แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ต่อนี้ไปขอให้ทุกคนอยู่ในอาการสงบตั้งอกตั้งใจ ฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา วันนี้จะพูดเรื่องข้อคิดเห็นต่างๆที่ยังแสดงว่าไม่รู้ไม่เข้าใจ เมื่อเช้านี้มีคนตัดหนังสือพิมพ์มาให้อ่าน หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ เขาเขียนตัวโตหัวข้อว่ากระทรวงเกษตรทำพิลึก ให้ท่านรัฐมนตรีไหว้พระภูมิเจ้าที่ตอนเช้า เสร็จแล้วก็เขียนในเรื่องว่าในการที่ท่าน ชวน หลีกภัย รัฐมนตรีไปรับงานที่กระทรวงเกษตรจากพล ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งได้ไปเป็นรัฐมนตรี ไปเป็นรองนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ในกระทรวงซึ่งเป็นเจ้าพิธี ได้ทำพิธีบอกท่านรัฐมนตรีว่าให้ไปตอนเช้า ไปเซ่นไหว้พระภูมิ เจ้าที่ เสียก่อน แล้วเวลา ๑๐.๐๐ น.จึงจะไปรับงาน ท่านรมต.บอกว่าไปเวลาเดียวกันทำไมจะต้องทำสองเวลามันเสียเวลา เขาบอกว่าตอนบ่ายนี้เจ้าที่ไม่ได้อยู่ในศาล ไม่รู้ไปไหน เจ้าที่ไม่อยู่ศาลออกไปไหนก็ไม่รู้ มันใกล้ๆกับกรมๆหนึ่งในกระทรวงศึกษาธิการ ถ้าไปตอนบ่ายไม่ค่อยพบผู้หลักผู้ใหญ่ ออกไปธุระเหมือนกับพระภูมิเจ้าที่เหมือนกัน พวกนั้นก็เลยทำงานตอนเช้าเสร็จหมดเวลาแปดโมงไปเซ่นไหว้พระภูมิเจ้าที่ แล้วเวลาเก้าโมงก็ไปรับงานจากพล.ต. สนั่น เรื่องที่ต้องทำอย่างนี้ก็เพราะว่าความถือที่ผิดนั่นเอง เรียกว่ายึดถือไว้ผิดไปติดอยู่กับพระภูมิเจ้าที่ พระภูมิเจ้าที่จะช่วยอะไรได้ ถ้าช่วยได้มันก็ไม่มีการคอร์รัปชั่นกันไม่กินสินบนกัน ไม่ต้องมีเรื่องมีปัญหา ถ้าพระภูมิช่วยได้ แต่นี่ช่วยไม่ได้ ทีนี้ที่กระทรวงมหาดไทย นายพลตำรวจที่ย้ายไปเป็นรัฐมนตรี ก่อนจะไปเข้าห้องนั้นๆ เป็นที่นั่งของคนที่ออกไป นายสันติ วิชัยรัตนะที่ถูกออกไปนั้น แกกลัวว่าห้องนั้นมันจะซวยเลยหาพระไปทำพิธีรดน้ำมนต์แล้วก็นิมนต์หลวงพ่อองค์หนึ่งไปนั่งที่เก้าอี้นั้นก่อน ความจริงห้องนั้นมันไม่ดีไม่ชั่ว ห้องที่ทำงานนั้นมันไม่ซวยหรือไม่เจริญอะไร มันไม่ได้อยู่ที่ห้อง ความชั่วไม่ได้อยู่ที่ห้อง แต่มันอยู่ที่คน แล้วไปทำโทษกับห้องทำไม มันควรจะระวังตัวเราเองมากกว่า อันนั้นก็คือว่าถือผิดๆนั่นเอง รับความเชื่อผิดมาไว้ในใจ เป็นความเชื่อแบบไสยศาสตร์ไม่ใช่ความเชื่อตามพุทธศาสนา คนที่จะไปบริหารบ้านเมืองยังมีความเชื่อเหลวไหลอยู่ในใจอย่างนี้ จะพาบ้านพาเมืองไปได้อย่างไร เรื่องมีเรื่องขำจะเล่าให้ฟังว่า คุณจรูญ โลกะจริณ นี่แกเป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทย เป็นเจ้าเมือง ย้ายไปอยู่สกลนคร พอไปถึงสกลนคร เจ้าเมืองเก่าชื่อนายโบว์แดง จันทร์เกษม มาพูดแบบเพื่อนว่านี่แกมาอยู่เมืองนี้ไหว้เจ้าที่เจ้าทางเสียบ้างนะ การทำงานจะได้เรียบร้อย นายจรูญบอกเอ้อกูจะไหว้ เลยไปสั่งเจ้าหน้าที่ว่าพรุ่งนี้เตรียมธูปเทียนไว้ กูจะไปไหว้เจ้าที่เจ้าทาง พวกนั้นจุดธูปให้ เรียกข้าราชการมาทั้งหมดไปยืนที่เสาธงหน้าศาลากลางพอจุดธูปเสร็จแล้วแกก็ประกาศ “ข้าพเจ้าชื่อจรูญ โลกะจริณ ได้รับพระบรมราชโองการจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้มาปกครองเมืองสกลนคร ข้าพเจ้ามีอำนาจตามกฏหมาย ผีสางเทวดาทั้งหลายอย่ามายุ่งกับข้า กลับไปอยู่ที่ภูพานก็แล้วกัน ถ้ามายุ่งกับข้าแล้วจะเกิดเรื่องกัน” แล้วพวกนั้นตกใจ พวกข้าราชการขวัญหนีดีฝ่อกันเป็นการใหญ่บอกโอ้ยเจ้าเมืองอะไรพูดอย่างนี้ นั่นมันเจ้าเมืองปัญญาชนแต่ข้าราชการมันพวกปัญญาอ่อน พอเห็นเจ้าเมืองมีปัญญาพูดออกไปก็ตกใจ คนปัญญาอ่อนก็ตกใจ นี่เป็นเรื่องเรียกว่าถือไม่ถูกต้อง ไม่จำเป็นจะต้องไปไหว้เจ้าที่เจ้าทางอย่างนั้น ที่เขาบอกว่าให้ไปไหว้เจ้าที่หมายความว่าไปพบคนสำคัญในท้องถิ่นนั้น เพื่อผูกมิตรผูกไมตรีกันไว้ เช่นเราจะไปไหนก็ต้องเข้าใกล้ผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ใช่ไปหาผีหาเทวดา เพราะผีกับเทวดาช่วยเราไม่ได้แต่ว่าคนที่มีหูมีตามีจมูกมีปากยังพูดได้ ก็พอจะช่วยกันได้ เขาสอนให้ทำอย่างนั้นไม่ใช่ไปหาเจ้าที่เจ้าทางอย่างนั้น แต่ว่าถือตามกันมาอย่างนั้น
ทุกกระทรวงทบวงกรมมีพระภูมิเจ้าที่ ใครจะไปนั่งกระทรวงนั้นต้องไปไหว้ก่อนไหว้เพื่อเอาใจคนปัญญาอ่อนเท่านั้นเอง ไม่เห็นมีรัฐมนตรีคนไหนที่จะใจแข็งแล้วบอกว่าฉันไม่ต้องไหว้เจ้าที่ เพราะฉันมีสิ่งดีกว่าเจ้าที่อยู่ในใจของฉันแล้วคือธรรมะของพระพุทธเจ้า ฉันยึดธรรมะเป็นหลัก ฉันจะไม่คิดเรื่องชั่ว ฉันจะไม่พูดเรื่องชั่ว ไม่ทำเรื่องชั่ว ไม่คบคนชั่วๆไว้เป็นที่ปรึกษาในหน้าที่การงาน แล้วก็ไม่ไปสู่สถานที่ชั่วๆ ถ้าพูดอย่างนั้นข้าราชการก็จะฉลาดขึ้นบ้าง แต่นี่ไปทำให้ข้าราชการที่โง่ก็โง่อยู่อย่างเดิม ปัญญาอ่อนก็อ่อนอยู่ตามเดิม ไม่มีอะไรดีขึ้น แต่บางกระทรวงนั้นเขามีรูปอนุสาวรีย์ เช่นกระทรวงมหาดไทยมีรูปเสด็จในกรมพระยาดำรงค์ราชานุภาพ นั่นแหละควรเข้าไปไหว้แต่ว่าก็ไหว้อย่างนั้น เอาของไปเซ่นไหว้ ไปไหว้เหมือนกับไปไหว้ผี สมเด็จกรมพระยาดำรงค์ท่านไม่ใช่ผี ท่านเป็นคน เราไปไหว้ไม่ต้องไปไหว้อย่างเซ่นไหว้ ถ้าไปเซ่นไหว้เหมือนกับไหว้ผีไป จิตใจมันก็ติดอยู่กับผีเป็นลูก (ติดผี) ต่อไป ไปไหว้ตรงนั้นแล้วอธิษฐานใจดังๆว่า ข้าพเจ้ามานั่งทำงานที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นกระทรวงที่เสด็จในกรมเคยนั่งบริหารงานมานานปี และทำประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมืองมากหลายในกระทรวงนี้ ข้าพเจ้าระลึกถึงคุณงามความดีของพระองค์ท่าน จึงมากราบไหว้ระลึกถึงพระคุณของพระองค์ท่าน แล้วขออัญเชิญวิญญานคือความงามความดีของพระองค์ท่านมาใส่ไว้ในใจของข้าพเจ้า ขอให้ความงามความดีของพระองค์มาสิงสถิตอยู่ในใจข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ เป็นคนที่บังคับตัวเองเป็นคนที่ความอดทนหนักแน่น เป็นคนเสียสละ ไม่กินไม่โกงไม่คอร์รัปชั่น จะทำงานอย่างตรงไปตรงมาและให้เจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่มายืนอยู่นี้ จงถ่ายทอดวิญญาณของเสด็จในกรมมาไว้ในจิตใจทั่วกัน
เรียกว่าเดินตามรอยเท้าของผู้ที่เดินมาก่อน มันก็มีความสุขมีความเจริญ แต่นี้ไปเซ่นไหว้ตามพิธีไสยศาสตร์ ไม่ใช่แบบพุทธศาสตร์ เราเป็นพุทธบริษัทไม่ควรจะไปเซ่นไหว้อย่างนั้น แต่ควรไหว้ให้มันถูกทางให้ได้เรื่อง ที่กระทรวงการสาธารณสุขก็มีรูปเหมือนกัน รูปกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ท่านเคยเป็นเจ้าหน้าที่และเป็นหัวหน้าในกระทรวงนั้น ท่านริเริ่มงานนี้เพราะเรียนมาทางนั้น เขาก็ทำรูปไว้เป็นที่ระลึก ที่กระทรวงยุติธรรมก็มีรูปกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งเป็นพระบิดาแห่งกฏหมายไทย ใครไปเป็นก็ต้องไปไหว้ไปบูชา แล้วกระทรวงอื่นก็มีกระทรวงพาณิชย์ก็มีรูปกรมจันทบุรีนฤนาท ก็ท่านเป็นผู้ก่อตั้งกระทรวงนี้ ที่การรถไฟก็มีรูปกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ก็ทำไว้ทั้งนั้น ท่านเหล่านั้นเป็นแบบอย่างในทางชีวิต ท่านเหล่านั้นสมัยก่อนนี้เขาไม่รู้จักคำว่าคอร์รัปชั่น คอร์รัปชั่นมันเกิดในสงครามเอเชียบูรพาแล้วเป็นโรคเรื้อรังติดต่อมาจนกระทั่งบัดนี้ แล้วก็ยังใช้กันอยู่ทั่วๆไป ทีนี้ถ้าเราไปกราบไหว้สิ่งเหล่านั้นก็กราบไหว้เพื่อจะถ่ายทอดความงามความดีจากพระองค์ท่านมาใส่ไว้ในใจของเรา ประพฤติตนตามแบบอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอน พระพุทธเจ้าสอนว่าจงเดินตามทางที่ผู้ใหญ่เดินแล้ว ผู้ใหญ่ในที่นี้หมายถึงผู้ประพฤติธรรมมีคุณงามความดีประจำจิตใจท่านเดินในทางที่ถูกที่ชอบ เราก็เดินในทางนั้นอันระลึกถึงคุณงามความดีของท่านเหล่านั้นแล้วเอามาใส่ไว้ในใจของเรา อย่างนั้นจึงจะเป็นการถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้กระทำอย่างนั้น ความจริงตามกระทรวงทบวงกรมต่างๆนี่ควรจะปฏิวัติได้แล้ว คือ แทนที่จะทำศาลพระภูมิไว้ ควรทำที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ที่หน้ากระทรวงแหละไว้สักองค์หนึ่ง เหมือนสมัยหนึ่งกระทรวงศึกษาธิการสั่งโรงเรียนต่างๆให้เอาพระพุทธรูปไปวางไว้ในโรงเรียน พอไปถึงจังหวัดสตูลก็เกิดเรื่องไปกันใหญ่โตเลยทีเดียว เพราะครูเอาพระพุทธรูปไป ทีนี้พวกนักเรียนอิสลามไม่ใช่นักเรียน คนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในนั้นมันต้องการเอาตำแหน่งครูใหญ่ให้กับเพื่อนที่เป็นอิสลาม มันเลยเดินขบวนขับไล่ครูไทยที่นับถือพุทธว่าให้ออกไปจากโรงเรียน เพราะเอาพระพุทธรูปมาไว้ในโรงเรียน อันนี้ก็เกิดเรื่องเกิดมี เกิดเสียหายกัน แต่ผลที่สุดก็แก้กันไปได้เพราะไม่รู้ว่ากาลเทศะ พวกอิสลามเขาไม่ไหว้รูปเคารพไม่ว่ารูปใดๆ แต่ว่าตัวไม่ไหว้ก็ควรเคารพสิทธิของผู้อื่น คนที่จะไหว้มันมีไม่ควรจะไปรังเกียจรังแกเขา คนงานไทยที่ประเทศซาอุไปตะวันออกกลาง ถ้ามีพระพุทธรูปห้อยคอ ผ่านด่านเข้าเมืองมันก็ทิ้งหมด ทิ้งกลางทะเลทรายหมดไม่ให้เอาเข้าไปอย่างนี้ก็เรียกว่าไม่เคารพสิทธิมนุษยชน เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นสิ่งของที่เขาเคารพนับถือ เขาก็เอาไปเป็นเรื่องของเขา แต่เขาทำอย่างนั้นเพราะบ้านเมืองเขาไม่ให้มีสิ่งเหล่านั้นขัดต่อหลักศาสนาของเขา ความจริงศาสนาใดๆก็ไม่มีรูปเคารพเหมือนกัน
เช่น พุทธศาสนาเรานี่ก็ไม่มีรูปเคารพพระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติไว้ว่าเมื่อพระองค์นิพพานไปแล้วให้ทำรูปไว้กราบไหว้บูชาสักการะ แต่ว่ามันเกิดทีหลัง เมื่อพุทธศาสนา พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วราว ๗๐๐ ปีจึงเกิดรูปเคารพขึ้น การที่เกิดรูปเคารพขึ้นก็เพราะว่าชนชาติคริสต์ อเลกซานเดอร์มหาราชเป็นหัวหน้าโจรใหญ่ยกทัพมาปล้นมาโดยลำดับ ปล้นมาทุกประเทศแถวคูเวต อิรัก อิหร่าน ตีเขาเรื่อยมาจนถึงประเทศอินเดีย โดยยาตราทัพ ทัพสมัยก่อนนี่เป็นกองโจรไปตีได้ที่ไหนก็ปล้นทรัพย์สมบัติเขาไปหมด เป็นสงครามที่แบบกองโจรทั้งนั้น และตีมาถึงอินเดียตอนเหนือคนอินเดียก็เห็นว่าพวกนี้มันรบเก่ง เลยจะดูว่ามันรบเก่งเพราะอะไร ก็เห็นว่ามีรูปเคารพเพราะชนชาตินี้เคารพเทวดา ในประเทศกรีก ในกรุงเอเธนส์ในปัจจุบันนี้ มีศาสถานเทปา ... (14.19) ร้างมากมายก่ายกอง เป็นโบราณสถานที่คนไปดูไปชมกันแล้วมีเทวรูปมากมายคนอินเดียเห็นพวกกรีกไหว้เทวรูปก็นึกว่ามันรบเก่งเพราะเทวรูป คนอินเดียสมัยนั้นก็ปัญญาอ่อนเหมือนกัน เพราะว่าไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนาถูกต้อง เป็นพวกฮินดูเลยคิดว่าเราควรจะทำรูปไว้ไหว้บ้าง แต่จะทำอย่างไรดี ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยทำรูปศิวลึงค์ขึ้นไว้เคารพกราบไหว้กัน รูปศิวลึงค์นั้นเป็นรูปแทนพระอิศวร แต่ทำพระอิศวรก็ไม่รู้พระอิศวรหน้าตาเป็นอย่างไรเพราะไม่เคยพบเคยเห็น เลยทำเครื่องหมายศิวลึงค์ขึ้นแทน ศิวลึงค์นั้นก็แพร่หลายมาจนถึงประเทศเรา รูปพระปรางค์ที่ทำไว้สวยงามนั้นก็เอาอย่างมาจากศิวลึงค์นั่นเอง ไม่ใช่เทพีแบบพุทธศาสนา แต่เป็นพระปรางค์ เช่นพระปรางค์วัดแจ้ง พระปรางค์ที่นั่นที่นี่เป็นรูปศิวลึงค์นั่นเอง แต่เอามาประดับประดาตกแต่งให้สวยงามขึ้นมาหน่อย เอาแบบมาจากนั้นเขาก็ทำศิวลึงค์ไว้ไหว้ ชาวพุทธยังไม่ทำอะไรยังเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อย่างถูกต้องอยู่แต่นานเข้าๆรูปเคารพนี่มันแพร่หลาย มีมากขึ้นทุกวันทุกเวลาชาวพุทธทนไม่ได้เพราะคนมันจะไปหารูปเคารพเสียหมด ก็เลยทำสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า ครั้งแรกก็ทำเครื่องหมายไม่ได้ทำรูปทีเดียวพระพุทธรูปไม่ได้เกิดขึ้นทันทีค่อยๆเกิดค่อยพัฒนาขึ้นเขาทำรูปเครื่องหมายแทนพระพุทธเจ้าเช่นถ้าดูภาพเกี่ยวกับการประสูติเค้าทำรูปดอกบัวรูปดอกบัวผุดขึ้นมาจากแผ่นดิน ๗ ดอก นั่นเป็นเครื่องหมายแทนการประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วเวลาที่เจ้าชายอยู่ในวังพระฤาษีไปเยี่ยมสาวใช้ยกเบาะมาให้พระฤาษีดู บนเบาะนั้นไม่มีรูปเจ้าชายคือเขาไม่ทำรูปเจ้าชาย เพราะว่าเขายังเคารพมากก็เลยไม่กล้าทำรูป ฤาษีดูรูปนั้น ดูภาพนั้นก็นึกว่าเจ้าชายนอนอยู่ในเบาะนี้แหละ รูปจริงๆมันมีรูปเจ้าชายนั่นแหละแต่ว่าฤาษีเห็นรูปจริงๆ แต่ถ้าคนเห็นก็นึกว่าเจ้าชายนอนในบ่อนี้แล้วก็ยกมือไหว้สักการะอะไรไปตามเรื่อง เวลาออกบวชก็ขี่ม้า มีแต่รูปม้าทรงเครื่องครบแต่ไม่มีรูปคนนั่งบนหลังม้า แต่มีคนจูงม้ามีเทวดากั้นร่ม เอาเทวดาเข้ามาเกี่ยวข้องทุกเรื่องทุกประการ แล้วเวลาตรัสรู้ก็ทำภาพต้นโพธิ์แล้วก็ไม่มีคนนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์มีแท่นเฉยๆ ให้คนไหว้นึกเอาเองว่าพระพุทธเจ้านั่งที่ตรงนี้ เวลาแสดงปฐมเทศนาก็ทำรูปกงล้อธรรมจักรกับ ...... (17.29 ไม่ยืนยันตัวสะกด)
เป็นเครื่องหมายให้นึกถึงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เวลาพระพุทธเจ้านิพพานก็ทำรูปต้นรังสองต้นแล้วมีแท่นหินอยู่ตรงกลาง บนแท่นนั้นไม่มีอะไรให้นึกเอาว่าพระพุทธเจ้าประทับบนนี้แล้วก็นิพพาน เขาทำอย่างนั้น ไม่มีรูปเคารพที่เป็นรูปดังที่เราเห็น แต่ต่อมาๆก็ทำรูปพระบาทแทนรูปพระพุทธเจ้า ทำพระบาทรอยเดียวต่อมาก็ทำเป็นสองรอยสามรอยสี่รอย จึงมีว่าพระบาทสี่รอยอะไรต่างๆ เป็นพระบาทแทนรูปเราเคารพ มีไหว้พระบาทมาเป็นร้อยๆปีเหมือนกัน ต่อมาก็นึกว่าทำองค์จริงกันซะทีเถอะ แล้วจะทำอย่างไร ก็รูปเทวดามันเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว ทำเดี๋ยวเหมือนรูปเทวดาก็จะไหว้ลำบาก เลยทำรูปให้มีผ้าห่มเป็นกลีบสวยงามแล้วก็ทำพระเศียรไม่ให้เหมือนรูปเทวดา แล้วก็ทำหูไม่ให้เหมือน ทำอะไรไม่ให้เหมือน ให้มีความหมายอยู่ในตัว เขาก็ทำขึ้นอย่างนั้น เกิดมีพระพุทธรูปขึ้นเมื่อพ.ศ.๗๐๐ แล้วก็ทำสืบต่อกันมาจนกระทั่งบัดนี้ คนก็ติดกับพระพุทธรูปมากกว่าติดธรรมะ ติดพระพุทธรูปก็ไปเที่ยวกราบไหว้วิงวอนขอร้องบนบานศาลกล่าว เช่นเราไปไหว้หลวงพ่อโสธร ไปไหว้หลวงพ่อวัดไร่ขิง ไปไหว้หลวงพ่อพระพุทธชินราช นั่นไปไหว้ตามแบบไสยศาสตร์ทั้งนั้น ไม่ได้ไหว้ตามแบบพุทธศาสตร์ ไหว้แบบไสยศาสตร์คือไปไหว้ขอร้อง วิงวอน ติดสินบน ว่าถ้าสำเร็จคราวนี้จะเอาอะไรมาถวาย เอาทองมาปิดบ้าง เอาหมูย่างมาถวาย เอาไก่ย่างมาถวาย เอาโขนมารำให้ดู เอาประทัดมาจุดให้หนวกหูชาวบ้านชาวช่องไปทั้งบริเวณวัดอะไรอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องที่คนสร้างขึ้นนึกเอาเอง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สั่งให้ทำอย่างนั้น แล้วคนก็ไปนึกเอาว่าท่านชอบอย่างนั้นท่านชอบอย่างนี้ เช่นว่าวัดไร่ขิงนั้นต้องจุดลูกประทัด คนขายลูกประทัดมันคงจะพูดขึ้นก่อนมันพูดขึ้นเรื่องอะไรก็ตามคนก็ต้องมาซื้อลูกประทัด บอกหลวงพ่อองค์นี้ถ้าจะให้ขลังต้องจุดลูกประทัด อันนี้คนปัญญาอ่อนไปไหว้ก็เลยซื้อลูกประทัดจุด จุดซักคนก็จุดตามกัน จุดกันอยู่จนบัดนี้ไม่ได้หยุดยั้งซักที คนขายลูกประทัดก็ได้เงินไป แต่ว่าที่วัดใดมีอะไรก็พูดกันไว้อย่างนั้น พวกลูกน้องลูกศิษย์ที่ปฏิบัติอยู่ในโบสถ์บอกนี่ต้องอย่างนั้นนะ ต้องอย่างนี้นะมันถึงจะเฮี้ยน ถึงจะขลัง คนที่ไปมันก็ไปเชื่ออย่างนั้นอยู่แล้วก็เลยไปทำกันในรูปอย่างนั้นสืบต่อๆกันมา เราไปไหว้พระไกลๆไปขอทั้งนั้น ความจริงไม่ถูกต้อง เราไม่ต้องไปไหว้พระไกลอย่างนั้นเพราะว่าพระที่แท้ก็อยู่ในใจของเราแล้ว เราเพียงแต่เอาสิ่งที่ไม่ใช่พระออกไปเท่านั้นเอง เอาความคิดไม่ถูกต้องออกไป ความคิดถูกต้องเกิดขึ้นก็เป็นพระ ความคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเป็นฝ่ายต่ำ ฝ่ายดำฝ่ายมืด เราเอาสิ่งนั้นออกทำตนให้เป็นสัมมาทิฎฐิ พอเป็นสัมมาทิฎฐิก็มีพระขึ้นมาทันทีในใจของเรา เราทำอย่างนั้นดีกว่าไปเที่ยวไหว้วิงวอนขอร้อง บนบานศาลกล่าวแต่คนชอบไป ในกรุงเทพก็มีเช่นไหว้หลวงพ่อแก้ว (21.19) ไปไหว้วัดหลวงพ่อวัดกัลยาใหญ่หน่อย ถ้าใหญ่ๆ แล้วคนชาวจีนเขาชอบบอกองค์นี้ใหญ่ดี ซำปอกง ซำปอคือพระพุทธเจ้าเรียกซำปอ สัมโพธินั่นเอง องค์นี้ใหญ่เขาก็ไปไหว้กันสักการะ พระไทยเราไปอยู่ปีนังก็เลยสร้างพระองค์ใหญ่ไว้ในวัด มีรายได้ดีวันหนึ่งได้ตั้งหลายร้อยเหรียญ เพราะคนมาไหว้มาสั่นกระบอกมาเสี่ยงทายอะไรต่างๆ ก็เลยพระก็กลายเป็นผู้เฝ้าศาลเจ้าไป ไม่ใช่อยู่ในวัดแบบพระพุทธศาสนา ทำหน้าที่เป็นพวกเฝ้าศาลเจ้าเหมือนกับที่เขามีอยู่ตามศาลเจ้าต่างๆ คอยจัดเรื่องใบเซียมซีให้พอใช้หาไม้ไผ่มาเหลาแล้วก็เขียนเลขให้มันดีหน่อย กระบอกเดียวไม่พอเพราะคนมากต้องมีหลายๆกระบอก แล้วคนก็ไปสั่นแข่งกันเสียงดังก้องไปทั้งวิหาร ฟังแล้วมันก็สนุกดีเหมือนกันก็ทำไปอย่างนั้น นี่เป็นความไม่เข้าใจในเรื่องอะไรต่ออะไรที่ถูกต้อง เรานึกว่าอะไรๆ มันเกิดจากภายนอกนั่นเองที่ได้เชื่ออย่างนั้น ว่าสิ่งนั้นจะดลบันดาลให้เราเป็นอย่างนั้นสิ่งนั้นจะดลบันดาลให้เราเป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นความเชื่อที่ผิด ไม่ตรงกับหลักการตามพระพุทธศาสนา
หลักการตามพระพุทธศาสนาสอนเราว่าไม่มีอะไรภายนอกจะมาดลบันดาลให้ใครเป็นอะไร เรื่องนี้พูดบ่อยๆไม่มีอะไรจะดลบันดาลให้เราเป็นอะไร เราจะไปขออะไรจากใครไม่ได้ แต่เราต้องทำของเราเอง พระพุทธเจ้าบอกว่าความบริสุทธิไม่บริสุทธิเป็นเรื่องของตัว ไม่ใช่สิ่งใดจะมาทำให้เราบริสุทธิหรือเศร้าหมอง ให้เราสุขให้เราทุกข์ให้เราเสื่อมให้เราเจริญ แต่สิ่งเหล่านั้นมันเกิดเพราะเราทำให้เกิดขึ้นเอง เราคิดเราพูดเราทำ ถ้าเป็นไปในทางผิดมันก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ ถ้าเป็นไปในทางถูกก็เกิดความสบายอกสบายใจ อันนี้ต้องเชื่อให้มันถูกต้องเสียที เชื่ออย่างนี้แล้วเราไม่ต้องไปเที่ยวไหว้อะไรให้มันวุ่นวาย แล้วไม่ต้องไปพูดว่าห้องนี้คนชั่วเคยนั่ง แล้วก็ต้องปัดรังควานปัดแล้วมันก็ไม่ใช่ออกไป มันไม่มี ปัดแล้วมันจะออกไปได้อย่างไร ไม่ใช่อย่างนั้น คนดีไปนั่งห้องนั้นมันก็ดีขึ้น ที่ใดเป็นที่อยู่ของบัณฑิตที่นั้นก็เป็นที่ดี ที่ใดเป็นที่อยู่ของคนพาลที่นั้นก็ไม่ดี มันอยู่ที่คนไม่ได้อยู่ที่ตัวห้อง แล้วเราจะไปรดห้องได้อย่างไร เหมือนโยมนิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้าน ความจริงมันก็ไม่ใช่บ้านมันจะดีขึ้นเพราะพระสวด มันไม่ดีขึ้นหรอกเพราะบ้านมันก็อย่างนั้นแหละ สร้างแบบไหนรูปร่างอย่างไรหลังคารั่วมันก็รั่วอยู่อย่างนั้นแหละไม่ใช่เพราะพระสวดมนต์แล้วหลังคามันจะดีขึ้น ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าเรามีความเชื่ออย่างนั้น ความเชื่อที่รับมาแบบโบราณว่าพระมาสวดแล้วจะดีขึ้น อันนี้พระไปสวดตามบ้านก็ไม่ใช่ทำตามแบบพระพุทธเจ้าสอน มันเพิ่งเกิดขึ้นในประเทศลังกาคือในลังกานั้นมีคนสองจำพวก เขาเรียกว่าสิงหลเป็นคนครึ่งเกาะ แล้วก็ทมิฬเป็นคนที่อพยพลงมาจากอินเดียตอนใต้ เข้ามาอาศัยอยู่ตอนเหนือของประเทศลังกา มาอยู่มากพอสมควร แล้วมีปัญหาใหญ่ พวกทมิฬนี้ฆ่าพระไปหลายองค์แล้ว แต่ก็สงสัยว่าทมิฬฆ่าหรือพวก คริสเตียนฆ่า เพราะคริสเตียนก็ยุแยงตะแคงรั่วให้คนแตกกัน แล้วเขาจะได้ประโยชน์กันอยู่ พระดีๆเสียด้วยที่ตายๆนี่ พระนักเทศน์นักสอนนักพัฒนาคนลอบฆ่าตายไป ๔-๕ องค์แล้ว เพราะความวุ่นวายทางการเมืองนี่ เพราะคนมันสองพวก ในคนสองพวกนี้พวกสิงหลนับถือพุทธศาสนา คนทมิฬนั้นนับถือศาสนาพราห์ฌ อันนี้พวกทมิฬนั้นเขามีการสวดบ้านเช่นว่าทำบ้านใหม่เขาก็เชิญพราห์ฌมาสวดสัก ๓ วัน ๓ คืน ทำบ้านให้อบอุ่นหน่อยเขาว่าอย่างนั้น มาสวด ๓ วัน ๓ คืน ทำกันอย่างนั้นทั่วๆไปในหมู่พวกทมิฬ มาสวดก็เอาคัมภีร์พระเวชนั่นแหละมาสวด อันนี้พวกชาวพุทธเห็นว่าเขาทำอย่างนั้นก็อยากจะทำบ้าง เรื่องอย่างนี้ เอาแบบเขาที่ไม่เข้าเรื่องทำให้ศาสนาเสียหายเหมือนกัน ก็อยากจะทำบ้างก็เลยไปขอร้องพระให้ช่วยคัดเลือกพระสูตรที่เอามาสวดตามบ้าน พระก็เลยคัดเอาพระสูตรที่เรียกว่าเจ็ดตำนาน เจ็ดตำนานก็เจ็ดบทเจ็ดเรื่อง สิบสองตำนานก็สิบสองบทเอามาสวดตามบ้านที่โยมเคยได้ยินกันอยู่ เริ่มต้นก็สวดมงคลสูตร แล้วก็ว่ากันไป ถ้าสวดเวลาน้อยก็เอาเพียงเจ็ดตำนาน ถ้าเวลามากกลางคืนก็สวดยาวๆ บางทีสวดทั้งคืนไม่ใช่สวดแค่เพียงเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน สวดเลยไปถึง ธรรมจักร ...... (26.46) มหาสมัยสูตรแล้วบางทีก็เลยไปถึงอา …… (26.52) ที่เรียกว่าภาณยักษ์ ( ภาณวา ) (26.55) ที่เขาสวดกันตามวัดต่างๆเรียกว่าสวดภาณยักษ์ นั่นก็ทำไปอย่างนั้นแพร่หลายไปในหมู่ชาวสิงหล ชาวสิงหลส่วนมากไม่ได้สวดแป๊บเดียวเหมือนเราสวดนะ สวด ๓ คืนสวด ๗ คืนเอามณฑปมาตั้งภายในบ้านเลยเป็นรูปแปดเหลี่ยม จะจ้างเขาทำ ทำด้วยต้นกล้วยต้นอ้อยอะไรมาประดับประดา พระเข้าไปนั่งในนั้นนั่งเป็นวงแล้วก็สวดชาวบ้านก็นั่งรอบนอกเป็นวง พระถือสายสิญจ์เส้นหนึ่งชาวบ้านก็ถือเส้นหนึ่งบังคับไม่ให้ลุกขึ้น จับสายสิญจ์แล้วไม่ลุกขึ้น พอสวดจบไปตอนหนึ่งก็เอาปล่อยทีหนึ่งเรียกว่า เวก (27.35) เวกกันทีหนึ่ง ...... ไปดื่มน้ำชาอะไรกัน เข้าห้องน้ำพอถึงกัณฑ์ทีฆ้องโหม่งๆๆ เอามานั่งสวดกันต่อ สวดกันจนสว่างทั้งคืนแล้วสวดกันตั้ง ๓ คืน ๗ คืนทำกันไปอย่างนั้น พระลังกานำพุทธศาสนามาสู่ประเทศไทยก็นำสิ่งเหล่านี้มาให้เราด้วย เราจึงได้มีการสวดมนต์ตามบ้านอยู่
วันอาทิตย์ที่วัดนี้ไม่รับนิมนต์ไปสวดมนต์ที่ไหนแต่วันนี้อนุญาตให้ไปรายหนึ่ง ก็ผู้นิมนต์เป็นหมอมาจากศิริราช บอกผมต้องทำวันนี้เพราะว่าคนเขาหยุดงานพร้อมๆกัน ทำวันเกิดบอกว่าถ้าอาตมาไปไม่ได้ให้พระอะไรไปก็ได้ เลยให้พระไปแทน อาตมาไปไม่ได้วันอาทิตย์ต้องอยู่วัด และก็ไม่ชอบไปสวดเท่าใดไม่จำเป็นก็ให้พระลูกวัดเขาไปสวดกันไป เว้นไว้แต่ว่าเขาต้องการฟังธรรมด้วยก็ไป ไปเทศน์ก่อนเทศน์แล้วก็สวดนิดหน่อยไม่มากมายอะไร ไม่ถึง ๗ ข้อหรอกสวดเอาสัก ๒-๓ ข้อ พอเป็นพิธีแล้วก็ฉันอะไรไปตามเรื่อง นี่ก็เป็นพิธีหนึ่งที่เกิดขึ้นในภายหลังก็ถือกัน สมัยก่อนนี้วันตรุษสงกรานต์นี่ในวังเขาสวดกัน ๓ วัน ๓ คืน สวดติดต่อกลางวันก็สวดกลางคืนก็สวดพระก็มานั่งสวดอยู่ประจำ แต่ว่ามีพระนั่ง พระนั่งอยู่ด้วย นั่งปรก (29.80) สวดแล้วก็ต้องทำหญ้าคา หญ้าคาตัดกันเป็นทุ่งเอามาวงรอบวัง ไม่รู้ว่าเท่าไหร่วัง ก็พระบรมมหาวังมันยาว กว้าง อันนี้ก็สมัยนี้ต้องเรียกว่ามันตุ๊กติ๊ก (29.24) หญ้าคาที่เอามาสางเข้าเป็นเส้นสามเกลียวโน่นของวัดสุทัศน์เป็นเจ้าพิธีการทำหญ้าคาแล้วก็ได้ปลูกด้วย ได้สายสิญจ์ด้วยเส้นเล็กๆ กำหญ้าคามัด ม้วนๆเข้า แบกไม่ไหวสองคนก็แบกไม่ไหวต้องบรรทุกรถแล้ววิ่งรอบวัง โปรยหญ้าคาไปเอาไม้ปักไว้รอบวัง กันไม่ให้ผีเข้าวังแต่ผีมันก็อยู่ในวังมานานแล้ว ไม่ต่อกันมันก็ไม่ออกมาต้องกระทำอย่างนั้น บางเมืองเขาก็ทำเรียกว่าสะเดาะเคราะห์เมือง สะเดาะเคราะห์เมืองก็วันตรุษสงกรานต์เดือน ๕ สวดใหญ่เหมือนกันสวดใหญ่ ๓ วัน ๓ คืนเหมือนนครทำ นครนี้เป็นเมืองโบราณเหมือนกัน มีเสาชิงช้ามีโบสถ์พราห์ม พราห์มเข้าไปอยู่มากเหมือนกัน แล้วดูโบราณสถานเก่าๆมีศิวลึงค์ปักอยู่ตามที่ต่างๆก็ขุดค้นขึ้นมาได้หลายที่หลายแห่ง แสดงว่า พราห์ฌมาที่นั่นเหมือนกัน นี้เขาก็สวดมนต์เรียกว่าพิธีสะเดาะเคราะห์เมือง ทำกัน ๓ วัน ๓ คืน วันสุดท้ายก็หาคนประเภทที่ไม่ค่อยเต็มเต็งมาสักคนหนึ่งเรียกว่าคนรับเคราะห์เมือง ดังนั้นใครเห็นใครที่ว่ามันไม่ค่อยเต็มบอกไอ้นี่มันคนสะเดาะเคราะห์เมืองมาแต่ไหนก็ไม่รู้ เอาไปด่าเพื่อนที่ไอ้คนนั้นมาถึงก็เขาก็ตัดเล็บตัดผมใส่ลงไปในกระทงน้อยๆแล้วก็ใส่ลงให้คนนั้นแบกไป เวลาคนนั้นออกจากเมืองนี้ต้องจุดลูกประทัดขับไล่ แล้วพระก็สวดมนต์ไล่ผีสมมติว่าไอ้นั่นเอาผีไปด้วย มันเป็นเรื่องต้มเรื่องหลอกกันแท้ๆชาวบ้านก็ชอบอกชอบใจ ไปเอาน้ำมนต์ที่พระสวดในงานไปรดบ้านรดเรือน เอาทรายที่พระสวดไปโปรยรอบบ้านกันผีแต่กันขโมยไม่ได้ กันแต่ผีอย่างเดียว ผีก็อยู่ในขโมยนั่นแหละไอ้ขโมยนั่นมันก็ผีเราอยู่ดีแล้ว เขาทำกันอย่างนั้นเรียกว่าสะเดาะเคราะห์เมือง เป็นการสะเดาะเคราะห์แบบหนึ่ง สะเดาะส่วนรวม แต่ว่ามันสะเดาะไม่ออกหรอกเพราะว่าเคราะห์นี่มันเกิดจากอะไร เคราะห์หรือทุกข์นี่เราเป็นเรียกว่าเคราะห์ร้าย ก็หมายความว่าเป็นทุกข์มีสิ่งไม่พอใจเกิดขึ้นในชีวิตเราก็ว่าเคราะห์ร้ายดวงไม่ดีแต่ถ้าเราถูกลอตเตอรี่ดวงดี ไอ้นี่คนเห่อลอตเตอรี่กัน บอกว่าที่พัทลุงนั้นมีคนนุ่งขาวห่มขาวมาอยู่ที่ถ้ำแล้วก็บอกเบอร์บอกหวย บอกว่าถูกมาหลายทีแล้ว แต่บอกคราวนี้ ๐๙๔ พลาดจังเลย แพ้กันยุบยับไปเลย ไอ้พวกซื้อเรียกว่าครั้งก่อนเจ้ามือบอบช้ำคราวนี้แกบอกเจ้ามือไม่บอบช้ำเพราะไม่ถูก คนบางคนลงทุนซื้อไป ๓๐๐ ๔๐๐ ๕๐๐ ซื้อเพื่อจะเอาใหญ่พอลอตเตอรี่ออกมาผิดความหมายแล้วไปพูดว่าล๊อคเลข เขาไม่ได้ล๊อคแล้วเวลานี้เขาไม่อยากล๊อคแล้วให้เจ้ามือเสียหายก็ไม่ว่าอะไร ก็ซื้อกันไปเพราะความเชื่อเหลวไหล ไปเชื่ออย่างนั้นเลยก็ทำให้เกิดความเสียหายการพนันนี่มันสองประตูแพ้กับชนะเมื่อชนะฮึกเหิมเมื่อแพ้ใจเหี่ยวใจแห้ง แล้วต้องหาทางแก้ตัวต่อไปไม่ยอมเลิกสักที อย่างนี้เขาเรียกเป็นผีอยู่ในจิตใจไม่รู้จักจบจักสิ้น ผีมันอยู่ที่ใจเราไม่ได้อยู่ข้างนอก ไม่ได้มาจากข้างนอกแต่มันเกิดจากความคิดผิด คิดจะไปเล่นการพนันผีการพนันแล้ว คิดจะไปดื่มสุราเมรัยก็ผีสิ่งเสพติดแล้ว คิดจะไปกับเพื่อนชั่วๆมันก็ผีเพื่อนชั่วแล้ว คิดจะไปเที่ยวกลางคืนสนุกสนานพอได้รับโรคเอดส์มามั่งก็ผีเที่ยวกลางคืน แล้วก็ผีสุรุ่ยสุร่ายจ่ายทรัพย์หมดเงินเดือนไม่พอใช้ เป็นหนี้เป็นสินรุงรัง ผีสุรุ่ยสุร่ายไม่รู้จักประหยัดยับยั้งชั่งใจแล้วก็ผีขี้เกียจไม่ชอบทำงานชอบหาเงินในทางที่มันสะดวกสบาย อย่างนี้มันเป็นผีทั้งนั้นหรือว่าผีโลภอยากได้ของคนอื่น ผีโกรธประทุษร้ายร่างกายชีวิตทรัพย์สมบัติของคนอื่น ผีหลงคือไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องที่ถูกต้องตามเป็นจริงนี่มันผีทั้งนั้น ผีมันอยู่ในคน ไม่ได้อยู่ในบ้าน ไม่ได้อยู่ที่เสา ไม่ได้อยู่ที่ต้นไม้หรือไม่ได้อยู่ที่วัตถุอะไรๆชาวพุทธต้องเข้าใจอย่างนั้นว่าตัวผีคือความชั่วมันอยู่ในคน แล้วจะใช้วิธีสะเดาะมันไม่ได้ หรือใช้พิธีไสยศาสตร์รดน้ำมนต์น้ำพรนิมนต์พระมา
สมัยก่อนเคยมีรัฐมนตรีเป็นโรคตาแดงตาช้ำตาบวมหาว่าเคราะห์ร้าย เลยไปหาพระที่วัดมหาธาตุนั่นแหละ เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุว่าต้องสะเดาะเคราะห์ให้รัฐมนตรีมานั่งในที่เขาทำไว้เป็นซุ้ม ไปนั่งในนั้นพระก็นั่งสวดมนต์รอบสวดกันนานเลย ท่านบอกแหมนั่งนานไม่ไหวเพราะรูปร่างมันอ้วนลำบาก ให้มานั่งตอนจะรดน้ำมนต์ก็พอแล้วแหละ ให้มานั่งตอนนั้น ก็มานั่งอย่างนั้นแหละ นี่แสดงว่ายังเป็นคนปัญญาอ่อนอยู่เหมือนกัน เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยแต่ก็ยังเป็นคนปัญญาอ่อนแล้วจะปกครองบ้านเมืองได้อย่างไรถ้าปัญญาอ่อนอย่างนั้น ไม่สนใจไม่รู้ว่าผีอยู่ที่ไหนความชั่วอยู่ที่ไหน แล้วเราจะแก้ความชั่วได้อย่างไรนี่มันเป็นอย่างนี้ เพราะความเชื่อเหลวไหล มันต้องปฏิรูปเวลานี้ต้องปฏิวัติความเชื่อเก่าๆเอาความเชื่อที่ถูกต้องมาใส่ในหัวสมองคนให้คนได้คิดในทางที่ถูกที่ชอบ ได้พูดถูกต้องได้ทำถูกต้องได้คบหาสมาคมกับคนที่ถูกต้อง อะไรมันก็ดีขึ้น แต่เราไม่ไปคิดอย่างนั้นเพราะยังฐานมันผิดอยู่ คือฐานผิดตรงที่ว่าความชั่วอยู่ภายนอกไม่ได้อยู่ข้างในผิดหลักการของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรานั้นมันอยู่ข้างในตัวเรา ความดีก็อยู่ในตัวเราความชั่วก็อยู่ในตัวเรา ความสุขความทุกข์ความเสื่อมความเจริญมันอยู่ในตัวทั้งนั้นเราทำมันขึ้นทั้งนั้นแต่ว่าไม่ยอมรับมาตรฐานอันนี้ เมื่อไม่ยอมรับอันนี้ก็ยิ่งไปวุ่นวายไป เที่ยวทำพิธีรีตองอะไรต่างๆให้วุ่นวายไปหมดเหมือนกับพวกมาถวายสังฆทาน มาถวายด้วยวิธีที่ไม่ค่อยถูกต้องทั้งนั้น แต่มันก็ดีพระได้รับประโยชน์แต่มันก็ไม่ชื่นใจเท่าไหร่ ทุกครั้งที่รับสังฆทานยังไม่ชื่นใจเท่าไหร่ คือยังไม่ชื่นใจว่าคนให้นี่ยังไม่เข้าใจถูกต้อง นึกว่าทำสังฆทานแล้วจะช่วยให้ดีขึ้นหมด เคราะห์จะหายป่วยก็จะหายโรคก็จะหายอะไรก็จะหาย มันไม่ได้ครอบคลุมอย่างนั้น ไม่ได้ทำเรื่องเดียวแล้วมันครอบจักรวาลไปเหมือนยาครอบจักรวาลต้มหม้อเดียวกินแก้ทุกโรค เหมือนยาน้ำหมอคง ยาน้ำหมอคงเขาว่าต้มกระทะเดียวแก้โรคหัวใจโรคปอดโรคตับ โรคไต โรคลำไส้ โรคดี มีหมดในตัวมีกี่โรคใส่เข้าไปหมด เป็นขวดๆเอาไว้ มันก็ยาอย่างเดียวกันนั่นแหละต้มกระทะเดียวแต่ว่าใส่หลายขวด ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเพราะคนมันอ่านในฉลากว่าแก้หลายโรค กูเป็นโรคนั้นซื้อไปขวดหนึ่ง เพียงแต่ซื้อคนละขวดนี่ก็รวยแล้วเจ้าของ คนไทยสมัยนั้นมีราว ๒๐ ล้านเดี๋ยวนี้ ๕๐ ล้านถ้าเพียงซื้อกินคนละขวดนี่มัน ๕๐ ล้านขวด ขวดละ ๕ บาทนี่เงินเท่าไหร่มันต้อง ๒๕๐ ล้านเข้าไปแล้วรวยมากมายนี่เพราะว่าเป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้นไม่ใช่ยาครอบจักรวาลหรือว่าทำเรื่องเดียวแล้วก็ได้สะเดาะเคราะห์ไปได้ มันได้นิดหน่อยใจสบายเท่านั้นเอง สบายว่าได้ทำอย่างนั้นได้ทำอย่างนี้แล้วตามหมอบอก ถามทีไรก็หมอบอกมาให้ทำทุกที บอกว่ามันช่วยไม่ได้เพียงแต่ถวายอย่างนี้ บางคนก็สร้างพระมาด้วยองค์หนึ่ง พระตามวันนะ ถ้าเกิดวันนั้นก็พระองค์นั้นมา หมอเค้าทำให้เสร็จเลย ไปไหว้ว่าคนเกิดวันพุธต้องพระอย่างนั้นพฤหัสอย่างนั้น มีพระประจำวันเวลามีงานตามวัดโยมเห็นไหมเขามีสตางค์ให้แลกแล้วก็ไปหยอดหมากถุงไปหยอดกริ้งๆๆๆ บอกอ้าวคนมาก็เอาแลกอีกก็ไปเทมันไว้คนแลกให้หยอด นี่ได้เงินจากความโง่นิไอ้คนไปหยอดเงินบาทเล็กๆ ถามวัดมีทุกวัดหาเงิน หาเงินจากการทำคนให้โง่มันไม่ประเสริฐอะไร แล้วไม่ทำให้คนฉลาดขึ้นไม่ให้คนเข้าถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง ทำกันอยู่อย่างนั้นเอาพระมาวางไว้แล้วก็ใส่ไปงั้น วัดได้เงินแต่คนได้ความโง่แล้วมันจะดีอะไร วัดได้เงินด้วยแต่คนต้องฉลาดด้วยถึงจะถูกต้องเป็นตามหลักการของทางพระพุทธศาสนา
การมีงานวัดต่างๆ นั้นไม่ได้ช่วยคนให้ดีขึ้นเท่าไหร่ ได้เงินมาสร้างวัตถุเล็กๆน้อยๆ วัตถุจะสวยงามแต่ถ้าคนไม่เข้าถึงธรรมะวัตถุนั้นจะมีความหมายอะไร จะช่วยอะไรแก่ประชาชนได้ สิ่งที่ควรช่วยคือทำให้คนเข้าถึงธรรมะให้รู้จักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติถูกต้อง มีงานวัดก็ควรจะนัดคนมาฟังธรรมไม่ใช่มาทำสิ่งโน่นนี่มาสะเดาะเคราะห์ มาถอนขนช้างบ้าง ถอนขนหมีบ้าง และการพนันทั้งนั้น สอยกัลปพฤกษ์สอยนั่นสอยนี่ เขาทำเป็นช้างทั้งตัวแล้วเอาฉลากเก็บไว้ถอนขนช้าง แล้วไปแลกเอาของได้ นี่มันไม่ได้เรื่องอะไร คนก็มาเล่นสนุกๆ ไม่ได้มาวัดแต่มาตลาดนัด วัดเลยกลายเป็นวัดตลาดนัดไป ไม่เป็นวัดของพระพุทธเจ้า แต่ทำกันอย่างนั้นไม่มีการแก้ไข ไม่มีใครคิดว่าจะแก้ให้คนฉลาดคิดว่าให้ได้สตางค์ก็พอแล้ว แล้วเอาไปทำอะไร มีสตางค์สร้างวัตถุโบสถ์ใหญ่ๆแต่คนมันไม่ฉลาดเลย ไม่รู้จักพระพุทธเจ้าที่แท้ไม่รู้จักพระธรรมที่ถูกต้อง ไม่รู้จักพระสงฆ์ อย่างนั้นมันจะมีความหมายอะไรถาวรวัตถุเหล่านั้นจะมีความหมายอะไรมันไม่ได้เรื่องอะไร มันควรจะช่วยกันให้คนฉลาด มีงานก็เรียกคนมาพูดธรรมะให้ฟังชี้แจงแสดงเหตุผลให้เข้าใจเป็นเรื่องๆไป ทำอย่างนั้นคนก็จะได้เข้าใจขึ้น ถอนความเชื่อผิดออกไปเสียบ้าง ที่นี้ทำไมไม่ทำ บอกคนชอบอย่างนั้น ก็เราสอนเขาอย่างนั้น เขาก็ชอบอย่างนั้น ถ้าทุกองค์ชักจูงไปในทางอย่างนั้น ไม่ได้จูงให้ออกจากความเชื่ออย่างนั้นความโง่อย่างนั้น แล้วเขาจะเปลี่ยนได้อย่างไร พระพุทธเจ้าทรงดึงคนออกจากความโง่ จากไสยศาสตร์ จากความหลงผิดต่างๆ ด้วยการพูดให้เขาเข้าใจในสิ่งถูกต้อง พระพุทธศาสนาจึงอยู่ได้มาจนกระทั่งทุกวันนี้ แต่เวลานี้ก็อยู่แต่ในคัมภีร์ไม่ได้อยู่ในใจคน คนไม่เอาธรรมะเข้าไปใช้ แต่เอาเรื่องฝอยอะไรไม่รู้มาใช้กันอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ไปที่ไหนก็เจอแต่สิ่งเหลวไหลในรูปอย่างนั้น ซึ่งไม่ได้สาระอะไร อันนี้น่าคิดมากถ้าว่าเราคำนึงถึงสัจจธรรมอันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ต้องช่วยกันแล้ว ช่วยกันทำคนให้เข้าถึงธรรมะ ทำคนให้ฉลาดให้เข้าถึงสิ่งถูกต้อง ถ้าคนทั้งหลายชวนกันเข้าถึงธรรมะบ้านเมืองดีกว่านี้ แล้วสิ่งเหลวไหลมันก็จะหมดไป คนช่วยตัวเองได้พึ่งตัวเองได้ก็เข้าใจถูกต้องว่าอะไรเป็นอะไรถูกต้องโดยเฉพาะฐานความเชื่อที่ถูกต้องว่าอะไรๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้นมันเกิดขึ้นจากการคิด การพูด การกระทำหรือพูดโดยย่อว่าเป็นกรรมของตัวเอง บางคนก็รับว่าเป็นกรรมแต่มันไกลเกินไปชาติก่อนโน้น ถ้าพูดว่ากรรมชาติก่อนจะไปแก้ได้อย่างไร มันเลยมานานแล้ว มีอะไรก็กรรมชาติก่อนไม่ใช้ปัญญาเลย ไม่ใช้ปัญญาคิดว่าเราทำอะไรไว้บ้าง เราคิดอะไรเราพูดอะไรเราทำอะไรเราคบกับใครเราไปในสถานที่ใด มันจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทักไปหมดทักไปกรรมเก่าหมดอดีตกรรม อดีตชาติก่อนชาติไหนก็ไม่รู้ เกิดมากี่ร้อยชาติพันชาติก็ไม่รู้ทำไว้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แก้ไม่ได้ แก้สังคมไม่ได้กรรมชาติก่อนอย่างนั้น แต่ต้องคิดว่ากรรมในเวลาที่ล่วงมาแล้วเช่นว่าเรามีอะไรเกิดขึ้นในตอนเที่ยงนี้ เมื่อเช้านี้เราทำอะไร เราไปไหน เราไปหาใคร เราพูดอะไร เราคิดอะไร ต้องคิดอย่างนั้น ให้มันใกล้ตัวเข้ามาหน่อย หรือคิดไปว่าเมื่อวานหรือว่าเดือนนี้เราทำอะไร ต้นเดือนเราทำอะไร เราเบิกเงินมาเท่าไหร่แล้วเราใช้อย่างไร คิดในปัจจุบัน ทีนี้โดยมากคิดไปเรื่องชาติก่อนอดีตชาตินานไกลไม่รู้ว่าไกลเท่าใด หาไม่พบเลย
หาไม่พบแล้วจะแก้อย่างไร เพราะสั่งให้แก้ที่เหตุแต่เหตุมันไกลเหลือเกินคือกรรมชาติก่อน มันต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่ว่าไม่ใช่กรรมชาติก่อนกรรมที่เราสร้างขึ้นในปัจจุบันใกล้ๆนี้แหละ เหตุการณ์มันจึงเกิดขึ้นเราทำอะไรไว้ เราไปเบียดเบียนใครไว้เราประทุษร้ายต่อผู้ใด หรือเราฉ้อโกงอะไรกับใครมา คนทำกรรมอะไรมันก็รับผลอยู่ในปัจจุบัน อย่างน้อยๆก็เป็นคนเชื่อกฏแห่งกรรมว่าตัวร้อนอกร้อนใจอยู่ ในการกระทำนั้น ถ้าเราประทุษร้ายต่อพ่อแม่ก็ไม่ใช่ว่าตัวจะเป็นสุขอะไร ไม่สบายใจอะไรเช่นคิดจะโกงคุณแม่คุณพ่อ อันนี้มันเลวเต็มทีคนจิตใจอย่างนั้นต่ำช้าเต็มทีแล้วมันไม่เจริญอะไร ถึงได้เงินมันก็ไม่เจริญแล้วก็ใช้เงินไปไม่เท่าไหร่ก็เสื่อมให้ดูไปเถอะ คนใดที่ทำอย่างนั้นมันก็เสื่อมเราก็มองเห็นอยู่ แต่เจ้าตัวไม่เห็นเพราะไม่ได้คิด ไม่ได้มองด้านในมองแต่ด้านนอก พระพุทธเจ้าสอนให้มองด้านในคือมองที่ตัวเรา มองที่ใจของเรามองที่การกระทำของเราว่าเราได้ทำอะไร ถ้าเรารับหลักการอย่างนี้มันง่ายขึ้น เพราะมองเห็นกรรมของตัวง่ายขึ้น แล้วก็ต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เราทำให้เกิดขึ้น ไม่ใช่อะไรดลบันดาลให้เป็นไป คำว่าดลบันดาลนี้ไม่มีใช้ในพระพุทธศาสนา เราไม่ได้ใช้คำนี้ เพราะไม่มีอะไรจะดลบันดาลให้ใครเป็นอะไร ไม่มีเทวดาไหนจะมาทำให้เราเป็นอะไร ไม่มีผีไหนจะมาทำให้เราเป็นอะไร ไม่มีอะไรภายนอกจะทำให้เราเป็นอะไร แต่เราเป็นเพราะเราคิด เราพูด เราทำให้มันเกิดขึ้น อันนี้โยมเข้าใจหรือไม่ ถ้าเข้าใจอย่างนี้มันง่ายขึ้น การแก้ไขปัญหาง่ายขึ้น มีเรื่องอะไรก็ต้องคิดแก้ที่ตัวเรา ค้นหาที่ตัวเราว่าเราผิดอะไรเราบกพร่องอะไร ไม่ต้องโทษใคร นักเรียนสอบตกไปโทษครูสอนไม่ดี ไปบอกว่าแหมปีนี้ดวงไม่ดีสอบตกมันไปพูดอย่างนั้น เพราะพูดตามๆกันมาตามแบบโง่ๆ อันนี้เด็กมันก็ไม่คิดแก้ตัวแต่ถ้าเด็กมันรู้ตัวว่าที่สอบตกเพราะตัวขี้เกียจ เหลวไหล ไม่รักการเรียน ไม่ขยัน ไม่เอาใจใส่ ไม่คิดไม่ค้นไม่ทำการบ้านไม่อ่านหนังสือ ชอบดูโทรทัศน์ชอบฟังเพลงบ้าๆบวมๆอยู่ตลอดเวลาแล้วมันจะเอาอะไรไปสอบมันก็สอบตกแต่ตกแล้วไม่ยอมรับว่าตัวผิด ไปนึกว่าสิ่งนั้นดวงไม่ดีบ้าง
อะไรโทษไปเรื่องภายนอกนั้นอันนี้ผิด พ่อแม่ต้องสอนลูกเสียด้วยสอนลูกให้เข้าใจว่าชีวิตของลูกขึ้นอยู่กับการกระทำของลูกเอง ไม่มีอะไรจะมาทำให้ลูกเป็นอะไรแต่ลูกจะเป็นของลูกเอง ลูกจะเป็นคนฉลาดก็เพราะทำตนให้เป็นคนฉลาดรับความรู้เข้ามามากๆในสมอง จะเป็นคนโง่ก็เพราะไม่ยอมรับความรู้ของใคร ไม่สนใจการฟัง ไม่สนใจการอ่านไม่สนใจการคิด แล้วมันจะฉลาดขึ้นได้อย่างไร แต่ถ้าเราสนใจการอ่านหนังสือหาความรู้ใส่ตัว ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการอ่านค้นคว้าตำรับตำราใส่ตัวใส่สมอง เราก็มีความรู้มากขึ้นฉลาดมากขึ้น เวลาสอบไล่เราก็สอบไล่ได้ ไม่ใช่ได้เพราะดวงดีได้เพราะเราทำดี ก็เพราะว่าเราทำไม่ดีอย่าไปโทษครูว่าไม่สอน ครูก็สอนตามหลักครู แต่เราไม่สนใจฟังคำครูสอน ไม่จดไม่จำ ไม่เอามาพิจารณาเลยไม่รู้ พอตกก็ไปโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ เหมือนข้าราชการบางคนถูกไล่ออกมันไม่ยอมรับว่าตัวผิด นักการเมืองก็เหมือนกันไม่รับว่าตัวผิดสักรายเดียว ไม่มีนักการเมืองคนไหนที่ออกมาพูดกับประชาชนว่าผมเผลอไปทำผิดไปแล้วขอโทษเถอะพี่น้องทั้งหลายไม่มีแต่พูดว่าไม่รู้เรื่องมันไม่รู้ไม่เข้าใจ เป็นผู้บริหารประเทศชาติไม่รู้ไม่เข้าใจได้หรือ ทำไม่ถูกได้หรือ แต่ก็สั่งตู้ม้าเข้ามา ไม่นึกว่ามันเป็นตู้ม้าเรียนได้ปริญญาเป็นรัฐมนตรีไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรมันจะได้ที่ไหน ปฏิเสธได้ไง มันต้องสมรู้ร่วมคิดกันสั่งซื้อเข้ามา พ่อค้าให้รางวัลให้สินบนเข้าไป เลยสั่งซื้อเข้ามา แล้วเกิดเรื่องเกิดราวกันขึ้น สร้างปัญหา เรื่องอะไรของใครก็เหมือนกันไม่มีใครยอมรับ ไม่รับว่าตัวผิดแล้วมันจะไปได้อย่างไร ตัวทำไม่ถูกเช่นว่าอยู่ในพรรคแต่ว่าประทุษร้ายต่อพรรค เขาไล่ออกจากพรรค หาว่าเขาแกล้งบ้างเขาริษยาบ้างเขาอะไรบ้าง แต่ไม่เคยพูดว่าผมมันทำผิดอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ยอมรับแต่ว่าคนพวกเดียวก็มีอีก ไอ้คนนี้ออกจากพรรค ก.ไปเข้าพรรค ข.ก็ได้พรรค ข. ก็ชอบใจเพราะนิสัยมันเหมือนกันความคิดมันตรงกันในทางต่ำๆเหมือนกันก็เลยรับไว้ต่อไป มันเป็นอย่างนั้น ไม่ได้เลือกคนดีเข้ามาไว้ในพรรครวมพรรคเอาแต่คนดีมีความซื่อสัตย์สุจริต มุ่งทำงานเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเห็นจะหายาก ใครจะตั้งพรรคแบบนี้คงยังยาก มันยังไปไม่ค่อยได้เพราะสังคมมันยังไม่เป็นอย่างนั้น ต้องช่วยกันให้สังคมมันเปลี่ยนแปลงไปในทางดีมากขึ้น เราสอนให้เด็กเข้าใจให้ทุกคนเข้าใจ จะได้ขึ้นเงินเดือนเพราะทำงานดี หลวงพ่อไปเทศน์ที่ไหนก็เทศน์บอกว่า มันขึ้นที่ตัวคุณเองไม่ได้ขึ้นที่ผู้จัดการหรือเจ้าของงาน ทำพวกคุณทำดีงานมันเจริญงานมันก้าวหน้า บริษัทมีกำไรเพราะถูกพวกคุณช่วยกันทำให้ดี โบนัสมันก็เพิ่มเพราะว่าเราทำดี แต่ถ้าเราทำแบบขี้เกียจไม่เอางานเอาการ บริษัทห้างร้านขาดทุนแล้วจะได้โบนัสที่ไหน มันขึ้นอยู่กับตัวเราไม่ใช่ขึ้นอยู่กับใคร สอนให้เขาเข้าใจอย่างนั้นแล้วจะได้ทำอะไรถูกต้องต่อไป อันนี้เป็นหลักใหญ่เป็นเรื่องสำคัญ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาในเชิงปฏิบัติว่าอะไรๆเกิดจากตัวเราไม่ได้เกิดจากสิ่งอื่น แล้วเราพยายามทำตัวเราให้ดีขึ้น ด้วยเอาธรรมะมาเป็นเครื่องประกอบชีวิต เดี๋ยวนี้คนมันไม่ค่อยชอบธรรมะให้พระไปอบรมเจ้าหน้าที่ คนที่ไปจัดการอบรมบอกเรื่องไม่จำเป็นอะไรที่ต้องอบรมก็ได้ คนมันทำงานได้แล้วก็ใช้อะไรได้ หัวหน้านะที่พูดอย่างนั้นพูดว่าไม่จำเป็นอะไร ข้าราชการผู้ใหญ่บางคนพูดเรื่องอบรมจิตอบรมอะไร มันได้ปริญญาแล้วจบมหาวิทยาลัยแล้วจะไปอบรมจิตอะไรกันอีกมันไม่ใช่นักโทษ คนได้ปริญญาไม่ใช่ว่าเป็นคนดีเสมอไป ไม่ใช่ว่าจิตใจดีเสมอไปได้ปริญญาบางทีเอาปริญญาไปใช้ในทางผิด เอาความรู้ไปคดโกงเพื่อนมนุษย์มากขึ้นไปอีกเช่นรู้กฏหมาย รู้ทางหลบทางหลีกก็อาจจะใช้ความรู้ทางกฏหมายนั้นไปโกงใครก็ได้ ถ้ามันไม่มีคุณธรรมก็มองไม่เห็น ไม่อยากให้มีคุณธรรมอยู่กันอย่างนั้น อยู่กันอย่างเดือดร้อนวุ่นวาย
นี่ถ้า หากว่าเราช่วยกันส่งเสริมหลักมนุษยธรรมให้คนมีหลักธรรมะเป็นหลักครองใจ อย่างน้อยๆก็ให้มีสำนึกในความละอายบาปกลัวบาปเท่านั้นแหละ ละอายให้มากกลัวให้มาก ถ้ามีหิริโอตัปปะ สองตัวนี้มันคุ้มครองได้แล้ว ไม่ให้เราตกต่ำไม่ให้เราเสียผู้เสียคน มีความละอายแก่ใจ ไม่อยากจะทำอะไรให้เป็นเรื่องที่เสียหายเกิดขึ้นในชีวิตในการงาน เพราะละอายเพียงละอายมันไม่พอมันต้องกลัวด้วยกลัวอะไร กลัวว่ามันจะเกิดผลเป็นทุกข์แก่เรา ถ้าเราหลักกฏแห่งกรรมว่าทำดีได้ความดี ทำชั่วได้ความชั่วเราจะหนีจากผลที่เราทำไว้ไม่ได้เลยเกิดกลัว กลัวว่าผลมันจะกระทบมาถึงเรา กระทบมาถึงครอบครัววงศ์ตระกูล กระทบไปถึงประเทศชาติบ้านเมืองที่กว้างไกลออกไป ด้วยมีความกลัวกลัวแล้วก็ไม่ทำ ทีนี้คนมันถ้าไม่ละอายบาปไม่กลัวบาปเรียกว่าไม่เชื่อบุญเชื่อบาป ไม่เชื่อกฏแห่งกรรมนั่นแหละล่อแหลมแล้ว คนใดเป็นอย่างนั้นล่อแหลม ถ้ามีความรู้ยิ่งล่อแหลมใหญ่ ยิ่งอันตรายใหญ่เพราะมีปัญญามีความฉลาดแบบเฉโก เค้าเรียกว่าฉลาดแบบเฉโก คือเอาความฉลาดนั้นไปใช้เพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อตฺตทัตสะปัญญาอทุจีมนุสสา (52.40) คนที่มีปัญญาแต่เอาปัญญาไปใช้เพื่อแสวงหาประโยชน์ตนถ่ายเดียวเป็นคนสกปรก เป็นอสุจิมนุษย์ เป็นคนสกปรกอย่างยิ่งเพราะว่ามีความรู้แล้วไปใช้อย่างนั้น เพราะอะไรเพราะไม่มีห้ามล้อ ไม่มีคุณธรรมเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งจิตใจ บังคับจิตใจไม่มีความรู้สึกละอายบาปกลัวบาปเขาก็ทำชั่วได้ง่าย แต่คนที่ไม่มีการศึกษาเท่าใดแต่มีคุณธรรมเอาไปทำงานได้เช่นว่าเป็นคนซื่อก็ใช้ได้แล้ว เราจะหาคนมาทำงานกับเราสักคนขอที่ความซื่อสัตย์เป็นเรื่องแรก เป็นคนซื่อสัตย์สุจริตมันก็ใช้ได้แล้ว เรื่องการทำงานเราหัดได้ฝึกได้แต่ฐานทางจิตใจสำคัญมาก ถ้าไม่มีฐานที่ถูกต้องทางจิตใจแล้ว แม้จะมีประสบการณ์ชำนาญงานแต่มันมีโกงได้ ทรยศได้ ลูกยังทรยศต่อคุณแม่ได้เลย เงินทองก็ไม่ใช่ลำบากยากจนแต่ทรยศต่อแม่ได้ เพราะมันมีความอยากมันจะเอาให้มากไม่ให้คนอื่นจะเอาแต่ตัวคนเดียว มันมีปัญญาไปใช้ในทางผิด มันก็ตกต่ำไม่เจริญ คนอย่างนี้ไม่เจริญดูต่อไปเถอะไม่มีใครจะเจริญก้าวหน้า คนที่จะเจริญได้ก็รู้จักใช้คุณธรรมใช้ความรู้คู่คุณธรรม มีธรรมะเป็นเครื่องห้ามล้อจิตใจ ไม่ไหลไปตามอารมณ์ไม่ไหลไปตามความอยาก สิ่งทั้งหลายก็จะดีขึ้นให้เข้าใจอย่างนี้ แล้วก็ช่วยกันทำความเข้าใจกับคนงานคนที่ปฏิบัติกับเราอยู่กับเรา สอนให้เขาเข้าใจอย่างนี้ พูดให้เขาฟังบ่อยๆจะได้ซึมซาบเข้าไปในจิตใจ ชีวิตสังคมก็จะดีขึ้นเพราะความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ พูดมาก็พอสมควรแก่เวลา