แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบตั้งอกตั้งใจฟังด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการฟังตามสมควรแก่เวลา หมู่นี้มีเรื่องอะไรต่ออะไรเกิดขึ้นบ่อยๆในสังคมของคนไทยเรา เป็นเรื่องที่น่าจะพิจารณาศึกษา ทำความเข้าใจ
ในสมัยโบราณนี้ ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านเสด็จประทับอยู่ที่เมืองเวสาลี เวสาลีนี่เป็นนครหลวงของแคว้นลิจฉวี กษัตริย์ของลิจฉวีก็ปกครองแบบประชาธิปไตย ไม่เหมือนประชาธิปไตยเดี๋ยวนี้ เขาเรียกว่า คณาธิปไตย คือว่ากษัตริย์ทุกพระองค์นี่ต้องมาประชุมกัน ปรึกษาหารือกันในเรื่องอะไรๆต่างๆที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง เวลาประชุมก็มาพร้อมเพรียงกันประชุม พวกกษัตริย์เหล่านั้นได้ปฏิบัติตนตามหลักที่เรียกว่า อัปริหานิยธรรม ๗ ประการ
อัปริหานิยธรรม ๗ ประการของพระพุทธเจ้าเป็นหลักปฏิบัติเพื่อให้เกิดความมั่นคง มีอะไรบ้าง อัปริหานิยธรรมนี้ มั่นประชุมเป็นเนืองนิตย์นี่เป็นข้อแรก มั่นประชุมกันบ่อยๆ ข้อสองเมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุมเมื่อเลิกประชุมก็พร้อมเพรียงกันเลิกและพร้อมเพรียงช่วยกันทำกิจที่หมู่คณะจะต้องจัดต้องทำ สามไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่มีกฎไม่มีการบัญญัติไว้ในที่ประชุม ปฏิบัติตามบัญญัติที่ได้ตกลงกันในที่ประชุมแล้ว ข้อสี่ผู้ใดเป็นประธานในที่ประชุม เขาก็เคารพผู้เป็นประธานในที่ประชุมมานั้น ข้อห้าไม่ใช้กิเลสในการประชุมกัน ข้อหกเคารพสุภาพสตรีว่าเป็นเพศมารดา ตั้งอยู่ในธรรมเหล่านี้ทุกประการ พวกกษัตริย์ลิจฉวีจึงเจริญก้าวหน้า ใครจะมาตีให้แตกพ่ายไม่ได้
คราวนี้ก็วันนั้นพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ในวิหาร ก็ได้มองเห็นพวกนักบวช ๗ คน แต่งตัวเป็นนักบวช แต่ว่าไม่ใช่นักบวชจริงหรอก กำลังสำรวมทำท่าให้เป็นนักบวช เดินไปเดินมา พระผู้มีพระภาคทรงเห็นแล้วก็บอกว่านั่นไม่ใช่นักบวชจริง เป็นจารชนมาทำการสืบราชการลับ ประเดี๋ยวก็จะมาหาฉัน บอกกับพระอานนท์ว่าอย่างนั้น ประเดี๋ยวนักบวชเหล่านั้นก็เดินเข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า
เมื่อมาเฝ้าพระพุทธเจ้าๆท่านก็สนทนากับเขาในเรื่องอะไรๆต่างๆ พระองค์ทรงทราบดีว่า พวกนั้นต้องการจะทราบเรื่องอะไร คือนักบวช ๗ คนนั้นเป็นนักบวชปลอม ไม่ใช่นักบวชตัวจริงอะไร เขาปลอมมาทำไม ปลอมมาสืบราชการลับ ถึงสถานการณ์ของกษัตริย์ลิจฉวี ว่าพวกลิจฉวีนี้อยู่กันอย่างไร สภาพบ้านเมืองจึงมีความสุขความสงบเรียบร้อย อยากจะรู้ คราวนี้ก็เลยเข้ามาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พวกกษัตริย์ลิจฉวีนี่เขาอยู่กันอย่างไรจึงเรียบร้อย
พระพุทธเจ้าก็ตรัสให้ฟัง ตามหลักนี้ หลักที่ว่าเมื่อตะกี้นี้ พระองค์บอกว่า ตราบใดที่พวกกษัตริย์ลิจฉวียังประพฤติตนเรียบร้อยกันอยู่ คือมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ เมื่อเวลาประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เวลาเลิกประชุมก็ต้องพร้อมเพรียงกันเลิก ช่วยกันทำกิจที่หมู่คณะจะต้องจัดต้องทำ ผู้ใดเป็นหัวหน้าเป็นประธานในที่ประชุมก็เคารพต่อบุคคลเป็นหัวหน้า ไม่ติเตียนหัวหน้า ไม่วิพากษ์วิจารณ์หัวหน้าในที่ประชุมหรือที่ใดก็ตาม แล้วเมื่อใดตกลงมติกันอย่างใดในที่ประชุม ว่าดำหรือว่าแดงหรือว่าเขียวว่าขาวก็ตาม ทุกคนต้องยอมรับมตินั้น ออกนอกประชุมแล้วจะเที่ยวโพนทะนาว่า โอ้ย...ฉันไม่เห็นด้วยกับมตินั้น เหมือนกับว่าไปให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์อย่างนั้น แต่สมัยนั้นมันไม่มีหนังสือพิมพ์ แต่เขาไม่ไปเที่ยวพูดนินทาใคร ว่าไม่เห็นด้วยกัน เรื่องนั้นเรื่องนี้เขาไม่พูด พูดกันในที่ประชุมเสร็จหมดเรื่อง ออกนอกที่ประชุมเขาไม่พูดกับใครในเรื่องเกี่ยวกับการประชุมในเรื่องเหตุการณ์ที่ตกลงในที่ประชุม เขาไม่พูด เพราะถ้าพูดไปแล้วมันยุ่ง อาจจะพูดคนละแบบคนละอย่างไม่เป็นการเรียบร้อย และก็เคารพระเบียบแบบแผนที่สืบต่อกันมา เรียกว่าเคารพธรรมเนียมโบราณ อันใดที่คนโบราณเขาตั้งไว้ก็เคารพเชื่อฟังสิ่งนั้น ไม่ขัดขืนไม่ทำอะไรให้เสียหาย และอีกประการหนึ่งก็เคารพสตรี ว่าเป็นมารดาของลูก ไม่เอาสตรีมาเป็นเครื่องเล่น สมัยนี้เราเอาสตรีมาเป็นเครื่องเล่น คือการประกวดนางงามนั่นเอง เมื่อสมัยนั้นเขาไม่มี เขาให้เกียรติสตรี เคารพสตรีถือว่าเป็นแม่ของลูก เป็นแม่ของสังคม เขาไม่เหยียดหยาม
เพราะฉะนั้นพวกกษัตริย์ลิจฉวีจึงอยู่กันด้วยความเรียบร้อย ใครจะมาตีกับกษัตริย์ลิจฉวีไม่ได้ เพราะเวลาเกิดเรื่องเขาประชุมกันและเขาก็ต่อสู้กันอย่างพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พวกพราหมณ์ทั้ง ๗ คนที่ปลอมตัวบวชมาได้ฟังเช่นนั้นก็ลาพระพุทธเจ้ากลับไป กลับไปเมืองราชคฤห์แล้วก็ไปบอกพระเจ้าอชาตศัตรูว่าพวกกษัตริย์ลิจฉวีเขายังมั่นคงกันอยู่ เรียบร้อยกันอยู่ อยู่ในธรรมะของความประพฤติปฏิบัติ ไม่แตกแยกจากกัน พระเจ้าอชาตศัตรูก็วางแผนว่ามันจะต้องทำให้กษัตริย์ลิจฉวีแตกกันให้ได้ แล้วจะทำอย่างไร พระเจ้าอชาตศัตรูก็เรียกพราหมณ์ชื่อ “! ไป เมืองเวสาลีไปอยู่กับพวกเมืองเวสาลีและทำอะไรทุกอย่างให้กษัตริย์ลิจฉวีแตกกันให้ได้ พราหมณ์ก็เดินทาง
ถ้าใครเคยเรียนหนังสือชั้น ๗ – ๘ สมัยก่อนนี้ จะต้องได้อ่านหนังสือเล่นหนึ่ง เขาเรียกว่า “สามัคคีเภทคําฉันท์” แต่งโดยนายชิต บุรทัต อ่านไพเราะเพราะพริ้ง นายชิต บุรทัตนี่แต่งหนังสือดี เป็นคำฉันท์ สามัคคีเภทคําฉันท์ เขาให้เด็กเรียนภาษาไทย และเวลาพราหมณ์นี้เดินทาง เขาแต่งไพเราะมาก เดินป่าบุกป่าไปเจ็บหลังเจ็บนั่นเจ็บนี่ เขาพรรณนาละเอียด พอไปถึงเมืองเวสาลีก็เข้าไปกราบกษัตริย์ลิจฉวี ถ้าพูดสมัยนี้ก็เรียกลี้ภัยการเมือง ลี้ภัยการเมืองจากเมืองราชคฤห์ไปอยู่กับกษัตริย์ลิจฉวี เปิดหลังให้ดูเลย พอถึงเปิดให้ดูเลยบอกนี่ดูสิๆ พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นกษัตริย์หนุ่ม แล้วก็ไปเชื่อพระเทวทัต ถึงกับสั่งให้พระเทวทัตทำร้ายพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าไม่เป็นไร แล้วก็ยังมาทำร้ายพ่อ จับพ่อไปขัง จนกระทั่งพ่อตายในคุก เป็นกษัตริย์ที่ใจเหี้ยมใจโหด ข้าพเจ้ารับราชการมาในสำนักราชคฤห์ตั้งแต่วัยหนุ่มจนกระทั่งแก่ พระเจ้าพิมพิสารสวรรคตแล้วก็ยังทำต่อไป แต่ว่าพูดอะไรขัดใจนิดหน่อยนะ เฆี่ยนหลังข้าพเจ้า ดูเถอะ
คราวนี้แกเป็นพราหมณ์แกมีความรู้เพราะว่าความรู้ทั้งหลายอยู่ในสมองของพราหมณ์ทั้งนั้นแหล่ะสมัยนั้น คนอื่นไม่มีหน้าที่ เขาแบ่งคนออกเป็น ๔ พวก พวกกษัตริย์ พวกพราหมณ์ พวกแพศย์ พวกศูทร กษัตริย์มีหน้าที่รบ พราหมณ์มีหน้าที่สั่งสอนวิชาความรู้ให้แก่กุลบุตรกุลธิดา พวกแพศย์ทำหน้าที่ค้าขาย พวกศูทรเป็นกรรมกรรับจ้าง ตามแบบวรรณะของอินเดีย
คราวนี้พราหมณ์ก็มีความรู้ไปอยู่เมืองกษัตริย์ลิจฉวีก็นึกว่า ให้อยู่เฉยๆทำไม คนมีความรู้ให้สอนเด็กดีกว่า เลยให้สอนลูกๆของกษัตริย์ลิจฉวี คราวนี้ได้เป็นครูสอนเด็กก็ทำให้เด็กรักก่อน พอทำให้เด็กรักแล้วจะทำเด็กแตกกันละต่อไป วิธีการง่ายๆอย่างเช่นว่า เรียกเด็กคนหนึ่งเข้ามาในห้อง เข้ามาถึงไม่พูดอะไร เด็กเข้าไป เด็กก็ถามอาจารย์เรียกเข้าไปในห้องทำไม ไม่มีอะไร? เรียกมาอย่างนั้น เฮ้ย...ไม่จริงอะ เรียกคนอื่นก็ทำอย่างนั้น ทำให้เด็กระแวงกัน พราหมณ์แกใช้อุบายทำให้เด็กระแวงกัน แล้วบางทีก็เรียกมาพูดเรื่องหนึ่งสักคำสองคำเรื่องที่ไม่เป็นสาระ เด็กก็บอกเฮ้อ...ไม่มีสาระอะไร อาจารย์พูดธรรมดาๆ เฮ้อ...ไม่ใช่ๆต้องเรียกเข้าไปในห้องเป็นพิเศษเพราะอยู่กันตั้งนานนี่ มันต้องพูดอะไรกันบ้าง เด็กก็เกิดบาดหมางกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน แล้วเด็กนั้นก็ไปบอกพ่อ พ่อก็ชักจะโกรธเรื่องอย่างนี้ขึ้นมา แต่ไม่ลงโทษพราหมณ์แต่ว่าบาดหมางกันเองในเรื่องต่างๆ แล้วบางทีพราหมณ์ก็บอกว่าพ่อของเธอพูดกับฉันว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เด็กก็ไปทำให้พ่อแตกกัน
ผลคือแตกกันทั้งเมือง เลยตีกลองประชุมเราเรียกว่า …… (11.54 เสียงไม่ชัดเจน) ตีกลองนี้มาหมดเลยมาอย่างรวดเร็วตรงต่อเวลามากันประชุมพร้อมเพรียงกัน แต่พอตีกลองมาหรอมแหรมแล้ว ไม่มีใครมาประชุม ประชุมไม่พร้อมกันแล้วเกิดแตกแยกแตกร้าวกันแล้ว ทีนี้เมื่อแตกแยกแตกร้าวกันแล้วก็ส่งข่าวไปยังกรุงราชคฤห์ บอกพระเจ้าอชาตศัตรูว่าเมืองเวสาลีเวลานี้แตกแล้วยกทัพมาได้เลย กษัตริย์กรุงราชคฤห์ก็ยกทัพมาตียึดเอาเวสาลีเป็นเมืองขึ้น เหมือนกับซัดดัม ฮุสเซน ยึดเอาคูเวตอย่างนั้น เพราะว่าราชคฤห์มันใหญ่กว่านี่ แต่เมืองเวสาลีมันเมืองเล็กเป็นแคว้นน้อย เลยยึดเอามาตามสบายใจเป็นการยึดได้
คราวนี้ยึดได้เพราะอะไรเขาเรียกว่า “อุบายวัสสการพราหมณ์” เดี๋ยวนี้เขาก็เอามาใช้กันอยู่เหมือนกันนะ อุบายวัสสการพราหมณ์นี้ ได้ข่าวมาเมื่อ ๒ -๓ วันมานี้ ว่าพรรคพลังธรรมแตกกันน่ะเพราะอะไร อันนี้เขาเรียกอุบายวัสสการพราหมณ์ คือว่าเมืองราชคฤห์ส่งคนไปคนหนึ่งให้ไปคุยกับเลขาธิการของพรรค บอกว่าอยากเป็นรัฐมนตรีไหมล่ะ ถ้าอยากเป็นรัฐมนตรีมีหวังแล้วนะ เขาจะปรับคณะรัฐบาลแล้วเอาพวกท่านมาเป็นรัฐมนตรี คราวนี้ท่านเลขานั้นความจริงมีความรู้ดีเป็นหมอทางจิตวิทยาแล้วก็ไม่ค่อยใช้กับตัวเท่าใด เคยเอาแต่ไปใช้กับคนอื่น เลยก็กระสันอยากเป็นขึ้นมาแล้วก็เลยพูดออกไปทางหนังสือพิมพ์ว่า พรรคพลังจะเข้าร่วมแต่หัวหน้าพรรคพลังธรรมไม่ยอมร่วมด้วย อ้าว..เกิดแตกแยกกัน
อันนี้น่ะอุบาย อุบายแบบวัสสการพราหมณ์ คือต้องการให้พรรคนี้แตกกันไม่สามัคคีกัน แต่ถ้าแตกกันจริงก็เรียกว่าตกหลุมพรางที่ฝ่ายหนึ่งขุดหลุมขึ้นล่อแล้วก็ตกหลุมกันไป แต่ถ้าไม่แตกก็เรียกกันว่าพรรคพลังธรรมยังมีธรรมะเป็นกำลังอยู่ ไม่เป็นไร แต่ถ้าแตกกันจริงๆเรียกว่า ธรรมมะไม่มีแล้ว เกิดแตกแยกแตกร้าว อันนี้ต้องคอยดูต่อไปจากนี้ต้องคอยดูต่อไป แต่เอามาเล่าให้ฟังเห็นว่าอุบายวัสสการพราหมณ์นี้ เขาก็ใช้กันเหมือนกัน
ในพงศาวดารจีนเขาก็ใช้เหมือนกันก็เรียก อุบายนาง ......(14.26 เสียงไม่ชัดเจน) นาง …… เป็นสาวสวยของรัฐหนึ่ง คราวนี้รัฐนี้ตกเป็นเมืองขึ้นของอีกรัฐหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินของรัฐนั้นก็ถูกจับแล้วเอาไปใช้ให้ลากรถ ลากราชรถให้พระเจ้าแผ่นดินนั่ง ลำบากเดือดร้อน แต่ว่าทำตามทุกอย่าง สุดแล้วแต่เขาใช้ให้ทำอะไรทำตามหมด ให้ทำอะไรที่ไม่น่าจะทำ แกก็ทำ แสดงความอ่อนน้อมยอมแพ้หมด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คราวนี้พระเจ้าแผ่นดินผู้ชนะก็ไว้ใจ นึกว่าอยู่ในอำนาจแล้วส่งกลับบ้าน พอส่งกลับบ้านก็เลยดำเนินอุบาย หาหญิงสาวสวยๆส่งกลับไปสู่ราชสำนักที่เป็นฝ่ายปกครองตน แต่ว่าคนหนึ่งเป็นพิเศษคือนาง ...... (15.19 เสียงไม่ชัดเจน) รูปร่างสวยมากเข้าไปก็ได้เป็นพระสนมคนโปรดเลย แล้วผลที่สุดก็ราชวงศ์นั้นล้มเพราะนาง ...... (15.28 เสียงไม่ชัดเจน)
นี่เอง ก็เป็นอุบายเหมือนกันก็เอาไว้ใช้กันได้เดี๋ยวนี้ ใช้สุภาพสตรีบ้าง ใช้เงินบ้าง ใช้อุบายอะไรบ้าง ทำให้คนแตกแยกแตกร้าวกัน เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่มีแต่เพียงในสมัยนี้ ในสมัยก่อนก็มีกันมาแล้วเหมือนเรื่องพระเจ้าอชาตศัตรูเล่นงานกษัตริย์ลิจฉวีก็ใช้วัสสการพราหมณ์ เฆี่ยนไป เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเฆี่ยนหลังละ พกเงินมากๆเก็บกระเป๋าตุยๆไปละไปคุยตบกระเป๋านี่ๆ ถ้าทำตามฉันว่าละ นี่ๆจะเอาสักเท่าไหร่ ตำแหน่งก็ได้ เงินก็ได้
อันนี้คนเราถ้ามีความโลภมากมีอยากได้ในตำแหน่งก็ดีในทรัพย์สมบัติก็ดีก็ยอมตกหลุม เขาก็เอาไปใช้ได้ทำให้เกิดการแตกแยกแตกร้าว เวลานี้นักการเมืองเมืองไทยนี่ขายตัวกันเยอะแยะ ครั้งหนึ่งเคยอยู่พรรคหนึ่ง อยู่พรรคหนึ่งแล้วต่อมาก็เปลี่ยนพรรคไปอยู่พรรคอื่นต่อไป ไปอยู่ก็ไม่ใช่ใหญ่โตมโหฬารอะไร แรกอยู่ที่พรรคเก่าเป็นถึงรัฐมนตรี คราวนี้ต่อมาก็ไปสมัครอีกพรรคหนึ่ง แล้วย้ายพรรคไปอยู่อีกพรรคหนึ่งอีกเป็นความตกต่ำ คนๆนั้นตกต่ำลงไปเรื่อยๆ เพราะย้ายพรรคบ่อยๆ คนเขาก็ไม่ชอบชาวบ้านนี่เขาไม่ชอบหรอก ไม่ชอบคนที่ย้ายพรรคบ่อย แสดงว่าจิตใจโลเล มีความไม่แน่นอน ไม่มีอุดมการณ์ ไหลไปตามอารมณ์ ไหลไปตามความอยากที่เกิดขึ้น ต่อไปก็อาจไม่ได้รับเลือก ความจริงคราวที่แล้วก็หวุดหวิดไปเหมือนกัน เกือบจะได้เหมือนกันเพราะทิ้งพรรคเก่ามา แล้วก็มาสมัครอีกพรรคหนึ่งได้มา แต่ก็ทิ้งพรรคนั้นไปอีก เรียกว่าเป็นคนหลายใจไปเสียแล้ว
ถ้าเป็นผู้หญิงเขาเรียกว่าเป็นคนดอกทองไปแล้ว อย่างนั้นมันก็ใช้ไม่ได้ ผู้แทนดอกทองเรามีเยอะแล้วเวลานี้ในเมืองไทยเรา ทำอย่างนั้นใครจะไปเชื่อ …… (17.31 เสียงไม่ชัดเจน) เป็นทหารที่ดี แต่พอเป็นนักการเมืองไม่ได้เรื่องอะไรอย่างนี้ก็มี มีอย่างนี้บ่อยๆเสียหาย บางทีก็เสียหายด้วยเรื่องอื่นอีก นี่มันเป็นเพราะอะไร เพราะไหลไปตามอำนาจของกิเลส ความโลภ ความหลง ตัวโลภะเป็นตัวสำคัญที่ทำคนให้เสียหาย คืออยากได้ตำแหน่ง คราวนี้ตำแหน่งมันเลยไปถึงเรื่องอื่นด้วยต่อไป ก็ทำให้เกิดความเสียหาย ทำให้ประชาธิปไตยไม่มั่นคง เพราะคนไม่มั่นคงขาดศีลขาดธรรมจึงเกิดความเสื่อมขึ้นในชีวิตได้
เหตุการณ์ในบ้านในเมืองก็สอนศีลธรรมอยู่ในตัวนะ เราในฐานะที่เป็นคนวัดก็ต้องพิจารณาดูว่า คนประเภทใดมีหลักใจอย่างไรมั่นคงในธรรมะขนาดไหนหรือประพฤติโน้มโอนเอียงไปตามสิ่งแวดล้อม ลมแรงไปก็ไหลไปตามลม ไม่ต้านทานกับสิ่งที่เป็นธรรมชาติใฝ่ต่ำ คนอย่างนั้นจะทำอะไรได้ในกาลต่อไปข้างหน้า อาจจะขายชาติขายประเทศก็ได้ ถ้าหากว่าได้อะไรมากๆมันก็เกิดความเสียหาย ก็เหมือนพระยาจักรีในสมัยกรุงศรีอยุธยา พม่ามาล้อมเมืองอยู่ตั้งนานแล้วตีไม่ได้สักที คราวนี้พระยาจักรีนั้น แกก็หนีออกจากพระนคร ไปหาแม่ทัพพม่าแล้วก็ไปบอกจะตีกรุงศรีอยุธยาแตกต้องเข้าตรงนั้น เพราะตรงนั้นไม่มีทหาร กำแพงก็ไม่แข็งแรง แล้วก็เข้าไปถึงก็มีที่พอจะตั้งทัพได้ สะดวกสบาย บอกหมดความลับในกำแพงเมืองอยุธยา บอกหมด คราวนี้พม่าก็รู้จุดอ่อน พอรู้จุดอ่อนก็โจมตีจุดอ่อน เข้าไปได้เรียบร้อย ยึดเอาพระนครศรีอยุธยา จับพระเจ้าแผ่นดินไปได้ พระเจ้าแผ่นดินในยุคนั้นคือพระมหินทร์ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน จับพระมหินทร์ แต่ว่าท่านก็ประชวรเพราะว่าหนีทัพเข้าไปอยู่ในป่าในดง ประชวรเป็นไข้ จับไปได้ก็เป็นไข้หนักแล้วก็สิ้นพระชนม์ ไม่สามารถเอาไปกรุงอังวะหรือเมืองหลวงของพม่าได้ แล้วก็พม่าก็เอายึดกรุงไว้ในสมัยนั้น แล้วยึดเอาพระนเรศวรไปด้วย ลูกพระมหาธรรมราชาเอาไปเป็นตัวประกันในสมัยนั้น
พระยาจักรีที่หนีออกไปบอกความลับให้แก่พม่านั้นได้รับผลเป็นอย่างไร พม่าไม่ไว้ใจ เขาบอกว่า นั่งร้านสร้างเจดีย์สร้างตึกนี่ เมื่อสร้างเสร็จแล้วใครจะเอาไว้ ธรรมดานั่งร้านนี่ที่เขาก่อตึกก่อบ้านนี่ ก่อเจดีย์ก่ออะไรก็ตาม พอเสร็จแล้วเขารื้อทิ้งทั้งนั้น พวกนั่งร้านเขารื้อทิ้งทั้งนั้น เขาไม่เอาไว้ ไม่เป็นประโยชน์อะไรต่อไป คราวนี้เจ้าพระยาจักรีไปเป็นนั่งร้านให้แก่พม่า พม่าเขาไม่เลี้ยงนะคนอย่างนั้น เลี้ยงไว้ทำไมประเดี๋ยวทรยศผู้เลี้ยงเข้าไปอีก เลยก็ถูกฆ่าเท่านั้นเอง คืออนาคตของบุคคลที่ทรยศต่อชาติ ผลที่สุดก็ถูกฆ่าไปด้วยเหมือนกัน
นี่ก็เป็นตัวอย่างมีอยู่ ไม่เฉพาะแต่เมืองไทย ในประวัติศาสตร์ของต่างประเทศก็มีเหมือนกัน คนประเภทนี้มันก็มีเหมือนกัน ไปเป็นไส้ศึกแล้วก็ทำลายบ้านเมืองของตัว ทำให้เกิดความเสียหาย คนอย่างนี้ มันต้องการความยิ่งใหญ่ นึกว่าเขาจะชุบเลี้ยงให้เป็นใหญ่เป็นโตในกาลต่อไปข้างหน้า แต่ไม่ได้นึกถึงว่านั่งร้านนี่ไม่มีใครเก็บไว้ พอสร้างเขาก็รื้อนั่งร้าน เอาไปเผาไฟหรือเอาไปทำอะไรก็เอาไปตามเรื่อง นี่ไม่เตือนใจ สติมันไม่มี ไม่มีสติปัญญาในขณะนั้น มีแต่ความโลภเกิดขึ้นในใจ แล้วก็ทำอะไรตามชอบใจตัว ตามใจอยาก ไม่ได้คิดถึงชาติถึงประเทศถึงเกียรติยศของวงศ์ตระกูลอะไรแม้แต่น้อยเลยเกิดความเสียหาย อันนี้ปรากฏอยู่ในประวัติของชาติของบ้านเมืองเราอยู่เหมือนกัน
คนที่จะเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมือง มันต้องอ่านประวัติศาสตร์เหมือนกัน ต้องอ่านให้ละเอียด แล้วเอาชีวิตเก่า ประวัติศาสตร์เก่ามาเป็นตัวอย่าง เป็นเครื่องเตือนใจ จะได้ทำอะไรให้ถูกต้อง เพราะว่ามันมักซ้ำกัน เขาเรียกว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ไม่ว่าสมัยราชา สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือ สมัยประชาธิปไตย ประวัติศาสตร์มันก็ซ้ำรอยกันทั้งนั้นแหละ มันเป็นไปตามแบบนั้น
คราวนี้ถ้าเราศึกษาทำความเข้าใจเอามาใช้ ใครจะเป็นนักการเมืองต้องศึกษาเรื่องอย่างนี้ให้เข้าใจ จะเป็นฝ่ายรัฐบาลก็ต้องศึกษา ฝ่ายค้านก็ต้องศึกษา ทำความเข้าใจไว้ จะไม่เสียเปรียบแก่ใครๆ แล้วจะไม่มีการทำอะไรที่น่าขายหน้าแก่ประชาชนทั่วบ้านทั่วเมืองต่อไป เพราะเรารู้ว่า อะไรมันเป็นอะไรถูกต้อง นี่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งเราเห็นได้รู้กันอยู่ ก็เป็นเรื่องเก่า ใช้อุบายเก่านั่นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร
สามก๊กนี่ก็น่าอ่านเหมือนกัน ถ้าเราอ่านสามก๊กจะเห็นว่าบางครั้งบางคราวก็ใช้อุบายเหมือนกัน เช่นว่า ใช้บังทองให้ไปเป็นไส้ศึกนี่ แล้วก็วางแผน หรือว่าใช้ขงเบ้งไปทำงาน ไปผูกมิตรผูกไมตรี ทำอะไรต่างๆ แต่ว่าเขาเป็นคนฉลาดก็ทำงานได้ด้วยความเรียบร้อย
สมัยนี้ก็เอาสิ่งนั้นมาใช้ แต่ฝ่ายตั้งรับไม่เรียนรู้ ฝ่ายรุกเรียนรู้ เลยฝ่ายรุกเอาไปใช้ ฝ่ายตั้งรับไม่สนใจ ไม่ศึกษา ก็เลยเสียเปรียบเสียท่าเขา ก็เป็นบทเรียนสอนจิต สะกิดใจให้เกิดการพิจารณา แล้วก็ได้บทเรียนอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมะถ้าไม่มีในที่ใด ที่นั้นเสียหาย บุคคลใดไม่มีธรรมะ บุคคลนั้นตกต่ำ สังคมใดหรือพรรคใดพวกใดที่รวมกันเข้าไม่มีธรรมะ ก็เกิดความเสียหายเหมือนกัน
ดังนั้นต้องใช้ธรรมะเป็นหลักไว้ เอาธรรมเป็นธงชัย เป็นแสงสว่างของตนของครอบครัวของพรรคของพวก โดยเฉพาะพรรคการเมืองนี่เรื่องสำคัญมาก ต้องเอาธรรมะชูไว้ เอาธรรมะเป็นดวงประทีปส่องทางไว้ตลอดเวลา แล้วคนในพรรคทุกคนก็ต้องมีแนวคิดแบบเดียวกันกับหัวหน้า ถ้าไม่คิดเหมือนหัวหน้า ก็เกิดแตกแยก ถูกไล่ออกจากพรรค พอถูกไล่ออกจากพรรคก็หมดอำนาจ หมดสิทธิของความเป็นผู้แทนราษฎร
แต่เมืองไทยเราไม่ค่อยจะรังเกียจกัน คนที่ถูกไล่ออกแล้วพรรคหนึ่งก็ยังรับเข้าไป นี่...เขาเรียกว่าไม่มีจรรยาบรรณทางพรรคการเมือง หรือไม่มีศีลธรรมในพรรคการเมือง เอาแต่ตัวเลขไว้ เอาแต่จำนวนคนไว้ เห็นว่าคนใดเป็นคนมีสะตุงสะตังค์มากๆแม้จะเกิดความเสียหายอะไร ก็ไม่เป็นไร เอาคะแนนเข้าก่อนนั้นไว้ เอาเงินเขามาใช้ ถ้าอย่างนี้แล้วพรรคนั้นไปไม่รอด รากมันพุ ปลวกมันกิน เหมือนเราปลุกต้นไม้ในวัดนี่ บางต้นมันทำท่าจะตาย ตายแล้วขุดดู ตายแล้วปลวกกินรากหมดแล้วเลยมันขึ้นไม่ได้ คราวนี้พรรคการบ้านการเมืองก็เหมือนกัน ถ้ารากมันเน่า คือฐานมันไม่ดี ฐานเอาคนมากเข้าว่า แต่ว่าไม่ว่าเป็นคนประเภทใดเป็นนักเลงก็ได้ เป็นหัวไม้ก็ได้ หรือว่าเป็นคนก่อ พ่อค้าร่ำรวย ร่ำรวยจากการค้าของเถื่อนก็ได้ จากของบ่อนการพนันก็ได้หรือว่าตัดไม้เถื่อนไปขาย เลื่อยขายก็ได้เอาทั้งนั้น เพราะว่ามีเงินแล้วเอามาใช้ได้ แล้วก็คุมไม่ได้ ผลที่สุดก็เดือดร้อนวุ่นวาย
นี่เป็นอยู่ กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ บ้านเมืองของเราก็จะไปไม่รอดตามแบบประชาธิปไตย คราวนี้ถ้ามีใครสักคนหนึ่ง เกิดมายึดอำนาจก็มันทำได้ ถ้าว่าเหตุการณ์มันได้ก็ยึดต่อไปแล้วก็ปรับปรุงกันใหม่ ประชาธิปไตยก็เรียกว่า ล้มลุกคลุกคลานกันมาเรื่อยๆ เพราะว่าผู้ดำเนินงานไม่ใช้ศีลธรรม เป็นหลักคุ้มครองจิตใจ ไม่เอาศีลธรรมไปเป็นหลักในการบริหารพรรค บริหารการงานในพรรคให้เป็นการเรียบร้อย ก็เกิดเป็นปัญหา นี่คือตัวปัญหามันเกิดตรงนี้ เพราะขาดหลักศีลธรรมประจำจิตใจ เลยก็เกิดความเสียหาย ไม่มีอุดมการณ์ ความจริงเราก็จะเข้าพรรคใดก็ต้องดูว่าพรรคนี้เขามีอุดมการณ์อย่างไร มีจุดหมายอย่างไร ตั้งเป้าไว้อย่างไร จะพัฒนาบ้านเมืองไปในทางไหน เข้าไปเป็นลูกพรรค ก็หมายความว่าเราต้องมีจิตใจเหมือนกับคนในพรรค คนในพรรคต้องเป็นคนใจเดียวกัน หลายใจไม่ได้
พอหลายใจเกิดแตกแยกแตกร้าว ทำให้คนอื่นใช้เป็นเครื่องมือได้ เพราะฉะนั้นต้องศึกษานโยบายของพรรคให้แน่นอน ว่ามีความมุ่งหมายอย่างไร มุ่งไปในทางไหนทางเศรษฐกิจ ทางการปกครอง ทางการศึกษา ทางอะไรต่ออะไรนี่ เขามีความมุ่งหมายอย่างไร หมายความว่า เราเข้าสมัครพรรคใด แสดงว่าเราชอบอุดมการณ์ของพรรคนั้น ไม่ใช่เข้าไปเพียงเพื่อจะได้สมัครเป็นผู้แทนแล้วก็จะได้เป็นผู้แทน แต่ว่าไม่เอาอุดมการณ์ของพรรคมาเป็นหัวใจ เข้าไปแต่ร่างไม่มีหัวใจ คนเข้าไปแต่ร่างกายไม่มีหัวใจ หรือพูดตามแบบฝรั่งเขาว่าไม่มีสปิริต ไม่มีสปิริตทางด้านการเมือง เพียงแต่เข้าไปเพื่อเอาชื่อพรรค มาใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาหาเสียง ครั้นเมื่อได้เข้าไปแล้วก็ไม่ได้ทำตามนั้น เลยจะเกิดการแตกแยกแตกร้าวพรรคก็เสียหายแล้วก็ทำลายประชาธิปไตยไปด้วยในตัว ทำให้คนที่เขาเลือกเข้าไปก็เกิดความเสียใจว่า เราเลือกคนผิด ความจริงเลือกคนไม่ผิดบางคนเลือกพรรค เพราะในสมัยที่เป็นพรรคเขาให้เลือกพรรคไม่ให้เลือกคน
คราวนี้เลือกคนในพรรคก็หมายความว่าคนนั้นมีสปิริตเหมือนกับหัวหน้าของพรรค หรืออุดมการณ์ของพรรคที่เขาตั้งไว้ เราจึงเลือกคนนั้นเข้าไป ก็หมายความว่าเลือกพรรคนั่นแหล่ะ แต่ว่าคนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพรรค อาจจะเกิดไม่ดีขึ้น ก็จะไปโทษพรรคว่าไม่ดีก็ไม่ได้เพราะอุดมการณ์นั้นยังอยู่ แต่ถือว่าคนนั้นพิเรนทร์ออกไป ออกไปนอกลู่นอกทาง ก็ตัดออกไป เหมือนนิ้วชี้เรามันเสียก็ตัดนิ้วมันออกไป นิ้วก้อยเสียก็ตัดนิ้วก้อย แต่มือก็ยังเอาไว้ ยังใช้มือต่อไป ถ้าว่าเป็นแผลนิ้วเดียวตัดแขนทิ้ง มันก็มากไปหน่อย หรือว่าตัดคอทิ้งก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลย เราต้องเอาคอไว้ เอาตัวไว้ แต่ว่าอวัยวะส่วนใดเสียก็ตัดทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตไว้ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนว่าเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต แต่เมื่อคิดถึงธรรมะต้องเสียสละหมดทุกอย่าง คือเสียสละทรัพย์ เสียสละอวัยวะ เสียสละชีวิต เพราะอาศัยธรรมะ
เมื่อวันเปิดโรงเรียนนี้ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ท่านมาเปิดนะตอนนั้นนะ เปิดแล้วเข้ามายืนตรงนี้ พอยืนตรงนี้แล้วท่านก็ถามว่า เสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมะ นี่มันหมายความว่าอย่างไร ท่านถามเรื่องนี้ ที่คุยกันมา อาตมาก็อธิบายให้ฟังว่า เสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะร่างกายของเราไว้ ไปโรงพยาบาลมันก็ต้องเสียเงิน ถ้าไม่เสียเงิน เขาก็รักษาไม่เต็มใจ โรคมันก็ไม่หาย นี่เสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ แต่ถ้าอวัยวะมันเสีย มันเป็นแค่ …… (30.09 เสียงไม่ชัดเจน) ถ้าเอาไว้มันจะลุกลามต่อไป หรือเป็นมะเร็งขึ้น มันจะลุกลามต่อ ก็ต้องตัดส่วนนั้นทิ้งไปเพื่อรักษาชีวิตไว้ แต่เมื่อเราคิดถึงธรรมะ ธรรมะก็คือส่วนหน้าที่ ที่เราจะต้องทำใครอยู่ในหน้าที่ใด เช่นเป็นทหารต้องเสียสละชีวิต เพื่อประเทศชาติบ้านเมือง หรือว่าเป็นอะไรก็ต้องเสียสละเพื่อหน้าที่ ก็ต้องเสียสละหมดทุกอย่างเพื่อหน้าที่ อธิบายให้ทรงทราบอย่างนั้น
แล้ววันหลังท่านก็นิมนต์ไปในวัง ได้ไปเทศน์เป็นครั้งแรกในวังหลวง ความจริงอยากจะไปเทศน์อยู่นานแล้ว แต่ว่ามันไม่มีโอกาส ไม่รู้จะไปได้อย่างไร จากนั้นก็มีงานเรียกว่า พระราชทานเหรียญรามาธิบดีชั้น ๒ แก่ทายาทของคนที่ไปตายในหน้าที่ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ท่านเห็นว่าแจกเหรียญเฉยๆ นิมนต์พระมาบังสุกุลเฉยๆ มันก็ไม่ค่อยได้สาระอะไรเลยนิมนต์เทศน์หน่อย ก็เลยส่งคนมานิมนต์ แต่ว่ามาถึงมันไม่ยื่นฎีกาให้ดู บอกว่า สมเด็จพระบรมราชินีนาถนิมนต์ท่านไปเทศน์ในวัง เลยบอกว่ามาพูดหยอกอีกแล้ว พวกเธอมาพูดหยอกฉันอีกแล้ว มันไม่ถึงฉันหรอก เรื่องเทศน์ในวังนี่ วัดกรุงเทพเก็บกินหมด มันไม่มาถึงวัดชลประทานหรอก ไหนนะถ้านิมนต์จริงมันต้องมีฎีกาที่ในวัง ในวังก็ต้องมีฎีกา เลยล้วงฎีกาออกมาอ่านให้ดู ว่าสมเด็จพระบรมราชินีนาถมีพระราชเสาวนีย์ นิมนต์ท่านพระราชนันทมุนีไปแสดงธรรมในงานพระราชทานเหรียญรามาธิบดีชั้น ๒ แก่ทายาท อ้าว! จริง ... อันนี้ใช้ได้
แต่บอก เขาบอกว่าท่านต้องเขียนนะ ไปเทศน์ในวังต้องเขียนนะ โอ้ย! เขียนไม่ได้ มันเขียนไม่เป็น .... พูดเลย บอกว่า ไม่ได้ไปเทศน์ในวังเดี๋ยว…พูดเสร็จบอก โธ่! … ฉันเทศน์มาตั้งสี่สิบกว่าปีแล้ว ฉันจะไปฆ่าตัวตายในวังได้ยังไง เธอคอยฟังก็แล้วกันว่า ฉันเทศน์อย่างไร ขอให้ฟัง บอกว่าไม่ได้มันต้องมีหนังสือคัมภีร์ แหม! คัมภีร์วัดนี้มันมีกับเขาเมื่อไร ตั้งแต่สร้างวัด ... ไม่มีคัมภีร์สักผูกหนึ่ง ไอ้ผ้าหอคัมภีร์ก็ไม่มีซะด้วยนะ บอกไม่เป็นไรผมจะหาไปวางไว้บนธรรมาสน์ เวลาขึ้นธรรมาสน์ ท่านต้องถือคัมภีร์ แล้วก็ว่า ไปตามใจละ แต่ว่าถือคัมภีร์ไว้ ก็ต้องถือคัมภีร์ ไปเทศน์ในวังต้องเทศน์แบบในวัง อ้าว! … แบบยังไงในวัง ท่านไปเรียนเอาเองก็แล้วกัน เลยต้องโทรไปวัดมหาธาตุ ถามเจ้าคุณธรรมมหาเวลานุวรรถซึ่งเป็นสหายร่วมงานกัน ว่าเขานิมนต์เทศน์ในวังนะ…เทศน์ยังไง? ขึ้นต้นยังไง? ท่านก็บอกมา ขอถวายพระพร สิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลชนม์สุขทุกประการ จงมีแด่มหาบพิตรพระราชสมภาร พระองค์ผู้ทรงสกุลอันประเสริฐ อาตมาจะแสดงพระธรรมเทศนาในเรื่องปาธากถา ถ้าหากว่าอาตมาแสดงผิดไป เฮะ! ผู้เทศน์มันจะผิดได้ยังไง? อ้าว ... ว่าไปเถอะ! ว่าก็ว่ากันไป ผิดพลาดบาทหนึ่งบาทใดขออาศัยพระกรุณาคุณ ทรงให้อภัยแก่อาตมาผู้มีสติปัญญาน้อย เอ๊ะ! สติปัญญาน้อยจะไปเทศน์ ให้พระเจ้าแผ่นดินฟังอย่างไร? ก็ประท้วงเรื่อยเลย ….บอกไม่ได้...ต้องน้อยทั้งนั้น เข้าไปในวังสติปัญญาต้องน้อยทั้งนั้น สติปัญญาต้องน้อยก็ว่าไป ก็เลยเอามาท่องๆ จนจำนะ ว่าอย่างนั้น
พอขึ้นถึงก็ให้ศีลพอศีลเสร็จก็จับคัมภีร์ขึ้น ก็ขอถวายพระพร เราก็ว่าไปตามเรื่องพอพ้นนั้นก็ว่าตามสบายใจ โอ้ย! เรียบร้อยไม่มีที่ติละ ก็เทศน์มันก็อย่างนั้นมันไม่มีอะไรเสียหาย ในวันนั้นนายกรัฐมนตรีคึกฤทธิ์เป็นนายก คึกฤทธิ์ก็ไปฟัง นายทหารชั้นนายพลก็ไปฟังหมด มานั่งกันเป็นแถว ท่านสมภารวัดราชประดิษฐ์เห็นเข้า ถามว่าวัดชลประทานมาบังสุกุลกับเขาด้วย เฮ้ย..วัดชลประทานไม่ได้หากินทางบังสุกุลหรอก...มาเทศน์ อ้าว….เทศน์ด้วยเหรอ ว่านั้นพูดเหมือนว่าวัดชลประทานเทศน์ไม่เป็นอย่างนั้น เทศน์ด้วยรึ! อ้าว! คอยฟังก็แล้วกัน เรียกว่า (34.54 เสียงไม่ชัดเจน) คอยฟังก็แล้วกัน เขาอัดเทปไว้เรียบร้อย แล้วก็นายอะไร ปลัดกระทรวงคมนาคม คุณศุภเนตรน่ะ เขาเอาพิมพ์แจกเป็น สคส. ในปีนั้นนะ ธรรมเทศน์นั้นนะ นี่แหล่ะได้เข้าไปในวังไปเทศน์อย่างนั้นแหล่ะโยม ว่าไปตามเรื่องก็เทศน์เรื่องเสียสละ ให้ทหารทั้งหลายได้ฟัง เทศน์เรื่องเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมะ
เทศน์ในหัวข้อนี้ มันก็ไม่ยากเย็นอะไร เทศน์สบายๆ ให้เขาฟังกัน เรามันต้องอย่างนั้น คือเราทุกคนต้องเสียสละ โดยเฉพาะนักการเมืองต้องเสียสละอย่างยิ่ง ใครเข้าไปเป็นนักการเมือง ต้องไปเสียสละ ไปให้ไม่ใช่ไปเอา ไปทำงานให้แก่บ้านเมืองช่วยบ้านช่วยเมือง มีคนสมัครผู้แทนบอก...คุณสมัครไปทำอะไร? คุณมีอุดมการณ์อย่างไร? บอกว่าถ้าไม่มีอุดมการณ์ทางเสียสละ อย่าสมัครดีกว่า สมัครไปก็อย่างนั้น ถ้าไม่มีอุดมการณ์การเสียสละ พูดกับเขาอย่างนั้น แล้วก็คนนั้นก็ไม่ได้เพราะว่าเจตนาไม่บริสุทธิ์ก็เลยไม่ได้เป็นนักการเมือง แต่บางคนเป็นแล้วก็มาทำเลอะเทอะ ต้องขับต้องไล่กันบ่อยๆ นี่ก็เพราะเรื่องมันเสียหาย มันเรื่องฐานมันไม่ค่อยดี ฐานพรรคก็ไม่ค่อยดี เรียกว่าไปช่วยหาเงินมาให้พรรค การหาเงินเข้าพรรคมันทำให้เกิดความเสียหาย เพราะว่าเราเล่นการเมืองโดยการลงทุน ต้องลงทุนในการหาเสียงเลือกตั้ง จ่ายเงินกันมากๆ จ่ายมากกันทั้งนั้น ไม่มีใครไม่จ่าย กฎหมายให้ว่าสามแสนห้า...ไม่พอ
เคยถามนายไสว แสงสุกใส เธอนี่เป็นนักการเมืองนี่ จ่ายเงินเท่าไหร่? เฮ้อ! หลวงพ่อไอ้สามแสนห้า….ค่ารถก็ไม่พอ รถตั้งห้าหกสิบคันวิ่งกันทั่วเมืองนครพนม คนรถสี่คน น้ำมัน อาหารการกิน สามแสนมันจะทานมือได้ที่ไหน ? แล้วเธอเขียนรายงานว่าอย่างไร? รายงานว่าสามแสน เธอคิดกันอยู่กี่วัน? ที่จะเขียนโกหกรายงาน เขียนมันไปตามเรื่อง คราวนี้ทางราชการก็รับรู้ ความที่มันโกหกทั้งนั้น บอกว่าเธอโกหก โอ้ย! โกหกทั้งสภานะ หลวงพ่อ…ไม่มีใครพูดจริงกันสักคนเดียว อันนี้เราอยู่กันด้วยคำโกหก พกลมแท้ๆ เลยนะ
คราวนี้ให้โยมจำไว้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คนพูดโกหกนั้นทำบาปได้ทุกอย่าง คนที่พูดโกหกได้ทำบาปได้ทุกอย่าง ถ้าพูดโกหกได้ทำบาปได้ทุกอย่าง ไม่มีบาปอันใดที่คนพูดโกหกจะทำไม่ได้ ถ้าเราเห็นใครพูดโกหกแล้วเริ่มขีดหมายหัว ไอ้นี่..ทำบาปได้ทุกอย่างเพราะมันโกหกแล้ว ถ้ามันโกหกแล้วมันทำบาปทุกอย่างไม่ว่าอะไร เหมือนกับพระองค์หนึ่งที่มีเรื่อง เวลาเข้าไปก็ถามมีอะไร มีเทปไหม อ้าว ไม่มีๆๆ พอพ้นกับ …… (38.05 เสียงไม่ชัดเจน) ไอ้นี่…โกหกได้แล้วมันทำชั่วได้ทุกอย่าง มันโกหกอย่างเดียว มันทำชั่วได้ทุกอย่าง มันหมดความละอายนี่ มีพุทธภาษิตเป็นบาลี แต่จำไม่ได้ตอนนี้ นึกไม่ออกบอกว่า ไม่มีบาปอะไรที่คนพูดโกหกจะทำชั่วไม่ได้ ทำได้ทั้งนั้น คราวนี้เมื่อเราโกหกได้เรื่องหนึ่งก็โกหกได้เรื่องอื่นต่อไป
แต่ถ้าคนพูดจริงนี่ทำชั่วไม่ได้ เขาเป็นคนใจจริง เขามีความละอายบาปมีความกลัวบาปก็ทำอะไรไม่ได้ นี่เป็นเครื่องพิจารณาคนเหมือนกัน เรามีเพื่อนมีฝูงมีมิตรมีสหาย ให้สังเกตข้อนี้ ถ้าพูดโกหกกับเราได้แล้วมันทำเรื่องอะไรกับเราได้ทุกอย่าง ไว้ใจไม่ได้ ถ้าพูดโกหกได้แล้ว เพราะฉะนั้นก็สอนกันหนักหนาว่า ไม่ให้พูดโกหก ให้พูดคำจริงพูดคำตรงไปตรงมา เป็นคนจริง
จอร์จ วอชิงตันเมื่อสมัยเด็กๆนี่ ถือขวานเข้าไปฟันต้นไม้ในสวน พ่อก็เห็นเข้าก็บ่นเสียดายต้นไม้ ถามว่าใครฟัน ฉันเองลูกเองเป็นผู้ฟัน เขาเป็นคนซื่อสัตย์ ก็รับทันทีว่าเป็นผู้ฟันต้นไม้นั้น ต่อมาจึงเป็นคนสำคัญเป็นประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา ฐานเดียวที่ว่าไม่พูดโกหก พูดคำจริง คนพูดคำจริงนั้นเป็นคนกล้า คนพูดโกหกเป็นคนขี้ขลาด ไม่เข้าเรื่องเพราะไม่กล้าพูดสิ่งที่เป็นความจริง ว่าเราได้ทำอะไรลงไปเลยใช้วาทะโกหก มันก็เกิดความเสียหาย ทำให้ไว้ใจไม่ได้ ก็ถ้าใครโกหกก็ไว้ใจไม่ได้ มันอาจจะโกหกใหญ่ก็ได้ โกหกหลอกลวงคำโตก็ได้ เพราะว่าโกหกได้สักเรื่อง เรื่องอื่นอาจจะโกหกได้อีก นิสัยเป็นอย่างนั้น ก็เป็นคนที่เรียกว่า ไม่น่าจะไว้ใจอยู่เหมือนกัน เพราะนิสัยเป็นอย่างนั้น
อันนี้เป็นเรื่องที่เราเอาธรรมะเข้าไปจับไปดู เป็นกระจก ธรรมะของพระพุทธเจ้าเอาไปเป็นกระจกส่องดู ดูคน ดูงาน ดูอะไรๆทุกอย่าง อย่าดูเฉยๆ ต้องดูด้วยธรรมะ เรามันนักธรรมะ ศึกษาธรรมะ ต้องเอาธรรมะเข้าจับคนเหล่านั้น ว่าอะไรมันเป็นอะไรถูกต้อง
เมื่อเช้านี้มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งมาถามปัญหา ถามมันจะเป็นเรื่องไสยศาสตร์หรือเรื่องอะไรเจ้าคะ บอกว่าเรื่องอะไร บอกว่าผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินไป แล้วก็มีผู้ชายสองสามคนเข้ามาล้อม ล้อมแล้วก็บอกว่าปลดสายสร้อย ปลดแหวนออกมา ก็ให้เขาหมด บอกว่ามันใช้ไสยศาสตร์อะไร มันไม่มีไสยศาสตร์อะไร มันกลัว มันไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัว พอถึง....ฉึบ เข้าคราวนี้ มันก็กลัว ต้องถอดให้ นึกว่ามันใช้คาถาอาคม ไม่มีคาถาอะไร มันมีมีดเป็นคาถา ถ้ามันถือปืนก็คาถาปืน ที่นี่คนมันกลัว กลัวสิ่งเหล่านั้นก็เลยต้องให้เขา ก็บอกอีกเรื่องหนึ่ง ว่ามีคนๆหนึ่งเอาภาชนะที่เคลือบทอง แล้วบอกว่าอันนี้เป็นทองแท้ ไม่เชื่อ ให้ไปถามร้านขายทอง ไปด้วยกันก็ได้ไปที่ร้านขายทอง ให้ไปสอบสวนว่าเป็นทองแท้หรือไม่ แล้วก็บอกว่าเอ้า..พาไป แล้วก็ไปเสียท่าเขา บอกนี่ เรามันโง่ไปทำไม เขาชวนให้ไป ไปทำไม เพราะว่าเห็นทองแล้วอยากได้ แต่สงสัยว่ามันเป็นทองปลอมหรือเปล่า หรือว่าเป็นทองแท้ เลยว่าพากันไปพิสูจน์กัน แต่ว่ามันไม่ถึงที่พิสูจน์ ถูกจี้เอาหมดเนื้อหมดตัวเลย
นี่มันเพราะอะไรเพราะถ้าความโลภ ไม่ใช่เรื่องอะไร บอกให้โยมนั้นเข้าใจ เพราะความโลภ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ ไม่เรียกอำนาจจิตอะไร แต่เพราะความโลภ เพราะว่าเราอยากจะได้ ตัวโลภะนี่เป็นตัวอันตราย พระพุทธเจ้าท่านว่า โลโภ ธัมมานัง ปะริปันโถ ความโลภเป็นอันตรายของการประพฤติธรรม ถ้ามีความโลภแล้วอันตรายทำให้ธรรมะเสียหาย ความฉลาดไม่มี สติไม่มี ปัญญาไม่มี เพราะคิดจะเอาท่าเดียวแล้ว ก็เลยเสียหายเพราะความโลภ
ไอ้เรื่องอย่างนี้มันมีบ่อยๆ ข่าววิทยุตอนเช้า คุณปรีชา ทรัพย์โสภาเอามาอ่านบ่อยๆ แต่คนฟังๆแล้วไม่ค่อยจำไว้ ไม่คิด ไม่จำแล้วก็ถูกหลอก ถูกต้มกันบ่อยๆ ด้วยเรื่องอะไรต่างๆ แต่นักต้มมนุษย์มันเก่ง มันมีวางแผน เหมือนกับผู้หญิงคนหนึ่งเอาพระไปถวายหลวงพ่อองค์หนึ่ง พระพุทธรูปเก่าๆนิดหน่อย มันไม่เก่าอะไรหรอก แต่ว่าสภาพดูเก่าๆ เดินเข้ามาน้ำมูกน้ำตาไหล ร้องไห้ฟูมฟาย ไปถึงบอก ดิฉันเดือดร้อนเจ้าค่ะ หมดเนื้อหมดตัว บ้านถูกไฟไหม้ เก็บของอะไรไม่ได้ ได้แต่พระองค์เดียวนี้ พระองค์นี้สมัยคุณชวดเก่าแก่ พยายามเอามาแต่ไม่รู้จะเอาไปไหน บ้านช่องก็ไม่มี เวลานี้กำลังหาบ้านอยู่ อยากจะมาฝากหลวงพ่อไว้ก่อน หลวงพ่อทั่วไปก็มีใจดี กรุณา ขี้สงสารคน ยิ่งคนน้ำตาหลั่งมาด้วยก็ยิ่งสงสารใหญ่ ก็เลยรับไว้ รับไว้แล้วแม่คนนั้นก็หายไป ไม่มาเลยหายไปก่อน แต่ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมา สี่ห้าวันมา ท่านเอาพระวางไว้ที่โต๊ะบูชา ข้างที่นั่งน่ะ คนนั้นมาถึงคุยๆ ชำเลืองดูบ่อยๆสมภารก็สงสัยว่าดูอะไร ชำเลืองอะไร พระองค์นั้นมันสะดุดตาผม ลักษณะเข้าทีอยากจะไปดูใกล้ๆหน่อย โห! แหม! หลวงพ่อมีบุญนักหนานะ ใครเอามาให้นะ ไม่ใช่ของฉัน เขาเอามาฝากไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ราคาพระองค์นี้อย่างน้อยสี่แสนบาทนะ ไอ้นั้นคุยแล้วหายตัวไปเลยไม่มา แล้วก็สี่ห้าวันมาอีกคนหนึ่งหน้าใหม่ มาถึงก็คุยๆแบบนั้น คุยๆก็ลุกขึ้นไปเลย ไปถึงกราบ กราบหลวงพ่อองค์นั้น กราบแล้วก็เอามือลูบเอามือมาใส่หัว สมภารก็...ไงพระองค์นั้น นี่นะ...หลวงพ่อ ศักดิ์สิทธ์ที่สุด มีพระเก่า เชียงแสนรุ่นเก่าหายากที่สุดนี่ อย่าว่าราคาถ้าตีกันแล้ว ตั้งเจ็ดแสน สมภารก็ชักจะหลงใหลคำพูดเข้าไปแล้ว หลวงพ่ออย่าวางไว้ตรงนี้นะ เดี๋ยวใครมายกไปจะขาดทุนใหญ่นะ หลวงพ่อเลยเก็บเข้าห้องเลย เก็บเข้าห้องไปเก็บเรียบร้อย สิบวันได้ผู้หญิงคนนั้นก็มาถึงก็ฟูมฟายน้ำตา โห...ลำบากเหลือเกินเจ้าค่ะ บ้านช่องก็ยังหาไม่ได้ แต่เวลานี้ไปพบทาวน์เฮ้าส์เข้าแห่งหนึ่ง จะต้องวางเงินมัดจำสองแสน หนูไม่มีเงินเลย ไม่รู้จะทำยังไง ก็ขอพึ่งหลวงพ่อสักหน่อยเถอะ หลวงพ่อเอาพระองค์นั้นไว้ก็แล้วกัน หลวงพ่อ (45.25 เสียงไม่ชัดเจน) เพราะราคามันตั้งห้าหกแสน เขาเอาไปสองแสน ถึงไม่เอามาให้ก็ไม่เป็นไร เพราะเราได้ยึดพระเอาไว้เป็นหลักฐานแล้ว ก็เลยให้ไปสองแสน แม่คนนั้นก็ไป หายไปเลย ไม่โผล่หน้ามาให้หลวงพ่อเห็นต่อไป หลวงพ่อก็นั่งคอยๆอยู่นั่นแหล่ะ สามเดือนสี่เดือนหกเดือน ปีหนึ่ง ทำไมไม่มาเอาสักทีพระองค์นั้น แล้วก็เอามาวางไว้ข้องนอกอีกละ ไม่ค่อยสนใจ วางไว้ข้างนอกมีคนที่นักดูพระมาทีหลัง รู้จักกัน มาช่วยดูพระหน่อยสิ เขาเอามาให้ไว้เพราะราคามันมากมาย เข้าไปดูใกล้ๆ เพิ่งบวชใหม่พระองค์นี้เพิ่งบวช พระบ้านขมิ้นเมื่อคืนเพิ่งบวชเมื่อเร็วนี้ หลวงพ่อจะเป็นลมให้ได้ มันเอากูไปตั้งสองแสน แล้วก็ไม่กล้าบอกใครว่าเสียไปตั้งสองแสน
มันเป็นอย่างงี้ไงโยม ไอ้พวกต้มมนุษย์แล้วก็ไอ้ลูกไม้มันเยอะ วิธีการของมันเยอะ มีมากมายก่ายกอง เอาของมาหลอกมาต้ม บางทีไม่ได้ต้มองค์เดียว บางทีต้มทั้งเมืองเลย ที่ปักษ์ใต้เคย มันต้มทั้งเมืองเลย ไปต้มเจ้าคณะจังหวัด แล้วไปต้มวัดนั้นวัดนี้ทั่วหมดกว่าจะรู้กัน โอ..ตายแล้วมันต้มออกมากมาย มันมีวิธีการต้มตุ๋นของคนเรา มันมีวิธีการแปลกๆ ในรูปแปลกๆจะต้องระวัง
คนโบราณเขาสอนมาแล้ว อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง ไว้ใจทางก็ไม่ได้ ไว้ใจทางเดิมเสมอไปก็ไม่ได้ ไว้ใจคนก็ไม่ได้ มันจะจนใจเองในทีหลังเดือดร้อน นี่ญาติๆโยมๆ ถูกเขาหลอกบ้างแล้วหรือยัง เคยถูกหลอกมา บางคนก็เคยถูกแล้ว เขาหลอกเขาต้ม ไอ้คนมาหลอก โอ้ย...สุภาพเรียบร้อย พูดจาน่าไว้ใจ บางทีพูดธรรมะธรรมโมเสียด้วยนะ ถ้าเห็นเรามาวัดบ่อยๆ คนชอบไปวัดต้องพูดธรรมะธรรมโม ลืมไป นึกว่าไอ้นี่เป็นสัตบุรุษมาจากสำนักไหนก็ไม่รู้ เลยเชื่อไปก่อน อย่าไว้ใจก่อน อย่าไว้ใจคนที่ไม่รู้จักกัน
พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเป็นพุทธภาษิตว่า อย่าไว้ใจคนที่ไม่คุ้นเคยกัน แล้วก็ยังสอนอีกแม้คนที่คุ้นเคยกันก็อย่าไว้ใจ ก็ก้อนเส้ากลายเป็นเสือได้ เกลือมันกลายเป็นหนอนได้เหมือนกัน ประทุษร้ายเราได้เพราะฉะนั้นอย่าไว้ใจ ต้องใช้ปัญญาพิจารณา อะไรเกิดขึ้นต้องพิจารณาว่ามันจะจริงหรือ ไอ้สิ่งนี้จะจริง จะแท้รึ หรือมันจะเป็นอย่างนั้น หรือมันอาจจะเป็นอย่างอื่น วินิจฉัยไว้ก่อน แล้วปฏิเสธไว้ก่อน ปฏิเสธว่ายังไม่ต้องการจะซื้อสิ่งนั้น ไม่ต้องการจะซื้อสิ่งนี้ เราไม่ต้องการ อันนี้ก็มี
บางทีอยู่บ้านคนเดียวคนแก่ๆนะ มาถึงเคาะประตูแต่งตัวเป็นราชการถือแฟ้มมาด้วยนะ อย่าเปิดเป็นอันขาด มันข้าราชการปลอมก็มีเยอะ จะพูดอะไรก็พูดตรงช่องนั้น อย่าเปิดประตู อย่าเปิด ยืนให้มันดีหน่อย แล้วก็อย่าเปิด เปิดแล้วพอเข้าในบ้านมันก็จี้คนแก่ได้ เอานั้น เอานี้ไปก็เสียที บางทีมัดเราใส่ห้องน้ำเสียด้วย แล้วมันเอาของไปเลย ไม่ได้ คนไม่คุ้นกันไม่เปิดประตูให้ ไม่เปิด คนใช้ก็ต้องสั่งคนมาหานี่ อย่าเปิดประตูง่ายๆ ต้องถามว่าชื่ออะไรต่ออะไรให้มันเรียบร้อยแล้วก็ มาบอกให้ทราบก่อน ถ้าบอกให้ทราบจะได้แก้ไข ว่าคนนั้นไม่อยู่บ้างอะไรต่ออะไรก็ว่าไป ไอ้อย่างนี้มัน พูดอุบาย ไม่เชิงโกหกทีเดียว แต่เราเอาตัวรอดไว้ก่อนตรงนั้น มันก็ใช้ได้ ไม่งั้นไม่ได้ เดี๋ยวมันจะต้มตุ๋นเอาเราอีก
คนเดี๋ยวนี้ไว้ใจไม่ได้ มันทุกแง่ทุกมุม แม้คนใช้ก็ไว้ใจไม่ได้เวลานี้ คนที่ใช้สำนักงานเอามาให้ อย่าไว้ใจ ถ้าว่าเราไปหาเอาเองตามบ้านนอก คนคุ้นเคยกันเขามาให้ อยู่ได้นาน แล้วก็ไว้ใจ แต่พวกสำนักงานหาให้ มันมาบ้านเราเดี๋ยวมันลักของไปแล้ว แล้วไปหาบ้านอื่นอีก ไปลักเข้าไปอีก มันเอาทั้งนั้น
บางทีทำร้ายเจ้าของบ้านถึงแก่ความตาย เหมือนเด็กชายมารับจ้างในบ้าน คุณยายกำลังทำกับข้าว จะเลี้ยงมันด้วย กินพร้อมกัน ถือว่าเป็นลูกเป็นหลาน แบบคนโบราณ มันก็ไปฆ่าคุณยายตาย แล้วคุณตากลับมา มันฆ่าตายหมดทั้งสองคน แล้วลักทรัพย์หนีไป ทารุณเหลือเกิน นี่เขาจ้างก็ทารุณอย่างนั้น เราจึงต้องระมัดระวัง คนที่จะมาอยู่กับเรานี่ต้องสอบสวนชวนถามให้เรียบร้อย ให้เป็นที่ไว้ใจ คนเอามาฝากก็ต้องเป็นคนที่เราไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วเมื่อเข้ามาอยู่ในบ้านอย่าหยิบเงินให้มันเห็น อย่าไขตู้เซฟให้มันเห็น มีแหวน มีอะไรอย่าไปอวดมัน อย่าไปเที่ยววางไว้เพ่นพ่าน ต้องเก็บเรียบร้อย ไม่ให้เข้าไปในที่ทุกแห่งไม่ได้ใช้หมด เข้าไปได้ทุกที่ทุกทาง ต้องอยู่กันนานๆ สองปีสามปี จึงจะไว้ใจได้ คนบางคนอยู่กันนานไว้ใจ
มีครอบครัวหนึ่งก็เคยมาทำบุญที่นี่บ่อยๆ แกมีคนใช้อยู่กันมาตั้ง ๑๕ – ๑๖ ปีแล้ว อยู่เหมือนกับเป็นลูกไปแล้ว แกก็ตั้งใจว่าเวลาตายต้องทำพินัยกรรมให้มันด้วย ไอ้เด็กคนนั้น มันอยู่อย่างภักดีอย่างซื่อสัตย์สุจริต ทำงานทำการได้ทุกอย่างใช้ได้ทุกอย่างน่าไว้ใจ ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร แล้วเวลาท่านจะตาย ท่านบอกว่าต้องเขียนพินัยกรรมยกให้เขาสักก้อนหนึ่งเหมือนกัน เพราะเขาอยู่มานาน แล้วก็จงรักภักดีมีความซื่อสัตย์ ไอ้คนซื่อมันกินไม่หมด ไอ้คนคดมันกินไม่พอ ถ้าคนไหนดีเราก็เลี้ยงไว้ แต่ถ้าไม่ดีก็ไม่ไว้ใจ ไม่ไว้ใจมากเกินไป ให้ทำอะไรก็ไม่ได้ มันก็ยุ่งมีปัญหา
สมัยนี้คนเรามันกลับกลอก ไม่เหมือนสมัยก่อนเขาตรงไปตรงมา คนสมัยก่อนเขาไม่ต้องทำสัญญาอะไร เคยเห็น สมัยก่อนเขาจะซื้อนาซื้อไร่ เขาไม่มีสัญญาอะไรกัน จ่ายเงินให้ก็หมดเรื่อง เขาไม่คดไม่โกงกัน คนสมัยก่อน เขาขายหน้าเขาเห็นหน้ากันอยู่ เดี๋ยวนี้เห็นหน้ากัน พี่กับน้องยังคดกันได้โกงกันได้ ญาติก็โกงกันได้ หุ้นส่วนก็โกงกันได้
เพราะมนุษย์ในปัจจุบันเรานั้น ที่ไม่มีหิริโอตะปะมันมี ที่มีหิริโอตะปะประจำจิตใจก็มี เพราะฉะนั้นอย่าไว้ใจใคร เช่น ทำสัญญงสัญญานี่ อย่าทำง่ายๆ อย่าเซ็นง่ายๆ เซ็นง่ายๆนี่เสียท่าเขาบ่อย คนแก่ๆเขานี่ให้เซ็น บีบลายมือ ก็บีบลงไป เห็นอะไรก็เซ็นลงไป กระดาษเปล่าๆเอามาให้เซ็นก็เซ็นลงไป ให้เขาไปเขียนเอาเองตามชอบใจ เซ็นเป็นขี้ข้าเขาเข้าไปแล้ว ไม่รู้เนื้อรู้ตัว อย่างนี้มันลำบากทำอะไรต้องปรึกษาทนายความหรือว่าผู้รู้ เรารู้จักข้าราชการบำนาญ เป็นนักกฎหมาย เป็นอัยการ อะไรเก่าๆแก่ๆก็ไปปรึกษาเรื่องอะไรต่างๆ เขาช่วยโดยไม่คิดอะไร ทนายความก็ไม่แน่เหมือนกัน บางคนก็ซื่อดี แต่บางคนก็คดๆงอๆเหมือนกัน พูดอย่างนี้ใครเป็นทนายอาจจะโกรธเอาก็ได้ ไม่ใช่พูดว่า มันเป็นอย่างนั้นความจริงมันเป็นอย่างนั้น ไอ้ที่เรียบร้อยก็มี ไอ้ที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยก็มีเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นจะต้องระวังในการติดต่อกฎหมาย ยิ่งคนรู้กฎหมายยิ่งต้องระวัง เพราะเหลี่ยมเยอะคนรู้กฎหมาย หลบเป็นปีกหลีกเป็นหางไปเลย เขาทำได้ เขาเขียนให้เป็นอะไรก็ได้ เราอย่าไปไว้ใจง่ายๆ เพราะถูกต้มกันบ่อยๆ อาตมาก็รับคำบอกคำเล่ามาบ่อยๆ ยิ่งคนแก่ละ ต้มยุ่ยไปเลย ต้มง่ายๆ เรื่องเงินเรื่องทองซื้อที่ดิน ไปทำนิติกรรมกันที่โรงพัก สำนักงานที่ดิน ไปทำแล้วเขียนเช็คให้เช็คเด้ง เขียนให้ แล้วเอาคนแก่ไปเข้าบัญชี คนแก่อยู่บางพูก ธนาคารแถวนี้มีไหม นู่นไปเข้าไว้ที่สำโรงนู่น ไปเปิดบัญชีไว้ไกลหน่อย แล้วไปทำนิติกรรมก็ไปทำวันศุกร์ตอนเย็น วันเสาร์มันหนีได้ วันอาทิตย์มันหนีได้ง่าย อันนี้ไปทำวันศุกร์ตอนเย็นเขียนเช็คให้ คนแก่ไอ้เช็คไอ้เช็ค กูไม่เคยใช้วะ ไอ้หลานชายมาผสมโรง ตาสมัยนี้เขาใช้เช็คกันทั้งนั้นแหล่ะ ไอ้หลานชายมันอยากได้ส่วนแบ่งจากคุณตาไวๆ คุณตาไม่ขายก็จะขายให้ได้ เดี๋ยวนี้เขาใช้เช็คทั้งนั้นแหล่ะคุณตา อย่าเป็นทุกข์เป็นร้อนไปเลย อ้าวๆรับไว้ ทำนิติกรรมโอนโฉนดให้เขาเสร็จเรียบร้อย เขาเอาไปขายแล้วขายคนอื่นไปแล้ว วันจันทร์นู่นถึงได้ไปพระสำโรง ไปขึ้นเงินไปเข้าบัญชี พอเข้าบัญชีเจ้าหน้าที่โทรศัพท์ถามสำนักงาน โอย เช็คนี้เขาเลิกไปนานแล้วไม่มีเงินเลย บอกไม่มีเงินคุณลุง อ้าว..แล้วทำยังไง ที่ดินเขาก็เอาไปแล้วเงินก็ไม่มี จะทำยังไง ก็มาแจ้งความโรงพัก โรงพักก็เที่ยวคลำไปตามเรื่องตามราว
นี่วิธีการต้มตุ๋น คนแก่ๆที่มีที่ดิน โยมมีที่ดินอย่าไปขายง่ายๆ ขายได้จริง ให้มันถูกต้องเอาเงินมาช่วยสร้างตึก ๘๐ ปีมั่ง จะได้เรียบร้อยไปหน่อย อันนี้นี่ไปขายเสียท่าเขาทุกทีอย่างนี้มันก็ไม่ไหว ทำอะไร ประมาทไม่ได้สมัยนี้เพราะไว้ใจกันไม่ได้ แม้ลูกเต้าก็ไว้ใจไม่ได้บางทีไปสมรู้ร่วมคิดจะต้มคุณแม่ ไอ้ลูกจัญไรก็มีเหมือนกัน มันจะต้มคุณแม่แล้ว คุณแม่ไม่รู้ มันต้มยุ่ยไปเลยขายดินแล้วมันเอาไปหมดไม่ให้คุณแม่ คุณแม่ก็นั่งเศร้าใจ เคยมีเคยมาเล่าสู่กันฟังในเรื่องอย่างนี้ ดูรู้แล้ว คนมันหมดหมดคุณค่าทางจิตใจ คราวนี้ถ้าเรารู้สภาพคนอย่างนี้เราจะทำอย่างไรก็ต้องช่วยกันหน่อย ช่วยกันส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะมากขึ้น กิจกรรมอันใดที่ส่งเสริมให้คนเข้าถึงธรรมะ เราก็ช่วยกิจการนั้นๆ ให้คนได้เรียน ได้รู้ ได้เข้าใจธรรมะมากขึ้น แล้วมีลูกมีหลานก็ต้องมั่นสั่งสอนแนะนำพร่ำเตือน ให้รู้จักเท่าทันกิเลสของมนุษย์ ให้อยู่อย่างคนฉลาด จึงจะใช้ได้ดังที่ได้แสดงมาในวันนี้ก็พอสมควรแก่เวลา
- ปาฐกถาธรรมวันอาทิตย์ที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๓