แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย สงบปากสงบคำเสียหน่อย ใช้หูใช้หูอย่าใช้ปาก เวลานี้ให้หลวงพ่อใช้ปากคนเดียว นอกนั้นก็ใช้หูฟังถ้าเราใช้หูมาก หูดับ การได้รับความหมาย ฉะนั้นเราจึงควรตั้งใจฟังเพื่อให้ได้รับประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา พวกเราทั้งหลายมาประชุมกัน ณ สถานที่ตรงนี้ อันเป็นสถานที่ที่เกิดภัยอันตรายจากรถบรรทุกแก๊สและก็มาพลิกคว่ำเกิดไฟไหม้ บ้านเรือนเสียหาย คนถึงแก่กรรมเป็นจำนวนมาก เป็นเรื่องที่น่าสลดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นในปีนี้นั้นหลายเรื่องหลายอย่าง เช่น นักศึกษาไปเที่ยวขอนแก่น ไปลงเรือแล้วก็เรือคว่ำ ถึงแก่กรรมไปจำนวนตั้ง ๓๐ กว่าคน แล้วก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกใครๆ ก็คิดว่าดวงเมืองมันไม่ค่อยดีจึงเกิดเหตุร้าย อย่าไปพูดว่าดวงไม่ดีจึงเกิดเหตุร้าย แต่ว่าความจริงนั้นเพราะเราทำไม่ดีจึงได้เกิดเหตุร้ายเกิดขึ้น บรรดาเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้น ที่เราพบได้พบได้เห็นอยู่ในนี้ ทางพุทธศาสนาสอนว่าเป็นกรรมของตนเองไม่ใช่ใครทำให้เป็นกรรมของคน คนทำกรรมด้วยเพราะความประมาทไม่ระมัดระวังจึงได้เกิดเรื่องอันตรายขึ้น และอันตรายเมื่อเกิดขึ้นในกลุ่มคนใหญ่ คนที่เดินอยู่ในบริเวณนี้ก็พลอยที่ได้รับทุกข์ก็ได้รับทุกข์ไปด้วยเป็นชะตากรรมของเขาที่ได้มาเดินอยู่ที่ตรงนี้แล้วได้รับทุกข์ คนที่สร้างบ้านสร้างเรือนอยู่ตรงนี้ก็ได้รับทุกข์แล้วก็ถึงแก่กรรมไป คนที่ไม่ถึงแก่กรรมก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่นอนอยู่โรงพยาบาลเป็นบุคคลที่น่าสงสาร น่าเห็นอกเห็นใจ คนที่เสียบ้านเสียเรือนก็ต้องหาบ้านเรือนอยู่ใหม่ คนที่ตายไปหมดนั้นครอบครัวนั้นก็ดีไปเพราะไม่ต้องยุ่งอะไรต่อไป แต่ว่าคนที่ยังอยู่เรานี่ก็ต้องช่วยเหลือกันตามความสามารถที่จะช่วยเหลือกันได้ น้ำใจคนไทยเรานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณี เห็นใครได้รับทุกข์รับโทษก็ทนอยู่ไม่ได้ต้องเข้าไปช่วยเหลือเจือจุนกันด้วยประการต่างๆ พอเกิดเหตุการณ์ขึ้น เมื่อจบเหตุการณ์ต่างๆ แล้วก็ยังมีคนช่วยเหลือ เช่น มูลนิธิต่างๆ มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง มูลนิธิร่วมกตัญญู และสมาคมอื่นๆ ที่ตั้งขึ้น เพื่อบรรเทาสาธารณภัยก็ได้เข้ามาช่วยเหลือเจือจุนกันอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นเรื่องที่น่าเห็นอกเห็นใจ น่าอนุโมทนาในส่วนน้ำใจ ที่มีความเห็นอกเห็นใจเพื่อมนุษย์ที่ได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ท่านผู้ว่า กทม. พล.ตรี จำลอง ศรีเมือง อยู่ในเขตนี่ กทม. รับผิดชอบเรื่องความทุกข์ ความสุขของประชาชนเห็นว่าควรจะทำอะไรสักอย่างที่เป็นบุญเป็นกุศล เพื่อปลอบโยนจิตใจของคนทั้งหลายให้ได้รับความเบิกบาน สบายใจ จึงได้จัดทำพิธีกันขึ้นในวันนี้ พิธีที่เราทำวันนี้ไม่ใช่พิธีสะเดาะเคราะห์ สะเดาะโศกอะไร แต่ว่าเป็นพิธีการปลอบโยนจิตใจเพื่อให้คนได้มาเห็นเหตุการณ์ ได้เห็นความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ แล้วเราจะได้ช่วยเหลือกันให้ความช่วยเหลือตามโอกาสที่จะช่วยได้ เพื่อให้คนเหล่านั้นได้มีความสบายใจ สบายใจว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เวลาทุกข์ก็มีคนร่วมทุกข์ด้วย เวลาสุขก็มีคนร่วมสุขด้วย เราไปช่วยเหลือเขาให้เขาสบายใจ การทำกิจอะไรที่ทำให้คนอื่นสบายใจเป็นเรื่องดี มีประโยชน์ เป็นเรื่องที่เราควรทำทุกโอกาส โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักใช้ชีวิต ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ที่ว่าให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นนั้นเมื่อผู้อื่นต้องการอะไรที่เป็นประโยชน์ เป็นความสุขเราก็ไม่ทิ้ง ก็ไม่นิ่งดูดายเข้าไปช่วยเหลือเจือจุนในเหตุการณ์นั้นๆ เท่าที่เราสามารถจะช่วยได้ ถ้าเราสามารถจะช่วยได้ ก็เรียกว่า เราทำตนของเราให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น การทำตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นนั้นเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของพวกเราทั้งหลาย เราชื่อว่าเป็นการเดินตามรอยเท้าของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านได้เสียสละความสุขส่วนพระองค์แล้วก็ไปทำกิจแสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชาวโลก เกิดธรรมะ
ครั้นเมื่อได้รู้ได้เข้าใจธรรมะแล้วก็ได้นำธรรมะนั้นมาสอนแก่ชาวโลกต่อไป พระองค์ออกไปสอนเองบ้าง ส่งสาวกออกไปสอนบ้าง เวลาส่งสาวกพระองค์ก็สั่งว่าพวกเธอทั้งหลายจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มหาชน จงประกาศธรรมะอันไพเราะเบื้องต้นท่ามกลางที่สุดแก่เขา คนที่มีดวงตามีไฝมีฝ้าน้อยๆ มีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้ยินได้ฟัง ไม่เกิดปัญญา ไม่เกิดความรู้ความเข้าใจ เธอจงไปสอนเขาให้เกิดปัญญา ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เราเองก็จะไปเหมือนกัน พระพุทธเจ้าไม่ได้สั่งให้แต่ลูกศิษย์ไป แต่พระองค์ก็ไปด้วยเหมือนกัน อันนี้ควรจะเป็นตัวอย่างแก่พวกเราทั้งหลายผู้เดินตามรอยเท้าของพระพุทธองค์หากเห็นว่ากิจอันใดที่จะเป็นประโยชน์ เป็นความสุขแก่เพื่อนมนุษย์เราควรจะทำกิจนั้นเท่าที่เราสามารถจะทำได้ มีมากจ่ายมาก มีน้อยให้น้อย มีทรัพย์ให้ทรัพย์ ไม่มีทรัพย์ก็ให้เรี่ยวแรง ช่วยเหลือเจือจุนในรูปต่างๆ เป็นการแสดงออกทางน้ำใจว่าเรามีความรักเพื่อนมนุษย์ ความรักในเพื่อนมนุษย์เป็นหัวใจสำคัญของศาสนาทุกศาสนา บรรดาศาสนาทั้งหลายสอนให้รักเพื่อนมนุษย์กันนั้น แต่บางคนเข้าไม่ถึงในความรักเพื่อมนุษย์อันเป็นตัวธรรมะ แต่ว่าไปทำสิ่งอื่นอันเป็นเหตุให้คนเดือดร้อนอย่างนี้ก็ไม่ใช่ตัวศาสนา ตัวศาสนานั้นต้องการให้คนทำตนให้เป็นประโยชน์ ให้ความสุขแก่ผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา มีอะไรที่พอจะช่วยไปได้เราก็ไปช่วยเหลือ เช่น มีเสื้อผ้า เราก็ไปแบ่งไปให้เขา มีอาหารก็แบ่งไปให้เขา มีหยูกยา นาทีที่7๗.๔๕ รักษาโรคภัยไข้เจ็บ เราก็แบ่งไปให้เขาแล้วเราก็ให้เงินเป็นกองกลาง เงินนั้นก็จะไปจ่ายเป็นค่าดูแลรักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วย หายป่วยแล้วก็ลำบากเพราะร่างกายไม่ปกติ หรือวันหน้าเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนคนธรรมดาก็ต้องมีเครื่องประเล้าประโลมใจให้พ้นจากความทุกข์ทางใจ อันนี้เป็นการช่วยเหลือในเรื่องที่จะช่วยเหลือกันตามสมควรแก่ฐานะ คนที่ได้รับความทุกข์ ได้รับความเดือดร้อนเมื่อเห็นน้ำใจพี่น้องทั้งหลายที่มาทำการช่วยเหลือเขาก็สบายใจ เมื่อใจสบายร่างกายก็สบาย แต่ถ้าใจไม่สบาย ร่างกายก็ไม่สบายด้วยเหมือนกันเพราะฉะนั้นการที่ท่านผู้ว่าการกรุงเทพที่มาร่วมกิจในวันนี้ นับว่าเป็นเหมือนน้ำฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้าทำพื้นดินที่แห้งผากให้เกิดความชุ่มชื่น สัตว์ทั้งหลายก็สบาย ต้นไม้ก็สบายเราทั้งหลายก็สะดวกสบายไปตามๆ กันอันนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วเป็นกิจที่น่าสรรเสริญประการหนึ่ง ที่นี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราจะเรียกว่าเป็นเคราะห์ร้ายของคนนั้น คนนี้ก็ไม่ได้ มันเกิดขึ้นเพราะการกระทำของมนุษย์ พระพุทธศาสนาสอนเราให้เข้าใจว่าอะไรๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมของมนุษย์ จะเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องส่วนรวมอะไรก็ตามมันเกิดขึ้นจากการกระทำเรียกว่า “กรรม” เป็นกรรมของคน ไม่ใช่เป็นกรรมของอะไร กรรมของคนนั้นคืออะไร เราต้องสอบสวน ก่อนถามศึกษาให้ดีว่าต้นเหตุมันอยู่ที่อะไรพระพุทธเจ้าสอนให้เราค้นหาเอง ในเมื่อผลเกิดขึ้นไม่ใช่สุ่มสี่สุมห้าหากวินิจฉัยว่าเป็นกรรมเก่าบ้างเป็นดวงชะตาไม่ดีบ้าง บ้านเมืองไม่ดีบ้าง คิดอะไรอย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่ให้พิจารณาว่าเหตุมันอยู่ที่อะไร ผลดังนี้จึงเกิดขึ้นเราจะต้องสาวหาเหตุ ครานี้เราจะสาวหาเหตุก็อย่าสาวให้มันไกลเกินไป เพราะถ้าไกลเกินไปมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เช่นพออะไรเกิดขึ้นเราก็ซัดว่าเป็นกรรมเก่า ซึ่งเป็นกรรมเก่าตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่ปีไหน ชาติไหน ภพไหน มันไกลเหลือเกินเราจะไปตามแก้ได้อย่างไร คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็น “สันทิฏฐิโก” คำว่าสันทิฏฐิโกนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ในปัจจุบัน เห็นได้ด้วยใจในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นต้องหาสาเหตุที่เป็นไปได้ ว่าสาเหตุนั้นที่แท้จริงนั้นมันเกิดมาจากเรื่องอะไร อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราค้นพบเหตุผลนั้นเราจะได้คิดป้องกันแก้ไขต่อไป
แต่ถ้าเราซัดให้เป็นกรรมเก่าเสียหมด กรรมเก่าเมื่อชาติโน้นได้สร้างอะไรไว้ อย่างนี้เราตามแก้ไม่ได้ เพราะมันไกลเกินไปเราจึงควรคิดว่าในปัจจุบันนี้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร โดยเฉพาะในกรณีที่รถบรรทุกแก๊สวิ่งแล้วก็มาพลิกคว่ำตรงนั้นมันเกิดเนื่องมาจากอะไร ถ้าพูดถึงกรรมในปัจจุบันแล้วก็เป็นเพราะความประมาทของคนขับรถนั่นแหละเป็นตัวการใหญ่ คนขับรถขับรถด้วยความประมาท เพราะคนขับสิบล้อ ขับรถแก๊สพวกนี้ชอบดื่ม ชอบเสพสิ่งเสพติดประเภทหนึ่งที่ดื่มแล้วทำให้ตาแข็ง ไม่ง่วงนอน แต่ถ้าหมดฤทธิ์ยาขึ้นมันก็ง่วงด้วยเหมือนกัน แต่นี่รถออกใหม่จากบริษัทที่อยู่ในกรุงเทพคนขับยังไม่ทันง่วงอะไร แต่อาจจะดื่มเหล้าก็ได้ เพราะว่าคนไทยนั้นชอบปรับทุกข์ปลอบใจด้วยเหล้า เป็นทุกข์ก็ดื่มเหล้า ดีใจก็ดื่มเหล้า ถูกหวยก็ดื่มเหล้า ไม่ถูกก็ดื่มเหล้าเหมือนกัน อย่างนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่เป็นการเพิ่มปัญหาให้เกิดขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆ คนขับรถคันนั้นตายไปแล้วไม่สามารถสอบปากคำได้ แต่ว่าสามารถจะตรวจสอบได้ด้วยการผ่าร่างกาย แล้วดูว่าในกระเพาะอาหารของคนขับมันมีอะไรอยู่บ้าง อาจจะมียาอะไรที่เป็นยาเสพติดอยู่บ้าง อาจจะมีน้ำเหล้าอยู่บ้าง ทำให้เกิดการมึนงงและก็ทำให้เกิดปัญหาขึ้น อันนี้มันเรื่องของคนไม่ใช่เรื่องของดวงชะตาราศี ไม่ใช่เรื่องของดาวนั้นดาวนี้มาทำให้เกิดความเสียหาย ทางพุทธศาสนาไม่ได้สอนว่าอย่างนั้น แต่สอนให้เรารู้ว่าเป็นการกระทำของคนๆ เดียวแต่ทำให้คนอื่นรับทุกข์รับโทษไปด้วย เพราะการกระทำด้วยความประมาท ถ้าตรวจสอบต่อไปก็จะพบว่าบริษัทน้ำมันบริษัทแก๊สนี้มีความบกพร่องเหมือนกันโดยเจ้าของบริษัทไม่พิจารณาถึงคนขับรถ ไม่ตรวจสอบความประพฤติ ไม่ตรวจสอบจิตใจ ไม่ได้อบรมไม่ได้สั่งสอนให้ขับรถบรรทุกแก๊สด้วยความระมัดระวัง เพราะแก๊สมันอันตรายเมื่อพลิกคว่ำระเบิดขึ้นมันก็ไหม้ไปหมด พอเกิดปัญหาเจ้าของรถหรือบริษัทไม่ได้ตรวจสอบคนเหล่านั้น แล้วก็ใช้คนอย่างหนัก เกินไป เช่นขับรถไปไกลๆ จากกรุงเทพไปถึงเชียงใหม่ไม่มีการเปลี่ยนคนเลยเป็นการประหยัดกันมากเกินไป ในต่างประเทศเขาไม่ให้ขับอย่างนั้น เขาขับไปถึงสถานีแห่งหนึ่งคนนั้นก็จะลงจากรถไปเลย คนอื่นขึ้นมาขับต่อ คนนั้นได้ไปนอนพักผ่อน แล้วรถคันหลังมาค่อยขึ้นขับต่อไป หรือขับขากลับตอนรุ่งเช้า คนนั้นมาขับต่อไปพักกันเป็นทอดๆ ไม่ได้ใช้คนรวดเดียวทรมานจิตใจ แล้วไม่ได้บอกให้รีบขับไปรีบขับมานะจะได้บรรทุกให้หลายเที่ยวหน่อย คนไม่ใช่เครื่องจักรซึ่งเครื่องจักรก็จะชำรุดทรุดโทรมมันเก่าแก่ไปเหมือนกัน แต่คนเรานั้นเมื่อร่างกายมันเหนื่อย จิตใจก็อ่อนแอได้ หากใช้งานมากเกินไปมันก็เหนื่อยเกินไป เมื่อเหนื่อย มันก็ง่วง ง่วงแล้วก็บังคับตัวเองไม่ได้ รถก็พลิกคว่ำกันบ่อยๆ เช่นรถบรรทุกน้ำมัน พลิกคว่ำบ่อย คว่ำทีไรไหม้ทุกที แต่ไปคว่ำนอกกรุงในทุ่งนามันไม่เป็นไรเพราะไม่ค่อยมีอะไรจะไหม้ในบริเวณนั้น รถสิบล้อก็เหมือนกันพลิกทีไรเกิดความเสียหาย อันนี้เป็นเรื่องที่ทางราชการควรแก้ไข ตามความคิดของอาตมานั้นเคยพูดหลายครั้งหลายหนแล้วว่ามันต้องตั้งโรงเรียนสอนคนขับรถแล้ว คนขับรถไม่ใช่เรียนแค่เพียงขับรถ ไม่ได้เรียนแต่เครื่องยนต์กลไก แต่ต้องเอาคนนั้นมาอบรมจิตใจให้เขาเจริญภาวนาทำสมาธิเสียบ้าง
เมื่อพูดถึงเรื่องทำสมาธิญาติโยมก็จะนึกว่าทำไปทำไมสมาธิ สมาธิเป็นเครื่องช่วยให้เกิดกำลังใจ ให้เกิดสมาธิ ให้มีสมรรถภาพในการทำงานทำการ ดูตัวอย่างการแข่งขันเอเชี่ยนเกมที่เราไปแข่งกันอยู่ที่ประเทศจีนนั้น นักกีฬาไทยยังไม่ได้เหรียญทองสักเหรียญเดียว ได้แต่เหรียญเงินกับเหรียญทองแดงเท่านั้นแหละ ทำไมเราจึงเอาชนะเขาไม่ได้ เราเวลาทำอะไรๆ ทำเล่นๆ ทำแบบไทยไม่จริงจัง ไม่ได้ซ้อมไม่ได้ฝึกกันนานๆของเขาฝึกเขาซ้อมกันนานๆ จีนรู้ว่าจะเป็นเจ้าบ้านเขาก็ชุดใหญ่ทีเดียวก็เตรียมพร้อมและฝึกซ้อมนานๆ จึงชนะได้ร้อยกว่าเหรียญทอง ญี่ปุ่นก็เก่ง เกาหลีใต้ก็เก่ง นอกนั้นเป็นที่โหล่รวมทั้งนั้นแหละประเทศไทยเราก็เข้าอยู่ในบัญชีนั้นด้วย อันนี้มันสาเหตุอะไรเราต้องศึกษาเหตุของเรื่องว่าเราทำอะไร ทำไม่จริง ทำเหยาะแหยะ แล้วจิตใจนักกีฬาไม่มีสมาธิ ในการที่จะเล่น ยกตัวอย่างเช่น ยิงธนู ยิงปืน เขาก็บ่นว่าแหมข้างขวาก็เก่ง ซ้ายก็เก่ง สภาพจิตใจก็เสียหมดนั่นแหละไม่มีสมาธิ คิดฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิอยู่กับงานที่ตัวกระทำ แล้วก็มือก็สั่น ยิงเป้าผิดหมด แต่ถ้าให้ฝึกสมาธิก็จะเก่งขึ้น นักกีฬาญี่ปุ่นเขาฝึกสมาธิก็ไปฝึกที่วัดตื่นเช้าเขาไปทำสมาธิตอนเย็นเขาก็ไปทำสมาธิ แล้วก่อนจะไปเล่นกีฬาเขาก็ทำสมาธิกันก่อน เพื่อทำใจให้สงบ ให้ตั้งมั่น ให้อ่อนโยน ก่อนที่จะใช้งาน จึงทำเล่นกีฬาเก่ง ส่วนของเราก็ไปเที่ยว แล้วก็นอนดึก ตื่นสาย ชีวิตมันก็ไม่เรียบร้อย สู้เขาไม่ได้ อย่างนี้ไม่ได้ฝึกจิตใจเรื่องจิตใจเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะคนขับรถในเมืองไทยนั้นสภาพจิตใจแย่ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่ารถ ขสมก., บขส., รถบรรทุก, รถน้ำมัน, รถแท็กซี่ หรือรถอะไรๆ สภาพจิตใจก็แย่กันไปทั้งนั้น ไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าใด อาตมาเวลานั่งแท็กซี่ทีไรนานๆ นั่งที่เพราะไม่มีเวลาว่างจะนั่ง จะนั่งแท็กซี่ก็ต้องนั่งข้างหน้าแล้วก็สนทนาธรรมกับคนขับ ถามคนขับเรื่องความเป็นอยู่ในครอบครัว มีเมีย มีลูกกี่คน เมียทำอะไร ลูกเรียนอะไร เราดื่มเหล้าหรือเปล่า สูบบุหรี่หรือเปล่า ชอบเล่นหวยเล่นเบอร์หรือเปล่า ถามเรื่องชีวิตความเป็นอยู่เขา แล้วก็สอนเขาให้รู้จักบังคับควบคุมตัวเอง เราคนยากคนจนอย่าไปแข่งกับคนมั่งมี ได้เงินมาก็อย่าไปกินเหล้า อย่าไปสูบบุหรี่ อย่าไปเล่นการพนัน อย่าไปเที่ยวหาเรื่องผิดใส่ตัว เพราะเรามีครอบครัวแล้ว เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็พักผ่อนหลับนอนให้สบายเช้าขึ้นจะได้ไปขับรถต่อไป คุยกันไปตลอดทางเวลาไปถึงวัดก็จะถามว่าจะเอาราคาสักเท่าไหร่ เขาบอกว่าก็สุดแล้วแต่หลวงพ่อจะให้ ถ้าให้แค่นั้นเขาก็พอใจเวลาให้ก็ยังถามว่าพอใจไหมล่ะถ้าไม่พอใจฉันจะให้อีก ฉันอยากให้เธอสบาย เขาบอกว่าหลวงพ่อให้ในสิ่งมีค่ามากกว่าเงินแล้วเขาก็พอใจและจะรับไปปฏิบัติต่อไป อย่างนี้เรียกว่าเราทำให้สภาพจิตใจเขาดีขึ้น
เวลานั่งรถทัวร์ไปไหน ก็จะนั่งใกล้คนขับ ไม่นั่งข้างหลังแต่มักเห็นคนขับรถทัวร์เดี๋ยวดื่มเดี๋ยวดื่มไอ้ขวดที่มีรูปอย่างนี้ดื่มเก่งจริงๆ เดี๋ยวดื่มเดี๋ยวดื่มเลยถามว่าดื่มอะไร ตอบว่ามันชูกำลังหลวงพ่อ ความจริงแล้วมันไม่ได้ชูกำลังอะไรเป็นแค่อุปาทานว่าการดื่มยานั้นจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แล้วดื่มกันหลายขวดกว่าจะถึงปลายทางรู้สึกว่าเป็นอันตราย เมื่อหมดฤทธิ์ยาก็ง่วงก็ซึมเกิดเป็นปัญหาที่เอามาพูดให้ฟังว่าปัญหามันอยู่ที่ตรงนี้ รถแก๊สมันอยู่ที่คนขับความรับผิดชอบมันอยู่ที่คนขับแต่จะเอาอะไรกับคนขับเพราะมันตายไปแล้ว แต่ว่าบริษัทสยามแก๊สก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน เพราะว่าจ้างคนไม่ดีไว้ แล้วก็ไม่เตือน ไม่สอน ไม่อบรม ไม่นิมนต์พระไปเทศน์ ไม่เอาไปวัดเสียบ้างเพื่ออบรมบ่มนิสัย ส่วนที่รถก็มีแต่รูปพระบ้าง มียันต์อักษรเขมรบ้าง ยันต์อักษรเขมรจะช่วยอะไรได้ อักษรเขมรก็ช่วยชาติเขมรก็ยังไม่ได้ ชาติเขมรกับชาติเขมรอีกฝ่ายหนึ่งมันก็พูดภาษาเดียวกันยังไม่รู้เรื่อง อุตสาห์เชิญให้มาประชุมในประเทศไทยก็มาแล้วได้กินอาหารดีๆ นอนโรงแรมใหญ่ๆ สบายใจ ประชุมกันแล้วก็ไม่รู้เรื่อง เราจะเอาอักษรเขมรไปสักไว้บนหัวตามเนื้อตามตัวบ้างเอาไปไว้ที่ทำยันต์อะไร เอาไปป้ายที่หน้าหม้อรถยนต์ก็อ่านไม่ออก หน้าหม้อควรเขียนเป็นอักษรไทย ว่า”ประมาทตายไว ไม่ประมาทตายช้า” ความตายมันก็จะได้ลดน้อยลงไป เพราะสภาพจิตใจของเราดีขึ้น แต่ไม่มีใครคิดทำแบบนี้เพราะไปเชื่อไสยศาสตร์ เชื่อแต่เรื่องเหลวไหล คิดจะปัดรังควานบ้างอะไรบ้าง รถใหม่ก็เอาไปให้หลวงพ่อเจิม เอาไปให้หลวงพ่อเจิมเหมือนกันหลวงพ่อว่าไม่ต้องเจิมรถแต่ว่าหลวงพ่อว่าเจิมคนขับดีกว่าไม่เจิมที่หัวแต่เจิมที่ดวงใจ เพื่อสอนให้รู้จักธรรมะ ให้ขับรถรู้จักความระมัดระวัง อย่าประมาท อย่าใจร้อน อย่าใจเร็ว อย่าหุนหันพลันแล่น พูดแบบนี้ให้เขาฟังแล้วบอกว่า ถ้าปฏิบัติดังนี้ก็จะไม่เกิดอุบัติเหตุ ตัวรถแท้มันไม่เกิดอะไร จอดอยู่เฉยๆ ไม่ขยับเขยื้อน ไม่พลิก ไม่คว่ำ ต้องพอมีคนขึ้นไปขับก็เกิดเรื่อง รถจะเกิดอุบัติเหตุก็เป็นไปตามใจคนขับ จะให้คว่ำรถมันก็ก็คว่ำ ใจมันพลิกรถมันก็พลิก มันเป็นไปตามใจคนขับ ฉะนั้นจึงต้องพูดคนขับให้มากกว่าพูดกับคนใดใด ในประเทศมาเลเซียนั้นถ้ารถเกิดอุบัติเหตุเจ้าของรถต้องเป็นคนเสียค่าเสียหาย ๑.คนขับรถต้องถูกลงโทษ ๒.เจ้าของรถถูกลงโทษเหมือนกัน แต่ถ้าชนเด็กตายแม่เด็กพ่อแม่เด็กก็ผิด คนขับก็ผิด เจ้าของรถก็ผิดเพราะแม่เด็กติดอะไรทำไม ปล่อยให้ลูกเดินบนถนน แล้วรถจึงชนเอาทำให้เป็นความผิดของพ่อแม่ว่าไม่ระมัดระวัง ส่วนคนขับก็ผิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่เจ้าของรถผิดด้วยเพราะอะไร เพราะไปจ้างคนขับที่ไม่ดีมาไว้ ไม่อบรมคนขับเลยเกิดความเสียหายก็มีต้องปรับด้วยเหมือนกัน ส่วนบ้านเราเมื่อรถชนคน คนขับก็หนีจับไม่ได้ แต่ไม่เคยเป็นข่าวสักที หายไปเลย ตำรวจก็ไม่ค่อยเอาใจใส่ มันชนกรุงเทพแล้วไปอยู่เชียงใหม่ขอใบขับขี่ใหม่ก็ได้ ไปขับรถที่โน่นต่อไปเกิดเหตุเชียงใหม่แล้วเปิ้นไปขอใบขับขี่ที่หาดใหญ่ก็ได้อีก สถิติยังไม่ดีพอ เพราะการจดทะเบียนคนขับการตรวจสอบคนขับรถยังไม่ดีพอ กฎหมายอาจมีแต่คนรักษากฎหมายยังไม่ดีพอมันจึงเป็นกันอย่างนี้ จึงเป็นวัวหายล้อมคอก ก็ยังดีดีกว่าที่ยังมีวัวให้ล้อมอีกต่อไป เพราะจะได้แก้ไขให้ดีขึ้นได้ อันนี้เป็นเรื่องที่ฝากให้พี่น้องทั้งหลายคิด
ส่วนคนที่เดินไปเดินมาในกรุงเทพที่เดินเที่ยวกลางคืนว่าทำผิดหรือไม่ ก็อยากจะบอกว่าผิดเหมือนกัน แต่ถ้าหากเดินเที่ยวน่ะผิดแต่ถ้าไปธุระปะปังยังไม่ถึงบ้านยังไม่ลงโทษอะไรเพราะยังไปทำงานอยู่ แต่พวกเที่ยวกลางคืนสิมันผิด เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนเที่ยวกลางคืน เที่ยวกลางคืนมีโทษหลายอย่าง ๑.ไม่รักษาตัว ๒.ไม่รักษาทรัพย์ ๓.ไม่รักษาครอบครัว ๔.มักถูกใส่ความ ๕.มักถูกทำร้าย คนดีเขาดูหมิ่นว่าเป็นคนเที่ยวกลางคืนน่าจะเป็นนักตัดช่องย่องเบาแล้วอาจถูกแซวพาไปโรงพักได้เพราะมีความผิดความบกพร่องเพราะว่ากลางคืนไม่ควรออกไปไหน เพราะกลางคืนเป็นเวลาพักผ่อนหลับนอน เลิกงานแล้วควรจะรีบกลับบ้านไปพักผ่อน ไม่ควรออกไปดูหนังฟังเพลงที่ไหน เพราะว่าที่บ้านมีโทรทัศน์ มีวิทยุอยู่แล้ว โทรทัศน์มันก็เปิดดูได้ วิทยุมันก็เปิดฟังได้แต่โทรทัศน์ก็ต้องจัดเรื่องให้มันเหมาะแก่ประชาชนบ้าง เดี๋ยวนี้เรื่องมันไม่ค่อยเหมาะอย่างเอาเรื่องเต้นรำโหยงแหยงมาให้เด็กดู ไม่ได้เพิ่มศีลธรรม ไม่ได้เพิ่มความดีสักเท่าไหร่ แต่ทำให้คนใจแตก ให้อยากสนุก อยากเที่ยว อยากเล่น แล้วมันก็ไปกันใหญ่ เราควรใช้โทรทัศน์ให้เป็นโรงเรียนสำหรับสอนคนไปด้วยในตัวใช้เวลาเพื่อสอนคนให้มากสักหน่อย ไอ้เรื่องร่าเริงนั้นมีมากพอสมควร..แต่ว่าไปว่าเขาก็ไม่ได้เพราะผู้ตั้งสถานีโทรทัศน์เขาตั้งขึ้นเพื่อทำการค้า เพื่อหาเงินหาทอง แต่ถ้าฟากว่าไม่มีโฆษณาโทรทัศน์จะอยู่ได้อย่างไร แต่กำไรมันก็ล้นเหลือแล้ว เอาส่วนกำไรให้มาเป็นประโยชน์ ... อาหารเลี้ยงร่างกายให้เจริญเติบโต อ้วนดี มีกำลังใจ อาหารใจนั้นส่งเสริมกำลังใจให้มีกำลังในฮึกโหม แล้วก็มีกำลังภายใน คนที่มีกำลังภายในจะได้ต่อสู้กับความทุกข์ ความชั่ว เป็นอยู่อย่างผู้ชนะ ไม่เป็นอยู่อย่างผู้แพ้ จึงควรให้อาหารใจมากๆ ที่ญาติโยมมาวันนี้เราควรมาให้อาหารใจกันนิดหน่อย อาตมาก็พกอาหารใจมาแจกแก่ญาติโยมทั้งหลายเพื่อจะได้รู้ว่าเราทำอะไร มีสำนึกความรู้สึกตัวว่าเราควรจะทำอะไร ควรจะแก้ไขอะไร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันพลอยฟ้า พลอยฝนเป็นพวกชอบไปเดินกลางคืน แต่บางคนก็เกิดเหตุร้ายขณะอยู่บ้านเรียกราชรถมาเกยมันมาถึงบ้าน ต้นตออยู่ที่รถแก๊ส แก๊สเข้ามาในบ้าน ในหอพัก มันก็พินาศไป นักเรียนนักศึกษาที่ได้พักหอพักก็ได้รับอันตรายอันนี้ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ต้นตอมันอยู่ที่รถแก๊ส ต้นตอมันอยู่ที่คนขับ แล้วมันก็มาล้มลงที่อยู่กลางใจเมืองทำให้ได้รับอันตรายไปตามๆ กัน ไม่ล้มตรงนี้ก็ไปล้มที่อื่นไม่ว่าจะประตูน้ำ ... จึงอยากจะขอร้องว่าเลิกงานแล้วก็รีบกลับบ้านอย่าไปเที่ยวเถลไถลอยู่ที่ไหนเพราะมันจะเกิดอันตราย อันนี้เป็นบทเรียนแก่พี่น้องทั้งหลายว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราจะต้องระมัดระวังไว้เพื่อจะไม่ให้สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นทุกคนทำงานด้วยสำนึก ด้วยสติด้วยปัญญา อย่าทำด้วยความเผลอ ความประมาท คนขับรถก็ขับรถด้วยสติปัญญา คนเดินถนนก็ต้องเดินด้วยสติปัญญาเหมือนกันมันต้องอาศัยช่วยกัน ถ้าลำพังคนขับรถ ขับรถดีแต่คนเดินถนนเดินแปะปะมันก็ชนแข้งหักขาหักได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจึงควรทำให้ทั้งสองฝ่ายให้มีธรรมะด้วยกัน ถ้ามีธรรมะทั้งคนขับและคนเดินถนน คนเดินเท้า เรื่องเสียหายมันก็ไม่เกิดขึ้น เดี๋ยวนี้คนแก่ๆ เดินข้ามถนนเกิดรถชนบ่อย เพราะคนแก่เดินช้า พวกรถขับรถเร็วเกินไปถึงแม้ว่าคนแก่จะเดินปกติแต่คนขับรถไร้ธรรมะจึงชนคนแก่ล้มคว่ำไปชนแล้วหนีไปเสียด้วยมีบ่อยๆ อันตรายเหลือเกิน หน้าวัดชลประทานเดี๋ยวนี้ชนกันบ่อยไม่ใช่ว่าที่ตรงนั้นมันไม่ดี มันเสียเป็นกาลกินีหามิได้ ทั้งๆ ที่ตรงนั้นมันเรียบร้อย แต่คนขับรถมันเป็นกาลกินีมันไม่เรียบร้อย จึงเกิดอุบัติเหตุกันบ่อยๆ ก็หามกันไปส่งโรงพยาบาลที่ตรงนั้นแหละ เพราะมันอยู่ใกล้ดี
อันนี้เป็นเรื่องที่เกิดด้วยเป็นกรรมของคนแท้ๆ เราจึงต้องระมัดระวังตัวเราทีนี้อีกประการหนึ่ง การสะเดาะเคราะห์ จะแนะวิธีสะเดาเคราะห์ให้ สะเดาะอย่างไร สะเดาะตามหลักการพระพุทธศาสนา คือ เราต้องรู้เรามีเคราะห์เพราะอะไร เป็นทุกข์เพราะอะไรพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องความทุกข์ ให้เรารู้จักทุกข์ รู้ว่าทุกข์มาจากอะไร อะไรเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ขึ้น เช่น เรามีความทุกข์ก็อย่าไปทำให้อะไร อย่าไปเที่ยวไหว้นั่น อย่าไปไหว้ต้นไม้นั่น อย่าไปไหว้ผี ไหว้เทวดา เพราะว่าพวกนั้นช่วยอะไรเราไม่ได้ เทวดาช่วยเราไม่ได้ ช่วยตัวเองก็ยังไม่ได้เทวดา เราตั้งศาลเล็กๆ ให้อยู่นะ บางที่ก็ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าไปเที่ยวที่ไหน ก่อนนี้มีข่าวแปลกประหลาด รัฐมนตรีชวนของเรานี่เอง คุณชวนเป็นคนเรียบร้อยที่นี้ย้ายมาอยู่กระทรวงเกษตร เจ้าหน้าที่ปัญญาอ่อนที่กระทรวงเกษตรบอกท่านว่าให้มาตอนเช้า ให้มาไหว้พระภูมิเจ้าที่เสียก่อนแล้วตอนบ่ายจึงจะรับงานท่านบอกไหว้ตอนบ่ายแล้วไปรับงานทีเดียวไม่ได้หรือมันจะได้ไปพร้อมกัน เจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรบอกว่าไม่ได้ เพราะตอนบ่ายพระภูมิไม่อยู่บ้าน เพราะภูมิก็ชอบเที่ยวเถลไถลเหมือนข้าราชการบางกรม พอตอนบ่ายก็ไม่ค่อยอยู่ที่ทำงาน อธิบดีก็ไม่อยู่ รองอธิบดีก็ไม่อยู่ เวลาไปติดต่องานอะไรเขาบอกว่าถ้าไปตอนบ่ายมักไม่ค่อยสำเร็จเพราะผู้ใหญ่ไม่อยู่ ไปเที่ยวไหนเหมือนกันแหละเทวดา พระภูมิก็เหมือนกับข้าราชการชอบเที่ยวตอนบ่ายไม่อยู่บ้าน คุณชวนก็เลยบอกว่าอย่างนั้นก็ทำตอนเช้าหมดทั้งรับงานด้วย ไปไหว้เทวดาด้วย เราไปไหว้พระภูมิความจริงเราไม่ต้องไปไหว้ก็ได้ มันอยู่ที่เราทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นคนรักงาน เป็นคนเห็นประโยชน์ส่วนรวม พระภูมิไม่เกี่ยว แต่มีอยู่คราวหนึ่งขำดีจะเล่าให้พี่น้องฟัง คุณจรูญ โลกะกะลิน แกไปเป็นผู้ว่าจังหวัดสกลนคร อันนี้ผู้ว่าเก่าชื่อ โบแดง จันตะเสน ขออภัยที่ต้องเอ่ยชื่อด้วยนะ นี่หนูมาอยู่เมืองนี้ต้องไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ไหว้เทวดาพระภูมิเจ้าที่ซะมั่งนะ เออ.กูจะไหว้ ... ข้าราชการว่าพรุ่งนี้เตรียมธูปเทียนไว้ไปที่เสาธงฉันจะไปไหว้พระภูมิเจ้าที่ เทวดาเมืองสกลนคร อันนี้เขาก็เตรียมไป พอแกจุดธูปจุดเทียนเสร็จแล้วก็ประกาศว่า ข้าพเจ้า จรูญ โลกะกะลิน ได้รับพระบรมราชโองการให้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ข้าพเจ้าใหญ่กว่าใครๆ ทั้งหมดในเมืองนี้ เทวดาผีสางนางไม้อย่ามายุ่งกับข้า ให้ไปอยู่ในป่าตามสบาย ถ้าขืนมายุ่งกันก็จะเกิดเรื่องกันแกก็ว่าของแก พวกนั้นตกใจข้าราชการตกใจ พูดเจ้าเมืองเป็นอะไรไปว่าเทวดาเข้าแล้ว แต่ว่าแกก็ครองเมืองเรียบร้อย เพราะเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนเอางานเอาการ ไม่มีความลำเอียงเพราะรักเพราะชังเพราะโกรธเพราะหลง ทำอะไรก็ดีอยู่นั้นจนกระทั่งเกษียณอายุราชการ แต่แกไหว้ไม่เหมือนใคร ประกาศว่าอย่ามายุ่งกับฉันนะ ฉันเป็นใหญ่กว่าเพื่อนในเมืองนี้นะ ที่เขาทำอย่างนั้นคนที่ไปไหว้ คุณชวนไปไหว้ที่ต่ำๆ แต่ว่าอดีตรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาต้องปีนไปไหว้บนหลังคา เพราะว่าที่ทำเนียบนั้นมีรูปพระพรหมอยู่ที่บนหลังคาเลยต้องปีนขึ้นไปไหว้ดีไม่พลัดลงมาขาหักได้ลงหนังสือพิมพ์เป็นข่าวว่าท่านรองนายกฯ ขึ้นไปไหว้พระพรหมตกลงมาขาหัก เขาเรียกว่าทำด้วยแบบปัญญาอ่อนทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องอะไร เราไปไหว้ไปบูชาอย่างนั้นมันพวกปัญญาอ่อน พวกไร้การศึกษา แล้วทำไมไม่เชื่อว่าการศึกษาทางโลกได้รับปริญญากันทั้งนั้นแหละ แต่ว่าธรรมะมันอ่อนไม่ค่อยศึกษาเรื่องธรรมะ เป็นพุทธบริษัทแต่ไม่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้เกิดปัญญา ให้เกิดความรู้ความเข้าใจจึงไปเที่ยวไหว้เปะปะไปอย่างนั้น การที่เราไปเที่ยวไหว้อย่างนั้นรู้ไหมทำให้เราเป็นคนไม่ซื่อ เล่นไม่ซื่อกับพระพุทธเจ้าแล้วนะ คนชาวพุทธต้องมีความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาเกิดปัญหาอะไรเราต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม พระสงฆ์ อย่าไปนึกถึงผี อย่าไปนึกถึงเทวดา อย่าไปนึกถึงอะไรๆ ที่ศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในเมืองไทย คนปัญญาอ่อนสร้างไว้ทั้งนั้นแหละไม่ใช่คนปัญญาแก่กล้าอะไรสร้างไว้ เข้าสร้างไว้เพื่อให้คนปัญญาอ่อนไปไหว้ ไปวิงวอนขอร้องบนบานศาลกล่าวซึ่งมันไม่ถูกต้อง ทำเช่นนั้นมันไม่ถูกต้องตามลักษณะของพุทธบริษัท พุทธบริษัทมีความคิดอย่างไร ต้องรู้จักทุกข์ก่อนว่าทุกข์นี้คืออะไร และทุกข์นั้นต้องมีเหตุ เหตุมันอยู่ที่ไหนอยู่ที่ตัวมัน ไม่ได้อยู่ที่ไหน ตัวคิด ตัวพูด ตัวทำ ตัวคบหาสมาคม ตัวไปตัวมาเป็นตัวเหตุแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นแต่ว่าคนเรานั้นโดยปกติมันเสียอยู่อย่างหนึ่ง เสียอย่างไรก็เสียที่ไม่ยอมรับว่าตัวผิด ไม่ยอมรับว่าตัวผิด ผมไม่ผิด ผมไม่ผิด แม้จับได้คาหนังคาเขาก็ยังยอมรับว่าผมไม่ผิดอยู่นั่นแหละ นี่แหละคือตัวปัญหาที่มันยุ่งอยู่ในสังคม ทีนี้ถ้าเรายอบรับว่าผิดเสียมั่งมันก็ปัญหาน้อย โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัว
เราต้องยอมรับว่าเราเป็นผู้ผิด มีความทุกข์ทนก็ต้องยอมรับว่านึกว่าฉันคงคิดผิด ทำผิด คบคนผิด ไปสู่สถานที่ผิดๆ ทำอะไรผิดสักอย่างหนึ่งค้นที่ตัว อย่างไปค้นดวงดาวที่บนท้องฟ้า อย่าไปค้นที่ดวงชะตาราศี แล้วอย่าไปหาหมอดู พวกเราชอบไปหาหมอดู พวกไปหาหมอดูนะพวกปัญญาอ่อนทั้งนั้นแหละ ปัญญาไม่แก่เลยไปหาหมอดู ไปไหว้ผี ไหว้เสาหลักเมือง ไหว้พระภูมิเจ้าที่ พวกปัญญาอ่อนแล้วพวกหมอดูก็ปัญญาอ่อนเหมือนกัน พระที่เป็นหมอดูก็เป็นพระที่ปัญญาอ่อนเหมือนกันไม่ศึกษาธรรมะ ไม่สนใจปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้าไปเรียนแต่ตำราโหราศาสตร์นอกรีต นอกรอย ไม่ช่วยทำงานให้พระพุทธเจ้า กินข้าวของพระพุทธเจ้า ห่มผ้าของพระพุทธเจ้า อยู่บ้านของพระพุทธเจ้า แต่โน่นแน่ะไปทำงานให้โหราศาสตร์ทั้งหลายไปดูหมอ ทำคนให้โง่ ทำคนให้หลง ทำคนให้งมงาย ไม่เจริญก้าวหน้า ถ้าเราจะไปหาพระเวลาเรามีความทุกข์โยมจงจำไว้ ไปหาพระที่สอนธรรมะ วัดไหนที่สอนธรรมะ อธิบายธรรมะให้คนเข้าใจเราไปที่นั่น ไปแล้วท่านจะไม่ทำพิธีอะไรให้ เช่นว่า หนูนี่ดวงไม่ดีหลวงพ่อช่วยรดน้ำมนให้หน่อย หลวงพ่อจะไม่รดน้ำมนต์ให้ แต่หลวงพ่อจะถามว่าหนูดวงไม่ดีอย่างไร มันเป็นทุกข์อะไรเล่าให้หลวงพ่อฟังก่อน แล้วก็เล่าให้ฟังว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราคอยจับประเด็นเรื่องพอได้ประเด็นเรื่องแล้วเราก็อธิบายให้เขาฟังว่าความผิดมันอยู่ที่หนูเอง หนูทำอย่างนี้ หนูทำอย่างนี้พูดให้เขาเข้าใจ เขาเข้าใจแล้ว เขารับได้ ก็ถามว่าหนูยังต้องการน้ำมนต์ไหม ไม่ต้องแล้วหนูเข้าใจแล้ว หนูต้องไปแก้ที่ตัวหนูเองทำให้คนฉลาด ถ้าเราสอนแล้วทำให้คนฉลาดขึ้น แต่ถ้าไม่สอนถ้าเขาอยากได้น้ำมนต์เรารดน้ำมนต์ให้ส่งเสริมความโง่อยู่ตลอดเวลา แล้วจะเป็นชาวพุทธอย่างไรโยม ชาวพุทธแปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้มีความเบิกบานแจ่มใส เพราะฉะนั้นต้องรู้เรื่องตัวเองให้ถูกต้อง รู้ว่าตัวเราคือใคร มีอะไรเกิดขึ้นในตัวเรา มันมาจากเหตุอะไร เราควรจะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการอย่างใด แก้เองไม่ได้ต้องไปหาผู้รู้ ไปถามพระก็ได้ ชาวบ้านก็ได้ ไม่ใช่หมอดู แต่ว่าไปถามผู้เรียนรู้ธรรมะ ผู้สอนธรรมะ แล้วเขาจะสอนให้เราเข้าใจ สอนเข้าใจแล้วจึงได้รู้ไปตลอดชาตินี้ แต่ถ้าไปหาหมอดูต้องไปบ่อย เดือนหนึ่งไปหลายครั้งพอกลุ้มใจ พอกลุ้มใจ หมอก็ไม่สอนเพราะว่าสอนแล้วก็ไม่มา ลาภไม่ได้พวกนั้นพวกแสวงหาลาภผลกันทั้งนั้นแหละไม่ใช่เรื่องอะไร ทีนี้เราไม่ไปเราแก้ได้ด้วยตัวเอง เช่น สมมติว่าเราจะสะเดาะเคราะห์เอง ฟังให้ดีนะเราวิธีสะเดาะเคราะห์ไม่ต้องให้ใครช่วยสะเดาะเราสะเดาะของเราเอง เราเป็นทุกข์เพราะอะไร เราเป็นทุกข์เพราะแพ้การพนันแพ้บ่อยๆ ซื้อลอตเตอรี่ไม่ถูกสักที ซื้อหวยก็ไม่ถูก เลขสามตัวก็ไม่ถูกเราเป็นทุกข์แล้ว เป็นทุกข์เราจะสะเดาะเคราะห์ทำอย่างไร ก็เลิกเล่นการพนันให้มันเด็ดขาดไปเลย ถ้าเราเลิกเล่นการพนันเด็ดขาดเคราะห์ตัวนั้นหายไป สะเดาะหลุดไป เราเป็นทุกข์เพราะสิ่งเสพติดมึนเมา เราติดยาบ้าง ติดเหล้าบ้าง ติดบุหรี่บ้าง ติดไอ้นั่นไอ้นี่งอมแงม เราก็รู้เสียบ้างรู้ เราว่ามันเป็นทุกข์เราก็เลิกเสพเลิกดื่มของมึนเมาต่อไป เราเป็นทุกข์เราไปคบเพื่อนชั่วๆ เพื่อนชั่วมันจูงไปในทางต่ำในทางเสียหาย เราเห็นว่าไม่ดีเราก็เลิกคบเพื่อนชั่วที่เรียกว่าเราไปสะเดาะเคราะห์ตัวนั้นออกไป ถ้าเราไปเที่ยวกลางคืนได้ลูกได้ไฟใส่ตัวมาเกิดปัญหาทางครอบครัว ถกเถียงเกี่ยงงอนกับแม่บ้าน ทำให้เกิดยุ่งยากใจ ก็คิดได้ว่าไอ้ที่มันยุ่งใจเพราะกูดันทุรังไปเที่ยวกลางคืนนี่เอง สะเดาะเคราะห์ตัวนั้นก็เลิกเที่ยวกลางคืนเด็ดขาด ไอ้เคราะห์ตัวนั้นมันก็ไม่เกิดต่อไป หรือว่าเคราะห์เกิดเพราะเราสุรุ่ยสุร่าย ไม่รู้จักอดออม ได้เงินเดือนน้อยแต่จ่ายมาก คนใดได้มากแต่จ่ายน้อยรวยคนใดได้น้อยแต่จ่ายมากจนทุกราย คนใดได้เท่าใดแล้วก็จ่ายน้อยๆ ประหยัดในการกินการนุ่งการห่มการเที่ยวการเตร่ใช่จ่ายเท่าที่จำเป็นมันก็เหลือใช้
ถ้าเรารู้ว่าเรามีความทุกข์เพราะความสุรุ่ยสุร่าย เลิกสุรุ่ยสุร่ายแล้วก็มาประหยัดอดออม นั่นแหละตัวสะเดาะเคราะห์อย่างแท้จริง เรารู้ว่าเราเป็นทุกข์เพราะความเกียจคร้านเราก็เลิกเกียจคร้านหันมาเป็นคนขยันขันแข็งเอางานเอาการ รักงาน ขยัน เอาใจใส่ คิดค้นในการทำงานตามหน้าที่อย่างนี้เรียกว่าเราสะเดาะเคราะห์ไป อ่านใจความง่ายๆ ว่า เป็นเคราะห์เพราะอะไรต้องรู้ รู้แล้วรู้สิ่งนั้นมันเป็นตัวเหตุ นั่นคือการสะเดาะเคราะห์ คนกรุงเทพชอบไปลอดใต้ท้องช้าง ช้างเมืองสุรินทร์มาเดินอยู่กรุงเทพ วันนั้นถามว่ามาเดินทำไมตอบว่ามาขายของ ขายอะไร ขายเครื่องทำด้วยงาช้าง ด้วยกระดูกช้างทำเป็นแหวนมั่ง ทำเป็นตุ่งติ่ง ตุ่งติ่งห้อยหูอย่างนี้สุภาพสตรีห้อยหูรุงรังไปหมด ไม่รู้ว่าห้อยไว้ทำไม มันหนักหูไปเปล่าๆ ไม่ได้เรื่องอะไร ไม่ใช่มันเพิ่มอะไรขึ้นมาเพิ่มสตางค์ไงที่ห้อยไว้ ทางนี้ก็ขายไง พอกินสิ ก็พอกินพออยู่ แล้วทำอะไรอีกล่ะ ยังมีอีกอย่างหนึ่งเอาช้างมาให้คนกรุงเทพลอด พวกกรุงเทพพวกปัญญาอ่อนไปลอดท้องช้างลอดไปที่ยี่สิบบาทลอดกลับยี่สิบบาทต้องสามครั้ง ลอดหกสิบบาทเรียกว่าสะเดาะเคราะห์หกสิบบาทกยังเป็นเคราะห์หนักต่อไปเพราะไปสะเดาะอย่างนั้น ทีนี้วันหนึ่งมีคนไปสะเดาะเคราะห์หมามันไปด้วย หมามันเห็นเท้าช้างใหญ่โตพิลึกในสายตาของหมา แล้วมันกัดเลยพอกัดช้างมันก็จักกะจี้ จักกะจี้แล้วมันก็เตะหมา หมาหลบไวไอ้คนที่กำลังคลานอยู่ใต้ท้องช้างมันหลบไม่ทันช้างเตะซี่โครงหัก ตับแตกตายเลยเหตุว่าสะเดาะเคราะห์แบบโง่ๆ แล้วก็ตายไป คราวก่อนได้รับข่าวว่าคนกรุงเทพไปหาหมอดู หาหมอดูแล้วว่าต้องไปรถน้ำมนต์ น้ำมนต์ดีอยู่เมืองสิงห์โน่น น้ำมนต์กรุงเทพไม่เก่ง ต้องไปเมืองสิงห์ขับรถแต่เช้าต้องไปให้ทันเวลาเพราะว่าฤกษ์มันต้องรดเวลานั้น ถ้าพลาดเวลานั้นก็ลดไม่ขลังเลยรีบขับรถใหญ่เลยไปเจอะกับรถสิบล้อ ตายไปสี่คน นั่งไปกับเพื่อน ตายกันหมดทั้งสี่ นี่เรียกว่าไปสะเดาะแบบโง่ๆ ถ้าไปรดวัดชลประทานสะเดาะก็ไม่ตาย แล้วจะได้ปัญญาด้วย ทีหลังใครจะสะเดาะเคราะห์ไปวัดชลประทานก็แล้วกัน หลวงพ่อจะได้ช่วยสะเดาะให้ เคราะห์มันจะได้หมดไปแต่ถ้าไม่ไปวัดจะสะเดาะเอาเองก็ได้ ด้วยการพิจารณาตัวเอง สอบสวนตัวเอง ว่าเราทำผิดอะไร เราบกพร่องอะไร แล้วเราก็แก้ไขนั่นแหละเป็นการสะเดาะเคราะห์ วันนี้เรามาทำพิธีไม่ใช่สะเดาะเคราะห์บ้านเคราะห์เมืองอะไร คนกรุงเทพเรียบร้อยเมืองกรุงเทพเรียบร้อยไอ้ที่ไม่เรียบร้อยเพราะคนทั้งนั้น คนกรุงเทพทำให้เมืองสกปรก เป็นคนมักง่าย ชอบทิ้งขยะเพ่นพ่าน ชอบรินน้ำสกปรกลงในคูแล้วไหลลงไปในคลอง คลองดำหมดเลย
หลวงพ่อมากรุงเทพครั้งแรกเมื่อ ๒๔๗๕ มาพักที่วัดบวรนิเวศ ระนาบสูงทีนี้มันร้อนหน่อยก็จะอาบน้ำเลยถามพวกพระว่าอาบที่ไหน อ๋อนั้น อาบน้ำในคูนั่นแหละ แหมเรามาบ้านนอกพระกรุงเทพจะหลอกให้เราอาบน้ำในคูเลยไม่อาบสงวนท่าทีไว้ก่อน พอตอนเย็นทั้งพระทั้งเณรทั้งเด็กลงอาบน้ำในคูกันทั้งนั้นนึกในใจว่ากรุงเทพนี้ไม่ไหวเป็นเมืองฟ้าอมรอย่างไร น้ำอาบก็สกปรกสู้บ้านเราไม่ได้ น้ำในเหมืองข้างบ้านเรามันไหลเชี่ยวอาบแล้วก็สะอาดดี แต่ผลสุดก็ต้องลงไปอาบนั่นแหละ แต่เดี๋ยวนี้ถึงในคลองบางลำพูอย่าอาบเลย ล้างเท้าก็จะไปเกากันใหญ่โตเลยทีเดียวมันสกปรก เวลารถนั่งไปถ้านั่งเรือล่ะโยมพอถึงปากคลองเทเวศร์รู้แล้ว มันเหม็นหึ่งเลยทีเดียวถึงปากคลองบางลำพูเห็นหึ่งอีกแล้ว ใครเป็นผู้ทำให้กรุงเทพเน่า ใครเป็นผู้ทำให้น้ำในคลองเน่าก็คนกรุงเทพนั่นเองแหละ ก็คนมักง่ายไม่ระมัดระวัง ชอบทิ้งขยะมูลฝอยลงไปในคลอง ชอบสร้างบ้านลงไปในคลองด้วยแล้วขับถ่ายสิ่งโสโครกลงไปในคลองน้ำเน่าน้ำเหม็น นี่ท่านผู้ว่าจัดการในคลองแสนแสบมันก็สบายดีไม่มีขี้ฝุ่นแต่ต้องหาผ้าสะอาดชุบน้ำยาไปด้วยเอาไว้อุดจมูกเพราะน้ำในคลองแสนแสบมันแสนแสบสมชื่อแล้ววันนี้มันเหม็น สมัยก่อนไปเยี่ยมเจ้าคุณราชบุรีบ้านอยู่ริมคลองแสนแสบน้ำยังสะอาดยังอาบได้อยู่เดี๋ยวนี้ไปบ้านลูกศิษย์ที่อยู่ริมคลองนั้น ฉันเพลไม่ค่อยไหวมันเหม็นแต่น้ำเน่า ใครเป็นผู้ทำให้น้ำเน่าเราทั้งหลายที่อยู่ริมคลองนั่นแหละช่วยกัน อันนี้เราช่วยกันทำน้ำให้สะอาดด้วยการหยุดทิ้งขยะมูลฝอยด้วยการทำถนนให้สะอาด รักษาบ้านเมืองให้สะอาด จริงอยู่มีคนกวาดแล้วแต่ถ้าเราไม่ทิ้งมันจะดีกว่าไหม คนกวาดก็จะไม่ต้องกวาดมากเกินไปเป็นการหัดนิสัยช่วยกันทำบ้านเมืองของเราให้สะอาด ปราศจากสิ่งโสโครก ในบ้านอื่นเมืองอื่นก็ไม่สะอาดทั้งหมด เมืองฝรั่งก็สกปรกเหมือนกัน เมืองนิวยอร์กก็สกปรก เมืองชิคาโกก็สกปรกแต่โตรอนโตของแคนาดาเขาสะอาดเรียบร้อย เขาปัดกวาดเรียบร้อย ถนนหนทางดี ปลูกต้นไม้สวยงาม เมืองต่างประเทศทางใต้ เมืองนิวซีแลนด์เขาสะอาดมากริมถนนเขาปลูกดอกไม้สวยๆ สะอาด คนไม่เดินเหยียบย่ำ กรุงเทพเรานั้นทำเกาะสวยๆ เช่น ถนนสีลม สาธร สาธรสีลม ทำเกาะสวยแล้วก็มีชื่อธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยทนุ ธนาคารกสิกรไทย เป็นเจ้าภาพทำไว้สวยงาม คนมันเหยียบต้นไม้ตายหมดเลย เหยียบต้นไม้ตายหมดอ้าวต้องแก้ไขใหม่ เสียชื่อธนาคารเขาแก้ใหม่เขาก็ทำเหล็กล้อม วันหนึ่งฝรั่งไปเยี่ยมที่วัดเขาพักโรงแรมนารายณ์ก็เลยมาส่งเขามาก็ผ่านถนนนั้นแหละ เขาบอกว่าเมืองไทยนี่แปลกมากจริงๆ กำแพงสูงแล้วยังมีเหล็กบนกำแพงอีก หน้าต่างก็มีเหล็ก ประตูก็มีเหล็กเหล็กมาก แล้วก็ทำเกาะกลางสวยๆ เอาเหล็กไปขวางสายตาเสียอีกมันเรื่องอะไรเขาถามอย่างนั้น ถ้าตอบตามความจริงก็เสียชื่อไปหมดทั้งชาติ เพราะถ้าตอบว่าเขากันคนไปเหยียบก็เสียชื่อนะสิ หลวงพ่อเลยเลี่ยงช่วยเหลือคนไทยหน่อยตอบว่าเมืองไทยสุนัขมันมากมันเที่ยวเพ่นพ่านไปขี้ตรงนั้นไปขี้ตรงนี้แล้วมันก็สกปรกคนทำต้นไม้สวยๆ ก็เลยเอาเหล็กมากั้นไว้ไม่ให้สุนัขขึ้นไปขี้ ฝรั่งเลยบอกว่ากู๊ดไอเดียว่าอย่างนั้น นี่ก็ช่วยแก้ภาพพจน์คนไทยไว้ได้ ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นคนไทยเหยียบตายหมด เหยียบหญ้า เหยียบถนน เหยียบต้นไม้ตายหมด เรายังมีการรักสวยรักงามน้อยไปยังมินิสัยสร้างสรรค์น้อยไป ยังมีนิสัยทำลาย นิสัยมักง่ายกันอยู่มากจึงขอช่วยฝากให้ญาติโยมเปลี่ยนนิสัยเป็นคนรู้จักสร้างสรรค์ รู้จักรักษาของ รู้จักช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำสิ่งทั้งหลายให้สวยสดงดงามมากยิ่งขึ้น ก็จะเป็นความดีแก่พี่น้องทั้งหลาย วันนี้เราทั้งหลายได้มาประชุมกัน เพื่อทำบุญกุศลอุทิศให้แก่ผู้ที่ถึงแก่กรรมไป แล้วก็เพื่อให้ผู้ที่อยู่ได้มีความสบายใจว่ามีพี่น้องจำนวนมากยังคิดถึงพวกเราที่ได้รับความทุกข์ความเดือนร้อนเขาก็จะได้ชื่นใจ ความสบายใจแล้วก็ได้ฟังธรรมะ ปาฐกถา ที่หลวงพ่อนำมาพูดให้ญาติโยมฟัง เทศน์อย่างตรงไปตรงมาเพื่อต้องการให้ญาติโยมเข้าใจฟังแล้วอย่าเชื่อก่อนเอาไปคิดไปตรองเห็นว่ามันถูกมันต้องมีเหตุมีผลเราก็เอาไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสุขความเจริญแก่ชีวิตของเราต่อไป แสดงมาก็พอสมควรแก่เวลาจะได้ทำเรื่องอื่นต่อไปอีกขออวยพรให้พี่น้องทั้งหลายที่ได้มาประชุมกันในวันนี้จงเป็นผู้เจริญงอกงาม มีความซื่อสัตย์ในการบังคับตนเอง ในความอดทนอดกลั้น ในความเสียสละ มีความละอายบาปกลัวบาปโดยทั่วกัน ทุกท่านทุกคนเทอญ