แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลายต่อไปนี้ไปขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
เมื่อวันที่ เมื่อวันศุกร์นี้ได้เดินทางไปเชียงใหม่เพื่อไปแสดงปาฐกถาที่ชมรมหนุ่มสาวชาวพุทธ แต่ว่าคนที่มาประชุมกันนั้นไม่หนุ่มไม่สาวแล้วเพราะมันหลายปีอายุก็มากขึ้นชมรมหนุ่มสาวชาวพุทธเชียงใหม่นี้เขามีกันทุกวัดเลย ผู้ที่ก่อตั้งเรื่องนี้ขึ้นได้แก่ พระศรีธรรมนิเทศ มหาตำบลเปรียญหกประโยค ได้ถึงแก่มรณะไปแล้วแต่งานของท่านที่ทำไว้ยังอยู่ ถ้าท่านเจ้าคุณพระศรีธรรมนิเทศมีอายุอยู่ครบหกสิบปีเมื่อวานนี้เองเมื่อวานนี้ถือว่าเป็นวันเกิดของท่านผู้นั้น เลยบอกญาติโยมว่าอย่าทำบุญวันตายให้ทำบุญวันเกิด โดยมากเรามักจะทำบุญวันตายนี่ความจริงควรจะทำบุญวันเกิดเพราะเกิดมันก่อนตาย ถ้าไม่เกิดมันก็ไม่มีการตายจึงควรจะทำบุญวันเกิดให้แก่ใครๆ ที่เราคิดถึงเป็นที่ระลึก
ทางอินเดียเขาก็ถือวันเกิดเหมือนกัน เช่น ท่านมหาตมะคานธีนี่ ท่านได้ถึงแก่กรรมไปเป็นเวลานานแล้วแต่ว่าพอถึงเวลาวันเกิดเขาก็ทำบุญให้แก่ท่านทุกปี มีการประชุมกันมีการทำอะไรที่เป็นเรื่องช่วยเหลือแก่สังคมเขาทำในวันเกิดและก็นับว่าวันเกิดที่ต่อนั้น (01.54 เสียงไม่ชัดเจน) คานธีนี่เกิดเกือบจะครบร้อยปีแล้วเขาทำกันทุกปี
เราทั้งหลายที่นึกถึงบิดามารดาปู่ตาย่ายายถ้าจำวันเกิดได้ก็ควรจะทำบุญกันในวันเกิดเพื่อจะได้ระลึกถึงการเกิดของท่านผู้นั้นแล้วเกิดมามีชีวิตอยู่ในโลกได้กระทำสิ่งอันเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์มากมายหลายอย่างแล้วก็จากโลกนี้ไปด้วยความตาย แนะนำเขาอย่างนั้น ชมรมหนุ่มสาวชาวพุทธนี่เขานัดมารวมกันเข้าเขาเรียกการรวมตัวกันว่า รถด่วนขบวนพิเศษแล้วก็ทำไปตามวัดต่างๆ เรียงไปเรื่อย ๆ ในพรรษานี้มันมีสิบสองวันพระเขาก็ทำทั้งสิบสองวัน เช่น วันนี้นัดที่วัดนี้ วันพระหน้าวัดต่อไป วัดต่อไปเรื่อยๆ คนมาประชุมกันประมาณสี่ห้าพันคนไม่ใช่น้อยๆ นุ่งขาวทั้งหมดมาประชุมกันตั้งแต่หัวค่ำแล้วก็มีการพูดจาเรื่องกิจกรรมอะไรต่างๆ สมควรเวลาสองทุ่มก็มีการแสดงปาฐกถา
เมื่อคืนวันศุกร์นี้เขามาประชุมครั้งสุดท้ายของพรรษาที่พุทธสถานเชียงใหม่ทุกปีประชุมครั้งสุดท้ายก็ต้องมาที่พุทธสถาน พุทธสถานเชียงใหม่เวลานี้เขาพัฒนาปูกระเบื้องกัมปนาถ (03.23) ทั้งภายในภายนอก เมื่อในสนามหญ้าก็ปูอิฐเต็มหมดไม่มีหญ้ารกอีกต่อไปทำให้สวยงามดีขึ้น เขาก็มาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ไปปาฐกถาแก่คนเหล่านั้นในคืนวันพระพอดี แล้ววันรุ่งขึ้นวันเสาร์ก็มีการแสดงอีกทีหนึ่งที่พุทธสถานแต่คนไม่มากเหมือนคืนแรกเพราะคืนแรกเขามามากเสียแล้วแต่คืนหลังมีก็ประมาณสักร้อยคน ได้ปาฐกถาให้เขาฟังกันและเราพักที่วัดอุโมงค์ทั้งสองคืน
วัดอุโมงค์ก็มีการทอดกฐินด้วย คนที่ทอดกฐินที่เป็นเจ้าภาพก็เคยเป็นพระอยู่มาเหมือนกันแล้วไปอยู่กับหลวงพ่อที่เชียงใหม่หลายปี ต่อมาก็ลาสิกขาออกมาเป็นครูทำหน้าที่เป็นครูมาแล้วก็แต่งงานมีลูกสองคนเป็นชายคนหญิงคนได้ปริญญาทั้งคู่แล้วก็ทำงานให้พ่อแม่สบายใจอยู่แล้วเวลานี้ เขาคิดว่าเคยไปอาศัยวัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรมเชียงใหม่เวลานี้ตั้งตัวได้ก็ควรจะได้ตอบแทนด้วยการทอดกฐิน เขาเอากฐินไปทอดกันเมื่อวานก็หาเงินเพื่อจะไปสร้างอุโบสถวัดนั้น ความจริงอุโบสถวัดนั้นก็มีอยู่ตามฐานเดิมหลังเล็กตามแบบของเชียงใหม่แต่เวลานี้พระวัดอุโมงค์ นั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นจำพรรษาตั้งเจ็ดสิบองค์เข้าไปนั่งในอุโบสถไม่พอต้องล้นออกมาข้างนอก พวกนั่งข้างนอกก็ถูกยุงกัดตลอดเวลาเพราะไม่มีมุ้งตาข่าย นั่งข้างในก็สบายเห็นว่าอึดอัดและเวลากราบพระก็กราบไม่ได้เพราะนั่งชิดกันไปหมดและคิดว่าควรจะสร้างใหม่ในราคาพอสมควร แต่ระหว่างนี้ยังสร้างไม่ได้เพราะปูนแลก็แพง หินก็แพง หาปัจจัยไว้ก่อนเมื่อวานนี้ก็ได้เงินราวห้าแสนบาท มีคนๆ หนึ่งเขาให้มากคือพระ พระท่านทำยา ทำยาอยู่ที่วัดอุโมงค์ ทำยาเครื่องสมุนไพรประเภทต่างๆ คนมาขอก็บริจาคไว้รวมได้ห้าแสนบาทก็เลยเอามามอบให้ทางวัดเพื่อเอาไปสร้างอุโบสถต่อไป พระองค์นี้แกเป็นคนจีนชื่อพระมิ่ง พูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดแต่ว่าก็พูดได้ พูดเรื่องธรรมะธรรมโมอะไรก็ได้แต่ไม่ถนัดเท่าใดแต่ถ้าพูดเรื่องสมุนไพรแล้วถนัดมาก คุยได้จ้อเลยทีเดียวว่าอะไรแก้อะไร (06.02 เสียงไม่ชัดเจน) อะไรพวกสมุนไพรประเภทฟ้าทลายโจรนี่แก้อะไรบ้างแกก็ทำเป็นเม็ดไว้สำหรับให้คนเอาไปรับประทาน คนก็ไปใช้แล้วมันก็ได้ผลแล้วเขาก็มารับไปบ่อยๆ เขาก็ถอยปัจจัยไว้ก็เอามารวมเข้าไว้กับองค์กฐินเป็นทุนก้อนหนึ่งเก็บไว้ก่อนฝากธนาคารไว้
แล้วเมื่อเช้านี้ก็ออกเดินทางเวลา ๐๗.๔๕ น. เรือบินออกแต่ว่าขึ้นจากสนามก็ ๘โมงมาถึงดอนเมืองก็รีบมาที่นี่พอดีทันเวลาปาฐกถาให้แก่ญาติโยมทั้งหลายได้ตามตั้งใจไว้แล้วก็ตอนบ่ายนี้เวลา ๑๖.๐๐ น. ก็จะเดินทางไปภูเก็ตอีกไปภูเก็ตเวลา ๑๖.๐๐ น. ถึง ๑๗.๐๐ น. ตามโปรแกรมก็ไปอัด (06.57 เสียงไม่ชัดเจน) อัดเสียงทางโทรทัศน์สถานีภูเก็ตและเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งหรือสองทุ่มปาฐกถาที่วัดท่าเรือใกล้เมืองเก่าใกล้เมืองถลางแล้วพรุ่งนี้มีการทำบุญอายุของคนๆ หนึ่งซึ่งเป็นผู้ขวนขวายช่วยเหลือในกิจการพุทธศาสนามาก แต่เวลานี้อายุ ๙๗ แล้วยังมีชีวิตอยู่ ลูกๆ ก็อยากจะทำบุญให้พ่อสบายใจเลยมานิมนต์ให้ไปก็ต้องไปเพราะคนนี้คุ้นเคยกันมากเลยต้องไป กลับมาก็วันที่ ๑๕ กลางคืนมาถึงวัดตอนกลางคืนนะนี่เป็นรายการที่เขานิมนต์ก็ต้องไปทำหน้าที่ แต่ว่าที่วัดนี้ก็ต้องมาตามหน้าที่เหมือนกันเพราะหน้าที่นี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตของคนเรา
คนเราเกิดมานี่ควรจะตั้งปัญหาถามตัวเราเองว่าเราเกิดมาทำไม? เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? สิ่งที่ดีที่สุดที่เราควรทำคืออะไร? และเราได้กระทำสิ่งนั้นแล้วหรือยัง? อันนี้เป็นปัญหาที่ควรถามตนเองบ่อยๆ การถามปัญหาตนเองในรูปอย่างนี้ทำให้เกิดความสำนึกในหน้าที่อันตนจะพึงกระทำ แต่ถ้าเราไม่ถามตนเองเลยเราก็ไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร สิ่งที่ดีที่ควรทำคืออะไรก็ไม่รู้ โดยมากก็ไม่ค่อยรู้ว่ามีการถามกันว่าเกิดมาทำไม เขาก็ตอบไม่ค่อยได้ ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม แล้วบางคนก็ตอบเลี่ยงไปว่าผมมันไม่ได้เกิดเองคุณพ่อคุณแม่ให้เกิดมาน่าจะไปถามท่านว่าเกิดผมมาทำไม มันเป็นซะอย่างนั้น คือไม่เคยคิด ไม่เคยคิดว่าเรานี้เกิดมาทำไม? เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? สิ่งที่ดีที่เราควรทำคืออะไร? แล้วเราได้กระทำสิ่งนั้นแล้วหรือยัง? เราไม่ได้คิดในเรื่องอย่างนั้นเพราะไม่ได้คิดจึงปล่อยชีวิตไปตามเรื่องตามราวไปตามกระแสของอารมณ์ที่มากระทบโดยไม่ได้คิดว่าเราควรจะทำอย่างไรกับตัวเราเอง เราควรทำอย่างไรกับผู้อื่นในสังคม สิ่งที่เราจะต้องทำในชั่วโมงนี้ในวันนี้คืออะไรก็คิดไม่ค่อยได้ เมื่อคิดไม่ได้หรือไม่คิดชีวิตก็ไม่มีความหมายไม่มีราคาเพราะอยู่ไปตามเรื่องอยู่ไปเพื่อเล่น เพื่อกิน เพื่อความสนุกสนานเฮฮาไปวันหนึ่งๆ ชีวิตมันก็ไม่มีความหมายอะไร
เพราะฉะนั้นเพื่อทำชีวิตให้มีความหมายเราจึงควรจะได้ตั้งปัญหาถามตัวเองบ่อยๆ ตื่นเช้านี่ต้องไปแต่งตัวทุกคน ไปยืนที่หน้ากระจกเงาเพื่อแต่งตัวแต่งหน้าตามเรื่องตามราว เวลาไปแต่งตัวอย่างนั้นนั่นแหละควรจะชี้หน้าถามปัญหาตนเองสักหน่อยเพราะว่ามันมีสองตัวอยู่ในตอนนั้น ยืนอยู่ข้างนอกคนหนึ่งยืนอยู่ข้างในคนหนึ่ง เราก็ชี้หน้าถามไอ้คนที่ยืนข้างใน นี่ นี่ นี่ นี่ แก แก แก รู้ไหมว่าแกเกิดมาทำไม? แกมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำในวันหนึ่งๆคืออะไร? แล้วได้ทำเรื่องนั้นแล้วหรือยัง? นั่นเราตั้งปัญหาถามอย่างนั้นไอ้คนข้างในมันก็ไม่ตอบหรอกเพราะมันตอบไม่ได้ แต่คนข้างนอกต้องคิดเอง ตอบเองก็คิดว่าเออ จริงแฮะ ไอ้เรานี่เกิดมาทำไมอยู่เพื่ออะไรก็ยังไม่เคยคิดยังไม่เคยถามตัวเองแล้วก็คิดไปบ่อยๆ ไปไหน ทำอะไรก็คิดไปว่าเราเกิดมาทำไม เราเกิดมาเพื่อกินรึ? เพื่อเล่นรึ? เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินไปวันหนึ่งวันหนึ่งรึ? ถ้าคิดแต่เพียงเท่านั้นชีวิตไม่วิเศษวิโสอะไรเพราะสัตว์เดรัจฉานมันก็เกิดมาเพื่อกินได้ เพื่อเล่น เพื่อสนุกสนานอะไรๆ ตามได้ ต้นหมากรากไม้มันก็เกิดเจริญเติบโตขึ้นตามหน้าที่ของมัน มันไม่มีจิตใจที่จะคิด
แต่ว่าคนเรานี้เป็นสัตว์ประเสริฐยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เราพูดกันอย่างนั้นแต่ว่าเราประเสริฐด้วยอะไร? เราทำอะไรจึงจะเรียกว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายเหล่านั้น มันก็ประเสริฐตรงที่เรารู้จักหน้าที่อันเราจะต้องกระทำว่าเรามีหน้าที่อะไรเราควรจะทำอะไรในวันหนึ่งๆ ในชีวิตของเราถ้าเราไม่ได้ทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ให้ถูกต้องให้เรียบร้อยชีวิตก็ไม่มีค่าอะไรไม่มีราคาอะไร มันผ่านไปเสียเปล่าๆ โดยไม่ได้ประโยชน์อะไร
อาจารย์ฝ่ายเซนคนหนึ่งจึงพูดกับลูกศิษย์ที่เป็นคนที่ค่อนข้างจะขี้เมาและชอบเล่นการพนัน ท่านแนะปัญหาให้คิดคือให้คิดว่าร่างกายนี้เปลี่ยนแปลงไปสู่ความแตกดับทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าเราไม่ใช้ร่างกายนี้ให้เป็นประโยชน์มันจะมีค่าที่ตรงไหน ท่านสอนให้คิดว่าร่างกายนี้มันเปลี่ยนแปลงไปสู่ความแตกดับทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าเราไม่ใช้มันให้เป็นประโยชน์มันจะมีค่าที่ตรงไหน ค่าของคนหรือราคาของคนนั้นมันอยู่ที่อะไร ก็อยู่ที่การทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ถ้าเราสำนึกว่าเรานี้เกิดมาเพื่อหน้าที่เราอยู่เพื่อหน้าที่ กิจที่จะต้องทำในชีวิตประจำวันก็คือหน้าที่ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ แล้วเราก็ได้รับผลจากหน้าที่เองโดยธรรมชาติไม่ต้องไปคิดว่าเราจะได้อะไร จะมีอะไร จะเป็นอะไร มันเป็นของมันเองมันได้ของมันเอง ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเมื่อเราได้ทำหน้าที่นั้นๆ เรียบร้อย
หน้าที่นั้นแหละคือตัวธรรมะ ธรรมะก็คือหน้าที่ คำว่าธรรมะนี่แปลตรงไปตรงมาอย่างในเชิงปฏิบัติก็แปลว่า หน้าที่นั่นเอง ธรรมะคือหน้าที่ คราวนี้การจะทำหน้าที่ให้ถูกต้องเรียบร้อยก็เรียกว่าเราปฏิบัติธรรม ตัวปฏิบัติธรรมอยู่ที่การทำหน้าที่ให้เรียบร้อย ทีนี้คนเรามีหน้าที่อะไรบ้างเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาทำความเข้าใจ
เรามีหน้าที่อะไรบ้าง? หน้าที่ประการแรกทีเดียวนั้นเราต้องคิดว่าเราเรียกตัวเราเองว่าอะไร ตามภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า “เป็นคน” การเป็นคนนี้ยังไม่ประเสริฐอะไรเพราะใครๆ ก็เป็นได้ พอเกิดมาถึงก็เรียกว่าคนแล้ว เกิดมามีชีวิตมีลมหายใจเข้าออกเคลื่อนไหวร่างกายได้ก็เรียกว่าเป็นคนแล้ว แต่ความเป็นคนนั้นจะไม่สมบูรณ์ถ้าเพียงแต่กินอาหารหลับนอนเสพเมถุนแล้วก็กลัวภัยอันตราย เพียงเท่านั้นยังไม่เป็นคนที่สมบูรณ์ การเป็นคนที่สมบูรณ์นั้นต้องมีประการประพฤติธรรม เราจะต้องเอาธรรมะมาเป็นหลักครองใจ ถ้าเราไม่มีธรรมะครองใจความเป็นคนก็จะไม่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นหน้าที่ประการแรกที่เราจะต้องทำก็คือว่าทำตนให้เป็นคนสมบูรณ์
การเป็นคนสมบูรณ์นั้นก็เรียกชื่อใหม่ว่าเป็น “มนุษย์” มนุษย์คือผู้มีใจสูง ใจดี ใจงาม ใจสงบ ใจสะอาด ใจสว่าง จึงจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ ถ้าหากว่าใจสกปรก วุ่นวาย เร่าร้อน ด้วยกิเลสประเภทต่างๆ ตกอยู่ในอำนาจของมันบ่อยๆ เราก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ แต่พอใจสงบเราก็เป็นมนุษย์ พอใจวุ่นวายเราก็เป็นแต่เพียงคน ใจสะอาดเราก็เป็นมนุษย์ ใจสกปรกก็เป็นได้แต่เพียงคน ถ้าใจสว่างอยู่ด้วยปัญญาเราก็เป็นมนุษย์ แต่ถ้าใจมืดบอดก็เรียกว่าเป็นคนเท่านั้นเอง มันเวียนว่ายในชีวิตของเรา มันเวียนว่ายเป็น “สังสารวัฏ” อันนี้ก็เรียกว่าเป็นสังสาระ หรือ สังสารวัฏ หมายความว่าเวียนว่าย เป็นคนบ้างเป็นมนุษย์บ้างสลับสับเปลี่ยนกันไป มันขึ้นอยู่กับตัวปัญญาขึ้นอยู่กับความสำนึกในหน้าที่ที่เราจะพึงกระทำ ถ้าเรามีปัญญาเรามีความสำนึกถูกต้องความเป็นคนมันก็ลดน้อยลงไป ความเป็นมนุษย์ก็เพิ่มขึ้น
หน้าที่ประการแรกที่เราจะต้องทำก็คือว่า “ทำตนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นั่นคือหน้าที่” เราจึงต้องบอกตัวเองว่าฉันจะต้องทำตนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้นมาจึงจะชื่อว่าเป็นผู้ทำหน้าที่ถูกต้องเพราะเราเกิดมาเพื่อหน้าที่ เราอยู่เพื่อหน้าที่ แล้วเราก็ต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้อง การทำหน้าที่ให้ถูกต้องประการแรกก็คือทำหน้าที่ของความเป็นคนให้ถูกต้องจึงจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ขึ้นมา การทำหน้าที่ของความเป็นคนให้ถูกต้องนั้นควรจะมีธรรมะอะไรมาใช้เป็นหลักบ้าง ก็มีธรรมะเหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านก็แนะนำไว้ว่าให้ตั้งอยู่ใน “กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ”
กุศลแปลว่าความดี ความเจริญ ความสุข ความฉลาด ธรรมะประกาศ (16.25 ไม่ยืนยันตัวสะกด) ก็แปลว่า ทางแห่งการกระทำ ประกาศ (16.29 ไม่ยืนยันตัวสะกด) แปลว่าก็ทาน ธรรมะก็แปลว่าการกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยน้ำใจ เป็นการกระทำในกุศลกรรมบถนั้นเรียกว่าเป็น “มนุษยธรรม” หรือเป็นธรรมสำหรับมนุษย์ หากมีอะไรบ้าง เป็นไปในทางกาย ๓ อย่าง คือไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ประพฤติผิดในเรื่องกามอารมณ์ นี่คือคุณค่าของการเป็นมนุษย์มันอยู่ที่ไม่ฆ่า การฆ่านั้นไม่ใช่วิสัยของมนุษย์ เวลาเราคิดจะฆ่าคนอื่นจิตเราก็เป็นคนธรรมดาหรือว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานไปก็ได้ ถ้าเราไปฆ่าอะไรนี่เราเป็นสัตว์เดรัจฉานเพราะการคิดที่จะไปฆ่าคนอื่นนั้นเป็นความโง่ ความโง่นั่นแหละคือตัวสัตว์เดรัจฉานที่อยู่ในใจของเราแล้วเราก็มันไม่ควบคุมไม่บังคับตัวเองเพราะไม่เคยบังคับควบคุมตัวเองในรูปอย่างนั้นเราก็ไปทำการฆ่าเขาเราก็เป็นไม่เป็นมนุษย์สมบูรณ์
คนที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์นั้นต้องมีความรักเพื่อนมนุษย์ เห็นก็เห็นเพื่อนมนุษย์เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา แล้วก็เห็นเป็นมนุษย์เหมือนกันหมด ไม่มีแตกต่างกันโดยชาติชั้นวรรณะ โดยผิวพรรณ หรือโดยเรื่องอะไรๆ ทั้งหมด เราถือว่าเป็นผู้ร่วมเกิดร่วมแก่ร่วมเจ็บร่วมตายด้วยกันไม่จำกัดชาติ ไม่จำกัดภาษา ไม่จำกัดศาสนา ไม่จำกัดผิวพรรณอะไรทั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเราสอนให้รักเพื่อนมนุษย์อย่างกว้างขวางไม่เฉพาะแต่เพื่อนมนุษย์ยังแผ่ไปจนถึงสัตว์เดรัจฉานถือว่าเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นในคำแผ่เมตตาจึงมีคำว่าเราแผ่เมตตาว่า “สัพเพสัตตา” สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่ามีเวรอย่ามีภัยอย่าเบียดเบียนแก่กันและกันเลย นี่เป็นคำแผ่ที่กว้างขวางทั่วไปหมดในสากลจักรวาล เป็นคำสอนที่ให้มีเมตตาอย่างกว้างขวางไม่จำกัดอะไรทั้งนั้น ในพุทธศาสนาเราไม่มีการจำกัดอะไร
ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีข้อจำกัดอยู่มากในเรื่องความเป็นคน คือ เขาแบ่งคนออกเป็น ๔ พวก เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นเวศย์ (18.53 อาจใส่ข้อความเพิ่มเติมว่า “หรือแพศย์”) เป็นศูทร แล้วก็ในพวกศูทรมันยังมีพวกชั้นศูทรต่ำลงไปอีกเขาเรียกว่า อธิศูทร (19.00 อาจใส่ข้อความเพิ่มเติมว่า “หรือจัณฑาล”) ภาษาใหม่เรียกว่า อธิศูทร (19:04 เสียงไม่ชัดเจน) เขาเรียกว่าพวก อวรรณะ คือไม่มีวรรณะไม่รู้จะจัดเข้าวรรณะไหนกลายเป็นคนกลางๆ ไป พวกอธิศูทรนี่คือเกิดจากการ (19.14 เสียงไม่ชัดเจน) ผสมพันธุ์ที่แตกต่างกัน เช่นว่าพวกกษัตริย์ไปผสมพันธุ์กับพวกเวศย์ ก็กลายเป็นศูทรไป ศูทรนอกวรรณะ พวกศูทรนอกวรรณะก็มีจำนวนไม่ใช่น้อย ศูทรนี่รวมกันแล้วเป็นจำนวนเป็นจำนวนร้อยล้านในประเทศอินเดียถูกเหยียดหยามมาก ถูกเหยียดหยามลงไปเหมือนกับสัตว์เดรัจฉานมีความเป็นอยู่อย่างลำบากยากแค้น แต่ไม่มีใครคิดแก้ไขปัญหาของคนเหล่านี้ แม้จะดิ้นรนต่อสู้เพื่อความเป็นเอกราชอธิปไตยของชาติแต่ไม่ได้คิดถึงคนประเภทที่ตกต่ำเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน จะไปกินน้ำร่วมกับใครเขาไม่ได้ จะไปนั่งร่วมกับใครก็ไม่ได้ จะไปเรียนหนังสือร่วมกับพวกวรรณะอื่นก็ไม่ได้ เขารังเกียจ พวกนี้จึงเป็นคนไร้การศึกษา ไม่มีปัญญา ไม่มีความคิดก้าวหน้าอะไร มีความเป็นอยู่เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานก็ว่าได้ แต่ว่าในสมัยรัฐบาลอังกฤษปกครองอินเดียนั้นเขาถือว่าคนพวกนี้มีกำลังใช้งานได้ เขาก็เอาไปเป็นทหาร ตั้งแต่อังกฤษมาครองอินเดียแล้วก็ทำสงครามกับฝรั่งเศสก็เอาพวกศูทรนี่แหละไปเป็นทหารรบกันกับพวกฝรั่งเศส คนวรรณะอื่นเขาไม่เอา เอาแต่พวกนี้และพวกนี้ก็ได้เป็นทหารสืบๆ ต่อๆ กันมาตามวงศ์ตามสกุลของเขา ครั้นเมื่อได้เป็นอิสระแล้วรัฐบาลก็ไม่ต้องการให้พวกนี้เป็นทหารต่อไป พวกนี้ก็ตกต่ำต่อไป
แต่ว่ารัฐบาลในปัจจุบันนี้มีความคิดว่าจะต้องพัฒนาคนพวกศูทรในด้านการศึกษา การสาธารณสุขและการอื่นๆ ให้ดีขึ้นจึงตั้งงบประมาณไว้ว่าในงบประมาณทั้งหมดนี้เอามา ๒๗ เปอร์เซ็นต์เพื่อส่งเสริมพวกวรรณะศูทรให้ได้เจริญก้าวหน้าต่อไป พวกวรรณะพราหมณ์ กษัตริย์ และพวกอื่นนั้นไม่ให้ ไม่ตกลงเพราะเขาเคร่งครัดในระบอบวรรณะไม่ยอมให้ ผลที่สุดก็มีการสไตรค์มีการหยุดงานกันเป็นการใหญ่ หยุดทั้งประเทศเลย เรือบินหยุดบิน รถไฟหยุดเดิน รถบัสหยุด การงานตามโรงงานต่างๆ หยุดหมดกลายเป็นเมืองเงียบเมืองนิ่งไปเป็นเวลาสองวัน เมื่อวันก่อนนี้เมื่อวันศุกร์นี้ ท่าน (21.43 เสียงไม่ชัดเจน) เขาจะนำคนไปอินเดียเพื่อมาจำนวนสิบสองคนเป็นคนกลุ่มน้อยไม่มากเท่าใดเลยไปไม่ได้เพราะเรือบินอินเดียไม่มาเมืองไทยแล้ว ไปเรือบินอื่นก็ไม่ได้ เรือบินอื่นก็ไปลงไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่สนามบินไม่ทำงาน พวกทำงานเกี่ยวกับเรือบินมันหยุดหมดเรือบินก็ลงไม่ได้ลงไปแล้วก็นิ่งอยู่นั่นไม่มีใครมาขนข้าวขนของอะไรไม่ไปซะดีกว่า อันไหนหยุดอยู่ในวันสองวัน วันศุกร์วันเสาร์มันหยุดงานกันไป นี่เขาทำกันอย่างนี้ไม่ได้ทำด้วยมนุษยธรรมแต่ทำด้วยอำนาจความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวไม่ให้พวกศูทรดีขึ้น ให้พวกศูทรตกต่ำอยู่ต่อไป
แต่ในวรรณะศูทรนั้นมันก็มีผู้เรียกว่า “พระโพธิสัตว์” มาเกิดเหมือนกัน พระโพธิสัตว์ คือ “ดร.อัมเบดการ์” เกิดในครอบครัวของศูทร เกิดในสลัมที่เมืองบอมเบย์แต่ว่าพ่อของเขานี้เคยเป็นทหารอังกฤษเขารักการศึกษาเพราะฉะนั้นส่งเสริมให้ลูกเรียนหนังสือแล้วเวลาลูกกลับบ้านนี่ก็พยายามสอนกวดวิชาให้ ให้เรียนภาษาอังกฤษ เรียนภาษาจะเรียนสันสกฤตเขาไม่ให้เรียนเพราะภาษาสันสกฤตเป็นของสำหรับพวกพราหมณ์ คนวรรณะศูทรเรียนไม่ได้ แกก็ไม่ได้เรียนภาษาสันสกฤตเพื่อเรียนเรื่องศาสนาแกก็ไม่ได้เรียน แต่แกหันไปเรียนภาษาเปอร์เชีย ภาษาเปอร์เชียก็คือภาษาของอิหร่านนั่นเอง แต่ชาวเปอร์เชียแต่ก่อนนี้อิหร่านก็เรียกว่าประเทศเปอร์เชีย ต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็นอิหร่าน
คนเปอร์เชียในสมัยหนึ่งที่เกิดอิสลามขึ้นในประเทศนั้นแถวนั้นอิสลามก็รุกเข้าไปในประเทศเปอร์เชีย คนเปอร์เชียกลุ่มหนึ่งไม่ยอมรับนับถือศาสนาอิสลามก็เลยอพยพหนีมาอยู่ประเทศอินเดีย ชาวอินเดียเรียกคนพวกนี้ว่าพวกปาร์ซี พวกปาร์ซีมีอยู่มากในเมืองบอมเบย์และเมืองอื่นก็หลายเมืองเขาอยู่กัน เขาอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนทำมาหากินกัน คนพวกนี้ถือศาสนาเดิมเขาเรียกว่านับถือดวงอาทิตย์ นับถือธาตุสี่ดินน้ำไฟลม แล้วก็เวลาตายนี่เขาไม่เผาศพแล้วก็ไม่ฝังด้วย เขาเอาศพไปทิ้งไว้ในเรือนหลังหนึ่งเป็นเรือนสี่เหลี่ยม หลังคาเปิดไว้อย่างนั้นไม่มีหลังคา เอาศพไปทิ้งไว้ในนั้นให้อีแร้งก็ลงมากินกันมากินจิกเนื้อกินจนหมดจนเหลือแต่กระดูกแล้วเขาจึงเอากระดูกนั้นไปเผากันต่อไป ในที่บริเวณนั้นถ้าเราไปเมืองบอมเบย์จะเห็นว่าอีแร้งเกาะอยู่เต็มไปหมดตามต้นไม้แถวนั้นคอยกินศพ เพราะพอเขาเห็นคนตายก็ไปทิ้งทันที เอาเสื้อผ้าเครื่องออกหมดให้แร้งมันจิกกินง่ายหน่อยเลยกินแย่งกินไส้กินตับไตกินจนกว่าเนื้อทุกชิ้นมันกินหมดไม่มีเหลือ เหลือแต่กระดูกเขาถือกันอย่างนั้น
พวกปาร์ซี นี่ไม่ใช่พวกยากจนนะมีฐานะร่ำรวย บริษัทที่อุตสาหกรรมใหญ่เขาเรียกว่า ทาทา เป็นของปาร์ซีเขาทำรถยนต์ รถบัสคันใหญ่ๆ ทำรถยนต์เก๋ง ทำรถอาบัสเซเดอร์ (24.59 เสียงไม่ชัดเจน) สามชนิดทั้งรุ่นใหญ่รุ่นกลาง รุ่นเล็ก แล้วขนาดทำเรือบินด้วย บริษัทเขาใหญ่เขาร่ำรวย อันนี้อัมเบดการ์แกก็เลยเรียนภาษาเปอร์เชีย เรียนจนจบชั้นประถมพ่อก็อยากให้ลูกเรียนชั้นมัธยมต่อไปก็เลยเข้าเรียนมัธยมจะไปเข้าเรียนนี่ก็ลำบากเพราะว่าไปเข้าเรียนนี่ก็ เวลาหยุดพักนี่ก็ไปนั่งอยู่คนเดียวไม่รู้จะไปไหนเพราะว่าเพื่อนไม่คบ ไปกินน้ำกับเพื่อนก็ไม่ได้ ไปกินอาหารกับเพื่อนก็ไม่ได้ เพื่อนรังเกียจไม่อยากเข้าใกล้ก็ถือว่าเข้าใกล้พวกนี้เป็นบาปจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์นะ มันเชื่อบ้าๆ บอๆ อย่างนั้นไปยุ่งกันอยู่แต่แกก็ไม่ไม่เล่นกับเพื่อน เมื่อไม่เล่นกับเพื่อนแกก็สนใจอ่านหนังสือของแก แกเรียนเก่งเรียนจนจบชั้นมัธยม
เมื่อจบชั้นมัธยมแล้วพ่อก็คิดว่ามันต้องเรียนต่อเข้ามหาวิทยาลัยแต่จะไปเข้ามหาวิทยาลัยไหนก็ลำบากเหมือนกันและไม่มีทุนด้วย แกก็เที่ยวติดต่อเอาการสังคมสงเคราะห์ต่างๆ เพื่อขอเงินให้ลูกได้เข้าเรียนแต่ว่าผลที่สุดได้ไปติดต่อกับมหาราชองค์หนึ่งชื่อ “มหาราชาแห่งเมืองบาโรดา” นายท่านผู้นี้เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ของอินเดียแกก็ให้ทุนเรียนชั้นต่อไปในมหาวิทยาลัยแล้วก็สอบปีแรกได้คะแนนดี มหาราชเลยบอกว่าอย่าเรียนอินเดียเลยมันลำบากถูกเหยียดหยามด้วยประการต่างๆ เธอเป็นอยู่ลำบาก ไปอเมริกาเสียเป็นเมืองที่มีเสรีภาพเขาไม่มีเหยียดชั้นวรรณะกันแต่ว่าเขาก็เหยียดผิวเหมือนกัน อัมเบดการ์แกก็ผิวเดิมดำ ดำแขก แต่ก็ไปเรียนอเมริกาแกก็เรียนใหญ่เรียนจนได้เป็นดอกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ เมื่อได้เป็นดอกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์แล้วก็สตางค์ยังมีอยู่ทุนยังมีก็บินกลับมาอังกฤษมาทำเศรษฐศาสตร์ที่เมืองอังกฤษกับเรียนกฎหมายควบคู่กันไปด้วยในตัว แต่เรียนไม่ทันจบเขียนหนังสือไม่ทันเสร็จเขาเรียกกลับเพราะว่าทุนหมดเสียแล้ว เวลาเรียกกลับมานี่เขาบอกว่าต้องใช้ทุนสิบปีต้องไปอยู่ที่วังบาโรดาไปทำงาน
ไปทำงานนี่ไปหาบ้านเช่าหาไม่ได้เจ้าของบ้านเช่าเป็นพราหมณ์บ้างเป็นพวกกษัตริย์พวกวรรณะอื่นเขาไม่ยอมให้ พอรู้ว่าแกเป็นพวกอธิศูทรเป็นคนจัณฑาล เขาเรียกว่าพวกจัณฑาล เขาไม่ยอมให้เช่าไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนแกก็ลำบาก แล้วก็แกจะไปสอนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งก็ต้องไปพักในมหาวิทยาลัย อันนี้อาจารย์ผู้ชายเป็นคนไม่ถือบอกว่าไปพักบ้านฉันก็ได้ แต่ว่าแม่บ้านของอาจารย์ผู้ชายพอรู้ว่าคนที่เป็นจัณฑาลมาพักด้วยแกก็โวยวายเต้นแร้งเต้นกากระทืบเท้าใหญ่โตบอกว่าไม่ได้ ไม่ได้ เอาคนอย่างนี้มาพักในบ้านไม่ได้เป็นบาปเป็นโทษเราจะตกนรกกันทั้งครอบครัว แกก็เลยไม่ได้พักเลยทำงานไม่ได้ ทำงานเมืองบาโรดาไม่ได้ก็เลยมาบอมเบย์ มาหางานทำที่บอมเบย์ต่อไป แล้วก็ทำงานได้เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย เป็นอาจารย์แต่ว่าอาจารย์อื่นๆ ไม่ยุ่งกับแกนะ เวลาพักแกก็นั่งอยู่คนเดียวแกก็อ่านหนังสือตำรับตำรา
แกมีนิสัยชอบอ่าน เวลาไปอเมริกาเดินทางกลับซื้อหนังสือมาสองพันเล่มมาอังกฤษ มาถึงอังกฤษมาเรียนต่อทีนี้เมื่อไม่เรียนก็ส่งหนังสือกลับกับบริษัทโทมัสเป็นบริษัทการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เวลานั้นนั่นเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๑ เดินทางผ่านทะเลเมดิเตอ์เรเนียนอันตรายเลยถูกเรือดำน้ำยิงเรือของโทมัสกรุ๊ปล่มจมไป หนังสือเสียหายหมดแต่แกก็มาเรืออื่นปลอดภัยไม่ได้มาลำนั้นมาแต่หนังสือ มาถึงบอมเบย์บริษัทโทมัสกรุ๊ปก็จ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายให้ แกก็ได้เงินนั้นเอาไปใช้จ่ายในครอบครัวแล้วก็ไปเป็นอาจารย์ได้เงินได้ทองมาจับจ่ายใช้สอยสะสมเก็บหอมรอมริบเพื่อจะไปเรียนต่อเพราะแกเรียนกฎหมายยังไม่จบ ปริญญาทางเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลอนดอนก็ยังไม่จบต้องทำมันสองปริญญาก็เลยไปเรียนต่อ ไปอยู่บ้านแหม่ม อยู่ในแฟมิลี่ ไอ้แหม่มนั้นก็ขี้เหนียวที่สุดในโลกเลย ตื่นเช้าขึ้นให้กินขนมปังชิ้นเล็กๆ สองชิ้นกับน้ำชาถ้วยหนึ่งใส่นมนิดหน่อยพอรู้ว่ามีนมอยู่ในนั้นเท่านั้นเองแล้วให้น้ำตาลนิดหน่อย แกก็ไม่บ่นไม่ว่าอะไรแกไม่ได้คิดเรื่องการกินอยู่ แกคิดแต่เรื่องเรียนหนังสือก็ทนอยู่ไป
จนกระทั่งสอบวิชากฎหมายได้แล้วก็สำเร็จวิชาเศรษฐศาสตร์เขียนหนังสือเสนอให้เจ้าหน้าที่ ผู้เป็นอาจารย์ทั้งหลายพิจารณารับรองเป็นปริญญาเลยได้ปริญญาสองปริญญาแล้วได้เป็นปริญญาทางกฎหมายแล้วเรียนวิทยาศาสตร์ก็ได้ปริญญาอีกเหมือนกัน แกก็กลับอินเดีย แกต่อสู้ เช่นว่าคราวหนึ่งเขาขุดสระน้ำให้คนพวกศูทรได้ใช้แต่พราหมณ์เข้าไปแย่งใช้ ศูทรก็ใช้ไม่ได้ พวกศูทรเข้าไปกินพวกพราหมณ์ก็ไล่ตีเหมือนกับวัวไปกินน้ำเขาก็ไล่ตี วัวยังมีโอกาสได้กินน้ำในสระนั้นแต่คนนี่ยังไม่มีโอกาสได้กิน แกก็เดินขบวนพาศูทรเดินขบวนไปเพื่อไปกินน้ำในสระนั้น ไปถึงวักน้ำขึ้นมากินเอาน้ำมาล้างหน้าล้างมืออะไรกันใหญ่ พราหมณ์ก็ถือว่าพวกศูทรไปทำให้น้ำสกปรก กินกัน (30.50 เสียงไม่ชัดเจน) เอาขี้วัวไปทาข้างสระบ้างไปสวดมนต์อะไรต่ออะไรแบบบ้าๆ บวมๆ ของพวกพราหมณ์ทำพิธีกันเป็นการใหญ่ แล้วแกก็ต่อสู้เรื่อยมาต่อสู้เพื่อวรรณะ
แล้วแกก็ประกาศว่าพวกเรานี่อย่าไปถือศาสนาฮินดูต่อไปเพราะศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่ไม่เป็นธรรม การนับถือไปก็ไม่ได้เรื่องอะไร เป็นคนตกต่ำเรื่อยไปไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่แกก็ยังไม่ประกาศว่าจะนับถือศาสนาอะไร คราวหนึ่งแกเอาคัมภีร์มนูธรรมศาสตร์มาดู นี่เป็นคัมภีร์ของอินเดียเขา เป็น (31.29 เสียงไม่ชัดเจน) ของมนุษย์ (31.30 เสียงไม่ชัดเจน) เป็นผู้สร้างของมนุษย์นี่มาจากคำว่า “มนู” นั่นเอง แต่เขาประกาศว่าไม่นับถือต่อไปแต่ว่ายังไม่ประกาศว่าจะนับถือศาสนาอะไร แต่แกเรียนพุทธศาสนานี้มามาก อ่านหนังสือทางพุทธศาสนาค้นคว้า พวกศาสนาต่างๆ ก็มากล่อมเกลาพวกคริสเตียนก็มาชวนให้ไปเป็นคริสต์ พวกอิสลามก็มาชวนให้เป็นอิสลาม พวกซิกข์ก็มาชวนให้ไปเป็นซิกข์ ก็ชวนกันทุกศาสนา แกปฏิเสธทั้งนั้นไม่ยอมรับไม่มีใครนึกเลยว่าแกจะมาเป็นพุทธ เขานึกว่าแกคงจะไปเป็นคริสเตียนหรือจะเป็นอิสลามหรือเป็นซิกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีใครนึกว่าแกจะมาเป็นพุทธเพราะในสมัยนั้นพุทธศาสนาไม่เป็นที่รู้จักของชาวอินเดีย คนอินเดียไม่รู้จักพุทธศาสนา
เหตุการณ์นี้เกิดก่อนเปลี่ยนการปกครองของประเทศไทยราว พ.ศ. ๗๒ หรือ ๗๓ ตอนนั้น แต่ทีหลังแกก็ประกาศตูมออกไปว่า แกนี่เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนาแต่ยังไม่ได้ทำพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะที่ยังไม่ได้ทำเพราะหาที่ไม่ได้ ไม่รู้จะหาที่ตรงไหนที่มันใหญ่โตกว้างขวางและจะได้ทำพิธีใหญ่โตเอาคนเป็นแสน แกก็เที่ยวหาที่ผลสุดได้ที่ที่เมืองนาคปุระเขาถามว่าทำไมต้องไปทำที่เมืองนาคปุระไม่ทำเมืองบอมเบย์ หรือที่เมืองเดลีซึ่งเป็นเมืองใหญ่ แกบอกว่าเมืองนาคปุระเป็นเมืองมีประวัติศาสตร์เพราะในสมัยหนึ่งเคยเป็นมหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนาเรียกว่า “วิกมศิลา” (33.09 เสียงไม่ชัดเจน) วิกะมะ วิกมศิลาเป็นมหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนามีการศึกษามีการเล่าเรียนกันมากแล้วก็มีการแกะสลักถ้ำ อชันตาแอลโลร่าที่เขาทำเป็นถ้ำไว้ สำหรับพระอยู่อาศัยเป็นที่ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในแคว้นมหาราชของบอมเบย์นี่เหมือนกัน แกก็ไปทำที่นั่นไปทำวันเดียวนี่มีคนห้าแสนคนแล้วแกก็พูดจาอย่างชนิดที่เรียกว่าหนักแน่นเพื่อให้คนเหล่านั้นได้เกิดความรู้ความเข้าใจแล้วก็มีพระไปทำพิธีให้สองสามรูปให้เขาได้รับศีลได้เป็นพุทธบริษัทกัน แล้วแกก็คิดว่าจะทำอีกที่เมืองเดลี แต่ว่าสุขภาพแกไม่ค่อยจะดีภรรยาแกตายซะก่อนคนหนึ่ง แล้วแกก็ยังไม่มีภรรยา
คนอินเดียนี่ถ้าว่าผัวตายผู้หญิงก็ไม่มีปัญญาขอสามีต่อไป สามีก็เหมือนกันถ้าภรรยาตายแล้วก็ไม่มีปัญญาออกไปเหมือน (34.14 เสียงไม่ชัดเจน) ภรรยาแกตายซะก่อนแกก็ไม่มีสักภรรยาเลยเพราะถือว่าไม่ซื่อสัตย์ต่อธรรมเนียมคู่ครอง แต่อัมเบดการ์นี่แกบอกว่าฉันมันป่วยมากเต็มทีแล้วเป็นโรคไขสันหลังอักเสบ ปวดเจ็บกระทั่งว่าบางคืนก็นอนไม่หลับทั้งคืนปวดเจ็บมากคนที่เป็นคนผู้ชายก็มาช่วยเฝ้าดูแลรักษา แกเขียนจดหมายถึงเพื่อนคนหนึ่งบอกว่าฉันป่วยมากถ้าไม่ได้คนรักษาดีดีฉันจะตายแล้ว ฉันจะอยู่ไม่ได้แล้วเพราะฉะนั้นฉันจะต้องมีเพื่อนสักคนหนึ่งที่คอยดูแลฉัน เลยว่าเพื่อนคนนั้นก็คือเป็นนายแพทย์หญิง
แพทย์หญิงนี่เป็นวรรณะพราหมณ์แต่เขาก็ไม่รังเกียจอัมเบดการ์เพราะอัมเบดการ์มีชื่อมีเสียงแล้ว เพลานั้นเป็นสมาชิกรัฐสภาแล้ว ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแล้วและก็เป็นประธานกรรมการร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ ความจริงกฎหมายรัฐธรรมนูญนี่แกร่างคนเดียวนะกรรมการอื่นไม่ค่อยมาประชุม แกร่างเสร็จเจ็ดเดือนเสร็จเรียบร้อยแล้วเสนอสภาพิจารณาและรับหลักการ พิจารณารายละเอียดและประกาศใช้มาจนบัดนี้ แกทำสำเร็จ พอสำเร็จแล้วเจ็บป่วยมากจนไม่ไหวต้องแต่งงานกับแม่หมอที่เป็นพราหมณ์ แต่งงานแล้วแกก็ดูแลรักษาบางทีก็ดีขึ้นบางทีก็ทรุดลงไป
วันหนึ่งแกอยู่ที่บ้านแกก็อ่านหนังสือหนังหาเพราะว่าลุกขึ้นไม่ค่อยได้ ไม่สะดวกก็เอาหนังสือมากองไว้ข้างตัว แกก็นอนอ่านเพื่อความสบายใจของแก อ่านๆ แล้วก็หลับไปแม่บ้านก็นึกว่าแกหลับแล้ว พอตื่นเช้าก็นึกว่าปล่อยให้หลับพักผ่อนให้สบายหน่อยแกก็ไปทำงานนอกบ้าน พอสายหน่อยก็กลับมาบ้านเพื่อมาปลุกให้ลุกขึ้นรับประทานอาหารแต่ที่ไหนได้แกก็สิ้นอายุไปเสียแล้ว พอแกสิ้นบุญนี่คนมากันใหญ่ พวกรัฐบาลก็ คณะรัฐมนตรี เศรษฐี คหบดี ไม่รังเกียจแล้วตอนนี้มากันใหญ่มาเยี่ยมศพ แล้วก็ภรรยาแกบอกว่าอยากจะเอาศพไปเมืองบอมเบย์เพราะแกเกิดที่นั่น รัฐบาลก็จัดเรือบินลำหนึ่งบรรทุกศพพาไปบอมเบย์แล้วไปทำการเผากันที่นั่น นี่ชีวิตของแกอย่างนี้
แกฟื้นฟูพระพุทธศาสนาแกตั้งโรงเรียนที่เรียกว่า สิทธัตถะคอลเลจ สิทธัตถะวิทยาลัย แล้วในมหาวิทยาลัยนี้แกรับพวกศูทรให้เรียนให้ศึกษาไม่ต้องเสียสตางค์ แกพยายามไปดูไปแลเอาใจใส่วิทยาลัยนี้แล้วก็ไปตั้งที่เมืองเดลีสองแห่งสามแห่งเพื่อให้พวกศูทรได้เข้าไปศึกษา ปลุกพวกศูทรให้ตื่นตัวเพื่อต่อสู้กับชีวิตที่ถูกต้องต่อไป แกเป็นนักต่อสู้ เวลาตายแล้วเขาปั้นรูปไว้ที่หน้ารัฐสภาของอินเดียแล้วก็มีรูปที่เมืองอัลลาห์ฮัม (37.23 เสียงไม่ชัดเจน) เมืองนู้น โอลังคบาท (37.25) แล้วก็ที่บอมเบย์ที่มหาวิทยาลัยที่แกเคยเป็นครูสอนวิชากฎหมาย เขาก็ทำรูปปั้นเป็นที่ระลึกว่าเป็นคนเก่งคนหนึ่งของประเทศอินเดีย นี่พวกวรรณะศูทร
พวกพราหมณ์เขาถือวรรณะรุนแรงมันยุ่งพวกวรรณะ นักศึกษาเผาตัวตายไปตั้งกี่คนเพราะเรื่องงบประมาณที่จะช่วยวรรณะศูทรนี่แสดงว่าถือศาสนาแต่ไม่เข้าถึงธรรมะของศาสนาไม่เข้าถึงธรรมะไม่ได้เป็นพราหมณ์ที่ถูกต้อง พราหมณ์นั้นคือใจ พระพุทธเจ้าบอกว่าพราหมณ์คือคนที่ลอยบาปแล้วไม่มีกิเลสเป็นเครื่องตวาดผู้อื่นว่า ฮือ ฮึ เพราะว่าพราหมณ์คนนั้นแกเที่ยวเลี้ยงแพะอยู่ข้างต้นอปชานิโครธ ต้นไม้ไทรที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วไปนั่งพักอยู่ที่นั่น คราวนี้ก็พระองค์ได้ยินเสียงแล้วมันตวาดใครต่อใครว่า ฮึ ฮึ บ่อยๆ คราวนี้แกก็มาตั้งปัญหาถามพระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่เป็นพราหมณ์นี่เป็นเพราะอะไร เป็นพราหมณ์ได้ด้วยอะไร พระองค์บอกว่า พราหมณ์ก็คือผู้ที่ได้ลอยบาป หมดกิเลส ไม่มีตัวกิเลสที่จะให้ตวาดคนอื่นว่า ฮือ ฮึ นั่นแหละเขาเรียกว่าเป็นพราหมณ์ พระพุทธเจ้าท่านพูดในเชิงตลกนะเพราะว่าพราหมณ์คนนั้นมันขี้ตวาดคนว่า ฮึ ฮึ เห็นใครมาทำฮึ ฮึ แกบอกพราหมณ์ก็คือผู้ลอยกิเลสหมดแล้ว ไม่มีกิเลส เป็นเครื่องตวาดคนอื่นว่า ฮือ ฮึ นั่นแหละเป็นพราหมณ์
คราวนี้พราหมณ์ในอินเดียมันไม่ลอยบาปไง มันพอกบาปก็รังเกียจคนอื่นมันเป็นบาปนี่ เรารังเกียจใคร เราโกรธใคร เราพยาบาทใครเราไม่เป็นมนุษย์นี่ แล้วพราหมณ์มันก็ไม่เป็นพราหมณ์ มันนึกแต่ว่าเป็นพราหมณ์เพราะเกิดมาเป็นพราหมณ์ ทีนี้พระพุทธเจ้าว่าไม่ใช่ว่าเกิดในสกุลพราหมณ์แล้วจะเป็นพราหมณ์ เกิดในสกุลกษัตริย์จะเป็นกษัตริย์ เกิดในสกุลพ่อค้าจะเป็นพ่อค้าหรือเกิดในสกุลศูทรจะเป็นศูทร ไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นเพราะเราทำ กรรมทำให้เป็น “กัมมัง สัตเต วิภะชะติ ยะทิทัง หีนับปะนี สัตตายะ” (39.32 ไม่ยืนยันตัวสะกด) กรรมจำแนกจัดให้เลวให้ประณีต ไม่เฉพาะการเกิดไม่ใช่คนนั้นเกิดในสกุลสูงแล้วจะสูงไปตามสกุลมันก็แล้วแต่การประพฤติการปฏิบัติ
คนเกิดในตระกูลใหญ่แต่ชีวิตตกต่ำก็มีเยอะแยะ คนเกิดในตระกูลชาวนาต่ำต้อยแต่ว่ามีการศึกษามีการเล่าเรียนมีความก้าวหน้าในชีวิต ในการงานก็เป็นคนสำคัญได้ หรือว่าคนเกิดในสกุลที่ (40.05 เสียงไม่ชัดเจน) เรียกว่าสกุลต่ำ แต่เข้ามาเรียนธรรมะบวชในพระศาสนาคนก็กราบไหว้บูชาสักการะเหมือนกับดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำก็เป็นของสะอาดใครเก็บเอาไปใช้ก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้ถือ แล้วใครจะมาบวชในพระพุทธศาสนานี้ไม่ได้แยกชั้นวรรณะอะไรเอาไว้ ทุกคนมาบวชในพระศาสนาของพระองค์ได้
พุทธศาสนาเหมือนกับมหาสมุทรใหญ่น้ำในแม่น้ำต่างๆ มาจากที่ต่างๆ ไหลมารวมลงในมหาสมุทรแล้วเมื่อลงไปในมหาสมุทรน้ำนั้นมีรสเดียวคือรสเค็มฉันใด ผู้ที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ปฏิบัติธรรมก็ได้รับรสแห่งวิมุตติรสเกิดความหลุดพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน ใครๆ ก็ทำได้ พราหมณ์ก็ทำได้ กษัตริย์ก็ทำได้ พวกเวศย์พ่อค้า พวกศูทร พวกจัณฑาล ถ้ามาบวชในพระพุทธศาสนาก็เป็นคนดีได้ทั้งนั้น มันเป็นอย่างนี้ แต่คนอินเดียมันถือตามแบบเก่าเรียกว่า ถือกิจธรรมเนียมกิจประเพณีไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ธรรมนูญของอินเดีย อัมเบดการ์แกเขียนดี แกเขียนว่าประเทศอินเดียเป็นประเทศที่ไม่มีชนชั้นระบบวรรณะไม่มีในประเทศอินเดีย ธรรมนูญมันว่าอย่างนั้นแหละแต่ว่าสังคมมันไม่ยอม มันยังมีอยู่อย่างนั้น ทำไมจึงมี มันเรื่องประโยชน์
พราหมณ์นี่ถือประโยชน์เพราะว่าพราหมณ์นี่มีหน้าที่สอนธรรมะสอนวิชาการต่างๆ เป็นครูเป็นอาจารย์ วรรณะอื่นเป็นไม่ได้เพราะถือว่าพราหมณ์เกิดจากปากพระพรหมมีหน้าที่สอนแทนพระพรหม แล้วพวกกษัตริย์เกิดจากแขนต้องไปรบทัพจับศึก พวกศูทรเกิดจากท้องต้องหาอาหารใส่ท้องเป็นพ่อค้า ส่วนพวกศูทรพวกกรรมกรนี่เกิดจากหน้าแข้งต้องแบกต้องหามต้องเป็นกรรมกร เขาจัดกันไว้อย่างนั้น มันไม่จัดเพราะผู้เป็นเจ้าจัดแต่ว่าพราหมณ์เขาเขียนคัมภีร์นี้ขึ้น พราหมณ์เขียนเองคัมภีร์นี้แล้วเขียนเข้าข้างตัวเอารัดเอาเปรียบคนอื่นตลอดเวลา และมีคำพูดว่าขี้ฝุ่นทำให้ฟ้าสกปรกฉันใด ศูทรก็ทำให้พราหมณ์สกปรกฉันนั้น มันถือเป็นซะอย่างนั้น มันเรียกว่ามันแย่เต็มที จึงทำให้เกิดปัญหานี้ไม่ใช่มีเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เพราะเหยียดหยามคนอื่น
มนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นต้องเคารพสิทธิของผู้อื่น เคารพความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นไม่ว่าคนนั้นจะเป็นอะไรแต่งตัวสกปรกก็ถือว่าเป็นคนได้แต่งตัวสะอาดก็เป็นคนได้ อยู่ในฐานะอะไรก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่เหยียดหยาม ไม่ดูถูก ไม่ดูหมิ่นและก็ไม่ทำร้ายร่างกายไม่ทำร้ายจิตใจ ไอ้ทำร้ายร่างกายไปฟันไปแทงร่างกายแต่ทำร้ายจิตใจมันแรงกว่านั้น เช่นการดูถูก ดูหมิ่น เหยียดหยาม เป็นการทำร้ายจิตใจทำให้คนเกิดมีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำมนุษย์ทำเช่นนั้นไม่ได้ แล้วมนุษย์ต้องมีความเคารพในกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นหลัก
ประการที่สอง คือ ไม่ถือเอาสิ่งของของใครๆ ที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ถือเคารพใน “กรรมสิทธิ์” กรรมสิทธิ์ก็สิทธิที่เกิดจากการกระทำ “กรรมะ” คือ การกระทำ “สิทธิ”แปลว่า ความเป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์ก็คือความเป็นเจ้าของ นาย ก ไปทำงานได้เงินมาร้อยบาท เงินร้อยบาทเป็นของนาย ก นาย ข จะไปแย่งเงินนาย ก ไม่ได้ ถ้าไปแย่งนาย ก นาย ข ก็ไม่เป็นมนุษย์มนาเป็นคนไม่มีคุณธรรมของความเป็นมนุษย์ นาย ข จะต้องเคารพสิทธิของนาย ก นาย ก ก็ต้องเคารพสิทธิของนาย ข ต่างคนต่างเคารพแก่กันและกัน อยู่ด้วยกันอย่างฉันท์พี่น้องเป็นมนุษย์สมบูรณ์ในข้อศีลข้อที่สอง แล้วก็ต้องทำมาหากิน หน้าที่ก็คือทำมาหากิน ทำนา ทำสวน เป็นพ่อค้า เป็นข้าราชการ เป็นนักวิชาการ เป็นอะไรก็ตามใจ มีหน้าที่จะต้องทำก็ทำงานไปตามหน้าที่ อันนี้เรียกว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น
ประการที่สาม ไม่ประพฤติผิดในทางกามารมณ์คือพอใจในคู่ครองของตน ถ้าหากว่าไม่มีคู่ครองก็ไม่ไปเที่ยวสำส่อนไม่ไปเที่ยวกลางคืน ไม่ไปหาความสุขตามสถานที่ที่มันไม่ปลอดภัยและก็ถือหลักในใจว่าเราไม่ส่งเสริมความชั่วเราไม่ทำชั่วด้วยตัวไม่ส่งเสริมความชั่วไม่สนับสนุนสิ่งชั่วร้าย อะไรที่มันเป็นสิ่งชั่วร้ายทำให้เกิดปัญหาขึ้นในสังคมเช่น การลักหญิง เด็ก มาขายมันเป็นความชั่วร้ายในสังคมมันเกิดเพราะอะไร ก็เพราะว่าความสำส่อนในเรืองเกี่ยวกับกามารมณ์ ยามพุทธบริษัทผู้มีความเคารพในพระธรรมก็ไม่ไปส่งเสริมสิ่งนั้นไม่ไปสนับสนุนสิ่งนั้นเราไม่ไปอย่างนี้เรียกว่า เราเป็นผู้มีคุณธรรมของความเป็นมนุษย์ ถ้าเราไปเที่ยวเหลวไหล ไปอาบ ไปอบ นี่ก็ไม่ได้เรียก มันทำให้เสียหายเหมือนกันเป็นการส่งเสริมเกี่ยวกับเรื่องกามารมณ์ ทำให้ผิดศีลข้อที่สามได้ง่าย เราก็ไม่ไปเที่ยวในที่อย่างนั้นเป็นของต้องห้ามไม่ควรเข้าไปแตะต้องเป็นอันขาด ความเป็นมนุษย์ก็สมบูรณ์ขึ้น
เป็นมนุษย์ที่ “ปาก” ปากคือ ทางวาจา มนุษย์ต้องไม่พูดคำโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดคำเหลวไหล ไม่พูดคำที่ทำคนให้แตกหักกัน อันนี้สำคัญมากเรื่องพูดนี่เป็นเรื่องสำคัญ “ปากเป็นเอก เขาว่าเลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ความชั่วดีเป็นตราประทับไว้ในชีวิตของเรา” เราจะพูดอะไรจึงควรพูดแต่คำที่จริง คำที่อ่อนหวาน สมานสามัคคี และมีประโยชน์ คำจริงนี่ก็ต้องดูเวลาเหมือนกัน ไม่ใช่พูดได้เสมอไป ผมมันคนพูดจริง พูดจริงมันก็ไม่ได้บางทีเวลามันไม่เหมาะ บุคคลฟังมันไม่เหมาะ เหตุการณ์มันไม่เหมาะ ก็ไม่ได้ เราต้องรู้ว่าเวลา บุคคล เหตุการณ์สิ่งเกี่ยวข้องควรจะพูดสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่ ของจริงนั่นแหละแต่ไม่ใช่พูดได้เสมอไป มันต้องดูบุคคลที่เราจะพูดด้วย ดูเวลาว่าเหมาะสมหรือไม่ ดูเหตุการณ์ว่าเหมาะสมหรือไม่ ดูสิ่งแวดล้อมว่ามันจะเหมาะสมหรือไม่ จึงควรจะพูดทำอะไรออกไป ไม่ใช่ว่าจริงจะพูดได้เสมอไป มาพูดได้ไม่เสมอไป พูดได้มันก็ไม่ดีเราก็ไม่พูด คือให้คิดว่าถ้าพูดแล้วคนอื่นเดือดร้อนเราไม่พูด พูดแล้วกระทบกระเทือนน้ำใจเป็นการทำลายจิตใจของคนอื่นเราก็ไม่ควรทำเช่นนั้น เรียกว่าเป็นพูด คำพูดที่ถูกต้อง และเราไม่พูดคำหยาบกับใครๆ
นอกจากคนที่เป็นกันเอง พูดภาษาไทยเดิมเช่น พูดมึง พูดกูนี่ความจริงมันไม่ใช่คำหยาบอะไรหรอก แต่ว่าคำไทยมันมีหลายชั้น ชั้นนั้นพูดกันอย่างนั้นชั้นนั้นพูดกันอย่างนั้น เวลาประชุมนักเรียนเก่าๆ นักเรียนเก่าบางคนไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด บางคนเป็นอธิบดี บางคนเป็นนายกรัฐมนตรีแต่พอไปเจอกันเข้ามันขึ้นมึงขึ้นกูกันทั้งนั้นแหละ เขาไม่พูดท่านรัฐมนตรี ท่านเจ้าเมืองหรือท่านอธิบดีหรอกในที่เช่นนั้น เขาพูดแบบเก่าสมัยเป็นนักเรียนนะ พอเจอกันเฮ้ย ไอ้กุ้งมั่ง ไอ้อ๊อด ไอ้อู๊ด อะไรว่าไปตามเรื่อง เอาชื่อเก่าๆ มาพูดมาคุยกัน ไอ้อย่างนั้นมันก็เป็นกาลเทศะอย่างนั้นเป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮาไม่ใช่เป็นคำหยาบคายอะไร แต่ว่าถ้าไม่ใช่เวลาเช่นนั้นเราไปพูดเอ่ยชื่อใคร เอ่ยถึงใครแล้วใช้คำหยาบเรียกไอ้ เรียกอี กับเขา มันก็ไม่สมควรที่จะพูดเช่นนั้นไม่ใช่เขาเสีย เราพูดเช่นนั้นไม่ใช่เขาเสีย แต่เราเสีย คนพูดมันเสีย เสียอย่างไร เสียว่าเป็นคนไม่มีสมบัติผู้ดี ไม่มีมารยาท ไม่รู้จักใช้วาจาให้เหมาะให้ควร เขาเรียกง่ายๆ ว่าเป็นคนปากเสียนั่นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไรเราพูดไปแล้ว เรามันเสียคนอื่นเขาไม่ได้เสีย แต่ถ้าเขาได้ยินเขาเสียใจเหมือนกัน เราจึงไม่ควรพูดคำหยาบคายกับใครๆ
แล้วไม่ควรพูดคำประเภทที่ทำให้แตกกัน ยุแยงตะแคงรั่ว ยุแหย่ ไปยุคนนั้นไปยุคนนี้ บางคนไปยุชอบเห็นคนแตกกัน เขารักกัน เขาสามัคคีกัน ผัวเมียอยู่กันดีมีความสุข ไม่อยากให้มันเป็นสุขมันต้องทำลายหน่อย แล้วก็พูดยุกับสามีบ้าง ไปยุกับภรรยาบ้างไปพูดจาอย่างนั้น พูดบ่อยๆ พูดให้เขาเกิดระแวงกันแล้วเขาก็ตีกัน ทะเลาะกัน เขาก็สบายใจว่าเออกูทำสำเร็จ มันไม่ได้เรื่องอะไร ทำอย่างนั้นสร้างปัญหาให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน
ปัญหาระหว่างชาติก็มีการยุแยงตะแคงรั่วให้เกิดการแตกร้าว พวกฑูตนี่บางฑูตก็ดีบางฑูตก็ไม่ค่อยเรียบร้อยเหมือนกัน ฑูตบางคนใช้ลิ้นเพื่อก่อสงครามเพื่อความแตกแยกแตกร้าวเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง บางคนก็พูดเพื่อผลประโยชน์แก่ส่วนรวมแต่ว่ามีน้อย ส่วนมากพูดเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติของตัวเพราะนโยบายรัฐบาลเป็นอย่างนั้น สั่งไปอย่างนั้นให้พูดให้ทำอย่างนั้นอันนี้ก็เป็นการที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมควร ผิดหลักการเหมือนกันแต่ว่ามันเป็นหน้าที่ของเขาอีก เขาทำตามหน้าที่เพราะพวกฑูตนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนพวกจารกรรมนั่นเองหละ ที่ไปอยู่ในประเทศต่างๆ ไปทำจารกรรมทั้งนั้น คอยสอดแนมเรื่องราวของประเทศนั้นประเทศนี้ แล้วรายงานมายังรัฐบาลว่าเขาทำอะไรกัน เขาวางแผนอย่างไร เราควรจะต่อสู้อย่างไร ควรป้องกันอย่างไร ความจริงมันก็เป็นอย่างนั้น แต่ว่าเขาไม่พูดกันหรอกว่าเป็นอย่างนั้น แต่เขาพูดว่าผู้แทนต่างประเทศ ผู้แทนประเทศนั้นประเทศนี้ แทนไปดูอะไรไปทำจารกรรมทั้งนั้นแหละไม่ใช่เรื่องอะไร เขาก็พูดไปตามเรื่องของเขา แต่ว่าโดยปกติคนจะไม่พูดทำอะไรให้คนแตกแยกแตกร้าวทางด้านจิตใจ มีอย่างนี้เขาเรียกว่าใช้ได้
อีกอันหนึ่ง พูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล คือเป็นคนฟุ้งเฟ้อ พูดมาก พูดไม่เป็นสาระ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ไม่เป็นประโยชน์แก่ท่าน แต่ชอบพูด เป็นคนที่พูดมาก ปากเปียกปากแฉะไม่ค่อยได้เรื่องอะไร คนบางคนชอบบ่น บ่นลูกบ่นหลาน บ่นมากๆ หลานมันไม่เคารพ คุณยายอย่าพูดมากได้ไหม พูดเป็นเรื่องเป็นราวเป็นครั้งเป็นคราว วันไหนจะพูดก็เรียกมาใกล้ๆ มาแสดงความรักความเอ็นดูมีขนมก็เลี้ยงกันนิดหน่อยแล้วก็ค่อยพูดว่า แหมนี่หลาน ยายจะขอเรื่องนั้นขอเรื่องนี้ ไม่ให้หลานประพฤติอย่างนั้น ไม่ให้หลานประพฤติอย่างนี้ ถ้ารักยายก็อย่าทำอย่างนั้นนะหลานนะลูกนะอะไรอย่างนั้นแหละ มันเป็นจังหวะจะโคนที่เราควรพูดจาเป็นเรื่องเป็นราวไม่ใช่บ่นพร่ำเพรื่อปากเปียกปากแฉะ คนมันก็ไม่อยากเข้าใกล้แล้วเสียหายถึงวัดด้วยนะ บอกโอยคุณยายไปวัดทุกอาทิตย์แต่กลับมาบ้านปากเปียกปากแฉะ คุณยาย คุณย่า คุณปู่ คุณตา คุณปู่ คุณตาไม่ค่อยมี แต่ว่าคุณย่าคุณยายนั้นมีเรื่องมาก
เพราะฉะนั้นเรามาวัดมาวาแล้วจะไปพูดกับลูกกับหลาน พูดให้เป็นเรื่องเป็นราว เรียกมาสนทนากันพูดคุยกัน อย่าพูดด้วยอารมณ์แต่พูดด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติปัญญาพูดจาแนะนำชักจูงชี้เหตุชี้ผลให้เขาเข้าใจเรื่องว่าอันนั้นถูก อันนี้ผิด อันนี้ควร อันนี้ไม่ควร พูดให้เขาเข้าใจอย่างนี้ก็เป็นเรียกว่า เราใช้วาจางาม คนที่พูดเป็นนั้นปากมีค่า พูดไม่เป็นก็ปากไม่มีราคาเขาเรียกว่าเป็นคนปากไม่มีค่าไม่ได้เรื่องอะไร นี่ก็เป็นคุณธรรมของมนุษย์ประการหนึ่ง
ส่วนทางใจนั้นมนุษย์ต้องเป็นผู้ไม่ปล่อยใจให้ตกอยู่ในอำนาจความโลภ ไม่ปล่อยใจให้ตกอยู่ในอำนาจความโกรธ ไม่ปล่อยใจให้อยู่ในอำนาจของความหลง คนเป็นมนุษย์จึงต้องปฏิบัติธรรม สองประการ คือ สติ ปัญญา เป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจ มีสติควบคุมจิตไม่ให้คิดเรื่องชั่ว ไม่ให้ทำสิ่งชั่ว ไม่ให้เกิดความโลภ ไม่ให้เกิดความโกรธ ไม่ให้เกิดความหลง หรือกิเลสประเภทอื่นๆ เราก็ไม่ให้เกิด แต่ว่ากิเลสที่มันใหญ่โตนั้นมันมีอยู่สามตัว คือ โลภะ โทสะ โมหะ นี่แหละ สามตัวนี้มันก่อให้เกิดตัวเล็กตัวน้อยกิเลสจรมาอีกมากมายในใจของเรา
อันนี้เราคุมไม่ให้เกิดความโลภ ไม่ให้เกิดความโกรธ ไม่ให้เกิดความหลง จิตใจก็สงบ เมื่อจิตใจสงบมันก็สะอาด มันก็สว่าง เมื่อจิตใจสะอาดสงบสว่างก็เรียกว่า “เราเป็นมนุษย์สมบูรณ์” เป็นมนุษย์ที่มีคุณธรรม แล้วก็ทำหน้าที่อะไรอื่นต่อไป ใครมีหน้าที่อะไร เป็นพ่อทำหน้าที่พ่อ เป็นแม่ทำหน้าที่แม่ เป็นครูทำหน้าที่ครู เป็นอาจารย์ทำหน้าที่อาจารย์ เป็นตำรวจ เป็นทหาร เป็นผู้แทนราษฎร เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกฯ ทำหน้าที่ให้มันถูกต้องให้เรียบร้อย อย่าให้เป็นที่เสียหายแก่ชาติแก่บ้านเมือง แก่สังคม แก่ตระกูล แก่ครอบครัว อย่างนี้ก็เรียกว่าเราประพฤติธรรมถูกต้องตามหน้าที่ อยู่ในโลกได้อย่างที่เรียกว่าเป็น “กัลยาณชน” หมายความว่า เป็นคนดี เป็นคนเจริญ
ส่วนเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่สูงขึ้นไปเชื่อว่าทำหน้าที่แก้ไขปัญหาชีวิตให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนเป็นเรื่องละเอียดสลับซับซ้อนที่อยากเอามาพูดตอนนี้ก็ไม่มีเวลาแล้วเพราะเวลาหมดพอดี จึงขอยึดที่ไว้แต่เพียงเท่านี้ตอนนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที