แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
อาตมาไม่ได้ลงมาแสดงปาฐกถาหลายอาทิตย์ ที่ไม่ได้มาแสดงก็เพราะว่า ทุกส่วนร่างกายมันก็เรียบร้อย แต่มันไม่ค่อยเรียบร้อยอยู่ที่ลำคอ คือมันแห้ง เวลาพูดแล้วปากแห้ง ไม่มีน้ำลาย อาการอย่างนี้ไปถามหมอ หมอเขาบอกว่า “ต่อมน้ำลายมันไม่ทำงาน” แต่ก็ไม่รู้จะแก้อย่างไร ก็เลยให้พักไปตามเรื่อง พักแล้วมันก็ค่อยดีขึ้นนิดๆหน่อยๆ พอจะพูดปาฐกถาให้ญาติโยมฟังได้ เวลานี้ใครนิมนต์ไปปาฐกถาในที่ต่างๆ ก็รับไว้ แต่ว่าตัวไม่ไป ให้ลูกศิษย์ไป เพื่อจะให้เขาฟังเสียงของลูกศิษย์บ้าง พระวัดนี้ที่เทศน์ดีๆ พอฟังได้ ใช้ได้ มีหลายองค์ด้วยกัน ก็เลยให้ท่านเหล่านั้นได้ไปเทศน์ คนจะได้รู้จัก อาตมาก็ไม่ต้องหนักเกินไปที่จะต้องไปเทศน์ทุกหนทุกแห่ง
อายุมันก็มากเข้าทุกที ใกล้จะ ๘๐ ปี แล้ว ร่างกายมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ แต่ก็ยังทำงานได้ปกติ เว้นไว้แต่พูดอย่างเดียว จึงพูดแต่เพียงน้อยๆ อาทิตย์หนึ่ง ก็มาพูดกับญาติโยมสักครั้งหนึ่ง ก็ยังพอไปได้ แต่ถ้าหายไปหลายวันโยมก็นึกว่าคงจะเป็นอะไรมากมาย ความจริงมันไม่ได้มากมายอะไร เป็นแต่คอแห้งนิดๆ หน่อยๆ พูดไปซัก ๑๐ นาทีก็น้ำลายแห้ง ปากแห้ง มันเป็นอาการอย่างหนึ่งของลำคอ เพราะว่าใช้มันมามากเกินไป ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เทศน์มาก็ใช้มาก ใช้อย่างสมบุกสมบัน บางทีเทศน์ครั้งเดียวนี่ ๓ ชั่วโมงติดต่อกันไป แต่ก็ไม่เป็นอะไรในสมัยนั้น ต่อมาร่างกายมันใช้มากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น เค้าเรียกว่าความแก่ ความแก่ก็คือความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เมื่อมันเปลี่ยนแปลงมากเข้า มากเข้าก็เรียกว่าความแก่
ความแก่นี้มีแก่คนทุกคน ไม่มีใครหลีกพ้นได้ แต่ว่าบางคนแก่มาก บางคนแก่น้อย แก่มากแก่น้อยมันขึ้นอยู่กับสภาพของร่างกาย ถ้าหากว่าร่างกายมีเครื่องปรุงแต่งดี มีภูมิต้านทานดี มันก็แก่ช้าๆ ไม่รวดเร็วเกินไป แต่ถ้าหากว่าภูมิต้านทานไม่ดี ความแก่มันก็เร็ว หรือบางคนก็เร่งให้มันแก่ เร่งให้แก่ด้วยใช้ร่างกายในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่นเราเอาเหล้ามาใส่ในร่างกายมากๆ เอาควันบุหรี่อัดเข้าไปมากๆ รับประทานของที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายมากๆ ร่างกายมันก็ชำรุดทรุดโทรม เพราะได้สิ่งที่เป็นพิษเข้าไปในร่างกาย หรือว่าเราอยู่ในสถานที่ที่มันแออัด มีมลพิษมาก เช่น ไปยืนอยู่ที่ตลาดประตูน้ำนานๆ เพชรบุรีตัดใหม่ พระราม 4 ย่านหัวลำโพง เยาวราช เจริญกรุง ที่เหล่านั้นเป็นที่ๆไม่น่าจะไปทั้งนั้น เพราะเป็นที่ๆ ไม่เหมาะแก่การที่จะเข้าไปเที่ยวเตร่เฮฮา หรือไปซื้อข้าวซื้อของ เพราะของมันมีอยู่ในที่ที่โปร่งๆ มากกว่า เราจะไปซื้ออะไรไปตลาดที่มันไม่ใช่ย่านชุมนุมชนมากเกินไป แล้วไปซื้อวางแผนไปเสียให้เสร็จ เข้าไปถึงรีบซื้อ ซื้อแล้วก็รีบออกมา อย่าไปเดินลอยชายเล่นอยู่ในตลาดนานๆ เพราะสถานที่เหล่านั้น เต็มไปด้วยมลพิษ ซึ่งเขาเรียกว่ามลพิษ ภาวะอันเป็นพิษ จากลมหายใจของคน จากอะไรที่ระบายออกมา
คนเรานี่มันมีการระบายออก ของที่ระบายออกนั้นล้วนแต่เป็นของเสียทั้งนั้น แม้หายใจออกก็หายใจเอาของเสียออกมา เหมือนกับท่อไอเสียรถยนต์ที่พ่นออกมาเป็นควันดำ แต่ว่าของเรามันไม่ถึงกับดำขนาดนั้น ธรรมชาติปรุงแต่งไว้เรียบร้อย ไม่ดำเกินไป แต่มันก็เป็นของเสีย ถ้าคนอยู่กันเป็นพันคนขึ้นไป ต่างคนต่างหายใจออกมา ของเสียมันก็เพิ่มมากขึ้น หมื่นคนมันก็เพิ่มมากขึ้น แสนคนมันก็เพิ่มมากขึ้น แล้วก็ถ่ายเทกันอยู่ในกลุ่มชนเหล่านั้น มันก็เป็นการไม่ถูกต้อง แต่สถานที่ใดเป็นที่ปลอดโปร่งโล่ง เช่น อากาศในวัดชลประทานนี่เป็นอากาศที่ดี เพราะว่ามีต้นไม้มาก ต้นไม้รับของเสียจากคน แล้วก็ถ่ายทอดของดีจากใบไม้ ให้มาสู่คน แล้วก็เป็นการมีความโปร่งเพียงพอที่เราจะมานั่งพักผ่อนหย่อนใจได้อย่างสะดวกสบาย ร่างกายก็จะได้แข็งแรงขึ้น ทีนี้คนเราทั่วๆไปนั้น มักจะไม่สำนึก ว่าร่างกายเรานี้เป็นของผสม ไม่ใช่ของแท้ เป็นของผสม อันของผสมนั้นมันย่อมมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตามสภาพทุกเวลา เปลี่ยนแปลงจนกระทั่งไปถึงที่สุดแล้วมันก็แตกดับไป การแตกดับของร่างกายนั้น เป็นไปตามธรรมชาติ มันก็นานถึงจะแตกดับ แต่ถ้ามีอะไรมาขัดคอ ทำให้เกิดการแตกดับขึ้นก็ได้ เมื่อเช้านี้มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง มาถวายสังฆทาน ถวายสังฆทานเสร็จแล้ว ก็บอกว่าดิฉันมีปัญหาอยากจะถามหลวงพ่อสักหน่อย บอกว่าได้ แล้วแกก็บอกว่า “ดิฉันมีลูกชาย แล้วเวลานี้ตายไปเสียแล้ว เค้าตายโดยไม่ได้เจ็บปวดรวดร้าวอะไร นอนหลับตายไปเลย”
นอนหลับตายไป เค้าเรียกกันว่าโรคไหลตาย เหมือนกับกรรมกรไปทำงานสิงค์โปร แล้วก็ตายแบบนี้มาก เรียกว่าไหลตาย ทีนี้ลองคุยกันดู แกก็เสียอกเสียใจถึงเรื่องการตายของลูกชาย ก็เลยบอกให้ทราบว่า ไม่น่าจะเสียใจอะไร เพราะว่าความตายมันเป็นเรื่องธรรมชาติ แล้วไม่ใช่ตายแต่ลูกของเรา ลูกของคนอื่นก็ตาย โยมไปเที่ยวศึกษาดูสิในบ้านในเมืองนี้ มีบ้านไหนที่มีคนไม่ตายบ้าง หรือว่าใครที่ไม่มีญาติตายบ้าง ลองไปเที่ยวสืบถามดู เหมือนกับนางโคตมี กีสาโคตมี แกก็แต่งงานแล้วก็มีลูก พอมีลูกแล้วก็รักลูกมาก ต่อมาลูกก็ไม่สบายปัจจุบันทันด่วนเลย ตายลงไป ตายแล้วธรรมดาอินเดียเขานั้น เมื่อเด็กตายนี่เค้าจะเอาผ้าห่อ แล้วเอาหินถ่วง ถ่วงหัวถ่วงท้าย แล้วก็ปล่อยลงไปในแม่น้ำคงคา ลงไปอย่างนั้น เค้าไปไม่เผา เด็กนี่เค้าไม่เผา คนเป็นโรคอหิวาตกโรคนี่เขาก็ไม่เผา แต่เขาจะเอาไปถ่วงน้ำ แต่ว่าถ่วงน้ำเด็กนี่ไม่มีโทษอะไร ถ่วงลงไปปลามันก็กินไปเองตามธรรมชาติ แต่ถ้าคนเป็นอหิวาตกโรคเป็นไข้ทรพิษนี่ มันไม่ควรจะทิ้งอย่างนั้น แต่เค้าก็ทำกันมาอย่างนั้นตลอดมา คราวนี้นางกีสาโคตมีนี้ พอลูกตายก็ไม่ยอมให้เขามัดไปถ่วงน้ำ แกบอกว่า “ลูกฉันยังไม่ตาย ลูกฉันยังไม่ตาย” เที่ยวอุ้มไปเรื่อยไป อุ้มไปหลายวันเข้ามันก็อืดพองขึ้นมา ก็ยังเที่ยวอุ้มอยู่อย่างนั้น ไม่รังเกียจเลยแม้แต่น้อย ไปเที่ยวถามใครต่อใครว่ามียาแก้ให้ลูกเป็นขึ้นได้ไหม ถามคนบางคนเค้าก็ตะเพิดไล่เอา เขาว่าเอามั่งว่า อีบ้า คนตายแล้วจะทำให้ฟื้นได้อย่างไร ทีนี้ถามไปถามไป ก็ไปเจอคนดีเข้าคนหนึ่ง คนดีนั้นเขาไม่ตะเพิด แต่เขาบอก โอ้ เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นทุกข์ มีคน มีหมอวิเศษสามารถจะทำคนตายให้คนฟื้นได้ แม่คนนั้นก็ถามว่าอยู่ที่ไหน อ้อ ไม่ไกลหรอก อยู่ที่วัดเชตวันนี่เอง คนนั้นก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง ให้ไปหาเถอะ
นี่เค้าเรียกว่าคนฉลาด แนะนำในทางที่ถูก เห็นเค้ากลุ้มอกกลุ้มใจก็แนะให้ไปพบพระพุทธเจ้า เมื่อไปพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็คงจะเทศน์จะสอนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ แกก็รีบไปทีเดียว อุ้มลูกไปด้วย ไปถึงคนกำลังฟังธรรมอยู่ แกก็รู้จักกาลเทศะดีเหมือนกัน เพราะเป็นคนชั้นผู้ดี ก็เลยอุ้มลูกยืนอยู่ห่างๆ อุ้มศพนั้น อุ้มศพยืนอยู่ห่างๆ พอพระพุทธเจ้าเทศน์จบก็เข้าไป เข้าไปที่ใกล้ เอาลูกวางลงตรงหน้าพระพุทธเจ้าเลย แล้วก็บอกว่า “ขอพระองค์ทรงเมตตา ช่วยให้ลูกข้าน้อยนี้ฟื้นชีวิตขึ้นมาสักหน่อย”
พระพุทธเจ้าท่านก็เลยบอกว่า โอ้ย ไม่เป็นไร เรื่องง่าย เรื่องกล้วยๆ ถ้าพูดภาษาบ้านเราว่าอย่างนั้น เรื่องง่าย เรื่องกล้วยๆ แต่เธอต้องไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาสักกำมือหนึ่ง แม่หญิงคนนั้นได้ฟังเช่นนั้นก็ดีใจ เพราะเมล็ดพันธุ์ผักกาดนี่มันมีทุกบ้านในประเทศอินเดีย เขาปลูกกันมาก ผักกาดนี่ปลูกในทุ่งเหลืองไปหมดเลย ก็จะไปขอมันก็ง่ายๆ ก็ลุกขึ้นกระวีกระวาดจะออกไปจากที่ชุมนุมนั้นเพื่อจะไปหาเมล็ดผักกาด พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน เธอจะต้องไปเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาด จากบ้านที่ไม่เคยมีใครตาย จากคนที่ไม่เคยมีญาติตาย ตั้งข้อแม้ไว้สองข้อ จากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย จากคนที่ไม่เคยมีญาติตาย ถือว่าเป็นการสอนแบบให้คิดเอาเองแบบนี้ เค้าเรียกว่าสอนแบบนี้ นางก็ไป ไปถึงบ้านนี้ถามเมล็ดพันธุ์ผักกาดมีไหมจ๊ะ บอกว่ามี ขอสักกำมือเถอะ เขาก็กำมาให้ พอกำมาให้ ก็ถามว่าเดี๋ยวก่อน บ้านนี้เคยมีคนตายไหม โอ้มี ตายไปปีก่อนคนหนึ่ง ไม่เอา ไปบ้านอื่นอีก ก็มีคนตายทุกบ้าน บ้านปลูกใหม่ยังไม่มีคนตายแต่ว่าญาติก็ตาย ไอ้คนเรานี่มันเกิดมาก็คุณทวดตายไปแล้ว คุณปู่ตายไปแล้ว คุณย่าตายไปแล้ว คุณตาตายไป คุณยายตายไป และบางทีก็เด็กน้อยตายลัดคิวไปก็มี มันมีทุกบ้านทุกช่อง เที่ยวถามไป ถามไป นานเข้า นานเข้า เกิดปัญญา เกิดปัญญารู้สึกตัวว่า อ๋อ ไอ้บ้านที่ไม่มีคนตายก็ไม่มี คนที่ไม่มีญาติตายมันก็ไม่มี มันไม่มีในโลกนี้ นี่พวกเราทุกคนที่นั่งอยู่นี้ ญาติตายไปกี่คนแล้ว ลองคิดดู ตายไปกี่คนแล้ว ถ้าเราคิดดู โอ้ ตายไปตั้งหลายคนแล้ว เลยได้ปัญญา พอได้ปัญญาก็รีบกลับไปหาพระพุทธเจ้า แต่ว่าก่อนจะไปหาพระพุทธเจ้า นี่ก็นึกว่าลูกนี่มันไม่ฟื้นแล้วเพราะว่ามันตายแล้ว ก็เลยไปที่แม่น้ำ ขุดทราย หาดทายให้ลึกลงไป เอาลูกฝังไว้ที่หาดทรายเสียเลย เสร็จแล้ว อาบน้ำอาบท่า ชำระร่างกายให้สะอาดเรียบร้อย เพราะไม่ได้อาบน้ำมาตั้งหลายวันแล้ว มัวแต่เดินขอยาแก้ลูกตายอยู่ เลยอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่ง พระพุทธเจ้าพอแม่กีสาโคตมีเข้ามาก็เลยถามว่า
“เธอได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดมาหรือเปล่า”
แม่หญิงคนนั้นก็ตอบว่า “ดิฉันได้สิ่งที่มีค่ากว่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด” ตอบว่าได้สิ่งที่มีค่ากว่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด พระองค์ก็ถามว่า เธอได้อะไร ได้ปัญญาเกิดความรู้สึกว่าทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีใครเกิดแล้วไม่ตายสักคนเดียว มันเลยได้ปัญญาอย่างนั้น แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็เทศน์ธรรมะให้ฟังต่อ เลยก็สละฆราวาสวิสัยออกมาบวชในพระพุทธศาสนา เป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนา เป็นภิกษุณีที่มีชื่อ มีเสียง เป็นนักเทศน์นักสอนด้วยคนหนึ่งเหมือนกัน อันนี้เป็น เค้าเรียกว่าชี้อุบาย ให้ไปพิจารณา ให้ศึกษาเอาด้วยตนเอง เพราะคนเรามันกำลังยึดมั่นอยู่ในเรื่องความทุกข์ข้อนั้น คนเราที่เป็นทุกข์นี่เพราะไปยึดมั่นอยู่ในความทุกข์มากเกินไป ลูกตายก็นึกแต่เรื่องลูกตายเกินไป เรื่องอื่นถมไปไม่นึก นึกแต่ลูกคนที่ตาย ลูกมีสี่คน ตายไปเสียคนหนึ่ง ก็ไปนึกอยู่แต่คนที่ตายนั้น ไอ้สามคนที่อยู่นี่ไม่ได้นึกถึงอะไรเลย อย่างนี้มันก็เป็นทุกข์เจียนตาย เพราะเราไปนึกแต่เรื่องที่ตาย เราไม่ควรจะนึกอย่างนั้นไม่ควรจะคิดอย่างนั้น เราควรคิดถึงเรื่องอื่นที่มันไม่เศร้าโศกเสียใจบ้าง แต่ว่าคิดไม่เป็นเพราะว่าไม่ค่อยได้มาวัด ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือธรรมะในทางศาสนา อันนี้แหล่ะมันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะฉะนั้น การมาวัดไว้บ่อยๆ การฟังธรรมบ่อยๆ การอ่านหนังสือธรรมะบ่อยๆ จะเป็นเครื่องปลอบใจไม่ให้เราต้องมีความทุกข์ความเดือดร้อนใจมากเกินไป แต่ว่าคนก็ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของธรรมะ ไม่อยากสนใจ ไม่อยากศึกษา นึกว่าไม่จำเป็น อันนี้คือความเข้าใจผิด มีอยู่ไม่ใช่น้อย คนที่ไม่มาอย่างนั้น แต่ว่าญาติโยมที่มาฟังธรรมบ่อยๆ ในวันอาทิตย์ทุกอาทิตย์นี่ จะไม่มีอาการเช่นนั้นเกิดขึ้น เพราะว่าปลงได้ วางได้ แม้จะเสียใจก็เสียใจสักนิดหนึ่ง แล้วก็ปลงได้ทันทีว่า อ๋อ มันเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้นก็ปลงไปได้ แต่ถ้าไม่มีข้อปลง ไม่มีเครื่องช่วยทุ่นแรง ในการปลงความหนักใจ ก็ต้องเป็นทุกข์ต่อไปเป็นเรื่องธรรมดา เลยก็พูดให้ แนะนำว่าอย่าไปคิดถึงเรื่องลูก แล้วก็ถามว่าลูกที่ตายนี่อายุเท่าไหร่ อายุ ๒๖ ปีแล้วนะ ไม่ใช่เล็กน้อย แล้วทำงานอะไร ทำงานรับจ้าง ไม่ใช่รับจ้าง รับเหมาก่อสร้าง แล้วก็ขยันเหลือเกินทำงาน ทำให้ทำงานมาก เหน็ดเหนื่อย ถ้าทำอะไรแล้วไม่เสร็จ แล้วก็ไม่หยุดจากงาน มุมานะทำงานมาก อันนี้มันเหนื่อยเกินไป มันเหนื่อยเกินไป ก็เลยหัวใจมันก็หยุดเท่านั้นเอง คนเราเหนื่อยมากๆ หัวใจหยุดเต้นได้ นักมวยชกเกินไปมันก็หัวใจหยุดเต้นได้ คนวิ่งมากเกินไปก็หัวใจหยุดเต้นได้ คือมันเหนื่อยนี่ มันเหนื่อยมากเกินไป คราวนี้คนเราทำอะไรมันต้องรู้จักประมาณ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่ารู้จักประมาณในการหา ในการรักษา ในการกิน การใช้ทรัพย์สมบัติต่างๆ ไม่ใช่ว่าทำเอาเกินพอดีไป ที่เค้าเรียกกันว่า โอเวอร์
“โอเวอร์” หมายความว่า มันเกินขอบเขต เช่น ทำงานเกินไป อดนอนมากเกินไป สนุกมากเกินไป ก็ตายเหมือนกัน คนบางคนไปตายที่ในโรงยี่เก สนุก เล่น ดูลิเกสนุกๆ หัวเราะ หัวเราะจนตายไปเลย หัวเราะจนหายใจไม่ทันแล้วก็ถึงแก่ความตาย
เคยมี ที่วิกบางลำภูน่ะ ลิเกเค้าแสดงกันอยู่บ่อยๆ ที่นั่น พวกคุณยายชอบ เลยก็ไปดูลิเก ดูไปดูไปก็มันสนุกหัวเราะงอหายไปเลย เลยตายไป ตายสนุก อันนี้ตายสนุก แล้วก็ตายด้วยความสนุกในเรื่องลิเก บางคนตายด้วยความเศร้า เศร้าใจเกินไป ตายเหมือนกัน ตายด้วยไปเหมือนกัน ดีใจเกินไปก็ตาย เศร้าใจเกินไปก็ตาย หิวเกินไปก็ตายเหมือนกัน อิ่มเกินไปก็ตายเหมือนกัน เหมือนกับชูชกนะ เวลาเข้าไปในพบพระเจ้ากรุงสมชัย พระเจ้ากรุงสมชัยไถ่หลานมาแล้วก็เลี้ยงชูชกสักมื้อ แกเดินอยู่แต่ในป่าไม่เคยกินอาหารในวัง กับข้าวมันอร่อย กินมาก เลยก็จุกตาย กินจนจุกตาย นี่ก็ตายเพราะอิ่ม ไม่ได้ตายหิว แต่บางคนก็หิวตายมันก็มีเหมือนกัน อาการที่จะทำให้ตายนั้นมันก็มีแปลกๆ แล้วก็ตายไม่จำกัดวัย เด็กน้อย อายุ ๔ ขวบ ตายก็มี ๓ ขวบ ตายก็มี บางทีก็ไม่ได้ออกมาดูโลกด้วยซ้ำไป อยู่ในท้องก็ถึงแก่ความตายไปก็มี
วันนั้น มีแม่หญิงคนหนึ่ง มาที่วัด มาบอกว่าดิฉันมีความทุกข์กลุ้มใจ เอ้า กลุ้มใจเรื่องอะไร ดิฉันนี้มีอาชีพรับเลี้ยงเด็ก เด็กเล็กๆ เนี่ย เด็กน้อยๆ เอามาเลี้ยงไว้ในบ้าน ให้กินนมให้อาบน้ำ ให้หลับให้นอนไปตามเรื่อง คราวนี้เลี้ยงไปเลี้ยงมาเด็กมัน ตายลงไปคนหนึ่ง เด็กน้อยอายุ ๓ เดือนนั่นนะ มันตาย ตายก็หมอเค้าก็ต้องเอาไปพิสูจน์ หมอพิสูจน์บอกว่าขาดออกซิเจน ไอ้นี่มันธรรมดา คือ ไม่หายใจ ไม่มีออกซิเจนมันก็ตาย แล้วแกก็ไปบอกกับพ่อแม่เค้าว่า มันตายโดยธรรมชาติของเด็ก ฉันไม่ได้ทำลายเขา ไม่ได้ละเลย เพิกเฉยเขา มันก็ถึงแก่ความตาย เขาก็จะเอาเงินนะ แกก็นึกว่าไปชดเชยให้เขา ไปขายสายสร้อยประดับข้อมือสองข้างนี่ขายไป แหวน ขายไป ขายสร้อยคอก็ขายไป ขายจนหมด ได้เงินมา ๓ หมื่น ก็เอาไปให้เขา พ่อแม่นั้นก็พอใจแล้วได้เงิน ๓ หมื่น แต่ว่าพี่ๆ น้องๆ ญาติของเด็กนั้นนะ มายุ บอกอย่าไปเอา ต้องไปฟ้องถึงโรงถึงศาล จะได้เงินมากกว่านี้ เนี่ยดิฉันมากลุ้มใจตรงนี้ กลุ้มใจว่าเขาจะฟ้อง จะติดคุกติดตะราง แล้วจะเกิดเป็นปัญหาสร้างความทุกข์ความเดือดร้อน ลูกเต้าที่มีอยู่มันก็จะไปหมด มันนึกว่าแม่เลี้ยงมันไม่ได้ แล้วมันก็จะไป จะทำอย่างไรดี
“ตามปกติดิฉันนี้ก็ไม่ค่อยเลื่อมใสในศาสนา”
บอกว่าอย่างนั้น ไม่ค่อยชอบศาสนา บอกว่าทำไมไม่ได้ชอบศาสนา ดิฉันเป็นเด็กเรียนโรงเรียนคริสเตียน
“ เอ้า แล้วไม่เป็นคริสเตียน”
คริสเตียนก็ไม่ได้เข้าท่า ฉันเรียนแล้วก็มันไม่ถูกอกถูกใจ เลยเป็นคนไม่มีศาสนาอยู่เวลานี้ ไม่ได้เลื่อมใสอะไร นี้นะเรามันอยู่อย่างนี้นะ จิตใจเหมือนกับคนเปลือยคนเปล่า ไม่มีหลักใจ ไม่มีที่คุ้มครองทางใจ แล้วก็เลยเป็นคนลำบาก ศาสนามันเป็นสิ่งช่วยให้ใจสบาย เป็นเครื่องปลอบโยนจิตใจ เราควรจะอ่านหนังสือธรรมะอะไรไว้บ้าง มาวัดฟังธรรมบ้าง บอกว่ามาวัดนะมันไม่ค่อยว่างก็เอาเทปธรรมะไปเปิดฟัง ถ้าหน้าที่เลี้ยงเด็กก็ฟังเทปไปด้วย มันจะได้ฉลาดไม่โง่มากอยู่ นี่เรามันเป็นทุกข์เพราะความโง่นี ถ้าเราฉลาดมันก็ไม่เป็นทุกข์ หาความรู้ใส่สมองเสียมั่งจะได้เป็นคนฉลาด พูดกับแกอย่างนั้นนะ พูดบางทีมันก็แรงๆ ไปหน่อย เพราะว่าคนมันทุกข์มากก็ต้องว่าแรงๆ ถ้าไม่แรงมันจำไม่ค่อยได้ เลยก็บอกเขาอย่างนั้น คุยๆกันแล้วเขาก็ลาไป บอกว่าคิดเสียใหม่ คิดให้ดี อย่าเป็นทุกข์มากเกินไป ทุกข์แล้วมันก็ไม่ได้อะไร แนะแนวเขาไปอย่างนั้น เพื่อให้เขาได้เกิดความสำนึกรู้สึกตัว จะได้คิดอ่านในทางที่ถูกที่ชอบต่อไป นี่คนเรามันเป็นอย่างนี้นะโยม คือว่าไม่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ว่าเราจะต้อนรับสถานการณ์ได้อย่างไร ความแก่เกิดขึ้นเราก็ไม่รู้เรื่องของความแก่ ความเจ็บความไข้เกิดขึ้น ก็ไม่รู้เรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วย ความตายของตัวเองเกิดขึ้น ก็ไม่ได้ตายเองนี่มันไม่เป็นทุกข์ เข้าใจยัง พอตายแล้วก็หมดเรื่องมันคิดอะไรไม่ได้ ร่างกายก็นอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน แต่ว่าลูกตาย น้องตาย พี่ตาย พ่อตาย แม่ตาย คุณย่า คุณยายตาย อะไรอย่างนี้ มันก็เกิดความทุกขึ้นในจิตใจ ทุกข์แล้วไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร นี่มันเป็นปัญหา เพราะความประมาท ไม่ศึกษาธรรมะ ไม่เอาธรรมะมาไว้เป็นเครื่องปลอบโยนจิตใจ ถ้าจะเปรียบในสมัย ในวัตถุ ก็หมายความว่า เราไม่เตรียมยาไว้บ้าน ในบ้านในเรือนมันควรจะมีตู้ยา ไม่มียาอะไรก็เอายาตำราหลวง ที่จากโรงงานเภสัชกรรม เป็นยาประเภทง่ายๆ เอามาไว้บ้าง เวลาปวดหัวก็จะได้กินยา เวลาปวดท้องก็จะได้กินยา มีอะไรบาดนิดหน่อย ก็เอาทิงเจอร์หรือยาแดงที่มีอยู่ในกล่องยานั้นเอามาใส่แผล จะได้รักษาได้ง่าย ถ้าไม่มีเลยจะทำอะไร มันก็ลำบากสมัยเป็นเด็กๆ นี่ เวลาเกิดมีดบาดนี่เขาใส่อะไรโยมรู้ไหม ใยแมลงมุม ความจริงใยแมลงมุมนี่มันสกปรกนะ เพราะว่าอะไรอะไรมาติดอยู่เยอะ แต่ว่าพอมีดบาดเค้าเอาใยแมงมุมมาปะๆเข้า แล้วเอาผ้าขี้ริ้วพันไว้ เอ้อ.. มันก็หายได้เหมือนกัน ก็เป็นยาได้ สมัยนี้ใครไปใช้ใยแมงมุมก็อันตราย เพราะว่าเชื้อโรคมันเยอะแยะ สมัยก่อนไม่เป็นไร ใช้ใยแมลงมุมได้ บางทีก็ใช้ใบไม้ เวลามีดบาดนี่เขามีใบไม้ ใบเสียงพล้าหรือใบฤาษีผสม ที่มันลายๆนะ เอามาถึงก็ตำเข้ากับปูนนะ ปูน ปูนที่กินกับหมาก เอามาตำ ตำๆ แล้วโปะไว้ เอ้อ มันก็หายเหมือนกัน มันเป็นยาแผนโบราณ เค้าก็ใช้กินกันได้ ทำกันได้ ใช้กันอยู่ทั่วๆ ไป แบบโบราณ เดี๋ยวนี้เขามีพลาสเตอร์ พอมีดบาดเอาพลาสเตอร์ปิดไว้ มันก็สะอาดดี สองสามวันแผลมันก็หายเรียบร้อย ทันสมัยขึ้น เมื่อก่อนพลาสเตอร์ใยแมลงมุม พลาสเตอร์ใบไม้กับปูนเอามาปะกันเข้าไปตามเรื่อง ตามตำราที่เขามีไว้แต่โบราณ เวลาใครมาขอน้ำกินนี้ เพื่อไม่ให้คนดื่มน้ำมากเกินไป เพราะคนกำลังกระหายน้ำ เอาใหญ่ อึก อึก อึก อึก เดี๋ยวจะสำลักน้ำตายเอาต่อหน้าเรา ท่านบอกว่าให้เอาอะไร อะไรใส่ลงไป อันนี้ไอ้หลังคามุงด้วยใบจากนะ เด็ดใบจากบนหลังคา ๒-๓ ยอด ใส่ลงไปเพื่อจะได้เป็นการขวางนะ พอดื่มน้ำให้มันลอยเข้ามาใกล้ปากนะ ต้องหยุดเป่าเสียทีหนึ่ง พอหยุดเป่าแล้วก็ดื่มต่อ มันลอยเข้ามาก็หยุดเป่าอีก เป็นการ....อยู่ในตัว ไม่ให้ดื่มน้ำมากเกินไป ก็ไม่เป็นอันตราย สมัยนี้ถ้าเอายอดใบจากหลังคาใส่ คนดื่มก็คงไม่กล้าดื่ม เพราะกลัวว่าสกปรก สมัยนี้คนรู้มาก คนโบราณเขาจึงพูดว่า รู้มาก ยากนาน รู้น้อย พลอยรำคาญ รู้มากนี่กินก็ลำบาก ดื่มก็ลำบาก ไปไหนก็ลำบากเพราะรู้มากนั่นเอง ใครมา สมัยไม่รู้กินได้ทั้งนั้น น้ำอะไรก็ดื่มได้ อาหารอะไรก็กินได้ นั่งนอนตรงไหนก็ได้ ไม่เกรงว่าจะมีเชื้อโรค เดี๋ยวนี้โอ้ย ลำบาก รู้มากนะ มันยากนานอย่างนี้ แล้วถ้ารู้น้อยก็พลอยรำคาญกับไอ้พวกรู้มากนะ เพราะว่าเราให้กินข้าวก็กินไม่ได้ ให้ดื่มน้ำก็ดื่มไม่ได้ ให้ทำอะไรก็กลัวไปหมด รำคาญ ไอ้เรามันรู้น้อยก็พลอยรำคาญ โบราณเขาสอนไว้อย่างนั้น มันก็ถูกต้องตามหลักการอยู่ด้วยเหมือนกัน อันนี้เป็นเรื่องที่เอามา น่าจะสนทนาให้ญาติโยมฟังว่ามันเป็นอย่างนั้น คนเราเวลามีความทุกข์ คราวนี้โยมคนนั้นก็บอกว่า ลูกชายนี้ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน อาตมาก็บอกว่า ฉันไม่รู้ว่ามันไปอยู่ที่ไหน บอกว่าไปถามเขาได้ไหม ถามทรงเจ้าเข้าผี บอกเอ้า ยิ่งไปมันยิ่งโง่หนักเข้าไปอีกนะ ถ้าไปถามพวกทรงเจ้าเข้าผี พวกนั้นมันก็ต้องบอกว่าไปอยู่ที่นั่นที่นี่ แล้วเราพิสูจน์ได้เมื่อไร แล้วมันจะหลอกเราให้เสียสตางค์อีก เพราะฉะนั้นอย่าไปหาพวกทรงเจ้าเข้าผี อย่าไปถาม ถามแล้วมันตอบได้ นะบอกว่ามันทำท่านั่งสงบใจ หลับตานิดหน่อย
อ้อ พบแล้ว เวลานี้ลำบากมาก อยู่ในที่ลำบาก อ้าว มันหาเรื่องให้แม่เสียสตางค์อีกแล้ว ให้แต่ทำอะไร อะไรที่จะต้องเสียสตางค์นะ เพราะฉะนั้น อย่าไป ตามสำนักอย่างนั้นนะ ดีแล้วที่มาถามหลวงพ่อ ถ้าไป ถามคนอื่นก็คงจะไปหา หรือไม่ก็ไปถามพระ พระบางคนท่านก็ว่าเดี๋ยวจะต้องหลับตาดูก่อนว่าไปอยู่ที่ไหน แล้วท่านบอก ผ้าห่มไม่มี เอ้า ต้องซื้อจีวรมาถวาย ๑ ไตรอีกแล้ว อาหารไม่มี ต้องทำสังฆทานอีกแล้ว ไอ้โน่นไม่มี ไอ้นี่ไม่มีก็ว่าไป เหมือนกับคนคนหนึ่ง คุณหญิงแกคิดถึงสามีแกมาก เลยพระบอกว่าสบายทุกอย่างวิมานใหญ่โต แต่มันขาดรถยนต์ จะไปไหนมาไหนก็ลำบาก ตายแล้วจะไปนั่งรถยนต์อย่างไร ไม่มีถนนให้วิ่งแล้ว แต่คุณหญิงแกก็เชื่ออย่างนั้นแกก็ซื้อรถยนต์ถวายนะ พระองค์นั้นก็นั่งรถยนต์คันนั้นป๋อไปป๋อมา ไปหลอกเขากินอย่างนี้มันไม่ได้เรื่องอะไร เป็นมิจฉาชีพ ในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่ามิจฉาอาชีวะ เป็นการเลี้ยงชีพที่ไม่ถูกไม่ควร ทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็เลยบอกว่าไม่รู้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตายแล้วไปอยู่ที่ไหน แล้วไม่จำเป็นจะต้องรู้ด้วยว่าตายแล้วไปอยู่ที่ไหน เพราะถึงรู้ก็ไปเยี่ยมไม่ได้ ส่งจดหมายมันก็ไม่ถึง จะส่งอะไรไปให้มันก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหล่ะ แล้วจะรู้ไปทำไม อย่าไปคิดให้มันวุ่นวายถึงขนาดอย่างนั้นเลย เอาแต่เพียงว่าลูกฉันตายไปแล้ว แล้วก็คิดว่าความตายนี้เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ตายแต่ลูกเราคนเดียว ลูกคนอื่นก็ตาย ที่วัดนี้เด็กอายุ ๔ ขวบนะ ตายด้วยโรคมะเร็ง ตัวนิดเดียวนะเป็นมะเร็งแล้ว มันคงจะเป็นมาตั้งแต่ในท้องคุณแม่ ปรากฏว่าเป็นโรคมะเร็ง แล้วก็ถึงแก่ความตายไป นี่มันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปคิดกังวลในเรื่องอย่างนั้น ให้นึกแต่ว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ธรรมดามันเป็นอย่างนั้น แล้วแกก็บอกว่า ถ้ามันจะเพราะว่าเป็นพรหมลิขิต บอกว่าไม่มีพระพรหมไหนมาลิขิตชีวิตของใคร มันเป็นของมันเองตามธรรมชาติ ร่างกายเป็นของผสม เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แล้วก็เป็นโรคเป็นภัยไข้เจ็บ ไม่ใช่เป็นเพราะพระพรหมลิขิต พระพรหมน่าจะลิขิตให้เรียบร้อยหน่อย นี่ลิขิตเลอะเทอะไม่เข้าเรื่อง มันไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไร เรื่องอย่างนั้น แต่ว่าเป็นเรื่องของความเป็นอยู่ โรคภัยไข้เจ็บมันก็เกิดขึ้น ลูกที่ตายนี่ก็เพราะว่าทำงานมากเกินไป แล้วก็มีความวิตกกังวล เหนื่อยใจจนกระทั่งหมดลมหายใจ เขาเรียกว่าโรคไหลตาย เพราะเหนื่อยมากๆ คนบางคนไปทำนากลางแจ้ง แล้วก็กลับบ้านตอนเที่ยง มาถึงบ้านก็ดื่มเหล้า ดื่มเหล้าเพรียวๆ เรียกว่าไม่ต้องเติมอะไร แล้วเป็นเหล้าเถื่อนด้วยนะ มันแรงนะ เหล้าเถื่อน เอาไม้ขีดไฟจ่อวู่บ ติดไฟเลย ของอย่างนั้นดื่มเข้าไปได้เมื่อไร แล้วก็แดดร้อนเปรี้ยงๆ มาดื่มเข้าไป แล้วก็นอนหลับไม่ตื่น ตายไปเลย ถามว่าตายด้วยอะไร ตายด้วยไม่รู้ ตายด้วยโรคอะไร มาบ้านก็ดื่มเหล้า ดื่มเหล้า เหมือนกับเคยดื่มนะ แต่วันนั้นมันดื่มมากไปหน่อย แล้วก็ตายไป เหมือนข้าราชการคนหนึ่งได้รับเลื่อนชั้น เลื่อนตำแหน่ง ก็ดีใจนะ เลยไปชวนเพื่อนมาอีกคนหนึ่ง มานั่งกินเหล้าด้วยกัน กินไม่เติมโซดาเลย นี่เหล้าขวดหนึ่งกินกันสองคนนะ แต่ว่าไอ้คนหนึ่งไม่ตายเพราะภูมิต้านทานดี แต่ว่าข้าราชการที่ได้เลื่อนชั้นนั้นตายไปเลย ดื่มเหล้านอนหลับตายไปเลย นี่ก็เพราะว่าสาเหตุมันดื่มมากเกินไป นั่นดีใจนะ นั่นดีใจ ดีใจว่าได้เลื่อนชั้น แต่เลื่อนเลยไปถึงป่าช้า ไม่รู้สึกตัวเพราะไปดื่มเหล้ามากเกินไป อย่างนี้มันก็มี เสียใจดื่มเหล้ามันก็ตายเหมือนกัน เหมือนกับจิวยี่ในเรื่องสามก๊กนะ เวลาแพ้ขงเบ้งก็เสียใจ ทำไมให้ข้าพเจ้าเกิดมาแล้วจึงให้ขงเบ้งมาเกิดด้วยนะ ว่าไปบนฟ้า ว่าฟ้านี้ทำไมให้เกิดมาพร้อมกันสองคน แล้วก็ไปแพ้เขา เลยกระอักเลือด เรียกว่าเสียใจจนอาเจียนเป็นโลหิตนะ แล้วก็ถึงแก่ความตายไป เพราะเป็นแม่ทัพเป็นคนมีชื่อมีเสียง แล้วมาเสียท่าเขา เสียใจ ถ้าหากว่าคิดว่ามันก็ธรรมดา มีใครที่จะชนะตลอดกาล มันก็ต้องแพ้มั่ง ถึงบทแพ้เราก็ต้องแพ้เขา แล้วเราจะคิดเอาชนะใหม่มันก็ต้องวางแผนต่อสู้กันต่อไป อย่างนั้นมันก็ไม่เป็นไร ซัดดัมฮุดเซ็นนี่ยังไม่อาเจียนออกโลหิต ยังอยู่เวลานี้ ไอ้คนนี้เรียกว่าเป็นตัวกาลี กาลีโลกในสังคมปัจจุบัน เพราะว่าไปทำสงครามแย่งประเทศคูเวต คูเวตเอามาเป็นของตัว แล้วก็ไปทำลายสิ่งดีงามของในคูเวตเสียเกือบหมด ไอ้ที่ร้ายที่สุดคือไปเผาบ่อน้ำมัน เก้าร้อยกว่าห้าบ่อ ก็ไปเผาควันติด ไฟติดอยู่ตลอดเวลา คนสำคัญ คนของอเมริกันที่ชำนาญเรื่องการดับไฟนี้ บอกว่าไฟที่ติดอยู่นี้ต้องใช้เวลา ๓ ปี จึงจะดับได้ แล้วต้องไปขนเครื่องมือมาจากอเมริกา บ้าจริงๆ ไอ้นายซัดดัมฮุสเซ็นเนี่ย อาตมาไม่เรียกซัดดัม เรียกว่าซัดด้าม มันซัดด้วยด้ามเข้าไป ตู้มเข้านั้นประไร เนี่ย คนมันโง่นะมันทำอย่างนั้น มันนึกว่ามันใหญ่ ใหญ่กี่วัน ไม่อ่านประวัติศาสตร์เสียมั่ง ว่าคนที่เค้าใหญ่ๆ โตๆ มันก็ตายทั้งนั้น อเล็กซานเดอร์มหาราชสมัยกรีกรุกรานมาถึงประเทศอินเดีย แล้วพอขากลับก็ตายเหมือนกัน เดินทัพเหนื่อยๆ ก็ตายไปไม่มีใครอยู่รอด แล้วก็รีซาของอิตาลีที่มาปราบอียิป มาติดนางคลีโอพัตรา มันก็ตายเหมือนกัน ตายด้วยถูกดื่มยาพิษตาย อย่างนี้ก็มี นักโปเลียนชนะถูกปล่อยเกาะแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เอาศพมาไว้ที่กรุงปารีส เดี๋ยวนี้ศพยังอยู่ในที่นั่น นั่นก็ตายไป ฮิตเลอร์รุกรานใหญ่นั่นก็ตายไป ไม่มีใครที่เป็นผู้รุกรานแล้วจะชนะตลอดกาล ชนะตลอดไปไม่มี มันก็ต้องแพ้ ไม่แพ้ข้าศึกก็แพ้ความตาย มันก็ตายเท่านั้นเอง ไม่ได้ครองบ้านครองเมืองตลอดไป เพราะไม่ได้พิจารณาว่าชีวิตของเรานี้ เกิดมาแล้วมันก็ต้องตาย ตายภายในไม่เกินร้อยปี ถ้าคิดอย่างนั้นมันก็ไม่ทำการรุกรานใคร เอาเท่าที่พอได้พอมี พอเป็น ไม่ไปเที่ยวทำใครให้เดือดร้อน เพราะการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็คือเดือดร้อนตัวเอง เราไปเผาเขาก็เหมือนเผาตัวเราเอง ทำร้ายเขาก็เหมือนทำร้ายตัวเราเอง มันไม่ได้เรื่องสาระอะไร เป็นเรื่องที่ควรจะคิดงดเว้นจากสิ่งเหล่านั้น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงบัญญัติศีลให้ปฏิบัติ เรียกว่าศีล ๕ ข้อ
การปฏิบัติศีล ๕ ข้อนี้มันก็ช่วยป้องกัน เช่นศีลข้อ ๑ ที่เรารับกันอยู่บ่อยๆ นั้น ก็เพื่อไม่ให้เบียดเบียนกันในทางร่างกาย ไม่ประทุษร้ายร่างกาย ต่อชีวิตของกันและกัน ให้อยู่กันด้วยความรักความเมตตา ปรารถนาดีต่อบุคคลอื่น เราแผ่เมตตาเวลาฟังเทศน์จบว่า สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่ามีเวร อย่ามีภัย อย่าเบียดเบียนแก่กันและกันเลย ไม่เพียงแต่สวดเท่านั้น หรือว่าเท่านั้น ใจมันต้องนึกเมตตาตลอดเวลา เห็นใครเดินมาก็นึกว่าเออ ขอให้มีความสุขเถอะ ขอให้มีความเจริญเถอะ คนที่มีเมตตาจิตอย่างนี้จะไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่คิดทำร้ายใคร คนเราไม่โกรธใครไม่เกลียดใครไม่ริษยาใคร ไม่คิดทำร้ายใครนั้นสุขภาพจิตดี ร่างกายเป็นปกติ เลือดลมเดินเรียบร้อย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ท่านจึงบอกไว้ในอานิสงส์ว่า
ถือศีลข้อ ๑ อายุยืน ไม่มีโรคนะ คิดด้วยเหตุด้วยผลมันก็เป็นอย่างที่เขาว่า คืออายุยืนเพราะอะไร เพราะสุขภาพจิตดี สุขภาพกายดี คนที่คิดแต่กลุ้มใจ วางแผนจะฆ่าเขา จะทำร้ายเขา เบียดเบียนเขา หรือว่าโกรธ พยาบาท อาฆาตจองเวรต่อคนนั้นคนนี้ สุขภาพจิตของคนนั้นมันก็เสื่อม ร่างกายมันก็เสื่อม นอนก็ไม่หลับสนิท คิดแต่เรื่องร้ายๆ อยู่ตลอดเวลา กินก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ อายุมันจะยืนได้อย่างไร คนที่จะอายุยืนนั้นต้องมีใจดีใจงาม มีความสุข มีความสงบทางด้านจิตใจและร่างกาย อายุมันก็ยืน และคนใจดีนี่อายุยืนโยม ถ้าใจร้ายมันไม่เท่าไรมันก็ตาย เพราะว่ามันคิดแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องดุ เรื่องร้ายอยู่ตลอดเวลา เราจึงเห็นว่าพวกขโมย พวกโจรที่ดังๆ นะ มันดังอยู่ไม่ถึง ๓ ปีนะ ถ้าโยมสังเกตดู ไอ้เสือทั้งหลาย .............แถวเมืองสุพรรณ แถวเมืองพิจิตร พิษณุโลก ที่เรียกว่าเป็นไอ้เสือเที่ยวบุกเที่ยวปล้นนะ มันไม่ถึง ๓ ปี มันก็ตายแล้ว ถูกตำรวจยิงตาย เพราะมันไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่มีตำรวจยิงตายก็ไอ้คนที่ถูกเบียดเบียนมันไปยิงตายเหมือนกัน มันฆ่ากันตาย อายุสั้นทันตา เพราะเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ ทำให้เพื่อนมนุษย์ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน ด้วยประการต่างๆ เราจึงควรจะอยู่ด้วยใจรักเพื่อนมนุษย์ มีเมตตาปราณีต่อกัน ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่คิดพยาบาทใคร ไม่ริษยาใคร ริษยานี่ก็ทำให้สุขภาพจิตตกต่ำ พอเห็นใครได้ดิบได้ดีแล้วแหมมันคันอยู่ที่ใจ มันอยากจะริษยา อยากจะทำลายเขา เป็นเหตุให้ผิดศีลข้อที่ ๑ ได้ง่าย เพราะความริษยา พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
“อรติ โลกนาสิกา” ความริษยานี่ทำให้โลกเดือดร้อนฉิบหาย ไม่มั่นคงไม่ถาวรอะไรนะ นี่เราถือศีลข้อ ๑ มันช่วยให้เราอายุยืน ปลอดภัย
ถ้าเราถือศีลข้อ ๒ คือว่า ไม่ฉ้อ ไม่โกง ไม่คอรัปชั่น ไม่เอารัดเอาเปรียบใครๆ ในเรื่องทรัพย์สมบัติ อย่าพูดแต่เพียงลักอย่างเดียว ถ้าเราเข้าใจว่าถือศีลข้อที่ ๒ ไม่ลักไม่ขโมย แต่บางทีเอาเปรียบคนอื่น สมมุติว่าเราให้ดอกเบี้ยให้กู้ ให้เงินกู้เอาดอกเบี้ยแพง ถ้าใครไม่เสียดอกเบี้ยให้ก็ไปยึดเอานา เอาสวน เอาบ้านเขา ก็เป็นการเบียดเบียนเขาให้เกิดปัญหา เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน ถ้าเราเอาแต่พอดี ผ่อนผันกันพอสมควร อันนี้เคยพูดกับโยมที่เขาค้าดอกเบี้ย ถ้าโยมเงินกู้บอกไม่ได้หลวงพ่อ ทำอย่างนั้นไม่ได้ มันไม่กลัว ถ้าเราผ่อนผันหนักเข้า มันก็ปลิ้นปล้อนเอาไปเลย ทำให้เราเดือดร้อน เพราะฉะนั้นต้องใส่หน้ายักษ์หน้ามารเข้าใส่กันเลย ถ้าหากว่าไม่ได้ก็ต้องเอาหน้ายักษ์ หน้ามารเข้าใส่กัน พูดกันรุนแรง เหมือนกับแขกอินเดียนะ ที่ให้กู้นะ มันไปเก็บดอกเบี้ยนี่มันมันพูดเบาๆ แต่ถ้าไม่ให้มันพูดดังๆ (หัวเราะ) พูดดังๆ เพื่อนบ้านได้ยิน ก็เกิดความละอาย เลยต้องให้มันไป มันไปเก็บทุกวัน มันไม่ช่วยให้เขาลำบาก มันเก็บน้อยๆ เก็บวันละบาท ตามร้านกาแฟนะ เก็บวันละบาท มันขยันไป บางทีไปเช้าบาทหนึ่ง ไปเย็นบาทหนึ่ง นั่นมันเอาอย่างนั้น เอาน้อยๆ แต่มันเอามาก แขกเขาทำอย่างนั้น หน้ามันดุ เวลามันนั้น เวลามันให้กู้มันยิ้ม แต่พอไปคิดดอกเบี้ยมันไม่ยิ้มแล้ว หน้าบึ้งตึงเข้าใส่เลยทีเดียว สุขภาพจิตมันก็เสื่อมเหมือนกัน ไอ้พวกนี้ เพราะว่าจิตใจมันเครียด เครียดเรื่องจะเอาดอกเบี้ย ให้กู้ให้ยืมอะไรเขา อย่างนี้มันก็ลำบากทำให้เกิดเป็นปัญหา มันผิดศีลข้อ ๒ เหมือนกันนะ เรื่องเอาไปค้าดอกเบี้ย กรีดเลือด กรีดเนื้อเขาซิบๆ นี่มันรุนแรงเกินไป ร้อยละ ยี่สิบนี่มันแรงเกินไป ต่อเดือนนะ ไม่ใช่ต่อปีซะอีก ทำให้คนกู้ก็จะเดือดร้อนวุ่นวายหาส่งไม่ทัน เลยเกิดเป็นปัญหาสร้างความทุกข์ความเดือดร้อน อย่างนี้มันก็เสียกันทุกฝ่าย ฝ่ายกู้ก็เหมือนกันไม่คิดทำมาหากิน คิดแต่จะกู้เขาจะปลิ้นจะปล้อนเขาตลอดเวลา สุขภาพมันก็เสื่อมโทรม ไม่รักษาศีลข้อที่ ๒ ทีนี้ถ้าเราคอรัปชั่นกินสินบน เช่นเป็นข้าราชการทำการคอรัปชั่นขูดรีดคนที่ไปติดต่อขอเงินเล็กเงินน้อยเอาเรื่อยไป อย่างนี้มันก็เป็นปัญหา ลำบากเดือดร้อน มีคนคนหนึ่งเขามาขอให้ตั้งชื่อลูกชาย พอตั้งชื่อให้แล้วเขียนด้วยว่าชื่อวิเศษ เขียนให้ไปเสร็จพอไปจดทะเบียนเจ้าหน้าที่เขา เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ได้เขียนแบบนี้ไม่ได้ มันผิด บอกว่ามันไม่ผิดคนที่เขียนหนังสือนี้เขามีความรู้นี้เขามีความรู้ทางภาษาบาลี ทางภาษาไทย มันจะผิดได้อย่างไร เขียนตามแบบภาษาบาลี บอกไม่ได้ ครั้งที่สองก็ไม่ได้มันไม่ยอมจดให้ มันจะเอาสตางค์นะไม่ใช่เรื่องอะไร เลยครั้งที่สามนี่ต้องไปหานายอำเภอ เวลาไปหานายอำเภอนี่เป็นวันใกล้ปีใหม่ ก็เลยซื้อของขวัญไปให้นายอำเภอนิดๆ หน่อยๆ ตามธรรมเนียม เอาไปให้แล้วก็บอกว่า นายอำเภอเขาถามว่ามีธุระอะไรมั่ง ก็มีนิดหน่อย เรื่องจดทะเบียนลูกชาย ชื่อลูกชาย มาสามครั้งแล้ว มันไม่จดให้ นายอำเภอบอกให้ไปที่คนชื่อนั้น แล้วไปบอกว่านายอำเภอบอกให้มา ไปหาคนนี้ช่วยทำให้ นะ มันทำให้เรียบร้อย มันกลัวฤทธิ์เดชนายอำเภอขึ้นมามันก็ทำให้ ก็ชื่ออย่างนั้นแหละ ชื่อวิเศษนั่นแหล่ะ เขาก็ทำให้แบบว่าเรียบร้อย นี่เป็นอย่างนี้เค้าเรียกว่าผิดศีลข้อที่ ๒ เหมือนกัน คือคิดจะเอาเขา คิดจะโกงที่ดินเขา คิดจะโกงบ้านโกงเรือน หรือว่าการคอรัปชั่นกินสินบาท กินสินบน มันก็ผิดทั้งนั้นแหล่ะ ผิดศีลข้อที่ ๒ ผู้กินสินบนก็เป็นทุกข์นะ ผู้ให้สินบนก็เป็นทุกข์เหมือนกันเมื่อไม่ได้ดังใจ มันทุกข์กันทุกฝ่าย แต่ถ้าเราถือศีลธรรม ถ้าปฏิบัติหน้าที่เพื่อหน้าที่ ไม่เห็นแก่เงินแก่ทองเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาจะให้ มันก็ไม่เป็นไร แต่ว่าคนที่ให้สินบนนี่เขาก็เก่งเหมือนกัน เขาให้ไปเรื่อยๆ ให้บ่อยๆ ชวนไปกินข้าว การไปกินข้าวกับพวกพ่อค้าที่มาติดต่อราชการนั่นก็เรียกว่า คอรัปชั่นเหมือนกัน เพราะไปกินบ่อยๆ มันเกิดข้อผูกพันทางใจ ว่าคนนี้มีบุญคุณเลี้ยงข้าวกูบ่อยๆ เพราะฉะนั้นอะไรมาก็ต้องทำให้ก่อน แต่คนโน้นไม่เลี้ยง ยังไม่ทำให้นะนี่มันก็เสียหาย ไม่ถูกต้อง เวลาทำราชการนี่ต้องไม่เลือกว่าคนนั้น คนนี้ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นญาติ เป็นมิตร เราไม่ต้องคิด คิดแต่ว่ามีคนมาหาเพื่อติดต่อในหน้าที่ เรามีหน้าที่ทำอะไรก็ทำให้เขาตามหน้าที่ เท่านั้นมันก็หมดเรื่องกันไปไม่มีปัญหา แล้วจิตใจก็สบาย ไม่เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน ศีลข้อ ๒ มุ่งอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ศีลข้อ ๒ นี่คนผิดกันมากจึงเกิดปัญหา สับสนวุ่นวาย ฆ่ากันตายก็เพราะศีลข้อที่ ๒ ก่อน เป็นเบื้องต้น แล้วก็ผิดศีลข้อ ๑ ต่อไป
ศีลข้อ ๓ นั้น ก็เพื่อให้ครอบครัวเป็นสุข ให้ตระกูลมั่นคง คือไม่ให้ประพฤติผิดในเรื่องกามารมณ์ เราเข้าใจแต่ว่าไม่ผิดลูกผิดเมียใครมันมันน้อยเกินไป เราไปเที่ยวกลางคืน ไปหาโรคใส่ตัว ไปตามซ่องตามซองอะไรต่างๆ ไปได้โรคโกโนเลีย โรคหนองในเข้าข้อออกดอก แล้วเดี๋ยวนี้มีโรคที่น่ากลัวที่สุดก็คือโรคเอดส์ ถ้าเราไปเที่ยวอย่างนั้นแล้วผิดศีลข้อ ๓ ที่เราแต่รับไปว่าจะถือแล้วเราไม่ถือ ไปเที่ยวสนุกสนานชั่วครู่ชั่วยามแล้วก็ได้โรคมา ลงทุนน้อย ค่าจ้างค่าจ่ายไม่เท่าไหร่ แต่ว่ารักษาไม่รู้จักหาย ฉีดยาไม่รู้สักกี่ชุด ไม่รู้จักหายซักที แล้วเอาโรคนั้นไปติดต่อกับภรรยา ติดต่อไปถึงลูก เด็กเกิดมาก็เป็นเด็กพิกลพิการเด็กปัญญาอ่อน หัวโตบ้าง หัวลีบบ้าง แข้งคดขางอบ้างอะไรต่าง ๆ ที่เราเห็นกันอยู่มากมาย หน้าวัดนี่ก็มีเยอะ เขาเรียกว่าสถานสงเคราะห์เด็กอ่อน อ่อนจริงๆ ปัญญาอ่อน ไม่รู้เรื่องอะไร รู้แต่กินกับนอนเท่านั้นเอง นับหนึ่งถึงห้าก็ไม่ได้ นับหนึ่งถึงสิบก็ไม่ได้ ไอ้ห้าก็ยังไม่ได้ อย่าว่าถึงสิบเลย อย่างนี้เค้าเรียกว่าสมองมันไม่ได้เรื่อง นี่วัดสะเกษมีพระอยู่องค์หนึ่งเป็นดอกเตอร์นะ ปริญญาเอก เปรียญเก้าประโยค เวลานี้เป็นโรคสมองฝ่อ สมองฝ่อ วันนั้นไปวัดสะเกษคุยกับเจ้าคุณ บอกว่า เจ้าคุณนั้นเป็นอย่างไร อ้อ แกเป็นโรคหนีความรู้ว่าอย่างนั้น หนีความรู้ ไอ้เรื่องรู้นี้ไม่ได้เรื่องเลย แกหนีความรู้ คือไม่รู้อะไร สอนให้นับหนึ่งถึงห้านี่ก็ยังไม่ได้ “หนึ่ง สอง เอ้าว่าดู” หนึ่ง สองนึกไม่ออก ได้เพียงหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้สอง อย่าถึงห้าเลย สมองฝ่อนะน่าเสียดาย เป็นพระมีความรู้ ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็จะได้เป็นรองสมภาร ได้เป็นเจ้าคุณใหญ่ต่อไป แต่นี่ตัดหมด อยู่นั่นนั่งเฉยๆ นอนเฉยๆ ไม่ได้เรื่องอะไร ยังดีหน่อยที่ว่าเดินได้ เคลื่อนไหวได้ ยกข้าวใส่ปากได้เท่านั้นเอง แต่ที่จะให้คิดอะไรนี่คิดไม่ได้ สมองมันฝ่อ ไม่รู้ว่าบาปเวรอะไร ที่ได้เป็นไปในรูปอย่างนั้น เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย คนเราถ้าไปเที่ยวกลางค่ำกลางคืน หาโรคหาภัยใส่ตัว พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้เที่ยว กลางคืนนี่เป็นเวลาพักผ่อน กลางวันเป็นเวลาทำงาน แต่ว่าสมัยนี้พวกทำงานกลางคืนมันก็มี เพราะว่าทำงานในโรงงาน เค้ามีกะ เปลี่ยนกะกัน กะนี้ช่วงเช้าถึงเวลาเท่านั้น ต่อ ๓ กะนะ ๒๔ ชั่วโมง กะละ ๘ ชั่วโมง ก็บางทีถูกกลางคืน บางทีก็ทำตอนเช้า บางทีทำตอนบ่าย ก็ทำผลัดเปลี่ยนเวียน เวียนกันไปเรื่อยๆ ไอ้อย่างนั้นก็ไม่ว่าอะไร แต่นี่พวกไม่ทำงานอะไรชอบไปเที่ยว ชอบไปเที่ยวไปเตร่ดึกดื่นเที่ยงคืนยังเที่ยวขับรถปู๊ดป๊าดอยู่ แล้วเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำกันบ่อยๆ เด็กหนุ่มๆ รูปร่างดีๆ พ่อแม่มีสตางค์ เลยซื้อรถสปอร์ตให้ ไอ้ลูกชายก็ขับไปป๋อไปป๋อมา ประเดี๋ยวก็โครมเอากับสิบล้อบ้าง ชนเสาไฟฟ้ามั่ง กระโดดลงไปในคลองมั่ง นา นี่มันเรื่องอะไร เรื่องเที่ยวกลางคืนทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องอะไร ถ้าไปเที่ยวแต่เฉพาะกลางวันมันก็ไม่มีเรื่องอะไร เพราะว่ากลางวันนี่มันมีเวลาหลับได้ แล้วก็ไม่ประมาทก็ไม่เป็นอะไร นี่ไปกลางคืน กลางคืนบางทีขับรถเร็ว ถนนโปร่งไอ้รถสิบล้อออกมาจากไหนก็ไม่รู้ เหมือนมฤตยูมาแล้ว โครม เรียบร้อย พ่อแม่ก็นั่งเศร้าโศกเสียใจ บางทีก็มาเสียใจร้องไห้ที่วัด ถามว่าร้องไห้ทำไม ร้องไห้คิดถึงลูก บอกว่าเอ้าแล้วใครฆ่าลูกหล่ะ คุณนายนั่นแหล่ะฆ่าลูกเอง ดิฉันไม่ได้ฆ่า ก็ซื้อรถให้มันขี่เล่นนี่ มันก็ฆ่าลูกเท่านั้น ลูกไม่มีรถก็ซื้อให้มันขี่เล่น รถสปอร์ตคันน้อยๆ ลูกก็ไปซิงกันโอ้ย.... ถนนชลบุรี บ้านบึง ถนนมันโปร่งดี กลางคืนขับไปขับมาพริกคว่ำ ลูกตาย แล้วมาร้องไห้ บอกว่าเราเป็นเหตุให้ลูกตายเองนะ จะร้องไห้ทำไม เลยลุกขึ้นไป ไปร้องตรงอื่น ไม่กล้าร้องตรงหน้าอาตมา (หัวเราะ) อย่างนี้ สาเหตุมันอยู่ตรงนั้น ตรงที่คุณแม่ชอบให้ลูก แล้วลูกมันก็เที่ยวกลางคืน การเที่ยวกลางคืนนี่มันไม่ถูกต้อง มันไปสนุก ไปเที่ยวเต้นเที่ยวรำ ดิสโก้เทค อะไรต่างๆที่เขาสร้างขึ้นไว้ ไอ้สถานที่ท่องเที่ยวยามราตรี เขาสร้างไว้ดักคนปัญญาอ่อน ดักคนปัญญาอ่อน คนปัญญาแก่กล้าเขาไม่ไป ปัญญาแก่กล้าเขารีบกลับบ้าน มาให้คุณพ่อคุณแม่สบายใจ ให้ครอบครัวสบายใจ รับประทานอาหารพร้อมกัน เสร็จรับประทานอาหารก็นั่งดูโทรทัศน์ สมควรเวลาก็นอน นอนหลับ ก่อนนอนก็ไหว้พระสวดมนต์ นึกถึงบุญคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระเจ้า พระสงฆ์ จิตใจมันก็สงบมันไม่วุ่นวาย ไอ้พวกนี้มันไม่ค่อยตาย อายุมั่นขวัญยืน แต่พวกที่เที่ยวเตร่เหลวไหล อายุมันก็ไม่ค่อยยืนเท่าไรนี่เพราะว่าเที่ยวมาก ได้โรคได้ภัย สัจเดรัจฉานนี่ไม่เที่ยวกลางคืน ยกเว้นสัตว์บางชนิด นกค้างคาวนี่มันเที่ยวกลางคืน แต่มันไม่เที่ยวเหลวไหล มันเที่ยวหาอาหาร มันทำประโยชน์แก่ชาวไร่ชาวนา เพราะมันกินแมลงที่เป็นศรัตรูพืช มัน มันโฉบกินในอากาศ ตามันแหลมในที่มืดมันมองเห็น แมลงบินมาโฉบกินเลย ตัวหนึ่งมันกินแมลงตั้งเป็นร้อยตัว พันตัว ที่มันโฉบกลางคืน ออกหัวค่ำ พอเช้ามืดบินกลับเป็นแถว เคยไปอยู่ที่ดูที่ถ้้าเขางูนะ ดูไปในท้องฟ้ามืดยังกับหมู่เมฆนะ ค้างคาวมันจะกลับรัง ปริ๊ป ปริ๊บ เข้าไปนั้น บินเป็นอย่างนี้ เป็นกระแส เข้าไปในนั้น คราวนี้ไอ้พวกจัญไรบางคนก็ไปเอาตาข่ายไปดักหน้าถ้ำ เอาค้างคาวไปขาย เอาไปต้มกินแกล้มเหล้า ฆ่าสัตว์แล้วก็กินเหล้าอีก มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร คราวนี้ชาวบ้านแถวนั้นต้องถือไม่พองตะบองถ้ำไปเฝ้าปากถ้ำเฝ้ารักษา ไม่ให้คนไปทำลายค้างคาว เพราะคนแถวนั้นได้ประโยชน์จากค้างคาว เพราะว่ามูลค้างคาวที่มันถ่ายลงมา มันไปคลุกกับดินเป็นปุ๋ยอย่างดี เป็นปุ๋ยอย่างดี เอาไปขาย ให้พวกเล่นต้นไม้ซื้อไปต่อไป มันเป็นประโยชน์เลยเค้าไม่ให้ทำลาย ค้างคาวมันมันเที่ยวกลางคืนเพื่อ เพื่อทำงาน ทำงานกลางคืน แต่คนเราที่ไปเที่ยวนี่ไม่ได้ทำงานอะไร นอกจากไปเที่ยวปล่อยอารมณ์สนองตัณหา กิเลส ให้มันเสียคนไปเท่านั้นเอง มีลูกมีเต้าคอยสอนคอยอบรมมา ให้รู้คุณค่าว่า ให้รู้โทษของการเที่ยวกลางคืน ว่าเที่ยวกลางคืนนี่
๑. ไม่รักษาตัว
๒. ไม่รักษาทรัพย์
๓. ไม่รักษาครอบครัว
๔. มักถูกใส่ความ
๕. มักถูกทำร้าย
เป็นที่ระแวงของคนทั่วไป ก็ที่เห็นเที่ยวเดินด้อมๆ มองๆ เค้าสงสัย ว่าอาจจะเป็นพวกตัดช่องย่องเบาก็ได้ บางคราวก็ถูกตำรวจแซวเอาไปโรงพัก เอาไปขังเสียคืนหนึ่ง จึงปล่อยไปในตอนเช้า นี่มันเป็นเรื่องเสียหาย ไม่ดี แต่ถ้าเราถือศีลข้อ ๓ เราก็ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ไปเที่ยวเหลวไหล อยู่ในศีลในธรรมก็สบาย
ถือศีลข้อ ๔ ก็รักษาเกียรติทางการพูดปากเรามีไว้สำหรับพูด แต่ต้องพูดเป็นเวลา พูดคำจริงพูดคำอ่อนหวาน พูดคำสมานสามัคคี คำที่มีประโยชน์ ไม่พูดคำโกหก คำยุยงส่งเสริม ทำคนให้แตกแยก แตกร้าวกัน ถ้าเราถือได้ก็เป็นคนปากหอม พูดอะไรคนเชื่อคนฟัง เพราะถือว่าเป็นคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าปากไม่เคยพูดชั่ว ไม่พูดคำที่เหลวไหล ไม่เคยยุแยงตะแคงรั่วให้ใครแตกแยกแตกร้าว ปากเราก็ดี เราควรจะพูดแต่คำดีๆ ถ้าไม่มีคำดีจะพูดนั่งเฉยๆ ไปพบอะไรก็นั่งเฉยๆ แต่ว่าคนชอบพูดนี่มันหยุดไม่ค่อยได้ ต้องพูดเรื่อยไป เห็นอะไรก็พูดเรื่อยไป เห็นอันนั้นก็พูด เห็นอันนี้ก็พูด พูดไปเรื่อย พูดไม่ไม่หยุดนะ ไม่รู้จักหยุดจักหย่อนในการพูดจา อย่างนั้นเขาเรียกว่าเป็นคนขี้พูด พูดเรื่อย พูดไม่เป็นเวลา ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่น ไม่เป็นสาร แต่ว่าชอบพูดเท่านั้นเอง พูดแล้วคนอื่นรำคาญ ไม่ใช่เค้าพอใจอะไร อย่างนี้มันก็ไม่ดี เราต้องพูดดูเวลา ดูบุคคล ดูเหตุการณ์ ดูเรื่องที่เราจะพูดว่ามันเป็นประโยชน์หรือไม่ เวลามันเหมาะหรือไม่ บุคคลที่เราจะพูดด้วยมันเหมาะหรือไม่ เหตุการณ์มันเหมาะหรือไม่ ถ้าไม่เหมาะก็พูดไม่ได้แม้คำจริง ไม่ใช่ว่าจะพูดได้เสมอไป คำจริง คำจริงมันก็ต้องดูบุคคลที่ฟัง ดูเวลา ดูเหตุการณ์ ดูเรื่องเฉพาะหน้า ว่ามันเหมาะมันควรหรือไม่ ถ้าหากว่าเรื่องมันไม่เหมาะไม่ควรจะพูดทำไม นิ่งไว้ ได้ตำลึง เพราะนิ่ง พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งไว้เสียตำลึงทอง คนโบราณเขาว่า พูดไปสองไพทันที นิ่งเสียได้ตำลึงทอง ราคามันสูงถ้าว่าไม่พูดนะ พูดน้อยราคาสูง แล้วคนพูดน้อยนี่ คนชอบมาหามาคุย เพราะพูดเป็นสาระเป็นแก่นเป็นสาร พูดไม่กี่คำ แต่ว่าเป็นคำมีค่า เป็นคำที่มีประโยชน์ ไม่พูดพร่อยๆ ไม่พูดให้มันเรี่ยราด ตกเรี่ยราดเหมือนกับใบไม้ร่วง มันไม่ได้เรื่องอะไร ถ้าเราถือได้ก็สบาย เราพบกันถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็นั่งนิ่งๆ พระพุทธเจ้าสอนว่า อริยะสาวกเมื่อมาพบกันทำกิจสองอย่าง ๑ นั่งนิ่ง ๒ พูดธรรมะ ให้พูดธรรมะ ถ้าไม่พูดธรรมะก็นั่งนิ่งๆ การนั่งนิ่งๆ ไม่เสียมรรยาท แต่ถ้าพูดก็ต้องพูดธรรมะ แต่นี่เราไม่มีธรรมะจะพูด ถ้าเรามีเทปไว้ที่บ้าน เตรียมไว้ แขกมาก็เอ้า ฟังนี่ก่อน เป็นสิ่งดีมีประโยชน์ เปิดเทปให้ฟัง เทปธรรมะไว้รับแขกนะ โยมเอาไปไว้บ้าน ๙ ม้วน ๑๐ ม้วน เอาไปไว้ มีเครื่องพร้อม พอแขกมาก็ดื่มน้ำดื่มท่า เสร็จแล้ว ไหน อยากจะให้ฟังนี้หน่อย แล้วเปิดเทปให้เขาฟัง คนนั้นเขาได้ฟังเทปไปเขาเกิดความรู้ความเข้าใจ จะได้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน บางทีก็อยากจะได้เทป บอกว่าอยากได้ต้องไปที่วัดชลประทาน นู่น ไปที่หอสมุดอยู่นู่น เขามีเทปอัดเทปไว้ให้ คนไหนอยากอัดก็อัดเอาเลย พระสุรศักดิ์ทำงานขยันขันแข็งในเรื่องจัดเทปให้ญาติให้โยม แล้วก็มีหนังสือให้อ่านด้วย นี่เราก็มา ได้ประโยชน์ ถ้าจะพูดก็พูดแนะนำ พูดในธรรมะพูดเรื่องเกี่ยวกับทาน เรื่องศีล เรื่องภาวนา เรื่องการฟังธรรม เรื่องการแสดงธรรม เรื่องดีเรื่องงาม เรื่องชักจูงให้เกิดความคิดความเห็นในทางที่ถูกที่ชอบ เป็นศีลเป็นธรรม ได้ประโยชน์ ไปไหนก็ต้องไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่คนอื่น ก็ไม่มีภัยอันตราย ทีนี้ศีลข้อห้า ให้ถือข้อห้านี่คุ้มครองหมดทุกอย่าง ข้อหนึ่งคุ้มครองชีวิต ข้อสองคุ้มครองทรัพย์สมบัติ ข้อสามคุ้มครองครอบครัว ข้อสี่คุ้มครองการพูดการให้สัญญาอะไรต่างๆ เรียบร้อย แล้วก็ข้อห้านั้นคุ้มหมดทุกอย่าง คนเราถ้าว่าดื่มเหล้าแล้วมันเมา เมาแล้วมันขาดสติ ขาดปัญญา ขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี อาจจะทำอะไรผิดลงไปเมื่อไรก็ได้ เพราะฉะนั้น ทุกศาสนาห้ามไม่ให้ดื่ม อิสลามเขาถือเคร่งเขาไม่ดื่มกันเลย เราชาวพุทธถือมั่งไม่ถือมั่ง เวลางานทำบุญศุลทานไม่ควรเลี้ยงเหล้าก็เอาเหล้าไปเลี้ยงกัน ตั้งศพในวัดเอาเหล้ามาเลี้ยง แต่ที่วัดนี้ไม่มี เพราะอาตมากวดขันต้องคุมไว้ สมัยเปิดวัดใหม่ๆ ก็คอยไปเดินดูทุกศาลา แอบ ไม่ใช่ดู ก็เดินแอบไปดู แอบไปที่เขาเลี้ยงน้ำ เอาน้ำอะไรมาเลี้ยง ไปเห็นขวดเหล้าก็เอาเข้าไปกลางศาลาเทศน์มันเสียเลย เมื่อเทศน์ให้ในกลางศาลาเจ้าภาพก็ขายหน้า ทีหลังก็ไม่กล้าเอามา เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว มีแต่เลี้ยงน้ำส้ม น้ำหวาน ไม่มีสุราอะไร คนเมาไม่มี เดี๋ยวนี้วัดชลประทาน คนเมาไม่มี มีแต่คนขี้ลักเข้ามาบ้างเหมือนกัน เออ
ไอ้พูดถึงเรื่องลัก เรื่องขโมยนี่มันเข้ามาบ่อยๆ รถยนต์จอดต้องระวังปิดประตู ใส่กุญแจให้เรียบร้อย ยางอะไหล่นี่มันลักบ่อย กลางคืน โดยมากลักกลางคืน พวกปิกอัพนี่ยางอะไหล่ติดไว้ข้างท้าย มันมาถอดเอาไปเลย เอาไป เพราะว่าตำรวจก็ไม่ค่อยมาตรวจตราแถวนี้ มันลักบ่อย เลยบอกให้ไปแจ้งความที่โรงพัก บอกว่าแจ้งความก็ไม่ได้คืน แจ้งความให้ตำรวจรู้ว่า เขตปากเกร็ดนี้มันไม่ค่อยเรียบร้อย มีโจรขโมยมาลักรถบ่อยๆ แจ้งบ่อยๆ เจ้าหน้าที่ก็จะได้เอาใจใส่ตามหน้าที่ขึ้นมาบ้าง ได้ส่งลูกน้องมาเป็นยามตรวจตรากลางค่ำกลางคืน เพราะมันลักแล้วมันต้องกลิ้งไปนี่ ไอ้ล้อนี้ แล้วมันถือกันไปหลายคน ตำรวจอยู่มันก็จับได้นี่ มันไม่ได้ยากอะไร ไม่ใช่มันเหาะไปได้นี่ หรือมันขี่ล้อลอยไปในอากาศได้เมื่อไร เราก็จับได้ แต่ว่าตำรวจก็ไม่ค่อยสนใจ วันอาทิตย์นี่ก็มาบ้าง ตำรวจมาช่วยอยู่ มาช่วยดูแล แต่ก็เผลอไม่ได้ คุณยายไปเอากระเป๋าแขวนไว้ที่มือ แล้วก็มือหนึ่งก็วักน้ำขึ้นมาล้างปาก มันฉกเอาไปเลย ฉกวิ่งไปเสียเลย คุณยายจะวิ่งตามมันก็ไม่ไหว เลยบอกว่าไม่เสียดายกระป๋ง กระเป๋าหรอก เสียดายบัตรกับเสียดายกุญแจ เพราะว่าเข้าบ้านไม่ได้กุญแจมันอยู่ในนั้น ถ้ามันปราณีเอากุญแจมาคืนไว้ที่นี่มันก็ดีเหมือนกัน บอกว่าพบพวงกุญแจเอามาให้ประกาศ...ของ ก็ดี น้ำใจอย่างนั้นมันไม่ หายากในโจร เพราะว่าน้ำใจโจรมันไม่มีธรรมะอะไร มันมีแต่สิ่งที่ไม่เป็นธรรมทั้งนั้น เรื่องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราต้องระวังเอง โยมมีกระป๋ง กระเป๋าก็ต้องระมัดระวัง จะตั้งจะวางตรงไหนมือคอยคอยจับจับไว้ คล้องมือไว้ บางทีมันคล้องมือมันก็ยังเอานะโยมนะ มันฉกไปเลย เวลานั่งหลับตานะ วันนั้นโยมนั่งหลับตาตรงนี้ กระเป๋าวางไว้ข้างๆ แต่ลูกชายไม่หลับแฮะ ลูกชายนั่ง ไม่หลับขโมย พ่อขโมยเอากระเป๋าแล้ว วิ่งไปโน่น ประตูวัดโน่น ไอ้คนนั่นถูกม่องสักสองสามที ไอ้คนขโมยน่ะ นี้ ง่ายๆ อย่างนี้มันยังเอาได้อยู่ มันมาจ้องดูพอหลับตาก็เอาเลย แต่ในนี้ไม่เป็นไรหลับตาก็ไม่เป็นไร ข้างนอกไม่ได้ ไอ้พวกขโมยนี้มันอยู่ตรงนี้มันฟังเสียงหลวงพ่อพูดมันหัวเราะคิกคิกเชียวนะ (หัวเราะ) พอได้ท่ามันก็เอาเท่านั้นเอง นะ เป็นอย่างนั้น พวกคนที่ไม่มีการศึกษา มันก็ลำบาก พูดมาก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้