แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกคนหาที่นั่ง อย่ามัวเดินไปเดินมา นั่ง ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงนี้ได้ แล้วจงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
วันอาทิตย์นี้ มีงานพิเศษนิดหน่อย คือว่า ศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาและประเพณีได้มีการมอบรางวัลแก่พระบ้าง คฤหัสถ์บ้าง ที่ได้สร้างคุณงามความดีเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลกทั่วๆ ไป ก็ควรจะได้ให้มีรางวัลบ้างตามสมควรแก่ฐานะ จึงได้จัดให้มีการให้รางวัลภายหลังจากการแสดงปาฐกถาแล้ว
การแสดงปาฐกถาในวันนี้ ก็จะพูดในเรื่องที่เรียกว่า สนับสนุนคนดีให้ทำกิจอันเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม คือ ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันการกระทำความดีนั้น เป็นการประพฤติธรรมอย่างหนึ่งในหลักพระพุทธศาสนา เพราะว่าธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า สอนคนให้ประพฤติธรรม ประพฤติธรรมก็คือสร้างความงาม ความดี ที่เป็นประโยชน์ตน เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น การทำความดีนั้นเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องกระทำ แต่ถ้าเราไปทำความชั่ว เรียกว่าไม่ใช่หน้าที่ คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำสิ่งเสียหาย แต่เกิดมาเพื่อกระทำความดีความงาม ตามความสามารถแห่งตนแห่งตน ถ้าทุกคนได้ประพฤติดีประพฤติชอบ สังคมก็จะอยู่กันด้วยความสงบเย็น ไม่มีปัญหา
แต่ว่าในสังคมปัจจุบันนี้ไม่ว่าที่ไหนในโลกทั่วๆ ไป ก็ย่อมมีคนที่ไม่เข้าถึงธรรมะในศาสนาที่ตนนับถือ ได้ประพฤติสิ่งที่เป็นนอกลู่นอกทาง สร้างความเสียหายแก่ตนบ้าง สร้างความเสียหายแก่บุคคลอื่นบ้าง มีอยู่บ้างเป็นธรรมดา ส่วนคนดีนั้นก็ทำกันอยู่ทั่วๆ ไป พูดกันไปแล้ว คนดีกับคนชั่วนั่นน่ะ ความจริงคนดีมีมากกว่าคนชั่ว คนชั่ว มีน้อย แต่ว่าความน้อยของคนชั่วนั้น เหมือนกับจุดดำในผืนผ้าขาว ผ้าขาวทั้งผืนมัน ขาว ... สะอาด บริสุทธิ์ แต่ถ้ามีจุดดำอยู่สักนิดหนึ่ง จุดนั้นเป็นจุดเด่น ซึ่งใครๆ ก็มองเห็นได้ว่ามีจุดดำอยู่ ในหมู่คนชาวโลกเราก็เหมือนกัน ความจริงคนทำดีนั้นมีมากกว่าคนที่ทำชั่ว แต่ว่าคนทำชั่วมันดัง มันเด่น แล้วก็หนังสือพิมพ์ในประเทศเรานั้นชอบลงข่าว แต่เรื่องคนชั่ว คนดีนี่ไม่ค่อยมีข่าว คนมาวัดนี่ก็ไม่ค่อยมีข่าว คนไปทำความงามความดีในที่ต่างๆ ไม่เป็นข่าว แต่ว่าคนชั่วแล้ว จั่วหน้าตัวโป้งๆ เพื่อให้คนได้รู้ได้เห็นกัน ทั่วๆ ไป คนก็อาจจะเข้าใจว่า บ้านเมืองของเรานี้แย่แล้ว เพราะมีแต่ความชั่วความร้ายเกิดขึ้นทั่วไป แต่ความจริงนั้นไม่ได้ตกต่ำถึงขนาดนั้น ความที่คนดีและคนที่ทำดียังมีอยู่มากกว่า แต่คนทำชั่วนั้นมันดังทุกทีน่ะ ดังเป็นข่าวทางวิทยุ เป็นข่าวทางโทรทัศน์ เป็นข่าวทางในหน้าหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์ก็ชอบทำข่าวอย่างนั้น ถ้าที่ไหนชั่วแล้วก็ทำ ว่าแล้วว่าอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าข่าวดีนั้น ถ้าจะลงก็ลงสักวันเดียว เท่านั้นเอง แล้วก็เงียบหายไป ไม่สรรเสริญเยินยอมากเท่าใด คล้ายๆ กับว่าไม่ยกย่อง คนดี ไม่ยกย่องความดี คราวนี้สิ่งที่เป็นข่าวในทางชั่วนั้น มันก็เป็นตัวอย่างให้คนได้อ่านได้ศึกษา หนังสือบางประเภท เช่น หนังสือเริงรมย์ประเภทอ่านเล่นก็เป็นเรื่องส่งเสริมความคิดในทางต่ำมากเหมือนกัน เพราะผู้เขียนหนังสือขาดอุดมการณ์ ไม่มีธรรมะเป็นหลักประจำใจ แล้วก็เขียนให้ตัวเรื่องละครแต่ละตัวนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิด มีความคิดตกต่ำทางด้านจิตใจ เวลาใดมีปัญหา มีความทุกข์ มีความเดือดร้อนเกิดขึ้น แทนที่จะเขียนให้ไปวัดเพื่อไปศึกษาธรรมะ หรือไปฟังธรรมอะไรอย่างนั้นไม่ค่อยจะมี
ความจริงคนก็มาวัดกันอยู่เยอะ เวลามีความทุกข์เขาก็มาวัด แต่ก็ไม่ได้เอาไปเขียนเป็นตัวอย่าง มักจะเขียนตัวอย่างพระเอกนางเอก หรือตัวประกอบละครในเรื่องให้ไปทำเรื่องอื่นเวลาเป็นทุกข์ เช่นว่า ไปดื่มเหล้า ไปเที่ยวบาร์ ไปเที่ยวตามสถานที่สนุกสนานยามราตรี หรือไปเที่ยวตามชายหาดอะไรต่างๆ ซึ่งเขานึกว่า การกระทำเช่นนั้น เป็นการช่วยให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนใจ แต่ความจริงนั้น หาได้ช่วยเท่าไรไม่ เพราะคนที่ไปสู่สถานที่เช่นนั้น แม้จะระงับความทุกข์ได้ ก็เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ใช่เป็นการดับทุกข์อย่างถาวร พอกลับมาจากที่นั้นก็เป็นทุกข์ต่อไป เพราะฉะนั้นคนจึงชอบไปเที่ยว บางแสน พัทยา ภูเก็ต เกาะสมุย คนชอบไปกัน แต่ว่าภูเก็ตนี่คนไทยไป ไม่มากเท่าใด ฝรั่งมาก เกาะสมุยก็ฝรั่งมากเหมือนกัน เขาก็ไปเที่ยวกัน ฝรั่งนั้นก็มาเพื่อแก้ทุกข์เหมือนกัน แต่ว่ามาแล้วไม่ได้รับการแก้ทุกข์อย่างแท้จริง ได้รับแต่แสงแดด ได้รับแต่สิ่งที่เป็นความสนุกสนานทางด้านวัตถุ แต่ก็ยังดีอยู่หน่อย ที่ทางสวนโมกข์ ไชยา ได้มีการวางแผนเพื่อจะจับฝรั่งเหล่านั้นเอามาประพฤติธรรมกัน ชั้นแรกก็ทำที่เกาะสมุย ด้วยการประกาศโฆษณาว่า ผู้ใดมีความสนใจใคร่จะศึกษาปฏิบัติ ฝึกจิตตามหลักพุทธศาสนาให้ไปสมัครที่วัดบางบัว ซึ่งอยู่ใกล้กับหาดอ่าวเฉวง ที่ฝรั่งไปนอนอาบแดดกันมาก พระท่านไปเห็นฝรั่งอาบแดดแล้วก็สงสาร สงสารว่า เออ..พวกฝรั่งนี่ลงทุนมามาก ไกลเหลือเกินเพื่อมาเอาแสงแดดเท่านั้น เรามีแสงธรรมประเสริฐกว่าแสงแดด ทำไมไม่ให้เขา เลยวางแผนเขียนป้ายโฆษณาไปติดไว้ตามร้านกาแฟ ตามร้านอาหาร ให้ฝรั่งเขาได้รู้ได้เห็น ได้เกิดความสนใจ ก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน ชั้นแรกมีฝรั่งมาสมัคร ๔๐ คน ให้ปฏิบัติ ๑๐ วัน การปฏิบัติของฝรั่ง ๑๐ วันนี้ ทำให้ฝรั่งรู้สึกว่าได้ประโยชน์ พอครบ ๑๐ วันแล้ว พระก็เดินทางกลับสวนโมกข์ มีฝรั่งตามมาก ๑๐ คน อีก ๒ เดือนไปเปิดรอบ ๒ แล้วก็มีฝรั่งมาปฏิบัติ ๖๐ คน รอบ ๓ ได้ ๗๘ คน รวมแล้วก็กลับเอาเขามาอยู่ที่สวนโมกข์ถึง ๕๐ ไม่มีที่ให้อยู่ ต้องอยู่ในค่ายลูกเสือ คราวนี้ค่ายลูกเสือ ไม่มีรั้วรอบขอบชิด เดี๋ยวก็นักเลงดีไปเอากล้องถ่ายรูปฝรั่งบ้าง หรือเอาอะไรเสียบ้าง ก็เลยต้องเปิดห้องห้องหนึ่งเป็นโกดังเก็บข้าวของของฝรั่งไว้ ให้เขาได้ปฏิบัติธรรมสะดวกสบาย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปจับที่เกาะสมุยแล้ว ฝรั่งที่มาปฏิบัติแล้วเขาก็ไปบอกเล่าเก้าสิบกันให้ได้ทราบ ฝรั่งมาก็ไม่ไปเกาะสมุย พุ่งมาที่สวนโมกข์เลย ตั้งแต่วันที่ ๑ ถึงวันที่ ๑๐ ของเดือนทุกเดือน ฝรั่งมาอยู่ปฏิบัติ เรียกตามภาษาฝรั่งว่า “รีพีท” เป็นเวลา ๑๐ วัน ๑๐ วัน ได้ถามท่านเจ้าคุณพุทธทาสว่าฝรั่งชั้นไหน ท่านบอกว่าชั้นฮิปปี้สูบกัญชาธรรมดาจนกระทั่งฝรั่งด็อกเตอร์ได้ปริญญาเอกเขาก็มากัน ไอ้พวกสูบกัญชาก็มาอยู่ที่นั่นมันก็เลิกสูบกัญชากันไป ทำอะไรก็เรียบร้อยขึ้น แล้วบางคนก็อยู่ตั้ง ๑ เดือน ๓ เดือนยังไม่กลับบ้าน เขาว่าอยู่นี่สบายดี มีฝรั่งคนหนึ่งเป็นลูกเศรษฐีมั่งมีทรัพย์สมบัติแล้วก็เที่ยวผลาญเงินพ่อแม่ตามสบายใจ เที่ยวไปประเทศนั้นประเทศนี้ แล้วก็เลยมากลับตนเป็นคนดีที่สวนโมกข์นี่เอง เขาได้มาประพฤติธรรม ๑๐ วัน เลยเขาเปลี่ยนใจไม่ไปเที่ยวต่อ แล้วพักอยู่ที่นั่น เขียนจดหมายบอกคุณพ่อคุณแม่ บอกว่าต่อไปนี้จะไม่รบกวนเงินพ่อแม่อีกต่อไป จะไม่ไปเที่ยวแล้ว แต่จะพักอยู่ที่นี่จนกว่าจะเดินทางกลับบ้าน พ่อแม่ ดีใจก็มาเยี่ยมลูกถึงสวนโมกข์ เห็นลูกประพฤติดีประพฤติชอบก็พลอยดีใจไป อันนี้ก็เป็นการจูงคนเข้าหาความดี จูงฝรั่งเข้าหาคุณงามความดี ที่สวนโมกข์ทำอย่างนี้ไม่ใช่ทำเฉพาะฝรั่ง เดี๋ยวนี้ก็ประกาศรับคนไทยด้วย คนไทยคือหลังจากฝรั่งออกแล้ว ๑๐ วันออกไปที่มันก็ว่าง แล้วก็รับคนไทย ในช่วงปีใหม่นี้มีการปิดหลายวัน ทางสวนโมกข์ก็ทำการต้อนรับคนที่จะไปอยู่ปฏิบัติชั่วระยะ ๓ วัน ๔ วัน ที่สถานเขาเรียกว่า ธรรมาศรมนานาชาติ ให้ได้ไปเสพรสแห่งความสุขความสงบอย่างนั้นเสียบ้าง นี่ก็เป็นการทำความดี ส่งเสริมความงามความดี
ในการปฏิบัติเรื่องดีๆ นั้น เราชาวพุทธควรจะทำอย่างไร เราควรจะปฏิบัติดีด้วยตนเอง ชักชวนคนอื่นให้ทำความดี สนับสนุนคนที่ทำดีอยู่แล้วให้ได้มีโอกาสทำดีต่อไป อันนี้การทำดีด้วยตนนี่เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราควรจะทำติดต่อกันไปทุกวันทุกเวลา ไม่ใช่ทำดีเฉพาะวันอาทิตย์ หรือไม่ทำดีเฉพาะในวันพระ แต่ถือว่าการทำดีนั้น เป็นสิ่งหนึ่งของชีวิต เป็นเรื่องสำคัญของชีวิต สำคัญยิ่งกว่าอาหาร น้ำดื่ม อากาศที่เราหายใจ เพราะว่าอาหาร น้ำดื่ม อากาศที่เราหายใจนั้น เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงร่างกาย ไม่ได้หล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้ดีขึ้น แต่ว่าสิ่งที่เป็นความดีหรือธรรมะ อันเป็นคุณค่าที่มีความงามความดีนั้น เราเอามาหล่อเลี้ยงใจ คนเราจะดีจะชั่วก็อยู่ ที่ใจ จะสุขจะทุกข์ก็อยู่ที่ใจ จะเป็นอะไรมันก็อยู่ที่ใจทั้งนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า สิ่งทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นต้นเรื่อง ทั่วทุกอย่างเกิดจากใจ คือเกิดจากความคิดของเรานั่นเอง ถ้าหากว่าใจเราเป็นสัมมาทิฏฐิ ก็คิดแต่เรื่องดีเรื่องงาม นำความสุขความเจริญมาให้ ถ้าใจเราเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็คิดแต่เรื่องชั่วเรื่องทราม แล้วก็นำความทุกข์มาให้ เพราะฉะนั้นการหาทางที่จะบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเองให้จิตใจของเราดีงามขึ้นนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่จะต้องมีการกระทำกันให้ทั่วถึง และก็ทำกันมากๆ เช่นญาติโยมมาวัดนี่ มาวัดคนเดียวก็ดีอยู่แล้ว แต่ว่ามันยังไม่สมบูรณ์ เราควรชวนเพื่อนฝูงมิตรสหายที่ยังไม่เคยมาให้ได้มากันบ้าง ชวนให้เขามา ชวนบ่อยๆ ชวนจนกระทั่งเขาเห็นความดีความงามของการไปวัด แล้วเขาได้มาวัด ถ้าเราได้ชวนให้เขามาวัดได้สักคนหนึ่ง แล้วคนนั้นก็ไปชวนกันต่อๆ ไป แตกออกไป อย่างน้อยสมมติว่าเราชวนได้ ๓ คน ๓ คนไปชวนอีก ๓ คน แล้วก็ ๓ คนไปชวนอีก ๓ คน มันหลาย ๓ นะ มันเพิ่มขึ้นจาก ๓ เป็น ๖ ๖ เป็น ๙ ๙ ก็เป็นอะไรขึ้นตามจำนวนเลขทวีคูณ คนเหล่านั้นก็ได้มาวัด บางคนวัดชลประทานสร้างมาตั้ง ๓๑ ปีแล้ว ยังไม่เคยมา เยอะ ...ที่ไม่เคยมา สังเกตได้เวลามาพบหลวงพ่อนี่ มาถึงบอกว่า เฮ้ย ... เพิ่งได้เห็นหน้าตัวจริงวันนี้ ความจริงไม่ได้เห็น เห็นแต่ในโทรทัศน์ แต่ไม่เห็นตัวผู้แสดง แสดงว่าเพิ่งมาวัดวันนี้เองจึงได้เห็นวันนี้ หรือว่าบางคนอยู่ไม่ไกลอยู่ปากเกร็ดนั่นเอง มาวัดถามว่าโยมมากี่หนแล้วกี่ครั้งแล้ว บอกเพิ่งมาเป็นครั้งแรก บอกแหม … โยมเดินทางไกลเหลือเกิน จากปากเกร็ดมาถึงวัดชลประทานนี่ใช้เวลา 31 ปีจึงจะมา ถึงได้ เพราะว่าสร้างมา 31 ปีแล้วนะ โยมคนนั้นแกเป็นคนแก่แล้วแต่ว่ายังแข็งแรง แต่ว่าเพิ่งมาถึง ก็หมายความว่าเดินทางอยู่ 31 ปี แต่ว่ายังดีที่ได้มาบ้าง แต่บางคนยังไม่ได้มาเลย ที่ไม่มาก็เพราะว่าขาดการชักจูงกันนั่นเอง เราไม่ได้ไปจูง เราอยู่บ้านตรงนี้ แล้วเรามาวัด ชวนบ้านใกล้เรือนเคียงมั่ง ชวนทุกวัน พอจะมาวัดก็ อ้าวคุณ ไปวัดกันนะวันนี้ ไปด้วยกัน คอยชวนทุกวันทุกวันแกก็กระดาก แหมมันชวนบ่อยๆ แล้วเราก็ต้องมาเองน่ะ
ในสมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่น่ะ มีคนคนหนึ่งได้ไปเลื่อมใสธรรมะของพระพุทธเจ้า เมื่อเลื่อมใสในพระธรรมแล้วก็เอาธรรมะมาประพฤติปฏิบัติ ได้รับความสุขกายสบายใจมาก ก็คิดถึงเพื่อนซึ่งเป็นสหายรักใคร่กันมาก ว่าเพื่อนคนนั้นยังไม่รู้จักธรรมะ ยังไม่เข้าใกล้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เลยเข้าไปชวน ไปชวนเพื่อนคนนั้นให้มาด้วย ชวนครั้งแรกก็ไม่มา ครั้งที่สองก็ไม่มา ครั้งที่สามก็ไม่มา ทีหลังไม่ชวนแล้ว ไปถึงก็ดึงมวยผมเลย ก็คนอินเดียเขาไว้ผมยาว จับมวยผมแล้วก็กระชาก มาเลย บอกไป วันนี้ต้องไปให้ได้ พาไปวัด เพื่อนคนนั้นนึกในใจว่า เอ ...นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กเสียแล้ว ขนาดดึงมวยผมให้ไปวัดนี่ เรื่องมันใหญ่เสียแล้ว เพราะว่าหัวนี่เขาถือกันว่าเป็นของสูง เพื่อนกันก็ไม่กล้า คลำหัวกันน่ะ แต่นี่มันจะขนาดถึงว่าจับมวยผมแล้วลากไป นี่มันต้องเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องโตเสียแล้ว เลยบอกเอาเถอะน่ะเอาเถอะน่ะ ไม่ต้องลากแล้ว ฉันจะไปกับเธอล่ะวันนี้ แล้วก็ไป เมื่อไปถึงแล้วก็ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสศรัทธา ได้นำธรรมะมาเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไป เพื่อนคนนั้นที่เลื่อมใสพุทธศาสนาก่อนนี่ระลึกถึงเพื่อนที่ยังไม่ได้เลื่อมใส ก็พยายามไปชักไปจูงมาให้ได้ฟังธรรม อย่างนี้ก็เป็นการดี ที่พวกเราที่มาวัดนี่คงจะทำอย่างนั้นกันมาบ้างแล้ว คือไปชวนเพื่อนฝูงมิตรสหายที่ไม่เคยมาให้มาฟัง มาให้ได้ยิน หรือว่าถ้าไม่ไปชวนให้มาก็เอาหนังสือธรรมะไปฝาก เวลาเรามาวัดมีหนังสือ เอาหนังสือธรรมะไปฝากก็ได้ เอาเทปธรรมะไปฟังก็ได้ โดยเฉพาะคนแก่ๆ ที่ไม่สามารถจะมาวัดได้ ร่างกายก็ไม่ค่อยสบาย ถ้าเราจะสงเคราะห์คนแก่เหล่านั้นก็สงเคราะห์ได้ด้วยการเอาเทปธรรมะไปฝาก ให้ท่านได้เปิดฟัง นอนอยู่กับเตียงนอนนี่ ได้ฟังเทปธรรมะไปเรื่อยๆ เลือกเอาธรรมะที่เหมาะกับคนเจ็บไข้ได้ป่วย หรือกับเรื่องที่เหมาะกับคนที่จะฟังน่ะ เราเอาไปให้แล้วท่านก็ได้ฟัง ฟังแล้วท่านก็สบายใจ เราช่วยให้คนอื่นสบายใจนั้น เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องที่ควรทำบ่อยๆ ถ้ามีโอกาสมีความสามารถก็ต้องช่วยให้คนอื่นได้ ได้สบายใจ การช่วยให้คนอื่นสบายใจนี่เป็นหลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนา ซึ่งเราควรจะต้องทำกันให้มากในยุคนี้ ในสังคมสมัยนี้ เพราะสังคมสมัยนี้คนชักจะห่างออกไป ที่มาวัดนั่นก็มีอยู่แล้ว แต่ว่าอีกส่วนหนึ่งยังไม่รู้วัด ยังไม่รู้จักธรรมะ ยังไม่รู้จักคุณค่าของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เพราะเขาไม่เคยได้เข้าใกล้ ไม่เคยเข้าใกล้ผู้รู้ ไม่ได้ฟังคำสอน ไม่ได้เอาไปคิดไปกรองให้เข้าใจ แล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติ เป็นการทดสอบตัวเองเสียก่อน เขาก็เลยไม่รู้รสชาติของ สิ่งนั้น อันนี้เรามีทางใดที่จะชักชวนเพื่อนฝูง มิตรสหายให้ได้เข้าใกล้ก็จะเป็นการดี
มีคนๆ หนึ่งเขาทำงานอยู่ที่บริษัทกระจกอาซาฮี เขาเป็นนักเดินทางไปต่างประเทศ คือว่าไปต่างประเทศนี่มันไปบ่อย เหมือนกับไป บางแสน พัทยา อย่างนั้นแหละ แต่ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งที่เขามีความคิดเข้าทีน่ะ เขาเห็นว่าเพื่อนคนนี้นั่งเรือบินไปๆ มาๆ ใน เรือบินนี่ไม่ได้ทำอะไร นอกจากนั่งไปเฉยๆ หลับไปมั่ง อะไรไปมั่ง ก็เลยเอาหนังสือเล่มหนึ่ง คู่มือมนุษย์น่ะ ของท่านเจ้าคุณพุทธทาสน่ะ เรียกว่าคู่มือมนุษย์ แต่ว่าฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพราะคนๆ นี้เขาเป็นนักธุรกิจที่มีความรู้ทางภาษาต่างประเทศดีมาก ก็เลยเอาไปยัดเยียดให้ที่สนามบิน บอกว่า ขึ้นเรือบินแล้วก็อ่านดูนะ อ่านไปอ่านดูว่ามันจะเป็นอย่างไร แหมเขาอ่านใหญ่เลย ไปในเรือบินก็อ่าน เวลาขากลับก็อ่าน อ่านแล้วเขาได้ความคิดใหม่ ได้ความรู้ใหม่เกิดขึ้นในใจ มาถึงก็พบเพื่อนก็บอกว่า แหม ... ไอ้สิ่งที่ลื้อให้อั๊วนี่มันประเสริฐเหลือเกินน่ะ หนังสือเล่มนี้ตอบปัญหาอั๊วได้หมดแล้ว ปัญหาที่มีข้อสงสัยแคลงใจอยู่หลายเรื่องหลายประการ อ่านหนังสือนี้แล้วมันก็ตอบปัญหาได้หมด นับว่ามีประโยชน์มาก แล้วต่อมาเขาก็เดินทางไปไชยา ไปกราบท่านเจ้าคุณพุทธทาส ไปนั่งสนทนาธรรมะกันอยู่วันหนึ่งทีเดียว แล้วก็ขอโอกาส ขอโอกาสว่า จะพิมพ์หนังสือนี้สัก ๕,๐๐๐ เล่ม เพื่อเอาไปแจกจ่ายแก่เพื่อนฝูงมิตรสหายที่มันยังไม่ลืมหูลืมตา จะได้ลืมหูลืมตากันขึ้นบ้าง แล้วเขาก็พิมพ์ พิมพ์แล้วเขาไม่ใส่ชื่อ ไม่ต้องการชื่อเสียงอะไร เขาพิมพ์เฉยๆ เขาจ่ายเงินพิมพ์ ๕,๐๐๐ เล่ม หนังสือนี้ก็ได้แจกจ่ายไปในหมู่คนที่อ่านฝรั่งได้ โดยเฉพาะฝรั่งถ้ามาที่วัดนี้ ก็แจกให้ทุกคน วันนั้นมีพวกคาทอลิคมากัน ๑๐ กว่าคน มาสนทนาธรรม มาถามปัญหาอะไรหลายอย่าง ก็ถามถามแล้วก็แจกหนังสือให้คนละเล่ม คนละเล่ม ได้เอาไปอ่าน คาทอลิคนี่เขาไม่ได้อยู่เมืองไทย เขามาจากกรุงโรมเลยทีเดียว เขามาเที่ยวดูงานคาทอลิค แล้วก็เห็นว่าวัดชลประทานมีกิจกรรมในทางเผยแผ่ธรรมะ เขาก็มาถามปัญหา สนทนาธรรมกันมีล่ามมาด้วยเสร็จ ล่ามก็พวกเขาทั้งนั้น ที่อยู่เมืองไทยนานๆ แล้วก็เลยแจกหนังสือให้ เขาก็พออกพอใจ คนที่อยู่บริษัทอาซาฮี ที่นับว่าปฏิบัติตนถูกต้อง ในทางที่ตัวพบของดีแล้วไม่กินคนเดียว ไม่ใช้คนเดียว แต่เอาของดีที่ตนพบนั้น ไปแจกจ่ายแก่เพื่อนฝูงมิตรสหาย ถ้าเราช่วยกันกระทำอย่างนี้กันหลายๆ คน ทำกันเป็นสิบคน เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน ถ้าทั่วๆไปทุกหนทุกแห่ง คนในเมืองไทยก็จะตื่นตัวขึ้น หันหน้าเข้าหาความถูกต้อง หันหน้าเข้าหาธรรมะในทางพระพุทธศาสนาต่อไป ที่เชียงใหม่นั้นมีโยมคนหนึ่งชื่อโยมกิ่งแก้ว ถ้ามาที่วัดนี้แล้วหอบไปเลย ซื้อหนังสือเป็นหอบ โดยเฉพาะหนังสือสวดมนต์แปลนี่ ซื้อไปเป็นทีละหลายๆ ร้อย แล้วไปถึงแล้วยังอุตส่าห์เอาพลาสติกมาหุ้ม หุ้มปก เพื่อให้มันถาวรหน่อย แล้วไปเที่ยวเคี่ยวเข็ญแค่นไคล้ตามวัดต่างๆ อุบาสก อุบาสิกา เขาเยอะนะเมืองเชียงใหม่ ฤดูเข้าพรรษาเขาไปนอนวัดกัน แกหนังสือไปแจกให้สวดมนต์แปล แล้วก็ไม่ใช่แจกเฉยๆ แกไปสวดด้วย เอาคนที่สวดได้แล้วไปสวดให้ฟัง สวดให้ฟังให้เกิดความเลื่อมใส แล้วก็ไป ไปเยี่ยมบ่อยๆ แจกไว้แล้วก็ไปเยี่ยม ไปสวดมนต์กัน ชาวบ้านก็ได้สวดมนต์แปลกัน สวดมนต์แปลนี่ได้รู้เรื่อง เหมือนที่โยมสวดกันทุกวันอาทิตย์นี่ ย่อมรู้ความหมาย รู้ความหมายแล้วถ้าเอาไปคิดก็จะเข้าใจความหมายลึกซึ้งต่อไป เพียงแต่สวดนั้น เพียงแต่พอรู้ความว่าอะไรเป็นอะไร แต่ว่าเพียงเท่านั้นมันไม่พอ ว่างๆ ก็เอาหนังสือไปพิจารณา ไปคิด คิดไปตั้งแต่บทต้น อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่ … เป็นถ้อยคำที่ควรคิด ควรพิจารณา ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ นี่ควรจะคิดพิจารณา ว่าเพลิงกิเลสน่ะมันได้แก่อะไร เพลิงทุกข์มันได้แก่อะไร แล้วในตัวเรานี้มีเพลิงนี้เผาพลาญอยู่หรือเปล่า เพลิงกิเลสมันเผาบ้างไหม เพลิงทุกข์มันเผาบ้างไหม เพลิงกิเลสคือเพลิงแห่งความโลภ ความอยากได้ มันเผาให้เราเร่าร้อนหรือเปล่า เพลิงความโกรธ ความเกลียด ความพยาบาท มันเกิดขึ้น เผาให้เราเร่าร้อนหรือเปล่า แล้วเพลิงความหลง คือ ไม่รู้ ไม่เข้าใจ หลงใหลมัวเมาอยู่ในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ นี้ มันทำให้เราเป็นทุกข์กันอยู่บ้างหรือเปล่า ถ้าเราเป็นทุกข์ ก็รู้ว่า อ่อ...อันนี้เป็นเพราะเพลิงกิเลส แล้วเป็นทุกข์ก็เป็นเพลิงของความทุกข์เกิดขึ้น เอาไปพิจารณาศึกษาด้วยตัวเราเองอีกทีหนึ่ง จนกระทั่งว่าเข้าใจ เข้าใจแล้วเราก็คิดว่า เออ...จะต้องแก้สิ่งนี้ จะต้องกันอย่างไรไม่ให้เพลิงมันลุกลามขึ้นในใจ ถ้าลุกลามขึ้นแล้วจะเอาอะไรมาดับ เอาน้ำอะไรมาดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ให้มันวายวอดไป ไม่ให้ก่อจับอยู่ในใจของเราต่อไป เป็นเรื่องที่เราจะต้องคิด เพื่อให้เข้าใจ แล้วเราก็ปฏิบัติตาม เพลิงที่มันเคยเผามันก็ค่อยเบาบางลงไป มันค่อยมอดไป มอดไป เพราะไม่มีเชื้อจะให้เผา เราก็สบาย มีความเย็น มีความสงบ มีความสงบในชีวิตประจำวัน เพราะได้ทำลายเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิงไป แล้วเรานึกถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้รู้ เราก็ต้องไปคิดว่าท่านรู้อะไร เป็นผู้ตื่น นี่ตื่นอย่างไร เป็นผู้เบิกบานแจ่มใส เบิกบานแจ่มใสด้วยอะไร เราเป็นผู้รู้อยู่บ้างหรือเปล่า เราเป็นผู้ตื่นอยู่บ้างหรือเปล่า เราเป็นผู้มีความเบิกบานแจ่มใสในคุณธรรม ในความงามความดีที่เราได้ประพฤติปฏิบัติอยู่หรือเปล่า ถ้าหากว่าเรามองดูตัวเองก็จะเห็นตัวเองชัดเจนแจ่มแจ้ง ว่าเราไม่ได้เป็นผู้รู้ ไม่ได้เป็น ผู้ตื่น ไม่ได้เป็นผู้เบิกบานแจ่มใส แล้วทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้รู้ ทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ตื่น ทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้เบิกบานแจ่มใส ไม่... ไม่มีใจเหี่ยวใจแห้ง ไม่...ไม่เซ็ง พูดภาษาชาวบ้านว่าไม่เซ็งนี้ เราจะทำอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นทำให้ใจหดหู่เหี่ยวแห้ง เราจะแก้ไขสภาพจิตใจอย่างไร เป็นเรื่องที่ควรจะได้พิจารณาศึกษาด้วยตัวเอง จนได้ชิมรสแห่งความสุขความสงบนั้น ครั้นว่าได้ชิมรสแห่งความสุขแล้ว เราก็มองไปดูรอบๆ ตัวเรา คนที่มี ถูกเพลิงเผาผลาญอยู่มีบ้างไหม ไฟกำลังไหม้จิตไหม้ใจ กำลังเผาผลาญให้เดือดร้อนมีบ้างไหม มีความทุกข์มีความไม่สบายอยู่ มีหรือไม่ มันก็มีหละ ในครอบครัวเรามันก็มี บ้านใกล้เรือนเคียงก็มี เพื่อนฝูงที่เรารู้จักก็มี เราก็สงสารเขาหน่อย สงสารคนที่กำลังเป็นทุกข์ สงสารคนที่กำลังโง่งมงาย ไม่รู้ ไม่เข้าใจในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ ตามสภาพที่เป็นจริงนั้น ให้ถือว่าเป็นคนที่น่าสงสาร น่าเอ็นดู เราเอาข้าวเอาของไปแจก เช่นว่าฤดูหนาวเอาผ้าห่มไปแจก ฤดูไหนเอาของอะไรไปแจก เวลาเกิดอะไรก็เอาไปแจก แจกกันแต่วัตถุเท่านั้น ยังไม่เป็นการแจกอย่างแท้จริง ยังไม่เป็นการช่วยเหลืออย่างแท้จริง ที่เราทำกันอยู่ แม้... กรมประชาสงเคราะห์ก็ดี รัฐบาลจัดทำอยู่ก็ดี ก็ช่วยอย่างนั้น ช่วยพอผ่านพ้นไปชั่วระยะฤดูหนึ่งฤดูหนึ่ง แล้วก็ช่วยกันไม่จบสักที เพราะว่าคนเหล่านั้นยังไม่ได้ตื่นตัวขึ้น ยังไม่ได้มองดูตัวเอง ยังไม่ได้คิดว่า เราควรจะช่วยตัวเราอย่างไร มีอะไรพอจะช่วย ตัวเราได้ไหม ควรจะทำอย่างไร เราไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ทำไม่ได้ มันก็ลำบากอยู่ อันนี้เราจะทำอะไรให้เขาได้มีความตื่นตัวในอาชีพในการงาน จะได้ประพฤติปฏิบัติให้มันถูกต้องขึ้น อันนี้มันก็ต้องมีคนนำ ถ้าไม่มีคนนำแล้วมันก็ไปไม่ได้
ผู้ที่จะมารับแจกวุฒิบัตรในวันนี้ก็มีพระองค์หนึ่ง คือ ท่านเจ้าคุณที่นั่งอยู่นี้ เจ้าคุณเทพกวี ท่านมหาจันทร์กุศโล อยู่ที่วัดแม่ริม เชียงใหม่ วัดดาราภิรมย์ ตอนนี้ท่านอยู่วัดเจดีย์หลวง สมัยที่หลวงพ่ออยู่เชียงใหม่ก็ได้ร่วมงานร่วมการกัน ทำกิจที่เป็นประโยชน์แก่สังคมกันมาตลอด มาแยกมาอยู่ที่นี่ ท่านก็ทำงานอยู่ เวลานี้ก็พัฒนาอาชีพของชาวบ้าน คือว่าจะให้ชาวบ้านถือศีลกินเจอย่างเดียวนั้นมันไม่พอ แต่ต้องให้เขามีอาหารอิ่มท้อง มีเสื้อผ้าสำหรับนุ่งห่ม มีบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัย มีหยูกยาสำหรับแก้ไข้ หรือว่าพูดตามหลักการในทางพุทธศาสนาก็เรียกว่า ทำอย่างไรให้คนเหล่านั้นรู้จัก ช่วยตัวเอง รู้จักพึ่งตัวเอง เราควรจะให้อะไรแก่เขาบ้าง ทีนี้คนเราทั่วๆ ไปนั้น ถ้าเกิดที่ใดอยู่ที่ใด หูตามันก็สั้น ไม่มีความคิดก้าวหน้าอะไร ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน เป็นพระ เกิดที่นั่น เติบโตที่นั่น แล้วก็บวชที่นั่น ก็สติปัญญามันก็อยู่ในวงจำกัด ความรู้ความคิดมันก็อยู่ในวงจำกัด เพราะไม่ได้เห็นอะไร การไปเห็นอะไรเสียบ้างมันก็ดีขึ้น คนทางเชียงใหม่สมัยก่อนเมื่อไม่มีรถไฟน่ะ ขุนตาล อุโมงค์ขุนตาลยังจ่อไม่ทะลุ การไปการมาก็ไม่สะดวก การทำมาหากินก็ทำกัน ทำนาปีเดียวกินตั้ง ๔ ปี ไม่รู้จักหมดไม่รู้จักสิ้น ก็ไม่รู้จะเอาไปขายใคร ก็บรรทุกมากรุงเทพฯ มันก็ไกลเหลือเกิน เดินทางลำบากก็ไม่รู้จะไปไหน แต่ต่อมามีทางรถไฟทะลุเข้าไป บรรทุกสินค้ามาได้ คนชาวเชียงใหม่ ชาวลำพูน ซึ่งอยู่ในเขตต่อกันนั้น เขาก็ตื่นตัว มีความคิดก้าวหน้า ในการที่จะทำงาน เขาทำนาปีละ ๒ ครั้ง ก่อนที่รัฐจะส่งเสริมการทำนา ๒ ครั้ง แล้วถ้าไม่ทำข้าว ก็ปลูกถั่วเหลือง ปลูกถั่วเขียว ปลูกใบยาสูบ เขามีเตาบ่มยาสูบเยอะ เขาก็ปลูกกัน ถ้าเดือนเมษายนโยมไปเที่ยวสงกรานต์เชียงใหม่ จะเห็นว่าพอรถเข้าเขตบางลำพูนนี่ จะเห็นว่าทุ่งนาแถวนั้น เขียว...ไปหมดด้วยพืชด้วยผัก ทั้งๆ ที่เป็นเดือนเมษาหน้าร้อน แต่ก็มีผักเขียว...เต็มไปหมด เพราะว่าการชลประทานให้ความสะดวก คนก็ตื่นตัวขึ้น ได้ทำงาน ทำการ มีความคิดก้าวหน้า นั่นเป็นพวกที่ตื่นเอง ไม่ตื่นตัวไม่ก้าวหน้ายังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร เพราะเขาไม่รู้ความเป็นไปของสังคมอย่างกว้างขวาง อยู่ในวงจำกัด ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จะเริ่มกันที่ตรงไหน อะไรเขาไม่เข้าใจ อันนี้พระท่านเป็นผู้นำ โดยเฉพาะท่านเจ้าคุณเทพกวีนี่ ท่านเป็นผู้นำ ตั้งโรงงานขึ้นในวัด โรงงานทอผ้า ให้เด็กๆ สาวๆ ที่อยู่ว่างๆ ได้มาเรียนการทอผ้า แล้วก็ทอผ้าบ้าง ทำอะไรบ้าง เป็นงานฝีมือ คนภาคเหนือเขาก็มีงานฝีมือกันอยู่พอสมควรแล้ว แต่ว่าเด็กๆ มันอาจจะไม่ได้คิด ก็เอาไปส่งเสริมให้ทำอะไรขึ้นมา แล้วก็มีการชี้นำ มันต้องมีการชี้นำ ถ้าไม่มีการชี้นำแล้วก็ไปไม่รอด
เมืองไทยเราถ้าในหลวงรัชกาลที่ ๕ ไม่ได้เสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก ก็คงจะยังไม่ตื่นตัวอะไร แต่ว่าการเสด็จประพาสยุโรปนี่ โอ๊.. เป็นประโยชน์มากเหลือเกิน เพราะพระองค์ได้ไปเห็นว่าประเทศต่างๆ นี่ เขาเจริญอย่างไร เขาก้าวหน้าอย่างไร อะไรเป็นเหตุให้เกิดความเจริญก้าวหน้า ทรงพิจารณาทรงสังเกต เพราะในหลวงรัชกาลที่ ๕ นี่ท่านเสด็จไปไหนท่านสังเกตดีมาก สังเกตดูการแต่งตัวของคน นี่คนแต่งอย่างไรเอามาเขียนไว้อย่างละเอียดอย่างในหนังสือไกลบ้านที่มีจดหมายถึง เจ้าฟ้าองค์หนึ่งซึ่งเป็นพระธิดาของพระองค์ท่านน่ะ เขียนอย่างละเอียด เวลานั่งเสวยอาหารบนโต๊ะนี่มีอาหารกี่อย่าง จดจำมาเขียนอย่างละเอียด ใครนั่งกี่คน คนไหนนั่งตรงไหน แต่งเนื้อแต่งตัวอย่างไร นี่แสดงว่ามีความสังเกตดีมาก อันนั้นสังเกตส่วนย่อยๆ แต่ที่สังเกตส่วนใหญ่คือสังเกตว่า ประเทศตะวันตกนี่เขาเจริญด้วยอะไร ฐานแห่งความเจริญมันอยู่ที่อะไร แล้วบ้านเมืองไทยเรายังไม่เจริญมันขาดอะไร ก็คิดดำริว่าจะต้องทำให้เจริญก้าวหน้า ก็พาฝรั่งที่มีความรู้มีความสามารถไปพบกันก็เอามาไปอยู่เมืองไทย ไปทำงานกับฉัน เพื่อจะได้ช่วยพัฒนาประเทศชาติเมืองไทย ให้เป็นพระยา ให้เป็นยศขุนนางชั้นสูง ก็ให้เหรียญตรา ให้สายสะพาย ให้เกียรติ ฝรั่งเหล่านั้นก็มาอยู่เมืองไทย ก็รักเมืองไทย ไม่อยากกลับบ้าน ได้ยศถาบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าคุณฝรั่งขึ้นมาก็เลยไม่อยากกลับบ้าน อยู่เมืองไทยเกิดลูกเกิดเต้า ลูกเต้าต่อมาก็เป็นข้าราชการ เป็นรัฐมนตรี อะไรไปก็มี แต่ว่าต้นตอก็มาจากฝรั่งที่ในหลวงท่านพามา มาหลายชาติ พาฝรั่งชาติเบลเยี่ยมมา มาสอนตำรวจ จะเอาอังกฤษมาสอนก็ไม่ได้ เอาฝรั่งเศสมาสอนก็ไม่ได้ เพราะไอ้สองเกลอนี้เขาแก่งแย่งแข่งดีกันอยู่ เอาเบลเยี่ยมชาติเล็กๆ เอาชาวฮอลันดาชาติเล็กๆ หรือว่าเอาคนชาติที่มันไม่ใหญ่โต ชาวเดนมาร์กอะไร อย่างนี้ เป็นต้น เป็นประเทศเล็กๆ ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นที่ระแวงสงสัย เอามาช่วยพัฒนา ทำอะไรให้ดีขึ้น มาเปลี่ยนแปลง แต่งตั้งกิจกรรมต่างๆ ขึ้นในเมืองไทยมากมาย เพราะได้ไปเห็นสิ่งเหล่านั้นมา แล้วเอามาบอกให้ประชาชนได้เข้าทำ ข้าราชการก็เปลี่ยนแปลง อะไรขนบธรรมเนียมประเพณีก็ทรงเปลี่ยนแปลงให้มันดีขึ้น ให้เหมาะแก่สมัย เช่นสมัยก่อนคนเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่สวมเสื้อ มีแต่ผ้าขาวม้าเคียนพุง แล้วก็เข้าไปเฝ้า แล้วไปนั่งหมอบอยู่ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า สมองมันก็ไม่โปร่ง คิดอะไรก็ไม่ค่อยจะออก เพราะไปนั่งหมอบเฝ้ามันเหน็ดเหนื่อย ไปทรงเห็นประเทศยุโรปเขานั่งเก้าอี้กันทั้งนั้น ก็เลยมาทรงเปลี่ยนแปลง ไม่เกรงคำครหานินทาของใครๆ เพราะว่าพระเจ้าแผ่นดินทำอะไรคนก็ ไม่ว่า เลยก็เปลี่ยนแปลงให้ทันสมัยขึ้น แล้วก็เป็นมาโดยลำดับเหล่านี้ก็เพราะว่าได้ไปต่างประเทศ ได้ไปเห็นมา ชาวบ้านชาวเมืองบางแห่งไม่ได้เคยไปไหน ไม่รู้เรื่องอะไร หนังสือพิมพ์ก็ไม่เคยอ่าน ฟังวิทยุบ้างแต่ฟังเสียงซอเสียงพิณ เรื่องสนุกน่ะ เป็นคนภาคกลางก็ฟังยี่เก ฟังแต่เรื่องสนุกน่ะ แต่ไม่ฟังเรื่องที่เป็นสาระเป็นแก่นเป็นสารในสมัยนั้นมันยังไม่มีอะไร ก็ไม่ตื่นตัว อันนี้ต้องมีคนชี้นำ
คนชี้นำนี่เป็นคนสำคัญที่จะต้องมีขึ้นในที่ต่างๆ เป็นผู้นำของประชาชนในตำบลในหมู่บ้าน มีพระสงฆ์ก็เป็นผู้ชี้นำ นำพระให้เดินไปในทางที่ถูกที่ชอบ เหมือนกับที่วัดนี้ที่ทำนี่ ที่เอาพระอบรมธรรมทายาทนี่ ญาติโยมอย่านึกว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่คือเอามาให้ลืมหูลืมตา ให้เปิดหูเปิดตาให้มันกว้างขวาง แล้วก็ชี้นำในเรื่องอะไรต่างๆ ท่านกลับไปบ้านก็จะได้เกิดความคิด ได้เกิดการกระทำ เกิดการสร้างสรรค์ขึ้นในหมู่บ้านในชนบทนั้น ๆ ช่วยกันพัฒนาสังคมประเทศไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป
พระที่ได้มารับอบรมธรรมทายาทแล้วนี่ ส่วนมากออกไปก็ไปสร้างงานสร้างการ ไปพัฒนาในหมู่บ้านในวัด ในหมู่ประชาชนอุบาสกอุบาสิกา ให้มีความคิด ให้มีการกระทำก้าวหน้าขึ้น อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องปลุกกัน ช่วยกันทำ แต่ว่าก็ทำกันอยู่ตามลำพัง ทางราชการก็ยังไม่ค่อยได้ช่วยอะไร ขอเงินไปกรมการศาสนาก็ยังไม่ได้ พบอธิบดีทีไร บอกผมจะให้ แต่ยังไม่ได้ให้สักที การอบรมเกือบจะจบไปเสียอีกชุดหนึ่งแล้วก็ยังไม่ได้ ปีก่อนก็ว่าจะให้แล้วก็ไม่ได้ให้ ปีนี้ก็ว่าจะให้แล้วก็ไม่ให้ เวลาพบทีไร ท่านก็ไม่ค่อยมองหน้าตา กลัวจะถาม อาตมาก็รู้ใจ เลยก็ไม่อยากมองหน้าท่านเหมือนกัน ไปนั่งประชุมก็ไม่มองหน้าท่านอธิบดีมองไปที่อื่น กลัวท่านจะกระดากอายน่ะสิไม่ใช่เรื่องอะไร ไม่อยากให้ท่านต้องกระดากอาย เราก็ขอไปทุกทีน่ะ คือยังจะมองไม่ เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ ที่ที่ทำอยู่นี้ ยังไม่เป็นเรื่องสำคัญ แต่ความจริงมันเป็นเรื่องสำคัญที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขอย่างมากหลายแก่หมู่คนทั่วๆ ไปที่ได้กระทำอย่างนั้น ในชนบทบ้านเราหรือว่าคนไทยนี่ต้องการผู้นำ ถ้าไม่มีผู้นำก็ไปไม่รอด เพราะว่าระบบของประเทศไทยเรานั้น อยู่ในระบบชั้นที่เป็นผู้นำ ผู้นำยิ่งใหญ่สูงสุดก็คือในหลวงนั่นเอง ในหลวงนี่ทรงเป็นผู้นำประชาชนมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนกระทั่งถึงกรุงเทพฯ แม้เวลานี้ประชาชนตื่นตัวขึ้นบ้างพอจะช่วยตัวเองได้ พระเจ้าแผ่นดินก็เหมือนกับพ่อ เป็นเหมือนพ่อ ทีนี้เห็นว่าลูกมีการศึกษามีสติปัญญาพอช่วยตัวเองได้ เลยว่าเอาไปสร้างบ้านสร้างเมือง ไปสร้างอะไรต่ออะไรช่วยตัวเองต่อไป พ่อไม่ต้องช่วยต่อไป เหมือนกับในเรื่องพุทธประวัตินี่ พระเจ้าโอกากราชท่านมีพระโอรส พระธิดา ทีนี้เมื่อเติบโตขึ้น ท่านก็บอก เอ้า..เจ้าเติบโตแล้ว เอาไป เอากำคนกำลังพลไป เอาทรัพย์สมบัติไป ออกไปสร้างบ้านสร้างเมือง พวกนั้นก็เลยมาสร้างกรุงกบิลพัสดุ์ขึ้น สร้างเมืองเทวทหะขึ้น เป็นเมืองฝาแฝด เป็นพระญาติกัน ก็สร้างบ้านสร้างเมืองมาได้ ก็เป็นเพราะเห็นว่าเติบโตแล้ว ในบ้านเมืองเราก็เหมือนกันเมื่อก่อนนี้ทุกอย่างอยู่ภายใน พระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวพระปกเกล้าก็เห็นว่าประเทศไทยมีความเติบโตทางการศึกษา มีสติปัญญาพอสมควรแล้ว ท่านคิดจะให้ … อยู่เหมือนกันน่ะ แต่ว่ามองดูเวลามันยังไม่เหมาะ แต่ว่าเมื่อยังท่านไม่ให้ก็คณะคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปขอ ขอท่านก็ให้ เพราะรู้น้ำพระทัยอยู่ว่าจะให้อยู่แล้ว ก็เลยขอได้ดังใจประสงค์ แต่ขอมาแล้วก็กระท่อนกระแท่นกันอยู่จนปัจจุบันนี้ ยังไม่ค่อยจะเรียบร้อย อันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของบ้านเมืองที่เปลี่ยนการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตยนี่ กว่าจะเป็นกันได้ถูกต้องจริงจังนั้น มันต้องใช้เวลา อย่างน้อยตั้ง ๑๐๐ ปี นี่เรามา ๕๐ แล้วก็ยังกระท่อนกระแท่นกันอยู่ ยังไม่ค่อยจะเรียบร้อย ไอ้ที่ไม่เรียบร้อยเพราะอะไร เพราะว่าคนประพฤติธรรมมีน้อย คนไม่ประพฤติธรรมมีมากกว่า คนที่ทำงานเพื่องานมีน้อย แต่ทำงานเพื่อตัวมีมากกว่า คนเสียสละมีน้อย แต่คนที่เห็นแก่ตัวนั้นมีมากกว่า คนบางคนก็ทำงานทำการดีมีความเสียสละ แต่ว่าพอชุดใหม่มาเขาก็ไม่เอา เพราะว่าซื่อเกินไป ไอ้ไม้ซื่อเอาไปกองไว้กับไม้คด ไม้ซื่อมันกลายเป็นไม้เกะกะไป เพราะมันคดทุกอันน่ะ ไม้มันคดทั้งนั้นน่ะ เอาไม้ซื่ออันเดียวไปวางไว้ ..เอาออกไป ทีนี้มีแต่ไม้คดๆ มากองไว้ รวมกันเข้า มันก็อยู่ในกองไม้คดน่ะ มันก็อยู่กันอย่างนั้น บ้านเมืองก็เป็นไปอย่างคดๆ งอๆ แต่ก็ไป เป็นไปได้ คราวนี้เราก็ต้องช่วยกันให้มันซื่อๆ ทำอย่างไร ประชาชนต้องช่วยกัน ช่วยกันประพฤติดีประพฤติชอบ ช่วยกันหันหน้าเข้าหาธรรมะ มันน่าจะรวมกลุ่มกันนะ กลุ่มของคนดีนี่มันต้องรวมเป็นกลุ่มๆ เป็นหมู่บ้านเป็นตำบลเป็นอำเภอ เรียกว่ากลุ่มของคนดี ตั้งเป็นกลุ่มเรียกว่า กลุ่มสาธุชน สาธุชนหมายความว่า คนดี มีความคิดถูกต้อง มีความเสียสละ ช่วยกันสร้างงานสร้างการ ความจริงคนดีมันก็มีมากเหมือนกันนะโยม มีมาก แต่ว่าไม่ได้รวมกัน ไม่ได้รวมตัวกัน โจรมันรวมตัวกันน่ะ พวกโจรนี่มันรวมกันเป็นกรุ๊ปเป็นเหล่าไปทำการปล้น คนดีไม่รวมกัน ไม่พร้อมเพรียงกัน ไม่ได้หันหน้าเข้าหากัน นี่ก็เพราะว่าไม่มีใครนำให้ ให้คนดีมารวมตัวกัน เลยกำลังมันไม่เกิด กำลังมันมีแต่มันกระจาย มันจะมีกำลังได้อย่างไร กำลังมันต้องรวมกันเป็นอันหนึ่ง เป็น…สามัคคีกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่นี่ไม่มีคนนำ การรวมตัวมันก็ไม่เกิด อันนี้คนนำบางทีมันก็นำแล้ว แต่ว่านำเพื่อประโยชน์ตนซะนี่ ที่เขาให้หาผู้นำกัน ให้เลือกผู้นำกัน ผู้นำที่ได้รับเลือกมันก็ไปทำงานเพื่อตนเองเสียมาก ไม่ทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เช่น มี สจ.บ้าง มีอะไรบ้าง ให้เลือกกันไป แต่มันก็อย่างนั้นแหละ เลือกได้แต่คนมีอิทธิพล เป็นนักเลงเป็นหัวไม้ เป็นพวกที่ใช้อำนาจ ใช้พระเดช พระคุณไม่ค่อยได้ใช้ อย่างนี้มันก็ใช้ไม่ได้ เพราะว่าคนยังไม่ได้คิดรวมตัวกัน ถ้าคนรวมตัวว่า เอ้า เมืองเราคราวนี้จะเลือกคนดี ก็เลือกคนดีเข้าไป คนไม่ดีเราไม่เอา คนขาดศีลขาดธรรมเราไม่เอา ไปเอาคนที่มีศีลมีธรรม ต้องมาพิจารณากัน เราตั้งคนขึ้นเป็นกรรมการกลุ่มหนึ่งเป็นคนพิจารณา กรรมการที่พิจารณานี่ต้องมีใจเป็นธรรม ไม่ลำเอียงด้วยอคติ เพราะรักเพราะชังเพราะโกรธเพราะหลง เพื่อค้นคว้าเอาคนดีในหมู่บ้าน เพื่อค้นคว้าเอาคนดีในตำบล ค้นคว้าเอาคนดีในตัวอำเภอ ค้นคว้าคนดีทั้งจังหวัด ส่งเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎร ให้ได้คนดี คราวนี้ถ้าเลือกคนดีมาแล้ว ถ้าไม่ดี อ้าว ปล่อยไว้ก่อน 4 ปี ให้มันทนไป แต่พอปีใหม่ก็ต้องเฮโลกันว่าคนนี้ใช้ไม่ได้ ทำงานไม่ดีไม่เรียบร้อยเราจะไม่เลือก ถ้ารวมตัวกันอย่างนั้นแล้ว มันเกิดกำลังโจรมันรวมตัวกันได้ แต่ว่าสาธุชนไม่ค่อยได้รวมตัวกัน นี่มันจึงเสียท่าโจรทุกที เพราะอะไร เพราะสาธุชนไม่รู้จักรวมตัว ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างทำ ทำอะไรถ้าไม่รวมตัวกันทำแล้วมันไม่เกิดกำลัง เพราะฉะนั้นการทำอะไรมันต้องรวมตัวกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรต้องรวมตัวกัน
ไอ้ความจริงสังคมของคนไทยเรานั้น เป็นสังคมที่ได้รวมตัวกันมาตั้งแต่โบราณ แต่ว่ามันรวมตัวกันไปตามธรรมชาติ ไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีการรวมตัวกันทางเทคนิคขึ้นมา รวมกันอย่างนั้น ร่วมช่วยกันขุดเหมืองน้ำ ช่วยกันทำคันทำนบกั้นน้ำ ช่วยกันทำอะไรต่างๆ สมัยเด็กๆ อยู่บ้านนอกก็เห็นน่ะ เวลาใดใกล้ฤดูทำนา ต้องไปทำทำนบใหญ่ เค้าเรียกว่าทำนบหลวง ทำนบหลวงนี่ก็ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำ ตีเกราะเคาะไม้ให้คนไปประชุมกัน แต่ว่าในหมู่บ้านที่เอามาอยู่นี่ ผู้ใหญ่บ้านตีเกราะเหมือนจะแตก ชาวบ้านก็ไม่ไป ไม่ไปประชุมกัน ผู้ใหญ่บ้านก็ใจดี มาเที่ยวเดินบอกทุกหัวบันไดบ้าน ว่าพรุ่งนี้ให้ไปช่วยกันทำทำนบ เขาก็ไปกันนั่นแหละ แต่ว่าเรียกประชุมไม่ค่อยไปประชุมกัน ยังไม่เห็นคุณค่าของการประชุม แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะชักจูง ผู้ใหญ่ท่านก็มาเที่ยวบอกทุกบันไดบ้านว่า เอ้า พรุ่งนี้ไปกันนะ เอ้า เขาก็ไปกัน เอาจอบเอาเสียมไป แบกไม้ไป ไปทำทำนบกั้นน้ำ เพื่อให้ไหลเข้าสู่เหมืองใหญ่ แล้วก็จะได้ทำนากัน ในทุ่งบริเวณนั้นกันต่อไป แล้วเวลานานๆ ก็เอาไปช่วยกันลอกเหมืองเสียทีเพราะว่ามันตื้นเขินไปแล้ว ทรายมันทับถมกันมาก น้ำ มัน มัน ไม่คล่อง เอ้า ไปช่วยกันถาง ช่วยกันจัด ช่วยกันทำ ก็มีการรวมตัวกันอยู่ ในกันทางรูปธรรม แต่การรวมตัวกัน ตามจิตใจที่แท้จริง ที่ให้เกิดกำลังใจรวมตัวนั้นมีน้อยไป แล้วภายหลังเปลี่ยนการปกครองนี่ ก็ไม่ค่อยจะร่วมแรงร่วมใจกันทำอะไร เพราะว่าเขาเข้าใจผิดนึกว่าเวลานี้ เป็นอิสระแล้ว เสรีแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน อยู่ใต้อำนาจของพระเจ้าแผ่นดิน เดี๋ยวนี้เราเป็นอิสระแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ทำอะไรก็ต้องจ้างกัน ยิ่งในยุคที่มีเงินผันไปช่วยเหลือนี่ คนไม่ทำอะไร นั่งคอยเงินผันท่าเดียว จะทำอะไรก็เอาคอยเงินรัฐบาลจะเอามาช่วย เลยกลายเป็น ลูกชายที่อ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง เมื่อก่อนลูกชายเข้มแข็งช่วยตัวเองได้ ต่อมาก็มีเงินช่วย เลยกลายเป็นคนอ่อนแอไป ไอ้การช่วยอะไรนี่บางทีมันจะทำห้คนอ่อนแอได้เหมือนกันถ้าช่วยไม่ถูกทาง คือไม่ได้ปลุกความสำนึกให้เกิดขึ้นในจิตใจของคนเหล่านั้นว่า การร่วมแรงร่วมใจกันนั้นเป็นหน้าที่ เป็นกิจที่เราจะต้องกระทำ เพราะการอยู่กันเป็นหมู่นั้น ทุกคนต้องเห็นแก่หมู่แก่คณะ ถ้าไม่เห็นแก่หมู่แก่คณะแล้วจะไปรอดได้อย่างไร เขาไม่เข้าใจ ไม่มีการปลุกระดมให้คนเข้าใจ เดี๋ยวนี้มันต้องปลุกระดม ทำความเข้าใจกันในเรื่องอะไรอะไรต่างๆ ความคิดอ่านของคนก็จะดีขึ้น จึงต้องมีการชักชวน ชี้แนะ ชักนำ ให้เกิดการกระทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีคนดีเกิดขึ้นที่ไหน ฝ่ายแมวมองของสมาคม เอ่อ…ของศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาและประเพณีต้องไปเที่ยวมอง มอง ดูว่าใครทำดีที่ไหนบ้าง แล้วก็เอามาให้รับรางวัลกันไป มันก็เพียงนิดนิดหน่อยหน่อย ไม่ได้มากมายอะไร มันยังจะต้องทำงานมากกว่านั้น ต้องมีการตั้งองค์การปลุกใจคนทั่วไปพูดไปแนะนำไปชักจูงไปจับมือให้ทำกันเลยจึงจะทำได้ ถ้าไม่ให้ทำคนก็ไม่ค่อยทำ ต้องบังคับ
สมัยหนึ่งตามมณฑลภูเก็ตนี่ สมุหเทศาภิบาลเป็นคนเอางานเอาการ เขาเรียกว่าพระราชรัษฎานุประดิษฐ์ พระราชรัษฎานุประดิษฐ์นี่ท่านเป็นพ่อ เตี่ยของท่านนี่เป็นจีนละ เป็นจีนมาจากเมืองจีนทีเดียวละ แล้วมาทำการค้าขายเร่อยู่ที่จังหวัดพังงา ต่อมาก็ไปอยู่ระนอง ไอ้ระนองนี่มันเมืองแร่นอง ไม่ใช่ระนอง แร่มันนอง แร่มันเยอะแยะ ขุดดินลงไปสักเมตรก็ได้แร่แล้ว พวกสกุล ณ ระนองนี่ร่ำรวยกันเป็นการใหญ่ แล้วก็มีลูกชายสืบสกุลคนสุดท้องชื่อกอเซงลี้ ไปเป็นพระราชรัษฎานุประดิษฐ์ชั้นสูงสุด ท่านเป็นเทศา โอ้ ท่านเข้มแข็ง เวลาไปไหนมีถือไม้เท้า ไม้เท้า ไม้เท้าทำเป็นรูปหัวสุนัข ถ้าเห็นใครไปนั่งง่วงนั่งหลับอยู่ตรงไหนไม่ทำงาน ท่านเอา ไม้เท้าเอาเขกกะบาลเลย บอกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ถ้าไปถามว่าทำอะไร ไม่ได้ทำอะไร ก็เขกกะบาลทันที อ๋อไม่ทำอะไรอยู่อย่างไรอยู่เฉยๆ จะกินอะไร แล้วออกเป็นระเบียบเป็นกฏเกณฑ์ให้คนทำ พอถึงวันที่เท่านั้นต้องทำรั้ว ทำรั้วนา ถึงเวลาเท่านั้นต้องหว่านกล้า ถึงเวลานั้นต้องทำกิจอย่างนั้น ทุกบ้านต้องมีแม่ไก่ ๕ ตัว เลี้ยงกันทุกครอบครัว แล้วทุกบ้านก็ต้องมีสวนผัก ปลูกผักไว้กิน คนภูเก็ตไม่ค่อยจะปลูกผักกินน่ะ เพราะว่าเขาทำแร่ได้ราคาดีกว่า แต่ไม่ปลูกผัก ท่านบังคับให้ปลูกผัก แล้วก็ไปตรวจตราทั่วไปทั้งมณฑลทุกหนทุกแห่ง ท่านเป็นนักวางแผนอย่างดี ตัดถนนหนทาง เมืองภูเก็ตถนนที่ท่านตัดไว้เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้ไม่หมด ยังทิ้งค้างอยู่อีกหลายสาย ทั้งที่เมืองเจริญเต็มที่แล้วเวลานี้ เมืองตรังนี่ท่านไปวางแผนใหม่เลย ตัดถนนกว้างใหญ่ เขาเรียกว่าทับเที่ยง แล้วตัวเมืองท่านตัดถนนไว้อย่างสวยงามเรียบร้อย แล้วตัดถนนจากพัทลุงไปตรัง ทางเข้าหมู่บ้านทั้งสองคดเคี้ยว เขาเรียกว่าถนนพับผ้าสวยงามเรียบร้อย แต่เดี๋ยวนี้เขาไปทำใหม่ ผ้ามันไม่ได้พับแล้ว มันคลี่ออกไป ทื่อออกไป มันไม่สวย มันไม่เหมือนเมื่อก่อนมันซิกแซก คดไปคดมา ดูวิวทิวทัศน์สวยดี แต่ว่ามันช้า เมื่อเดี๋ยวนี้ปรับปรุงเลย ท่านก็ไปอีก ถนนตรงแล้ว ไม่พับเหมือนเมื่อก่อน ก็ใช้เครื่องมือสมัยใหม่ แต่ตรงนั้นมันเกิดเพราะพระราชรัษฎาท่านชี้นำคน บังคับคนให้ทำงานทำการอยู่ตลอดเวลา แล้วท่านเป็นคนแปลกนะ อ่านหนังสือไทยไม่ออก ท่านไม่รู้หนังสือไทยหรอก แต่ว่าอะไรที่เป็นคำสั่ง อ่านให้ฟังเที่ยวเดียว ท่านจำแม้กระทั่งตัวเลข จำได้หมด จำแม่น เวลาเซ็นต์ตัวหนังสือ เซ็นต์ลายมือนี่ เซ็นต์ตัว ตัวเท่าหม้อแกง เอ่อ แล้วก็ท่านพูดดังๆ ฟังชัด เวลามาศาลากลางนี่ ก่อนเข้าห้องนี่เดินจนรอบศาลากลาง ศาลากลางเดินได้รอบ เดินรอบ เดินไปดูห้องนั้น เดินไปดูห้องนี้ ถ้าใครยังไม่ทำงาน ท่านก็ถามว่า เออ ไอ้นั่นมันไปไหนล่ะ มันยังไม่มาทำงาน ท่านเรียกไอ้ทั้งนั้นน่ะ ไม่ว่าใคร แล้วมันทำไมไม่มาทำงาน ป่านนี้แล้วนี่นะ เออ เวลามาต้องบอกไปหาฉันนะ ท่านกุมอย่างนั้น คนก็ต้อง พรึ่บ ไปหมดล่ะ เข้าเวลาทำงานก็มาพร้อมเพรียงกัน ไม่เถลไถล เพราะผู้นำนั่นเอง ท่านเป็นคนนำดี นำหาทาง คือส่งเสริมการเป็นการอยู่ของประชาชน เขาจึงได้หล่อรูปไว้ที่จังหวัดตรัง อนุสาวรีย์พระยารัษฏานุประดิษฐ์ ก็เรียกว่าเป็นคนสร้างสรรค์คนดีๆ สมัยก่อนนี้ เดี๋ยวนี้ก็ดีล่ะ ทางราชการก็ได้ฟื้นฟูคนดีเหล่านั้น เอามาทำรูปไว้ เช่น รูปกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ท่านก็นั่งอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย นั่งเรียบร้อย ใครไปเป็นเสนาบดี รัฐมนตรีมหาดไทยก็ไปไหว้ แต่ส่วนมากไหว้แต่รูป ไม่เอาคุณธรรมของกรมพระยาดำรงมาใช้ คุณธรรมของกรมพระยาดำรง คือ ซื่อสัตย์ เสียสละ ทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ไม่ค่อยเอาเท่าใด เอามานิดๆ หน่อยๆ ไม่ค่อยจะเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีทุก..ทุกกระทรวงแล้วเวลานี้ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหมนี่ไม่มีอนุสาวรีย์ของใคร แต่ว่าโรงเรียน จปร. มีรูปรัชกาลที่ ๕ กระทรวงสาธารณสุขก็มีกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทีรถไฟก็รูปกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินท่านก่อตั้ง ปลุกปล้ำกับรถไฟมานาน รถไฟสมัยท่านสะอาดกว่าเดี๋ยวนี้ เคยนั่ง เมื่อเด็กๆ ขึ้นรถไฟ รถไฟสะอาด เดี๋ยวนี้รถไฟไม่ค่อยสะอาด ห้องส้วมก็ไม่สะอาด ยุคประชาธิปไตย คนมันเป็นใหญ่ทั่วกัน ไม่ค่อยทำงานให้เป็นการเรียบร้อย ไม่เหมือนเก่า เพราะว่าผู้ใหญ่ไม่ค่อยตรวจตราดูแลนั่นเองไม่ใช่เรื่องอะไร แล้วก็กระทรวงอื่นๆ ก็มี แต่กระทรวงการคลังนั้น มีช้างอยู่ ๒ ตัว ช้างก็ถูกรังแก รัฐมนตรีคลังคนใหม่ไปถึงเห็นช้างยืนอยู่ ก็บอก โอ… ช้างนี่มันของวิเศษ ของใหญ่ของโต ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ เลยย้ายไปอยู่วัดเสียเลย แต่ก่อนยืนอยู่หน้ากระทรวง เลยต้องย้ายไปอยู่วัด เพราะว่าถือโชคถือลางนั่นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร ถือโชคนั้นลางนี้ ถือเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่ได้ถือหลักว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่ได้ถือหลักอย่างนั้น ความจริงมันดีชั่วอยู่ที่การกระทำ ไม่ได้อยู่ที่นั่ง ก็รัฐมนตรีก่อนๆ เขาก็มาอยู่กันเรียบร้อย ช้างก็ยืนอยู่ได้ไม่ได้ทักท้วงอะไร ใครจะโกงคอรัปชั่น ช้างมันก็ไม่ว่า ไม่น่าจะไปรังเกียจรังแกเลย ต้องย้ายไปอยู่วัด ทำให้วัดต้องมีภาระหนักขึ้นไปอีกในเรื่องช้าง ๒ ตัว นี่ก็เรื่องถือไม่เข้าเรื่อง ไม่ถือธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่ไปถือเรื่องอื่นที่ไม่เข้าเรื่อง เวลาจะไปนั่งกระทรวงก็ต้องไปไหว้พระภูมิเจ้าที่ อะไรต่ออะไร รัฐมนตรีเกษตรฯ คนก่อนคุณชวนจะไปรับงาน เจ้าหน้าที่กระทรวงที่ถือโชคลางบอกว่าให้มาตอนเช้าไหว้พระภูมิเสียก่อนแล้วค่อยไปรับงานตอนบ่าย ท่านว่าทำไมต้องไป ๒ เวลา ไปตอนบ่ายรับงานแล้วไปไหว้พระภูมิเสียเลย เจ้าหน้าที่ที่จัดบอกว่าไม่ได้ ตอนบ่ายพระภูมิไม่อยู่ พระภูมินี่เถลไถลเหมือนข้าราชการนี่เถลไถล เพราะว่าพระภูมิไม่อยู่บ้าน แล้วข้าราชการก็ออกไปเที่ยวเหมือนกัน บางกรมเวลาไป โดยเฉพาะกรมการศาสนานี่ ถ้าไปติดต่อตอนบ่ายไม่ค่อยพบผู้ใหญ่ อธิบดีก็ไม่อยู่ รองอธิบดีก็ไม่อยู่ ไม่รู้หายไปไหนหมด อาตมาจะไปติดต่อเรื่องหนังสือเดินทาง ไปขอสมเด็จวัดส้มเกลี้ยงได้แล้วเรียบร้อยแล้ว แล้วบอกว่ากระผมจะไปกระทรวง อ้อ ไปกระทรวง ไปกรมการศาสนาตอนบ่ายไม่ค่อยมีคนนะ เขาไม่ค่อยมี เลยไป ไม่มีจริงๆ ละ มีแต่ผู้หญิง ๒-๓ คนนั่งอยู่ แล้วบอก นี่หนู ช่วยทำหน่อย ทำให้เสร็จวันนี้ฉันจะเอาไปให้อธิบดีเซ็นต์นะ ไม่ได้เจ้าค่ะ ทำเสร็จได้แต่ว่าเซ็นต์ไม่ได้ อ้าว ทำไม อธิบดีไม่อยู่ แล้วรองล่ะไปไหน รองก็ไม่อยู่เหมือนกัน มีธุระไปข้างนอกกันหมด ไม่อยู่ว่าไปตรวจผลประโยชน์ร้านแถวที่ไหนของกรมการศาสนา เลยบอก อ้าว ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เช้า ๙ โมง หลวงพ่อจะมานะให้เรียบร้อยนะ ถ้าไม่เรียบร้อย แล้วจะไปหาอธิบดีละ ไปถึงก็เซ็นต์ให้เรียบร้อยแล้ว เรียบร้อยเพราะว่าไปต่อว่าต่อขานกันไว้ คนเราทำงานมันก็ต้องรักงาน ต้องขยันต้องเอาใจใส่ งานมันถึงจะก้าวหน้าไปได้ เป็นไปด้วยดี
นี่วันนี้มาพูดเรื่องคนดี เรายกย่องคนดี สรรเสริญคนดีกัน แล้วถือเป็นหลักว่า ทำดีด้วยตน ชักชวนคนอื่นให้ทำดี สนับสนุนคนที่ทำดี ใครทำดีนี่ช่วยให้กำลังใจ เพราะกำลังใจนี่สำคัญ ถ้าไม่มีการให้กำลังใจแล้ว ทำๆไป โฮ้ กูทำมานานแล้ว ไม่มีใครเห็นใจ จะท้อแท้ คนที่ธรรมะน้อยมันก็ท้อแท้ แต่ว่าท่านที่มารับวันนี้น่ะ ธรรมะมากๆ ทั้งนั้น ไม่ท้อแท้ ใครจะให้ไม่ให้ ก็ท่านก็ทำของท่านอย่างนั้นน่ะ เหมือนท่านเจ้าคุณเทพกวี ท่านก็ทำมานานแล้ว ทำมาจนคนเห็นว่าเป็นความงามความดี ก็เลยได้เรียกมานิมนต์มา ท่านอุตส่าห์มาตั้งแต่เช้า ขึ้นเรือบินบินมาเลย แล้วก็บินกลับตอนกลางคืน ๒ ทุ่ม เพราะว่างานของท่านเยอะ อ่า … พูดมาก็พอสมควรแก่กาลเวลา
- ปาฐกถาธรรม ประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๓