ ตั้งหม้อเสร็จแล้ว เอาแหไปทอด ตามในหนองในคลอง แล้วก็ได้ปลามาแกงได้ หาง่ายไม่ลำบากยากแค้นอะไร แต่เดี๋ยวนี้สิ่งเหล่านั้นมันหายไป ไม่สะดวกเหมือนกับเมื่อก่อนจะทำอย่างนั้นไม่ได้
ที่จังหวัดอยุธยานี่ กุ้งมันเยอะอยู่ตามริมแม่น้ำแควป่าสักที่มาร่วมกับแม่น้ำเจ้าพระยาใต้วัดพนัญเชิง (11.03 เสียงไม่ชัดเจน) ก็ลงไปอาบน้ำแล้วเอามือไปตะปบตามข้างตลิ่ง ได้กุ้งขึ้นมาเป็นกอบเป็นกำ เอามาต้มยำกินได้อร่อย เดี๋ยวนี้ไปงมอย่างนั้นไม่เจอกุ้งแล้ว เขาจึงต้องมีการเลี้ยงกุ้งกัน เลี้ยงกุ้งกุลาดำ แต่การเลี้ยงกุ้งในสมัยปัจจุบันนี้ ทำลายธรรมชาติเหมือนกัน ทำลายป่าชายเลน ป่าโกงกางชายเลนมีไม้โกงกางเกิดเป็นป่าป้องกันลมไม่ให้ขึ้นมารบกวนชาวบ้าน ยุงมันก็อยู่ในป่า ไม่มารบกวนคนเท่าใด แต่นี่ทำนากุ้ง ตามป่าเหล่านั้นเปลี่ยนหมด แล้วยุงก็เข้ามารบกวนชาวบ้าน เช่นหมู่บ้านที่ไชยา ชาวบ้านบ่น "โอ๊ย!! เดี๋ยวนี้ทำไมยุงมันมาก" "ก็บอกว่าทำไมไม่มาก ก็เราไปทำลายบ้านยุงหมดแล้ว" ไปทำลายป่าโกงกาง ยุงไม่มีที่อยู่ มันก็มาอยู่กับคน มาอยู่กับคน ไม่ได้อยู่เฉย ๆ มากัดคนด้วย ทำอันตรายคนด้วย ก็เป็นบาปของมนุษย์ ที่ไปทำลายเขาก่อน เขาก็มาทำลายเราบ้าง
สมัยก่อนตั๊กแตนมันอยู่ตามป่าออกลูกออกเต้าสบาย ต่อมาคนถางป่าหมดตั๊กแตนก็ไม่มีที่อยู่ มันก็มากินข้าวโพดของชาวบ้าน โดยเฉพาะอำเภอวังน้ำเย็น ปราจีนบุรี ตั๊กแตนชุมมากตัวโต ๆ เขาเรียกว่า ปาทังก้า พวกเราว่าเด็ก ๆ เรียกว่า ตั๊กแตนหัวหมู เวลามันบินมาเอาไม้ยาว ๆ ไล่ตีตกลงมา ตกลงมาเสียบด้วยก้านมะพร้าว เอาไปเผาไฟกินกัน ก็มันอร่อยดี ก็จะเป็นอย่างนั้น กินได้ทุกวัน มันมีเยอะ เอามากินได้ เดี๋ยวนี้ตั๊กแตนมาทำลายไร่ข้าวโพดได้เสียหาย ต้องใช้เรือบินพ่น ...... (13.04 เสียงไม่ชัดเจน) ป้องกันตั๊กแตน แล้วตั๊กแตนนั้น ก็เอามากินไม่ได้ เพราะมีสารพิษ ติดอยู่ตามปีกตามตัว เอามาทอดกรอบกินไม่ได้ เป็นพิษเป็นภัย
มนุษย์เรากำลังสร้างพิษสร้างภัยขึ้น ทำลายตัวเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยประการต่าง ๆ เช่นว่าปลูกผักนี่ก็ต้องพ่นยากันแมลง แล้วตัวยานั้นมันใช้มากเกินไป ติดอยู่ตามผัก พอ เอามากิน ก็มันติดเข้าไป ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ผักกะหล่ำปลีที่มาจากเมืองเหนือ เพาะปลูกบนภูเขา พวกแม้วเขาปลูกกันมาก มันใช้ยามากเกินไป แล้วมาติดมากับเปลือกผักกะหล่ำปลีเหล่านั้น เราเอามากินดิบ ๆ ไม่ล้างให้สะอาด มันก็เป็นอันตราย ล้างแล้วก็ยังไม่หมดอีก ยายังติดอยู่ในใบของผักกะหล่ำปลีเหล่านั้น กินเข้าไปมันเกิดทุกข์เกิดโทษ เรามีชีวิตอยู่อย่างชนิดที่เรียกว่าเสี่ยงตาย ในเรื่องที่เป็นพิษ อากาศก็เป็นพิษ อาหารก็เป็นพิษ น้ำก็เป็นพิษ อะไร ๆ ก็เป็นพิษ อารมณ์ก็เป็นพิษ ทำให้เกิดวุ่นว่ายใจอยู่ตลอดเวลา
นี่คือสภาพชีวิตในโลกในปัจจุบัน ในบ้านเมืองของเรา มีความทุกข์เพิ่มขึ้น ใครเป็นผู้สร้างความทุกข์ ก็ชาวโลกนั้นแหละ เป็นผู้ช่วยกันสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่สังคมต่อไป ว่าเป็นอยู่อย่างนี้ เราก็ต้องหันเข้าหาสิ่งที่จะช่วยให้มีความทุกข์น้อยลงไปสักหน่อย สิ่งที่จะช่วยให้ความทุกข์มันลดน้อย ก็ไม่มีอะไรนอกไปจาก “ธรรมะ” อาจเป็นคำสอนในพระศาสนา หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นเครื่องช่วยปลอบใจประเล้าประโลมใจ ให้เราคลายจากความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน ด้วยการเข้าใจสิ่งนั้นตามสภาพที่เป็นจริง หลักธรรมะจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต คนไทยเราที่มีชีวิตมาได้ บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ตามสมควรแก่ฐานะ ก็โดยอาศัยการปฏิบัติตามหลักธรรมะของพระพุทธเจ้า
คนสมัยก่อนที่เป็นบรรพบุรุษของพวกเราทั้งหลาย ท่านรู้ไม่มากเท่าใด ฟังธรรมก็ไม่มากเท่ากับพวกเราฟังในสมัยนี้ หนังสือสำหรับอ่านก็ไม่ค่อยจะมี มีก็เป็นคัมภีร์ใบลานเขียนด้วยอักษรขอม เขาเก็บไว้บนหอไตรตามวัดต่าง ๆ ไม่มีใครมีโอกาสจะไปหยิบมาอ่านได้ เพราะอ่านไม่ออก ก็อ่านไม่รู้เรื่อง ก็ไม่มีโอกาสอ่าน แต่เขาก็มีความเชื่อในหลักธรรมะ รู้นิดหน่อยก็เชื่อ และปฏิบัติตาม รู้ว่าอะไรเป็นบาปเขาก็ไม่ทำ อะไรเป็นบุญเขาก็ทำสิ่งนั้น เขากลัวบาป รักบุญ ในสมัยก่อนเป็นอยู่อย่างนั้น แล้วมีความเชื่อมั่นคงในพระศาสนา เชื่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อกันไปอย่างนั้น แล้วก็ปฏิบัติกันอย่างนั้น สร้างนิสัยใจคอให้คล้อยตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เช่น ปกตินิสัยก็มีความรัก มีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ไม่เบียดเบียนไม่ทำร้ายกัน อาชญากรรมต่าง ๆ มีน้อย สมัยก่อนไม่ค่อยมีเท่าใด แม้คนจะโกรธจะเคืองกัน ก็ไม่ทำอันตรายถึงแก่ความตาย เอาไม้โปก ๆ ทุบศรีษะมันซักทีหนึ่ง พอเลือดออกซิบ ๆ ก็สบายใจแล้ว ว่าได้แก้แค้นแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ถ้าโกรธขึ้นมา มันใช้ปืนกลยิงกันทำลายกัน ไม่ฆ่าคนเดียว ฆ่ามันทั้งครอบครัว ทำลายกันจนหมดโครตกันไปเลยทีเดียว ความรุนแรงทางจิตใจมีมากขึ้น
สมัยก่อนเขาไม่รุนแรงถึงขนาดอย่างนั้น รู้จักให้อภัย เราจึงเรียนรู้นิสัยคนไทยว่า ลืมง่าย คำว่าลืมง่าย ก็หมายความว่าเป็น ผู้ให้อภัย ไม่ผูกโกรธ ไม่เจ็บแค้นกันมากเกินไป ใคร ๆ ทำอะไรที่ไม่ดี ไม่งาม แก่พวกเรา เราก็ลืมมันซะ การลืมนั้นก็หมายความว่าให้อภัย ไม่ถือโทษ ไม่โกรธตอบในเรื่องเหล่านั้น ก็อยู่กันด้วยความสุขความสบายไม่ค่อยมีปัญหาอะไร การเงินการทองสมัยก่อนไม่ได้ร่ำรวยอะไร คนไม่ได้ร่ำรวย สตางค์มีน้อย ข้าราชการมีเงินเดือนน้อยเพียง ๓๕ บาท ๕๐ บาท นายอำเภอสมัยนั้นเงินเดือนเพียง ๑๕๐ บาท ผู้พิพากษาสมัยนั้นเงินเดือนเพียง ๔๐๐ บาท แต่ว่าเงินจำนวนน้อยมันมีค่ามาก มีค่ามากเหลือเกิน คุณโยมคนหนึ่งบอกว่าสมัยก่อนนี้ไปซื้อกับข้าวเพียง ๕๐ สตางค์ เอามากินกันตั้ง ๑๕ คน ในครอบครัว คนในครอบครัว ๑๕ คน ใช้สตางค์ไปซื้ออาหารเพียง ๕๐ สตางค์ เท่านั้นเอง ไม่ได้มากมายอะไร
คุณโยมชื่น (ดำรง)พุทธนิคม (18.30 เสียงไม่ชัดเจน) เชียงใหม่ สมัยก่อนก็เป็นศึกษาธิการอำเภอ ได้เงินเดือน ๔๕ บาท พอเบิกเงินมาก็เอาไปแลก เอาสตางค์แดงมาร้อยไว้เป็นพวง พวงละ ๑๕ สตางค์ โยมผู้หญิงเวลาจะไปตลาด เอาไปพวงหนึ่ง ๑๕ สตางค์ ไปซื้อข้าวซื้อของ ซื้อกับข้าวเอามาเลี้ยงคนทั้งครอบครัววันละ ๑๕ สตางค์ เท่านั้นเอง ไม่ได้มากมายอะไร ก็พอกินพอใช้ จะซื้อเก้าอี้หวายนั่งเล่นสักตัวหนึ่ง ใช้เวลา ๒ ปี จึงสะสมเงินได้ซื้อเก้าอี้หวายตัวหนึ่ง ราคามันก็ไม่มากในสมัยนั้น แต่ว่ามันไม่ค่อยมีเงิน ซื้อมาได้แล้วก็ลองนั่งดู แล้วก็ยิ้มๆ กัน หัวเราะกัน ว่าไอ้นี่กว่าจะได้มาก็ต้องใช้เวลานาน เงินมันมีค่าสมัยก่อน เดี๋ยวนี้เงินมันลดค่าลงไป เงินสมัยก่อน ๑๐ สตางค์ ซื้ออะไรได้เยอะ นักเรียนไปโรงเรียนนี่มีสตางค์ไป ๓ สตางค์ ก็พอกินพอใช้ ซื้อสมุดเล่มหนึ่งก็ราคา ๕ สตางค์เท่านั้นเอง ดินสอแท่งหนึ่งก็เพียง ๒ สตางค์ เอาไปเขียนหนังสือ ในสมุดแบบฝึกหัด ทำการอะไรต่ออะไรได้ เครื่องลูกเสือชุดหนึ่ง สมัยก่อนนี้ราคามันเพียง ๒ บาท ๕๐ สตางค์ แต่กว่าจะได้ซื้อนี่ก็ต้องใช้เวลา ขอไม่ค่อยจะได้ ต้องเอาข้าวไปขาย เอาอะไรไปขายได้สตางค์มาจึงเอาไปซื้อได้ เงินมันเป็นอย่างนั้น
การไปวัดไปวาไปทำบุญสุนทาน เขามีงานมหาชาติคนเต็มวัดเต็มวา ทำกัน ๒ วัน ได้เงินเท่าไร ได้เงิน ๑๕๐ บาท วัดไหนได้เงิน ๒๐๐ นี้ โอ๊ย!! ลือ ๆ กันใหญ่โต ว่าวัดนั้นมีงานมหาชาติได้เงิน ๒๐๐ บาท สมัยก่อนสร้างโบสถ์หลังหนึ่งใช้เงินเท่าไร? โบสถ์หลังหนึ่งใช้เงินหมื่นเท่านั้นเอง วัดไหนสร้างโบสถ์ใช้เงินหมื่นหนึ่งได้รับเหรียญ ได้รับเหรียญเป็นวงกลมใหญ่ รูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอามาติดไว้หน้าจั่ว สร้างเงินเพียงหมื่นเท่านั้นเอง ได้เหรียญนั้นไปติดหน้าจั่วโบสถ์ แสดงว่าเงินมันมีค่าอย่างไร เดี๋ยวนี้โบสถ์หลังหนึ่งถ้าเอาเงินหมื่นไปสร้างก็ได้เพียงกระต๊อบเล็ก ๆ แค่นั้นเอง แล้วก็กุฏิเล็ก ๆ ราคามันก็มากกว่าหมื่นเวลานี้ ตั้ง ๒๐,๐๐๐- ๓๐,๐๐๐ บาท จึงสร้างได้
นี่แสดงว่าเงินมันลดราคา ของมันก็แพงขึ้น แล้วก็แพงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าพ่อค้าทั้งหลายนั้นชอบขึ้นราคา ขึ้นแล้วไม่ค่อยจะลงเสียด้วยนะ อ้างว่าน้ำมันแพง เดี๋ยวนี้น้ำมันถูกแล้ว ปตทเค้าลดหน้าราคาน้ำมันแล้ว ลิตรหนึ่งเพียง ๙ บาทกว่าเท่านั้น ไม่แพงอะไรแล้วเวลานี้ถูกลงไปเยอะ แต่ของไม่ถูกสักที เนื้อหมูกรอบแพง ไข่ก็แพง ปลาก็แพง อะไร ๆ ก็แพงเข้าไปทั้งนั้น ทำให้ญาติโยมลำบากในการเป็นการอยู่ จะทำอย่างไร เราก็ต้องสู้กับของแพง ต้องอยู่ต่อไป เพราะเราจะหนีมันก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้ เราต้องอยู่กันต่อไป จะอยู่อย่างไร? จึงจะมีความสุขพอสมควรแก่ฐานะ ก็ต้องใช้หลักธรรมะว่ากินน้อย ๆ นุ่งห่มพอสมควร บ้านช่องก็พออยู่พอใช้ พอประมาณ ไม่คิดให้มันใหญ่โตมากเกินไป แล้วก็ใช้เท่าที่จำเป็น อะไรไม่จำเป็นก็อย่าไปใช้ กินอะไรก็กินเท่าที่จำเป็น กินอาหารเป็นเวลา กินมื้อเช้า มื้อกลางวัน แล้วก็มื้อเย็น อันนี้การกินการอยู่ก็อย่าให้มันมากเกินไป เอาแต่พอสมควร ทำบุญสุนทานก็อย่าไปทำมาก ๆ
เวลานี้ทำกับข้าว ทำบุญมาก ๆ นี้ ไม่ใช่ว่าพระจะฉันได้นะ นี่พูดตรงไปตรงมาฉันไม่ได้ เพราะมันมากเกินไป ใจมันลังเลไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี กินนั่นนิดกินนี่หน่อย มันสู้กับข้าวจานเดียวไม่ได้ วันไหนมีกับข้าวจานเดียว นี่ก็ฉันข้าวได้ คือไม่รู้จะฉันอะไร ก็เลยฉันเข้าไปมาก ๆ กินกับน้อย ๆ แกงอย่างหนึ่ง แล้วก็มีผักมีอะไรต้มเล็ก ๆ น้อย ๆ วันนั้นฉันอาหารได้ มีรสมีชาติด้วยนะ แต่ถ้าวันไหนมากไม่ไหว แล้ววันอาทิตย์เวลาไปนั่งที่ลานไผ่ อาหารมันเยอะแก้ไม่ไหว ใส่ถุงทั้งนั้นกว่าจะแก้ได้ มันไม่รู้จะกินยังไง ก็เรียกว่าชิม ๆ ไป นั่งดู ๆ แล้วก็อิ่มเท่านั้นเอง มันอืดไปหมด ไหนต้องเห็นอาหารมันมากเกินไปก็ฉันนิดหน่อย ไม่ได้ฉันมากอะไร วันไหนอาหารมากนี่ฉันได้น้อย แต่วันอาหารน้อยฉันมากกว่านั้น เพราะว่าไม่ยุ่ง มีอย่างเดียวตักอย่างเดียวราดลงไปในข้าวในจาน แล้วก็ฉันสบายไม่ลำบาก ไม่เดือดร้อน
ญาติโยมอยู่บ้าน ถ้าว่ารับประทานอาหารแบบพระบ้างก็ดีเหมือนกัน เราไม่ทำอาหารทานมาก ๆ มากเรื่อง ทำสักเรื่องหนึ่งให้พอกินพอใช้ในครอบครัว วันนี้แกงส้ม พรุ่งนี้แกงเผ็ด วันต่อไปก็แกงกะทิ หมุนเวียนกันไปหลายแกงหน่อย อย่าจำเจ และเรื่องเดียว แล้วก็ใช้ผักมาก ๆ ใช้ปลาน้อย ๆ เนื้อน้อย ๆ เอาผักเป็นหลักใหญ่ ไม่ใช่กินผักแบบคุณจำลอง แต่ว่าเราก็กินมีปลาด้วย แต่ปลาน้อย ๆ เนื้อน้อย ๆ ใส่ไว้ให้พอเห็นว่ามีเนื้อบ้างเหมือนกัน แล้วเราก็กินผักแทนเนื้อ มันก็ช่วยบำรุงร่างกายทำให้ร่างกายแข็งแรงได้
เครื่องดื่ม เครื่องดอง ของเมาเราไม่ดื่ม เช่นว่าเราไม่ดื่มเหล้า เราไม่สูบบุหรี่ รายจ่ายมันก็ลดน้อยลงไปเยอะแยะแล้ว เพราะว่าเราไม่ต้องจ่าย คนสูบบุหรี่จ่ายเงินไป ค่าบุหรี่วันหนึ่งตั้ง ๑๕ บาท ไปซื้อควันมาดมเล่น ทำให้ถุงลมในปอดพอง แล้วก็ทำให้เป็นโรคหอบโรคหืด ทำให้เป็นโรคมะเร็งที่ปอด โรคมะเร็งที่ขั้วปอดตายกันไปบ่อย ๆ นี่ที่เอามาเผาไว้ ต้องไปศึกษาดูบ่อย ถามดูว่าตายด้วยโรคอะไร ตายด้วยโรคมะเร็ง สูบบุหรี่จัดไหม? สูบบุหรี่ดื่มเหล้าไหม? เหล้าก็ดื่มเหมือนกัน เอาตั้ง ๒ เมา เมาเหล้า เมาบุหรี่ มัน ๒ เมาก็รวมกันโหม ทำให้ร่างกายทรุดโทรมแก่เร็ว ตายเร็ว ไม่ได้เรื่องอะไร เราตัดสิ่งเหล่านั้นออกไป ลดรายจ่ายก็ไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่ รายจ่ายก็ลดลงไปเยอะ
แล้วเรื่องกลางคืนนี่ ไปเที่ยวทำไมกลางคืน นั่งรถกลับมาจากสถานีโทรทัศน์ คนมันเดินกันเป็นแถว ยืนรอรถกันเป็นกลุ่ม ๆ จะไปไหน ไปเที่ยว ไปเที่ยวบ้านนอกบ้านนา มาเที่ยวสวนจตุจักร ที่นี่แล้วก็ไปเที่ยวที่นู่น ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ ที่เขาเปิดวันอาทิตย์ คนเดินเต็ม ไม่ซื้อก็ไปเดิน เดินนี่มันเหนื่อย พอเหนื่อยแล้วก็ต้องไปนั่งที่ร้านน้ำชา กาแฟ ไปดื่มน้ำชา น้ำชาเปล่ามันก็ไม่อร่อย ต้องมีขนมแกล้มหน่อย ต้องกินขนม ออกจากบ้านที ๑๐๐ บาทพอไหม? ไม่พอ ร้อยบาทไม่พอยาไส้มันต้องมากกว่านั้น เช่นเรามีลูก ๓ คน ลูกจะไปเที่ยว คนละ ๕๐ บาทมันไม่พอกินนะ อย่างน้อยคนละร้อย ไปเที่ยวไปอย่างนั้นมันก็เสียสตางค์ แต่ว่ามาวัดนี่ไม่เป็นรัยไม่เสียอะไรมากเกินไป เพราะว่าไม่มีเครื่องยั่วให้ซื้อ มาวัดนี่เราก็มาวัดมาวา พาลูกพาหลานมาวัด มาฟังธรรม มาเอาธรรมะเป็นเครื่องปลอบจิตปลอบใจ
โยมมาวัดก็ไม่ต้องพาอะไรมามาก ดอกไม้นี่ขอ ไม่ต้องซื้อมา กินก็ไม่ได้ เอามากองเป็นขยะมูลฝอย แล้วต้องเอาไปทิ้ง ไม่รู้ไปทิ้งตรงไหนเวลานี้ ขยะมันมาก โยมไม่ต้องเอาดอกไม้มา ธูปเทียนก็ไม่ต้องเอามา มาเฉย ๆ เอาตัวกับใจมาก็พอแล้ว มารับธรรมะ ไม่ต้องเสียสะตงสตางค์อะไร ไม่ต้องจ่ายอะไร เราไม่ซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็น นี่ดอกไม้กองกันที่ลาน เอามานั่งดูแล้ว แหม!! เสียดายสตางค์ที่ไปซื้อดอกไม้มามากมาย ดอกบัวดอกหนึ่่งก็ตั้ง ๒ - ๓ บาท เอาดอกเดียวก็ไม่ได้ มันโดดเดี่ยวเกินไป อย่างน้อยก็ต้อง ๓ ดอก พอมีเพื่อนมีฝูงสักหน่อย ต้องซื้อบ้าง ซื้อดอกบัวก็ยังไม่พอ ต้องซื้อดอกกล้วยไม้แถมเข้ามาอีก ซื้อธูปมาเป็นซอง ๆ เวลามาถวายสังฆทาน ซื้อธูปมามัดติดต่อซอง มัดใหญ่ดูแล้วราคา ๑๕ บาท ต่อมัด เอามาทำอะไร ใช้ไม่ได้ จุดก็ควันโขมงเป็นควันพิษไปเปล่า ๆ ไม่ได้เรื่องอะไร
โยมไม่ต้องซื้อเครื่องสังฆทาน ของที่ถวายสังฆทานนี่ก็ความจริงอย่างนั้น ที่โยมซื้อของที่ใช้ได้นี่มีของไม่กี่ราย คือไปซื้อตามตลาด ที่เค้าจัดไว้เรียบร้อยแล้ว เขาใส่กระป๋องเรียบร้อย ถุงกระป๋องพลาสติกกระดาษแก้วคลุมเรียบร้อย ไม่ได้ดูหรอกว่ามีอะไรบ้าง ก็เดินดูว่ามีสบู่ก้อนหนึ่ง ยาสีฟันหลอดหนึ่ง แปรงสีฟันอันหนึ่ง แล้วก็ผักกาดเค็ม ปลากระป๋องบ้าง อะไรบ้าง แต่ไม่ได้ดูว่ากระป๋องนั้นอายุมันนานเท่าไร เปิดออกมากินได้รึเปล่า บางทีเอามาเปิดแล้วกินไม่ได้ ผักกาดเค็มในกระป๋องมันขึ้นสนิมแล้ว คือมันนานแล้ว ใส่ไว้คนก็ไม่ไปซื้อ เลยใส่ ๆ ไป คนซื้อก็ไมได้ดูไปถึงก็ยกมาเลย กระป๋องหนึ่ง ๒๐๐-๓๐๐ บาท ยกมาเลย
อาตมาก็แนะนำทุกรายบอกว่าต่อไปนี้ มาถวายสังฆทานนี่ ไม่ต้องซื้อของมาก็ได้ ก็ของมันเยอะแล้ว คนนู้นก็มา คนนี้ก็มา ไม่จำเป็นนะ เอาปัจจัยเฉย ๆ มาถวายก็แล้วกัน มาเอาช่วยสร้างตึก ๘๐ ปี ไปเลย เป็นสังฆทานยิ่งใหญ่ เป็นสังฆทานถาวร มันอยู่ได้นานเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไป หรือว่าจะเอาบำรุงพระศาสนา ค่าน้ำ ค่าไฟ อะไรก็ว่าไป เอาเป็นส่วนบำรุงวัด ก็แยกบัญชีไปว่าเข้าวัด อย่างนี้ก็ได้ประโยชน์เป็นคุณเป็นค่าแก่พระศาสนา พยายามที่จะสอนอย่างนั้น ให้คนทำอย่างนั้น เช่นงานบวชนาคนี้เป็นตัวอย่าง ที่วัดนี้ไม่ให้ซื้ออะไร บวชนาคทีหนึ่ง ๑๕๐ นาค ถ้าซื้อเทียนแพร ๑๕๐ อัน เอามากองไว้ตรงนี้ แล้วก็เอาหลวงพ่อไปยืน เทียนแพรมันสูงท่วมหัว แล้วจุดไฟเผาอุปัชฌาย์นั้นได้เลย เพราะว่ามันพอจะเผาร่างกายเป็นเถ้าถ่านได้ ไม่ต้องเอามา อะไร ๆ ก็ไม่ให้ซื้อ ซื้้อเท่าที่จำเป็น ไปเอาเงินมาถวายวัดอันนั้นก็ไม่ได้บังคับ ไม่ได้กะเกณฑ์อะไรสุดแล้วแต่ถวาย ถวายอุปัชฌาย์เท่าไร ...... (30.09 เสียงไม่ชัดเจน) ทำบุญบำรุงวัดค่าน้ำ ค่าไฟ ตามมีตามได้ ก็ไม่มากมาย ไม่เดือดร้อนอะไร เขาก็ถวายกันไปอย่างนั้น ที่ถวายอุปัชฌาย์นี้มากหน่อย บางทีก็ ๕๐๐ บาท บางทีก็ พันหนึ่ง เอามา ก็ไม่ได้เอามาใช้ เอาถวายวัดหมด รวมเข้าวัดไป ปีนี้บวชนาค ๑๕๐ กว่านาค ได้เงินเข้าวัดทั้งหมด ๖ แสนบาท ไม่ต้องแจกฎีกา ไม่ต้องมีงานให้มันวุ่นวาย ได้เฉย ๆ ขออุปัชฌาย์เท่าไร ...... (30:44 เสียงไม่ชัดเจน)
เพราะว่าลูก ๆ ของโยมนี่ มาบวชนี่ต้องเอาพัดลมมาทุกคน แล้วก็นอนเปิดพัดลม หลับแล้วก็เปิด นอนอย่างนั้นสบายหน่อย แล้วก็เปิดไฟไว้ อาตมาว่าง ๆ ก็ต้องไปเดินดูกลางคืนนี่ พอเที่ยงคืนก็ไปเดินดู ไปบอกว่าดับไฟเสีย หลับแล้วไม่ต้องดูอะไร ปิดตา …… (31:07 เสียงไม่ชัดเจน) ลุกขึ้นดับไฟกัน น้ำเปิดไว้ เวลาเปิดมันไม่มีน้ำ ไม่ปิด เปิดแล้วไม่ปิด น้ำก้อไหลโจ้ก!!ไป สูญไปเสียเปล่า ๆ อันนี้ก็เรียกว่าสูญเปล่า เรื่องสูญเปล่า เพราะความสะเพร่ามีมากมาย
อันนี้ต้องฝึกต้องหัดให้รู้จักประหยัดอดออม แต่ว่าหาเงินไว้ก้อนหนึ่งฝากไว้อย่างนั้น ค่าไฟเขาไปเก็บธนาคาร ค่าโทรศัพท์ที่ใช้ก็ไปเก็บธนาคาร ค่าน้ำประปาไม่ทั่ววัดหรอก ใช้เฉพาะโรงเรียน แล้วผ่านมาศาลาศพ พวกนั้นเอาไปใช้เปลืองมาก น้ำประปาศาลาศพนี้เปลือง แล้วมากุฏิหลวงพ่อ มากุฏิมหาฝน ใช้นิดหน่อย เดือนหนึ่งก็ไม่เท่าไร ๕,๐๐๐-๖,๐๐๐ บาท ค่าน้ำประปา ก็ไปเอาที่นู่น ไปเอาที่ธนาคาร สั่งธนาคารไว้เสร็จ ไม่ต้องมายุ่งที่วัด ไปหักบัญชีกัน แต่เราต้องหาเงินป้อนบัญชีไว้ สำหรับเขาจะได้หักได้ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะหักอะไร เดี๋ยวก็มาบอก “แดงแล้ว บัญชีแดงแล้ว” ถ้าอย่างนั้นก็ต้องวิ่งหา วันนี้ก็ต้องหาเงินอย่างนี้เก็บไว้ ฝากไว้ ใครเป็นสมภาร เจ้าวัดก็ไม่ต้องลำบากเดือดร้อน
ตอนนี้อาตมาไม่อยู่ก็มอบมหาฝนให้เป็นผู้รักษาการณ์แทนเจ้าอาวาส มาวันหนึ่งก็มาบอกว่า “ให้รักษาการณ์เฉย ๆ ไม่ให้สตางค์ไว้บ้าง?” “เอาไปใช้อะไรสตางค์ ค่าไฟก็ให้ไปเบิกธนาคาร ค่าน้ำก็ไปเบิกธนาคารแล้ว จะเอาไปใช้อะไรอีกล่ะ” “เอ้า!! จะได้จ้างคนล้างถ้วยล้างจาน” “ก็ไม่เป็นไร เรื่องล้างถ้วยล้างจาน พอสิ้นเดือนก็กลับมาทุกเดือน ถ้าหากว่ามีอะไร ก็มาเบิกได้ ไม่ต้องเอาไว้ก็ได้” แกอยากจะเอาไว้อุ่นใจสักหน่อยว่ามันมีสตางค์ ไม่ใช่เรื่องอะไร ก็เลยบอกว่าไม่ต้องหรอก สิ้นเดือนก็มา สิ้นเดือนก็มามีอะไรที่จ่ายพิเศษก็ให้ไป ก็เป็นการประหยัดอดออมไปในตัว ใช้จ่ายน้อย ๆ เงินในวัดนี้ก็มีอยู่ก้อนหนึ่งที่ฝากไว้เรื่อย ๆ เป็นการตั้งมูลนิธิมานานแล้ว แต่ไม่ได้จดทะเบียน เรียกว่าบุญนิธิของวัด ฝากไว้ ๆ ไม่ได้ถอน ดอกก็ไม่ได้ถอน ได้ดอกก็สมทบ ๆ เข้าไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เอามาใช้ เพราะเงินมันพอใช้อยู่ เงินมัดนี้หลวงพ่อไม่ได้ใช้เลย ที่จะเอามาใช้ไปไหน มาไหน ขึ้นเครื่องบินไปไหน แม้ไปต่างประเทศก็ไม่ได้เอาเงินวัดใช้ มีคนเขาให้ เช่น ว่าไปอังกฤษ ไปอเมริกานี่มีคนเขาให้ ให้ค่าตั๋วให้ไป ไม่ใช่คนที่ประเทศนู้น คนเมืองไทยนี่แหละเขาให้ ให้ไปได้ ถ้าว่าปีไหนไม่ให้ ก็บอกโยม ๆ ก็ให้ ให้แล้วก็ยังใช้ไม่หมด ไปแล้วก็ยังใช้ไม่หมด ก็ยังอยู่ต่อไป อันนี้ขึ้นลง ไปนั่นมานี่ ประเทศไหนเขาก็ให้ อาตมาก็หักค่าเรือบินไป เหลือนิดหน่อยก็เก็บไว้ใช้ส่วนตัว ไอ้ส่วนตัวนี่ก็ไม่ค่อยได้ใช้อะไร เพราะว่ามีโยมเอามาให้ อนุผ้าผ่อน ท่อนสไบโยมก็ให้ สบู่โยมก็ให้ ยาถูฟัน ยาโกนหนวด โยมก็ให้ซื้อมาให้ทั้งนั้น มันไม่ลำบากเดือดร้อนอะไร
แต่ว่ามีใช้บ้างเป็นบางครั้งบางคราว คนนั้นมาขอ คนนี้มาขอ ช่วยวัดช่วยวา ให้ไปแห่งหนึ่ง ก้อ ๑๐๐๐ บาทบ้าง ๕๐๐ บาทบ้าง ถ้าเขามาบอกให้ทำบุญ เราก็ทำกับเขาบ้างที่เห็นสมควร ถ้าไม่สมควรก็ไม่ให้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าให้ทุกราย รายใดทำประโยชน์ก็ให้ แต่ว่าถ้าไม่ได้ประโยชน์ก็บอกว่างบประมาณไม่มี สำหรับรายนี้เขาก็ไม่ว่าอะไรไม่ให้ อย่างนี้เป็นตัวอย่าง การเป็นอยู่ไม่ลำบากไม่เดือดร้อนอะไร ญาติโยมก็ควรจะทำอย่างนั้น เช่น กลางค่ำกลางคืนเราจะไปเที่ยวทำไมอยู่บ้านดีกว่า ไปเที่ยวก็เสียสตางค์ เกิดทุกข์เกิดร้อน พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เที่ยวกลางคืนนี้....ไม่รักษาตัว.....ไม่รักษาทรัพย์....ไม่รักษาครอบครัว...มักถูกใส่ความ...มักถูกทำร้าย เมื่อถูกตำรวจจับก็ไปโรงพัก ก็เห็นเที่ยวเดินหม่อง ๆ อยู่กลางค่ำกลางคืนก็ถูกจับไป เกิดทุกข์เกิดร้อนด้วยประการต่าง ๆ ค่ำแล้วพักผ่อนดีกว่า
นกพอเย็นแล้วมันก็กลับรังหมด ไม่มีนกตัวไหนไปเที่ยว เว้นไว้แต่นกเค้าแมว นั่นมันหากินกลางคืน ค้างคาวพวกนี้ไป แต่กลางวันมันนอนนะ พวกนี้นอนแขวนตัวห้อยหัวไม่ยุ่งกะใครนะ นอน พอตกเย็นเขาไปกันเป็นฝูง ไปหากิน นกค้างคาวใหญ่ ๆ เขาเรียก นกค้างคาวแม่ไก่ มันก็ไปหากินไกล ๆ ไปตามสวน ไปกินผลไม้ของชาวบ้าน ชาวบ้านก็ต้องเฝ้า ไล่ค้างคาวก็ไปตามเรื่อง นั่นพวกหากินกลางคืน แต่โดยปกตินกก็พักนี่ วัดเรานี่นกเยอะ กลางคืนนอนตามกอไผ่ บางทีเดินไปตอนเที่ยงคืน แล้วเดินไป นกมันตกใจนะว่าใครมา บินฮือขึ้นมา หลวงพ่อก็ตกใจเหมือนกัน นึกว่าเสียงอะไร ขนลุกขนชัน ก็นึกได้ “อ้อ!! นก” ก็เลยกรนหลับปรกติต่อไป มันก็พักผ่อนของมัน มันไม่ได้ไปไหน มันก็อยู่อย่างนั้น
อันนี้คนเราค่ำแล้วกลับบ้าน ทำงานทำการก็กลับบ้าน อย่าไปเที่ยว พวกผู้ชายก็ไม่ไปเที่ยวสโมสร ไม่ไปเที่ยวอะไรให้มันวุ่นวาย เลิกงานกลับบ้าน เรามีบ้านเป็นวิมานของเรา แล้วก็มีแม่บ้าน มีลูกคอยอยู่ที่บ้าน กลับบ้านให้ทุกคนชื่นใจ แต่ว่าพวกที่มาฟังธรรมไม่ไปแล้ว แก่แล้ว ไปเที่ยวไม่ไหวแล้ว แต่บางคนก็ยังอุตส่าห์ไปนะ ยังไม่ยอมแก่ ยังไปเที่ยว ยังไปผับไปอบอะไรอยู่ แก่ ๆ ก็ไปอาบเหมือนกันคนขี้เมื่อย มือที่บ้านนวดไม่อร่อย ต้องไปนวดที่นู่น ต้องให้อีหนูมันนวดหน่อย ไอ้อันนั้นก็มีเหมือนกัน พวกไม่ยอมแก่ อันนี้ถ้าว่าเราสำนึกว่าเราแก่แล้ว เราก็ไม่ไปเที่ยวอย่างนั้นจิตใจก็สบาย ไม่มีความทุกข์ไม่มีความเดือดร้อนอะไร ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ตัดงานการที่ไม่จำเป็น ตัดการเที่ยวการเตร่การสนุกสนาน
เรื่องการกินการอยู่ มันก็พอชุมพอใช้ ไม่เดือดร้อนอะไร คนเราจะกินอาหาร จะกินสักเท่าไร? จะนุ่งห่มสักเท่าไร? คิดดูให้ดี มันก็ไม่มากมายอะไร มีสักกี่ชุดที่จะใช้นุ่งใช้ห่ม มันก็พอใช้ไม่ต้องไปตัดบ่อย ๆ ไม่ต้องทันสมัยแบบแฟชั่น ที่เขาออกแบบมาอย่างนั้นอย่างนี้ มันต้องแบบนั้นแบบนี้ สิ้นเปลืองทั้งนั้น แข่งกันสิ้นเปลือง เราก็ตัดรายจ่ายเหล่านั้น จิตใจก็สงบเพราะพอใจในสิ่งที่เรามีเราได้ พระพุทธเจ้าท่านว่า สันตุฏฐี ปรมัง ธนัง (38.12) ความพอใจในสิ่งตามมีตามได้ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
พอใจแล้วก็สบาย อาหารมีเท่าไรเราพอใจกินสบาย เสื้อผ้านุ่งห่มมีเท่าไร? เราพอใจก็สบาย บ้านเรือนมีเท่าไร? เราก็พอใจ เครื่องประดับบ้าง มีเท่านี้ก็พอแล้ว จะไปซื้อให้มันรกบ้านมากขึ้นไปอีกทำไม เห็นอะไรก็ชอบซื้อ ซื้อแล้วไม่รู้จะมาวางตรงไหน ก็มันมากเกินไป
ต่างประเทศนั้น คนซื้อของมาแล้วไม่มีที่จะวาง ก็มีโกดังสร้างเป็นแถวยาว คนเอาของไปเก็บในบ้านไม่มีที่จะเก็บ ก็เอาของไปเก็บไว้ที่นั่น เก็บมันแล้วก็ไปดูซะทีหนึ่ง ให้พอสบายใจว่าของมันยังอยู่เรียบร้อย ความจริงมันก็ไม่หาย เพราะว่าเขามีหลักประกันเอาไปเก็บไว้ ไอ้ที่เอาไปเก็บก็เพราะว่าส่วนเกิน มันเกินออกไปจากบ้านเลยต้องเอาไปเก็บไว้ที่นั่น เก็บไว้ ทีนี้ถ้ามันเก่าเกินไปก็เอาไปทิ้ง
คนไทยไปอยู่ต่างประเทศบางทีไม่ต้องซื้อของ ไปคอยเก็บของที่เขาทิ้ง พรมยังดี ๆ ก็ลอกออกเปลี่ยนพรมใหม่ เอาไปทิ้งทั้งผืนเลย ผืนใหญ่ ๆ ก็เลยเอาไปเก็บตัดตอนก็เอามาใช้ในบ้านได้ บางทีมันมีวัดอยู่ในประเทศอังกฤษนี่ คนไม่ใช้พรม เบื่อพรมสีนั้น เลยก็ถอนเอามาให้วัด วัดก็เอามาปูได้ ใช้ได้ต่อไป เพราะวัดไม่เดือดร้อนอะไร ก็ใช้ของอย่างนั้นก็ได้ เลยเอามาใช้ โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องรับแขก เขายกมาให้เพราะมันเก่าแล้ว แต่ว่ายังใช้ได้ ก็เอามาซ่อมมาแซมนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ใช้กันต่อไป เอามาให้วัด
ที่วัดนี้ก็มีคนเอามาให้บ่อย ๆ ของที่มันเก่า มันตั้งไว้ในบ้านก็รก นี่พอดีข้างหลังนี้ เอามาให้ชุดหนึ่ง ม้านั่งแบบรถไฟนี่แหละ ก็เลยยกมาวางไว้ตรงนี้ เอามาวางไว้ชุดหนึ่ง นี่ของเหลือใช้เอามาให้ ตอนแรกก็นึกว่าเป็นม้านั่งแบบนู้น ก็เอามาตั้งให้คนนั่ง แต่นี่นั่งไม่ได้ ก็ไว้ข้างหลัง คนก็มานั่งพักได้ ก่อนเข้าห้องสมุดก็มานั่งพัก ก็ใช้ได้ ไม่สิ้นเปลืองอะไร อย่างนั้น ตู้เย็นยังดี ๆ ฝรั่งมายกไปทิ้ง คนไทยไปเจอเอามาซ่อม เอามาซ่อมก็ยังใช้ได้ ไม่มีอะไรเสียยังใช้ได้อยู่ มันเอาไปทิ้ง ไม่รู้จะเอาไปไหน เอาไปทิ้งกองขยะ โทรทัศน์ก็มี ตู้เย็นก็มี เครื่องใช้ที่ยังใช้ได้เขาทิ้ง คนไทยเราเป็นคนช่างซ่อมช่างแซม ก็ไปเก็บมาซ่อมเอามาใช้ได้ ก็เป็นการประหยัดไป ไม่นาน ไม่ต้องละอาย ไอ้นี่ของเก่า ไปเก็บมาจากกองขยะ ไม่เป็นไร
พระในสมัยก่อน ก็เก็บผ้าจากกองขยะเหมือนกัน เขาเรียกผ้าบังสุกุล ผ้าบังสุกุลจีวร พระพุทธเจ้าท่านก็ไปเก็บผ้าเหล่านั้นมาใช้ พระทั้งหลายก็ไปเก็บมา เรียกว่า ผ้าบังสุกุล เก็บมาทั้งเศษผ้า เอามากอง ๆ ไว้ ซักฟอกเสร็จ เอามาตัดมาต่อกัน จีวรไม่ได้เป็นระเบียบ ดังที่เราใช้เดี๋ยวนี้หรอก สมัยก่อน สมัยแรก ๆ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ พระก็ไปเรียกเก็บมาจากซากศพบ้าง จากกองขยะมูลฝอย ศพก็เอาไปทิ้งไว้ที่ป่าช้า ยังไม่เผา ผ้ามันยังใช้ได้ ถ้าเป็นศพผู้ชายก็ห่อผ้าขาว พระก็ไปดึงออกมาทั้งผืนเลย ก็เขาจะเผาแล้ว เผาผ้า ก็เอามาซักมาฟอก แล้วก็เอามาย้อมด้วยสีดินแดง ให้สีมันเปลี่ยนเป็นสีพระ แล้วก็ใช้ได้ นี่!! ประหยัดในการใช้
แต่ต่อมานี่มีหมอชีวกโกมารภัจจ์ แกไปได้ผ้ามา ผ้าไหมอย่างดี ต้อง ๓๐ ม้วน พระเจ้าจัณฑปัชโชตให้รางวัลในการไปรักษาโรคหาย แกนึกว่าเอาไปถวายพระดีกว่า แต่ว่าพระพุทธเจ้ายังไม่อนุญาตให้พระรับผ้าจากชาวบ้าน เลยไปขอพร ขอพรแล้วแกก็ถวาย พระก็เลยเอาผ้านั้นมาซักเป็นจีวรใช้ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ต้องไปเอาผ้าบังสุกุลจากป่าช้า ไปเอามาจากเสาชิงช้า เขาตัดไว้เรียบร้อยแล้ว ใช้กันถาวร ในชุดหนึ่งก็ใช้กัน ๑-๒ ปี มันไม่ค่อยขาดนะ อย่างชุดของหลวงพ่อ ใช้สักสองปีมันก็ไม่ขาดหรอก แต่ถ้าใช้นาน ๆ โยมเอามาเปลี่ยนก็เอาเก็บซะที เอาไปทำผ้าอื่นต่อไป ทำผ้าเช็ดพื้นถูพื้นอะไรต่อไป ก็ใช้ได้ไม่ให้สิ้นเปลืองอะไร
พระอานนท์ได้รับผ้าใหม่จากพระเจ้าปเสนทิโกศล ผ้ามาก สาวใช้เอาไปถวาย คือสาวใช้ได้รับพระราชทานผ้าจากพระเจ้าแผ่นดิน แล้วไม่นุ่งไม่ห่มเอาไปถวายพระ พระเจ้าแผ่นดินเห็นไม่ห่มก็ถาม “เอ๊ะ!! ชั้นให้ผ้าสวย ๆ พวกเธอใช้ทำไมไม่ใช้” นางสาวสนมก็มาบอกว่า “เอาไปถวายพระ ถวายพระหมด” “ผ้าตั้งมากมายถวายพระ พระเอาไปทำอะไร” ท่านก็ไปหาพระอานนท์ ที่เป็นผู้รับผ้า ถามว่า”เอาไปทำอะไรผ้ามากมาย” “เอาไปถวายพระที่มีผ้าเก่า ๆ” แล้วท่านถามว่า “ผ้าเก่าของพระรูปนั้นเอาไปไหน?” “เอาไปให้องค์ที่เก่ากว่านั้นอีก” “แล้วผ้าเก่าองค์นั้นเอาไปไหน?” “มันแย่แล้วใช้ไม่ไหวแล้ว เอาไปทำผ้าเช็ดพื้น เช็ดเท้าอะไรต่าง ๆ” “แล้วผ้าเช็ดเท้าเก่าเอาไปไหน?” “เอาไปขยำกับดิน เอาไปโบกฝากุฏิ” สมัยก่อนกุฏิทำด้วยดินเหนียว ผ้ามันเป็นไฟเบอร์เป็นใย เอาไปขยำกับดินเอาไปโบกมันถาวรหน่อย บอกไว้ผ้าเช็ดเท้าเก่านั้นก็ไม่ทิ้ง เอาไปขยำกับดินทาก่อนโบกฝากุฏิ พระเจ้าปเสนทิโกศลฟังแล้วบอก “โอ!! พระคุณเจ้าใช้ทนเลย ไม่มีทิ้งมีขว้าง เป็นประโยชน์นัก นี่ท่านใช้เป็น เป็นประโยชน์”
สมัยนั้นมันฝืดเคือง ท่านก็ใช้หมดทุกอย่าง แต่เดี๋ยวนี้ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เอาผ้ามาเที่ยวทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เที่ยวตากทิ้งตากขว้างไว้ บางทีก็ต้องเก็บเอามารวบรวม ก็เอามาซักมาฟอก เอามาทำผ้าเช็ดพื้นบ้าง เช็ดถ้วยเช็ดอะไรบ้าง ยังใช้ได้ ยังเป็นประโยชน์ สมัยก่อนนี้ท่านมหาบุญเลี้ยงขยัน ไปเที่ยวเก็บของเก่า ๆ ที่เขาทิ้งไว้ ผ้าตากทิ้งเก็บมารวมซักฟอกซักรีด เอาไว้ทำประโยชน์ต่อไป แต่เดี๋ยวนี้ท่านมหาบุญเลี้ยง จะซักตัวเองก็ไม่ค่อยไหวแล้ว เวลานี้ร่างกายมันชำรุดทรุดโทรมเต็มที่ ทำอะไรอย่างนั้นไม่ได้ ท่านก็เลยพักผ่อน บอกไม่ต้องทำตอนนี้พักผ่อน ทำมานานเหนื่อยเต็มทีแล้ว ให้พักผ่อนเสียบ้างให้องค์อื่นทำแทน
เดี๋ยวนี้มีท่านทิวา โยมเห็นนะ เดินทำอะไรต่ออะไร คนไทยอยากทำโน่นทำนี่ เวลาวันอาทิตย์ก็ไม่ได้ฉันกับถ้วยนะฉันแล้ว แล้วก็เก็บนั่นยกนี่ เอาไปแจกญาติแจกโยมขยันทำงาน ที่ว่านี่ทำงานตัวเป็นเกลียว แต่ครั้งก่อนนี้ลาไปเรียนหนังสือที่ชุมพร วัดขันเงิน ไปอยู่เสีย ๕ - ๖ เดือน กลับมา บอกเป็นอย่างไร? เรียนไม่ทันเพื่อน เขาแปลเร็วเหลือเกิน เลยไม่เอาแล้ว กลับวัดมาทำงานมาเหนื่อยต่อไป แล้วก็มารับใช้เรื่องโยธาธิการต่อไป ไม่ได้เรียนหนังสือ เอาอ่านออกมาแล้ว ทำและอ่านสิเขาแปลไว้แล้ว ไม่ต้องเรียนบาลีก็ได้ แกก็พอใจ เป็นพระที่รักอ่าน ขยันเอาใจใส่ เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา
เราทำบุญกับพระอย่างนี้มันก็ได้บุญเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนกัน แต่ว่าท่านก็ไม่ต้องการอะไรมาก อยู่ตามมีตามได้ เก็บข้าวของไว้ให้คนอื่น เช่นของวันอาทิตย์นี่มันเยอะแยะ แกก็เก็บกอง ๆ ของไว้ มีกล่องกระดาษก็ใส่ ๆ ไว้ ไว้ทำอะไร “โน่น!!ทิวาเดินมาแล้ว” ไว้ทำอะไร ก็ไว้แจกเด็ก พวกนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์บ้าง (46.29 เขียนเป็นชื่อเต็มของมหาวิทยาลัย) เขาออกค่ายไปช่วยเหลือชาวบ้านตามที่ต่าง ๆ ก็มาอยู่แต่วัดนี้ มาขอเครื่องกระป๋องบ้าง ข้าวสารบ้าง อะไรบ้าง มีอะไรก็ให้ไป ให้ไปทุกชุดแหละ แต่ให้แล้วก็เงียบฉี่เลย ไม่เคยมาบอกว่าได้ไปทำอะไรที่ไหนแล้ว ขอบพระคุณหลวงพ่อที่ให้ ไม่มี ไปหมดเลย หาได้แล้วไป ได้แล้วไป วันหลังมาชุดใหม่ก็ต้องเทศน์กันก่อน บอกว่า “พวกเธอมาเอาของ ๆ วัดไป ทำอะไรแล้วไม่กลับมาบอกเลย มันขาดอะไรนะ พวกเราทำอย่างนี้ มันขาดอะไร” ก็นั่งนึก ๆดูแล้วตอบ “มันขาดการประสานงาน” “มันไม่ใช่ มันขาดลึกกว่านั้น ขาดอะไรลึกกว่านั้น” ตอบไม่ได้ ก็เลยบอกว่า “มันขาดความสำนึกในบุญคุณของผู้อื่น ถ้าพูดเป็นภาษาวัดก็ว่าไม่มีความกตัญญูรู้คุณคน เราไปทำอะไรแล้วควรจะมาบอกมากล่าวว่าที่หลวงพ่อให้ของไปนี้ ได้ไปปฏิบัติหน้าที่ทำอะไรเสร็จแล้ว ขอขอบพระคุณ นี่ก็เรียกว่ามีความกตัญญูกตเวที”
เด็กสมัยใหม่มันไม่ค่อยรู้ พ่อแม่ไม่สอนเหมือนกันเรื่องนี้ จึงไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เอา ๆ ท่าเดียว ขอของจากพ่อแม่ ขอ ๆ แล้วเอาไปเลย เอาไปแล้วไม่ค่อยขอบคุณพ่อแม่ พอโตขึ้นมาก็หากินได้ ไม่เคยส่งเงินไปให้พ่อแม่ใช้ หรือ ไม่ซื้อของขวัญไปให้พ่อแม่ เพราะมันขาดคุณธรรมข้อนี้ คือไม่มีความสำนึกในความกตัญญูกตเวที เดี๋ยวนี้พ่อแม่ในประเทศไทยนี่ เดือดร้อนอยู่มากทีเดียว หลายคนเดือดร้อนมาก ลูกหาย ลูกสาวหาย ลูกชายหาย หายไปไหน มันมีลัทธิหนึ่งเข้ามาเมืองไทยเวลานี้ ลัทธินี้เป็นของเกาหลี ชื่อนายซัน เมียง มูน (48.29 หลวงพ่อพูดว่านายมูน ซิง ค้นหาข่าวในอินเตอร์เน็ต เรียก นายซัน เมียง มูน) แต่แล้วเพื่อนบอกว่า นายมูนนี่แกได้ถูกพวกคอมมิวนิสต์จับขังคุกหลายปี พอออกจากคุกแกก็ไปอยู่อเมริกา ไปตั้งตนเป็นอาจารย์ เป็นศาสดาใหม่ แกบอกว่าพระเยซูมาทำงานไม่เรียบร้อย ถูกจับตรึงไม้กางเขนเสียก่อน แกนี่มาต่องานของพระเยซู
แกตั้งศาสนาของแกใหม่เรียกว่า “มูนลิซึ่ม” ไปทำอยู่ที่อเมริกานะ ทีนี้แกออกชักชวนเด็กหนุ่ม เด็กสาวชาวอเมริกัน ให้มาร่วมมือกับแก ทำอะไร? ขายดอกไม้ ไปเที่ยวขายดอกไม้ตามสามแยก สี่แยก รถมายกมือ เหมือนเด็กขายพวงมาลัย แต่ต้องขายดอกไม้ ขายดอกไม้ได้เงินเท่าไร? ต้องเอามาให้แก พวกนั้นกินอยู่กับแก แกว่าเป็นสานุศิษย์ เป็นลูกน่ะ แกนี่ถือว่าเป็นพ่อ เป็นคนสำคัญของพวกเด็กเหล่านั้น พวกเด็กเหล่านั้นก็หัวขวิดหัวตุงไปตาม ๆกัน เรียกว่า เมาลัทธิของนายมูนนี่ ยอมเป็นขี้ข้านายมูน สังเวยทุกอย่าง แกร่ำรวย ปีหนึ่งได้เงินมาก ๆ ร่ำรวยมีเรือสินค้า มีโรงแรมมีอะไรต่ออะไรเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีคนที่ ๕ ของประเทศเกาหลี ทีนี้อเมริกาเห็นว่าไอ้นี่รวยแล้วนี่ ไม่ใช่การกุศลแล้วนี่ หาเงินรวยแล้ว ต้องเรียกภาษี แกไม่เสียภาษี แล้วก็จับขังคุกอีก ขังคุกฐานไม่เสียภาษี
พอออกจากคุกมา แกก็กลับมาอยู่เกาหลี มาเกาหลีแล้วก็ส่งคนมาเมืองไทย ชั้นแรกก็มาสร้างบ้านเล็ก ๆ ประตูใกล้กับมหาวิทยาลัยที่ถนนสุขุมวิท แล้วก็มีคนเพียง ๓ คน เข้ามาขยายพรรคขยายพวกออกไปเป็น ๕ คน เป็น ๑๐ คน เป็น ๒๐ คน ได้คนมาแล้วนี่ เอาเด็กมหาวิทยาลัย คือแกฉลาด แกบอกว่ามันต้องสร้างศาสนาใหม่ ต้องสร้างคนใหม่ เพื่อสร้างโลกใหม่ โลกเวลานี้มันเต็มไปด้วยบาป ด้วยอกุศล คนทั้งหลายก็เป็นบาปเป็นอกุศล พ่อแม่นี่ก็เป็นบาป บาปติดต่อมาตั้งแต่ อดัม และอีฟ ที่พระเจ้าสร้างในสวนเอเดน ตามคัมภีร์ไบเบิลโน่น บาปไม่รู้จักหมด พวกเธอต้องช่วยพ่อแม่ ต้องมาอยู่กับฉัน แล้วก็มาช่วยงานฉัน ช่วยล้างบาปให้แก่พ่อแม่
เด็กเหล่านั้นก็หลงไป ถูกปลุกใจ ไปประชุมกัน ไปกล่าวคำปฏิญาณสาบานตน กินน้ำร่วมสาบานกัน แล้วทำอะไร? ให้ไปเที่ยวขายตุ๊กตาบ้าง ขายเกียมบ๊วยบ้าง ขายดอกไม้บ้าง ของซื้อมาราคาถูก ๆ ชิ้นหนึ่งบาท สองบาท แต่ไปขายว่าเพื่อการกุศล แล้วคนไทยเรานี่มันใจบุญทั้งนั้นแหละ ก็เขามาเพื่อการกุุศลก็ทำบุญ ราคา ๒ บาทให้ ๒๐ บาท ให้ ๓๐ บาท เงินนี้ต้องเอาไปส่งสำนักงาน เรียกว่ามูลนิธิวัฒนธรรมแห่งความสามัคคี (51.29 หลวงพ่อพูดว่ามูลนิธิร่วมสามัคคี ค้นหาข่าวในอินเตอร์เน็ต เรียกว่า มูลนิธิวัฒนธรรมแห่งความสามัคคี) มีหมออะไรคนหนึ่งเป็นหัวหน้าเข้าไปร่วมที่นั่น แล้วทุกคนต้องไปขาย แล้วทุกคนก็ไปหาเพื่อนมา คนหนึ่งไปหาเพื่อน ๓ คน เอามาก็รวมพวกรวมหมู่ เรียกว่าหาพยานมาได้ ๓ คน ก็ทวีมากขึ้นแพร่หลายออกไป เป็นจำนวนหมื่นจำนวนแสนเวลานี้
อันนี้พ่อแม่เดือดร้อนนะลูกสาวหาย หายไปไหน? เที่ยวตาม ๆ อ้อ!! ไปเจออยู่ที่นั่น ไปดึงตัวมา ไปดึงตัวมาได้ เผลอ ๆ ลูกสาวกลับไปอีก เพราะมันไปติดลัทธินั่น มัวเมาในลัทธินั่น เลยต้องไปอีก พ่อแม่ก็ต้องไปบอกตำรวจ หาว่าพวกนี้ล่อลวงลูกของแกไป จึงไปบอกตำรวจ พอมันมากขึ้น ๆ ตำรวจก็เลยไปทำการจับกุม เจ้าหน้าที่จับหมอนั่นไป จับพวกไป ๔-๕ คน แล้วก็ไปค้นสำนักงานได้เอกสารได้อะไรต่ออะไรมากมาย เอามาแสดงไว้ที่กองปราบ วันก่อนนี้เขามานิมนต์ให้ไปดู แต่หลวงพ่อไม่ได้ไป พระวัดอื่นก็ไปดูกัน มีเอกสาร มีอะไร ใช้วิธีการที่ เรียกว่า แยบยล เพื่อจูงใจคนให้เข้ามาเป็นพรรคเป็นพวก แล้วก็ใช้ มีรถยนต์คันใหญ่ ออกวิ่งไปต่างจังหวัด ในรถนั้นมีคนไปสัก ๑๔-๑๕ คน ไปถึงก็ปล่อยไปเที่ยวขายของ ในนามการกุศล เด็กพวกนี้มองว่า นี่ไปเอาของมาขายเพื่อการกุศล เอาไปสงเคราะห์เด็กพิการ เอาไปสงเคราะห์เด็กอนาถา ไปช่วยคนลำบากที่นั่นที่นี่ มันหลอกทั้งนั้นแหละ ความจริงไม่ใช่ เงินเหล่านี้ก็เอาไปฝากธนาคาร เข้าเป็นกองกลางของมูลนิธินี้ของนายมูนนี่แหละ
แล้วแกก็บอกว่ามันยังไม่ดี ต้องสร้างโลกใหม่ ต้องแต่งงานกับคนที่เป็นพวกเดียวกัน อันนี้แกก็ขอรูปถ่ายผู้หญิง ผู้ชายเด็กไทย ขอรูปถ่ายส่งไปที่เกาหลี อันนี้ก็เอาไปแต่งงานกับพวกเกาหลีบ้าง ไปแต่งงานกับญี่ปุ่นบ้าง คนที่เป็นลูกศิษย์แกมันหลายชาตินี่ ให้มันปนกัน ให้มันแต่งงานกัน สร้างคนยุคใหม่ สร้างครอบครัวใหม่ แล้วก็ต้องทำงานให้แกไปจนตายไปไหนไม่รอด เท่ากับว่าเป็นขี้ข้านายมูนนั่นเอง นายมูนนี่แกรวย เวลานี้เป็นมหาเศรษฐี เพราะเงินเหล่านี้ เงินขายดอกไม้ ขายตุ๊กตา ขายเกียมบ๊วย ขายอะไรต่ออะไร
วันนั้นมา ๒ คน ผู้หญิง อาตมาถามว่า “บ้านอยู่ไหน?” “อยุ่เมืองเลย” “ตัวอำเภอไหน?” “อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย” “แล้วหนูเรียนอะไร?” “เรียนรามคำแหง แต่ว่าเวลานี้ หนูก็ทำงานอาสาสมัคร ช่วยเหลือคนยากคนจน เอาของมาขาย บอกเขาว่าหนูไม่มีค่าเล่าเรียน ไม่มีเงินสำหรับเสียค่าหน่วยกิต” “มาขายของนี่ ก็บอกว่าก็ดีนี่ เที่ยวขายของนี่” “บอกว่าหลวงพ่อซื้อบ้างสิ” เอาเกียมบ๊วยมาให้ ๒ ห่อให้ซื้อ “ราคาเท่าไร?” “ไม่บอก สุดแล้วแต่จะให้” แต่หลวงพ่อไม่ซื้อบอกว่า “ฉันไม่มีงบประมาณ สำหรับซื้อเกียมบ๊วย” ก็ไม่รู้จะซื้อไปทำอะไร โยมเอามาให้ ก็อมกันไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว พวกเกียมบ๊วยนี่ ก็เลยไม่ซื้อ ก็พอเวลาจะลุกขึ้นไป ก็พูดว่า “โอ!! ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงคุ้มครองท่าน” เลยหลวงพ่อถาม “พระผู้เป็นเจ้าไหนล่ะ จะมาคุ้มครองชั้นน่ะ ฉันคุ้มครองตัวฉันเองก็ได้แล้ว ไม่ต้องให้พระผู้เป็นเจ้าคุ้มครอง” แล้วเราว่า “หนูนี่เป็นลูกศิษย์นายมูนแล้ว” “ไม่ใช่ ๆ” มันปฏิเสธ แต่ความจริงเป็นแล้ว เป็นลูกศิษย์นายมูนเข้าไปแล้ว คนนั้นไปเที่ยวเดินขายของ
โลกการศึกษาเล่าเรียน ลูกมาเรียนมหาวิทยาลัย ลูกเลิกเรียนไปเที่ยวขายของ ไม่ได้เล่าไม่ได้เรียน ไปทำงานอย่างนั้น เพราะจิตใจนี่หลงไปในลัทธิ ทำไมจึงหลงเพราะ มีการประชุม มีการปลุกใจ มีการกล่าวปฏิญาณตั้งแต่ ๑๐ ข้อ ต้องพูดทุกวัน ใน ๑๐ ข้อนี่ ต้องพูดทุกวัน พูดในเรื่องเกี่ยวกับให้จงรักภักดีต่อคุณพ่อคุณแม่ ไม่ใช่พ่อแม่เกิด นู่นพ่อแม่มูนนู่น ให้ไปจงรักภักดีกับคนนั้น จะต้องทำหน้าที่มีความซื่อสัตย์ต่อนั้นต่อนี้ พูดทุกวันแล้วก็มีการปลุกปลอบใจทุกวัน เอามาบ้านแล้วก็หนีกลับ ลูกสาวหนีกลับ ลูกชายก็หนีกลับไป ไปอยู่อย่างนั้น ไปอยู่กับพวกนั้น
อย่างนี้เป็นภัยใหญ่ของประเทศชาติเวลานี้ ก็ทำให้คนเกิดการแตกแยก อันนี้ถ้าเขามีพวกมากขึ้น ชักจะแยกมากขึ้น เป็นอันตราย โดยญาติโยมคอยดู ถ้ามีเด็กพวกนี้มาที่บ้านต้องศึกษา ต้องไต่ถาม อย่าไปซื้อของ ๆ พวกนี้ เพราะซื้อแล้วมันเอาไปให้นายมูน นายมูนรวยก็เก็บเงินไป พวกนี้ก็ได้กินมื้อกินข้าวปลา ๒ - ๓ มื้อ ได้ค่าอาหารกินไปตามเรื่อง แต่ว่าไม่ก้าวหน้าอะไร ต้องไปเป็นคนรับใช้ลัทธินี้อยู่ตลอดเวลา เรียกว่า ศาสนาใหม่ เรามาสร้างศาสนาใหม่ขึ้นไงลูก ให้คนได้ถือศาสนาเดียวกัน แต่มันไม่สำเร็จ แต่ว่านายมูนแกรวย แกรวยเพราะวิธีการของแกอย่างนี้ เป็นอยู่ในเวลานี้ น่าศึกษา
เมื่อวานนี้มีคนจะมาคุยให้ฟังเรื่องนี้อีก ก็ขอเข้าไปคลุกคลี เข้าถึงแก่น แล้วจะมาคุยให้ฟังว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร? ลัทธินี้เป็นมาอย่างไร? แกบอกว่า “เป็นอันตรายมากหลวงพ่อ อันตรายแก่บ้านเมืองมาก” พวกนี้ต่อไปจะทำอย่างไร? เพราะเขาแยกคนออกไป แยกไปจากชาติ จากพ่อแม่ จากพุทธศาสนา จากความเคารพนับถือพระมหากษัตริย์ จุดนับถือมีอันเดียว คือนายมูนนั่นเอง เพราะนายมูนนี่เป็นตัวแทนพระผู้เป็นเจ้า นับถือพระผู้เป็นเจ้า คือนายมูน เรื่องอื่นไม่ต้องคิดถึง เด็กก็ต้องทิ้งหมด ทิ้งชาติ ทิ้งประเทศ ทิ้งอะไรไป สุดแล้วแต่เขาจะชี้ต้นตาย ชี้ปลายเป็น ชี้ไปไหนก็ได้ ไปตามเขาชี้ เพราะว่าเชื่อฟังแล้ว เขาสอนให้เชื่อให้ฟังอย่างเดียว หลับหูหลับตาเชื่อ มันก็ไปกันใหญ่ อย่างนี้น่าคิด เอามาเล่าย่อ ๆ สั้น ๆ วันหลังต้องศึกษาใหม่ แล้วค่อยเอามาพูด ให้โยมฟังต่อไป วันนี้พูดมาก็สมควรแก่เวลาแล้ว ต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที