แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์แรกของเดือน เมื่อสักครู่นี้ก็ได้ไปออกโทรทัศน์ตามที่เคยทำมาทุกเดือน ขอให้อัดเสียงไปออกสถานีวิทยุแห่งประเทศไทยด้วย ญาติโยมที่อยู่ไกลๆได้ดูโทรทัศน์ ได้ฟังเสียงทางวิทยุ ก็เป็นที่สบายอกสบายใจ เวลาไปตามต่างจังหวัด ญาติโยมมาแสดงความรู้สึกว่าได้ยินแต่เสียง ได้เห็นแต่ภาพทางโทรทัศน์ แต่ไม่ได้พบตัวจริงสักที วันนี้ได้มาพบก็สบายใจ ความสบายใจอย่างนั้นเรียกว่า เป็นบุญ ที่เกิดขึ้นจากการได้เห็นบุคคลที่เราพอใจ แต่ถ้าเห็นบุคคลที่เราไม่พอใจก็เป็นบาปเป็นทุกข์เหมือนกัน คนที่เราพอใจนั้นเพราะเป็นผู้ประพฤติธรรม มีธรรมะเป็นหลักครองใจทำความดี ทำหน้าที่ อันเป็นประโยชน์ความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ก็อยากจะใคร่ได้พบปะได้เห็นหน้าเห็นตา บางคนก็มาจ้องมาดูหน้าดูตา แต่จะบอกว่าหน้าตานั้นไม่สำคัญหรอกโยม สำคัญที่ตัวธรรมะ ที่รับฟังทางวิทยุทางโทรทัศน์ หรือได้อ่านจากหนังสือหรือฟังจากเทปบันทึกเสียง เป็นเรื่องที่ควรจะสนใจ ร่างกายนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจอะไร เพราะเป็นของเน่าของเปื่อยมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตามสภาพ แล้วมันก็ต้องแตกดับไปตามเวลา
เมื่อครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ คราวหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาแห่งเมืองสาวัตถี ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อไปถึงก็กราบลงแทบเท้า ที่ฝ่าเท้าของพระพุทธเจ้าถึง ๓ ครั้ง พระพุทธเจ้าบอกว่า ทำไมมหาบพิตรมาถูกร่างกายของตถาคต ซึ่งเป็นของเน่าของเปื่อยไม่ได้ถาวรมั่นคงอะไร แล้วพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้ประกาศความเลื่อมใสในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายข้อหลายประการด้วยกันอันปรากฎในพระสูตร แต่วันนี้ไม่ได้ค้นมา ขอพูดให้ฟังเพียงเท่านั้น
สำหรับผู้ที่มีความเคารพ มีความเลื่อมใสผู้ใด ก็อยากเข้าไปใกล้ผู้นั้น ถ้าจับต้องกายได้ก็อยากจะจับต้อง อยากจะกราบแทบเท้า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าอาศัยพระธรรมเป็นเครื่องนำทาง เขาเลื่อมใสในธรรมะ แต่ธรรมะออกจากปากคนที่เขาเลื่อมใส ผู้ใดพูดธรรมะสอนธรรมะ ซึ่งเป็นที่เลื่อมใสของประชาชนทั่วๆไป เขาอยากเข้าใกล้อยากแสดงความรู้สึกในทางจิตใจออกมา ก็เป็นเรื่องของความงามความดีประการหนึ่ง
อาทิตย์นี้โยมมาวัด จะเห็นว่ามีอะไรอะไร ป้ายที่เขาเตรียมไว้รุงรัง จะยกขึ้นติดตรงนั้นตรงนี้ต่อไป คือคณะคนที่เลื่อมใสศรัทธา โดยเฉพาะลูกศิษย์ที่เข้ามาบวชในวัดชลประทาน เขามีความเลื่อมใสในธรรมะของหลวงพ่อ ก็อยากจะมีงานทำบุญเรียกว่าฉลองความแก่ ทำบุญฉลองความแก่ ไม่ใช่ฉลองอะไร ฉลองความแก่ เพราะว่าคนเราอยู่มาจนแก่ แก่ถึง ๖๐ ปีทำบุญกันวิธีหนึ่ง แก่ ๗๒ ปีก็ทำบุญกันวิธีหนึ่ง แก่ ๘๐ ปีความจริงมันยังไม่ถึง ๗ รอบ อายุ ๗ รอบมันต้อง ๘๔ ปี แต่ว่าคนที่แก่แล้วถึง ๘๐ ปี นี้มันไม่ค่อยจะแน่นอน ร่างกายอาจจะไม่แข็งแรง กลัวจะตายเสียก่อนยังไม่ได้ฉลองความแก่ ๘๐ ปี เลยรีบฉลองกัน ทั่วๆไปเขาทำกันอย่างนั้น อันนี้เขาอยากทำกัน หลวงพ่อไม่ว่าอะไร หลวงพ่อไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในการประชุมปรึกษาหารือในเรื่องการจัดทำอะไรต่างๆ ฝ่ายพระก็มีพระมหาผลจันทโต (05.03) รองเจ้าอาวาสเป็นประธาน ฝ่ายชาวบ้านก็มีคุณหมอโอสถ เลกะกุล คุณนพดล ส่วนเสริมศิริมงคล นายห้างพาต้า และคนอื่นๆอีกหลายคน ประชุมกันบ่อย เดี๋ยวประชุมๆ หลวงพ่อคอยรับทราบว่าประชุมอะไรกัน ประชุมบ่อยๆ เขามาเล่ามาฟัง เมื่อคืนนี้ก็มีการประชุม เณรกับพระที่อยู่ในวัด มอบหมายหน้าที่ว่าใครควรจะทำอะไรกันบ้าง คือ พวกคณะที่ทำงาน นี่นึกฝันกันไว้ในใจว่าคนจะมามาก แต่หลวงพ่อไม่ได้นึกว่าคนจะมามากเกินไป ถ้ามามากขนาดวันอาทิตย์ น่าจะมากกว่านั้นก็ได้ แต่ที่จะมากคือพระต้องมากแน่ๆ เพราะได้ทำการอบรมธรรมทายาทมาถึงสิบชุดแล้ว ชุดหนึ่งก็ร้อยกว่ารูป พระเหล่านั้น คงจะมาถึงก่อนราวๆ วันที่ ๒๐ มาคงถึงหรืออาจจะมาก่อนนั้น อันนี้ก็มาก สำหรับพระจำนวนหลายร้อย แต่ชาวบ้านคงมากตามเรื่องตามราว เขาจะจัดงานให้มันสนุก ไม่วุ่นวาย ไม่ให้รถเข้ามาจอดบริเวณวัด ถ้าจอดบริเวณวัดคงไม่มีที่จอด แต่จะให้จอดในบริเวณโรงเรียนชลประทานวิทยา หรือเข้าไปในกรมชลก็ได้ จอดที่นั้นก็ปลอดภัย ไม่มีใครไปขโมยงัดรถ เพราะมีคนยามเฝ้า จะได้สะดวกสบาย รถจะเข้าได้ก็มีไม่กี่คัน เขาแจกสติกเกอร์เป็นรูปวงกลมปิดหน้ารถให้เข้าได้ ส่วนรถท่านประธานสัญญา ท่านมาเป็นประธาน ก็ให้เข้ามา เข้ามาได้ แล้วก็รถของผู้อื่นที่เป็นท่านผู้หลักผู้ใหญ่ เข้ามาได้ เข้ามาจอดในวัด แต่จอดเป็นที่ อันนี่การทำงานนี้
ตามธรรมเนียมที่เขาทำกันมา สมมุติว่าวันเกิดวันที่ ๑๑ พฤษภาคม วันที่ ๑๐ นี่ก็ต้องทำบุญ อย่างหนึ่งเรียกว่า ทักษิณานุประทาน ทำบุญทักษิณานุประทานคืออุทิศให้แก่บรรพบุรุษ ให้แก่พ่อแม่ ปู่ ตาย่ายาย ครูบาอาจารย์ หรือท่านที่มีบุญคุณแก่ผู้นั้น ให้มีส่วนสร้างสรรค์ชีวิต ให้มีความเจริญก้าวหน้า ถ้ามีรูปถ่ายก็เอารูปถ่ายมาวาง ถ้ามีอัฐิ คือ กระดูกก็เอามาวาง แต่ว่าก็ไม่มี ไม่รู้จะเอากระดูกของใครมา กระดูกของคุณโยมก็ฝังไปหมดแล้วทั้งสองคนเลย อยู่ในหลุมใต้ดิน ไม่สามารถนำมาได้ แต่ว่าก็มีรูปถ่ายของคุณโยมผู้หญิงซึ่งได้ถ่ายไว้ โยมผู้ชายนนั่งถ่ายไม่ทัน ท่านสิ้นลมไปซะก่อน ไม่มีโอกาสถ่ายไว้ แต่ว่าเป็นภาพประทับอยู่ในใจ สมมุติว่าอาตมาเป็นนักเขียนภาพ ต้องเขียนออกมาได้ ว่าภาพคุณโยมชายหน้าตาเป็นอย่างไร มีหนวดเคราอย่างไร ท่านมักมีหนวดมากมีเครามากรุงรัง ไม่ค่อยจะได้โกน เพราะว่าชาวบ้านไม่ค่อยโกน ไปไหนก็อย่างนั้น คราวหนึ่งคุณโยมไปเรียกที่วัดที่อยู่ อาจารย์ที่นั้นบอกว่า พ่อของเธอเหมือนแขกอินเดีย ก็ยังเห็นภาพเหล่านั้นอยู่ ประทับใจอยู่ตลอดเวลา นึกถึงอยู่บ่อยๆ แต่ว่าคุณโยมผู้หญิงนั้นได้มีโอกาสถ่ายภาพไว้ อาตมายืนแล้วท่านนั่งถ่ายไว้ ก็มีรูปถ่าย แต่ว่าในใจนั้นถ่ายภาพมากกว่านั้น กริยาท่าทาง การพูดการจา สุ้มเสียงที่แสดงออก ภาพยิ้มในดวงหน้า ก็เป็นสิ่งที่ประทับอยู่ในใจตลอดเวลา ไม่มีเปลี่ยน
มีการทำบุญนิมนต์พระจำนวน ๒๐ รูป ทำการสวด เรียกว่าทำบุญทักษิณา ก็มีการสวดตามแบบที่เขาสวดกัน แล้วก็ถวายปัจจัยไทยทาน ถวายผ้าไตร ถวายปัจจัยนิดๆหน่อยๆ พอสมควร คณะกรรมการเขาหากันอยู่ ได้เท่าไรก็ไม่ทราบ แต่ทราบว่าไม่ค่อยจะได้ ไอ้เรื่องไม่ค่อยจะได้นี้ เพราะว่าไม่บอกให้โยมรู้ ถ้าบอกให้โยมรู้มันไม่ลำบากอะไร ญาติโยมเต็มใจจะถวายอยู่ทั้งนั้น แต่นี้ไม่บอกให้โยมรู้ ไม่รู้จะได้มาอย่างไร เป็นปัญหาอยู่ แต่ไม่เป็นไรอาตมาเตรียมไว้ครบแล้ว ที่จะทำสิ่งนั้น เพราะว่าได้ตั้งใจจะทำสิ่งนั้น ฉลองความแก่ ตามโอกาสตามสามารถ ได้สะสมสิ่งต่างๆ ไว้ แล้วก็ทำไปในวันที่ ๑๐ ตอนเย็น เวลา ๑๗ นาฬิกา และในวันที่ ๑๑ ตอนเช้า ก็มีการเลี้ยงพระตามธรรมเนียม แต่ว่าอาตมาจะไม่เลี้ยงตัวเองในวันนั้น จะอยู่โดยไม่ต้องฉันอาหารเหมือนอย่างท่านพุทธทาส ในวันเกิดท่าน ไม่ฉันอะไร ท่านบอกว่าวันเกิดไม่ต้องกินอะไร เพราะว่ามันวุ่นวาย มันเลยไม่ได้กินอะไร ไม่เหมือนลูกแมว ลูกแมวพอเกิดปุบก็ส่ายหัวหานมทันที พอเจอนมดูดทันที แมวมันเป็นอย่างนั้น แต่ลูกคนไม่เป็นอย่างนั้น พอเกิดปับ ก็ถูกล้างแล้ว อาบน้ำให้ ให้ไปนอนในกระดง ห่อผ้าไว้ ไม่มีโอกาสได้จะทานอะไร ทั้งวันก็ไม่ได้ทานอะไร ทั้งวันก็ไม่ได้ทาน ก็เลยคิดว่าเรามันเกิดใหม่ชีวิต เกิดใหม่ตอนอายุ ๘๐ ก็ไม่ต้องทานต้องฉันอะไร แต่ว่าเลี้ยงพระ เลี้ยงอะไรไปตามเรื่องตามราว พระนิมนต์มาสวดมนต์ ๙๐ รูป เป็นพระผู้หลักผู้ใหญ่ ที่เคารพนับถือ นิมนต์มา โดยเฉพาะสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ปกติท่านก็ไม่รับนิมนต์ใครแล้ว เพราะว่าโรคาพยาธิเบียดเบียน ท่านไปนั่งที่ไหนก็ปัสสาวะบ่อยๆ แต่ท่านว่าจะมาฉัน ไม่ต้องสวดมนต์ อาตมาก็จัดที่ให้ท่านพัก เตรียมห้องน้ำห้องท่าไว้ มีเรียบร้อย ท่านจะเข้าไปเมื่อใดก็สะดวกสบาย แล้วก็ถวายภัตตาหาร เสร็จภัตตาหาร ก็ถวายปัจจัยไทยธรรมแก่พระเหล่านั้น แล้วก็มีการเทศน์ ปาฐกถาอะไรไปตามหน้าที่
ในวันนี้ไม่มีมหรรสพ ไม่มีเรื่องสนุกสนาน เครื่องขยายเสียงใช้ในวงจำกัด ไม่ให้หนวกหูเพราะการจัดงานนี้ถือหลัก สะอาด สว่าง สงบ คือ วัดก็สะอาด แล้วก็สว่างด้วยธรรมะ ทุกคนต้องมาด้วยความสนุกสุขใจ ไม่ให้มาเพื่อความวุ่นวาย ไม่มาสร้างปัญหา อย่ามานั่งคุยจ้อกแจ้กๆกันไม่ได้ เป็นของต้องห้าม แล้วก็ประกาศให้ญาติโยมมาถือศีลปฎิบัติธรรมตั้งแต่วันที่ ๑๐, ๑๑, ๑๒ วันที่ ๑๐ เป็นวันศุทร์ ๑๑ เป็นวันเสาร์ ๑๒ เป็นวันอาทิตย์ มานอนวัด ญาติโยมก็ให้นอนกลด มีกลดให้นอนในป่าบริเวณนี้ ใครสมัครก็มาได้ เขาประกาศไว้แล้ว ใครมาก็มา มาปฏิบัติธรรมกัน มาอยู่สงบใจกัน แล้วก็มีการเทศน์การอบรม แต่อาตมาบอกคณะว่า อย่าอบรมโยมมากเกินไป เพราะว่าพูดจนโยมไม่ได้พักผ่อนมีแต่คนแก่ๆ น่าสงสาร ให้ท่านได้พักบ้าง ให้ได้นั่งพักสบายๆ แต่ก็พอสมควร พูดสักชั่วโมงหนึ่ง แล้วก็ปล่อยให้พักสองสามชั่วโมง ให้โยมจะได้คิดได้นั่งสงบจิตสงบใจบ้าง ตามสมควรแก่โอกาส
ส่วนอาหารการบริโภคนั้น ไม่ต้องตกใจ เพราะว่ามีคนอาสาจะมาเลี้ยงอยู่แล้ว อาตมา..ไอ้นั้นเขาเรียกว่าร่วมกตัญญู สำนักงานร่วมกตัญญู คู่กับป่อเต็กตึ๊ง แต่ว่าป่อเต็กตึ๊งไม่มา มาร่วมกตัญญู มาจัดตั้งโรงครัว ของร่วมกตัญญูนี้เป็นอาหารประเภทของคาว แต่ว่าใครกินได้กินเนื้อกินปลาได้ แต่ว่าคุณจำลอง ศรีเมืองกับพวก จะมาตั้งโรงอาหารกินเจ ตั้งเคียงกัน ใครจะเลือกกินเจก็ได้ เลือกกินของคาวก็ได้ เจี๊ยเจ๊ก็ได้ เจี๊ยเจก็ได้ พูดภาษาจีนหน่อย เลือกกินกันได้ตามชอบใจ เลือกกินกันได้ตามชอบใจ ไม่กินสุรุ่ยสุร่าย เขารับเลี้ยงทั้งสองวัน คือวันเสาร์กับวันอาทิตย์ วันเสาร์วันอาทิตย์เที่ยงๆมา ตั้งโรงครัว จัดบริเวณเป็นที่เป็นทาง บริเวณนั้นเป็นนั้น บริเวณนั้นเป็นนั้น ไม่ให้ลักลั่นไม่ให้วุ่นวาย ให้มีระเบียบ เป็นตัวอย่างแก่งานอื่นๆด้วย เรื่องการเลี้ยงอาหารเขาทำอย่างนั้น
อาจจะมีญาติโยมมาจากไกลๆ บ้าง คือมารถยนต์ แต่ว่าไม่ได้แจ้งข่าว อาจจะมานึกไป ว่าใครๆ อาจจะมาเพราะว่าโฆษณาทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ เขาโฆษณากันบ่อย ว่ากันบ่อยๆ หนังสือพิมพ์ลงเป็นข่าว คนไกลๆ อาจจะนึกว่าไปเที่ยววัดชลประทานกันสักครั้ง ก็มากันในวันนั้น มาเที่ยวกัน มาชมวัด เป็นเรื่องของวันที่ ๑๑ ซึ่งเป็นวันเกิด แล้ววันที่ ๑๒ วันอาทิตย์ ก็มีการเลี้ยงอาหารตอนเช้า พระมาพักอยู่ คงจะเลี้ยงของเบาๆ เช้าๆ รองท้องนิดหน่อย พระบางองค์อาจไม่ฉันร่วมกับอาตมาก็ได้ ฉันก็ได้ไม่มีการบังคับกันกะเกณฑ์ ญาติโยมจะอดอาหารด้วยกันก็ได้ไม่เป็นไร คนอ้วนๆอดสักบ้างก็ดีเพราะว่า เป็นการลดความอ้วนไปในตัว ไม่กินบ้างก็อยู่ได้ ลองดูไม่กินอาหารมันเป็นอย่างไร สภาพชีวิตจะเป็นอย่างไร
อาตมาเคยอดทั้งวัน อดด้วยความตั้งใจบ้าง อดด้วยความจำเป็นบ้างๆ อดด้วยความจำเป็นครั้งแรก จำเป็น คือโดยสารรถไฟจากบางกอกน้อย เวลานั้นสงครามญี่ปุ่นเกิดขึ้น แล้วก็ระเบิดลงบ่อยๆ ลงที่เทเวศน์ (16.14 เสียงไม่ชัดเจน) ระเบิดทำลายทิ้งลงมา ก็นึกเสียวๆว่า ใกล้วัดสามพระยาเข้าไปแล้ว เราจะนอนวัดสามพระยาคงจะไม่ไหว เลยไปวัด เออ..วัดบ้านขมิ้น วัดวิเศษชัยชาญ ไปนอนกับเพื่อนที่นั้น ก็เหมือนกับถูกลอตเตอรี่ พอไปนอนที่นั้นมาทิ้งคืนนั้นเลย มาทิ้งสถานีบางกอกน้อย ทำลายโกดังสินค้า มาทิ้งระเบิดเพลิง บ้านแถวนั้นพังเรียบ อาตมากับเพื่อนก็หนีออกจากวัด ไม่รู้จะไปไหน ก็เลยลงไปในคู พอดีคูมันแห้งไม่มีน้ำ เลยไปนอนในคู เวลาที่ระเบิดมันลงน้ำกระฉูดเลย ดินก็กระเพื่อม เสียววาบ ต้องภาวนาพุทโธ พุทโธเรื่อยๆ ตลอดเวลา ภาวนา มึงทิ้งบนหัวกู กูก็ตาย ถ้าไม่ทิ้งกูก็อยู่ต่อไป แล้วก็มีพระองค์หนึ่งออกจากวัดหายไปเลย วิ่งเข้าไปในสวน เข้าไปในสวน ไปเจอโยมคนหนึ่งหน้าสถานีบางกอกน้อย พระเลยบอกโยมช่วยอาตมาด้วย โยมกลับตอบว่าพระควรจะช่วยผม เป็นพระอะไรมาขอให้ผมช่วย เออ.เราแย่แล้วเป็นพระขอให้ชาวบ้านช่วย ไม่สมควร เลยกลับมาตรงนั้นขานี้ถูกหญ้าคาบ้าง อะไรต่ออะไรบาดเป็นแผล (17.57 เสียงไม่ชัดเจน)
อาตมานึกว่าไม่ไหวแล้ว ต้องกลับบ้านซักที เด็กๆ มาเรียนด้วยหลายคน ต้องกลับบ้านกัน ขึ้นรถที่บางกอกน้อย ตอนแรกนั่งเก้าอี้ พอรถใกล้จะออก ไม่ได้นั่งเก้าอี้ พระต้องไปนั่งตรงพนักเก้าอี้ ให้คนอื่นนั่งข้างล่างเต็มไปหมด นั่งอยู่ทรมานอย่างนั้นจนถึงเพชรบุรี พอถึงเพชรบุรีก็ลง บอกเด็กว่าพวกเธอนอนที่สถานี พอรถขบวนชุมพรเข้า ก็รีบขึ้นนะ ฉันจะไปหาวัดนอน วัดชีแทะอี (18.47) อยู่ใกล้สถานีรถไฟหน่อย นอนก็ตื่นแต่ตีห้า ออกมาเด็กมันยังไม่ตื่นเลย ต้องใช้อวัยวะเบื้องต่ำ เขกมันคนละที คนละที ไปหาที่นั่ง ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันจะหาของฉันเอง ต้องวางแผน วางแผนว่าจะขึ้นรถปับ ถ้ามันไม่แน่น ก็จะหิ้วกระเป๋าเดินเตร่ไปเตร่มา พอระฆังกริ๊ง ก็จะจับไอ้ที่จับขึ้น นายท่าก็ขึ้นไม่ได้ ที่นี้ไม่ใช่ที่โดยสาร พอเราดีดตัวขึ้นไปยืน ยึดหลักได้แล้ว บอกว่ารู้แล้ว ว่าไม่ใช่ที่โดยสาร แต่ที่นั่งกันหัวสะร่อน เป็นแม่ค้า เป็นเจ้าหน้าทีรึเปล่า ทำไมพวกนั้นไปได้ ทำไมพระสักองค์ไปไม่ได้ เงียบไม่พูดจาด้วย ไม่เอื้อเฟื้ออะไรเลยตลอดเวลา น้ำก็ไม่ให้ฉัน ทีนั่งก็ไม่ให้นั่ง ต้องยืน กระเป๋าก็วางคั่นระหว่างขา ตั้งแต่เพชรบุรี จนกระทั่งถึงชุมพร ไม่ได้ฉันอาหารวันนั้น ไม่ได้ฉันเพราะไม่มีจะฉัน จะนั่งกินข้าว เจ้าหน้าที่กินข้าวกินเบียร์ ร้อนก็ถอดเสื้อ แต่พวกมันให้หลวงพ่อยืน หลวงพ่อก็นึกในใจว่า เคยมีพระพุทธเจ้า ออกบิณฑบาต มารดลใจประชาชนไม่ให้ใส่บาตร ขนาดพระพุทธเจ้ายังมีคนไม่ใส่บาตร ไอ้เรามันพระ ไม่มีชื่อ ไม่มีเสียงอะไร ไม่กินก็ไม่เป็นไร เฉยๆ น้ำก็ไม่ได้ดื่ม พอถึงปะทิว สถานีปะทิว มีสอขึ้นมาคน สามดาว ขึ้นมาถึงยกมือไหว้ นึกในใจว่ามนุษย์ขึ้นมาแล้ว พวกนั้นไม่ใช่มนุษย์ พอมนุษย์ขึ้นมา ไม่มีที่นั่ง ท่านก็ยกเก้าอี้มาให้ฉันนั่ง ท่านก็ใจดี ถามว่าท่านยืนมานานแล้วรึยัง ไม่ต้อง ตอบไม่ได้ ตอบก็เป็นโทษแก่พวกเหล่านั้น คงจะถูกดุถูกว่า ไม่เป็นไรโยม ยืนบ้างนั่งบ้างตามเรื่อง ไม่เป็นไร ท่านก็หาที่นั่งให้ ได้นั่งตอนนั้น แล้วก็พวกที่ขายน้ำชากาแฟอาหารบนรถ ก็เอากาแฟดำมาถวายให้ท่าน ท่านก็ส่งมา นิมนต์ท่านฉันน้ำสักหน่อย ตั้งแต่หกโมงเช้าถึงสามทุ่ม ได้กาแฟแก้วเดียวนั่นแหละ นึกในใจว่ากาแฟแก้วนี้มันวิเศษเหลือเกิน ดื่มแล้วมันชื่นใจ นั่งเรื่อยไป นั่งต่อไปจนกระทั่งถึงชุมพร
ถึงชุมพร ก็เวลา ๒๒ นาฬิกา รถนครยังไม่เข้า ก็เลยรอรถนคร บอกเด็กว่า พอรถนครเข้าพวกเธอก็ขึ้นหาที่นั่ง ฉันก็หาที่นั่งของฉัน เดี๋ยวจะไม่มีที่นั่ง นั่งสัปหงก ยุงกัดมากเหลือเกิน ยุงชุมเหลือเกิน ก็นั่งไปยังงั้น พอสว่าง เด็กคนหนึ่งเคยอยู่วัดด้วยกัน เป็นลูกศิษย์ชื่อนายเวียน วิตามาต เขามาถาม อาจารย์ไปไหนมา หนีลูกระเบิดกลับบ้าน พอมันถามมันหายไปเลย ไอ้เราชั้นแรกก็นึกเคือง พอมันถามเท่านั้นแหละ มันหายหน้า แต่ว่าประเดี๋ยวมาแล้ว ซื้อกับข้าว มีไข่พะโล้ (22.43 เสียงไม่ชัดเจน) เอามาถวาย อาหารของเธอมันวิเศษ เพราะว่าฉันเมื่อวานนี้ไม่ได้ฉันอาหารเลย อาหารนี้เป็นอาหารที่วิเศษต้องฉัน (22.49 เสียงไม่ชัดเจน) ขึ้นรถต่อไปรุ่งเช้าก็ขึ้นรถต่อเดินทางไปทุ่งสง ยังจำได้ว่าเวลาเดินทางไปทุ่งสง คุณหมอกับคุณนาย คุณบุญเยื้อนและคุณหมอสำเนียก ไปขึ้นสถานี ได้พบกัน ได้รู้จักกัน ตอนนั้นอาตมายังไม่มีชื่อมีเสียงอะไร ก็คุยล้อเลียนกันไปตามเรื่อง เดี๋ยวหมอจับฉีดยา ตามเรื่องตามราว ตอนนั้นคุณหมออยู่ประจำที่กรุงเทพ อาตมาลงทุ่งสง ลงทุ่งสงก็เป็นเวลากลางคืน เข้าไปในวัดโคกสะท้อน จะไปพักกับสมภาร ไปเรียก สมภารก็ไม่รู้ว่าใครเรียก บอกว่า มีธุระอะไร อาตมาก็บอกมาขอพัก ไปนอนศาลา ศาลาเปิดอยู่ ไม่ให้ขึ้นนอน ก็ไปนอนศาลา กวาดเก็บ แล้วก็กวาดไป กวาดเสร็จก็นอนไป วันรุ่ง รุ่งเช้าขึ้นสมภาร ตื่นขึ้นมา อ้าวมาเมื่อไร ก็ไปเรียกไม่ตื่น ปกติกลางคืนใครมาเรียกก็ไม่ตื่นอยู่แล้ว ไม่ได้เปิดประตูรับ ต้องขอโทษด้วย ไม่เป็นไร นอนมาแล้ว รุ่งเช้าก็ไปถึงพัทลุงได้ อดโดยไม่ตั้งใจแต่มันบังคับให้อด
แต่ว่าต่อมานี่อดด้วยความตั้งใจ อดก็ไม่เป็นไร ร่างกายก็ไม่ได้เหี่ยวแห้งร่วงโรยอะไร อยู่ได้สบาย การอดอาหาร หมอเขาว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าพวกอวัยวะภายในจะได้พักผ่อน กระเพาะจะได้พัก อะไรจะได้พัก ที่นี่บางคนอาจจะนึกว่าอดข้าวแล้วมันจะหิวเพราะว่ามันเคยกิน อันนี้มันจะไม่หิว ถ้าเราตั้งใจว่าจะไม่กิน ตัดสินใจว่าจะไม่กิน มันกำหนดที่เรา แต่ ถ้ามีก็กิน ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ร่างกายมันก็ต้องเตรียมในส่วนนี้ น้ำย่อยมันก็มา มันก็จะแสบท้องแสบใส้ เพราะมันจะมาย่อย มันก็แสบท้องแสบใส้ แต่ถ้าไม่กิน มันก็ไม่เตรียมอะไร ร่างกายนี้ทำตามจิตสั่ง ถ้าจิตสั่งอย่างใดก็เป็นอย่างนั้น สั่งให้ทำอย่างใดก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นถ้าเราตั้งใจว่าสั่งไม่ให้ทานอาหาร มันก็ไม่มีอะไร เราก็อยู่ได้สบาย แต่ว่าดื่มน้ำแทน ดื่มน้ำส้ม น้ำหวาน ที่สวนโมกข์นั้นเขาทำน้ำข้าวไว้ น้ำข้าวนั้นเล็กน้อย เผื่อคนใดที่อดไม่ได้ ให้ไปดื่มน้ำข้าว แต่ว่าอดตั้งสามวัน วันที่ ๒๗, ๒๘ อะไรอย่างนั้น วันเกิดท่านเจ้าคุณพุทธทาส แต่ที่นี้ก็เอาวันเดียว คือวันที่ ๑๑ ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องหุงหาอาหาร แต่เขาก็เตรียมไว้สำหรับคนที่ไม่เคย แต่ถ้าใครจะทดสอบกำลังใจ ทดสอบบารมี ว่ามันจะเพียงพอหรือไม่ ก็อดเสียบ้างก็ดี จะได้ไว้ต่อสู้กับความอดอยาก เมื่อใดมันอดขึ้นมาก็อยู่ได้ ได้เห็นภาพข่างต่างประเทศพวกอิรัก พวกเคิร์ก มันหนีจากอิรักไปเข้ากับตุรกี หนีไป อันนี้ทหารอเมริกัน เขาเอาอาหารมาให้ เออ มันแย่งกัน แย่งกันอย่างน่าสงสาร เด็กเข้าไป ผู้ใหญ่เข้าไปแย่ง ผลักเด็กล้มลงไป ความหิวของมนุษย์เนี่ยมันรุนแรง
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ชิฆัจฉา ปรมา โรคา” ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง โรคหิวข้าว หิวอาหาร หิวเสื้อ หิวผ้า หิวรูป หิวรส กลิ่น เสียง สัมผัส อันเป็นเรื่องที่น่าปรารถนาพึงใจ เรียกว่าเป็นความหิวทั้งนั้น ถ้ามันหิวรุนแรง ถึงต้องทำบาปทำกรรม คนมันฆ่าคนได้ เพราะความหิวอาหาร เรียกว่าโกรธโมโหหิวข้าว เห็นช้างเท่าหมู เห็นช้างเท่าหมู พระเจ้าตากจะตีเมืองจันทบุรี ท่านสั่งอาหารให้หุงข้าวกินแต่เช้า หุงข้าวเสร็จให้ทุบหม้อข้าวหมด หม้อข้าวทิ้ง ข้าวสงข้าวสารก็ทิ้งหมด ยกทัพเข้าไปตีเมืองจันทบุรี ที่นี่พอตีเมืองโมโหหิวข้าว บุกเข้าไปยึดเมืองจันทบุรีได้ เรียกว่า เอาจิตวิทยาเรื่องความหิวไปใช้ คนเราเวลาหิวมันทำอะไรได้ทั้งนั้น รบก็ได้ ทำอะไรก็ได้ เพราะโมโหหิวข้าว เลยชัก ไม่กลัว ช้างเห็นเป็นหมู เรียกว่าความหิว
ถ้าใครหัดเสียบ้าง เรามาถือศีลอุโบสถ ก็คือมาอดนั้นเอง อดอาหาร กินเพียงสองมื้อ ให้ดีควรจะกินเพียงมื้อเดียว กินมื้อเดียว มื้ออาหารหนักมื้อเดียว แล้วก็อดเที่ยง ไม่ต้องกังวลด้วยเรื่องอะไร เวลาไม่กินนี่คลายกังวล จิตใจมันกังวล ถ้าเราลองคิดดู เรื่องกินนี้เรื่องขนาดไหน ให้เราลองคิดดูเรื่องกินนี้เรื่องขนาดไหน เรื่องกินนี่เรื่องอะไร เรื่องกินนี่เรื่องอะไร เรื่องปัจจัยสี่ เรื่องเสื้อผ้า เรื่องอาหาร เรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องยาสำหรับแก้ไข้ เรื่องอาหาร นี้เรื่องใหญ่
พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า “สัพเพ สัตตา อาหารัฏฐิติกา” สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ได้ด้วยอาหาร สัตว์อยู่ได้ด้วยอาหาร ทานอาหาร ไม่ฉะนั้นอยู่ไม่ได้ เพราะว่าไม่ว่าสัตว์ประเภทไหนอยู่ได้ด้วยอาหาร ต้นไม้ก็อยู่ได้ด้วยอาหาร ถ้าได้อาหารดี ต้นไม้ก็เขียวสดชื่น มีน้ำ มีอาหาร ก็สวยสดชื่น แต่ถ้าแห้งแล้งไม่มีน้ำ ไม่มีอาหารก็เหี่ยวแห้ง คนเรานี้ก็เหมือนกัน เรื่องอาหารเป็นเรื่องใหญ่ แต่ว่าเราต้องมีมัตตัญญุตา
มัตตัญญุตา หมายความว่า รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร ไม่บริโภคมากเกินไป ไม่กินเพื่ออร่อย ไม่กินเพื่อสนุก ไม่กินเพื่อความเพลิดเพลิน ไม่กินเพื่อเป็นนักมวยปล้ำ กินพออยู่ได้ ฉะนั้นพวกฤษีชีไพร่ เขาว่าฤษีผอมไม่ดี ฤษีอ้วนไม่ดี เรื่องมันไม่สมควร ฤษีมักจะผอม ฤษีกินอาหารประเภทผลไม้ตามป่า ป่าสมัยก่อนมีผลไม้เหมาะแก่ฤดูกาลเกิดขึ้น ฤษีก็เก็บมากินเป็นอาหาร ต้องรีบฉันก่อน นางมัทรี ชาลี กัณหา ไปอยู่ป่าหิมพาน นางมัทรีมีหน้าที่ไปหาอาหารผลไม้ เอามาให้พระเวสสันดรและลูกทั้งสองรับประทานกัน รับประทานเพียงเช้า เที่ยง ตอนเย็นก็ไม่รับประทาน อยู่อย่างผู้ถือศีลประพฤติพรหมจรรย์
นี่เรามาวัดในวันแปดค่ำ วันอุโบสถ ก็มาประพฤติ อาหารเหมือนกามารมณ์ คนเราถ้ากินมากอ้วนพี มีกำลังส่วนเกินเกิดขึ้นในร่างกาย บางอย่างก็มีมากขึ้น สัตว์เดรัจฉานเนี่ย ถ้าหน้าฝนเนี่ยมันคึก มันผสมพันธ์กันในหน้าฝน สุนัขจะเกิดลูกมากในหน้าฝน ช้าง เสือ ทุกประเภทที่อยู่ในป่าพอหน้าฝนแล้วก็ผสมพันธุ์ ทำไมจึงผสมพันธุ์ เพราะอาหารมันสมบูรณ์ ใบไม้เขียว หน่อไม้ออกมาให้กินได้มาก มันก็อ้วน อ้วนแล้วก็มีกำลังส่วนเกินมากขึ้น แล้วมันก็คิดเรื่อผสมพันธุ์ จึงเกิดลูกเกิดเต้ากันมาก ฉะนั้นการประพฤติพรหมจรรย์ คนโบราณเขาประพฤติพรหมจรรย์ถึงให้อดอาหาร
การอดอาหารเป็นศีลประเภทหนึ่ง เรียกว่า ศีลอด พวกมุสลิมเขาก็อดอาหาร เดือนรอมฎอน เพิ่งผ่านไปนี่เอง เขาอดอาหาร คือไม่กินกลางวัน แต่ไปกินกลางคืน พูดให้ถูกคือกินก่อนสว่าง เขาเลี้ยงกันตอนกลางคืน พอค่ำแล้วก็กินได้ แล้วก็ไปกินกันอีกทีก็ใกล้จะรุ่ง พอพระอาทิตย์ขึ้น ก็กินไม่ได้แล้ว ทำไมต้องถืออดอย่างนั้น เพราะว่าท่านนบีมูฮัมหมัด ท่านอยู่ในทะเลทราย แล้วก็เร่รอนไปในทะเลทราย ถ้าหุงหาอาหารกินกลางวัน ควันมันขึ้น ก่อกองไฟควันมันขึ้น ถ้าหุงหาอาหาร ข้าศึกก็รู้ ชีวิตของท่านนบีนี่ต้องรบบ่อยๆ ต้องหนีบ่อยๆ เพราะฉะนั้นไปหุงอาหารมากๆ ควันมันก็โขมง ข้าศึกก็รู้ว่าท่านนบีอยู่ตรงไหน เขาก็มาล้อมจับ เพราะฉะนั้นกลางวันไม่กิน อดซะ ไปกินกลางคืน กลางคืนควันมันขึ้นมองไม่เห็น เห็นแต่ไฟ ไฟมันอยู่ในที่ต่ำก็มองไม่เห็น ก็เลยกินกลางคืน พอเช้าขึ้นมาเดินทางต่อไป ไม่กินอาหาร พวกฤษี เขาก็อยู่กันด้วยความสงบ ไม่ค่อยวุ่นวาย เพราะว่ากำลังมันน้อยอ่อนแอ่ อ่อนเพลีย ไม่ค่อยจะมีแรง พูดก็ไม่ค่อยมาก
แต่ว่าเมื่อสงครามอิรัก กับสัมพันทธมิตร แม้ถือบวชก็ยังรบกันอยู่ อิรักก็ยังรบกันอยู่ เพราะว่าเป็นคำสั่งของหัวหน้าที่ไม่ค่อยจะเต็มบาท ทำให้คนตายไปมาก เสียหายกันมากมาย ทรัพยากรธรรมชาติก็สูญเสียเพราะความบ้าคลั่ง ไม่เข้าเรื่องของผู้เป็นหัวหน้า แต่ถ้าพูดตามปกติ การถือศีลอด มันดีหมด ไม่ว่าอดเพื่ออะไร บ้างศาสนาอดบ้างเรื่อง ซึ่งวันศุกร์นี่พวกคริสเตียน พวกยิวไม่กินเนื้อ เขากินเนื้อเป็นอาหาร วันศุกร์นี่เขาไม่กิน ไม่กินเนื้อ เขางดเว้นไม่กิน พวกชาวจีนก็กินเจ พุทธศาสนาเขากินเจ กินเจในเดือนเก้า ๙วัน ถือศีลกัน ๙ วัน กินเจ อาหารเจขายดี หลายคนก็กินกันมาก เพราะว่าเป็นบุญกุศลอย่างหนึ่ง ไปเยี่ยมไปเยียนกัน มันก็ว่าเป็นวันเดือนใหม่ ปีใหม่
มีโรงเจทั่วๆไป มาที่งานพระบาทสระบุรี เขามีโรงเจใหญ่ๆ คนไปพักตามโรงเจ ก็มีรายได้เข้าโรงเจ ได้ใช้จ่ายในเรื่องกิจการพระพุทธศาสนาต่อไป นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการอดๆ ทั้งนั้น คนเราถ้าอดอะไรเสียบ้าง อดอาหาร อดดื่มของบางประเภท เช่น ไม่ดื่มของมึนเมา ไม่ดื่มสิ่งเสพติด พวกน้ำชา กาแฟ ซึ่งเป็นของเสพติดถือว่าน้ำประเภทดื่ม ดื่มแล้วมันก็ติด ติดแล้วมันก็ไม่ดี ทำให้เกิดความทุกข์ ทำให้อดเสียบ้าง เป็นครั้งเป็นคราวก็จะดีเหมือนกันหรือว่าอดเที่ยว ไม่ไปเที่ยว ไม่ไปสนุก วันอื่นเราไปสนุก แต่วันนั้นเราไม่เที่ยว ไม่สนุก ไม่เพลิดเพลิน ลองดูในวันอุโบสถ เพราะว่าอุโบสถ เป็นการเก็บเนื้อเก็บตัว เข้าไปอยู่ในที่อันจำกัด เหมือนกับปิดประตูห้อง อยู่ในห้องคนเดียว นั่งพิจารณาสังขารว่ากายเป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราก็ทำไปอย่างนั้น อยู่ในห้องเงียบๆ ก็สบายใจ มีความสุข ตามแบบของผู้ต้องการความสงบ “นัตถิ สันติปรัง สุขัง” สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบนั้นไม่มี เรามีความสงบ แล้วก็เป็นสุข การกระทำอย่างนั้นเป็นเรื่องความสงบใจ จึงได้มีการถือศีล
แล้วหลวงพ่อมา ถือกันสี่ครั้ง หรืออาจจะถือติดต่อกันสามวัน ก่อนวันหนึ่ง กลางวันหนึ่ง หลังวันหนึ่ง เช่นว่า ๘ ค่ำนี้ถือตั้งแต่เจ็ด แปด เก้า ถือ ๓ วัน ๑๕ ค่ำก็ถือ ๑๔, ๑๕ แรม ๑ ค่ำ เป็นการถือยาวออกไป หรือไม่ใช่วันเช่นนั้นแต่เราอยากจะทรมานตัวเอง ฝึกตัวเอง เราก็ถือศีล ปฏิบัติอย่างนั้น งดเว้นอย่างนั้น งดเว้นอย่างนี้ ถ้าได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี จิตใจจะถูกขัดเกลา ถ้าเราไม่งดเว้น อันนี้ก็เอา อันนั้นก็เอา อยากได้ อยากเป็น ทำให้จิตใจวุ่นวาย ไม่มีความสงบทางจิตใจ ยิ่งอยากสร้างปัญหา อยากทรัพย์สมบัติ สร้างปัญหา เพราะความอยากได้ อันนี้เราอดไว้บ้าง เช่น วันนั้นเราไม่ไปตลาด เราไม่ไปซุปเปอร์มาเก็ต เพื่อไปซื้อข้าวชื้อของ จะไปเฉพาะวันนั้น ไปเมื่อวางแผนไว้จะไปซื้ออะไร ชื้อเท่านั้น ซื้อเท่าที่วางแผนไว้ ถ้าสิ่งใดที่ไม่วางแผนไว้ ไปเห็นอันนี้สวย น่าซื้อ ก็ไม่ยอมซื้อ นี้เป็นเรื่องบังคับตัวเอง
การบังคับตัวเองนั้นเป็นเรื่องประเสริฐ ไม่ว่าเรื่องอะไร สำหรับบังคับตัวเอง เช่นศีลนี่เป็นเรื่องบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง จำกัดความอยาก จำกัดความต้องการ ให้มันน้องลงไป คนเราถ้าอยากน้อย มีความต้องการน้อย การใช้จ่ายน้อย การแสวงหามันก็น้อย ก็มีความสุข คนเราที่เป็นทุกข์เดือดร้อน กันทุกวันนี้ ก็เรื่องอยากมาก อยากได้นั้น อยากได้นี่ อยากได้นู้น ของที่ให้อยากมีเยอะแยะ มีการโฆษณาทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ โทรทัศน์นี้ตัวการสำคัญ โฆษณาสิ่งของให้คนเห็นเป็นภาพเป็นรูปว่ามีคนเข้าไปเกี่ยวข้อง แสดงภาพให้ดู อะไรต่างๆ เราก็อยากจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือว่าอยากจะได้ของใหม่ๆ อะไรออกใหม่ อยากจะเป็นคนทันสมัย อยากจะเป็นผู้นำ ก็เป็นคนซื้อก่อนใครๆ แล้วเราก็ไปซื้อด้วยความภูมิใจในตัวเอง ก็ไม่นาน ถูกใจในวัตถุชิ้นนี้ เมื่อมีของใหม่มาอีก เราก็หาของมาภูมิใจต่อไป ต้องเพิ่มสิ่งต้องการให้แก่ความอยากมากขึ้น ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น มันก็เป็นปัญหา มีความทุกข์ มีความเดือดร้อน ถ้าเงินสำหรับใช้จ่ายมีเพียงพอก็ไม่ทุกข์อะไร บางทีมีไม่พอ แต่ใจมันอยาก อยากได้ก็ไปซื้อไปยืมเขามา เพื่อซื้อสิ่งนั้นสิ่งนี่ เรียกว่า สร้างหนี้ สร้างสิน ให้เกิดขึ้นในชีวิต คนเราไม่ควรจะไปสร้างหนี้สิน ไม่เอาตัวไปผูกพันกับการเป็นหนี้เป็นสิน อันทำให้เกิดปัญหา แต่ถ้าทนความอยากไม่ได้ ก็ต้องเป็นหนี้เป็นสิน
เมื่อสังคมเราในปัจจุบันนี้ ดูเหมือนว่าเจ๊ง ด้วยการเป็นหนี้เป็นสิน เป็นหนี้กันเยอะ ซื้อบ้านผ่อนส่ง ซื้อจักรผ่อนส่ง ซื้อนั้นผ่อนส่ง ไอ้นี่ผ่อนส่ง พวกคนที่ฐานะไม่ค่อยจะดี ผ่อนส่งทุกอย่าง พวกแขกหัวโต เขามาเที่ยวตระเวนเก็บดอกเบี้ย บ้านนี้บาท บ้านนู้นบาท ขยันเดิน ขยันเก็บ ไม่ให้เอาสิ้นเดือนทีเดียว สิ้นเดือนทีเดียว มันไม่มีให้ ลำบากมาเก็บรายวัน วันนี้มาเก็บบาทหนึ่ง ค่ามุง ค่าหมอน ค่าที่นอน ค่าไอ้นู้น ไอ้นี่ ของผ่อนส่งกันทั้นนั้น บ้านไหนซื้อของผ่อนส่ง ก็หมายความว่าสร้างข้อผูกพันขึ้นกับตัวเราเอง กับเจ้าหนี้ สร้างข้อผูกพัน เหมือนว่าเราไปเป็นทาสเขา ไปเป็นทาสเขาในทางเป็นหนี้เป็นสิน มันไม่ถูกต้อง ไม่ใช่วิสัยของคนไทย ไม่ใช่วิสัยของพุทธบริษัท ที่ควรจะกระทำเช่นนั้น แต่ว่ามีคนทำมากขึ้นเพราะความต้องการ ไม่มีคุณธรรมข้อหนึ่งคือสันโดษ
คำว่า สันโดษ หมายความว่า พอใจในสิ่งที่เรามีเราได้ เรามีอะไร เราก็พอใจ เราได้อะไร เราก็พอใจ พอใจเท่าที่มีที่ได้ ไม่ไปคิดแข่งขันกับใคร ในเมื่อเราเห็นคนอื่นเขามี แต่เราไม่มี ใจมันทะเยอทะยาน อยากมีอยากได้ อยากจะเทียมหน้าเทียมตาคนอื่น อันนี้คนอื่นเขามีปัจจัยมาก หน้าเขาก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตาเขาก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไอ้เราก็เขย่งเก้งกอย เพื่อจะให้เทียมหน้าเทียมตาเขา กำลังมันก็ไม่มี เหมือนกับอึ่งที่นอนในโพรงหญ้า วัวมันเดินผ่านมาลูกตกใจ แม่กลับมาถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แหม่..มีสัตว์อะไรไม่รู้ ตัวใหญ่เหลือเกิน แม่ก็ถามว่าตัวขนาดนี้ได้ไหม ลำพองขึ้นมา ตัวใหญ่กว่านั้น พองขึ้นมาอีก พองขึ้นมาอีก ท้องแตกตาย เพราะอัดลมเข้าไปมากเลยท้องระเบิดตาย นี่ก็เป็นตัวอย่างเรื่องการกินอยู่ในชีวิตประจำวัน เราอย่าไปพองแข่งกับคนที่เขามีสตางค์ คนมีสตางค์เขาก็มีได้ ซื้อได้ แต่เรามันซื้อไม่ได้ แล้วเราจะไปแข่งกับเขาได้อย่างไร ไอ้ที่ร้ายคือหาซื้อไม่ได้ ขโมยเลย ไอ้นี่มันหนัก เรียกว่าความอยากทำให้เกิด ลาภัง ความโลภ
“โลโภ ธัมมัง ปริ ปนังโถ” หมายความว่า ความโลภเป็นอันตรายของธรรมะ คนจะประพฤติธรรม ต้องกำจัดความโลภ กำจัดความอยากได้ ถ้ามีความโลภมากอยากได้ ธรรมะมันหายไป เพราะว่าความโลภมันรุนแรง ไปงัดของเขา ไปฆ่าเขา ทำร้ายร่างกายเขา เบียดเบียนเขา ด้วยประการต่างๆ เป็นตำรวจ เป็นนายสิบเอก ไปฆ่าคนตาย แล้วก็หนี ยังตามจับตัวไม่ได้ วันหนึ่งก็ต้องถูกจับวันยันค่ำ มันหนีไปไหนไม่พ้น อยู่ในประเทศไทยก็ต้องจับได้ หนีไปไหนไม่ได้ นี่ก็เพราะความโลภเกิดขึ้น ทำความผิด ไม่คิดว่าจะติดคุกติดตะราง พอคิดว่าจะต้องติดคุกติดตะราง เลยหนี หนีก็เกิดความทุกข์ ขณะที่หนีเป็นทุกข์ คนเรากำลังหนีนี้เป็นทุกข์มาก ครบจำนวนปีของคดี เช่นว่าอายุความสิบปี หนีสิบปี จับตัวได้ก็ไม่ต้องลงโทษ เพราะถูกลงโทษตั้งสิบปีแล้ว อันที่หนี นะถูกลงโทษ นอนไม่สบาย กินไม่สบาย ทำอะไรไม่สบาย ต้องหนีอยู่ตลอดเวลา เหมือนเราหนีโรงเรียนกลุ้มใจขนาดไหน ใครเป็นเด็กเคยหนีโรงเรียนก็รู้ว่ามันกลุ้มใจ อาตมาตอนเป็นเด็กก็เคยหนีโรงเรียน มันไม่สบายใจ ต้องเที่ยวหลบเที่ยวหลีก เห็นใครรู้จักหน้าตาต้องเข้าไปซ่อน ไปหลบ มุดหัวอยู่ในป่าไม้ แล้วค่อยออกมาเดินฉุยฉายต่อไป มันเป็นทุกข์ รู้ว่ามันเป็นทุกข์ ทีหลังก็ไม่หนีโรงเรียนต่อไป
ทำอะไรแล้วหนี มันเป็นทุกข์ทั้งนั้น ทำผิดแล้วร้อนใจ ในภายหลัง เป็นบาปเป็นโทษ ไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้าเราทำแล้วร้อนใจในภายหลังเป็นบาป ทำแล้วสบายใจ สดชื่นใจ ไม่มีอารมณ์ทุกข์ อารมณ์ร้อน มันก็เป็นบุญเป็นกุศล เป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ถ้าทำแล้วร้อนใจ ก่อนทำก็ร้อนใจ กำลังทำก็ร้อนใจ ทำเสร็จแล้วก็ยังร้อนอกร้อนใจ สิ่งนั้นตัดสินได้ว่าเป็นบาป เป็นทุกข์ เป็นโทษ แน่ๆ คนที่มีปัญญาเขาก็ไม่ทำ แต่ว่าคนที่กิเลสมันมากกว่าปัญญา หรือว่าโทสะ โมหะ มันรุนแรง เขาคิดไม่ได้ เลยกระทำลงไป แล้วก็หนีหัวซุกหัวซุน หนีไม่ไหวก็เข้าหาตำรวจ สารภาพ พอเข้าไปนอนในกรงก็นอนหลับกรน ก่อนนี้นอนไม่หลับ พอเข้ากรงแล้วนอนหลับ ทำไมนอนหลับ มันไม่ต้องหนีต่อไปแล้ว พอเขาจับแล้ว นอนสบาย มีความสุขในตอนนั้น แต่ก็เขาจะตัดสินเท่าไรไม่รู้ ทุกข์เรื่องนั้นอีก เขาจะตัดสินเท่าไร ตอนเขาตัดสินลงไปว่าสามสิบปี ก็โล่งอก ไม่เป็นไร เขาไม่ฆ่า ถ้าเขาตัดสินฆ่าก็เป็นทุกข์อีก แต่ทีหลังอาจจะปลงตกลงไป ก็ยิ้มๆละเหี่ยใจ ไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
ปัญหาชีวิตมันมีมาก เพราะความต้องการมีมาก สิ่งสนองความต้องการก็มีมาก โรงงานต่างๆ ก็ผลิตของใหม่ๆ แปลกๆ เช่น รถยนต์ยี่ห้อเดียวกัน แต่ว่าปี ๒๕๓๐ มันมีอะไรเติมนิดหนึ่ง ๓๔ มันเติมนิดหนึ่ง ๓๕ เติมอีกหน่อยหนึ่ง เรียกว่ารุ่นใหม่ของปี คนก็อยากใช้รถใหม่ รุ่นเก่าก็เปลี่ยนรุ่นใหม่ มันก็เปลี่ยนใช้กันเรื่อยไปไม่จบไม่สิ้น ความอิ่มมันไม่มีโยม
ความอิ่มทางวัตถุมันไม่มี มันเพิ่มอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับว่า “นัตถิ ตัณหา สมา นที” แม่น้ำเสมอด้วยแม่น้ำตัณหาไม่มี แม่น้ำมีเต็มฝั่ง มีพร่องฝั่ง เวลาน้ำขึ้นมันก็เต็ม เวลาน้ำลงมันก็พร่องลงไป แต่ว่าตัณหาเป็นแม่น้ำที่ไม่เต็มไม่พร่อง มันอยากอยู่ตลอดเวลา อยากมี อยากได้ สิ่งนั้น สิ่งนี้ เมื่อเราสังเกตตัวเรา เวลาเราอยากได้นี้มันทุกข์ใจ เป็นทุกข์หรือไม่ เรียนธรรมะมันต้องสังเกตที่ตัว ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นเรารู้สึกอย่างไร ตามรู้เกิดขึ้น รู้สึกอย่างไร ความโกรธเกิดขึ้น รู้สึกอย่างไร ความหลงเกิดขึ้นรู้สึกอย่างไร ความริษยาพยาบาทเกิดขึ้นในใจรู้สึกอย่างไร ต้องสังเกต รู้สึกว่ามันมีสภาพเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ เป็นปฎิกริยาทางใจ ทำให้ร้อนรนกระวนกระวาย ด้วยประการต่างๆ มันเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ เราไม่อยากทำสิ่งนั้น ก็หยุดเสียบ้าง เราไม่ทำก็สบายใจ
จึงต้องมีวันสำหรับหยุดการกระทำ ยับยั้งชั่งใจ เพื่ออะไร เพื่อพิจารณาตัวเอง เพื่อตักเตือนตัวเอง ให้รู้ว่าหนึ่งวันที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เจ็ดวันที่ผ่านมาเป็นอย่างไร หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเป็นอย่างไร หนึ่งปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ควรพิจารณาโดยเฉพาะวันเกิดของเราแต่ละคนนั้น มีคนมาขอพรวันเกิดอยู่บ่อยๆ ก็บอกว่าวันเกิดควรจะพักนิ่งๆ สงบจิตสงบใจ แล้วก็ควรใช้สติปัญญาเป็นเครื่องสอดส่องมองดูตัวเอง ว่าเรานี้ดำเนินชีวิตอย่างไร มีศีลเป็นอย่างไร มีธรรมะเป็นอย่างไร มีความคิดความเห็นเป็นอย่างไร การเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร การเงินการทองเป็นอย่างไร เราเป็นหนี้ใคร ใครเป็นหนี้เรา ถ้าเขาเป็นหนี้เราก็ค่อยยังชั่วหน่อย แต่ถ้าเราเป็นหนี้เขาก็ยังลำบาก ก็หาไปชดเชยกับเขา มันก็มีปัญหา อะไรที่ไม่ถูกต้องที่เราทำมา ก็ให้หยุดทำซะ อย่าทำสิ่งนั้นต่อไป เป็นเวลาที่ควรจะทำเช่นนั้น
ในวันเกิดเราก็ควรจะสงบจิตสงบใจ พักผ่อน เอาเรี่ยวเอาแรงทางจิตใจ ร่างกาย ในวันเกิดเราก็ควรจะสงบจิตสงบใจ พักผ่อน เอาเรี่ยวเอาแรงทางจิตใจ ร่างกายนะมันมีแรงอยู่แล้ว แต่เราเพิ่มกำลังภายใน กำลังสติ กำลังปัญญา กำลังความคิดที่ถูกต้องให้เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อปลอบประโลมจิตใจให้คิดนึกอย่างนั้น ก็เป็นการถูกต้อง เป็นการกระทำที่ถูกต้อง แต่ว่าบ้างทีเราไม่ค่อยว่างในวันเกิด ทำบุญวันเกิดมาวัดมาวา มันก็ดีไป แต่ว่าบางทีวันเกิดไปฉลองกัน สิบโต๊ะ ยี่สิบโต๊ะ นัดเพื่อนนัดฝูงมากินเลี้ยงกัน เลี้ยงในวันเกิดเหมือนว่าเลี้ยงวันจะตายยังงั้นแหละ เพราะว่าไปกินเหล้าเมายา สรวลเสเฮฮา บางทีก็ไปเอาพวกอีหนูมาเต้นแร้งเต้นกาให้ดูด้วย เป็นการฉลองวันเกิด อันนั้นมันฉลองกิเลส ไม่ใช่การฉลองวันเกิดที่ถูกต้อง การฉลองวันเกิดที่ถูกต้อง คือขึ้นไหว้พระสวดมนต์ทำจิตใจให้สงบ อธิฐานใจว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องใช้เวลานั่งสงบใจ นั่งพิจารณาตัวเองว่าต้องทำอะไรที่เป็นบุญเป็นกุศล
มีเงินมีทองก็เอามาช่วยชาติ ตึกแปดสิบปีปัญญานันทะให้มันสำเร็จไวๆ จะได้ก้าวหน้าต่อไป เดี๋ยวนี้ขยายเป็นหกชั้นแล้ว ก่อนนี้เอาเพียงสี่ แต่ว่าพวกคณะกรรมการเห็นว่าเงินยังไหลเข้าอยู่เลยมาบอกว่าเอาหกชั้นเลยหลวงพ่อ เออก็ดีเหมือนกันสวรรค์หกชั้น จะหกชั้น สวรรค์หกชั้น อะไรต่อ เดี๋ยวนี้ขึ้นไปถึงชั้นห้าแล้ว (49.30 เสียงไม่ชัดเจน) หล่อเสาเข็มแล้ว แต่ว่าตกแต่งภายในเครื่องประกอบก็คงจะเสร็จราวๆ ปลายปี ปลายปี ๒๕๓๔ ก็จะเสร็จเรียบร้อย พอใช้ได้ เป็นประโยชน์ต่อไป เกิดมาชาติหนึ่งทำอะไรๆ ให้เป็นประโยน์เสียบ้าง ประโยชน์ในทางธรรมะ ช่วยเผยแพร่ธรรมะบ้าง ประโยชน์ในทางวัตถุ ช่วยสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล สร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ความสุข ความสงบแก่ประชาชน ก็เป็นการใช้ชีวิตที่เป็นประโยชน์ ไม่เสียชาติที่เกิดมาในพระศาสนาของพระพุทธเจ้า เราได้ใช้ชีวิต ได้บำเพ็ญคุณงามความดี แต่ว่าทำคนเดียวไม่ได้ ก็ต้องอาศัยญาติโยมช่วยกัน ร่วมแรงร่วมใจกัน สิ่งนั้นก็สำเร็จขึ้นได้โดยธรรมะ เพราะว่าทุกคนมีธรรมะ มีน้ำใจเสียสละ เพื่อความสุข เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม เราก็มาสละพร้อมกัน ผลมันก็เกิดขึ้นเป็นวัตถุ เป็นของใช้ที่เป็นประโยชน์ มีคุณค่าแก่ประชาชนต่อไป
ในวันเกิดโยมจะให้ของขวัญอะไรแก่อาตมาบ้าง ไม่ต้องเอาของขวัญ เอาปัจจัยมาทำบุญก็แล้วกัน วันเกิดมันเยอะจริงๆ แจกันเอย ดอกไม้เอย แจกันเอามากองท่วมหัว มันรกกุฏิไม่ไหว เอามามากๆ ไม่เอา เอาปัจจัยดีกว่า เอามาตั้งมูลนิธิก็ได้ ตั้งมูลนิธิปัญญานันทะ มีทุนล้านกว่าแล้วเดี๋ยวนี้ มีคนมาบริจาค เป็นมูลนิธิช่วยเหลือกิจการโรงพยาบาล การศึกษา อะไรต่ออะไรที่เป็นประโยชน์ตามแผนการที่ได้ตั้งไว้นี้เป็นมูลนิธิ ที่นี่ทางวัดก็จะตั้งมูลนิธิเหมือนกัน สองมูลนิธิ ทางวัดตั้งชื่อแล้ว วัดชลประทานมูลนิธิ อันนี้ก็เป็นเรื่องทุนของวัด ความจริงเงินทุนของวัดที่จะเป็นมูลนิธิก็มีอยู่บ้างแล้วสะสมมาหลายปี สะสมมาเรื่อยๆ ฝากธนาคารไว้ แต่ว่าเรียกว่า วัดชลประทานมูลนิธิ ยังไม่เป็นมูลนิธิ ยังไม่จดทะเบียนตามกฎหมาย เมื่อตั้งมูลนิธิวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ก็จะโอนเงินก้อนนั้นมาเข้ามูลนิธิ แล้วมีกรรมการดูแล จับจ่ายใช้สอย อาตมาไม่ต้องเป็นเหรัญญิกเอง เป็นกรรมการเองต่อไป ให้มันวุ่นวาย แก่แล้ว ต้องเปลื้องภาระลงไปเสียบ้าง มอบให้คณะกรรมการ มีพระสงฆ์องค์เจ้าจะรู้ว่าเงินมีเท่าไร ใช้จ่ายอะไรบ้าง เวลานี้อาตมาเป็นคนเดียว เรียกว่าอำนาจเด็ดขาดในเรื่องเงินทอง ฝากเอง เซ็นเอง แต่ก็ไม่ค่อยได้จ่าย ฝากเรื่อย มีแต่ดอกเพิ่มขึ้น ยังไม่ได้ถอนเลย ตั้งแต่ทำวัดมา ๓๐ ปี เงินมูลนิธิ เงินการกุศลที่ฝาก ไม่ได้ถอน ดอกก็ทบไปเรื่อยทบตลอดเวลาไม่ได้ถอน เพราะว่ามีเงินอื่น มาชดเชย มีคนมาให้ เงินมันก็ยังอยู่ ที่นี่จะทำให้เป็นหลักฐาน เป็นมูลนิธิแล้ว ใครมาเป็นสมภาร จะหยิบเอาไปใช้ตามชอบใจไม่ได้ เพราะมีกรรมการควบคุมดูแล ต้องให้กรรมการเขาอนุญาตจึงจะเบิกไปใช้ได้ ในกิจการของวัด บำรุงการศึกษา แจกพระสงฆ์เณรให้ได้รับการศึกษาเล่าเรียน เอาดอกผลมาใช้ ส่วนต้นทุนนั้น เป็นต้นเหตุกินแต่ดอกแต่ผล ปีหนึ่งก็ได้ดอกครั้งหนึ่ง อะไรอย่างนั้น งานก็เป็นของถาวร เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา ความจริงก็คิดอยู่นานแล้วเหมือนกัน แต่ว่าสะสมไปเรื่อยๆ เป็นมูลนิธิของวัดไป ยังไม่เป็นมูลนิธิตามกฎหมาย ที่นี่พอจดทะเบียนมูลนิธิเสร็จก็โอนก้อนนั้นเข้าไปเป็นทุนมูลนิธิถาวร แล้วก็มีมูลนิธิของโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์อีกก้อนหนึ่งนั้นก็ใช้ดอกผลสำหรับบำรุงกิจการพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ปีหนึ่งก็ใช้ประมาณแสนห้าหมื่น ก็เอาดอกมาใช้ทุกปี เบิกให้ เบิกให้ไปเลย ฝากอีกบัญชีหนึ่ง เบิกใช้ตามชอบใจ ไม่ต้องขอเบิกบ่อยๆ ให้รำคาญ ใช้ไปก่อน ถ้าไม่หมด ก็เหลือ ก็กิน ทำต่อไปอย่างนั้น
พวกการเงินการทองเนี่ย อาตมามือสะอาดมาก ไม่ยุ่ง ไม่จ่าย ตั้งแต่มาเป็นสมภารไม่ได้เอาเงินวัดไปใช้ ไปไหนมาไหนไม่ได้ใช้รถ บางคนนินทาว่าเจ้าคุณเนี่ยเอาเงินวัดไปนั่งเรือบินไปต่างประเทศบ่อยๆ ไม่เคยเลยเอาเงินวัดไปซื้อตั๋ว โยมซื้อให้ทั้งนั้น โยมที่เขาจะให้ไปเขาซื้อให้ โยมเขาจ่ายให้ทุกเที่ยว ไปอังกฤษ ไปอเมริก โยมจ่ายให้ตลอดเวลา บางทีโยมไม่จ่ายก็บอกโยมในศาลาโยมก็ให้ บางทีมีเงินยังใช้ไม่หมด ไว้จ่ายปีหน้า ปีหน้าสร้างโรงพยาบาลเสร็จแล้วก็ต้องไปเยี่ยมญาติโยมต่างประเทศอีก เป็นห่วง เวลานี้ก็คิดถึง เวลานี้ไม่ได้ไปเยี่ยม ต้องทำงานให้เสร็จเสียก่อนแล้วมันเป็นอย่างนั้น พูดมาก็สมควรแก่เวลา ต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที