แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว (ปิดพัดลมตัวนี้ที) ขอให้ทุกท่าน ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์ อันเกิดขึ้นจากการมาวัด ตามสมควรแก่เวลา วันอาทิตย์นี้ เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑ ของเดือนตุลาคม เดือนตุลาคม เป็นเดือนที่ ๑๐ ของปี อีก ๒ เดือน ก็จะหมดปี ๒๕๓๓ ตามปฏิทินใหม่ เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม เป็นวันที่พระสงฆ์ท่าน ทำกิจอย่างหนึ่ง ก็เรียกว่า ปวารณา ปวารณา นี่เป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่งของพระสงฆ์ เป็นกิจที่จะต้องทำภายในสีมา เพราะเป็นสังฆกรรม สังฆกรรมทุกอย่างต้องทำภายในสีมา เพราะฉะนั้น วัดต่างๆ จึงต้องมี บุตร (01.23) และก็มีสีมา อันเป็นเขตที่พระเจ้าแผ่นดินอุทิศถวายแก่พระสงฆ์ ผู้จรมาแต่ทิศทั้ง 4 ใช้ทำกิจกรรมได้สะดวกสบาย ไม่เก็บภาษีอากร งดเว้นจากเรื่องภาษีทุกประเภท ภายในเขตนั้น เวลาพระจะทำกิจเช่น อุโบสถ สวดพระปาฏิโมกข์ บวชนาค ก็ต้องไปทำภายในสีมา ทำนอกสีมา ไม่สำเร็จ ไม่สมบูรณ์ตามพระวินัยนิยม จึงต้องมีสีมาไว้ ทีนี้สังฆกรรมที่เรียกว่า ปวารณากรรม เป็นการกระทำแทนอุโบสถ ตามปกติทุกเดือน มีการลงอุโบสถ วันกลางเดือน และวันสิ้นเดือน การลงอุโบสถของพระก็คือ ไปประชุมกันเพื่อฟังปาฏิโมกข์ อันเป็นพระวินัยบัญญัติ ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ หรือที่เราเรียกกันทั่วไปว่า ศีล ๒๒๗ ศีล ๒๒๗ นี้ เป็นระเบียบ สำหรับภิกษุ เป็นบัญญัติที่เกิดขึ้นตามลำดับเรื่อง และเหตุการณ์ ไม่ใช่ว่า พระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติทีเดียว ครบจำนวนเท่านั้น หามิได้ แต่ว่าทรงบัญญัติ ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือ พลาดไปกระทำผิดในเรื่องอะไรขึ้น แล้วชาวบ้านก็ติเตียน โพนทะนา ว่าสมณศักดิ์ ชยบุตร (02.59) ทำไมจึงประพฤติอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบ ก็เลยประกาศเป็นพระวินัยบัญญัติขึ้น ว่าไม่ควรกระทำเช่นนั้น ผู้ใดกระทำเช่นนั้นก็ชื่อว่าเป็นอาบัติ ตามมากตามน้อย อาบัติ มี ๗ อย่างคือ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ แล้วก็ทุกกฎ ทุพภาสิต ปรับโทษตามขั้นตอนของการกระทำความผิด อาบัติหนักก็คือ ปาราชิก ใครทำแล้วก็ขาดจากความเป็นพระไป อาบัติเบาขึ้นมาหน่อยก็เป็นสังฆาทิเสส ก็แสดงในสงฆ์ แล้วต้องประกาศให้สงฆ์รับรองใหม่ เหมือนกับบวชใหม่อย่างนั้น เรียกว่ายอมให้แก้ตัวได้ เรียกว่าสังฆาทิเสส นิสสัคคี (03.58) ปาจิตตีย์ เป็นอาบัติแล้วต้องเสียสละของนั้นด้วย ปาจิตตีย์ เป็นอาบัติ ปาจิตตีย์ล้วน ไม่ต้องมีของเข้าไปเกี่ยวข้อง แล้วอาบัติถุลลัจจัย เป็นอาบัติหยาบ รองลงไป อาบัติทุกกฎ เรื่องเล็กๆน้อยๆ หรือก็เป็นอาบัติได้ง่าย และอาบัติทุพภาสิต คือ การพูดส่อเสียด ทำให้คนอื่นรำคาญใจ นี่เป็นอาบัติของพระ ถ้าทำผิดก็ต้องปลงอาบัติ การปลงอาบัตินั้น เป็นการสารภาพผิด และก็มีคำปฏิญญาณสอนไว้ว่า (04.36) นะปุญเลวัง กริกสามิ นะปุญเลวัง ภาชิตสามิ นะปุญเลวัง ชินตะยิตสามิ แปลว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก ไม่เคี่ยนไม่พูดอย่างนี้อีก ไม่คิดอย่างนี้อีก แล้วคำพูดที่เราปลงอาบัติด้วย การปลงอาบัติ ก็ต้องปลงกับพระด้วยกัน เป็นการขอขมาทูต แล้วก็สัญญาว่าจะไม่คิดไม่พูด ไม่ทำอย่างนี้อีกต่อไป นั่นเป็นเรื่องที่ทำตามปกติ พอถึงวันอุโบสถ ก็ไปลงทำสังฆกรรม เรียกว่าอุโบสถ คือไปฟังพระปาฎิโมกข์ ฟังไป ฟังไป ถ้านึกได้ว่าเราทำ ก็สารภาพต่อสงฆ์ในขณะนั้น แต่ว่าเดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยมีอย่างนั้น เพราะว่าปลงเสียก่อนที่จะต้องขัดคอ โดยการปลงอาบัติ พระจะได้สวดรวดเดียว พระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้สวดเรียกว่า ผู้ทรงกรรมปาฎิโมกข์ สวดแล้วพระทั้งหลายก็นั่งฟัง เมื่อจบลงแล้ว ท่านก็กล่าวเตือนในบทสุดท้ายว่า ให้อยู่กันด้วยความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันบำรุงพระศาสนา อย่าอยู่กันด้วยความแตกแยกแตกร้าว ก็เป็นเรื่องเตือนจิตสะกิดใจพระ ให้เกิดความสำนึกในหน้าที่อันตนจะพึงปฎิบัตินั่นเอง อันนี้เมื่อถึงวันปวารณาคือวันเพ็ญ กลางเดือน ๑๑ เมื่อได้สวดพระปาฎิโมกข์แต่ทำกิจคือ ปวารณา ปวารณาองค์ละ ๓ ครั้งบ้าง พระน้อยก็องค์ละ ๓ ครั้ง ถ้าหากพระมาก เขตบ้านเรานี่พระมันตั้ง ๒๐๐ ก็ปวารณาเพียงครั้งเดียว คำปวารณาก็แปลเป็นไทยว่า ข้าแต่สงฆ์ผู้เจริญ ถ้าท่านได้เห็น ได้ยิน ได้รังเกียจ ด้วยเรื่องข้อใดของข้าพเจ้า โปรดบอกเรื่องนั้นแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบแล้วจะได้กระทำคืน คือจะได้แก้ตัว ให้หายข้องใจกันต่อไป ทำไมจึงทำอย่างนั้น ก็เพราะว่า พระอยู่ด้วยกันตั้ง ๓ เดือน เรื่องนี้ต้องทราบก่อนว่า สมัยก่อนนั้น พระไม่ค่อยได้อยู่ร่วมกันนานๆ เพราะว่าพระทุกรูป มีหน้าที่ที่จะต้องกระทำ คือเดินทางไปเผยแผ่ธรรมะ แก่ประชาชนตามสถานที่ต่างๆ แม้พระพุทธเจ้า ท่านก็เสด็จเดินทางไปเที่ยวสอนคนตามสถานที่ต่างๆ พระทุกรูปต่างก็ไป ไปกันรูปเดียวบ้าง ๒ รูป ๓ รูปบ้าง ๕ รูปบ้าง ไปช่วยกันสอนประชาชนให้เข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า
แต่ว่าพอถึงฤดูกาลเข้าพรรษา มีพระวินัยบัญญัติไว้ ว่าพระทุกรูปต้องหยุดอยู่กับที่ไม่ไปไหนตลอด ๓ เดือน การที่ไม่ให้ไปไหนก็เป็นฤดูฝน การเดินทางไม่สะดวก ในทุ่งในนาก็ปลูกพืชผักต่างๆไว้เต็มไปหมด ถ้าจะเดินไปเหยียบพืชพรรณธัญญาหารเหล่านั้นให้เสียหาย เป็นเรื่องครหานินทาของชาวบ้าน หาว่าพระสมณศักดิ์ ชยบุตร (07.56) นี่ ไปไหนไม่รู้จักหยุดกันสักที ฝนตกฟ้าร้องยังไม่หยุด ความทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงบัญญัติพระวินัยว่า เมื่อถึงวันแรมค่ำ๑ พระต้องอยู่จำพรรษา เป็นเวลา ๓ เดือน ตั้งแต่วันแรมค่ำ๑ เดือน๘ จนถึงกลางเดือน๑๒ (เอ้อ กลางเดือน๑๑) ความจริงฤดูฝนมี ๔ เดือน แต่ว่าทิ้งท้ายไว้เดือนหนึ่ง สำหรับทำจีวร เพราะว่าพระสมัยก่อนนั้นไม่ได้ซื้อจีวรจากชาวบ้าน ไปเก็บผ้าที่เขาทิ้งๆขว้างๆ เอามารวบรวมแล้ว เอามาตัดเย็บ ย้อม ทำเป็นจีวร เรียกว่า บังสกุลจีวรจีวร บังสกุลจีวรแปลว่าผ้าเปื้อนฝุ่น เปื้อนสิ่งสกปรก เช่น ผ้าห่อศพ ผ้าที่เขาทิ้งไว้ตามกองขยะมูลฝอย มีส่วนใดที่ใช้ได้ก็มาตัดเอาส่วนนั้น ส่วนใดที่ผุก็ทิ้งไป รวมกันแล้วก็ทำจีวร ปีหนึ่งทำจีวรเพียงครั้งเดียว คือในวันแรมค่ำ ๑ เดือน ๑๑ เรื่อยไปจนถึงกลางเดือน๑๒ ฤดูนี้เรียกว่า ฤดูทำจีวร เรียกว่า จีวรกาลสมัยบ้าง จีวรทานสมัยบ้าง ชาวบ้านชาวเมือง เขารู้ว่าพระทำจีวร ก็นำผ้ามาถวายพระ แต่เอามาทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ พระเดินไปพบเข้า ก็เอามาตัดเย็บย่อม ทำจีวร ทำอยู่อย่างนี้หลายปี แต่ต่อมาก็มีหมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นหมอที่รักษาโรคเก่งในสมัยนั้น เป็นปรามาจารย์ทางทางแพทย์แผนโบราณ เภสัชแผนโบราณ ท่านไปเที่ยวรักษาคนนั้นคนนี้ รักษาเศรษฐี คฤหบดี ครั้งหนึ่งไปรักษา พระเจ้าจันทร์ภัทโชต (09.57) พระเจ้าจันทร์ภัทโชต หายโรค พระเจ้าจันทร์ภัทโชต ก็เลยรางวัลผ้าไหม ๘๐ พับ แกนั่งดูกองผ้าแล้ว ดูรู้ไม่ไหว จะนุ่งกันไหวรึมันตั้ง ๘๐ พับ จะนุ่งเท่าไร มันก็ไม่หมดไม่สิ้น นึกถึงพระ ว่าพระท่านมีจีวรคร่ำคร่า เก่าๆขาดๆ เราคนเดียว เอาผ้านี้ไปถวายเถอะ แต่ว่าถวายไม่ได้ เพราะพระองค์ยังไม่ทรงอนุญาต คนสมัยก่อนเขาเคารพเรื่องวินัย อะไรที่พระพุทธเจ้ายังไม่อนุญาต เขาก็ไม่ทำ แต่เมื่อทรงอนุญาตแล้วจึงทำ เขาเคารพอย่างนั้น จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลขอพร พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้ามีเหตุผลเราก็จะให้ เลยก็ทูลขอพระว่า ต่อไปนี้ขอให้ชาวบ้านได้มีโอกาสผ้า เพื่อทำจีวรแก่พระได้ พระองค์ก็ถามเหตุผลว่าเป็นอย่างไร หมอบอกว่าไปรักษาพระเจ้าจันทร์ภัทโชต พระเจ้าจันทร์ภัทโชต เมืองอูเชนี พระเจ้าจันทร์ภัทโชต ให้รางวัลผ้ามา ๓๐ พับ เป็นผ้าไหมทั้งนั้น ข้าพระองค์มองผ้าแล้วมันมากเกินความต้องการ มันเป็นส่วนเกินไป
คนสมัยโบราณเขาใช้แต่พอดี ไอ้ส่วนเกินนั้นเขาไปให้แก่คนอื่นต่อไป เลยคิดว่าควรจะถวายพระ เพราะพระไม่ค่อยมีผ้าสำหรับใช้ จึงมาขอพรกับพระองค์ เพื่อให้ทรงอนุญาต พระผู้มีพระภาค ได้ฟังแล้วก็พอเข้าใจ เลยอนุญาตว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ให้ชาวบ้านถวายผ้าแก่พระได้ พอได้ประกาศออกไปอย่างนั้น ชาวบ้านก็มาถวายผ้ากับพระเป็นการใหญ่ พระท่านก็เอาไปตัดเป็นรูปจีวรบ้าง สบงบ้าง เพื่อใช้ พระสมัยก่อนมีฝีมือ ในการตัดเย็บจีวร พวกเราในสมัยนี้เสาชิงช้า ทำให้เสียหายหมด เพราะว่าคุณโยมเตี่ยทำไว้ให้หมด เลยพระตัดผ้าก็ไม่เป็น เย็บผ้าก็ไม่เป็น ถ้าสมัยก่อนเย็บด้วยมือ สมัยนี้เย็บด้วยมือก็ไม่ได้ เย็บด้วยจักรก็ไม่เป็นแต่พระที่วัดป่านานาชาติ หรือวัดสายอาจารย์ชา สุภัทโท ที่เป็นอาจารย์ใหญ่อยู่ที่เมืองอุบล ท่านสอนให้พระเย็บผ้าทุกๆรูป ทำเอง พระที่วัดป่านานาชาติ พระฝรั่งเขาตัดจีวรเอง เย็บเอง ย้อมเอง เขาไม่ยอมซื้อผ้าจากตลาดที่เป็นจีวร คนเอามาถวายในฤดูกาลกฐิน เอามาถวายเป็นพับๆ พระก็เอาไว้ตัดจีวร ตัดในวันทอดกฐินซักตัวหนึ่ง แต่ว่ามักจะเตรียมไว้ก่อน แล้วก็เหลือนั้นก็ ถ้าใครไม่มีผ้าก็เอาไปตัดได้ อาตมายังเอาผ้าไหม ที่ชาวสุรินทร์ถวาย ส่งไปที่นั่น บอกว่าช่วยตัดสักที ตัดให้หน่อย เขาก็ตัดให้เรียบร้อย ย้อมให้เป็นขนุนให้เรียบร้อย เอามาใช้อยู่เป็นประจำ เกิดจากการทำผ้า สมัยนี้ เราทำกันไม่เป็น ควรจะฝึกเหมือนกัน พระเราควรจะฝึกตัดสบง ตัดจีวรให้เป็น แล้วก็มีจักรไว้ที่วัดสักคันหนึ่ง เอาไว้เย็บผ้า ที่วัดป่านานาชาติ เขามีจักรอยู่คันหนึ่ง พระฝรั่งช่วยกันตัด แล้วช่วยกันเย็บ จีวร สบงผืนหนึ่งนี่ จีวรทั้งผืนนี่ เขาตัดวันเดียวเสร็จ ทำตั้งแต่เช้าเย็นก็เสร็จเรียบร้อย แล้วเอาไปย้อมด้วยแก่นขนุน ทำเป็นจีวรได้ เดี๋ยวนี้เราทิ้งการช่วยตัวเอง พึ่งตนเอง เพราะโยมให้ความสะดวกมากนั่นเอง เพราะโยมก็ถวายจีวรบ่อยๆ จีวรไม่ค่อยจะขาดแคลน เพราะเรามีการถวาย การทอดกฐิน ก็เพื่อเอาผ้ามาถวายพระ จะได้ทำจีวรใช้ สำหรับสมัยก่อน เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเขาจึงได้ไปถวายกัน ผ้ากฐินนี่ถ้าเกิดขึ้นก็ต้องประชุมสงฆ์ เพราะถวายสงฆ์ ไม่ใช่ถวายบุคคล ไม่ถวายเจ้าคุณท่านพระครูท่านมหาองค์นั้น ไม่ใช่ แต่ถวายลงในท่ามกลางสงฆ์ คำที่กล่าว ก็คือกล่าวว่า เป็นดุจผ้าทิพย์ ลอยลงมาจากนภาดล อากาศ ตกลงในท่ามกลางสงฆ์ เหมือนผ้าตกมาจากอากาศ ลงในท่ามกลางสงฆ์ ไม่เฉพาะแก่พระรูปหนึ่งรูปใด เราจะทำอย่างไรกับผ้านี้ ปรึกษาหารือกันก่อน แล้วก็พระองค์หนึ่งโหวดว่า เราว่าควรจัดการกฐิน แล้วจะให้ใครกัน ผ้านี้ยกให้ใคร ก็ต้องดูว่าในวงนั้น ใครมีผ้าเก่าที่สุด คร่ำคร่าที่สุด ก็ต้องยกให้องค์นั้น ถ้าหากว่าไม่มีใครมีผ้าเก่าก็ยกถวายสมภารไป โดยมากก็เจ้าอาวาสรับทุกที ลูกวัดไม่เคยเอา ถวายสมภาร สมภารก็เอาไปทำอะไรเล็กๆน้อยๆ แล้วก็การกฐิน คำว่าการกฐินหมายความว่า ทำพิธีตัดผ้านั่นเอง คือเอาไม้ ไม้สดึงมาวาง ก็เอาไม้สดึงมากางเป็นรูปจีวร แล้วตัดผ้าวางไว้ตามนั้น วางลงไปตามรูปช่อง จีวรนี่ทำเหมือนกับอันนาของเขามะคด (15.42) พระพุทธเจ้าท่านประทับอยู่บนเขาคิชกูฎ เวลามองลงไปเห็นทุ่งนา เลยเรียกพระอานนท์มาบอก อานนท์ เธอจะทำผ้าจีวรได้เหมือนกับคันนาของชาวมะคดได้ไหม พระอานนท์กราบทูลว่าทำได้ เพราะฉะนั้น จีวรที่เราใช้อยู่นี้ เป็นฝีมือพระอานนท์ วางแบบฉบับไว้ เป็นช่อง เป็นช่อง ช่องยาวบ้าง ช่องสั้นบ้าง ในช่องนั้นก็เรียกว่าขัน (15.42) แปลว่าผืนเล็กๆ เป็นขัน ขันนั้นขันนี้ ๗ขันบ้าง ๑๑ขันบ้าง บางทีตั้ง ๒-๓๐๐ ขัน บางทีผ้ามันเล็กๆ เอามาต่อๆ กัน ทำเป็นขันเล็กๆ ก็มี ทำอย่างนั้น เวลาจะตัดก็จับผ้ามาวางลง วางแล้วก็เอาเข็มเย็บยาวๆ ให้พอผ้าติดกัน แล้วก็เย็บอย่างละเอียด ร่นตะเข็บเย็บเป็นผืนผ้า ช่วยกันเย็บ
แม้พระพุทธเจ้าก็ทรงช่วย เวลาทำกฐิน พระพุทธเจ้าท่านมาทรงช่วยเย็บด้วยเหมือนกัน เย็บกันไปสนทนาธรรมะ กับพระภิกษุทั้งหลายไปพลางๆ เป็นการให้ความรู้ความเข้าใจ ครั้นเมื่อเย็บเสร็จแล้วก็เอาไปย้อม น้ำย้อมเตรียมไว้ก่อน น้ำย้อมสมัยก่อนก็น้ำดินแดงๆ เอาดินมาละลายน้ำ ละลายน้ำแล้วมันก็เป็นสี สีหม่นมุ่นนะ เอามาย้อม อยู่ ๒-๓ ครั้ง ย้อมแล้วเอาผึ่งแดดให้แห้ง แล้วสะบัดเอาขี้ฝุ่นออกไป ก็เป็นอันใช้ได้ แต่ว่าสมัยต่อมาเมื่อมีวัดมีวาอยู่แล้ว พระสมัยก่อนไม่มีสีย้อมผ้า ใช้ขมิ้น แต่ว่าขมิ้นนี่ย้อมมันเหลืองเกินไป สีเหลืองนี่ไม่ใช่สีของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา แต่ไม่รู้จะใช้อะไรก็เอาขมิ้นมาใช้ ย้อมเป็นสีเหลือง แต่ว่าย้อมสีจัดก็ต้องไปเอาแกนขนุนมาท่อนใหญ่ๆ เอามาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ เป็นกระจุกเล็กๆ แล้วเอาไปต้ม ต้มเอาน้ำแก่นขนุนนั้นมาย้อมผ้า ต้มกันหลายที ต้มจนงวดแล้วเอามากองไว้ ต้มแล้วมากองไว้ แล้วเอาไปต้มอีกทีหนึ่ง แล้วเอาผ้าลงย้อม ย้อม๒-๓ ครั้ง น้ำฝาดของแก่นขนุนก็ติดเนื้อผ้า ถาวร ไม่ลอกไม่อะไรเลย เพราะว่ามันเป็นน้ำฝาด ติดผ้าดีมาก ก็ย้อมอย่างนั้น พระสมัยก่อนเวลาซักจีวรนี่ ไม่มีสบู่ใช้ ใช้ลูกมะเฟือง สมัยเด็กๆ ไปกับพระบ่อยๆ ไปหาลูกมะเฟืองตามวัด ที่อยู่บนเนิน เขาเรียกว่าควร ปักษ์ใต้เรียกว่าควร ภาคเหนือก็เรียกว่าม่อน (18.32) ภาคอีสานก็เรียกว่านูน ภาคกลางเรียกว่า นืน (18.37) มันหลายภาษา ไอ้ตัวนั้นตัวเดียว คือว่าเป็นดินที่สูงขึ้นไปกว่าระดับน้ำ สูงกว่าระดับน้ำประมาณสัก ๑๐ ฟุต ๑๐ เมตรบ้าง สูงขนาดนั้นแล้วยาวไป ดินมันดีบนกรวน (18.52) ต่างๆนี่ ปลูกต้นไม้เช่นว่า ขนุนนี่งามมาก ปลูกสะตอ ปลูกทุเรียน ปลูกมังคุด ปลูกสวนยางมันก็งามบนเนินเหล่านั้น อันนี้ เขาปลูกต้นขนุน ที่เขาปลูกไว้นานๆแก่ ไม่เป็นลูกเขาก็ตัดทิ้งไว้ ถ้าเราไปเห็นเข้า ก็ไปขอเอามาทำ เขาเรียกว่า ทำน้ำกัดย้อมจีวร ทีนี้จีวร ที่ย้อมอย่างนี้ เวลาซักก็ไปเอาลูกมะเฟืองมา มะเฟืองนี่มันเปรี้ยว ไม่หวานซักลูกเดียวมะเฟือง เขาว่ามะเฟืองหวานคือ มันจืดชืด แต่มันไม่เปรี้ยวเหมือนมะเฟืองทั่วไป เอามาถึงก็ใส่ลงในรางไม้ ทำเป็นรูปเรือ มีทุกวัด ไอ้รางสำหรับย้อมผ้านี่ มีทุกวัด แล้วก็มี รุ้ง (19.37) สำหรับย้อมผ้า มีกระทะสำหรับต้มน้ำ เอามาขยำให้มันเป็นชิ้นเล็กๆ กัดมือเหมือนกันเวลาขยำ แล้วเราใส่น้ำลงไป ใส่น้ำแล้วเอาผ้าแช่ลงไปในน้ำมะเฟือง ขยำเหมือนกับเราซักผ้า พอสมควรแล้วก็เอาไปล้างน้ำอีกทีหนึ่ง แล้วเอาไปผึ่งแดดให้แห้ง เรียกว่าซักจีวร ตามแบบสมัยก่อน เพราะไม่มีสบู่ใช้ ก็ใช้มะเฟือง เอาเปรี้ยวๆ มันกัดดี สมัยเด็กๆ ไปหามะเฟืองถวายพระย้อมผ้ากันบ่อยๆ มะเฟืองเวลามันดก มันหล่นกอง ก็ไปเก็บเอามาทำ แทนสบู่ย้อมผ้า ได้ใช้กันมาอย่างนั้น ผ้าที่ตัดเย็บเรียบร้อยแล้ว ก็เอามาบอกสงฆ์ให้ทราบอีกว่า บัดนี้พระผ้าสำเร็จแล้ว ให้พระสงฆ์ทั้งหลายอนุโมทนา พระสงฆ์ก็อนุโมทนา เป็นอันว่าเสร็จพิธีเรื่องผ้ากฐินกันไป กฐินในสมัยก่อน มุ่งทอดเพื่อเอาผ้าถวายพระ แต่ในปัจจุบันนี้มันพัฒนา เรื่องผ้าไม่ค่อยพูดถึงกันเท่าใด แต่ว่าพูดเรื่องปัจจัยกันมากกว่า เพราะวัดวาอารามต่างๆ ชอบสร้างสถานที่ต่างๆ เพิ่มขึ้น แล้วปัจจัยมันไม่มี ก็รอวันกฐินนู่นแหล่ะ ใครเป็นเจ้าภาพมาทอดกฐินก็คงจะได้เงินกัน เอามาซ่อมสร้างเสนาสนะ ต่อไป ท่านพยอม กัลยาโณ ของเรานี่ เวลานี้ กำลังขยายที่วัดออกไปข้างหน้าให้มันติดถนน ที่มันว่างอยู่ แล้วกลัวว่าคนจะมาซื้อที่นั้น และจะสร้างทาวน์เฮ้าส์ บางวัดก็เลยไปทำสัญญาซื้อกับเจ้าของที่ ในวงเงิน ๒๕ ล้าน จีวรท่านพะยอมคงจะขาดกันคราวนี้ เพราะว่า ๒๕ ล้านนี่มันไม่ใช่น้อยนะ หาเงิน ๒๕ ล้านนี่ แต่ว่าสัญญากันว่า ๒ ปี จ่ายไปให้ไปเรื่อยๆ พอครบ ๒ ปีก็ให้หมด ท่านพะยอมก็ต้องเที่ยวเดินเทศน์ ทั่วประเทศ ปกติก็เดินเทศน์อยู่แล้วไม่ได้หยุดได้หย่อน ทีนี้จะต้องออกเทศน์กันจนคอแห้ง เมื่อเช้านี้มีคนเอาใบปลิวมาให้ บอกว่าจะมาแจกที่วัดนี้ หลวงพ่อบอกว่าวัดนี้แจกไม่ได้ คือวัดนี้ไม่ให้คนมาแจกฎีกา ญาติโยมอุบาสกอุบาสิกาอย่าเอาฎีกามาแจกกันที่นี่ เพราะถ้าเปิดให้แจกแล้วแจกกันใหญ่ เหมือนในศาลาอุบาสก วันพระนี่แจกกัน คนนั้นเอามา คนนี้เอามา โอ๊ยให้ง่วนไป เรียกว่ามาวัดนี่มาแลกฎีกากันเท่านั้นเอง ไม่มีเรื่องอะไร ให้ว่อนไป เลยประกาศห้าม บอกว่าไม่ให้เอามาแจก ใบปลิวเรี่ยไรทุกประเภท ไม่ให้เอามาแจกที่วัดนี้ ถ้าจะให้ประกาศ หลวงพ่อประกาศให้เอง แต่ก็บางรายนะ รายท่านพะยอมนี่ก็ช่วยประกาศให้ แล้ววันนี้เขาทอดกฐินกันที่วัดสวนแก้ว ใครจะไปก็ได้ แต่มันจวนเกินไปโยมกลับตัวไม่ทันแล้ว ให้มาบอกวันนี้ มีแผนการโฆษณาไว้ มันต้องบอกไว้อาทิตย์ก่อน แล้วญาติโยมก็จะได้ไปได้ นี่มาบอกจริงจวนอย่างนี้มันฉุกละหุกมากเกินไป แต่ก็ มีอะไรพอช่วยได้ โยมก็ไปช่วยกัน เพราะว่าซื้อที่ดินให้วัด มันก็เป็นประโยชน์ให้วัด เป็นของพระศาสนาต่อไป ต้องไปศึกษาดูว่าตารางวาละเท่าไหร่ ไร่ละเท่าไหร่ แต่ ๒๕ ล้าน ๗ ไร่นะ ๗ไร่ ราคา ๒๕ ล้าน เพราะมันติดถนนใหญ่ ถนนดินเมืองนนท์นี่ก็เรียกว่ากำลังบูม คือกำลังขึ้นราคากัน แต่ว่าถ้าไม่ซื้อตอนนี้เดี๋ยวคนอื่นมาซื้อ แล้วจะสร้างทาวน์เฮ้าส์บังวัด คนไม่เห็นวัด ท่านก็คิดดีเหมือนกัน ทำเป็นประโยชน์ต่อไป
ตามบ้านนอกบ้านนา ไม่ค่อยมีคนไปทอดกฐิน ชาญก ชาญิกาก็มาหากฐินกัน พระนี่ไปบอกโยมให้ทอดกฐินไม่ได้นะโยมจำไว้นะ คือพระบอกไม่ได้ จะไปบอกว่า โยม ไปช่วยทอดกฐินที่วัดอาตมาหน่อย ไม่ได้ มันไม่เป็นกฐินนะ ถือว่าไม่เป็นกฐินนะ บอกไม่ได้ ทำเลียบไปก็ไม่ได้ เช่น บ่นว่าวัดอาตมา ยังไม่มีใครมาจองกฐินเลย อย่างนี้ก็ยังไม่ได้นะ พระพุทธเจ้าไม่ให้พูด ไม่ให้เอ่ยถึงเลย มันเป็นเรื่องของ ชาญก ชาญิกาที่จะไปหาเอง ทีนี้ชาญก ตามบ้านนอกก็เข้ากรุงนี่ คราวนี้ มาหาคนนั้นหาคนนี้ หารัฐมนตรีบ้าง หาเลขารัฐมนตรีบ้าง หาคนที่มีสตงสตางค์ บอกว่าช่วยไปทอดกฐินซักหน่อยเถอะ คนนั้นก็จัดการแจกฎีกาใบปลิวเป็นประธานให้ ได้เงินไปสัก ๔-๕ หมื่น แสน๒แสน เอาไปช่วยพอได้สร้างสิ่งที่ค้างๆคาๆอยู่ ก็การสร้างวัดสู่บ้านนอก มันใช้เงินเยอะ เพราะเงินมันไม่ค่อยมี แล้วก็ชอบสร้างใหญ่เสียด้วย ชาวบ้านยากจน แต่สร้างโบสถ์ใหญ่โตมโหฬาร ทีนี้มันไม่สมฐานะของหมู่บ้าน ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนก็เที่ยววิ่งวุ่นไป หากฐินให้เขาไปทอดกัน กฐินบ้าง ผ้าป่าบ้าง ผ้าป่ากับกฐินนี่ใครเกิดก่อน ผ้าป่าเกิดก่อน คือ ผ้าป่าเกิดเพราะว่า พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตให้รับผ้าจากชาวบ้าน ชาวบ้านอยากถวายผ้าแก่พระก็ไปทิ้งไว้ ทิ้งไว้ตามทางเดิน พาดไว้ตามกิ่งไม้ เอาไปทิ้งไว้ในป่าช้า พระไปพบเข้าก็เลยชักเอามา ทำเป็นผ้าจีวร แต่นี่เรียกว่าผ้าป่า ทอดผ้าป่า เอาผ้าไปทอดไว้ในป่า ไปทิ้งไว้ในป่า พระก็ไปชักเอามา นี่เกิดก่อน แล้วต่อมาก็เกิดกฐินขึ้น เกิดกฐินก็เพราะว่าพระจากเมืองปาฐา (25.52) ๓๐ รูป รีบร้อนมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พอออกพรรษาแล้วก็ไปเลยทีเดียว คิดถึงพระพุทธเจ้ามานาน ก็เลยไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เนื้อตัวเปื้อนโคลน จีวรเปื้อนโคลน พระพุทธเจ้าเห็นเช่นนั้นก็เห็นว่าไม่เหมาะ รีบมาในฤดูที่ฝนยังไม่ขาดเม็ด ฝนยังตกอยู่มาก เลยบัญญัติว่าออกพรรษาแล้วไม่ให้ไปไหน ให้ทำกฐินกันเสียก่อน แล้วจึงจะไป พระเราก็ไม่ต้องไปเที่ยว นี่เริ่มมาแล้ว พระหัวเมืองเริ่มมาที่จังหวัดนี้แล้ว มา๒องค์แล้ว มาถึงถามว่าคุณมาทำไม ออกพรรษาใหม่ๆทำไมมา บอกว่าไม่สบาย ไม่สบายเป็นโรคอะไร เป็นโรคจิต เอ๊ะโรคจิตนี่มันเป็นยังไง ผมไม่เคยเป็น ไหนลองเล่าให้ฟังซิมันเป็นยังไง บอกว่ามันมึนๆหัว สมองไม่ค่อยดี เรียนหนังสือก็ไม่ค่อยได้ ตามัน มองไปทางนี้ มันเห็นไปทางนู้น ตามันเหล่ เลยบอกไปหาหมอตา ซื้อแว่นใส่เสีย แล้วไอ้โรคนั้นก็จะหายไป แล้วก็บอกว่าที่นี่พักได้คืนเดียว พรุ่งนี้ก็ไปได้ ไม่ให้พัก พักคืนเดียว ที่ต้องบัญญัติ แหม มากันใหญ่ มาวัดชลประทาน มาถึงแล้วพอฉันเพลเสร็จออกเป็นแถว ขึ้นรถหน้าวัดเต็ม ไปเที่ยว ชมบ้านชมเมือง หรือไปไหนก็ไม่รู้ ทีหลังบอกไม่ให้พัก พักคืนเดียว ถ้ามาหาหมอ พักคืนเดียว พรุ่งนี้ไปเลย กลับวัด อะไร ออกพรรษาแล้วก็มาทันที มันมากไปหน่อย อยู่รับกฐินกระโถนอะไรกันก่อน อย่ารีบมา ต้องพูดกันอย่างนั้น ไม่งั้นละมากันใหญ่ มาวัดนี้นะ ชื่อเสียงท่านปัญญามันดังอยู่หน่อย ไอ้ดังนี่มันก็ไม่ดี มันเป็นทุกข์เหมือนกันนะ ชื่อดังๆนะ คนมันมาหามาก มันก็ยุ่ง คราวนี้บอกว่ามาอยู่ไม่ได้วัดนี้อยู่ได้คืนเดียว ตอนนี้อยู่ไม่ได้ ไม่ให้อยู่นาน คือถามก่อน มาทำไม มาเที่ยว เลยบอก คืนเดียวไป ที่นี่ไม่ใช่ที่คนเที่ยว บางคนบอกว่ามาอยากจะศึกษาธรรมะ บอกไม่ต้องมาศึกษาที่นี่ หนังสือเยอะแยะ ซื้อไปสักหอบ แล้วไปนอนอ่านอยู่ที่วัดก็ได้ ไม่ต้องมาที่นี่ก็ได้ บอกอย่างนั้น มันเป็นระเบียบ ไม่ให้ออกเดินทางหลังจากพรรษาแล้ว เว้นไว้แต่ไปเพื่อศึกษาจริงๆ พระที่วัดนี้ ๗๐ รูป เมื่อวานนี้เดินทางไปไชยา ให้ไปอยู่ ๗ วัน แล้วก็เดินทางกลับ ไม่ให้ไปเที่ยวไหน เพราะว่าตั๋วรถไฟทำใบเดียว ไม่ได้แจกตั๋วกี่ใบ องค์ละใบละใบ เดี๋ยวเถลไถล ให้ใบเดียว กลับพร้อมกัน ไปพร้อมกัน จะได้มาอยู่ที่วัดต่อไป แล้วก็ลาสึก ก็สึกกันไป เมื่อวานนี้สึกไป ๔๐ ออกพรรษาแล้วรวบเลย แล้ววันที่ ๑๒ สึกไปเรื่อยๆ พอหลังกฐินนี่ก็สึกหมดแล้ว ไม่มีเหลือ
ตอนนี้ยังไม่บวชนาค มีคนมาขอบวชบ่อยๆ บอกว่าไม่ใช่ฤดูบวชนาคตอนนี้ เป็นฤดูที่จะทำกิจอื่น จะไปบวชอีกทีก็นู่นน่ะ วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ บวช๔ชุด หน้าร้อนนี่ ๑ กุมภา ๑ มีนา ๑ เมษา ๑ พฤษภา ใครจะบวชก็ไปสมัครสงฆ์ เว้นไว้พิเศษ กรณีพิเศษ คือว่านักเรียนจะไปเรียนเมืองนอกแล้ว พ่อแม่อยากให้บวชเสียสัก ๑๕ วัน ถ้าอย่างนี้ก็บวชให้ แต่ถ้าธรรมดาๆ ไม่ได้ไปไหน ก็บอกเอ้า ไปบวชเดือนกุมภา ทำไมจะต้องไปบวช กุมภา มีนา เมษา คือทำให้มันเป็นระบบ บวชพร้อมกันหลายๆคน บวชหลายคนเปิดชั้นเรียนได้เลย แล้วก็พระมาสอนเป็นระบบ ถ้าบวชทีละคนนี่จะไปสอนยังไง บวชคนนี้วันที่ ๑ บวชคนนี้วันที่ ๕ สอนองค์นี้แล้วต้องไปสอนองค์นั้น ตั้งต้นอีก ดูแล้วมันลำบาก การที่จะให้ความรู้ แล้วจะกวดขันในการปฏิบัติก็ไม่สะดวก แต่ถ้าเราบวชเป็นชุด ทำได้ง่าย สอน อบรมธรรมะ สอนกรรมฐาน อาจารย์ก็ไปนั่งสอน นี่คนเดียวไปนั่งติวกันอยู่ นั่งสอนอยู่คนเดียว มันเสียเวลา เลยไม่รับบวช ญาติโยมบอกญาติมิตร ที่อยากจะบวช ต้องไปเดือนกุมภา วันที่ ๑ กุมภา สมัคร ๑๕ มกรา สมัครล่วงหน้า ๑๕ วัน ไม่ว่าเดือนไหน ถ้าบวชกุมภา ก็ ๑๕ มกรา บวชมีนาก็ ๑๕ กุมภา บวชเมษา ๑๕ มีนา บวชพฤษภา ก็ ๑๕ เมษา วางเป็นระบบไว้ เขียนไว้แล้ว ติดไว้ ติดป้าย โยมไม่ค่อยอ่าน มาแล้วไม่ค่อยดู มาวัดนี่เขาต้องดูว่าเขาโฆษณาประชาสัมพันธ์อะไรไว้ตรงไหนบ้าง จะได้รู้เรื่อง เขาทำไว้เรียบร้อย หน้ากุฏิหลังเก่า มาอ่านได้ เรื่องมันก็สะดวกสบาย
โบราณนั้น พระไม่ได้ไปเที่ยวก่อน ถ้ายังไม่ได้ทำจีวร ก็ไปเที่ยวแล้วมันไม่มีเวลาจะเย็บจีวร จะทำให้เกิดปัญหา ไม่มีกังวลด้วยผ้านุ่งผ้าห่ม จะได้ไปสอนคนสบายๆ ท่านจึงให้ทำอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติอะไรไว้ เหมาะแก่เรื่อง เหมาะแก่เหตุการณ์ เหมาะแก่บุคคลทั้งนั้น ถ้าเราทำตามระเบียบของพระองค์
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะสนทนาให้ญาติโยมทั้งหลายได้รับทราบไว้ ก็เรื่องเกี่ยวกับกฐิน แต่วัดนี้ก็ทอดวันที่ ๓๑ ตุลาคม เป็นวันพุธ ไม่ใช่วันอาทิตย์ แต่ว่าจะรวบรวมทุนกันในวันอาทิตย์ เพราะญาติโยมมาสะดวก วันพุธนี่คนไม่ได้หยุดงาน มาไม่สะดวก อาจจะมีข้าราชการกรมชลประทาน ก็มาตั้งแถวรับนักเรียน ตั้งแถวรับสมเด็จพระเทพฯ ที่ท่านจะเสด็จมาเป็นประธาน ในการทอดกฐินคราวนี้ ปัจจัยที่ได้รับก็เข้าส่วนสร้างโรงพยาบาลต่อไป เวลานี้โรงพยาบาลก็สร้างมาถึงทำฐาน เสา ๕๘ ฐานแล้ว ยังอยู่อีก ทั้งหมดมัน ๔๐๐ กว่าต้น ๔๐๐ กว่าฐาน ทำลงไปได้ ๕๐ กว่า ก็ทำไป แต่ว่าจะเสร็จสมบูรณ์ ปลายเดือนสิงหาคม ๒๕๓๔ แล้วก็จะทำการฉลองราวเดือนกันยายน ก็วางโครงการฉลองกันภายในวันนั้น ไม่ทันวันเกิดก็ไม่เป็นไร วันเกิดอาตมา ๑๑ พฤษภาคม เห็นไหม ไม่ได้สำคัญอะไร มันสำคัญที่โรงพยาบาลเสร็จ แล้วก็ทำการฉลองกันในวันนั้น ก่อนวันเกิดนั้น ไม่ทำอะไรมากมาย นิดๆหน่อยๆ ตามเรื่อง นิมนต์พระมาฉันอาหาร สักมื้อ อะไรต่ออะไร ไม่ใหญ่โตอะไร แต่ว่าไปใหญ่เอาตอนฉลองโรงพยาบาล ให้ญาติโยมเข้าใจว่าอย่างนั้น
ทีนี้เดือนตุลาคมนี่เป็นเดือนสำคัญ ในทางบ้านเมืองเดือนหนึ่ง เพราะว่า มีบุคคลสำคัญ เกิดในเดือนตุลาคม ถึง ๒ ราย รายแรกก็คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านเป็นวันที่ระลึก คือวันที่ ๒๓ ตุลาคม วันที่ ๒๓ เขาเรียกว่าวันคารวะพระบรมรูปทรงม้า และเป็นเดือน๑๒ ถ้ามีพระบรมรูปทรงม้า แล้วก็เรามีงานวัดสระเกศ แล้วก็ต้องมีงานปฐมเจดีย์ มันใกล้วันเพ็ญเดือน ๑๒ แล้วน้ำมักจะท่วมบ้านท่วมเมือง น้ำเหนือมันลงมา สมัยก่อนไม่มีเขื่อนเจ้าพระยา แล้วคนก็ได้สนุกกัน ลองกระทงกระเทิงกันไปตามเรื่อง ในวันที่ ๒๓ ตุลาคมนั้น เป็นวันที่เราควรจะระลึกถึง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพระว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ ทรงวางฐานของบ้านเมือง ในทุกแง่ทุกมุม กระทรวงต่างๆ เกิดขึ้นในสมัยของพระองค์ทั้งนั้น บางวันหนึ่งตั้งๆ ๓ กระทรวงพร้อมๆกัน วันเกิดกระทรวงถึงจะตรงกัน ทำให้พัฒนาการปกครองบ้านเมืองเป็นสมัยใหม่ ในรูปใหม่ ตามแบบของประเทศต่างๆ ที่เขาเจริญแล้ว เพราะพระองค์ได้เสด็จไปยุโรป เป็นกษัตริย์เอเชียองค์แรก ที่เสด็จประพาสยุโรป แล้วกลับมาก็พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญ ให้ก้าวหน้า ในแง่มุมต่างๆ เรียกว่ารื้อ ตั้งฐานไว้ แผ่ความเจริญไว้ แล้วในหลวงรัชกาลที่ ๖ มาขึ้นต่อ ให้มีความก้าวหน้าต่อไป ประชาชนรักพระองค์มาก เพราะว่าเสวยราชย์อยู่นานกว่าพระมหากษัติย์พระองค์ใดในประเทศไทย แล้วสิ้นพระชนม์ไปด้วยความอาลัยของประชาชน เขาสร้างพระบรมรูปทรงม้าไว้ สร้างก่อนสวรรคต สร้างภายหลังกลับจากยุโรป แล้วให้ช่างฝรั่งในยุโรป ปั้น หล่อ ให้ เวลานั้นการหล่อเมืองไทย ยังไม่เจริญ ยังไม่ก้าวหน้า พระองค์ต้องเสด็จไปนั่งประทับให้เขาดู เขาดูพระพักต์ ดูอะไรต่ออะไร ลักษณะอย่างไร ก็ทำได้เหมือนมาก ฝรั่งเขาเก่ง หล่อแล้วเอามาวางไว้ที่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม เปิดฉลองเป็นการใหญ่ ก่อนที่เสด็จสิ้นพระชนม์ด้วยซ้ำไป แล้วพอสิ้นพระชนม์แล้ว เราก็ถือว่า ๒๓ ตุลาคม เป็นวันอนุสรณ์พระจุลจอมเกล้า เป็นวันไปนมัสการ วางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้า นั่นเป็นเรื่องฝ่ายวัตถุ ที่เราจำกันอยู่ทั่วไป คราวนี้ถ้าเรามาทำด้านจิตใจ ในวันเช่นนั้น หรือก่อนวันเช่นนั้น เราก็ควรจะน้อมระลึกถึง พระคุณของพระองค์ท่าน ต้องศึกษาหน่อย อ่านประวัติศาสตร์ของชาติไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในหลวงท่านพิมพ์ พระชนมายุ ๖๐ พรรษา เล่มโตๆ ถ้าเรามีเวลาก็ไปอ่านดู รู้เรื่องราวของกรุงรัตนโกสินทร์มาก มีอะไรใหม่ๆ แปลกๆ เกิดขึ้น ทรงกระทำทุกอย่างเพื่อชาติเพื่อบ้านเมือง ทรงรับภาระหนักในการปกครองบ้านเมือง เพราะเป็นพระเจ้าแผ่นดินแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รับผิดชอบในงานทั้งหมด แม้แต่จัดเป็นกระทรวงเสนาบดีของกระทรวงต่างๆ รับผิดชอบไป แต่การตัดสินว่าอะไรจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับอำนาจของพระมหากษัตริย์ เพราะฉะนั้นทรงทำงานหนัก ไม่ค่อยจะมีเวลาพักผ่อนเท่าใด
ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ท่านพักผ่อนด้วยการเขียนบท บทละคร หรือหนังสือประเภทต่างๆ หนังสือที่เขียนไว้มีหลายเล่ม เล่มหนึ่งที่สำคัญคือเรื่อง อาบูฮาซัน มาจากอาหรับราตรี พันทิวา หนึ่งพันราตรี ยกมาเรื่องหนึ่งคือเรื่อง อาบูฮาซัน ในเรื่อง อาบูฮาซันนี่เป็นลูกเศรษฐี มั่งมีทรัพย์สมบัติ ไม่ยากไม่จน เป็นคนใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ประตูบ้านเปิดอยู่ตลอดเวลา ต้อนรับคนทุกคนที่มาบ้าน ให้กินให้อยู่ ขัดข้องอะไรก็ให้ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เอามาเป็นเพื่อนทั้งนั้น ผลที่สุดก็หมดเนื้อหมดตัว ลำบากยากแค้น ไปพึ่งใครก็ไม่ได้ เพื่อนที่เคยให้ ไปพึ่งเขาก็ไม่ให้อะไร อันเป็นเรื่องแสดงถึงการคบมิตร มันเข้าในเรื่องมงคลสูตร อาทิวนาจปาลานัง (37.47) ปัณนิจานัง จเสวนา ให้คบหาสมาคมด้วยบัณฑิต ให้อย่าคบคนพาล เป็นปรากฎอยู่ในมงคลสูตรของเรา นิทานเรื่องอาบูฮาซัน นี่เป็นเรื่องแสดงถึง การคบคนไม่เลือกหน้า เป็นคนใจใหญ่ใจกว้าง จนกระทั่งหมดเนื้อหมดตัว ใครขออะไรให้ทั้งนั้น สายสร้อยแขวนคอประดับเพชรพลอยต่างๆ คนขอก็ถอดให้ ก็ต้องเรียกพระเวสสันดร พระเวสสันดอนแบกแด็ค แต่ว่าแบกแด็ค ก็มีโจรใหญ่เกิดขึ้นเวลานี้ ซัดดัมฮุดเซน ไม่เหมือนอาบูฮาซัน กลายเป็นโจรของโลกไป ทำปัญหาให้เกิดขึ้นในสังคม ด้วยประการต่างๆ แต่ว่าผลที่สุด อาบูฮาซันนี่ ได้พบกับพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินชอบเที่ยวกลางคืน ไม่ใช่เที่ยวไปหาโรคเอดส์ เหมือนสมัยนี้ ไม่ใช่ แต่ว่าไปเที่ยวแอบฟังความชาวบ้านเขาคุยกัน เขาจะด่าพระเจ้าแผ่นดิน หรือว่าจะติเตียนอะไรก็ มักจะคุยกัน วิพากษ์วิจารณ์ชมมั่งอะไรมั่ง ก็เที่ยวไปเรื่อยๆ จนเข้าไปในบ้านอาบูฮาซัน เข้าไปในบ้านอาบูฮาซันก็คุยกัน ก็ไม่รู้ว่าเป็นเจ้าแผ่นดิน อาบูฮาซันบอก แหม อยากจะเป็นเจ้าแผ่นดินสักวันหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินถามว่า ถ้าเป็นแล้วจะทำอะไร บอกว่าจะจับอิหม่าม มาเฆี่ยนหลังเสียหน่อย เพราะอิหม่ามนี่มันเลอะเทอะอยู่ นักบวชอิสลาม ไม่ใช่นักบวช ศาสนาอิสลามเขาไม่มีนักบวช แต่เป็นหัวหน้ามัสยิต หัวหน้าศาสนา อยากจะเอามาเฆี่ยน สักที่ ให้รู้สึกสำนึกเสียบ้าง เลย พระเจ้าแผ่นดินก็เอายาใส่ในอาหารน้ำให้ดื่ม อาบูฮาซันก็หลับใหล สั่งทหารให้แบกเข้าไปในวัง แล้วพอตื่นภายในวัง ก็พอตื่นเสียงบรรเลงเพลง ดนตรีต้อนรับเหมือนกับพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินพอเห็น นั่นตื่นขึ้นปุ๊ป บอกตกใจเหรอ มันเป็นความฝันที่เป็นจริงขึ้น ตกอกตกใจ ก็เลยได้เป็นเจ้าแผ่นดินแล้ว พอเป็นเจ้าแผ่นดินก็สั่งคนให้ไปจับอิหม่ามมาเลย เอามาเฆี่ยนหลังเสียร้อยที แล้วก็ปล่อยไป แล้วก็ทำนู่นทำนี่ หลายเรื่องหลายอย่าง แต่ว่าวันเดียวเท่านั้น วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง พอรุ่งเช้าขึ้น เจ้าแผ่นดินก็ให้กินยาแล้วก็แบบกลับส่งไว้ในวัง มาตื่นขึ้นอีกทีไม่มีอะไรมันเป็นความฝัน ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ท่านแต่งไว้ แล้วก็มีละครเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับเงาะ พระราชนิพนธ์เรื่อง เงาะป่า เงาะป่านี้ท่านไปได้มาจากไหน เสด็จปักษ์ใต้ ไปจังหวัดตรัง ไปพัทลุง จนมาเดินทางผ่านพัทลุง ไปตรัง เขามีตรัง ที่เขาเรียบว่าบ้านทับเที่ยง คือว่าในหลวงไปประทับที่นั่นมันเที่ยงพอดี เขาปลูกพลับพลาที่ประทับ เลยชื่อว่าทับเที่ยง เป็นชื่อบ้านชื่อเมืองจนถึงบัดนี้ ตัวตลาดใหญ่เมืองตรัง เขาเรียกว่าตลาดทับเที่ยง ใครไม่รู้ว่าเอ๊ะ มันเที่ยงยังไง ทับมันยังไง มันเที่ยงยังไง คือทับเนี่ยหมายถึงว่า พลับพลา ภาษากรุงเทพเรียกว่าพลับพลา สร้างที่ประทับในหลวงเรียกว่าทับ คนจะไปทำงานทำการชั่วคราวในวัดก็ไปปลูกทับ ปลูกเป็นโรงยาว เป็นโรงครัว เป็นที่รับแขก มีห้องนิดหน่อยสำหรับเก็บข้าวเก็บของ เขาเรียกว่าทับ ทั้งนั้น เข้าไปปลูกเพราะว่ากระท่อมน้อยๆ ที่ไปปลูกเฝ้าไรเฝ้าสวย ก็เรียกว่าทับเหมือนกัน เขาไม่เรียกกระท่อม เขาเรียกว่าทับ และอีกคำหนึ่งเรียกว่าขนำ เรียกว่าหนำ หนำนา ภาษาปักษ์ใต้ ในหลวงท่านไปพักที่นาวงก่อน แล้วก็ไปตรัง ไปพักที่ทับเที่ยง แล้วลงไปกันตัง สมัยก่อนเมืองมันไม่ได้อยู่ที่ทับเที่ยง มันอยู่ที่กันตัง อยู่ที่ท่าเรือ เมืองกันตัง ตระกูลใหญ่คือตระกูล ณ ระนอง เป็นผู้ปกครองบ้านเมืองในเวลานั้น ท่านเสด็จไปที่นั่น คราวนี้ได้เสด็จไปถึงพัทลุงเนี่ย ได้ทราบว่ามี เงาะอยู่ ก็บอกว่าอยากจะได้เงาะซักคนหนึ่ง เงาะเด็กหนุ่มๆ วัยรุ่นนะ คราวนี้พวกจับ เขาก็ไปจับเงาะเขาโคมาให้ ชื่อกันนัง ในหลวงท่านตั้งชื่อให้ว่านายคนัง เอามาถึงกรุงเทพ เอามาอยู่ในวัง อยู่เป็นตัวเงาะอยู่ในวังเลย ท่านแต่งพระราชนิพนธ์เรื่อง เงาะป่า ก็เรื่องชีวิตของนายคนัง นั่นเอง พอจับมาจากพัทลุง แล้วมันมีชีวิตอยู่จน ในหลวงสวรรคต แล้วก็รัชกาลที่ ๖ ขึ้นครองราชย์ แล้วมันก็ถึงแก่กรรมไป นั่นเป็นเงาะป่า เงาะนี่มันเป็นคนเผ่า เผ่าในป่า คว้ายพวกแม้ว พวกมูเซอ แต่เงาะนี่อยู่ตามภูเขา อยู่ตามภูเขา ผมมันหยิก เหมือนกับพวกนิโกร ผิวดำ ตัวเล็ก ไม่ใหญ่เท่าใด อยู่ชีวิตง่ายๆ อยู่ตามป่า เขามีไอ้กระบอกลูกดอก กระบอกยาว ยาวตั้งวา เอาลูกดอกอาบยาพิษใส่เข้าไปในกระบอกแล้วมันเป่า มันเห็นค่างอะไรแล้วมันเป่า มันเป่าแรงลูกดอกหลุดจากกระบอกไปถูกค่าง ยาพิษไปถูกค่าง ค่างตกลงมาเลย แล้วมันจับไปกินกัน เอาไปปิ้งกินกัน ก็มีลูกดอก แต่ว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วเงาะ เจริญแล้ว เดี๋ยวนี้อยู่บ้านอยู่เรือน รู้จักใช้เงินใช้ทอง สมัยก่อนไม่รู้จักใช้ ให้เงินมันก็ไม่เอา มันเห็นไม่รู้อะไรจะเอาไปทำไม ซื้ออะไรกิน มันไม่รู้จักซื้อ ไม่รู้จักขาย แต่เดี๋ยวนี้รู้จักซื้อรู้จักขาย แต่ยังมีอยู่ในมาเลเซียมากว่าบ้านเรา มาเลเซียป่าเขาใหญ่กว่าปักษ์ใต้ ป่าใหญ่ ภูเขาใหญ่ๆ มีป่า
ฝรั่งเขาเคยไปศึกษาชีวิตของพวกคนพวกนี้ เขาเรียกว่าพวกเซมัง กับพวกซาไก เงาะบ้านเรานี่คือพวกซาไกนะ แล้วก็ พวกนั้นก็อยู่ในป่า ฝรั่งไปศึกษาธรรมชาติมนุษย์วิทยา ไปศึกษาพวกนี้ เมื่อไปถึงก็เอาลูกปัดให้ ของแดงๆชอบใช้ เหมือนเรื่องพระสังข์ เจ้าเงาะชอบดอกไม้แดง เอาดอกไม้แดงมาล่อเงาะก็วิ่งตามไป เจ้าเงาะวิ่งตาม ความจริงมันเงาะไม่แท้ เงาะพระสังข์ ใส่คราบมา อันนี้ก็เอาผ้าแดงให้บ้าง ลูกปัดให้บ้าง กำไล ที่เขาทำในตลาดขายราคาถูกไปให้ แล้วขอร้อง บอกว่าให้ช่วยร้องเพลงให้ฟัง เล่นดนตรีให้ฟังหน่อย แต่พวกนั้นไม่แสดง ไม่ยอมเล่นดนตรี ไม่ยอมเล่นอะไร ไม่ร้องเพลงให้ฟัง ฝรั่งเขาให้ล่ามถามว่าทำไมถึงไม่ร้อง ก็บอกร้องไม่ได้ เพราะว่าญาติตาย เอาไปฝังไว้ตรงนู้น กิ่งไม้ที่ปักบนหลุมญาติยังไม่เหี่ยวไม่แห้ง แล้วเราจะสนุกกันได้อย่างไร อันนี้ก็น่าคิดนะ พวกเงาะมันมีวัฒนธรรมพอใช้ ญาติตายมันสนุกกันไม่ได้ แต่ว่าคนเราที่เจริญนี่ พอญาติตายเปิดวงพิณพาทย์เลย บรรเลงพิณพาทย์ เล่นการพนันกันในงานศพ แล้วก็มีการฟ้อนการรำสนุกสนานกันเต็มที่ แล้วลองไปเทียบเคียงดูว่าคนป่ากับคนเมือง อันไหนมันเจริญกว่ากัน ไหนมีวัฒนธรรมสูงกว่ากัน พวกเงาะเขาไม่ร้อง ไม่กล้าร้องเพลงเพราะญาติตาย กิ่งไม้ยังไม่แห้ง เขาจึงไม่กล้าร้องเพลง นี่แสดงว่ามีจิตใจสูงพอสมควร ของเราพอตายถึงเอากันเลย เปิดเลย เปิดเหล้าเปิดเบียร์เลี้ยงกัน เปิดบ่อนการพนันเล่นกัน แล้วก็มีพิณพาทย์ประโคม พระก็สวดสลับเสียงพิณพาทย์ พระเลิกแล้วพิณพาทย์ยังไม่เลิก เอาผู้หญิงมารำหน้าศพกันต่อไปเติ้งเติ่งติ๊งต่างว่ากัน สนุกกันใหญ่ เออ ดูๆแล้วมันก็ขำเหมือนกัน ที่วัดนี้เลยประกาศห้าม ไม่ให้เอามาแสดง เดี๋ยวนี้พิณพาทย์ไม่บรรเลงศพวัดชลประทาน แล้วไม่มีรำมอญ เพราะแถวนี้คนมอญเขาเยอะ เขาชอบรำหน้าศพกัน มารำตรงนี้ พระนั่งอยู่ตรงนี้ มาอวดพระนะ พระก็จีวรร้อนประจำตามกัน เพราะมารำบ่อยๆ เนี่ยมันก็ไม่ดีเหมือนกัน มันยั่วกิเลสคน มันเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ก็เลยตัดปัญหาไป เรื่องอย่างนี้ เรื่องในหลวงรัชกาลที่ ๕ มีพระราชนิพนธ์เรื่อง เงาะป่า
หนังสือร้อยแก้วที่ในหลวงทรงนิพนธ์นี่สำคัญเรื่องหนึ่ง เขาเรียกว่าพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน หนังสือเรื่องไกลบ้าน เป็นจดหมาย ที่เขียนถึงเจ้าฟ้ากรมขุนอู่ทอง ขัตติยะเกศ ขัตติยะนารี สมเด็จกรมขุนอู่ทองนี่เป็นร่วมพระมารดากับ กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ แล้วก็ท่านไปยุโรป ท่านเขียนจดหมายถึง น่าอ่าน หนังสือไกลบ้านนี่เป็นสำนวนร้อยแก้ว นี่น่าอ่าน ใครอยากจะไปเที่ยวยุโรป ยุคในหลวงนะ ไปกับหนังสือไกลบ้าน ท่านเขียนเล่าไว้ละเอียด ในเรือไปอย่างไรอะไร ปวดเมื่อยอย่างไร ให้หมอนวด นายจ่ายวด นวดก็ไม่หาย ปวดทุกทีแล้วก็เอากระจกมาส่องดูพระทนต์ มันชักจะดำๆขึ้นอีก เพราะว่าอยู่เมืองไทยเสวยหมาก ไปนู่นไม่ได้เสวยหมาก เพราะขัดฟันให้ขาว ไปหาหมอชาวเยอรมันช่วยแต่งฟันให้ขาวสะอาด จะได้ไปยิ้มกับพวกฝรั่งได้ ไม่ต้องกระดากปาก อะไรอย่างนี้ ท่านเขียนเล่าไว้ แล้วเวลาเล่านี่ สมมุติว่านั่ง แล้วเสวยพระกระยาหารนี่ มีใครนั่งบ้างกี่คน อาหารมีอะไรบ้าง แต่งตัวอย่างไร ละเอียดมาก แสดงว่าทรงสังเกต แล้วกำหนดจดจำ เล่าให้ลูกสาวฟัง ไม่ใช่เขียนจดหมายถึงคนๆเดียวนะ ในวันเดียวกัน เขียนยาวๆ เขียนถึงลูกสาว แล้วเขียนถึงพระพันปี เขียนถึงเจ้าพระยาวิสุทธสุริยฉัตร (48.02) เขียนถึงผู้สำเร็จราชการ เขียนถึงพระมหาสมณะเจ้า เขียนเยอะแยะ ในหลวงขยันเขียนจดหมาย เรียกว่าวันหนึ่งๆ เขียนจดหมายถึงคนกี่คน จดหมายเหล่านี้ เป็นจดหมายเหตุสำคัญ ที่ควรแก่การศึกษาสำหรับคนรุ่นหลัง พระองค์ใช้ภาษาอย่างไร เล่าเรื่องอะไรบ้าง ทุกเรื่องที่เสด็จประพาส เช่น เสด็จประพาสชวาสุมาตรา ก็เขียนไว้ละเอียด แต่ประพาสยุโรปนี่ผ่านลังกา เกิดเรื่องไม่ค่อยดีหน่อย ตอนผ่านลังกาท่านก็เขียนว่า มันจำเป็นที่จะต้องแสดงอาการโกรธหน่อย ถ้าไม่แสดงอาการโกรธ แขกมันดูหมิ่น เพราะว่าเรื่องมันเป็นนี้ คือว่า ท่านจะไปไหว้พระแก้ว พระธาตุพระเขี้ยวแก้วเมืองโคลัมโบ ก็ไปเรือ ไปหยุดที่เมืองโคลัมโบ แล้วพระเขี้ยวแก้วอยู่เมืองแกนดี นั่งรถไฟไปเมืองแกนดี ประมาณสัก ๕ ชั่วโมง ไปไหว้พระเขี้ยวแก้ว พระองค์จะจับ ไอ้คนเฝ้ามันห้ามไม่ให้จับ ห้ามไม่ให้จับพระเขี้ยวแก้ว เพราะถือว่าไม่ควรจับ คราวนี้ท่านบอกว่า มันต้องทรงกริ้วหน่อย ต้องแสดงอาการกริ้ว เขียนจดหมายถึงกรมพระยาวชิรญาณพระมหาสมณะเจ้าบอกว่า ต้องขออภัยที่หม่อมฉันจะต้องกริ้วเขาหน่อย เพราะถ้าไม่กริ้ว ก็มันเป็นการดูหมิ่นมากเกินไป ไม่ให้เกียรติแก่พระมหากษัตริย์ ที่นับถือพระพุทธศาศนา เป็นศาสนูปถัมภก มีองค์เดียวในโลกนี้ กษัตริย์ที่นับถือพุทธศาสนามีองค์เดียว จะไปจับเขี้ยวแก้วสักหน่อย มันก็ไม่ให้จับ เลยรับสั่งเครื่องถวายจีวร เครื่องนมัสการ ขนกลับหมด ไม่ถวาย ขนกลับหมดเลย คราวนี้พอฝรั่งรู้เข้า ไอ้พวกแขกมันทำกัน แขกลังกา ฝรั่งรู้เข้า ก็เสด็จไปหาอ้อนวอนว่าให้เสด็จไปอีกทีหนึ่ง แล้วจะทรงจับต้อง ยกขึ้นดูอะไรก็ได้ ท่านก็บอกว่า ไม่จำเป็นอะไร ที่บ้านฉันก็มีเหมือนกัน ว่าที่บ้านเมืองไทยก็มีเหมือนกัน ไม่ต้องมาจับถึงที่นี่หรอก ไม่ยอมไป เป็นเรื่องที่ขลุกขลักกันนิดหน่อย แล้วก็ไม่มีอะไร ตอนนั้นก็เสด็จไปมาเรียบร้อย
ทำไมจึงต้องเสด็จยุโรปเวลานั้น เกิดเรื่อง ร.ศ. ๑๑๒ ฝรั่งเศสเดินเรือรบเข้ามาสู่ปากน้ำไทย อ่าวไทย ป้อมพระจุลก็ยิง ยิงห้าม มันก็ยังวิ่งเข้ามา ก็ยิงปุ้ง เข้าให้ เรือเสียหายไป ฝรั่งเศสหาว่าไทยรังแก ไอ้โจรมาปล้นบ้าน เจ้าของบ้านยิงโจร หาว่ารังแกโจร ไอ้นี่มันถูกต้องที่ไหน และมันมารังแกและมันยึดเอาเมืองจันทบุรี เมืองตราด ไว้เป็นประกัน มายึดครอง คนที่เกิดในสมัยนั้นเคยเขียนหนังสือเล่าไว้ มายึดครองไว้ ว่าให้ไทยเสียค่าเสียหาย ในหลวงท่านเศร้าโศกเสียพระทัยมาก ไม่เป็นอันทรงเสวย ไม่เป็นอันทรงบรรทม เพราะเรื่องนี้ พวกน้องๆ กรมพระยาเทวะวงศ์ กรมพระยาดำรง กรมพระสวัสดิ์ ใครๆไปบอกว่า ไม่ได้ พระองค์นี่เป็นกัปตันเรือ ถ้าว่าทิ้งเรือแล้วลูกเรือจะอยู่กันอย่างไร เรือก็จะเคว้งคว้างในกลางกระแสชล จะลำบาก เพราะฉะนั้นพระองค์ต้องเข้มแข็ง ต้องต่อสู้ต่อไป ก็มีคนเขามาหาพระสมณะเจ้าไปแสดงธรรม เจ้านายเวลามีความทุกข์ก็นึกถึงธรรมะ เหมือนกัน เอาธรรมะไปปลอบโยนจิตใจ พระมหาสมณะเจ้าก็เสด็จไปเทศนาโปรด อุปมาเปรียบเทียบ เรื่องนั้นเรื่องนี้ ให้คลายพระทุกข์ คลายพระโศก พระโรคภัย แล้วก็ ผลที่สุดก็คิดได้ว่า มันต้องไปหาเพื่อน ต้องไปยุโรป ไปยุโรปสมัยนั้น มันเรื่อง ต้องไปเรือ ลงเรือเมืองไทยแล้วไปขึ้นเรือที่สิงคโปร์ เปลี่ยนเรืออีกทีหนึ่ง ไปกัน แต่สมัยนั้นดูเหมือนเรือไทย เรือพระที่นั่งจักรีพาไปจนถึงยุโรปเลย ไปก็แวะทุกประเทศที่ อย่างไปประเทศรัสเซีย ตอนนั้นเขาเรียกว่ามีพระเจ้าซาร์ เป็นใหญ่ คุ้นเคยกัน แล้วเอากรมหลวงพิษณุโลกไปฝากให้เป็นบุตรบุญธรรมเลย บอกว่าให้ช่วยดูแลรักษาเลี้ยงดูให้เล่าให้เรียน ก็ผูกมิตรกันไว้ แล้วไปประเทศรัสเซีย เยอรมันนั่นเอง พระเจ้าไครส์เซอร์ องค์ใหญ่เหมือนกัน เอากรมพระนครสวรรค์ไปฝากไว้ ให้เรียนวิชาการทหาร แล้วไปประเทศอังกฤษ ก็ฝากฝังลูกชาย ๔ คน ให้ไปเรียนหนังสือที่นั่น จะส่งไปภายหลัง และก็เสด็จไปทุกประเทศ สเปน โปรตุเกส ไปหมด ประเทศเล็กประเทศน้อยก็ไป แต่ไม่แวะประเทศฝรั่งเศส รัฐบาลฝรั่งเศสก็เสียหน้า พระเจ้าแผ่นดินไทย ไปทุกประเทศ แม้ประเทศใกล้ๆประตูบ้านฝรั่งเศส แต่ไม่ไปเยี่ยมกรุงปารีส ซึ่งเป็นนครใหญ่มีชื่อเสียงความสวยงาม ก็เสียหน้า เลยมาเชิญ ให้เสด็จไป พอเชิญเสด็จไปก็ได้พูดคุยกับรัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ใหญ่มีอำนาจ แต่ทีนี้มันผู้สำเร็จราชการ ข้าราชการชั้นผู้น้อย มันใช้อำนาจมากไป ก็เลยประนีประนอม ยอมความกันได้ ฝรั่งเศสยินดีถอนทัพไป แต่นั้นแหล่ะ โจรเข้าบ้าน ออกจากบ้านมันไม่ไปมือเปล่า วิทยุทรานซิสเตอร์ อะไรต่ออะไร ของหยิบติดไม้ติดมือก็เอาไปมั่ง หยิบเอาไปมั่ง ฝรั่งเศสมันไม่หยิบของเล็ก หยิบเอาพระตะบอง มณฑลพระตะบอง เสียมราฐ มันหยิบเอาไปทั้งหมดเลย ก็ต้องให้เขา เวลานั้นผู้ปกครองเสียมราฐ พระตะบองนี่ เจ้าพระยาอภัยวงศ์ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร บิดานายควง อภัยวงศ์เรานี่เอง ทีนี้ท่านก็ขนของกลับ เป็นกองเกวียน ขนสมบัติพัสถาน ทองคำ กระถางต้นไม้ ร่ำรวย มาถึง เอ๊ะ คนมันมาก จะเข้ากรุงเทพมันไม่ไหว จะไปอยู่ตรงไหนกรุงเทพ เลยอยู่ที่ปราจีน แล้วก็สร้างบ้านใหญ่โตแบบฝรั่งเศส แล้วสร้างวัดๆหนึ่ง ชื่อวัดแก้ว ทำอย่างดีนะ ศิลปะฝรั่งเศสทั้งนั้น แล้วท่านก็พักอยู่ที่นั่น ไม่เข้ากรุงเทพ เพราะคนมากบริวารเยอะ เขาเรียกว่าไปกินเมือง ในสมัยก่อน ไปครองเมือง ไปกินเมือง มีอำนาจเด็จขาด ปกครองในเขตนั้น แต่ว่าขนลูกน้องกลับบ้านหมด เวลานี้บ้านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นโรงพยาบาล โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ตึกนั้นยังอยู่ ใหญ่โตกว้างขวาง เคยไปแสดงธรรมกับพวกหมอ นางพยาบาล ไปเห็น โอ้ ใหญ่โต สร้างอย่างดี มีศิลปะ เป็นที่พักร้อนของท่าน ก็เลย ฝรั่งเศสก็เอาเมืองไปกินหมด อย่างนั้น ก็เลย ในหลวงจึงต้องเสด็จประพาสยุโรป เพื่อหามิตร แล้วก็ได้มิตรมา ไทยเราใจเย็น ทำอะไรไม่วู่วาม ไม่เร่าร้อน ถ้าพวกถือพุทธด้วยกันนี่ ไทยใจเย็นกว่าเพื่อน พม่าใจร้อน หุนหันพลันแล่น เฮฮา ชอบชกชอบต่อย ต่อยกันเองมั่ง อะไรต่ออะไรมั่ง ไทยเรามันเรียบร้อยดี เพราะพระเจ้าแผ่นดินท่านมั่นคงในศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่เป็นเรื่องที่เราควรระลึกถึง พระคุณของท่าน ว่าท่านช่วยให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ช่วยสร้างสิ่งต่างๆไว้ในบ้านเมืองของเรา
ในด้านพระศาสนา ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ก็พิมพ์พระไตรปิฎกภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก ก่อนนี้ภาษาพระไตรปิฎกนี้พิมพ์อยู่ในอักษรเขมร อักษรขอม จารึกในใบลาน เป็นอักษรขอม แล้วก็พิมพ์เป็นตัวอักษรไทย ใช้หนังสือเหมือนหนังสือไทยธรรมดา พิมพ์เป็นครั้งแรก แต่ว่าพิมพ์คราวนั้นไม่สมบูรณ์ ขาดคัมภีร์ไปคัมภีร์หนึ่ง เรียกว่า คัมภีร์สุตนิมาน (56.30) คงจะหาต้นฉบับไม่ได้ เลยก็พิมพ์ แล้วก็ส่งหนังสือที่พิมพ์นี่ไปมหาวิทยาลัย อ็อกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ ไปเบอร์ลิน ไปที่ฝรั่งเศส ตามมหาวิทยาลัยต่างๆในประเทศยุโรป ส่งหนังสือไปไว้ คนเขาจะได้ศึกษาค้นคว้า ฝรั่งมันก็เรียนบาลีเหมือนกัน จะได้อ่านได้ ส่งไปไว้ แต่ไม่ได้แปลออกเป็นภาษาไทย พระไตรปิฎก แปลเป็นไทยเมื่อรัชกาลที่ ๖ สวรรคตไปแล้ว แล้วก็พิมพ์อีกทีหนึ่ง พิมพ์พระบาลี เรียกว่าพระไตรปิฎกสยามรัฐ เรียบร้อย สมบูรณ์ทุกประการ แล้วก็ส่งไปไว้ต่างประเทศ คราวนี้การแปลนี่ เพิ่งมาแปลในหลวงรัชกาลปัจจุบัน แปลเป็นภาษาไทย แต่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าไหร่ แปลไม่ค่อยจะเรียบร้อย แต่พอใช้เป็นเครื่องมือศึกษาได้ นี่ในด้านการพระศาสนา แล้วจัดสรรพระมณฑลให้อยู่กันด้วยความเรียบร้อย แบ่งเขตปกครอง เป็นเจ้าคณะมณฑล เจ้าคณะจังหวัด อำเภอ ตำบล เจ้าอาวาส มีกฎหมายรองรับ ท่านจัดทำทุกอย่างเพื่อความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมือง เป็นเรื่องที่ชาวไทยเราควรระลึกถึง ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม แล้วก็ระลึกถึง สมเด็จพระศรีนครินทราธิราช บรมราชชนนีของในหลวง ซึ่งมีพระชนมายุ ๙๐ ในวันที่ ๒๑ นี้ ๙๐ แต่ก็เริ่มฉลองกันแล้วเวลานี้ ฉลองกันเป็นการใหญ่ ก็ท่านผู้ทรงทำแต่ความงามความดี เกิดมาเพื่อให้ ไม่ได้เอาอะไร เกิดมาเพื่อให้แจกๆๆๆๆ เป็นพระเวสสันดรคนหนึ่งเหมือนกัน เรียกว่าวิญญาณพระเวสสันดร เข้าสิงสู่ในองค์สมเด็จ แจกหยูกแจกยา แจกเสื้อแจกผ้า ไอ้ที่ไหนในหลวงไปไม่ถึง ท่านก็ให้ถึง ตามริมทะเล ไปเรือรบ ท่านไปกับนายเรือ แล้วก็ขึ้นเรือไปเที่ยวแจกข้าวแจกของตามที่ต่างๆ เป็นบุคคลตัวอย่างในทางเสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งชาวไทยเราทั้งหลายควรจะเอาอย่างท่านบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมือง ควรจะเอาอย่างสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชินีนาถ แล้วเดินตามรอยเท้าของท่าน ก็เดินตามอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ว่าเดินตามแต่กาย ใจไม่ค่อยตามเท่าใด เลยไม่ค่อยจะก้าวหน้าในทางเสียสละ อันนี้เป็นเรื่องที่เราควรระลึกถึงในวันนั้น พูดตามวิทยุมาแล้ว มันนิดเดียว มันสั้น เวลาไม่พอ แต่มาพูดต่อให้ญาติโยมทั้งหลายฟังกันในวันนี้ ก็พอสมควรแก่กาลเวลาขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
- ปาฐกถาธรรม ประจำวันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๓