แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้ง ใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
เมื่อวันศุกร์นี้ฝนตกมาก วันเสาร์ก็ยังตกอยู่ครึ่งวัน เกิดความวิตกขึ้นว่า น้ำมันจะ ไม่แห้ง แต่ว่าพอดีมันหยุดตกครึ่งวัน น้ำก็ลดลงไปลานไผ่ก็แห้ง พอจะได้นั่งกันสะดวก สบายต่อไป หมู่นี้ฝนตกบ่อย มีพายุมาบ่อยๆ เมืองไทยนี่อยู่ได้ด้วยพายุไต้ฝุ่น หม่อมหลวง ชูชาติ กำภู อดีตอธิบดีกรมชลฯท่านพูดว่า “ประเทศไทยนี่อยู่ได้ด้วยไต้ฝุ่น ปีหนึ่ง ขอสักสองสามลูกก็พอ” แต่ปีนี้มาสองสามลูกแล้ว ก็คงจะพอแล้ว แต่มันก็คงจะ ไม่พอ ละสำหรับบางที่ ภาคใต้ยังไม่มีฝน ก็ยังจะลงใต้ต่อไป เมื่อความกดอากาศจากประเทศ จีน จากไซบีเรียกดลงมา กรุงเทพฯหนาว ภาคใต้ก็จะมีฝน เพราะว่าอากาศหนาวนั้น แลดันฝนลงไปใต้ และไปตกตั้งแต่ชุมพร จนถึงนราธิวาส เลยเข้าไปในเขตของมาเลเซีย ดินฟ้าอากาศมีสภาพเช่นนั้น มันมีกฎเกณฑ์อยู่ในตัวมัน แล้วก็เป็นไปตามกฎของ ธรรมชาติ เพราะฉะนั้น น้ำจึงแห้งบ้าง ท่วมบ้าง
กรุงเทพในกรุงแท้ๆเขากันไว้ น้ำไม่ให้เข้ามาในเมือง แต่ให้รออยู่ที่นู่น มีนบุรี หนองจอก ทุ่งรังสิตนะ สวนส้มเสียหายไปตามๆกัน เจ้าของสวนเสียหายมาก เพราะว่าส้มมันตาย ตายแล้วก็ต้องปลูกใหม่ ปีหน้าต่อไปส้มก็คงจะขึ้นราคาแพง กันหน่อย ถ้าใครมีสวนส้มเหลือไม่ตาย ก็เรียกว่าได้กำไรคุ้มค่า แต่ว่าจะทำอย่างไรได้ เพราะเราห้ามฝนไม่ได้ ห้ามธรรมชาติไม่ได้ ธรรมชาติมันมี กฎของธรมชาติ มันเป็นไปตามกฎของมัน เราจะไปขออย่างนั้นก็ไม่ได้ ไปขออย่างนี้ ก็ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น มันจะเป็นก็ต้องเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ เราควรศึกษาทำความเข้าใจและควรรู้ว่ามันเป็นเช่นนั้นเองตามลักษณะของธรรมะ ว่า ธรรมชาติทั้งหลาย ธรรมดาทั้งปวงเป็นเช่นนั้น มันเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าเรานึกได้อย่างนั้น ใจก็สบาย ไม่ฝืนกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ไม่อยากมี อยากได้อะไรที่มันเกินขอบเขต เรามีเท่าที่เราทำได้ เราได้เท่าที่เราทำมา ก็สบายใจ ไม่มีอะไรเป็นปัญหา
วันนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของประเทศไทย วันที่ ๒๑ ตุลาคม นี่เป็น วันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี วันนี้เขามีการฉลอง กันด้วยประการต่างๆ เรียกว่าถวายพระพรให้พระองค์ทรงมีอายุยืนนานต่อไป จะได้ อยู่เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายต่อไป เราชวนกันถวายพระพรแก่พระองค์ท่าน ความจริงพระองค์ท่านนั้นมีพรอยู่ ล้นเหลือแล้วเพราะได้ทรงกระทำความดีอยู่ตลอดเวลา มีน้ำพระทัยมั่นคงในธรรมะ แล้วก็เสียสละเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ผู้อื่น เรียกว่าเป็นพรอยู่ในตัวตลอดชีวิต ของพระองค์ท่านก็ว่าได้ เราเอาพรเล็กๆน้อยๆไปให้ท่านมันก็ไม่สมกัน แต่ว่าเราควร เอาพรจากท่าน
เอาพรจากท่านนี้จะเอาอย่างไร เราก็ควรจะพิจารณาถึงพระคุณของพระองค์ท่าน ว่าพระองค์ท่านมีพระคุณอย่างไร มีความงามความดีอย่างไร แล้วเรามาช่วยกัน ประพฤติธรรม เกิดทำความดีให้เหมือนกับที่พระองค์กระทำ หรือไม่เหมือนทีเดียว ก็ให้คล้ายกันกับที่พระองค์ทรงกระทำอยู่ อย่างนั้นเป็นร่วมกันการสร้างพร สร้างความ งาม ความดีขึ้นในสังคม ดีกว่าที่ไปให้ท่าน เพราะถึงให้ก็ไม่ไหว น้ำมันเต็มโอ่งแล้ว เราตักใส่ลงไปก็ล้นออกไปเท่านั้นเอง เพราะพรที่ท่านมีนั้นล้นเหลือ ล้นฟ้าล้นดินแล้ว มีมากมาย แต่ว่าเราควรจะไปเอาของท่านมาใส่ไว้ในใจของเรา ทำจิตใจของเราให้เป็นพร ให้เป็นความงาม ความดีขึ้น
คำว่าพรนั้นหมายถึงอะไร ความว่าพรมาจากความว่าวาระ แปลว่าประเสริฐ คำภาษาบาลีว่า วาระ แปลว่าประเสริฐ แล้วเรามาเพี้ยนเป็นภาษาไทยว่า พร ก็หมาย ความว่าความคิด การพูดการกระทำที่ประเสริฐ เราต้องมีพรในตัวเรา แล้วเราจึงจะให้ พรคนอื่นได้ ถ้าเราไม่มีพรในตัวพอจะไปให้พรคนอื่นได้อย่างไร เหมือนเราเรียกคนมา แล้วจะแจกสตางค์ ถ้าเราไม่มีสตางค์ จะแจกเขาอย่างไร คนพวกนั้นมันโกรธ จะพากัน บุบเราเท่านั้นเอง บอกว่าเรียกมาให้เสียเวลา ไม่มีสตางค์สักหน่อย อย่างนี้มัน โกรธขึ้นมาเท่านั้น นี่เราจะให้พรคนอื่นก็เหมือนกัน เราต้องมีพรเพียงพอ คือมีคุณงาม ความดีเพียงพอ ที่จะให้แก่ผู้อื่นได้
พระพุทธเจ้าท่านอยู่เหนือพร เหนือความงามความดี ถ้าพูดตามภาษาชาวโลก คือมีพรล้นเหลือ พระองค์จึงให้พรคนอื่นได้บ่อยๆ พระสงฆ์องค์เจ้าที่ประพฤติดี ประพฤติชอบอยู่ในศีลในธรรม ประพฤติถูกต้องตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ก็เรียกว่ามีพรล้นเหลือ ใครมาก็ให้พรได้แต่ว่าหากเราเป็นคนไม่มีพรจะให้ เราจะให้อะไร ไม่มีพรจะให้ จะไปให้ใครๆมันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราควรจะเอาพรของท่าน ที่มีพรนั่นแหละมาไว้ในใจของเรา มาใส่ในใจของเรา เพราะฉะนั้นการที่จะทำอย่างนั้นได้ ก็ต้องพิจารณา ถึงความงาม ความดี ของท่านผู้นั้น เช่นว่าสมเด็จพระราชชนนี เราก็พิจารณาว่า ท่านมีความดีอย่างไรบ้าง ความดีในพระองค์ท่านนั้นมีมากมายหลายอย่าง เรื่องเบื้องต้นที่เราเห็นได้ก็เรื่องทาน การให้
ท่านให้ทานอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเสด็จไปแห่งหนตำบลใด ไปก็ให้ทั้งนั้น ให้วัตถุสิ่งของ ให้เสื้อให้ผ้า ให้หยูกให้ยา ให้เครื่องเล่นแก่เด็กน้อยๆ ให้ผ้าห่มแก่คนเฒ่า คนแก่ นั้นเป็นวัตถุที่ท่านนำไปแล้วก็แจกอยู่สม่ำเสมอ ตามสถานที่ต่างๆ ที่ใดที่ไกล ผู้ไกลคน ในหลวงเสด็จเข้าไปไม่ถึง เพราะไม่สะดวกในการจะไป แต่สมเด็จ พระราชชนนีท่านไปถึง เช่นตามเกาะแก่งต่างๆในประเทศไทยนี้ พระองค์ก็เสด็จ ไปโดยทางเรือ ไปกับเรือรบของกองทัพเรีอ และลงเรือเล็กไปขึ้นเกาะเหล่านั้น เอาของไปแจกแก่ชาวบ้าน หรือว่าตามอ่าวลึกๆก็ไป การคมนาคมไม่สะดวก ไม่มีถนน รถยนต์ที่จะไปถึงได้ ท่านก็เสด็จไปทางเรือ ลงจากเรือก็ไปขึ้นที่หาดทรายในอ่าวนั้น นำของไปแจก ดังปรากฎเป็นภาพเป็นข่าวที่ปรากฎทางโทรทัศน์อยู่บ่อยๆ นี่เป็น จริยวัตรของพระองค์ที่ทรงกระทำสม่ำเสมอ ด้วยการแจกสิ่งของแก่คนเหล่านั้น เราเห็นในภาพที่เวลาไปแจก แจกของให้เด็กตัวน้อยๆ เป็นของเล่น อุตส่าห์ซื้อไปแจก แจกคนเฒ่าคนแก่ก็เป็นผ้าห่ม ผ้านอน ผ้าผวย เอาไปห่มนอน
แล้วแจกแก่คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็คือแจกยา โดยมากท่านก็นำกองแพทย์ไปด้วย เรียกว่ากองแพทย์ในสมเด็จในสมเด็จพระบรมราชชนนี ตามโครงการของท่าน แพทย์ก็ตามเสด็จไป ไปเพื่อดูแลพระองค์ท่าน แต่ว่าพระองค์ท่านก็ไม่ป่วย ไม่เจ็บไข้ ให้แพทย์ต้องรักษาเลย แต่ว่าแพทย์เหล่านั้นก็ไปตรวจฟันบ้าง ตรวจโรคต่างๆบ้าง แก่ประชาชน เวลาเสด็จไปไหน ประชาชนก็มาให้ตรวจโรคมีประการต่างๆ เป็นการกระทำอยู่เป็นประจำ อยู่ตลอดเวลา ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วที่ให้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือให้ความสุขใจ แก่คนที่ได้พบได้เห็น คนตามบ้านนอก บ้านนาอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง ได้เห็นเจ้านายเสด็จไปใกล้ไปเยี่ยมไปเยือนเขาก็พอใจ เป็นความสุขใจ เพราะการเห็นคนที่ดีคนที่เจริญนั้นเป็นมงคลอย่างหนึ่ง ก็เรียกว่า
สมณานัญจะ ทัสสะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง การได้เห็นสมณะคือเห็นบุคคล ผู้สงบ แม้มิได้ทรงผ้ากาษายะตามแบบนักบวช แต่ท่านก็เป็นผู้สงบกาย สงบวาจา สงบใจ มีน้ำพระทัยเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนทั่วไป เมื่อคนได้เห็นก็มีความชื่นอกชื่นใจ เพราะฉะนั้นท่านไปไหน ทุกคนมาคอยเฝ้า ชมพระบารมีมารับพรจากพระองค์มากมาย นั่นเป็นการชื่นใจของประชาชน เป็นสิ่ง ที่พระองค์ได้กระทำอยู่เป็นประจำ
เราทั้งหลายเมื่อได้เห็นพรข้อนี้ของพระองค์ เราก็ทำบ้างตามฐานะของเรา ทำอะไรบ้างตามฐานะ คืออย่าเอาความสุขคนเดียว อย่าอยู่เพื่อความสบายคนเดียว แต่เราอยู่เพื่อให้คนอื่นสบายบ้าง ให้ถือเป็นอุดมการณ์ประจำใจว่า เราเป็นสุขแล้ว ต้องให้คนอื่นสุขบ้าง เราสบายแล้ว ต้องให้คนอื่นสบายบ้าง เราได้กินอิ่มหนำ สำราญแล้ว ต้องนึกถึงคนที่กำลังหิวกำลังกระหาย ซึ่งมีอยู่จำนวนมากวัตถุไม่พอ กินไม่พอใช้ เราก็ควรจะแบ่งให้แก่เขา ตามสามารถที่จะให้ได้ ไปเห็นคนเฒ่าคนแก่ คนตกทุกข์ได้ยากที่ไหน เราก็ช่วยกัน
แต่ว่าการช่วยสังคมนี่ อย่าช่วยให้สังคมมันพิการ อย่าช่วยให้สังคมอ่อนแอ การช่วยให้อ่อนแอนั่นคือ เราช่วยเป็นรายบุคคลไป การช่วยอย่างนั้นทำคนให้อ่อนแอ ไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้ แต่เราควรจะรวมเป็นกลุ่มเป็นก้อนกันเข้า ตั้งเป็นองค์การ เป็นสมาคม เป็นสมาคมสงเคราะห์ เช่นว่าเป็นสมาคมสงเคราะห์คนแก่คนชรา เรามุ่งช่วยคนแก่คนชราให้ได้รับที่อยู่อาศัย ได้มีอาหารการกิน มีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เราช่วยเขาอย่างนั้นเป็นองค์การ เก็บเงินมารวมไว้ แล้วเอาไปสร้างที่อยู่อาศัย ช่วยเหลือให้เขาได้กินได้อยู่ได้สบาย ไม่ต้องเที่ยวเร่ร่อน
เมืองไทยเรานี้มีคนขอทานเยอะ เที่ยวขอทานอยู่ตามสามแยกสี่แยก ตามชุมนุม ส่วนใหญ่เช่นตลาดบางลำพู ประตูน้ำ เราจะเห็นว่ามีคนไปนั่งขอทานอยู่มากมาย ก่ายกอง นั้นเป็นเครื่องแสดงอยู่ในตัวว่า เราไม่ได้สงเคราะห์แก่คนเหล่านั้นเป็นระบบ เป็นแบบแผนที่ดีงาม แต่ว่าโยนให้ ไปถึงใครผ่านก็ให้ไปๆ อย่างนั้นไม่เป็นการช่วย ที่ถาวร เป็นการช่วยที่ทำให้คนถือโอกาส มาเป็นคนขอทานมากขึ้น ด้วยเห็นว่าคน ชอบให้ ไม่เป็นการช่วยสังคมอย่างแท้จริง ไม่ได้ช่วยยกระดับจิตใจคนให้สูงขึ้น
แต่ถ้าหากว่าเราทำเป็นองค์การ เป็นสมาคม ต้องมีคนนำขึ้นสักคนหนึ่ง และก็รวมพรรครวมพวกกันมา ทำการสงเคราะห์ เช่นเรามีบ้านสงเคราะห์คนชรา ใครที่ชราไม่มีญาติไม่มีมิตร เราก็เอาไปไว้ที่นั้น มีอาหารให้กินมีที่อยู่อาศัยมีหมอ คอยตรวจโรคภัยไข้เจ็บรักษาโรค และก็ช่วยกันเสียสละในสมาชิก สมมติว่าเรามามี สมาชิกร้อยคนพันคน คนหนึ่งพอเจียดเงินได้เดือนละเท่าไหร่ มีเจ้าหน้าที่ไปเก็บเงินมา และเอาไปช่วยเหลือคนเหล่านั้น อันนี้แหละเป็นการช่วยที่มีระบบ ทำให้การสงเคราะห์ ดีขึ้น ของเรายังไม่มีมากมายในเรื่องอย่างนี้ มีแต่ว่าให้ไป ให้ไป ใครมาขอก็ให้ คนบางคนร่างกายแข็งแรง แต่ไม่ทำมาหากิน เป็นคนเกียจคร้าน เห็นว่าขอได้ ก็เลยไปเที่ยวขอ อย่างนี้ถ้าเราให้ก็คือช่วยกันทำลายคนนั้นนั้นเอง ไม่ให้เขารู้จักช่วย ตนเอง รู้จักพึ่งตนเอง
เหมือนกับคุณแม่บางคน เมื่อเช้ามีแม่คนหนึ่งมาหา และก็บอกว่าทำอย่างไร กับลูกชาย ถามว่าลูกชายเป็นอย่างไร? ลูกชายไม่ทำงาน ผลาญแต่ทรัพย์สมบัติ ของคุณแม่ ผลาญหมดไปตั้งตั้งล้านแล้ว บอกว่าลูกชายอายุเท่าไหร่แล้ว? อายุ สามสิบแล้ว สามสิบแล้วไม่ต้องมาพึ่งคุณแม่ แต่ช่วยอย่างไรก็เลยบอกวิธีช่วยให้เรียกลูกมาแล้วบอกให้มาดูไก่ ไก่พอตัวเล็กๆนี่แม่ต้องเขี่ยอาหารให้มันกิน แต่พอมันโตแล้วไม่มีไก่ตัวใดมากินอาหารที่แม่เขี่ยให้ มันไปเขี่ยอาหารกินเอง ลูกหมา ตอนเล็กๆมันกินนมแม่ แต่พอโตแล้วมันไม่กินนมแม่เพราะแม่ไม่มีนมให้กินด้วย แล้วมันไปหากินเอง ลูกแมวก็เหมือนกัน เมื่อเล็กกินนมแมว แม่แมว แต่พอโตแล้วมันก็ทิ้งแม่ไปเที่ยวหากิน ลูกวัวลูกควาย เมื่อเล็กๆก็กินนมแม่ แต่พอโตแล้วกินหญ้าของมันเองได้ มันไม่มีวัวควายตัวไหนมาขอนมแม่กิน มันไม่ได้พึ่งแม่พึ่งพ่อต่อไป พ่อนี่ไม่ต้องพูดละ เพราะสัตว์เดรัจฉานไม่มีตัวไหน รู้จักพ่อ แต่รู้จักแม่เมื่อเมื่อดูดนม พอพ้นยุคดูดนมแล้ว มันก็ไม่รู้จักเหมือนกัน สัตว์เดรัจฉาน รู้จักพึ่งตัวเองได้ เราเป็นคนมีการศึกษาไปเรียนวิชาถึงเมืองนอกนู่น ไปอยู่เมืองนอกตั้ง สิปกว่าปีพูดฝรั่งมังค่าก็คล่อง แต่ไม่ทำงานมาขอดเงินเอาจากกระเป๋าคุณแม่ตลอด เวลา เลยแนะนำว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โยมต้องใจแข็งไม่ยอมให้ตังค์แก่ลูกต่อไป ถ้ามาขอบอกว่าเจ้าโตแล้วเจ้าไปทำมาหากินดูหมา ดูแมว ดูไก่เสียมั่ง มันพึ่งตัวเอง มันช่วยตัวเอง นี่เจ้าโตแล้วไม่รู้จักพึ่งตัวเอง ช่วยตัวเอง มันก็เลวกว่าหมากว่าแมว อย่ามาหาแม่ต่อไป ถ้าไม่มี ไม่ทำงานทำการก็อย่ามาให้แม่เห็นหน้า ตัดบัญชีไปเลย ทำได้ไหม บอกว่าต่อไปจะทำอย่างนั้น แต่เกรงว่าจะไม่ได้ เพราะใจอ่อนเกินไป
แม่นี่ต้องมีใจเข้มแข็งในบางครั้งบางคราว ต้องอ่อนในบางครั้ง แต่ต้องแข็ง ถ้าเราจะช่วยลูกของเราให้รู้จักช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง คุณแม่ต้องเข้มแข็งที่สุด ต้องอดทนได้ในเสียงอ้อนวอนของลูก ทำเฉยๆ การที่เราไม่ช่วยนั่นนะ คือให้ เขาช่วยตัวเอง แต่ถ้าเราช่วยอยู่ตลอดเวลามันช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะมันมีที่พึ่ง เดือดร้อน ก็มาขอสตางค์คุณแม่ คุณแม่ให้ทุกที มันก็ช่วยตัวเองไม่ได้ อย่างนี้มันก็เสียคนไป
เมื่อหลายปีมาแล้ว มีครอบครัวหนึ่งที่อยุธยามีลูกชายคนเดียว และลูกชายคน เดียวนี่ผลาญเงินซะเยอะแยะเลยทีเดียว แม่ก็ไปตามใช้หนี้ ไปเปลื้องหนี้ในที่ต่างๆ จนรำคาญ ตอนนั้นเป็นปี ๒๕๐๐ อาตมาก็มาพักทีบ้านนั้น และก็คุณแม่บ้านก็คุย ให้ฟังว่าจะทำอย่างไรกับลูกชายว่า “เอ้านี่แหละปี ๒๕๐๐ นี่ตั้งต้นใหม่กันเสียที” เรียกลูกมา เอามาคุย ทำความเข้าใจกัน ว่าต่อนี้ไปจะให้เงินใช้ปีละเท่านั้น ถ้าใช้ไม่ พอก็ไม่ให้อีกต่อไปและจะไม่ไปเที่ยวเปลื้องนี้ให้ ไปเที่ยวกู้หนี้ยืมสินใครต่อใครแล้ว จะให้แม่ไปตามเปลื้อง จะไม่ทำอีกต่อไป ทำได้ไหม? พ่อบอกว่าได้ แต่แม่บอกว่า อืม มันก็ลำบากเพราะมันก็ลูกของเรา อ้าวนี่แหละ ลูกมันเสียคน เพราะ น้านี่เองที่เป็นแม่ อาตมาเรียกว่าน้า น้านี่เองแหละทำให้ลูกเสียคน เพราะว่าคอยตามใจมัน ให้เงินมันเสียเรื่อย ต่อไปนี้ต้องทำอย่างนั้นก็ทำไม่ได้ เพราะใจไม่แข็ง คิดถึงลูกจะลำบากอย่างนั้น ไอ้กลัวลูกลำบากน่ะ ตัวลูกมันจะลำบาก ถ้าเรากลัวว่าลูกจะสบายนั่นลูกจะรู้สึกตัว เราช่วยให้เขาไม่สบายดีกว่า ให้ลำบากดีกว่า แล้วก็จะรู้สึกตัวในภายหลัง
แต่ว่าต่อมาคุณน้านั้นแกก็ตาย พอตายพ่อก็เด็ดขาดเลยทีเดียว ไม่อยู่บ้านเลย ไปอยู่วัดเสียเลย อยู่วัดเสีย วันหลังอาตมาไปแวะเยี่ยมพบตัวลูกชาย มาถึงบ่นออดเลย ไม่ไหวแล้ว ผมนึกแล้ว ตั้งแต่คุณแม่สิ้นบุญ ผมจะเดือนร้อน นี่ผมแย่แล้วเวลานี้ สตางค์ก็ไม่มีใช้ ต้องเก็บมะพร้าวหลังบ้านออกไปขายที่ตลาด เพื่อได้สตางค์ กินไปวันนึงวันนึง คุณพ่อนี่แกใจดำเหลือเกิน ทิ้งผมไว้ให้ลำบาก ท่านอาจารย์ หลวงพ่อมา ช่วยไปหน่อย ไปพูดกับพ่อให้กลับบ้านหน่อย ฉันพูดได้แต่จะกลับ หรือไม่กลับไม่รู้ ก็เลยไปพบพ่อ พอก็บอกว่าลูกชายเขาบ่นออดๆแอดๆ ก็ช่างมันเถอะ ให้มันรู้จักพึ่งตัวเองเสียบ้าง ผมจะไม่กลับบ้าน จนกว่าจะได้ไปทำศพของแม่ ของภรรยาแก แกไม่กลับลูกชายก็ขวนขวายช่วยตัวเองต่อไป เวลานี้ลูกชายเก่ง ทำงานทำการเป็นพ่อแม่ตายหมดแล้วแต่ก็ช่วยตนเองได้ ฐานะไม่เดือดร้อนไร่นามีเยอะแยะ แต่ถ้าทำอย่างนั้นมันก็ผลาญหมด บางคนผลาญทรัพย์สมบัติพ่อแม่ มีคนหนึ่งผลาญนาไปห้าร้อย ไร่ จึงได้รู้สึกตัว รู้สึกว่ากูชิบหายแล้วทีนี้เลยเปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจ เข้าหาความงามความดีต่อไป นี่มันเป็นอย่างนี้ เราเลี้ยงลูกมันต้องเลี้ยงให้มีจิตใจเข้มแข็ง ให้อดทน ให้หนักแน่น ให้ทำงานทำการได้
สมเด็จย่านี่ท่านเลี้ยงลูกของท่านอย่างไร เลี้ยงในหลวง กับสามองค์พี่น้องนี่ ท่านเลี้ยงให้รู้จักประหยัด ให้รู้จักอดออม ให้รู้จักรักษาของ ของอันใดที่ซื้อมาให้ ก็บอกว่าของนี่ราคาเท่านั้นเท่านี้ ต้องประคับประคองเครื่องเล่นเครื่องอะไร ต้องรู้จักประคับประคองรักษาไม่ได้ฟุ่มเฟือย ไม่ได้สุรุ่ย สุร่าย ความจริงทรัพย์ สมบัติของท่านมีเยอะแยะ รับมรดกมาจาก จากพระพันวัสสาบ้าง จากสมเด็จพระบิดา บ้าง มีทรัพย์สมบัติในกรุงเทพฯมากมายก่ายกองจะใช้อย่างไรก็ไม่หมดไม่สิ้น แต่ท่าน ไม่ได้ใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย สอนลูกให้ใช้อย่างประหยัด อดออมที่สุดให้รู้จักค่าของเงิน ให้รู้จักค่าของสิ่งของ เพราะงั้นในหลวงท่านก็เป็นคนประหยัด เหมือนกับคุณแม่สอน ไว้ หลานก็รู้จักประหยัดเหมือนกัน
เวลาไปพักตามบ้านนอก เคยไปพักที่ทุ่งสรง ก็ทางบริษัทปูนซิเมนท์ก็ซื้อผ้า ขนหนูอย่างดีมาไว้ เพื่อให้ท่านได้ใช้ในห้องน้ำ แต่ท่านไม่ได้แตะต้องเลย ผ้าขนหนู อย่างดีผืนนั้นไม่แตะต้อง ท่านใช้ของท่านเอง ท่านใช้ของท่านเองเป็นผ้าขนหนู ธรรมดาๆ ไม่มีราคามากมายอะไร ไอ้เราชาวบ้านชาวเมืองนี่โอ้ยใช้ของต้องราคาแพง ผ้าต้องราคาแพง เสื้อต้องราคาแพง อะไรก็ต้องแพง นาฬิกาเรือนหนึ่งก็ต้องราคาตั้ง 2-3พัน 5พัน คราวหนึ่งไปอินเดีย คนที่ไปผูกนาฬิกาข้อมือ แขกมันถามว่า นาฬิกานี่ราคาเท่าไหร่? บอกว่าราคาสามร้อย สามร้อยอะไร? สามร้อยเหรียญ สามร้อยเหรียญอเมริกันมันไม่ใช่ราคาน้อย คิดเป็นเงินไทยก็ตั้งเท่าไหร่
โอย ของเขานี่ราคายี่สินห้ารูปีแค่นั้นเอง ไอ้ยี่สิบห้ารูปีก็เข็มมันเดิน ถูกต้องเหมือนกัน ยกขึ้นดูเวลาได้เหมือนกัน รู้ว่าเช้าสายบ่ายเย็นเวลาเท่าไหร่ เขาใช้อย่างประหยัด ไม่ใช่ต้องแพง บ้านเราชอบใช้ของแพงๆ ญาติโยมที่นั่งอยู่นี้ ชอบใช้ของแพงๆมีเยอะแยะ ของถูกมีไม่อยากใช้ มันเสียหน้า ใช้ของถูก ไอ้คนจนมันจะใช้ของแพง
คนจนมันอวดมี ถ้าคนมีเขาไม่อวด น้ำมันเต็มกระออมนี่มันไม่ดังเคาะๆแคะๆ แต่น้ำครึ่งกระออมนี่แหมดังเคาะแคะๆตลอดเวลา คนร่ำรวยเขาอิ่ม เขาใช้ของธรรมดา เพราะมันอิ่มแล้ว แต่คนจน คนปานกลางนะ ชอบใช้ของแพงๆ ชอบซื้อของตามห้าง ถ้าซื้อเสื้อก็ต้องซื้อของนอก ซื้อเสื้อยืดไอ้เสื้อยืดตราจระเข้นะ ซื้อมาจากเมืองนอก ราคามันแพง แต่ว่าเสื้อยืดที่ทอเมืองไทยราคาถูกคนไม่ค่อยใช้ ชอบใช้เสื้อราคาแพง และก็มีตราจระเข้ ไอ้กางเกงยีนส์อย่างนั้นเสื้ออย่างนี้ นาฬิกายี่ห้อนั้น ถ้าได้ถูกของแพง รู้สึกว่ามันจะกินข้าวได้ ขึ้นมา มันจะได้หน้าได้ตา ความจริงเปล่า หน้าก็เท่าเดิม จมูกก็ไม่ได้ยาวออกไป แก้มก็ไม่ได้สูงขึ้น น้ำหนักตัวก็ไม่ได้เพิ่มไม่ได้ลดอะไร แต่ว่าเขาเรียกว่าความอยากอวดนั้นเองน่ะ ความอยากอวด อวดมั่งอวดมี คนอวดมีนี่ไม่มีดีจะอวด จึงจะอวด เหมือนคนรู้น้อยนี่ชอบอวด อวดว่าฉันมีความรู้ แต่คนมีความรู้มากเขานั่งนิ่งๆเฉยๆ ใครจะพูดอะไรเขาก็ไม่คุยด้วย เขามีความรู้เยอะแยะ ไม่อยากจะพูด แต่คนรู้น้อยนั้นพูดฉอดๆ ไปไหนนั้นพยายามพูดอยู่ตลอดเวลา เพื่ออวดว่าฉันนี่รู้ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง นิสัยเป็นอย่างนั้น นี่แหละพวกชอบอวด ชอบอวดมันก็เสียสตางค์มาก แต่ถ้าไม่อวดก็เสียสตางค์น้อย
สมเด็จพระราชชนนีท่านอบรมพระโอรส พระธิดาให้รู้จักประหยัดอดออม มาชั้นหลานก็ยังประหยัดอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย แต่งตัวก็เรียบๆง่าย ดูสมเด็จพระเทพฯ ท่านแต่งตัวเรียบๆง่ายๆ กระโปรงก็ธรรมดาๆ เสื้อก็ธรรมดาง่ายๆ เป็นตัวอย่างแกชาวบ้าน แต่ชาวบ้านไม่ค่อยเอาอย่างนั้น เรียบๆง่ายๆไม่ค่อยเอา ชอบที่มันหรูหราฟู่ฟ่า เสื้อก็พองออกมาตรงนั้นนิด พองมาตรงนั้นหน่อย เพิ่มไอ้นั่นไอ้นี่มันสตางค์ทั้งนั้น เพิ่มเข้า เพิ่มเข้ามันแพง ฝีมือมันก็ แพงราคามันแพงเพราะงานฝีมือ จะตัดเสื้อธรรมดา ราคาก็ไม่แพง อันนี้เราสวม เสื้อสวมผ้านี่สวมทำไม? ตั้งปัญหาถามว่าสวมทำไม? สวมเพื่อรักษาความร้อนเอาไว้ ในร่างกายเพื่อให้มันเกิดความอบอุ่นเพียงพอ ป้องกันความหนาวไม่ให้กระทบร่างกาย ปกปิดสิ่งที่ควรปกปิดไม่ให้เกิดความละอาย ก็กันอุจาดในตาเสียหน่อย ต้องการเท่านั้น หรือว่ากันเหลือบกันยุงไม่ให้ขบกัดร่ายกาย มันก็กันได้ ผ้าถูกก็กันได้ ผ้าแพงก็กันได้ แต่แพงมันใช้สตางค์มาก อย่างนี้ไม่สมควร ท่านสอนมาอย่างนั้น โอรสธิดาของท่าน หลานของท่านก็ประพฤติตามคำสอนของคุณย่า ก็เป็นไปสะดวกสบาย อันนี้ก็เป็นเรื่อง ที่เราเห็นเป็นตัวอย่างว่าทรงกระทำแต่ความงามความดี เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ ทั้งหลาย
สมเด็จย่าฯ ท่านสนใจธรรมะเหมือนกัน เมื่อท่านอยู่ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์นี่ หลวงพ่อไปก็เข้าไปเยี่ยมครั้งหนึ่ง ท่านอยู่ห้องแคบธรรมดา เขาเรียกว่าอยู่ทาวน์เฮาส์ ธรรมดา มีห้องนอนห้องรับแขกนิดหน่อย ไม่ได้กว้างขวางอะไร เราไปกันหลายกัน ก็นั่งกันเต็มบริเวณนั้น ไปเยี่ยมท่าน ไปถามท่านในเรื่องความเป็นอยู่ ท่านบอกว่า ในเวลานี้กำลังศึกษาภาษาบาลี ท่านไปเรียนภาษาบาลีซึ่งเป็นคำของพระพุทธเจ้า เพื่อจะได้อ่านคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนั้น เขาเปิดสอนภาษาสันสกฤต ภาษาบาลี ท่านก็ไปเรียนแล้วในห้องก็มีหนังสือ พระไตรปิฎกชุดภาษาบาลีสำหรับที่จะอ่านจะศึกษา ท่านก็ศึกษาพอรู้เรื่อง พออ่านหนังสือได้ ไม่ได้อยู่นิ่งอยู่เฉย และก็สนใจในเรื่องของธรรมะ อ่านหนังสือ ธรรมะ แต่ว่าฟังนี่ไม่ค่อยมีโอกาสนานๆ จะได้ฟังสักครั้งหนึ่งแต่ท่านอ่านมาก ท่านสนใจ ที่จะศึกษาธรรมะปฏิบัติธรรมะ เอาธรรมะมาช่วยชีวิตของพระองค์ อยู่ตลอดเวลา ในคราวที่ทรงวิปโยคโศกเศร้ามากที่สุด คือว่าในหลวงอนันท์ฯ ด้วยอุบัติเหตุหรืออะไรก็ตาม ใจท่านเศร้าโศกมาก เสียพระทัยมา พระลังกาองค์หนึ่ง ชื่อพระนารฑะ ท่านไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และท่านไปที่สวิสเซอร์แลนด์ท่าน ก็ไปเยี่ยม เมื่อสูญเสียพระโอรสใหม่ๆ สมเด็จพระราชชนนีท่าน แสดงอาการ วิปโยคคือหลั่งน้ำตา พระท่านก็พูดปลอบโยนด้วยธรรมะให้ท่านสบายอกสบายใจ ท่านเสียใจมาก แต่ว่าระงับความเศร้าโศกความเสียใจไว้ด้วยอะไร? ก็ด้วยธรรมะ ด้วยมองเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงไม่แท้ ไม่คงทน ไม่ถาวร เรามีแล้วก็ต้องไม่มี พบแล้วก็อาจจะพรากจากกัน มันเป็นเรื่องธรรมดา ก็เอาธรรมะเป็นเครื่องประเล้าประโลมน้ำพระทัยให้สบายไปได้ตามสมควรแก่ฐานะ ท่านได้ศึกษาอยู่
ทีนี้เราดูกิริยาอาการของพระองค์ท่าน แสดงว่าท่านมีความสุข แม้พระชมมายุ จะ ๙๐ แล้วยังแข็งแรง ยังเดินไปเยี่ยมเยียนประชาชนด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใส พระพักตร์ท่านยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา สมกับว่าเป็นพระพุทธบริษัท พระพุทธบริษัทนั้นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น เป็นผู้ที่มีความเบิกบานแจ่มใส ในสิ่งที่ เกิดขึ้นเฉพาะหน้าตลอดเวลา มีธรรมะปรากฎอยู่ในใจ มองอะไรก็มองเห็นเป็นธรรมะ มองเห็นความจริงของสิ่งต่างๆ ตามสภาพที่เป็นจริง ไม่ทุกข์ไม่โศก ไม่เก็บความทุกข์ความโศกไว้ในน้ำพระทัย รู้จักปลง รู้จักวาง ท่านจึงมีพระทัยสดชื่น อายุมั่น ขวัญยืน ไม่เคยป่วย มีข่าวไหมว่าสมเด็จพระราชชนนีท่านป่วย? ไม่มี ท่านไม่ป่วย ท่านรักษาอนามัยดี อนามัยทางกายท่านก็เรียบร้อย อนามัยทางใจ ท่านก็เรียบร้อยทุกประการ ท่านเป็นอยู่อย่างง่ายๆ คุณสัญญา ธรรมศักดิ์ เล่าให้ฟัง ว่าเมื่อวันเกิด 14 ตุลาคมน่ะ กำลังยุ่งนะ คุณสัญญา แกก็ไปอยู่ในวัง ตลอดเวลาเพื่อใกล้ชิดในหลวงและก็ยังไม่ได้รับประทานอาหาร อันนี้สมเด็จย่าก็บอก “เอ้อ ฉันก็ยังไม่ได้ทานอาหารเลย มาทานพร้อมๆกัน” และท่านทานยังไง ท่านตักข้าวใส่ในจาน ข้าวต้ม ถั่วงอก ผัดถั่ว ใส่ลงไป ผักกาดเค็มก็ใส่ลงไป มีอะไรก็ใส่ลงไปในจานนั้น และก็ทานนะ เสวย ท่านก็เสวยง่ายๆ ไม่หรูหราฟู่ฟ่าอะไร เพราะฉะนั้นพระรูปของท่านก็ไม่อ้วนคือผอมๆอย่างนั้นน่ะ ท่านรับประทานแต่พอดีๆ ไม่รับประทานฟู่ฟ่าอะไร กับข้าวทำมาอย่างไร ท่านก็ทานน้อยๆ ทานเท่าที่ จำเป็นพอเลี้ยงร่างกาย เพราะฉะนั้นร่างกายท่านก็เรียบร้อยดีอยู่ อันนี้เราเอามาเป็น ตัวอย่างได้ เรารับประทานอาหารก็รับทานแบบอย่างนั้น รับประทานพอหายหิว ไม่รับประทานมากมายเกินไป เวลาไปรับอาหารที่แจก ที่เขาให้คนไปเก็บเอาเอง บางคนเอามาตั้งหลายห่อ หลายชิ้น ทำไมเอามามากมายอย่างนั้น เอาข้าวสักหน่อยนึง เอากับข้าวมาสักหน่อยนึง เรียกว่าเอามาพอกินหมด ไม่ให้เหลือ เรามีความต้องการมากเกินไปเป็นการไม่ดี เอาแต่พอดีๆ แล้วก็อย่าเลือก อย่าไปหยิบนั้นวาง หยิบนี้วาง เจาะวาง เจาะวางเหมือนกับไก่ อย่างนั้นมันไม่เหมาะ หยิบอะไรก็ได้ เอาแกงมาห่อหนึ่ง เอาข้าวมาส่วนหนึ่ง หรือว่าเรากินแบบบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง ลดกิเลส ทานอาหารเพื่อลดกิเลส ไม่ใช่ทานอาหารเพื่อเพิ่มกิเลส ทานอาหารเพื่อเพิ่มกิเลส ก็เลือกอาหาร ไอ้นี้ไม่ถูกใจ ยกดู ทิ้ง ยกดู ทิ้ง กว่าจะออกไปได้นี่เสียเวลา เพราะไปเลือกอยู่ เลือกในสิ่งที่ถูกปาก ความจริง มันถูกปากทั้งนั้นนะ ไม่ว่าอะไร ใส่เข้าไปแล้วมันถูกปากทั้งนั้น แต่ว่ารสมัน ไม่เป็นที่พอใจ ที่เขาพูดกันว่า ไม่ถูกปากนะ พูดไม่ถูก บอกว่า “เอ้อ อาหารนี้ไม่ถูกปาก” แล้วไม่ถูกปาก มันจะไปถูกจมูกได้อย่างไร เพราะเราไม่ได้กินทางจมูก เรากินทางปากกันทั้งนั้น อันนี้ใส่เข้าไปมันก็ถูกปาก แต่ว่าคำว่าไม่ถูกปากนั้น เป็นภาษาพูดสำนวน แต่เนื้อแท้ที่ถูกพูดว่า ไม่ถูกลิ้นของเรา ไม่ถูกใจ เพราะลิ้นมันก็ถูกแล้ว พอใส่ปุ๊ปลิ้นมันก็รับก่อนเพื่อน ลิ้นก็มันก็รับรสทันที แต่ใจมันไม่ชอบ รสนั้น รสนั้นมันไม่เป็นที่พอใจ ก็ต้องเลือกเอาที่รสพอใจ ถ้าเราทานอย่างนั้นก็เรียกว่าทานตามใจกิเลส หรือว่าทานตามใจตัวเอง การทานอาหาร แบบตามใจตัวเองนั้น มันไม่ลดอะไร แต่เพิ่มความรู้สึกนึกคิดขึ้นในจิตใจมากขึ้น
พระพุทธเจ้าท่านจึงได้สอนให้พิจารณา ว่าปะฎิสังขา โยนิโส บิณฑะปาตัง เราพิจารณาบิณฑบาทนี้โดยแยบคายแล้วจึงฉันท์ ไม่ฉันท์เพื่ออร่อย ไม่ฉันท์เพื่ออ้วนพี ไม่ฉันท์เพื่อการตกแต่งเพื่อความสวยเพื่อความงาม ฉันท์อาหารเพียงเพื่อพออยู่ได้ จะได้ใช้ร่างการนี้ประพฤติธรรมต่อไป ใช้ร่างกายนี้ทำหน้าที่ต่อไป ถ้าเราฉันท์อย่างนี้ กินอย่างนั้นมันก็สบาย ไม่มีปัญหา ไม่ต้องไปเที่ยวหาของแพงๆกิน เดี๋ยวนี้คน ไม่ค่อยชอบกินอาหารที่บ้าน ชอบไปกินตามภัตราคารใหญ่ๆ ที่เขามืดๆสลัวๆนะ ไม่ค่อยมีแสงสว่างเท่าไหร่ ให้กินมืดๆกันระวังจะกินก้างปลาเข้าไป เพราะมองไม่เห็น เพราะมันมืด แล้วราคาก็แพง กุ้งตัวหนึ่งก็ราคาแพง ปลานี่ อาหารจานหนึ่งก็เรียกว่า ร้อยขึ้นหมด ไอ้ต่ำกว่าร้อยนี่มันไม่ค่อยมี แล้วเรากินได้เท่าไหร่ท้องมันจำกัด กินได้เท่านั้น กินเหลือ เหลือลำบากไม่รู้จะเอาไปไหน
คราวหนึ่งไปเที่ยวฮ่องกง ไปกับญาติโยมและก็ไปกินอาหารที่ร้าน ร้านมังสะวิรัติ เขาก็กินเจกัน อาหารเจนะ อันนี้เราอ่านดูเมนูดู พออ่านมันจด อ่านจบ มันเอามาให้ตั้งหลายอย่าง อ้าวทำไมมากอย่างนี้ไม่ได้สั่ง อ่านดังๆเมื่อตะกี้ นั่นแหละมันสั่งแล้ว เจ๊กมันถือโอกาสว่าสั่งแล้วเอามา โอ้ยกินไม่ไหว แล้วก็ อาหารเจนี่มันมัน มันเอียน ฉันท์ไม่ได้มาก คนบางคนทานไม่ได้ เมื่อทานไม่ได้ เราเลือกแล้วทำไง ก็เอาถุงมาให้ กี่อย่างก็เอาถุงพลาสติกมาให้ ก็เทใส่ถุง ใส่ถุง ใส่ถุง ก็เอาไปบ้าน เขาไม่เอาคืนก็เอาไปกินมื้ออื่นต่อไป ที่เมืองไทยเขาไม่ให้ใส่ถุงอย่างนั้นนะ เขาเอาไว้ให้หมู เพราะว่าตามภัตราคารต่างๆ คนเลี้ยงหมูก็ไปประมูลไว้ ว่าปีหนึ่ง เศษอาหารนี่คิดกันเท่าไหร่ ไม่ใช้เล็กน้อยนะราคาเป็นล้านเหมือนกันอาหารร้านใหญ่ๆ
ภัตราคารฮ้อยเทียนเหลาเยาวยืดอะไรนี่ ภัตราคารมีชื่อนะเศษอาหารนี่ราคา เป็นแสนเป็นล้าน ต่อปีนะ ไม่ใช่เล็กน้อย คนไปกินทิ้งๆขว้างๆนะ แล้วก็เอาไปให้หมู เราควรสั่งเพียงน้อยๆ ฝรั่งเขาไม่ได้สั่งอาหารกินมากเหมือนเรา เคยไปเมืองฝรั่ง ไปกับฝรั่งไปทานอาหาร เขาไม่ได้สั่งมาก แต่เขาสั่งให้เรานี่เขาสั่งมาก เขานึกว่ากินแบบไทย โอ้ว ไม่ได้ มากมายอย่างนั้นกินไม่หมด มากมายเกินไป กินง่ายๆ บอกเขาว่ากินน้อยๆ เขาเองก็กินน้อยๆ นั่นมันจานเดียวเท่านั้นในจานนั้น สมมติว่าอาหารเช้าก็มีไข่สักฟองหนึ่งและก็มีแฮม และก็มีขนมปังสักชิ้นหนึ่ง เขาไม่ได้ให้กินมากมายอะไร และก็มีน้ำชา หรือว่านมสักแก้วหนึ่ง เขากินเท่านั้นเอง เขาไม่ได้กินมาก แต่ฝรั่งกินมากมันก็มีเหมือนกัน ฝรั่งกินมากก็ถูกลงโทษคืออ้วน ตุ๊ต๊ะเลย เวลาจะเดินจะเหิน ดูแล้ว แหม เห็นอกเห็นใจ บอกว่าอ้วนแบบนี้ไม่ไหว จะลุกจะนั่งก็ลำบาก มีมากเหมือนกันพวกกินมาก กินหมูมากๆ กินนมมากๆ กินไข่มากๆ มันก็อ้วนเกินพอดีไปไม่สบาย นี้ถ้าเรากินแต่พอดีก็สบาย นี่ควรหัดกินอย่อย่างนั้น กินอาหารแต่พอดี สมเด็จฯท่าน ร่างกายท่านเรียกว่าทรงผอมๆ อยู่อย่างนั้น ตั้งแต่นานแล้ว ท่านอยู่อย่างนั้น น้ำหนักของท่านไม่เพิ่ม เพราะท่านคุมอาหาร คนที่รู้สึกตัวว่าอ้วนก็ต้องคุมอาหาร อย่ารับประทานของอร่อย ท่านเจ้าคุณพุทธทาสฯถูกถามว่า ลดน้ำหนักได้อย่างไร? ท่านบอกว่าถือหลัก สองประการ ของชอบอย่ากิน ของอร่อยอย่ากิน มันก็ลดได้ ของชอบไม่กินมัน ก็ลดได้นะ ของอร่อยอย่ากิน เพราะกินของอร่อยมันกินมาก แล้วกินแต่ ของธรรมดาง่ายๆ กินผัก ท่านฉันท์ผักบุ้งมากๆ เวลาหมอไปตรวจบอกว่าน้ำตาลมาก ท่านก็ฉันท์แต่ผักบุ้งนะ ผักบุ้งตั้งกำ เขาเก็บมาให้ฉันท์ ผักบุ้งยอดแดงนะแก้เบาหวาน พอกินผักบุ้งนะ น้ำตาลลดฮวบเลย ถ้ารู้ว่าพรุ่งนี้เขาจะมาเจาะ มะรืนนี้เขาจะมาเจาะ กินผักบุ้งล่วงหน้าเลยสักสองวันน้ำตาลลดฮวบลงไปเลย อาตมานี่น้ำตาลก็ชัก จะมากอยู่เหมือนกัน นี่เลยคิดว่าจะไปเอาผักบุ้งยอดแดง ผักบุ้งยอดแดง ขึ้นอยู่ตามเยอะแยะ เอาไปล้างให้สะอาด และมารับประทานเข้าไปมันก็แก้ แก้น้ำตาลมาก ลดนะ ลดจริง ลดน้ำตาลได้ เพราะผักบุ้งนี่ กินดิบ อย่าไปทำให้สุกไม่ได้ เคี้ยวดิบๆ แต่ว่าล้างให้สะอาด แช่น้ำด่างทับทิมอะไรฆ่าเชื้อให้เรียบร้อยแล้วเอามาจิ้ม น้ำปลา จิ้มน้ำพริกก็ได้ น้ำพริกมันไม่มีน้ำตาล แล้วน้ำหนักไม่เพิ่มคนกินน้ำพริกนี่ แต่ว่ามันอร่อย กินข้าวมาก อย่าไปกินข้าวมาก ตักเอาแต่พอสมควร คือว่าต้องบังคับตัวเอง วันนี้จะกินข้าวสักเท่าไหร่ สักทัพพีหนึ่งอย่างให้พูน แต่ว่าตักพอดีๆเท่านี้ แล้วเอากับมารวมกันเข้า อิ่มไม่อิ่มก็เอาเท่านั้น คือพอยู่ได้ ไม่หิว ไม่กระหาย ไม่กระวนกระวาย ก็ถือเป็นมาตราฐานได้ว่า มื้อหนึ่งฉันจะรับประทานเท่านี้ และก็ทานสม่ำเสมอ แล้วความอ้วนมันก็ลดลงไป และพวกไขมันมันก็ไม่มี กินยอดไม้ ยอดมะขามบ้าง ยอดใบตำลึง แกงเลียง ดีนะใบตำลึงนะ เอามาแกงเลียงกินๆ ก็เป็นอาหารวิเศษ อาหารชั้นยอด เพราะมันอยู่บนยอดไม้ ยังดีกว่าของต่ำๆ เราเอามากินได้แก้โรคอ้วนลงพุง แต่คนว่ามันไม่อร่อย คนถึงไม่ค่อยชอบ ปัญหามันอยู่ที่ตรงนั้น เรื่องอาหารการกิน ก็ต้องปฏิบัติได้ตามแบบอย่างที่ถูกต้อง
สมเด็จฯท่านเป็นคนที่มีน้ำพระทัยเยือกเย็น เคยได้ถามคนที่อยู่ใกล้ ว่าท่านได้ โกรธใครเคืองใครบ้างหรือไม่ เขาบอกไม่เคยเห็น ไม่เคยเห็นท่านโกรธใคร เคืองใคร ไอ้คนโกรธบ่อยๆนี่อายุสั้น ร่างกายไม่แข็งแรง เพราะโกรธทีนึงมันกระเทือนหมดทั้งตัว เขาเรียกว่าฟอร์มในร่างกายนี่กระเทือนหมดเลย มือไม้สั่นปากคอสั่น ใจสั่น คนบางคนโกรธมากๆ โกรธเป็นลมไปเลย สลบเหมือดไปเลย ต้องแก้ไขกันใหญ่ นี่เพราะความโกรธ เราจึงระวังไม่ให้เกิดความโกรธใครๆ ความโกรธความเกลียด ความอาฆาต พยาบาทจองเวร อย่าให้มันเกิดขึ้น รบกวนจิตใจ ทำใจให้สบาย มีแต่เมตตาปราณี นึกอย่างเดียวว่าขอให้คนเหล่านั้น เป็นสุข ขอคนเหล่านั้นเจริญ ขอให้คนก้าวหน้าในชีวิตในการงานเราจะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร ก็ต้องคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตา ปรารถนาความสุข ความสบาย แก่บุคคลอื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่คิดเรื่องยุ่ง เรื่องยุ่งอย่าเอามาคิด เรื่องโกรธนี่ไม่ได้ ต้องหัดควบคุม คนบางคนขี้โกรธ ใจร้อนใจเร็ว กระทบนิดโกรธ กระทบหน่อบโกรธ ฝนตกก็โกรธ แดดร้อนก็โกรธแดด
นั่งรถไปไหนติดจราจรก็โกรธ ว่าจราจรมันติดขัด แล้วอาจจะพูดพึมพัมว่าคนนั้น คนนี้ไม่จัดการอะไรต่ออะไร ให้วุ่นวายเป็นความเสียหายแก่ชีวิต แต่เรื่อง ที่ไม่ควรจะเกิดเช่นนั้น เราจะต้องนึกว่ามันธรรมดา ไม่ใช่ติดแต่เราคันดียว ข้างหน้ามันก็ติด ข้างหลังมันก็ติด มันติดหมดนะ เอ้อมันก็สนุกดีเหมือนกัน ได้ดูรถนานๆหน่อย นั่งให้สบายไป ไม่ดี ไม่รู้จะทำอะไร ก็นั่งภาวนา กำหนดลมหายใจ พุทโธ พุทโธไปเสียตลอดทางมันก็ไม่มีอารมณ์ขึ้น เครียด เกลียดชัง ขึ้นมา
ใครมาทำอะไรให้เป็นที่ไม่พอใจเราจะเฉยๆ อย่าเอามาเป็นอารมณ์ เขาด่าเราก็ไม่ยอมรับ เขาติเตียนอะไรเราก็ไม่รับเอา ถ้ารับก็รับด้วยปัญญา ว่าเรามันผิดจริงไหม เรามันชั่วจริงไหม ไอ้สิ่งเหล่านั้นมันมีอยู่ในตัวเราหรือไม่ ถ้าสิ่งเหล่านั้นไม่มีก็ไม่เป็นไร เขาเตือน ระวังอย่าให้มันมีเช่น เขาว่าเราชั่ว แต่เราไม่ได้ชั่ว และจะไปโกรธไปเคืองเขาทำไม การโกรธนั่นแหละคือความชั่ว เกลียดคนนั้นก็คือ ความชั่ว พยาบาทคนนั้นก็คือความชั่ว ถ้าเราเกิดความโกรธ ความเกลียด พยาบาทขึ้นมาก็คือเราชั่วแล้ว ชั่วตามเขาว่าแล้ว ไม่ถูกต้อง เราไม่ให้เกิดสิ่งเหล่านั้น แต่เราจะรู้ทันต่อสิ่งนั้น รู้เท่าทันต่อสิ่งนั้น ทำใจให้เป็นกลางเฉยๆ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย คนที่ใจเป็นกลางสม่ำเสมอนี่อายุมั่นขวัญยืน เพราะทุกส่วนในร่างกายทำงานเป็นปกติ ตื่นแต่เช้าลองโกรธคนบ่อยๆ หน้าจะเปลี่ยนสภาพไป ชีวิตก็จะสั้น อะไรๆก็ จะเปลี่ยนสภาพ แก่เร็ว เพราะว่าเวลาโกรธคนนี่หน้ามันยุ่ง ทีนี้ถ้าเราทำหน้ายุ่งบ่อยๆ มันก็ยุ่งเป็นนิสัย และหน้าตึงตลอดเวลา ยุ่งตลอดเวลา ตื่นเช้าต้องอารมณ์ให้สดชื่น เห็นอากาศครึ้ม วันนี้ดี ฝนน่าจะตกลงมาบ้าง ถ้าอากาศสว่าง เอ้อ วันนี้ดี แสงแดดจะได้ส่อง เราจะได้สักผ้าตากได้สะดวก
มองในแง่ดี อย่ามองในแง่ร้าย เห็นอะไร ก็ดีไว้ ถ้าอากาศนี้ก็ดีเหมือนกัน จะไม่ร้อน เดินตักบาตร สบายๆ ถ้ามีแดด เออก็ดีเหมือนกัน มีแเดด จะได้ไม่หนาวเกินไป ได้อบอุ่นเสียบ้าง มองในแง่ดี เห็นใครเดินมาก็นึกว่าเขามาดี ไม่ได้มาร้าย ถ้าเขาด่าเรา เออก็ดีเหมือนกัน ได้ทดสอบว่าเรานั้นมีความอดทนขนาดไหน ถ้าอยู่เฉยๆไม่มีใครด่าจะรู้อย่างไรว่าอดทนได้หรือไม่ได้ ทีนี้เขาด่าทดสอบ ควรขอบใจเขา ถ้าเขามาถึงว่า แกนี่มันชั่ว เออขอบใจ ฉันจะได้รู้ว่า ฉันนี่มันชั่วจริงหรือเปล่า คราวนี้ถ้าฉันโกรธนี่ฉันชั่วนะ พอโกรธนี่ฉันมันก็ชั่วจริงๆ นี่เราไม่ได้โกรธ เราก็ไม่ได้ชั่วเหมือนเขาว่า ทีนี้เราก็สบายใจ ใครมาด่าเราก็เฉยๆ นั้นแหละเรียกว่าเป็นคนมั่นคง มีน้ำพระทัยมั่นคงอยู่ในคุณงามความดี สมเด็จท่านมีความมั่นคงอยู่ในคุณงาม ความดี ท่านไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่มากระทบ และก็ถืออุดมการณ์ถูกต้อง เป็นผู้ทียึดหลักธรรมะ เป็นแนวทางชีวิตตลอดมา เรื่องก็เรียบร้อย เรามองเห็นสิ่งเหล่านี้ เราเอามาใส่ในชีวิตของเรา ทำชีวิตของเราให้ดีขึ้นก็สบายใจ
พูดเรื่องสมเด็จฯ เกี่ยวกับธรรมะพอสมควรแล้ว พูดเรื่องอื่นอีกนิดหน่อย เรื่อง เด็กเผาตัวตาย มีหนังสือพิมพ์มติชน มาสัมภาษณ์ คือมาถามว่าท่านเห็นด้วยอย่างไร ในการที่เขาฆ่าตัวตายด้วยการเผาตัวเอง ฉันไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนั้น เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นความโง่อย่างหนึ่งเหมือนกัน โง่จนเผาตัวตายนี่มันเรื่อง อะไร แล้วที่ไปประท้วงให้รัฐบาลลาออกนี่ต้องการอะไร ต้องการประชาธิปไตย ขนาดไหน ประชาธิปไตยมันขนาดไหนที่เราต้องการ มันมีเครื่องอะไรเป็นเครื่องวัด ในโลกนี้ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยทุกประเทศเขามีการเลือกผู้แทนราษฎร ให้มีคนมาสมัคร มีพรรคการเมืองเลือกคน และก็ส่งคนเข้าสมัครและประชาชนก็เลือก ประชาชนเลือกนั้น เลือกคนดีไป ก็เป็นเรื่องของประชนชน ถ้าเลือกคนไม่ดีก็เป็น ความผิดของประชาชน ไม่ได้เป็นความผิดของระบบ คนมันเลือกไม่เป็น เช่น เลือกคนไม่ดีเข้าไปในสภาก็เป็นความผิดของผู้เลือก เลือกเข้าไปแล้ว ถ้าเกิดเขาทำไม่ได้ ก็ถูกไล่ออกไปเอง เราจะไปไล่เขาออกอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ สมาชิกเขาไล่ออก ไล่ออก ไปเยอะแยะ คนที่ไม่ดีไม่เรียบร้อย นี่รัฐบาลก็เกิดจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็เลือกกันขึ้นมา ว่าคนนี้แหละควรเป็นนายก คนนี้ควรเป็นนั่นเป็นนี่ ได้รับ ความเห็นชอบจากสภา และไปถวายพระนามแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศว่าเป็นรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ฟอร์มรัฐบาลตามกฏหมายของรัฐธรรมนูญ และก็ทำงานไป ถ้าทำงานไม่ดี เราก็ประท้วงได้ ไปพูดตามสนามหลวงอะไรได้ ไม่ผิดกฏหมายอะไร แต่จะพูดไป พูดไปถึงว่า “เอ้า ต้องออก ถ้าไม่ออกจะเผาตัวตาย” เผาตัวตายแล้วมันได้อะไรขึ้นมา ไอ้คนเผานั้นมันได้อะไร แล้วจะได้เห็นไหมว่าบ้านเมืองเป็นอย่างไร ก็ไม่ได้เห็น ตายแล้วจะไปได้เรื่องอะไร ไม่ได้เรื่องอะไร ตายทำไม ถ้าเอาประท้วงเพียงขนาดว่า จะอดอาหาร อดอาหารกลางวันไม่กิน คนมันเห็นกลางคืนแอบกินก็ได้ ก็ไอ้ที่เ ขาอดอาหาร อดแบบนั้นทั้งนั้นแหละ ไอ้ที่ประท้วงว่าอดอาหาร อดมาหลายคนแล้ว ไม่มีใครตายเพราะว่ากลางคืนมันกินก๋วยเตี๋ยวได้ กลางวันมันนั่งเฉย ไม่กินอะไร กินแต่น้ำ แต่กลางคืนฟาดก๋วยเตี๋ยวไปสองสามห่อ ชดเชยกับที่ไม่ได้กินกลางวัน มันก็ไปอดอยู่ที่สนามหลวงได้ คนเอามาให้กิน มันไม่ตายนะ ไอ้นี่มันไม่ฉลาด ประท้วงว่ามันจะเผาตัวตาย เผาก็มันตาย ตายจริงๆ ตายแล้วก็รัฐบาลก็ยัง นายกฯก็ยังใจดีนะ ยังให้เงินไปทำศพ รัฐมนตรีก็ให้ คนนั้นก็ให้ ได้ไปทั้งหมด มันก็เกือบแสนกว่านะ บ้านนอกนะได้ไปตั้งแสนนี้ก็พอเผาศพกันได้ละ พอได้เมากัน ได้ละ เผาศพบ้านนอกมันเมากัน มันสนุกกัน ตั้งศพแล้วเมากันนะ นครศรีธรรมราช แถวนั้นด้วย มันยิ่งเมากันใหญ่ บ้านที่นายคนนั้นไปอยู่ นายธนาวุธ มันไปอยู่ในถิ่นที่คนเมามาก เขาก็เมากันไปตามเรื่องนะ แต่ว่าพลเอกหาญไปนั่งคอยดู ไปเป็นเจ้าภาพอยู่ นี่เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เราจะต้องทำอย่างอื่น ไม่ถึงกับ ขนาดนั้น เพียงประท้วงไปตามหน้าที่ สะกิดให้รัฐบาลรู้ว่ามีข้อบกพร่องอะไร รัฐบาลก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนหูตึง แต่คนที่ฟังเสียงของมหาชนอยู่ พยายามแก้ไขอยู่ อะไรไม่ถูกไม่ชอบก็แก้อยู่ ทำอยู่ ตามระบอบประชาธิปไตย ใครต้องการอะไร เขาก็ว่าต้องการสภาปฏิวัติ สภานั้นเกิดจากอะไร ตั้งขึ้นได้อย่างไร จะเอาสภาแบบ โซเวียตหรือ รัสเซียหรือ? รัสเซียเขาก็เบื่อเต็มทีแล้ว แบบที่เขาเป็นนะ เขาเป็นมาหกสิบ ปีแล้ว บ้านเมืองไม่เจริญเท่าไหร่ มันเจริญทางสร้างอาวุธ ชิบหายเข้าไปเยอะ แข่งกับอเมริกานะ อเมริกามันเศรษฐีกว่ารัสเซีย มันไม่เดือดร้อน ประชาชนไม่อดอยาก แต่รัสเซียนั้นไปส่งเสริมการสร้างอาวุธจะไปโลกพระจันทร์ เงินทองมันฝืดเคือง แล้วก็เดือดร้อน คนไม่มีขนมปังจะกิน ต้องไปเข้าแถวเรียงกัน เพื่อซื้อขนมปัง พอไปถึงตัวก็อ้าว เขาบอกหมดแล้ว วันนี้ไม่มีพอให้ซื้อ ก็หมดแล้ว ปิดประตูโครม ประชาชนก็เดือดร้อน ทำอย่างนั้น นายกอบาชอฟก็เห็นว่าไม่ไหวแล้ว เป็นคอมมิวนิสต์ ไม่ไหวแล้ว ต้องเป็นประชาธิปไตยกันเสียที ให้ประชาชนมีสิทธิมีเสียง มีการตั้ง พรรคการเมืองได้หลายพรรค ไม่แต่เฉพาะพรรคคอมมิวนิสต์ อย่างนั้น
แล้วประเทศบริวาร ประเทศเชคโกสโลวาเกีย โรมาเนีย ยูโกสลาเวีย หลาย ประเทศ เขาเรียกว่ายุโรปตะวันออกอยู่ในอุ้งมือของรัสเซียทั้งนั้น รัสเซียเปิดแขนอ้า ไปได้ พวกนั้นก็ไปได้แล้ว ไปตั้งรัฐบาลเป็นประชาธิปไตยกัน ประเทศเยอรมัน สองประเทศ รัสเซียกับพันธมิตรอุ้มไว้ประเทศหนึ่ง ตกต่ำ เศรษฐกิจตกต่ำ การเป็นอยู่ไม่เจริญงอกงามอะไร ก็เลย เยอรมันตะวันตกเขาเจริญ เขาเป็นประชาธิปไตย เขาเจริญทางเศรษฐกิจดี อุตสาหกรรมก้าวหน้า ประชาชนอยู่ดีกินดี แต่เขากั้นกำแพงไว้ไม่ให้ไปเห็น ประชาชนเบอร์ลินตะวันออกไม่ได้ไปตะวันตก มันก็หนีทุกวัน ปีนกำแพงหนีไปบ้าง ไปรถยนต์ก็คอยไปกั้นท้าย ด่านก็ไม่เห็นเข้าไปได้ จับได้ก็ถูกขัง ถูกลงโทษ ลำบากเดือดร้อนกันก็เลยเอามารวมเป็นเยอรมันเดียว ไม่มีตก มีออกแล้ว เป็นประเทศเยอรมันหมด ก็ดีขึ้น รัสเซียก็ไม่ว่าอะไร พันธมิตรก็ปล่อยเพราะนั้นรางวัลสันติภาพ รางวัลโนเบล ก็เอามาออก ก็ว่ากอบาชอฟนี่ส่งเสริมสันติภาพ ไม่เหมือนเมื่อก่อน เลยให้รางวัลสันติภาพ คอมมิวนิสต์ได้รับรางวัล เขาไม่เป็นคอมมิวนิสต์แล้วนะจึงได้รางวัล
ทีนี้เราจะตั้งสภาปฏิวัติปฏิวัติอะไร มันก็ถอยหลังเข้าคลองนี่ ตั้งอย่างไรสภา มันก็เลือกคนเข้ามา ก็เลือกมันก็เลือกดีมั่ง ไม่ดีมั่ง มันต้องทนต่อไป ประเทศไทยเราเป็นประชาธิปไตยใหม่ มันยังไม่เรียบร้อยหรอก มันก็ต้องเป็นเข้าไป ปีอย่างน้อย ถึงจะกระเตื้องขึ้น ประเทศยุโรป เป็นประชาธิปไตย มันรบมันฆ่ากันตายกอง กว่าจะเป็นประชาธิปไตยได้เรียบร้อย อย่างประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศษนี่ มันรบกันไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง อ่านประวัติดูนะ กว่าจะเป็นได้จริงๆ
อเมริกาก็กว่าจะเป็นประชาธิปไตยรวมประเทศได้ ก็ทำสงครามกลางเมืองกัน รบกันเรื่องทาสเรื่องอะไร กว่าจะรวมตัวกันได้ แล้วเขาเป็นประชาธิปไตยเรียบร้อย มันขึ้นอยู่กับการศึกษา ของประชาชน ประชาชนชาวไทยเราการศึกษายังไม่ทั่วถึง จะตั้งระบบอะไรให้คนเลือกมันก็เลือกไม่ถูกอยู่นั่นแหละ ถ้าคนเอาเงินไปให้ มันก็เลือกคนให้เงินอยู่นั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นสภาไหน มันยังไม่ดี ทีนี้เรื่อง ที่เราควรทำคือว่าควรส่งเสริมการศึกษาของประชาชน ควรจะไปพูดให้ประชาชนเข้าใจ ว่าเลือกคนควรจะเลือกอย่างไร ดีกว่ามาโวกเวกให้รัฐบาลลาออกอยู่ แล้วก็เผาตัวเอง ตายไปหนึ่งแล้ว ยังมีคนอื่นบอกว่าจะเผาต่อไป โง่ต่อไป โง่คนเดียวไม่พอ แล้วมันเรื่องอะไรที่ต้องทำอย่างนั้น มันไม่ได้เรื่อง มันตายเปล่า เผา มันสูญเปล่าๆ มันสูญชีวิต พ่อแม่ก็สูญเสียลูกชายไปเพราะความไม่เอาไหน อย่างนั้นเองจึงไม่ใช่เรื่อง ที่สมควรจะพึงกระทำ พูดไว้ในที่นี้เพื่อให้เข้าใจว่าอาตมาไม่เห็นด้วยกับการกระทำ เช่นนั้น แต่ว่าควรจะช่วยกันไปปลุกประชาชนให้รู้จักระบอบประชาธิปไตย ให้เลือก คนเป็น สอนประชาธิปไตยให้แก่เขา แต่ว่าไปสอนไม่ได้ นักศึกษาไปสอนไม่ได้ คนมันยังไม่เชื่อ ยังไม่มีเกียรติพอ ต้องตั้งใจเรียน เราคิดจะทำอะไรนี่มันต้อง วางฐานว่าเราจะทำอะไร เราจะทำต่อเมื่อเราเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องเรียนให้ดี เรียนให้เก่ง ไม่ใช่เรียนซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ สอบไม่ได้ เลยมายืนโวกเวกอยู่ไม่ได้เรียนหนังสือ เราตั้งใจเรียน เรียนสำเร็จแล้วเราออกไปทำงานทำการ เช่นว่า ไปเป็นข้าราชการ จะเป็นข้าราขการที่ซื่อสัตย์ ทำงานเพื่อประชาชน ไม่ทำงานเพื่อตัว รวมพวก รวมหมู่กันไปทำกันอย่างนั้น เป็นพวกสุจริต อยู่ในศีลในธรรม รวมพวกกันมากๆ เออ อย่างนั้นมันจะดีขึ้น ดีกว่ารวมพวกกันไปเผาตัวตาย ซึ่งมันก็ไม่ได้สาระ ได้อะไร นี่ความจริงควรเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครเห็นด้วย ประชาชนก็ไปฟังไม่กี่คนเพราะเห็นว่า มันไม่ได้สาระอะไร และก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไม ยังคิดไม่ได้ ทิฐิมานะมันเกิด และก็มีลูกยุอยู่ข้างหลัง “เอาๆๆๆ” ไอ้ลูกยุมันไม่ตาย แต่ว่าพวกที่ ไปฆ่าตัวตายมันตาย ไอ้พวกสั่งไม่ตาย ยังนั่งอยู่ต่อไป ยังอยู่ต่อไปพวกนั้น ยุให้เด็กทำ แต่ผู้ใหญ่ไม่เป็นไร และเด็กมันก็ไม่เข้าใจกินลูกยุ เด็กนี่ปลุกง่ายนะ เสกง่ายนะ เด็กพวกนักศึกษา นักเรียนนะ โอยยุให้เป็นอะไรก็ได้ พูดปลุกใจพักเดียวก็เฮกันเท่านั้นเอง สร้างม็อปขึ้นมาได้ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรกระทำอย่างนั้น เราควรจะสอนให้มีอุดมการณ์ ให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ให้มีความรู้ ให้มีความสามารถ โตขึ้นจะไปรับใช้ประเทศชาติ ทำอุดมการณ์ที่ตนตั้งไว้ให้มากขึ้นๆ คนดีมันมากขึ้น คนชั่วมันก็ถอยไปเอง ไม่ต้องไปลำบากอะไร เราจะไปล้างคนชั่วด้วยวิธีฆ่าตัวตายมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ขอให้ โยมเข้าใจอย่างนี้ การเทศน์นี้ควรจะแพร่หลาย จะได้อ่านกันหลายๆคน วันนี้พูดมา ก็สมควรแก่เวลา
- วันอาทิตย์ที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๓