แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันหลักเป็นคำสอนในทางพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันนี้วันที่ ๑๒ สิงหาคม ตรงกับวันอาทิตย์พอดี เป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษา สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลสำคัญยิ่งของประเทศไทย ชาวไทยเราเรียกว่า พระแม่เจ้าอยู่หัว เพราะว่าเป็นคู่บุญบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้ร่วมแรงร่วมใจทำกิจอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติมากมาย หลายสิ่งหลายประการ ล้วนแต่เป็นเรื่องมีคุณมีค่าแก่ชีวิตแก่ชาติแก่ประเทศด้วยกันทั้งนั้น เราทั้งหลายที่เป็นพสกนิกรอยู่ภายใต้บารมีของพระองค์ทั้งสอง มีความสำนึกในบุญคุณที่ได้ทรงกระทำแก่ชาติแก่บ้านเมือง จึงได้พร้อมใจกันถวายพระพรอย่างมากมายก่ายกอง ทั้งทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ ทางหน้าหนังสือพิมพ์ ทั่วบ้านทั่วเมือง เสียงถวายพระพรนั้นดังก้องไปในท้องฟ้า ถ้าหากว่าพรที่ประชาชนให้เป็นความจริงขึ้นมา องค์พระบรมราชินีนาถก็จะมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย ไม่มีอุปสรรคอันใดในชีวิตของพระองค์ พรก็เป็นประโยชน์อยู่อย่างนั้น แก่ผู้ได้รับถ้วนหน้ากัน
โดยเฉพาะเราในวันอาทิตย์ที่นี่ วันนี้ ที่โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ก็จัดให้มีงานวันแม่เป็นพิเศษ พวกเด็กๆ ก็สนุกสนานกันตามเรื่องตามราว เมื่อเช้าอาตมาก็ไปทำพิธีกล่าวแนะนำเด็กๆ ให้รู้สึกถึงบุญคุณของแม่เล็กๆน้อยๆ แล้วเขาก็ทำกิจกันไปตามหน้าที่ เพราะโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ มีพระรับผิดชอบสับเปลี่ยนกัน รูปละปี ชุดละปี ๆ คือเป็นหัวหน้าองค์ละปี แล้วสับเปลี่ยนด้วยการคัดเลือกกัน ปีนี้ก็มหาอากรได้เป็นหัวหน้า เป็นเลขาธิการโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ทำงานทำหน้าที่เพื่ออบรมเด็กกันต่อไป ปีนี้เด็กมากมีจำนวนถึงพันคน เด็กน้อยๆ มีจำนวนตั้งสามร้อย พ่อแม่เกิดไว้ใจเอาเด็กเล็กๆ มาให้พระปั้นนิสัยใจคอได้มากขึ้น จนว่าสถานที่ค่อนข้างจะคับแคบไป คือในห้องประชุมมันคับแคบไปหน่อย ความจริงมันกว้างแต่ว่าต้องแบ่งแยกออกไปให้พวกเด็กๆ ได้อยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ก็เลยทำงานก้าวหน้าเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม คือประเทศชาติบ้านเมืองต่อไป
วันแม่เราถือว่าเป็นวันสำคัญ สมัยก่อนนี้วันแม่ เอาวันเดือนเมษายน วันแม่เกิดขึ้นในสมัยท่านผู้หญิงพิบูลย์สงคราม ภรรยาท่านนายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ท่านริเริ่มเรื่องวันแม่ขึ้น แล้วก็ทำกันในเดือนเมษา มีการประกวดแม่ลูกดก สมัยนั้น คนได้รับรางวัลเป็นแม่ที่ดี คือมีลูกมาก แล้วก็ลูกดีด้วย หลายท่านด้วยกัน เดี๋ยวนี้ไม่มีการประกวดแม่ลูกดกแล้ว เพราะพลเมืองไทยมันเพิ่มขึ้น มากพอแล้ว ก็เลยงดเรื่องนั้นไป น่าจะประกวดแม่มีลูกน้อย แต่ว่าแม่ไม่มีลูกเลยนี่ไม่ให้เข้าประกวด ต้องมีบ้างพอสมควร แล้วก็ดูคุณภาพของลูกว่า ลูกนั้นเติบโตขึ้นได้ดิบได้ดีมีฐานะดี มีการงานดี ความประพฤติดีประพฤติชอบ ก็ให้รางวัลกันไป มารดาคุณชวน หลีกภัยนี่เป็นแม่ดีเหมือนกัน เขาให้รางวัลกันไปแล้ว เพราะว่าเลี้ยงลูกดี คุณชวนนี่เป็นคนดีของประเทศคนนึง เป็นรัฐมนตรีที่ยากจน วันนั้นฝ่ายค้านก็พูดว่า มีคนเดียวที่ยากจนอยู่คือคุณชวน หลีกภัย แกจนจริง ๆ จนจนยังไม่มีบ้านจะอยู่เลยเวลานี้ …… (05.16) วันนั้นส่งพระไปเชิญและไปพูดที่เมืองตรัง พระไปถึงบ้านเข้าไปถึงในห้อง ห้องเล็กนิดเดียว บอกว่า เอ้ย รัฐมนตรีอยู่อย่างนี้หรือ ไม่ใช่บ้านผม อาศัยเพื่อนเขาอยู่ บ้านตัวเองก็ยังไม่มี ความจริงเป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวงมีทางจะรวยกันได้นะ เช่น เคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรนี่มีทางรวย กับพวกโรงเลื่อย พวกป่าไม้ แต่ก็ไม่รวยกับเขาสักที เพราะไม่เอา มาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขก็มีทางรวยได้เหมือนกันกระทรวงสาธารณสุขนี่ เพราะว่ามีการซื้อเครื่องมือแพทย์ทั่วประเทศ มีกำไร มีคอมมิชชั่นแล้วก็มีอะไรอีกหลายอย่าง รัฐมนตรีน่าจะได้แต่ท่านไม่เอา เป็นคนที่ไม่รู้จักเอา ไม่รู้จักกิน ไม่รู้จักโกง ตัวจึงเล็กอยู่อย่างนั้น เป็นที่พอใจของประชาชนในเรื่องนี้ คุณแม่ก็เลยได้รับรางวัลไปว่า เป็นแม่ดีของลูกชายคนหนึ่ง ความจริงไม่ใช่มีคนเดียว ลูกมีหลายคนแต่ว่ามาดีมาเด่นอยู่ในฐานะเป็นนักการเมืองคนหนึ่ง คุณแม่ก็ได้รับรางวัลไป เดี๋ยวนี้เขาให้รางวัลแม่กันบ่อยๆ เพราะว่าเป็นแม่เลี้ยงลูกดีนั่นเอง
วันแม่จึงได้เลื่อนมาตรงกับวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เหมือนกับวันชาตินี่ สมัยก่อนเราถือวันชาติว่า ๒๔ มิถุนายนว่าเป็นวันชาติ เพราะเป็นวันที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยมาเป็นระบอบประชาธิปไตยก็ถือว่าวันนั้นเป็นวันชาติ ประเทศที่เป็นเมืองขึ้นของชนชาติอื่น เขามีวันชาติก็คือวันที่ปลดแอกของจักรพรรดินิยมได้ แล้วก็ถือวันนั้นเป็นวันชาติ อเมริกาก็ถือวันที่ ๔ กรกฎาคมเป็นวันชาติ เพราะหลุดจากแอกของอังกฤษมาได้ ทุกประเทศที่เป็นอย่างนั้น แต่ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ เขาถือเอาวันเฉลิมพระชนม์พรรษาขององค์พระมหากษัตริย์เป็นวันแห่งชาติ ในหลวงเราประสูติวันที่ ๕ ธันวาคม ก็เลยถือเอาวันที่ ๕ น่ะเป็นวันชาติไปด้วย แล้ววันพ่อเขาก็มีเหมือนกัน วันพ่อดูเหมือนกับเดือนอะไร เขาทำวันพ่อกัน แต่ไม่ค่อยโด่งดังเท่าใดวันพ่อน่ะ แม่ได้เปรียบหน่อย วันแม่มักจะดัง ถ้ามากันใหญ่โต คุณพ่ออย่าเสียใจ อย่าเสียใจว่าแม่ได้รับโอกาสมากกว่าพ่อ คือแม่รับพ่อก็ได้รับด้วยเหมือนกันนะ เหมือนกับคุณมหาคนหนึ่งอยู่ยะลา แกมีลูกหลายคน ลูกดีทั้งนั้น เรียนเก่งทั้งนั้นเรียนดีดีทั้งนั้น ได้ทำงานทำการ ตะนี้ลูกได้เขียนจดหมายถึงแม่ทุกทีไม่เคยเขียนถึงพ่อเลย แล้วคนเขาก็ถามว่า เออลูกๆ นี่มันไม่รักพ่อจึงไม่เขียนจดหมายถึงพ่อ แกบอกว่ามันรักเหมือนกัน แต่มันไม่อยากเขียนถึงพ่อ เขียนถึงแม่ก็พอแล้ว แล้วมันส่งเงินมาให้แม่ใช้ ผมก็ได้พลอยใช้ด้วยเหมือนกัน เพราะว่าแม่ต้องให้ผมด้วย เพราะฉะนั้น ที่ว่ามันรักพ่อด้วยเหมือนกัน ลูกทำอย่างนั้น ส่งเงินมาให้แม่ทุกที แกก็พลอยใช้ด้วยเหมือนกัน เพราะว่าแม่ได้ แกก็ได้ พ่อจึงไม่ต้องเสียใจว่า เขาไม่พูดเรื่องวันพ่อ แต่พูดเรื่องวันแม่ ความจริงในครอบครัวนี่มีแม่มีพ่อ คำบาลีนี่เอาแม่ขึ้นหน้า เขาเรียกว่า มาตาปิตุโร มารดาบิดา เอาแม่ขึ้นหน้า ชาวอินเดียนี่ ถือว่าแม่นี่สำคัญเลยเอาแม่ขึ้นหน้า แต่เมืองไทยเรานั้นว่า บิดามารดา เราเอาพ่อขึ้นหน้า แต่ว่าถึงพ่ออยู่หน้า แม่ก็สำคัญอยู่เหมือนกัน
แม่สำคัญอย่างไร สำคัญใน ฐานะเป็นแม่บ้าน คนเราถ้าไม่มีแม่บ้านนี่มันก็ลำบาก มีแม่บ้านไม่ดีมันก็ยิ่งสำบากเหมือนกัน แต่ถ้าได้แม่บ้านที่ประเสริฐ เป็นผู้รู้จักกิจการบ้านเมือง อะไรต่ออะไรเรียบร้อย พ่อบ้านก็สบายใจ ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนที่เจริญก้าวหน้าก็อาศัยแม่บ้าน แม้ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็อาศัยแม่บ้านแหละ สามีจึงได้เจริญก้าวหน้า เพราะแม่บ้านเข้านอกออกในได้ เข้าไปในวังเข้าไปถึงข้างใน เรียกว่าเข้าไปในพระราชฐานชั้นใน เข้าไปใกล้สมเด็จพระบรมราชินีนาถ แล้วก็สามีก็พลอยได้เลื่อนยศเลื่อนบรรดาศักดิ์อะไรขึ้นไป แม้ในปัจจุบันนี้ก็มีอยู่ ถ้าหากว่าคุณนายนี่เป็นผู้เข้าออกนอกใน ในราชสำนัก เวลาตำแหน่งมันว่างลงนี่มักจะได้ เพราะว่าไปเพ็ดทูลได้ ไปกราบทูลว่า ทางในวังต้องการคนนั้น ต้องการคนนี้ ก็มีอิทธิพลอยู่เหมือนกัน ราชการก็ตั้งให้ เพราะฉะนั้น แม่บ้านก็ยังสำคัญอยู่ เป็นผู้นำในครอบครัวเหมือนกัน แต่ว่าชื่อเสียงมันไปดังอยู่ที่พ่อบ้าน แต่หลังฉากมันอยู่ที่แม่บ้าน คนจัดฉากมันคนสำคัญนะ เช่นละครนี่ ตัวแสดงไม่สำคัญเท่าใด แต่ว่าคนไม่ค่อยนึกถึงคนจัดฉาก คนจัดฉากให้เรียบร้อย จัดอะไรๆเรียบร้อย เขามาทำก่อน พวกนั้นมาทำงานก่อน พวกแสดงนี่พอมาถึงก็แต่งเนื้อแต่งตัวออกไปแสดงกันเลยทีเดียว แต่ว่าหลังฉากก็ต้องมีคนช่วยจัดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนจัดฉากก็เป็นคนสำคัญ เราอย่าถือว่าเป็นคนไม่สำคัญ ครอบครัวทุกครอบครัว แม่บ้านเป็นคนสำคัญ ถ้าแม่บ้านดีครอบครัวนั้นเจริญก้าวหน้า ถ้าแม่บ้านเสียครอบครัวนั้นมักจะตกต่ำ เพราะว่าแม่บ้านไม่เรียบร้อย ไม่ได้ขึ้น ไม่ได้เลื่อนฐานะ เพราะเขาดูว่าแม่บ้านไม่ค่อยจะดี ในประเทศอเมริกานี่ ถ้าเขาจะเลือกคนให้เป็นประธานาธิบดีนี่ ไม่ใช่ว่าความดีของสามีจะเป็นได้เสมอไป เขาก็ต้องดูแม่บ้านด้วยเหมือนกัน เพราะว่าแม่บ้านนั้นเป็น เเรียกว่าเป็นสตรีนัมเบอร์หนึ่งของชาติ เป็นคนเรียบร้อย มีความประพฤติเรียบร้อยมั้ย นิสัยใจคอดีมั้ย มีความรู้มั้ย มีความสามารถเพียงพอมั้ย เขาดูไปด้วยนะ ถ้าหากว่าเป็นคนที่ดีมีความรู้มีความสามารถ เขาก็เลือกพ่อบ้านนั่นแหละให้เป็นประธานาธิบดี เพราะฉะนั้นภรรยาประธานาธิบดีมักจะเป็นคนดี มันผิดอยู่คนเดียวเท่านั้น คือ ท่านประธานาธิบดีลินคอล์น สมัยนั้นยังไม่ถือสำคัญ ประธานาธิบดีลินคอล์นนี่ แม่บ้านแย่มาก วันแต่งงานนี่ลินคอล์นแต่งตัวเรียบร้อย จะไปในพิธีแต่งงาน หลานชายถามคุณลุงจะไปไหน ชั้นจะไปตกนรก ลินคอล์นบอกจะไปตกนรก เพราะเจ้าสาวนั้นเป็นเชื้อสายคนฝรั่งเศส เป็นผู้ดีแปดสาแหรกน่ะ เจ้ายศเจ้าอย่าง โอ้ยหลายเรื่องหลายอย่าง แล้วก็ดุลินคอล์นเหมือนกับดุคนใช้ แต่ลินคอล์นเป็นคนที่มีคุณธรรม มีความอดทน มีความหนักแน่น ท่านก็พาตัวรอดมาเรียบร้อย แม่บ้านนี่แย่ เวลาลินคอล์นถึงสิ้นชีวิต แหมเรียกว่า ดูเรื่องดูราวแล้วแม่บ้านนี่ยุ่งจริง จริงอยู่เหมือนกัน กว่าศพลินคอล์นจะได้เข้าไปในสุสานนี่ตั้งสองสามปี ก็เรื่องปัญหาอะไรต่างๆ เป็นปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ว่า เป็นแม่บ้านที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อย ในประวัติศาสตร์ยุโรปก็มีพระราชินีที่ทำเรื่องยุ่งยาก มีหลายองค์เหมือนกัน ทำให้เกิดความเสียหายแก่พระราชาผู้ครองบ้านครองเมือง ก็เป็นเรื่องของแม่บ้านที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อย เพราะฉะนั้นเขาจึงเลือกแม่บ้านด้วย คือดูว่าแม่บ้านเป็นคนอย่างไรประพฤติตนเรียบร้อยหรือเปล่า นายดูคากิสที่สมัครพรรคเดโมแครตแข่งกับนายจอร์ช บุชนี่ แกก็ดีแต่แม่บ้านแกไม่ใช่เป็นอะไร แต่ว่าเป็นโรคคล้ายกับว่า สติสตังไม่ค่อยจะดีเท่าใด เลยเขาก็ไม่ค่อยจะเลือกท่านผู้นั้น ก็เสียที่แม่บ้านอยู่เหมือนกัน
คนหนุ่มๆ จะหาแม่บ้านสักคนหนึ่ง จึงต้องหาให้ดี ดีหน่อย อย่านึกว่ารูปสวยแล้วก็ใช้ได้ อย่านึกว่ารวยทรัพย์แล้วก็ใช้ได้ มันต้องรูปดีด้วย รวยทรัพย์ด้วย และรวยธรรมะด้วย เรียกว่ารวยศีลรวยธรรม สมบัติของผู้หญิงนี่เรียกว่า รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ญาติสมบัติ แต่ถ้าขาดศีลธรรมเป็นสมบัติยังไม่สมบูรณ์ ความสมบูรณ์มันอยู่ที่ธรรมสมบัติ คือมีคุณธรรมประจำจิตใจ ถ้าไร้คุณธรรมประจำจิตใจ อยู่กันก็ลำบาก มันมีปัญหา ถ้าหากว่านึกว่า เออแต่งงานกันแล้วก็ต้องทนหน่อย ก็ต้องทนไปอย่างนั้น ทนไปจนตัวตาย มีเมียผิดคิดจนเมียตาย แต่คนโบราณเขาไม่ว่า เขาว่ามีผัวผิดคิดจนผัวตาย เดี๋ยวนี้เขาไม่คิดจนผัวตายแล้ว ถ้ามีผิดก็ว่า สองเดือนแล้วฉันหย่าเธอแล้ว ฉันไม่อยู่กับเธอต่อไป ไปหาคนใหม่ต่อไป สมัยนี้มาเปลี่ยนไป แต่สมัยก่อนนั้นเขาถือหลักเกณฑ์ ถ้าแต่งงานกันแล้วก็ต้องทนอยู่กันต่อไปจนแก่จนเฒ่า มีลูกมีหลานอะไรกันไปตามเรื่อง เดี๋ยวนี้จิตใจคนมันเปลี่ยนไปตามสมัยนิยม ก็สมัยนี้อะไรมันเร็ว จิตใจคนก็พลอยเร็วไปด้วย เป็นยุคคอมพิวเตอร์ยุคไฮเทคอะไรน่ะ จิตใจมันก็เปลี่ยนไปตามสภาพ
แต่ถึงอย่างไรก็ดี คำว่าแม่ ยังเป็นคำที่หวานหูอยู่ตลอดเวลา เราลองนึกถึงภาพตัวเราเองเมื่อสมัยเป็นเด็กๆ อาตมาก็นั่งนึกบ่อยๆ ถ้ามันว่างแล้วก็นั่งนึกถึงภาพสมัยเด็กๆ ว่าเราเป็นเด็กนี่เกิดจากคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็เห็นภาพท่านทั้งสอง เห็นชัดมองภาพเห็นชัด ไม่ต้องหลับตามอง นึกในใจมันก็เห็นภาพว่าคุณพ่อมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร กิริยาท่าทางนิสัยใจคอเป็นอย่างไร แล้วก็นึกถึงภาพคุณแม่ว่าท่านมีหน้าตาอย่างไร มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ใจดี ใจเรียบร้อย ไม่เคยหาเรื่องทะเลาะกับใครๆ แม้ในครอบครัวก็ไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยมีปากมีเสียง อยู่กันสงบเรียบร้อย แล้วเราเกิดมาเป็นเด็ก ในเมื่อเป็นเด็กน้อยมันก็จำไม่ได้ว่าอยู่บนตักของคุณแม่ ดูดนมคุณแม่อย่างไร แต่พอเริ่มรู้เดียงสานี่ก็เริ่มจำความได้ จำความได้ว่า เป็นเด็กนี่มีความเป็นอยู่อย่างไร รู้สึกอย่างไร ดวงหน้าของคุณแม่นี่เป็นดวงหน้าที่ชื่นอกชื่นใจ เช่นว่าไปเรียนหนังสือนี่ต้องไปอยู่วัด ห่างจากบ้านระยะทางสมัยก่อนก็ไม่ค่อยเท่าใด สิบสองกิโลเมตร แต่สิบสองกิโลสมัยก่อนนี่มันไกล เดินกันนาน อันนี้มีการเจ็บป่วยขึ้นคราวหนึ่ง ป่วย ไม่สบาย แต่ท่านอาจารย์ท่านก็ดี พอเด็กป่วยก็ต้มยาให้กิน ยาเป็นหม้อต้มให้กิน ขมจิ๊ดเลย กินหยูกกินยา แต่ว่าตอนเย็นวันหนึ่งมีเพื่อนบอกว่า อุ๊ย คุณป้ามาแล้ว คือเขาเรียกคุณแม่ของอาตมาว่า คุณป้า พอบอกว่าคุณป้ามาแล้ว เหมือนกับว่า มันหายป่วยไปทันที ลุกขึ้นได้ ลุกขึ้นออกจากห้องเดินไปหาคุณแม่ แล้วก็ไปกราบท่าน จิตใจมันก็สบาย ภาพนี้มันเป็นภาพที่อยู่ในใจมาตลอดเวลา มองเห็นดวงหน้าคุณแม่ แล้วใจมันสบาย มันเบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส เวลามีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ พอเห็นหน้าแม่แล้วมันก็หายทุกข์ไปเท่านั้นเอง ไม่มีความทุกข์กายทุกข์ใจ สมัยนี้แม้ว่าท่านจะลาโลกไปแล้ว แต่ถ้านึกถึงภาพทีไรก็ยังสบายใจอยู่ มันเป็นภาพประทับใจ ฝังใจอยู่มาก ภาพคุณพ่อนี่ก็ประทับใจ แต่ไม่เหมือนคุณแม่ นึกถึงพ่อนี่มันเฉยๆ ความจริงมันเป็นแบบนั้น ไม่ได้ลำเอียงอะไร เพราะว่าความใกล้ชิด มันใกล้ชิดคุณแม่มากกว่า คุณพ่อไม่ค่อยจะได้ใกล้ชิดเท่าใด ท่านมักจะออกไปทำมาหากิน ไปนู่นไปนี่เป็นคนชอบไปไกลๆ ไปถึงพังงา ตะกั่วป่า ไประนอง ไปซื้อควายเอามาใช้ไถนา สมัยก่อนเมืองระนอง ควายตัวละสองบาท สมัยอาตมาเด็กๆ นี่ควายตัวละสองบาท ก็ที่นั่นเขาไม่ทำนา ทำแต่เหมืองแร่ ก็เลี้ยงควายไว้ในทุ่ง ไปซื้อควายตัวเมียนี่มาตัวหนึ่งสองบาทราคา ซื้อแล้วก็ต้อนเดินทางมา มาทาง ...... (19.27) บุรี ไต่มาขึ้นภูเขาลงห้วย มาชุมพรแล้วก็ต้อนไปตามทางรถไฟ ข้ามแม่น้ำตาปีเมืองสุราษฎร์ พาไปจนถึงบ้าน วันไหนที่ฝูงควายกลับมาถึงบ้านนี่ พวกเราเด็กๆ รู้สึกว่ามันสบายใจเป็นพิเศษ ต้องออกไปดูควายที่กินหญ้าอยู่ในทุ่ง แล้วก็รู้สึกว่ามันภูมิใจ มันสบายใจ ภาพเช่นนั้นยังนึกออกว่าเป็นเช่นนั้น แล้วก็ได้มาอยู่ร่วมกัน คุณพ่อนี่เป็นคนพูดน้อย ไม่ค่อยพูดมาก แต่ถ้าเราทำอะไรผิด ท่านบ่นอยู่ตั้งครึ่งคืน บ่นอยู่นั่นแหละ แต่ไม่เคยทุบเคยตีเลย คุณแม่ก็ไม่เคยทุบตีอะไร แต่ถ้านั่นก็เอามือตบสะโพกสองสามแปะ มันก็ไม่ได้เจ็บอะไร แต่ก็ร้องไห้เหมือนกัน เพราะว่าถูกตี ความจริงมันไม่เจ็บแต่ก็ร้องไห้ตามเรื่องของเด็กอย่างนั้น คราวนี้เมื่อโตขึ้นไปเข้าโรงร่ำโรงเรียน ก็นึกถึงภาพว่า เออท่านให้กำลังใจแก่เราอย่างไรในการไปเรียนหนังสือ คุณยายให้กำลังใจอย่างไร มันเป็นภาพที่ปรากฏออกมาอยู่ตลอดเวลา เรื่องนี้จะเขียนเป็นหนังสือเหมือนกัน คือว่าเขียนเป็นเรื่องเล่าชีวิตเด็ก ชีวิตเด็ก ขนมธรรมเนียมประเพณี สังคมในสมัยนั้น เขามีอะไรบ้าง เขียนเล่าไว้เป็นประวัติศาสตร์ให้คนได้ศึกษา เพราะเรื่องต่างๆ เมื่อสมัยเด็กมันหายไปหมดเวลานี้ เรื่องมันหาย กิจกรรมบางอย่างมันหายไป เช่นว่ากิจกรรมทอผ้านี่ พอถึงหน้า พอทำนาเสร็จเขาก็ทอผ้า ทุกใต้ถุนบ้านมีการทอผ้าไว้นุ่งไว้ห่มไว้ใช้ ทอผ้านุ่งทอผ้าห่ม ผ้าขาวม้า มีการทอกัน แล้วก็มีการทำอะไรบ้างหลายเรื่อง คุณแม่ก็ต้องเป็นแม่งานใหญ่ในการทอผ้า คนสมัยนั้นถ้าเป็นจะไปดูลูกสาวใครนี่ ก็ไปดูใต้ถุนมันก็เจอแล้ว เขาก็นั่งทอผ้าอยู่ แล้วเราไปดูว่าทอผ้าเป็นอย่างไร นิสัยใจคอเป็นอย่างไร แล้วก็ให้ลูกชายแอบมาดูด้วยว่า ชอบใจมั้ย โดยมากมักจะชอบ เพราะคนสมัยก่อนไม่ค่อยจะเลือกกันเท่าใด ถ้าพ่อแม่ชอบก็ชอบ แล้วก็มาขอหมั้นแต่งงานอะไรกัน มันเป็นเรื่องของเก่า ๆ ซึ่งมีอยู่สมัยหกสิบกว่าปีมาแล้ว ก็น่าจะเอามาเขียนไว้เป็นหนังสือเหมือนกัน แต่มันยังไม่ว่างที่จะเขียนนี่สิ ต้องให้มันว่างก่อนแล้วจะเขียนเป็นเรื่องเป็นราว พิมพ์แจกให้ญาติโยมได้อ่านได้ศึกษากันต่อไป
ความสัมพันธ์ทางจิตใจระหว่างลูกกับแม่นี่มันลึกซึ้งมาก ลึกซึ้ง ก็ขอให้เราคิดดูเรื่องประวัติศาสตร์นี่ เมื่อกรุงแตกนี่ กรุงศรีอยุธยาแตกนี่ พวกที่เป็นคนเก่งๆ นี่เขาพยายามฟันฝ่าต่อสู้หนีออกมาได้ เช่น พระเจ้าตากนี่เอาทหารม้าออกจำนวนหนึ่ง บุกแหกกำแพงออกมาได้ หนีพม่ามาได้ หนีเตลิดเปิดเปิงไปโน้น ไปถึงจันทบุรีแน่ะ ไปตั้งซ่องสุมผู้คนอยู่ที่นั่น คุณแม่ไม่รู้อยู่ไหน พลัดพรากจากกัน แล้วก็พอสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ ชื่อนายบุญมาเป็นน้องในหลวงรัชกาลที่หนึ่งนี่ หนีเหมือนกัน หนีออกจากพระนครศรีอยุธยา หนีขึ้นเหนือก่อน หนีขึ้นไป ขึ้นไปทางอ่างทองโน่น แล้วก็วกกลับลงมา จะมาราชบุรี ไอ้ถ้าจะไปทางโน้นมันฝ่าดงพงพีไปไม่สะดวก ก็ต้องลงมาสู่กรุงเทพ แล้วจะไปทางเรือ ไปหาพี่ชายซึ่งเป็นเจ้าเมืองอยู่ราชบุรี เวลาหนีก็ได้เรือลำน้อย ตะนี้กลางคืนมาถึงที่บ้านสีกุก ใครเคยผ่านทางนั้นสีกุกน่ะ มันมีวัด แล้วก็คลอง แม่น้ำมันคดแล้วก็แคบหน่อย พม่าตั้งค่ายอยู่ทั้งสองข้างเลย ในขณะที่หนีนั้น ท่านมีฆ้องแบบพม่าฆ้องกระแต ฆ้องกระแตมาใบหนึ่งแล้วคอยตีม้งๆๆ ม้งๆๆ เรื่อยๆ มา ตีฆ้องมา พวกพม่าก็นึกว่าพวกเดียวกัน ท่านก็ตีฆ้องหนีมาเรื่อยๆ แต่มาถึงสีกุกนี่ ค่ายมันอยู่สองข้าง เดี๋ยวพม่ามันจะตาม ว่าไปไหนก็ลำบาก จะทำยังไง เลยคว่ำเรือเลย คว่ำเรือแล้วเอาหัวไว้ใต้เรือ เรือมันโค้งอย่างนี้ ตรงนี้มันมีอากาศ ท่านก็เอาหัวไว้ใต้เรือนั้น เรือค่อยๆ ลอยไป ลอยไปตามเรื่องตามกระแสน้ำ พม่าก็เห็นนึกว่า ขอนไม้ลอยไป นึกว่าเรือลอยไปก็ปล่อยไป พอไปพ้นบริเวณก็พลิกเรือขึ้น วิดน้ำออก ขึ้นเรือต่อไป แล้วก็มาถึงวัดมหาธาตุนี่ มหาธาตุอยู่ริมน้ำเมื่อสมัยก่อน เดี๋ยวนี้ก็อยู่ริมน้ำ แต่ว่าที่ดินริมน้ำเพื่อนโกงไปหมดแล้ว ท่านก็ขึ้นนั่งเข้าไปในวัด พำนัก ไปพึ่งไปกราบพระ พระก็เลี้ยงดูอย่างดี ให้พักให้นอนกินอาหารการกินสะดวกสบายทุกอย่างพอหายเหนื่อย พอหายเหนื่อยก็ลงเรือต่อ ลงเรือต่อไปราชบุรีไปหาพี่ชาย เมื่อไปพบพี่ชาย พี่ชายถามว่า พระเจ้าตากอยู่ไหนเดี๋ยวนี้ น้องชายว่าได้ข่าวว่าไปอยู่ทางจันทบุรี เอ้าน้องต้องไปหาพระเจ้าตาก เวลาไปหานี่ต้องไปสืบกับคุณแม่ก่อน เพราะว่าพระเจ้าตากนี่ท่านเป็นคนรักคุณแม่มาก ต้องไปสืบกับคุณแม่ของพระเจ้าตาก พบแล้วพาไปด้วย แกก็เที่ยวไปสืบพบคุณแม่นกเอี้ยง ชื่อนกเอี้ยง พอพบแล้วก็พาไปด้วย เดินทางไป ไปจนถึงที่พระเจ้าตากอยู่ แต่ว่าคุณแม่พักอยู่ข้างนอกก่อน เข้าไปแต่คนเดียว เข้าไปถึงพระเจ้าตากก็บ่นขึ้นแน่ะ เออได้พบแกก็สบายใจ พี่ชายแกอยู่โน้นก็คงสะดวกสบายดีนะ แต่ว่าฉันยังไม่สบายใจอยู่เรื่องเดียวน่ะ คือไม่รู้ว่าแม่ไปไหน จะลำบากยากเข็ญอย่างไรก็ไม่รู้ ท่านพูดอย่างนั้น นายบุญมาก็บอก โอ้ ไม่เป็นไรเวลานี้พาคุณแม่มาด้วยแล้ว อ้าวเอาไปทิ้งที่ไหนล่ะ บอกว่าอยู่ที่ข้างนอก ลุกขึ้นทันที ไปหาแม่ ไปถึงก็กราบแสดงความรู้สึกปลื้มปีติในการที่ได้พบคุณแม่ แล้วก็ให้อยู่ให้กินอย่างเรียบร้อย
คนสำคัญ ๆ ของโลกนะ ถ้าเราดู แม้จะเป็นอะไร มักจะมีความรักคุณแม่ รักคุณแม่มาก นี่ท่านก็รักคุณแม่ของท่าน แล้วก็เลี้ยงดูให้สะดวกสบายด้วยประการทั้งปวง ตามหน้าที่ที่ท่านจะเลี้ยงได้ เลยเอามาเล่าให้ฟังว่าท่านเป็นอย่างนั้น คนที่ดีดีนี่เขารักแม่ แต่ว่าคนไม่ดีมันไม่รักทั้งพ่อทั้งแม่ ตัวเองมันก็ยังไม่รัก มันจะไปรักคนอื่นได้อย่างไร คนเราที่จะรักผู้อื่นได้ มันต้องรักตัวก่อน คือรู้คุณค่าของตัว เรียกว่ารักตัว รู้คุณค่าว่าเรานี้เกิดมาทำไม เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร สิ่งที่ดีที่ควรทำคืออะไร มีความสำนึกแล้วก็หมั่นถามตัวเองว่า เรานี้ใครเกิดมา ใครเลี้ยงเรามา ใครให้การศึกษาแก่เรา ใครอุปถัมภ์ค้ำชูเรา ได้ดิบได้ดีมีหน้ามีตาเป็นคนเจริญขึ้นมาได้นี่เพราะใคร คำตอบมีตัวเดียวคือพ่อกับแม่ สองคำ คือเพราะพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ไม่มีเราจะดีได้อย่างไร พ่อแม่มีแต่ไม่อบรมสั่งสอน ไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง เราก็จะดีขึ้นไม่ได้ แต่นี่เราดีเราเจริญนี่ก็เพราะว่า เจ้าประคุณทั้งสอง คือคุณพ่อคุณแม่ แต่ว่าน้ำหนักมันอยู่ที่คุณแม่ เพราะว่าท่านอยู่ใกล้ และคอยดู เป็นหน้าที่ด้วย เป็นหน้าที่ของแม่ที่จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้าว่าลูกทำไม่ดีไม่งาม คุณพ่อก็มักจะดุแม่นะ บอกว่าอะไรไม่ดูแลลูก ไม่สั่งสอนลูก ไม่อบรมลูก อ่าเป็นหน้าที่อยู่ที่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นแม่นี่หน้าที่หนักพอสมควรในการอบรมสั่งสอน เพื่อให้ลูกเป็นคนดี
แล้วเราลองคิดดูว่าเราแต่ละคนนี่สร้างปัญหาให้แก่คุณพ่อคุณแม่ขนาดไหน สร้างปัญหาให้คุณแม่ขนาดไหน ให้ท่านต้องเดือดร้อนต้องกังวลใจต้องมีความทุกข์อย่างไรบ้าง ถ้าเรานึกได้ โอ้ แหมเรานี่ทำความหนักใจให้แก่คุณแม่มากมาย มันต้องเปลี่ยนนิสัย ทำไม่ให้ท่านได้เดือดร้อนได้วุ่นวาย เมื่อวานนี้มีมาสองคน แม่กับลูก มาก็มาทำบุญน่ะ แต่ทำบุญให้พ่อ พ่อก็ยังไม่ตาย ยังอยู่แต่ว่าขาหัก มาไม่ได้ ถามว่าทำไมขาหักล่ะ ลุกขึ้นไล่เตะลูกไล่ตีลูก แล้วก็ตัวล้มลง เลยก็ขาหักไปข้าง ต้องดามเลย ต้องดาม เลยบอกว่าทำไม ลูกก็มาด้วยนะ บอกว่าลูกทำไมต้องให้พ่อต้องไล่ตีอย่างนั้น ต้องไล่ตีอย่างนั้น เราทำอะไรผิด แม่บอกว่า พ่อเขาไม่ชอบลูกไว้ผมยาว เดี๋ยวนี้เด็กๆ ไว้ผมยาวแล้วทำเป็นหางออกไปนี่ ที่ท้ายทอยเห็นไม๊ ทำเป็นหางยาวออกไป เยอะเลยเดี๋ยวนี้ ทำเป็นหางพ่อไม่ชอบเลย ไม่ชอบไอ้หางบนหัวของลูกเลย แล้วก็ว่าลูกบ่อยๆ ลูกก็ไม่ไปตัดสักที แล้ววันนั้นก็เข้ามาบอก ก็โกรธนะ พอเห็นลูกก็โกรธทันที พ่อน่ะมีนิสัยมักโกรธอยู่สักหน่อย เพราะว่าเป็นคนชอบดื่ม ไม่ใช่เรื่องอะไร ก็เลยลุกขึ้นจะไล่ เล่นงานลูก ก็เลยไปล้มลง เลยก็นั่งไป เลยก็บอกว่า เธอนี่ไม่ควรจะขัดขืนพ่อนะ ไม่ควรขัดขืนแม่ เรามันอยู่กับพ่อแม่ พ่อแม่เลี้ยงเรามาช่วยเราทุกอย่าง ยังทำอะไรไม่ได้ก็ทำแต่สิ่งให้ท่านสบายใจ ทำอื่นไม่ได้ก็ทำแต่ที่ให้ท่านสบายใจ พ่อไม่ชอบอะไร แม่ไม่ชอบอะไรเราอย่าไปขัดขืน อย่านึกว่ามันเรื่องของฉัน นึกอย่างนั้นก็ชีวิตเรามันสัมพันธ์กับชีวิตพ่อแม่ ควรจะเอาใจช่วยท่านให้สบายใจ ถ้าเห็นว่าผมรกก็ไปตัดเสียหน่อย ทำไมจะต้องไว้รกๆ อย่างนั้น มันไม่เรียบร้อยรุ่มร่ามรุงรัง แล้วก็ต้องตัดต้องแต่งบ่อย ๆ เพราะมันรก ตัดสั้นๆ เหมือนหลวงพ่อนี่สบายดี ไม่ลำบากอะไร ...... (31.07) เขาก็ยิ้มๆ แล้วก็เทศน์ให้เขาฟังหน่อย อันนี้พ่อกับลูกมันขัดกันอย่างนั้นก็มี
ถ้าเราเคยทำอะไรให้คุณแม่ไม่สบายใจ เคยทำอะไรให้คุณพ่อไม่สบายใจ ก็ควรจะไปกราบขอโทษ ขออะไรกันในเมื่อท่านยังเป็นนี่แหละ อย่าไปขอตอนตายแล้วนะ อย่าไปขอตอนจะเข้าเผาแล้ว ไม่ได้เรื่องอะไรไปขอตอนนั้น มันต้องขอโทษกันแต่ท่านยังเป็นอยู่ แล้วก็คอยระมัดระวังความประพฤติ การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน จะไม่คิดอะไรพูดอะไร ทำอะไร คบกับใคร หรือไปในที่ใดให้ท่านไม่สบายใจ ลูกๆ นี่มักจะทำเรื่องให้พ่อแม่ไม่สบายใจบ่อย ๆ เพราะอะไร เพราะการตามใจตัว ตามใจกิเลสที่มันเกิดขึ้น อยากจะไปเที่ยว อยากจะไปอย่างนั้น อยากจะไปอย่างนี้ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ชอบ แต่ว่าความรักมันล้นเหลือพ่อแม่รักลูกมาก ไม่อยากให้ลูกช้ำใจนี่ แต่ว่าลูกนั้นไม่ได้รักแม่เหมือนพ่อแม่รัก ทำให้พ่อแม่ช้ำใจได้ แต่พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกช้ำใจเกรงจะกระทบกระเทือนก็ไม่พูดไม่ว่า แต่บางทีก็บ่นนิดหน่อย ไม่น่าจะไปอย่างนั้น ไม่น่าจะทำอย่างนี้ พ่อไม่ค่อยชอบเรื่องอย่างนั้น นี่บ่นให้ได้ยินพึมพำให้ได้ยิน แต่ลูกก็เฉยๆ ไม่ค่อยสนใจ นี่เราควรจะรู้สึกตัว ถ้าพ่อแม่พึมพำในเรื่องอะไร ที่มันไม่เหมาะไม่ควร เราควรจะนึกได้ว่า อ๋อ เรานี้กำลังทำบาปกับพ่อแม่ สร้างบ่อนรกไว้ในอกพ่อแม่ เพราะพ่อแม่รักลูกมาก
ถ้าลูกดีแล้วก็สบายใจ เหมือนนั่งอยู่ในวิมานสวรรค์นะ แต่ถ้าลูกไม่ดีพ่อแม่ก็เดือดเนื้อร้อนใจเป็นทุกข์ ทุกข์ไปจนถึงอนาคต กลัวว่าอนาคตมันจะเสีย จะเสียหายแก่วงศ์ตระกูลของเราซึ่งเคยทำดีมา ท่านเป็นทุกข์มากถึงกับนอนไม่หลับก็เลยทีเดียว มีความทุกข์ถึงกับนอนไม่หลับ กินไม่ได้ อันนี้ลูกคนใดทำอย่างนั้นให้พ่อแม่ต้องมีอาการอย่างนั้น เรียกว่าบาปหนักเหลือเกิน บาปหนักบาปหนา ถ้าจะเรียกว่าเป็นการฆ่ากันก็ได้ เป็นการฆ่าพ่อแม่ ไม่ได้เอาดาบฟันคอ ไม่ได้ตัดเนื้อตัดหนัง แต่ว่าฆ่าความสุขของท่าน ไม่ให้ท่านได้มีความสุขใจ แม้มีทางใดนั่งสงบจิตสงบใจ เราทำเรื่องให้ท่านเป็นทุกข์บ่อยๆ อย่างนี้เป็นการไม่สมควรเลย เราเกิดมาเพื่อให้พ่อแม่สบายใจ แต่ถ้าเราทำอย่างนั้นก็เรียกว่าเราเกิดมาเพื่อสร้างปัญหาให้แก่พ่อแม่ ลูกที่เกิดมาแล้วสร้างปัญหาให้แก่พ่อแม่นั่นแหละ คือลูกที่ชั่วร้ายที่สุดในครอบครัว แต่ว่าลูกคนไหนเกิดมาแล้วคอยเอาอกเอาใจคุณพ่อคุณแม่ ไม่สร้างปัญหาไม่สร้างความทุกข์ให้แก่ท่าน นั่นแหละเป็นลูกแก้วของพ่อแม่ เป็นลูกที่พ่อแม่ชื่นใจสบายใจ ถ้ามีแต่ข่าวดี เรียนหนังสือดี ประพฤติดี ไปไหนก็ไปดีๆ มาดีๆ พ่อแม่ก็มีความสบายใจมีความสุข การที่ทำอย่างนั้นเท่ากับกว่าเราให้พรท่านทุกวัน ให้ท่านมีอายุมั่นขวัญยืน มีผิวพรรณผ่องใส มีความสุขมีกำลัง เพราะท่านสบายใจ แต่ถ้าหากว่าเราทำอะไรให้ท่านเดือดเนื้อร้อนใจ ก็เหมือนกับแช่งท่านทุกวัน ทำให้ท่านไม่สบายใจ คนเราถ้าไม่สบายใจ ใจไม่ดีร่างกายก็ไม่ดี แล้วเกิดโรคเกิดภัย อาจจะเป็นโรคหลายๆ อย่าง โรคที่เกิดขึ้นในร่างกายนี้มีหลายโรคที่เกิดจากความไม่สบายใจ
เพราะฉะนั้นลูกไม่ควรทำอะไรให้พ่อแม่ไม่สบายใจ ถ้าใครเคยประพฤติปฏิบัติอยู่บ้าง ในเรื่องที่เป็นปัญหากับพ่อแม่ เลิกไป เลิกเสียที เลิกทำอย่างนั้น เลิกประพฤติอย่างนั้น เพราะเราจะทำให้พ่อแม่ร้อนอกร้อนใจ พ่อแม่ที่มีลูกไม่ดีนี่ไปไหนก็ใจไม่สบาย สมมติว่าไปนั่งที่ไหนเขาอวดว่าลูกฉันดี เรียนหนังสือเก่ง มีความประพฤติเรียบร้อย ใช้เงินใช้ทองก็ไม่ค่อยจะสิ้นเปลืองเท่าใด คนที่ลูกไม่ดีนี่ เป็นทุกข์แล้ว ถอนใจแล้ว เฮ้อ ลูกกูมันแย่ ถอนใจใหญ่แล้วเป็นทุกข์แล้ว เพราะลูกไม่ดี ก็นั่นแหละเรียกว่าเราสร้างความทุกข์ให้แก่ท่าน ทุกครั้งที่ท่านได้เห็นคนอื่นดี ท่านไม่สบายใจ แล้วใครที่เป็นคนทำ คือลูกนั่นน่ะทำให้ท่านไม่สบายใจ ลูกคนนั้นจะเรียกว่าอะไร จะเรียกว่าเป็นลูกอกตัญญู คือไม่รู้คุณคนก็ว่าได้ คนกตัญญูจะไม่ทำอะไรให้ท่านเดือดเนื้อร้อนใจ คอยสังเกตคอยห่วงว่าแม่ชอบอะไร พ่อชอบอะไร ในทางที่ถูกที่ชอบที่ดีที่งามนะ เราก็พยายามทำให้ท่านสบายอกสบายใจ คุณแม่ก็เหมือนกับนั่งอยู่ในวิมานเจ็ดชั้น อยู่ในสวรรค์ เพราะลูกทำให้ ทำให้พ่อแม่สบายใจ ในวันแม่เราควรจะมองดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง แล้วก็ทำกับคุณแม่ของเราที่ยังมีชีวิตอยู่ กับคุณพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่ในทางดีทางงาม เพราะฉะนั้นเขาจึงให้ไปกราบคุณแม่ เอาดอกมะลิไปให้ แต่ให้วันเดียวมันก็ไม่พอ ต้องทำดีทุกวัน ตื่นเช้าต้องไปกราบท่าน ถามอะไรต่ออะไร
เสด็จในกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ท่านปฏิบัติต่อหม่อมแม่ท่านดีเหลือเกิน อ้อ เมื่อเช้าอ่านข่าวหนังสือพิมพ์หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุลสิ้นชีพิตักษัยเมื่อคืนนี้ สิ้นชีพไปแล้ว อายุเก้าสิบหกปี อยู่นาน ท่านผู้นี้เป็นผู้ที่ประพฤติดีประพฤติชอบ ทำสิ่งเป็นประโยชน์แก่พระศาสนาหลายเรื่องหลายอย่าง ท่านก็สิ้นบุญไปในเวลานี้ สิ้นบุญที่ศิริราชแต่เขาเอาศพไปรดน้ำที่วัดเทพศิรินทร์ วัดเทพศิรินทร์ เป็นการสูญเสียคนดีคนหนึ่งของโลกพุทธศาสนา เพราะท่านเป็นนายกพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เป็นคนกว้างขวางในหมู่ชาวพุทธทั่วโลกก็ว่าได้ แต่ท่านทำงานไม่ได้มาหลายปีแล้ว นอน คนแก่ๆ อายุยืนนี่น่าสงสาร นอน ทำอะไรก็ไม่ได้ เมื่อวานนี้ก็ไปแกลงกลับมาพนัสนิคมน่ะ ก็รู้ว่าท่านเจ้าคุณพิมลธรรมชอบอนุจารีย์มหาเถระ ท่านเจ้าคณะจังหวัดท่านป่วยไปนอนอยู่โรงพยาบาลพนัส ก็เลยแวะ แวะไปเยี่ยมท่าน ท่านก็นอน นอนตะแคงมือทำอย่างนี้ นอนตะแคงยกมือไหว้อย่างนี้ คงจะนึกภาวนาอะไรของท่านไปตามเรื่อง แต่ว่าลืมตาอยู่ หลวงพ่อเข้าไปถึงบอกว่า ปัญญานันทะมาเยี่ยมเยียนพระเดชพระคุณ ท่านหัวเราะพูด ไม่ได้ พอบอกอย่างนั้นหัวเราะเฮอะ เฮอะ หัวเราะแบบอย่างนั้นนะ หัวเราะแบบคนป่วยนี่ แล้วเราพูดอะไรอะไร ถ้าเป็นที่ถูกอกถูกใจก็หัวเราะ ท่านก็พลิกตัวได้ นอนหงายได้ พลิกตัวมือพลิกไม้ ขามันอ่อนเดินเหินไม่ค่อยได้ ส่วนอื่นไม่เป็นไร แต่สมองก็ไม่ค่อยดี สมัยก่อนนี้ท่านเป็นนักเขียนนะ โอ้ เขียนกลอนเขียนโคลงเขียนฉันท์นี่ จะเอาอะไร เปล่าเขียนนี่หน่อยครับ เอ้าๆ จดๆๆ เอากระดาษมาเขียนๆๆๆ เดี๋ยวบอกให้เขียน เขียนอย่างดีเลย เขียนได้อย่างดีอย่างเรียบร้อย ก่อนนี้สักสามปี ก่อนได้เลื่อนสมณศักดิ์นี่ อาตมาก็ไปเมืองชลก็แวะเยี่ยมท่านเหมือนกัน ก็คุ้นเคยกัน แวะเยี่ยมท่านยังนั่งได้ลุกได้เดินได้ ยังพูดน้อยแล้ว ก่อนนั้นพูดมาก พอเจอใครพูดจาสนุกดีนะ ท่านนิสัยเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้พูดน้อย นั่งตาลอยน่าสงสาร เลยก็ถามว่าเดี๋ยวนี้เขียนกลอนเขียนโคลงเขียนฉันท์ได้มั้ย โอ้ย ไม่ไหวแล้ว สมองมันไม่เดิน นึกไม่ค่อยออก สงสารท่าน แต่เดี๋ยวนี้ไปนอนอยู่โรงพยาบาล เลยบอกว่า โอ้ ใต้เท้าท่านสร้างตึกหลังนี้ ท่านสร้างเองหาเงินสร้าง เรี่ยไรจากพระในอำเภอนั้นนะ สร้างไว้ดี สองชั้น สบายมีหอฉันสำหรับพระได้ฉัน เลยบอกว่าใต้เท้าสร้างโรงพยาบาลก็เลยได้มานอน ได้มาใช้ มีคนหลายคนสร้างแล้วก็ไม่ได้ใช้ เลยบอกว่ากระผมก็กำลังจะสร้างเหมือนกัน สร้างตึกให้แก่โรงพยาบาลชลประทาน ราคางบประมาณก็ร้อยยี่สิบห้าล้านบาท ท่านก็ยิ้ม ชอบหัวเราะเหมือนกัน หัวเราะแล้วบอกว่าเงินมันยังไม่พอ แต่ไม่เป็นไรมีคนให้อยู่เรื่อยๆ ท่านก็หัวเราะ หัวเราะดังๆ นะเวลาหัวเราะ คนป่วยอย่างนี้มีสองอย่าง หัวเราะกับร้องไห้ หัวเราะนี่ยังดีนะ ทำให้คนไปเยี่ยมพอสบายใจ แต่บางคนนั่งร้องไห้ พอเห็นหน้าร้องแล้ว ร้องแล้วเงียบไป พอจะพูดว่าโยมต้องพิจารณา เอาอีกแล้วร้องอีกแล้ว เลยไม่ต้องพูดอะไร จะสอนธรรมะธัมโมก็สอนไม่ได้ ร้องไห้ตลอดเวลา เคยไปเยี่ยม เป็นยังไงโรคอย่างนี้ คือไม่สบายใจพูดก็ไม่ได้ ลุกขึ้นก็ไม่ได้ คนมันเคยว่องไวทำงานทำการเป็นนักธุรกิจ เจ้าของกิจการค้าขาย ทำอะไรไม่ได้ก็เลยร้องไห้ดีกว่า เลยก็ร้อง นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสาร คนประเภทอย่างนี้ ท่านหญิงท่านก็นอน ประทับนอนอยู่กับที่ไม่ไปไหน แต่ยังพูดได้คุยได้พอสมควร แต่วาระสุดท้ายก็มาถึง แล้วท่านก็เสด็จสิ้นชีพิตักษัย หม่อมเจ้าเขาเรียกว่า สิ้นชีพิตักษัย หมายความว่าสิ้นชีวิตนั่นเอง แปลว่าหมดเรื่องไปตอนหนึ่ง คนเราเกิดมาแล้วได้ทำประโยชน์ ตายเมื่อใดก็ไม่น่าเสียใจ
แล้วก็นึกในใจว่า เออ เราให้พรคนอื่นอายุยืนนี่มันไม่ไหว ไม่อยากให้พรอายุยืนนะ สงสารโยมอายุยืนๆ นี่มันลำบาก ลุกขึ้นก็ไม่ได้ กินก็ไม่ได้ โอ้ยลำบาก ทีนี้ถ้าให้พรอาตมาไม่ให้แล้ว อายุมั่นขวัญยืนไม่ให้แล้ว น่าสงสารคนแบบนั้น เลยบอกให้พรอย่างเดียว ขอให้โยมมีสุขภาพอนามัยสมบูรณ์พอแล้ว เอาเท่านั้นนะโยม พอใจ สุขภาพอนามัยสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ได้ เรื่องอื่นอย่าเอาเลย มันยุ่ง อายุยืนนี่ไม่ไหวนะ ไปเยี่ยมคนอายุยืนทีไรแล้วสงสาร ไม่รู้จักตายสักที นอนอยู่นั่นแหละ แล้วมันไม่ค่อยตายซะด้วยนะ เก้าสิบหกแล้วยังไม่ไป ไปพบโยมคนหนึ่ง เอ ไม่ได้ไปเยี่ยมนานแล้วยังอยู่หรือเปล่าไม่รู้ พอไปเจอท่านก็ถามว่า เออ ดิฉันนี่จะตายเมื่อไหร่เจ้าคะ บอกว่า โยมไม่ต้องคิด มันตายเองน่ะ ถึงเวลามันก็ตาย เฮ้อ ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม บ่น ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ก็อยู่ให้ลูกหลานมันพึ่งไง โยมยังมีสตางค์ให้ลูกหลานใช้ เขาไม่อยากให้โยมตาย เขาอยากให้โยมอยู่ต่อไป ก็ยังมีเงินให้ลูกให้หลาน แกก็เอ้อ อยู่ไปอย่างนั้นแหละ ก็พูดให้ฟังให้พอสบายใจ เป็นอย่างนี้ ชีวิตคนเรามันก็เป็นอย่างนั้น คนเห็นคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่าแก่ๆ นี่ก็น่าสงสาร น่าเอ็นดูพอสมควร แต่ว่าจะทำยังไง มันไม่ตายนี่ จะทำยังไง มันก็ต้องอยู่ต่อไป นี่เรื่องคุณแม่ คุณพ่อ
แต่ว่าแม่ที่สำคัญที่สุดน่ะ คือคนเรามีแม่สองคนสามคนนะ แม่เกิด แม่เกิดนี่เป็นแม่สำคัญ แม่เกิดชีวิตเรามา แล้วก็แม่ที่เลี้ยงเรามา คือบางคนนั้นแม่ที่เกิดตายไป แต่มีแม่เลี้ยงให้เราสบาย เลี้ยงอย่างดี เอาใจใส่ ให้เจริญด้วยการศึกษาอะไรเรียบร้อย คนที่ไม่มีพ่อแม่ แล้วคนหนึ่งเอามาเลี้ยงนะ ลูกความจริงไม่มีใครบอก แต่ลูกรู้เองน่ะ คนนั้นพูด คนนี้ก็พูด มันก็ค่อยๆ รู้ ไอ้คนพูดมันไม่ค่อยคิดด้วย ก็เห็นไม่ใช่ลูกเขาน่ะ ไม่ใช่ลูกคุณนายขอเขามาเลี้ยง พูดทำไมเรื่องนั้นให้เด็กมันได้ยินแล้วมันก็เกิดปมด้อย ว่าเราไม่ใช่ลูกของท่าน ไม่ใช่สายโลหิตของท่าน แต่ความจริงเขาเลี้ยงอย่างดี บางทีเลี้ยงดีกว่าลูกของตัวด้วยซ้ำไป เจริญด้วยการศึกษากว่าลูกของตัวเสียอีก ก็เด็กมันคิดได้มันก็เรียนก้าวหน้า นี่เรียกว่า แม่เลี้ยงพ่อเลี้ยง ในชีวิตของเรา แม่เกิดพ่อเกิด แม่เลี้ยงพ่อเลี้ยงก็เป็นคนสำคัญที่เราควรจะนึกถึงเหมือนกัน คนบางคนมีสภาพอย่างนั้น ก็ควรนึกถึง ว่าถ้าไม่มีคนสองคนนี้เลี้ยงเรา เราจะอยู่อย่างไร เราเจริญในชีวิตได้อย่างไร ก็ควรจะปฏิบัติตนต่อท่านทั้งสองนั้น เหมือนกับเป็นพ่อแม่บังเกิดเกล้า ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่าน แต่โดยมากคิดไม่ได้ มันไม่ได้เข้าวัดฟังธรรม มีเด็กคนหนึ่งทางปักษ์ใต้ พ่อนี่เป็นมหา เรียนหนังสือพร้อมๆ กัน แต่อายุแก่กว่า ทีหลังก็สึกไปมีครอบครัว ไม่มีลูก ก็เลยเอาลูกคนอิ่นมาเลี้ยง เอามาตั้งแต่แบเบาะ เลี้ยงตั้งแต่แบเบาะ จนกระทั่งโตขึ้น จบมัธยมก็อยากจะให้เรียนต่ออาชีวะ มันไม่อยากเรียน ท่านก็นั่งพูดให้มันฟังนะ พูดๆ มันโกรธขึ้นมาบอกพ่ออย่าพูดมากเลย ผมรู้ว่าพ่อนี่ไม่ใช่พ่อผม แหม พูดออกมาอย่างนั้น คุณมหาที่เป็นพ่อนี่น้ำตาไหล รู้สึกว่าแหมทำไมพูดอย่างนั้น เลยบอกว่าจริงอยู่ลูก ไม่ได้ให้ลูกเกิด แต่ว่าพ่อเลี้ยงลูกมาเหมือนลูก รักเหมือนลูก ให้ศึกษาเล่าเรียน ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทรัพย์สมบัตินี่ก็จะเป็นของลูกเมื่อพ่อตายแล้ว มันก็พึมพำ ๆ โกรธขึ้นมาคว้ามีดมาจะฟันพ่อน่ะ แต่ว่าหลานของพ่อนั่งอยู่ตรงนั้น พอไอ้นั่นจับมีดขึ้นมาจ้วงฟัน ไอ้หลานมันฟันคอเลย ฟันคอลูก ก็ลูกบุญธรรมน่ะตาย ตายก็ลูกกับหลานก็ไปโรงพักนะ ไปรายงานตัวว่า ได้ฆ่าเด็กตายไปแล้ว เขาก็ไม่ว่า ให้ประกันกลับบ้าน เขามาบอกตรงไปตรงมา คนเขารู้ว่าเป็นคนเรียบร้อยอยู่ในศีลในธรรม เด็กคนนั้นก็ถูกลงโทษเหมือนกัน ลงโทษนิดหน่อย ตัดสินขังสองสามปี แต่เข้าไปอยู่ได้ปีเดียวก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ออกไปเรียนหนังสือต่อไป คือความเข้าใจผิด คิดไม่ถูกต้อง เราไม่ควรจะคิดอย่างนั้น ควรคิดว่า นี่แหละเจ้าบุญนายคุณของเรา เราได้มาอาศัยร่มไม้ชายคาก็เป็นพ่อแม่ของเรา
ตะนี้แม่ที่สำคัญที่สุดน่ะ คืออะไร ยอดแม่ ยอดแม่เรียกว่าไม่ใช่แม่ของคน แต่แม่ของสรรพสิ่งทั้งหลาย แม่ของธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างก็ว่าได้ แม่นั้นก็คือธรรมะนั่นเอง จึงมีการพูดว่าพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นพี่เลี้ยงของเรา ที่เราจะต้องเคารพเชิดชูบูชา ตัวแม่ใหญ่แม่จริงนั้นคือตัวธรรมะนั่นเอง คุณพ่อคุณแม่เราที่เป็นพ่อแม่เราได้เรียบร้อยนี่เพราะอะไร เพราะท่านมีธรรมะเป็นหลักครองใจ ท่านมีคุณธรรมของความเป็นพ่อแม่ อย่างน้อยก็มีธรรมะสี่ประการ คือ มีเมตตา ปรารถนาความสุขความเจริญแก่ลูก กรุณา ทนไม่ได้เมื่อเห็นลูกได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนต้องเข้าไปช่วยก่อนใครๆ มุทิตา ยินดีเมื่อลูกได้ดิบได้ดี มั่งมีศรีสุขมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ในการงาน อุเบกขา ยังทำอะไรไม่ได้แต่ดู จ้องดู คุณพ่อคุณแม่นี่ก็คอยจ้องดู คอยฟังข่าว ถ้าลูกไปอยู่ที่ไกล คอยฟังข่าว ถ้าสมมติว่าลูกอยู่กรุงเทพ เห็นใครมากรุงเทพกลับไป ก็เอ้อพบลูกชายฉันไหม เขาอยู่อย่างไร เขาสบายดีไหม นี่แหละลักษณะของพ่อแม่ มันเป็นอย่างนี้ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นคุณธรรมสำคัญ ที่เป็นพื้นฐานในจิตใจ ถ้าไม่มีธรรมะสี่ประการนี้แล้วเป็นแม่เป็นพ่อไม่ได้ เป็นผู้ให้เกิด เกิดแล้วเอาไปทิ้งเสียเลย กูไม่เลี้ยงมึงแล้ว พ่อมันไม่ดี ก็โทษพ่อ เพราะว่าพ่อมันไม่ยอมรับเกิดมาทำไม เลี้ยงไว้ทำไมก็ลำบากใจ คนที่มีลูกแล้วพ่อมันไม่ยอมรับนี่นอนเป็นทุกข์อยู่นะ เหมือนแม่อรนี่แกคงจะเป็นทุกข์อยู่เวลานี้ เมื่อพ่อมันไม่รับ ก็เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา ไอ้พ่อก็เป็นทุกข์เหมือนกันว่า กูทำเขาแล้วก็ลำบากอย่างนี้ มันยุ่ง ยุ่งทุกฝ่าย มันขาดธรรมะแล้วมันก็ยุ่งนะโยม อันนี้ถ้าว่าพ่อแม่มีธรรมะแล้วก็สบาย
ธรรมะเป็นแม่ของลูกเป็นแม่คุ้มครองลูก เป็นแม่รักษาลูก เป็นแม่ที่เป็นต้นตอของสรรพสิ่งทั้งหลายที่ทำให้เรามีความสุข ความสบาย เราจึงควรน้อมจิตระลึกถึงพระธรรมไว้ ทุกแง่ทุกมุม ที่เราเอามาใช้อยู่ในชีวิตประจำวันนี่ เราใช้ธรรมะใดก็ธรรมะนั้นเป็นแม่ของเรา ใช้สติ ใช้ปัญญา ใช้หิริ ความละอายแก่บาป โอปตัปปะ กลัวบาป ใช้การบังคับตัวเอง ใช้ความอดทน ใช้ความเสียสละ ใช้สมาธิ ใช้ปัญญา ไม่ว่าธรรมะชนิดใด ธรรมะนั้นๆ ชื่อว่าเป็นแม่ของเรา เป็นแม่ที่จะไม่ทิ้งเรา อยู่ใกล้เรา แต่บางทีเราเผลอไม่เอามาใช้ ไม่นึกถึงคุณแม่ เวลาเป็นทุกข์ก็ไม่นึกถึงคุณแม่ เวลาเดือดเนื้อร้อนใจก็ไม่นึกถึงคุณแม่ แต่ไปนึกถึงสิ่งอื่นไปเสีย ไปนึกถึงเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องพิธีรีตรอง เรื่องอะไรต่ออะไรมันก็แก้ไม่ได้ แต่ถ้าเรามีความทุกข์มีความกลุ้มอกกลุ้มใจ เรานึกถึงคุณแม่ยกมือโอ้คุณแม่ช่วยลูกนะ คุณแม่คือพระธรรมนั่นเอง แต่ว่าพระธรรมจะวิ่งมาช่วยก็ไม่ได้ เราต้องเข้าไปหาพระธรรม น้อมจิตเข้าไปหาพระธรรม แล้วก็หยิบพระธรรมนั้นมาใส่ไว้ในใจของเรา มาปฏิบัติ มาขัดมาเกลา มาฟูมฟักทะนุถนอมจิตใจของเราให้อยู่ด้วยธรรมะ ธรรมะก็จะรักษาเราทันที จึงมีพระพุทธภาษิตเขียนว่า
ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
ไอ้คำหลังนั้นต้องเน้นหนักหน่อย ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ถ้าว่าไม่ประพฤติธรรม ธรรมะรักษาไม่ได้ คุ้มครองไม่ได้เหมือนเราไม่กางร่ม ร่มจะกางให้เราเย็นได้อย่างไร กันร้อนก็ไม่ได้กันฝนก็ไม่ได้ ร่มจะใช้ได้เมื่อเรากางออกไป เมื่อเช้านี้คนเอาร่มมาให้ ถวายเก้าอัน บอกว่าวันก่อนเห็นญาติโยมนั่งร้อน พระร้อนเลยซื้อร่มมาถวายเก้าอัน ลานไผ่ตอนนี้น่ะมันแดดร้อนหน่อย เพราะต้นไม้เก่ามันตาย อายุมันสามสิบปีแล้วมันก็ตายมั่งนะ ตาย ได้บังสุกุลไปแล้ว ตานี้ก็ไปซื้อต้นไม้ใหม่มาปลูก ปลูกต้นประดู่ ต่อไปมันก็จะเป็นร่มเงาดี แต่ตอนนี้มันยังไม่ออกใบมากก็ทนไปหน่อย โยมนั่งที่ลานไผ่ต้องทนหน่อย ทนร้อนนึกว่าเรานั่งเหมือนชาวนาทำนา ถูกแดดถูกฝน ถือว่าใครทำงานกลางแจ้งก็ได้กระทบกระเทือนจากดินฟ้าอากาศ เราก็ทนหน่อย แต่วันนี้มีร่มมาให้กางให้ โยมก็นั่งในร่มได้สบายๆ เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ธรรมะก็เป็นร่มคันใหญ่ ธรรมะคุ้มครองโลก รักษาโลกไว้ตลอดเวลา ไม่ได้ทิ้งไปไหน พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบสิ่งนี้ แล้วก็นำสิ่งนี้มาบอกแก่ชาวโลกว่า นี่แหละคือมารดาของเธอทั้งหลาย เธอต้องเอาใจใส่ดูแลมารดาของเธอ เอามารดาของเธอไปใส่ไว้ในจิตใจของเธอ แล้วเธอจะปลอดภัย จะไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะคุณแม่พระธรรมช่วยเหลือเรา ตะนี้เราก็ต้องมองดูตัวเราบ่อยๆ ว่า เรามีแม่ ธรรมะเป็นแม่อยู่ในใจเราหรือไม่ เมื่อใดเราเผลอเราประมาทขาดธรรมะ เราก็ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน
ปมาโท มจฺจุโน ปทํ ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย
อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ความไม่ประมาทเป็นทางไม่ตาย
ถ้าเราประมาทแปลว่าเราลืมไป ลืมนึกถึงคุณแม่พระธรรม ไม่ได้เอาธรรมะมาปฏิบัติ ไปไหนไม่เชิญคุณแม่ไปด้วย ทำอะไรไม่ให้คุณแม่มาหุ้นกับเราด้วย มันก็เดือดร้อน มันมีปัญหาทำอะไรแล้วมีความทุกข์มีความเดือดร้อน เพราะไม่เอาคุณแม่มาเข้าหุ้น อันนี้ต้องเอาคุณแม่มาเข้าหุ้นกับเราด้วย หุ้นกับกิจการส่วนนั้น เอามาเป็นที่ปรึกษา เป็นพี่เลี้ยง เป็นผู้แนะนำเราทุกสิ่งทุกประการ ก็เรียกว่าท่านมาเข้าหุ้นกับเรา เราทำอะไรท่านก็คอยควบคุมดูแล แล้วเราก็ต้องนึกถึงท่านบ่อยๆ นึกถึงท่านเวลาไปไหน เวลาทำอะไร เวลาคิดอะไร จะคบหาสมาคมกับใคร เราก็ต้องนึกถึงตัวธรรมะ ว่าควรใช้ธรรมะข้อไหน ใช้คุณแม่บทใด เอามาใช้นี่มันต้องมีการวินิจฉัย ก็เรียกว่า ธรรมวิจัย อยู่ในโพชฌงค์ของพระพุทธเจ้า มีสติ ระลึกได้ จะระลึกถึงคุณแม่ได้ พอนึกถึงคุณแม่ได้ เออจะเอาคุณแม่บทไหนมาใช้ จะเอาบทอดทนมาใช้ เอาบทให้อภัยมาใช้ เอาบทขันติมาใช้ เอาบทละอายบาปกลัวบาปมาใช้ หรือเอาบทเมตตามาใช้ มันต้องดูต้องเลือกมาใช้ให้เหมาะแก่เรื่อง แก่เหตุการณ์
ถ้าเราได้เลือกบทพระธรรมมาใช้ให้เหมาะแก่เหตุการณ์ พระธรรมก็คุ้มครองทันที รักษาเราทันที เพียงแต่เรานึกถึงธรรมะ พระธรรมก็ยื่นมือมาคุ้มครองปกป้องเราแล้ว ไม่ให้ใจเราตกต่ำ ไม่ให้เกิดความเสียหาย เราจึงต้องนึกถึงไว้ทุกวันทุกเวลา โดยเฉพาะขับรถหน้าฝน ต้องเอาพระธรรมไปด้วย บอกตัวเองว่าหน้าฝนถนนมันลื่น ถ้าไม่ระวังอาจจะไถลลงไปก็ได้ ขับด้วยความระมัดระวัง มีสติมีปัญญาจับพวงมาลัย ตาดูไปข้างหน้าก็คอยดูไว้ ถ้าเผื่อว่ากระจกข้างมี ก็ต้องดูข้างหลังบ้างจะหยุดจะอะไรก็ดูๆ ไป มีสติมีปัญญากำกับการกระทำ ไม่เดือดร้อนเพราะธรรมะคือแม่จะรักษาเราคุ้มครองเรา เมื่อเรานึกถึงแม่คือพระธรรม พระธรรมก็จะมาช่วยเราทันที ดังแสดงมาในวันนี้ก็พอสมควรแก่เวลา
- ปาฐกถาธรรม ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๓