แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันที่ ๕ ของเดือนเมษายน พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่ ๖ วันที่ ๖ นี้ เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ของประเทศไทย เขาเรียกว่า “ เป็นวันจักรี ” วันจักรี คือเป็นวันที่ชาวไทย ระลึกถึง พระคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ คือพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่ได้ครองบ้านครองเมืองให้ เจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับ จนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันนี้
ในหลวงรัชกาลที่ ๑ นั้น เมื่อก่อนก็ ท่านเป็นแม่ทัพของพระเจ้าตากสินมหาราช แต่ต่อมาก็ได้เป็นพระเจ้าเเผ่นดิน เชื้้อสายของพระองค์ท่านสืบมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา คือเป็นเจ้าพระยาโกษาปานซึ่งเป็นนักการฑูตชั้นเอกของเมืองไทย ที่ได้ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ของฝรั่งเศษ และก็ไปพักอยู่นาน เป็นนักการฑูตที่มีชื่อมีเสียง เวลานี้คึกฤทธิ์กำลังแปลเอกสาร เกี่ยวกับการไปเจริญสัมพันธไมตรี กับ พระเจ้ากรุงฝรั่งเศษ แล้วก็มีลูกมีหลาน สืบต่อมา จนกระทั่งถึงพระบิดาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ รัชกาลชื่อ ทองดี เป็นหลวงพินิจราชอักษร ทำงานอยู่ในวัง ลูกชายของท่านก็คือ ทองด้วง ชื่อเดิม ชื่อทองด้วง ทองมา สองคนพี่น้อง ที่เป็นผู้ชายที่เก่งกาจ ที่เป็นผู้หญิง ก็มีเหมือนกัน ได้แต่งงานสืบสกุล ลงมา คือ สกุลเทพหัสดินนั่นเอง นั่นเป็นเชื้อสาย อันนี้ในหลวงรัชกาลที่ ๑ สมัยเป็นแม่ทัพนี้ เรียกว่าเป็นนักรบที่ มีความฉลาด มีความสามารถในการต่อสู้กับข้าศึก รบชนะข้าศึกมา เกือบทุกครั้ง โดยเฉพาะครั้งหนึ่งอยู่ที่เมืองพิษณุโลก ออกต่อสู้กับพม่า อาแซหวุ่นกี้หลายยกหลายครั้งยังไม่แตกพ่ายกันไป จนอะแซหวุ่นกี้ขอดูตัว ขอดูตัว แล้วก็ทำนายว่า รูปร่างดี สติปัญญาเฉลียวฉลาด ต่อไปนี้ก็ กองทัพของพม่าจะไม่มารุกประเทศไทยอีก
เพราะว่าประเทศไทยมีนักรบที่ดี ที่สามารถทำนายไว้อย่างนี้ และก็ รบดีมาตลอดเวลา ร่วมมือกับน้องชาย คือเจ้าพระยาสุรสีห์นาถ ซึ่งต่อมาเป็นกรมพระราชวังบวรมา ชื่อว่า สิงหนาท วังของท่านก็คือพิพิธภัณฑ์สถานในปัจจุบัน การรบที่สำคัญครั้งหนึ่งและครั้งหนึ่ง คือที่ทุ่งลาดหญ้า อยู่จังหวัดกาญจนบุรี สงครามของพม่ายกทัพมาถึงเก้าทัพ เรียกว่าสงครามเก้าทัพ สุนทรภู่ก็แต่งพระอภัยมณีเขียนเรื่อง สงครามเก้าทัพเหมือนกัน เรียกว่ารบกันใหญ่ ทัพเรือ รบกันใหญ่ ในสมัยนั้นพม่าจัดทัพมาเป็นแสน หลายแสน ตีตั้งแต่เชียงใหม่เรื่อย ไปจนนู้น ถึงปักษ์ใต้ ถึง เมืองถลาง รบกันมา แต่ทั้งสองพี่น้อง ได้จัดทัพออกไปสู้กับพม่า คือ "แตก"มาเป็นตอนเป็นตอน แต่มาถึงที่เมืองกาญจน์นี่ สงครามรากหญ้า เรียกว่าตีกันครั้งใหญ่ กองทัพมารวมกันที่นั้น รบกันมาก ข่าวพลเมืองไทยก็ตาย พม่าก็ตาย แล้วก็พม่าก็แตก
…… (05.04 เสียงไม่ชัดเจน) กลับบ้านกลับเมืองกันไปตามๆกัน เป็นสงครามที่มีชื่อ แล้วก็ตั้งแต่นั้นมาพม่าก็ไม่ค่อยได้ยกมาตีไทยอีกต่อไป บ้านเมืองไทยก็อยู่กัน ด้วยความสุขความสงบ ไม่มีปัญหา ท่านได้ขึ้นครองราชสมบัติในวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๐๐ ถอยหลังไป ๒๐๐ กว่าปีแล้ว แล้วก็ครองบ้านครองเมืองด้วยความเมตตาปราณี ปรารถนาความสุขแก่ประชาชน โดยปกติเกี่ยวกับเรื่องพระศาสนา ได้ทรงกระทำกิจหลายอย่าง ในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ในเวลาขึ้นเสวยราชย์นี่ ได้ประกาศพระราชปณิธาน เหมือนกะว่าประกาศนโยบาย เป็นคำกลอนว่า เราจะอุปถัมภ์ภก (06.03) ยอยกพระพุทธศาสนา ป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาไพร่พลมนตรี อันนี้เป็นคำประกาศที่สำคัญ ขึ้นต้นก็ด้วยเรื่องศาสนาก่อน ว่าเราจะ อุปถัมภ์ภก (06.20) ยอยกพระพุทธศาสนา คือส่งเสริมพระพุทธศาสนา ให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป ประการที่สองก็ป้องกันไม่ให้ข้าศึก มาเหยียบย่ำแผ่นดินไทยต่อไป ประการที่สามจะบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน ให้อยู่เย็นเป็นสุขต่อไป อันเเรกที่ว่าจะ อุปถัมภ์ภก (06.47) ยอยกพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะพระองค์เห็นว่า ศาสนา ธรรมะนี่เป็นหัวใจของคน คนเราถ้าใจดีอะไรมันก็ดีหมด ถ้าใจชั่วอะไรมันก็เสียหายหมด อะไรอะไรมันอยู่ที่ใจ จึงต้องจัดการ เหง้าสารทางจิตใจของประชาชน เพื่อการบำรุงพระศาสนา เพราะว่าพระศาสนาภายหลัง กรุงแตกนี่ ก็กับระส่ำระสาย พระสงฆ์องค์เจ้าที่มีความรู้ มีความสามารถ ก็หลบไปอยู่ ตามบ้านนอกบ้านนา เข้าป่าเข้าดงไปเลยทีเดียว เเล้วก็เมื่อสมัยพระเจ้าตากสิน ครองราชสมบัติ โดยเฉพาะตอนปลาย ตอนจะใกล้สวรรคตนี่ พระองค์ทรง มีพระสติไม่ค่อยจะดี เพราะไปเจริญภาวนามากไปหน่อย แล้วก็สำคัญว่าสำเร็จเป็นพระโสดาบัน แล้วมีคนพรากเข้ามาในวัง ท่านถามพระเหล่านั้นว่า คฤหัสถ์เป็นโสดาบันพระสงฆ์ที่เป็นปุถุชนไหว้ได้ไหม พระบางองค์กลัวพระราชอาญา ก็ตอบว่าไหว้ได้ แล้วก็ไหว้ บางองค์ที่ เคร่งครัดต่อธรรมะ ก็กราบทูลว่าไหว้ไม่ได้ เพราะว่าพระเป็นผู้มีเพศสูงว่าคฤหัสถ์ แม้คฤหัสถ์จะเป็นโสดาบันก็ไหว้ไม่ได้ ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าเกรงพระราชอาญา เมื่อตอบปัญหานั้นแล้วก็ไม่กล้าอยู่วัดในเมืองในกรุง เลยหนีออกไปอยู่บ้านนอกบ้านนา ต่อให้เป็นพระผู้รู้ก็ …… (08.52 เสียงไม่ชัดเจน) ไม่ได้อยู่ที่ในเมืองต่อไป พอพระเจ้าตากสินสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ ๑ ขึ้นครองราชย์ ก็เห็นว่าจะเป็นการเสียหายแก่พระศาสนา ต้องจัดการบำรุงพระศาสนาให้ถาวรต่อไป จึงได้ตั้งพระทัยอย่างนั้น แล้วก็บำรุงอย่างไร บำรุงในด้านวัตถุก่อน ด้วยการสร้างวัดพระแก้วไว้ในวัง วัดพระแก้วเป็นวัดในวัง เหมือนกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ที่อยู่ในวัง (นาทีที่ 09:34 ฟังเสียงหลวงพ่อพูดได้ไม่ชัดเจน) ทรงเศียรเเต่หยาบ ถ้าเราไปเที่ยวกรุงเก่าในปัจจุบันนี้ จะเห็นว่ามีวัดอยู่ในวัง คือวัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดใหญ่ มีเจดีย์ใหญ่ ท่านก็เลยสร้างวัดพระแก้ว ก่อนสร้างวัง เอาพระแก้วเข้าไปประดิษฐานไว้ที่นั่น
อันพระแก้วนั้นเป็นมรกต ที่มีราคา หาค่าไม่ได้ ก็ใหญ่โตมาก ไม่รู้ว่าสร้างกันที่ไหน ตำนานมันก็เป็นนิยายไปเสียมาก แต่ว่าที่พบในประเทศไทยนี่ พบที่วัดพระแก้ว เมืองเชียงราย เพราะว่าเจดีย์ที่เรียกว่าประจำวัด ฝนมันตกหนัก ลมพายุใหญ่ เจดีย์ก็พัง พังทะลุลงมา คนก็ไปเก็บข้าวของ ที่เค้าบรรจุไว้ในเจดีย์ คนสมัยนั้นซื่อสัตย์ เคารพธรรมะ กลัวบาปกลัวกรรม ไม่มีใครเม้ม เอาข้าวของอะไรไปเลย สิ่งใดที่เก็บได้ก็เอามารวมไว้ เรียบร้อย แล้วก็ได้พระองค์หนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระแก้วมรกต ก็เอาขี้ชันพอกไว้ดำไปทั้งองค์ เเต่ชาวบ้านก็นึกว่าเป็นรูปพระ เมืองเหนือเค้าเรียกว่า พระเจ้า ก็เลยเอาไปไหว้ในวิหาร เมื่อเข้าไปอยู่ในวิหารอุณหภูมิมันผิดกับในเจดีย์ที่ห่อหุ้ม เกิดความร้อน เช่นหน้าร้อนอย่างนี่ ขี้ชันที่ปลายจมูกมันละลาย เวลาคนไปจุดไฟในโบสถ์ ก็เห็นว่า มีเเววๆวาวๆ แสงสะท้อน ทำให้เห็นเป็นแสง มานึกว่าเอ้ จมูกพระเจ้านะมีแสงนะ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ก็เอามา คง เอาขี้ชันออก จึงได้รู้ว่าเป็นมรกตมีค่าล้ำ ก็เลยประดิษฐานไว้ที่เมืองเชียงราย คือวัดพระเเก้ว
เดี๋ยวนี้วัดพระเเก้ว เค้าไปหล่อพระหยกก็ไม่ได้หล่อ ไปเกะสลักจากเมืองจีน เอามาไว้ที่เชียงรายต่อไป แทนพระแก้วองค์เดิม นี้พระเจ้าพ่อขุนเม็งรายนี่ ท่านเคยอยู่เชียงราย ท่านไปสร้างเมืองเชียงใหม่ พอไปสร้างเมืองเชียงใหม่ก็อยากได้พระแก้วไปไว้เชียงใหม่ ก็เลยเชิญขึ้นหลังช้าง เดินทางไปเชียงใหม่ แต่ไปถึงทางแยกที่จะไปลำปาง ช้างมันเดินไปลำปาง ถอสับให้เดินกลับไปทางเชียงใหม่เพื่อวกไปลำปาง วกไปลำปางเรื่อยๆ คนโบราณเชื่อว่า มีอะไรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อ่อนึกว่าหลวงพ่อคงจะไม่ คงจะไม่ชอบไปอยู่เชียงใหม่ ก็เลยเอาไปไว้ที่ลำปาง มีวัดพระแก้ว อยู่ที่ลำปาง ออกประตูม้า ทางที่จะไปวัดเจดีย์ซาว เจดีย์ซาวคือเจดีย์ ๒๐ องค์ เมืองเหนือเขาเอาคำว่า ๒๐ นี้ เขาเรียกว่าซาว เมืองลาวก็ซาวเหมือนกัน ฉะนั้นนี่วัดพระแก้วอยู่ตรงใกล้ตรงวัดสุชาดา นี้พระแก้วมาอยู่ลำปาง แล้วหายไปไหน เจ้าไชยเชษฐาเจ้าชายไชยเชษฐาโอรสพระโพธิสาร หลวงพระบาง มามั่นลูกสาวเจ้าลำปางแล้วก็แต่งงานกัน พอแต่งงานแล้วก็อยู่ลำปาง ไม่ไปเมืองหลวงพระบาง เพราะพ่อยังอยู่ ต่อมาพ่อสวรรคต ลูกชายก็ต้องไปครองราชสมบัติแทนพ่อ แต่ลูกชายนี้มีความคิดก้าวหน้า ไม่อยากจะอยู่หลวงพระบาง เพราะหลวงพระบางมันแคบนิดเดียว เดิน ๑๐ นาทีก็หมดเมืองแล้ว
อยู่ใกล้แม่น้ำโขง มีวัง เล็กๆ ไม่ใหญ่ไม่โตแล้ว วัง เล็กๆนิดเดียว แล้วก็ในวังนั้นมีส่วนหนึ่ง เป็นที่ประดิษฐานพระบาง พระบางทำด้วยทองคำ เป็นรูปพระยืนยกมืออย่างนี้อยู่ในวัง ครั้งหนึ่งเคยเอามาไว้กรุงเทพฯ แต่ว่าก็ส่งคืนไปให้เขา ยังอยู่ที่หลวงพระบาง คอมมิวนิสต์เข้าแต่มันยังอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะเป็นธาตุทองเวลานี้มันสงสัยอยู่ อันนี้พระแก้วก็เลยเข้าใจเชษฐาก็จะไปครองเมือง แต่ไม่ไปหลวงพระบาง จะไปสร้างเมืองใหม่ที่เวียงจันทน์ ก็เลยลูบแข้งลูบขาพ่อตา ขอให้มีบุญพระแก้วไปเป็นมงคลในการสร้างบ้านแต่งเมือง เพื่อความเป็นมงคลพ่อตาก็หลงลิ้นลูกเขย ก็เลยให้ไป ลูกเขยบอกว่าสร้างบ้านแต่งเมืองเสร็จ เเล้วจะนำมาคืน แต่นำส่งเอาไปแล้วก็ไม่คืน กลับไปสร้างโบสถ์ที่เวียงจันทน์ หลังใหญ่ ยังอยู่จนบัดนี้ โบสถ์เวียงจันทน์ยังอยู่ ฝรั่งเศษมันเขียนป้ายบอกไว้ ว่าโบสถ์นี้เป็นที่อยู่ของพระแก้ว แต่พระแก้วถูกคนไทยลักเอาไปซะแล้ว ไอ้ฝรั่งเศษมันหา ฝรั่งไม่ค่อยเรียบร้อย มันเขียนไว้อย่างนั้น พระเจ้าไชเชษฐาก็เลยสร้างโบสถ์ให้พระแก้วอยู่
ต่อมารัชกาลที่ ๑ เป็นแม่ทัพชื่อเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิลึกมหึมา ทุกนัคราระงาเดช ยกทัพไป ถล่มเวียงจันทน์ ได้ชัยชนะ ท่านก็ไปไหว้พระธาตุหลวงลำปาง ได้ไปไหว้พระแก้ว ไปไหว้ไหว้ก็นั่งพิจารณาเอ้ นี่มันของกูนี่ ก็ของเมืองไทยนี่ แต่ลาวเอาไป แล้วจะพูดภาษาชาวบ้านว่า “เฮ้อ! นี่มันของกูนิหว่า” แลบอกทหารว่า “หยบ! เอาไป” ใส่หลังช้างพามาเมืองไทย ช้างก็มาได้จนถึงกรุงเทพฯเรียบร้อย ก็เอามาไว้ที่ฝั่งธนก่อน เอาไว้ที่ฝั่งธน ต่อมาเมื่อสร้างพระนคร ก็ไปไหว้วัดพระแก้ว มันเป็นมาอย่างนั้น ญาติโยมที่ไปไหว้พระแก้ว มักจะเอาข้าวเหนี่ยว น้ำปลาร้า ไข่เค็มไข่ต้ม ไปถวาย ถามว่าทำไมถวายข้าวเหนี่ยวน้ำปลาร้า โยมบอกว่า “หลวงพ่อแก้วอยู่เมืองลาวนาน ชอบข้าวเหนียว เฮอะ” ความจริงย้ายมาอยู่กรุงเทพฯตั้ง ๒๐๐ ปีกว่าแล้ว มันน่าจะฉันข้าวเจ้าแล้วเห้อ นี่ก็โยมยังถืออย่างนั้น ถือตามแบบของโยมอะ นี่เป็นอย่างนั้น
ท่านจึงได้สร้างโบสถ์พระเเก้ว เรียกว่าเป็นโบสถ์ในวัง เป็นหอพระในวังนั่นเอง เป็นวัดๆเดียวที่ไม่มีพระสงฆ์ มีแต่พระพุทธรูปคือพระแก้วมรกต อันนี้เป็นเรื่องบำรุงพระศาสนาส่วนวัตถุ บำรุงพระสงฆ์ ท่านใส่บาตรทุกวัน พระเจ้าเเผ่นดิน รัชกาลที่ ๑ ใส่บาตรทุกวัน แล้วใส่มาเรื่อย มาจนถึงรัชกาลที่ ๓ ใส่บาตร เช้าก็มาทรงบาตร เขาเรียกว่าทรงบาตร ใส่บาตรร้อยรูป ใส่บาตรเสร็จแล้วก็นิมนต์พระองค์หนึ่ง ให้ไปแสดงธรรมให้ท่านฟัง เป็นพระเจ้าเเผ่นดินก็ยังชอบฟังธรรม พระก็ไปแสดงธรรม อันนี้ไม่ใช่เรื่องอะไร เป็นเรื่องกระตุ้นพระ ให้สนใจศึกษาธรรมะ ให้มีการค้นคว้า พระไตรปิฎก เพื่อจะได้เอาไปเทศน์ให้พระเจ้าแผ่นดินฟัง พระก็ตื่นตัวกัน จึงลืมไปว่าเด่วถูกนิมนต์ไปเทศน์ไม่รู้จะเอาอะไรไปเทศน์ ต้องเตรียมตัวไว้ นี่เป็นเหตุกระตุ้นพระ ให้สนใจศึกษา
อีกเรื่องหนึ่งที่ทรงกระตุ้นพระ คือว่า เพื่อนบ้านก็เขียนปัญหาไปถามพระในเรื่องธรรมะ เขียนปัญหาธรรม เขียนไปถามทุกวันอ่ะ พระทุกวัดพอได้รับปัญหาก็ต้องมาประชุมกัน ปรึกษากัน ว่าเราจะตอบ พระเจ้าแผ่นดินอย่างไร อ้างที่มาที่ไปอย่างไร โดยศึกษา ค้นคว้า แล้วเอามาตอบให้ พระเจ้าแผ่นดินทราบ เป็นอุบาย ให้พระตื่นตัวศึกษาเล่าเรียน แล้วก็จัดการ สอบบาลี ที่โบสถ์พระแก้ว สอบสมัยนั้นสอบด้วยปากเปล่า ไปจับฉลาก เออเปรียญ ๓ ประโยคนี้เรียนอะไร คัมภีร์อะไร จับฉลาก ได้เล่มไหนเอาไป แม่ ต่อหน้ากรรมการ ถ้าแปลได้ก็ผ่านไป เพราะฉะนั้นสมัยนั้น วันเดียวนี่สอบได้ถึง ๙ ประโยค แปลตอนเช้าและก็แปลตอนบ่ายได้ ๙ ประโยค เค้าเล่าว่ามีพระองค์หนึ่งเป็นชาวพัทลุง ชื่อมหาสร ชื่อท่านสร อยู่วัดหงษ์รัตนาราม ที่ชลบุรี ท่านก็เรียนบาลี แต่ว่าไม่ได้เข้าสอบ เพราะไม่มีกรรมการองค์ใด เสนอชื่อ แล้วก็นำเข้าสอบ ที่ไม่เสนอชื่อ ไม่นำเข้าสอบนี้ก็เพราะรูปร่างท่าน ไม่สวย “ตัวดำ” “เล็กด้วย” ร่างเล็กตัวดำ เลยก็ไม่มีใครเสนอ แต่ว่าท่าน ขยันไปต้มน้ำร้อน ถวายกรรมการ ไปต้มทุกวันเค้าสอบนักธรรมก็ไปต้มน้ำชงชา นำชาถวายทุกวันทุกวัน วันหนึ่ง พระ องค์หนึ่งเข้าไปแปล กรรมการก็ ก็กัด แปลอย่างนั้น ไม่เอ้า! แปล ไม่เอ้า! แปลไม่ถูก แปลไม่ถูกท่านได้ยิน ฮู้! มันเรียนของมันยังไงว่ะ ของง่ายๆยังแปลไม่ถูก บ่น บ่น บ่นคนเดียว ต้มน้ำไปบ่นไป พระกรรมการองค์หนึ่งปวดปัสสาวะ เลยออกมา ได้ยิน กลับไปปัสสาวะเสี่ยวอึ้ย เมื่อตะกี้คุณพูดว่าอะไร พูดว่า ไอ้พระองค์นั้นมันเรียนยังไง ของกล้วยๆยังแปลไม่ได้ แล้วคุณแปลได้เรอะ หึ ง่ายนิดเดียว แล้วทำไมไม่เข้าสอบอ่ะ ก็ไม่มีใครเซ็นรับรองให้ผมเข้าสอบ ผมเลยสอบไม่ได้ อ้าว เตรียมตัวไว้นะ มะรืนนี้
ฉันจะเสนอชื่อให้เข้าสอบ ท่านก็ดีใจว่าจะได้สอบ เข้าไปสอบต่อหน้าพระที่นั่ง พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยนั้นนะ สมัยหลัง สอบหน้า ต่อหน้าพระที่นั่งพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๓ สอบวันเดียว รวดเดียว ได้ ๙ ประโยค รัชกาลที่ ๓ โปรดมาก โปรดมาก เลยถามว่าอยู่วัดไหน วัดโสม อ้อไม่ใช่ (21.59 หลวงพ่อให้ชื่อวัดผิด และท่านได้แก้ไขให้ถูกต้อง) อยู่วัดนางนอง ตอนนั้นยังไม่ได้อยู่วัดโสม อยู่วัดนางรอง ฝั่งธนนะ เมื่อพระราชโอรสวัดนางนอง วัดจอมทอง อะนะ อย่างนั้น อยู่ใน เพราะว่าเชื้อสาย ณ พัทลุง มีอยู่แถวนั้น เจ้าเมืองพัทลุงก็เลยฝากมาให้อยู่วัดนางนอง แล้วก็เรียนหนังสือ จนสอบได้ ๙ ประโยค
ในหลวงรัชกาลที่ ๓ เลยนิมนต์ให้มาอยู่วัดถุง เป็นเจ้าอาวาสวัดถุง แล้วก็ตั้งให้เป็นพระราชาคณะ ชื่อพระอุดมปิฎก สมัยนั้นรัชกาลที่ ๔ ยังบวชอยู่ แล้วขัดคอกันบ่อยๆ ในเรื่องบาลี เรื่องแปล แล ขัดคอกันบ่อยๆ แต่ที่ขัดคอกันเรื่องใหญ่ก็คือว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ท่านจะตั้งองค์ธรรมยุต ท่านอุดมปิฎกบอกว่าอย่าไปตั้งเลย มันแตกแยกกัน มันเป็นปัญหา ในหลวงท่านก็ตั้งของท่านตามเรื่อง จนท่านลาสิกขาออกมาเสวยราชสมบัติเป็น รัชกาลที่ ๔ ท่านอุดมปิฎกกลัวอาญา เพราะในหลวงสมัยก่อนนี้ พูดอะไรมันเป็นกฎหมาย กลัว เลยหนี ขนของกลับบ้าน ไปอยู่พัทลุง บ้านเดิม แล้วก็ไปสร้างโบสถ์ให้ที่วัดสนซา ยังอยู่โบสถ์นั้นยังอยู่ จนกระทั่งบัดนี้ อยู่ๆไปก็พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๔ ครองราชย์เป็นปกติเรียบร้อย ก็นึกว่าบ้านเมืองจะสงบเย็น ก็เข้าไปกรุงเทพฯ คิดนะ เลยเข้ามา พวกในวังรู้ ก็นิมนต์มาฉันในวัง นั่งปลายแถว ...... (23.59 เสียงไม่ชัดเจน) ในหลวงประเคนเจ้า “เอาไปเถอะ” อ้าว! หายไปไหนอ่ะ ไม่เห็นนานแล้ว “ไปบ้าน” ไปสร้างโบสถ์ ขอถวายพระราชกุศลด้วย ในหลวงก็อนุโมทนา สาธุ แล้วก็บอกว่า อือ ดีละ นานๆเจอกัน วันนี้กล่าวคำอนุโมทนาเป็นภาษาบาลีซักหน่อย ...... (24.27 เสียงไม่ชัดเจน) ต้องอนุโมทนายกพัดขึ้นถือ อะกิเลกะวัตซะสะตังชีวะตุ จิต (24.29) แปลว่า ๓ ครั้ง แล้วก็ตอนที่ ๒ ว่า ฑีฆายุโกโหตุ จิต กว่า ๒ ครั้ง ตลอดไปได้ จนได้เรียบร้อย
ในหลวงชมว่า โอ้ ... ปฏิภาณดี เก่ง นี่ ยกย่อง แล้วก็ถวายของอะไรไปตามเรื่อง ท่านก็กลับไปอยู่บ้าน จนถึงมรณะภาพ เวลามรณะภาพ เจ้าเมืองก็เผาศพตามไปเนอะ นานๆ มาในหลวงคิดถึง เขียนจดหมายไปถึงเจ้าเมือง ไอ้สมัยก่อนจดหมายมันเดินทางตั้งสองสามเดือน ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ตะเล็ดเต็ด ประเด๋วเดียวก็ได้ ก็เลย จดหมายไปถึงก็ เฮอะ.. เจ้าเมืองก็เขียนจดหมายตอบมาว่า มรณะภาพเผาศพเรียบร้อยแล้ว ในหลวงก็ไม่พอพระทัย บอกว่า เป็นทาสของฉัน ตายแล้วทำไมไม่บอก เผาซะเอง ทรงติโทษ อ่อไม่ถูกต้องนิ มันมีเรื่องสอบบาลีในวัง (นาทีที่ 25:52 ฟังเสียงหลวงพ่อพูดได้ไม่ชัดเจน)กาลที่ ๑ ท่านก็มีการสอบ ไปนั่งฟัง อ้าสอบเลย เป็นประธานเอง สอบกันอย่างงั้น
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญเกี่ยวกับศาสนาก็คือว่า ทำการสังคายนาพระไตรปิฎก เพราะว่าพระไตรปิฎกนี่ พม่าเผาเมือง พระไตรปิฎกก็ถูกเผาไปด้วย เผาเมือง เผาวัดเผาวา เผาเกลี้ยงไหม ...... (26.23 เสียงไม่ชัดเจน) มากหน่อย แต่อย่าไปกลัวนะ ไอ้พวกที่เผามันตายไปหมดแล้ว พม่าเดี๋ยวนี้ ก็น่าสงสาร ไม่ค่อยจะเรียบร้อย บาปกรรมเหมือนกัน ทีนี้ก็ จะสังคายนาพระไตรปิฎก สังคายนาที่ไหน วัดบางหว้าใหญ่ วัดอัมรินทร์นะ เรียกว่า วัดบางหว้าใหญ่ เลยก็ เอาต้นฉบับที่ไหนอ่ะ เพราะว่าหนังสือมันขาดๆ วิ่นๆ นิ! ก็ไปเที่ยวหา ...... โน่นแน่ะ ไปได้ต้นฉบับมาจากเมืองนครศรีธรรมราช เพราะเมืองนครไม่ถูกพม่าเผาโจมตี ไม่ขาด ไม่เสียหาย ความจริงพม่าก็วางเเผนจะเข้าโจมตีปรนครเหมือนกัน แต่ว่า ไปตั้งค่าย อยู่ที่ ถ้าเราเคยนั่งรถไฟผ่านไป ทุ่งสง เขาชุมทอง บ้านตูน ชะอวด นะ ไอ้ตอนถึงชะอวดติดทุ่งทรายใหญ่ ป่าเสม็ด ทราย.. เต็มไปหมด สมัยก่อนทุ่งทราย เด๋วนี้มันเป็นป่าปลูกสับปะรด หวานดี เพราะดินทราย สับปะรดชอบ ก็ไปตั้งค่ายอยู่ที่นั่น เขาเรียกว่า ทุ่งค่าย ชาวบ้านเรียกมาจนบัดนี้ตรงนั้นว่าทุ่งค่าย เคยเป็นค่ายพม่า เตรียมจะไปตีเมืองนคร
ทีนี้ก็มีพระองค์แรก ชาวพัทลุงเหมือนกัน ชื่อมหาช่วย มหาช่วยแกเห็นว่า บ้านเมืองจะล่มจม ข้าศึกจะมาโจมตี ต้อง ต้อง ต้องแก้ปัญหา ทำยังไง ก็จี้ปลุกใจ ประชาชนคนหนุ่มทั้งหลาย ให้ลุกขึ้น ต่อสู้ กับพม่า ข้าศึก เห็นว่า เขียนยันต์ ปรกหัว ทำให้มันให้กำลังใจ ทำอย่างนั้น ก็ เดินทัพ จ้างบนคานหาม ชาวบ้านก็สี่คนหาม ผลัดกัน เดินคานจากพัทลุงมา ชะอวด มาตั้งค่ายอยู่ ซ่อนอยู่ก่อน ป่าเยอะ แถวนั้น พอกลางคืนก็ตูม ตีค่ายพม่า รบกัน พม่า! สู้ไม่ได้ ตาย วิ่งหนีโสร่งหลุดลุ่ยไปตามๆกัน มหาช่วยก็ ชนะ ข้าศึกก็ไม่ไปตีเมืองนคร ทีนี้ท่านมหาช่วย ท่านมามองดู อู้! อาตมานี้แย่แล้ว ไปฆาต! ไปรบชาติทับจับศึก ไปฆ่าคน มันเป็นอาบัติปาราชิกไปแล้ว เลยสึกเลย พอรบชนะก็สึกเลย ความซาบซึ้งในหลวงสมัยนั้น ก็เลยตั้งให้เป็นพระยา เรียกว่าพระยาช่วยทุกข์ราษฎร์ ช่วยทุกราษฎร์ ช่วยความทุกข์ของประชาชน ได้เป็นเจ้าเมือง ตั้งเมืองอยู่ที่ ตำบลพญาขัน ที่จังหวัดพัทลุง นี่ เพราะฉะนั้นเมืองนครก็ไม่ถูกตี เพราะมหาช่วย ช่วยไว้ จึงรอดปลอดภัย พระไตรปิฎกก็ไม่ถูกเผา เหลือสมบูรณ์ ถ้าเอาต้นฉบับนั้นมากรุงเทพฯ เอามาเป็นแบบ แล้วก็คัดลอก เขียนลงในใบลาน
ไอ้เขียนหนังสือตรงใบลานนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ อะ ตะหยุก เอาหนังสือมาวาง แล้วค่อย ตึ้ก. ตึ้ก. ตึ้ก .ตึ้ก. อยู่นั่นแหละ เขียนบนใบลาน จานเอาเหล็กเขียนนะ ไม่ได้เขียนด้วยปากกา เขียนด้วยเหล็ก จานจิกลงไปในใบลานนี่ จานเสร็จเเล้วก็ เอาคำบ่าวลง เซ็นหนังสือมันก็ดำ เอากระดาษอะ เกื้อขัด ทำให้ (30.35 เสียงไม่ชัดเจน) ให้สวยงาม ขัดได้แน่ ปิดทองลอกฉัตรนะ ทำเรียบร้อย ชื่อว่าพระไตรปิฎกลานทอง เอาไว้ที่ไหนอ่ะ ทำเสร็จแล้วก็เอาไว้ ที่หอไตรในโบสถ์พระแก้ว เค้าเรียกว่าหอธรรม
ในโบสถ์พระแก้วทำด้วยไม้ ต่อมาไฟไหม้ แต่ขนพระไตรปิฎกออกได้ เลยเกิดเป็นวิหาร ปูอิฐ แข็งแรง สมัยนี้ไปฟังเทศน์วัดพระเเก้วเนี่ยไม่ได้เทศน์วัดพระแก้ว ไม่ได้เทศน์ในโบสถ์ แต่ไปเทศน์อยู่ที่หอธรรมนั่นเอง พระไตรปิฎกอยู่ที่นั่น เป็นต้นฉบับของเมืองไทย ทรงกระทำสังคายนา นี่เป็นกิจการของศาสนา บำรุงวัดวาอาราม ส่งเสริมการพระศาสนา ให้เจริญก้าวหน้าต่อไป แต่เป็นเรื่อง บำรุงพระศาสนา
อันที่สองชื่อว่า จะป้องกันขอบขัณฑเสมา ไม่ให้ข้าศึกมาเหยียบต่อไป ทำได้สำเร็จ เมื่อรบชนะทุกครั้ง ได้ชัยชนะทุกครั้ง อันนี้เป็นเรื่องที่ พวกเราควรจะนึกถึงเถอะ แล้วท่านก็สวรรคตไป ลูกชายชื่อเจ้าฟ้า เจ้าฟ้าฉิม คือพระพุทธเลิศหล้า ชื่อเดิม ชื่อฉิม เป็นชาวเมืองสมุทรสงคราม ในหลวงรัชกาลที่ ๑ นี้ เป็นเจ้าเมืองนาคบุรี หลวงยกกระบัตรนาคบุรี ได้ภรรยาคือ มเหสี เป็นคนสมุทรสงคราม เขาเรียกว่า ...... (32.32 เสียงไม่ชัดเจน) เป็นเศรษฐีอ่ะ พ่อ พ่อตาเป็นเศรษฐี เลยก็แต่งงานกะเจ้าเมือง แล้วก็มีลูกชายคือ เจ้าฟ้า เจ้าฟ้าฉิม สมัยนั้นยังไม่เป็นเจ้าฟ้า เป็นแม่ทัพ ชื่อฉิม และก็เกิดที่นั่นเด่วนี้พระองค์ก็ เจ้าฟ้า สมเด็จพระเทพไปบูรณะ ที่นั่น วัดอัมพวา เป็นวัดหลวง เป็นบ้านเกิดของ รัชกาลที่ ๒ ท่านก็ไปสร้างเรือนไทย ทำพิพิธภัณฑ์ ทำสนาม ทำอะไรต่ออะไร แล้วหล่อรูปรัชกาลที่ ๒ ไปวางไว้ที่นั่น ให้คนได้ระลึกถึง ก็เป็นบ้านเกิดของท่าน ที่นั่น ก็เลยได้ครองราชสมบัติ เป็นกษัตริย์ที่เป็นนักปราชญ์ ชอบแต่งหนังสือ ทรงพระนิพนธ์เรื่อง อิเหนา เรื่องสังข์ทอง หลายเรื่อง เจ้าบทเจ้ากลอน แต่ว่าการรบทัพจับศึกก็ยังเก่งอยู่นั่นเองอ่ะนี่ รัชกาลที่ ๒.. รัชกาลที่ ๒
สุนทรภู่เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๒ แล้วก็คดีบ้าง ตกต่ำบ้าง ขึ้นบ้าง ลงบ้าง อยู่ในยุคนั้นอ่ะ ๒,๓ อ่ะ เพราะว่า มีเสียอยู่อย่างหนึ่ง ชอบดื่มสุรา เมามาย และก็เสียเรื่องบ่อยๆ แต่ว่า เสียก่อน ดี มีชื่อเขาสร้างอนุสาวรีย์ไว้ ที่ บ้านแกลง อำเภอระยอง บ้านกล่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เป็นคนที่มีเกียรติคนหนึ่งเหมือนกัน รัชกาลที่ ๒ สวรรคต พระโอรสที่ควรจะได้ราชสมบัติมี ๒ องค์ คือ เจ้าฟ้ามหามงกุฏ รัชกาลที่ ๔ แต่ว่าตอนในหลวง รัชกาลที่ ๒ สวรรคตเนี่ย รัชกาลที่ ๔ บวชอยู่ “บวช” อันนี้ลูกคนหนี่ง ชื่อ ทับ คือ รัชกาลที่ ๓ นี่ เรียกว่าพระองค์เจ้าทับ พระองค์เจ้าทับ นี่ เป็นพ่อค้า ชอบค้าขาย สร้างเรือสำเภาบรรทุกสินค้ากลับเมืองไทยมาขายเมืองจีน ซื้อสินค้าเมืองจีน มาขาย เมืองไทย ท่านร่ำรวย จนในหลวงรัชกาลที่ ๒ พูดว่า “ถ้าพูดเรื่องเงินเรื่องทองก็ต้องไปถามเจ้าสัวทับ”ได้ เรียกว่าเป็นเจ้าสัว เป็นคนร่ำรวย เป็นพ่อค้า ร่ำรวย และก็ ท่านมีอายุ มากกว่ารัชกาลที่ ๔ ถึง ๑๔ ปี อำมาต ข้าราชการทั้งหลาย ก็เห็นว่า เรา.. ก็ พระองค์เจ้าทับเนี่ย กรมหลวงเจษฏา มีความสามารถ ที่จะสามารถ ...... (35.42 เสียงไม่ชัดเจน) ได้ก็เลย อุปโลก ยกขึ้นให้เป็น พระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่ ๓ เรียกย่อๆว่า พระนั่งเกล้าฯ พระนั่งเกล้าฯนี่ มารดาของท่านเป็นคน เมืองนนท์ ชาวนนทบุรี บ้านเดิมของท่านมารดาก็คือวัดเฉลิมพระเกียรตินั่นเอง ประการที่สอง สร้างวัดให้แก่พระมารดาเรียกว่าวัดเฉลิมพระเกียรติ ใครว่างๆ จะไปเที่ยวชมก็ได้
วัดเฉลิมพระเกียรติเป็นวัดหลวงเหมือนกัน นั่นเป็นวัดที่ รัชกาลที่ ๓ สร้างอุทิศให้แก่ เจ้าจอมมารดา ชื่อเรียม เป็นชาวเมืองนนท์ เป็นเชื้อสายพวก ณ พัทลุง เหมือนกัน เลยก็ได้สร้างวัดไว้ รัชกาลที่ ๓ นี่ ชอบสร้างวัด แล้ววัดที่ท่านสร้างดูง่าย คือไม่มีช่อฟ้า ไม่มีใบระกา หลังคาเกลี้ยงเกียน เช่น วัดปราชญ์โอรส วัดจอมทอง วัดนางนอง วัดสามพระยา วัดบวรนิเวศน์ วัดเทพธิดา ไม่มีช่อฟ้าทั้งนั้น หลังคาเรียบๆ ท่านคิดว่าทำช่อฟ้านี่ ราคามันแพง ซ่อมยาก คู่บ่อย เลยอย่าใส่เลย เอาแบบนี้ดีกว่า มีหลายวัด อำเภอพระประแดงก็มีวัดโปรดเกศเชษฐาราม วัดอะไรสร้างแบบเดียวกันเขาเรียกว่า วัดรุ่นรัชกาลที่ ๓
รัชกาลที่ ๓ ครองราชย์อยู่ ๑๔,๑๕ ปี สวรรคต ไม่ยกราชสมบัติให้แก่ลูกของท่าน มีลูกหลายคน แต่ไม่ให้ มอบให่แก่พวก อำมาตย์ ข้าราชการ ให้พิจารณา ว่า ใครมีความรู้ มีความสามารถ จะพาชาติบ้านเมืองไปได้ ให้ยกให้คนนั้น ท่านเห็นว่า น้องชาย ที่บวชอยู่นี่ ควรเป็นเจ้าแผ่นดินดินต่อไป คือรัชกาลที่ ๔ แล ไม่ยกให้ลูก นะ เป็นคน เสียสละ เป็นผู้มีความเสียสละ แล้วท่านค้าขาย เป็นพระเจ้าแผ่นดินก็ยังค้า ได้เงิน เอามาใส่ผ้าถุงสีแดง เค้าเรียกว่า “ เงินถุงแดง” ไอ้เงินถุงแดงเนี่ยแหละ เป็นบ่อเกิดพระคลังข้างที่ หรือว่า ทรัพย์สินส่วนมหากษัตริย์ที่มีอยู่ในสมัยนี้ก็จากเงินถุงแดง เริ่มต้นที่นี่ ท่านก็ให้เก็บไว้ เวลาสวรรคตนี่ ขอกี่ชั่งเอาไปซ่อมวัด ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ยังขาด แล้วที่ท่านสร้างใหญ่ที่สุดก็คือวัดแจ้ง สร้างพระปรางค์วัดแจ้ง รัชกาลที่ ๓ สร้าง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย แล้วจะไปคิดสร้างให้ใหญ่กว่าวัดแจ้ง คือภูเขาทอง จะสร้างเป็นพระปรางค์ใหญ่ กว่าวัดแจ้งอีก สร้างไม่เสร็จ สวรรคตเสียก่อน เลยต่อมาก็ทำเป็นภูเขาทองไป เฮอะ นั่นของท่าน ทำไว้ ท่านทำ แต่ว่าที่สำคัญคือเงิน ที่เหลือ เก็บไว้ในถุงแดง ท่านบอกว่าอย่าใช้ โดยไม่จำเป็น เก็บไว้ใช้ เมื่อชาติ ต้องการ
เมื่อมีปัญหาขึ้นในชาติใช้เงินนี้เป็นประโยชน์ ก็ได้มาใช้ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อฝรั่งเศษมันมารังแก ฝรั่งเศสนี่เป็นอันธพานพอสมควร เขาเอาเรือรบเข้ามาที่ปากน้ำ ป้อมพระจุลจอมเกล้าก็ยิงสะกัด ยิงให้หยุด ก็ไม่หยุด ล่วงล้ำเข้ามา ป้อมพระจุลก็ เปรี้ยง! ทลาย ยิงเรือเสียหาย ฝรั่งเศสหาว่ารังแก โจรมาปล้นบ้านเขา เจ้าของบ้านทุบหัวโจรแตก แล้วโจรหาว่าเจ้าของบ้านรังแก มันเป็นธรรมที่ตรงไหน มันถูกต้องที่ตรงไหน เพราะว่ากำหมัดมันใหญ่ มันพูดได้ กำหมัด คือความยุติธรรม
ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ท่านบอกว่ากำหมัดคือความยุติธรรม ใครหมัดใหญ่ก็ได้เปรียบเทียบเคียงกู นะ เราก็ต้องแพ้เขา ปรับ เรียกค่าเสียหาย แต่ก่อนปรับนี้ก็ยึดเอาเมืองจันทบุรี ซะไว้เป็นประกัน ไม่ถอนทับ เพื่อสร้างอะไรอะไรลงไป ถ้าไม่เสียค่าปรับจำนวนเท่านั้นก็ไม่ถอย เราก็ต้องเสีย เงินนี้นะ เงินในถุงแดงนี่ไว้ช่วยชาติ อันนี้เป็นผลงานของพระนั่งเกล้าฯ เมืองนนท์ เขาสร้างสะพานใหม่ ชื่อว่าสะพานพระนั่งเกล้า เพราะท่านมีมารดาเป็นชาวนนทบุรี ถนนสายนั้นชื่อว่า รัตนาธิเบศร์ เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ก็เป็นแม่ทัพ ในรัชกาลที่ ๓ เลยตั้งถนนควบคู่กับสะพาน ว่าสะพานถนนพระนั่งเกล้า เฮ้อ! พระรัตนาธิเบศร์ สะพานพระนั่งเกล้า นี่ เป็นไง เรื่องประวัติศาสตร์มันเป็นมาอย่างนั้น
เอามาเล่าสู่กันฟัง บ้านเมืองเราที่ได้เจริญก้าวหน้ามา ก็อาศัยบุญบารมี ของในหลวงราชวงศ์จักรี พรุ่งนี้เป็นวันจักรี เราควรจะทำความดีพรุ่งนี้ จะทำบุญ ตักบาตร จะให้ทาน จะรักษาศีล จะทำอะไรก็ ตามใจ ในทางที่เป็นประโยชน์ แก่ส่วนรวม แก่ชาติ แก่พระศาสนา ต้องเป็นอันว่าไม่เสียที ที่เราได้อาศัยเเผ่นดินนี้ ซึ่งบารมีของราชวงศ์จักรีได้รักษาไว้ ให้เป็นสมบัติของพวกเราทั้งหลายต่อมา จนถึงกระทั่งบัดนี้ เราควรจะมีความสำนึกในเรื่องนี้ แล้วก็ทำดี ในแง่ใดแง่หนึ่งก็ได้ ให้ทำดี พรุ่งนี้อย่าอยู่โดยไม่ได้ทำอะไรที่เป็นความดี แต่ให้ทำอะไรที่เป็นความดี เพื่ออุทิศ ส่วนบุญถวายพระพุทธยอดฟ้า (42.37 คำเต็มว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) และ พระมหากษัตริย์กรุงเทพฯ ที่ได้ สวรรคตไปแล้ว เป็นการกระทำที่ถูกต้อง เพราะว่าเดือนเมษายนนี้ ควรจะเป็นเดือน แห่งความสำนึก ในความกตัญญูกตเทวี เดี่ยวนี้มีเรื่องหลายเรื่องที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความกตัญญูกตเวที
สำหรับพี่น้องชาวจีนก็ มีวันเชงเม้ง วันที่ ๔ ที่ ๕ ผ่านมาแล้ว เชงเม้ง เชงเม้งก็คือ การแสดงความเคารพ ต่อบรรพบุรุษ ไปเยี่ยม ไปเที่ยว ที่ฝังศพ ไปทำความสะอาดบริเวณ ถางหญ้า ตกแต่ง ให้เรียบร้อย แล้วก็พาลูกหรือว่า หลานๆ เหลนๆ ไป ประชุม กันที่นั่น ไปประชุมกันเพื่ออะไร การกระทำที่ถูกต้อง หัวหน้าครอบครัว “ต้อง” พูดให้ที่ประชุมฟังว่า “ตรงนี้ เป็นที่นอนของใคร” เป็นที่นอนของบรรพบุรุษต้นตระกูลของเรา ที่เดินทางมาจากเมืองจีน มาค้าขาย ตั้งห้างตั้งร้าน เป็นหลักเป็นฐาน เหลือมาจนกระทั่งถึงพวกเรา ที่เป็นลูกเป็นหลาน เราได้กินสมบัติเก่า ของคนเหล่านั้น คนเหล่านั้นได้สร้างไว้ เราจีงได้ความสะดวกสบาย
วันนี้เป็นวันที่เราทุกคนมาประชุมกันที่นี่ เราก็ต้องสงบใจ ระลึกถึง คุณงามความดีของท่านเหล่านี้ แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า เราทุกคน จะเดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษ จะทำความดี ตามเยี่ยงอย่างของท่าน ไม่ปล่อยตัวไป ปล่อยใจไป ตามอำนาจของสิ่งแวดล้อม เพราะสิ่งเเวดล้อมในปัจจุบันนี้ ไม่ไหว! ถ้าจะพูดคำที่ ชาวบ้านเขาพูด ก็เรียกว่า เลวร้ายเต็มที สิ่งแวดล้อมมันเลวร้าย มันคอยดึงคน ให้ไปตกต่ำ ให้มีจิตใจตกต่ำ ลืมเส้นทาง.. ของบรรพบุรุษ แล้วไปเดินในเส้นทางของผีของมาร ผลาญทรัพย์สมบัติ พ่อแม่ปู่ตาย่ายาย ให้เสียหาย ทำลายตน ทำลายครอบครัววงศ์ตระกูลตลอด จนถึงทำลายชาติ ให้เสียหาย การกระทำเช่นนั้น เป็นบาป เป็นอกุศล เป็นเรื่องไม่สมควร ที่เราจะพึงกระทำ เราจึงควรจะนึกถึงบรรพบุรุษ แล้วช่วยกันกระทำคุณงามความดีกัน เฮ้อ จากนี้ก็จะเป็นประโยชน์ ให้ลูกหลานทุกคน นั่งสงบจิตสงบใจ หนีเรื่องทุกข์ แล้วอธิษฐานใจ ดังๆว่า จะอยู่อย่างไร จะทำอะไร จะมีจุดหมายอะไรในชีวิต ถ้าไปไหว้ ไหว้ศพ แบบนั้นมัน มีประโยชน์ ถ้าไปไหว้จุดธูปจุดเทียน เผากระดาษเงิน กระดาษทอง จุดลูกประทัดดัง ค๊อก! มันก็ได้นิดเดียว ไม่ได้คุณค่า ที่ทางจิตใจเท่าใด เราจึงควรจะพูด ปลุกใจ ให้ลูกหลานผู้สืบสายสกุลของผู้ที่นอนอยู่ในฮวงซุ้ย ได้รับทราบ ถึงคุณงามความดี ถึงข้อปฏิบัติ ของคนเหล่านั้น แล้วก็ช่วยกันสร้างคุณงามความดี เดินตามรอยเท้า ของผู้ใหญ่ ก็จะเจริญก้าวหน้าต่อไป ไปเรื่อยหนา
คนไทยเราก็วันสงกรานต์ มีการบังสุกุลอัฐิ เราเก็บกระดูกไว้ที่บ้าน ใส่โกศน้อยๆไว้ พอวันสงกรานต์ก็เอามา สรงน้ำ น้ำอบน้ำหอม มาประพรมที่กระดูก แล้วก็นิมนต์พระบังสุกุล ถวายทาน ทำบุญ รักษาศีล ฟังธรรมอะไรกันไปตามเรื่อง ที่วัดนี้ก็คงจะทำกันอย่างนี้
แต่ว่าอัฐิหลวงพ่อไม่อยู่วัดนี้ ท่านรองเจ้าอาวาสก็คงจะทำ วันสงกรานต์.. เราก็ทำเพื่อ ระลึกถึงบรรพบุรุษ แสดงความกตัญญูกตเวที ต่อ บรรพบุรุษของพวกเราทั้งหลาย ต่อแผ่นดินแผ่นฟ้า ต่อทุกคนที่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ชีวิตของเรา เรามาน้อมจิตระลึกถึง เดือนเมษายนจึงเป็นเดือนแห่ง ความกตัญญูกตเวที แห่งการเสียสละ แห่งการกระทำความดีความงาม ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เขาจึงไปวัดกัน ไปสรงน้ำพระ ไปทำอะไรกันเป็นพิเศษ
เชียงใหม่เค้าทำกันคึกคักคนไปเที่ยวมาก แต่ว่าคนไปเที่ยวมากนี่ก็ไปทำลายเหมือนกัน ไปทำลาย วัฒนธรรม ประเพณี ของเมืองเหนือ เช่นรดน้ำ เค้ารดกันเรียบร้อย ก็มีขันใบใหญ่ แล้วมีขันใบน้อย ใส่น้ำอบ ใส่ดอกไม้ ใส่อะไร พอเข้าไปใกล้ใครก็ ตักน้ำ “สะมานเอ้ย.. ขอโทษเถอะ” “ก็ว่าสะมานเด้อ.. แล้วก็รดลงที่หัวไหล่” ไม่ใช่รดที่หัว ไม่ใช่รดตรงอื่น รดที่หัว หัวไหล่ นิดหน่อย ไม่ใช่รดให้เปียกปอนเหมือนลูกแมวตกน้ำ ไม่ใช่อย่างนั้น
แต่ว่าสมัยใหม่นี้มันรดกัน อย่างเหลือเกิน เอารถสิบล้อ บรรทุกถัง..น้ำ น้ำแข็งทั้งก้อน ใส่ลงไป วิ่งไปก็สาดมัน หัวใครก็ตามใจ สาดมันเปียกไปหมด คนบางคนแต่งตัวเรียบร้อยจะไป ธุระ ก็สาดน้ำรดจนเปียกจนปอนไป แล้วจะไปธุระได้อย่างไร ไอ้พวกผู้ชายหนุ่มๆก็ซุกซน เอาน้ำแข็งห่อผ้า เดินไป พอเจอสาวๆ ก็ไป จุ๊บ! เออ สาด ประทับตรา ประทับตราที่สันหลัง ไอ้หนูคนนั้น จุ๊บ! สะดุ้งโหยง มันเย็นเยือบอยู่ทุได้ อะหนุ่ม อะหนุ่ม ตาเขียว อยากจะด่าซักคำ แต่ว่าวันสงกรานต์เค้าไม่ให้ด่า เขอะ!.. เลยก็รดไม่ได้ อย่างนี้มันไม่ถูกต้อง
กรุงเทพฯ นี่ เอาน้ำในคูข้างถนน ไปตักแล้วก็สาด สาด นี่ เด็กๆ มันไม่เรียบร้อย ผิดวัฒนธรรม คนเมืองเหนือเค้าไม่ได้ทำอย่างนี้ “สะมานเอ้ย..รดค่อยๆ” กับพระสงฆ์องค์เจ้าที่เดินก็ไม่หยุด เค้าไม่รดนะกับพระ แต่มีวันนึงสำหรับรดพระ คือวัน ๑๕ วันที่ ๑๕ เค้าไปวัด ไปทำบุญสุนทาน ไปสรงน้ำพระพุทธรูป แล้วก็ ยังอีกนิดนึงวันต่อมา ...วันที่ ๑๖ เค้าแห่ เค้าเรียกว่าไปดำหัว ไปดำหัวพระสงฆ์องค์เจ้าที่เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้มีอายุมากกว่าเพื่อน วัดโน้นก็มาวัดนี้ก็มา แห่กันมาเลย สนุกสนาน เฮ้อ! เค้าทำอย่างนั้น เป็นวัฒนธรรม เป็นประเพณีที่ดีที่งาม เราควรรักษาไว้ ทำอะไรทำให้มันสุภาพเรียบร้อย และก็ใช้ได้ ทำแบบไม่สุภาพมันก็ใช้ไม่ได้ ไปสนุก แต่ว่ามันนำเงินเข้าเชียงใหม่ รถเป็น เป็นพันๆ รถสิบล้อก็ไม่ใช่ รถบัสเป็นพันๆ ไม่มีโรงแรมจะพัก ต้องไปพักได้ตามวัด ศาลาวัดเต็มไปหมด ไปเที่ยว สนุกกันเต็มที่ เงินเข้าเมือง เชียงใหม่ก็ร่ำรวยด้วยปัจจัย แต่ว่า เชียงใหม่ก็ถูกทำลาย เพราะคนที่ไปนั้นไม่ค่อยสำรวมระวัง อันนี้เป็นเรื่องเสียหาย ไม่สมควร เป็นเรื่องที่ ... เราต้องคิด
วันนี้ อาตมาก็เทศน์กับญาติโยมแล้ว เย็นนี้ก็จะลาญาติโยมไปต่างประเทศ ไปไม่นานหรอก ๘๐ วัน เท่านั้นเอง ๘๐ วัน ๘๐ วันรอบโลก เอ่อ ไปประเทศเยอรมัน แล้วก็ไปอังกฤษ ...... (51.24 เสียงไม่ชัดเจน) อเมริกา ไปแคนนาดา ก็ไปเยี่ยมญาติเยี่ยมโยมที่คุ้นเคยกัน ไปสอนไปอบรมเขา ให้ธรรมะแก่เขา หลวงพ่อไปนี่ไม่เอาของอื่นไปแจก ไม่มีเหรียญไม่มีพระไม่มีของขลังเครื่องรางไปแจก หนักเรือบิน ขนไปนี้มันหนัก หนักกระเป๋า ไม่เอา ธรรมะนี่เบาดี ไม่หนัก เวลาชั่งมันก็ไม่เพิ่มน้ำหนักอะไร ก็มันอยู่ในสมอง เอาไปแจกญาติโยมที่นั่น ที่นี่ ให้เขาได้ยิน ได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ เคยไป ไม่ได้ไปเสีย ๒ ปี เพราะยุ่งกะสร้างตึก ๘๐ ปี นี่สร้างตึกเสร็จแล้ว แต่ยังจ่ายเงินกันไม่หมดแต่มีเงินให้เขาจ่าย ไม่เป็นไร แล้วก็ยังเหลือ ... มาก ก็ตั้งเป็นมูลนิธิ ช่วยเหลือกิจการโรงพยาบาลต่อไป ญาติโยมก็ได้มีส่วนช่วยกันมาตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งบัดนี้
อาตมาก็ไปพักบ้าง เออไปต่างประเทศมันก็พักมันก็ไม่ต้องมีภาระ ไม่ต้องบริหารวัด ไม่ต้องทำอะไร พักสบายๆ มีแต่เรื่องเทศน์เรื่องสอน ถ้าทำแต่เรื่องเทศน์เรื่องสอนนี่ ก็สบาย แต่ถ้าต้องบริหารวัดด้วย ทำไอ้โน้นไอ้นี่ มันหนักหน่อย แต่ก็ทนได้ เพราะว่าทำด้วยจิตใจที่เป็นธรรม มีความสุขทางใจ จึงขอบอกให้ญาติโยมทราบไว้ อ้าวต่อนี้ไป ก็ขอเชิญญาติโยม นั่งสงบใจ เป็นเวลา ๕ นาที