แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ต่อนี้ไปขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา เวลาฟังนี่อย่าเดินไปเดินมาให้วุ่นวาย หาที่นั่งพัก ตรงใดตรงหนึ่งที่ได้ยินเสียงชัดเจน และจงสงบใจตั้งใจฟัง เวลาฟังก็อย่าพูดอย่าคุยกัน เรามาฟังไม่ได้มาพูด พูดเวลาอื่นแต่เวลาพระเทศน์ เราก็ต้องนั่งฟังด้วยความตั้งใจ ถ้าเราพูดคนที่ตั้งใจฟังก็รำคาญ หนวกหู ไม่เป็นการสมควร ผิดกาละเทศะ เพราะฉะนั้นขอให้สงบปากเสียง ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี จะได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคมนี้ เขาได้นิมนต์อาตมาไปที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ไปพูดเรื่องเกี่ยวกับวันสันติภาพ วันประกาศสันติภาพ ไปพูดแล้ว แต่อยากจะมาพูดที่นี่ เพื่อจะได้อัดเทป พิมพ์หนังสือต่อไป ประกาศวันสันติภาพนั้นใครเป็นผู้ประกาศ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในสมัยนั้น คือ ท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้อ่านประกาศสันติภาพ ในวันที่ ๑๖ สิงหาคม เมื่อ ๔๕ ปีมาแล้ว ทำไมจึงได้มีการประกาศสันติภาพ ก็เพราะว่าประเทศไทยในสมัยนั้นอยู่ในภาวะสงคราม เพราะรัฐบาลท่านจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ประกาศสงครามกับ สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ร่วมมือกับญี่ปุ่น รบกันกับสองชาตินั้น ประเทศไทยก็ตกอยู่ในภาวะสงคราม แต่ว่ามีบุคคลประเภทหนึ่งซึ่งไม่เห็นด้วยในการประกาศสงครามในสมัยนั้น เห็นว่าจะพาประเทศไทยเข้าไปสู่ความวุ่นวายสับสนในวงการของโลกแห่งสงคราม จึงได้ก่อตั้งเป็นพวกขึ้น เรียกว่า เสรีไทย เสรีไทยเกิดขึ้นในประเทศอเมริกา เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่เกิดขึ้นในอเมริกานั้นก็ด้วยท่านเอกอัครราชทูตไทยในสมัยนั้น คือ มรว. เสนีย์ ปราโมช ท่านเป็นเอกอัครราชทูตไทย แต่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลและประกาศตั้งเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นที่นั่น ประกาศตนไม่ร่วมมือกับรัฐบาลที่ประกาศสงคราม ส่วนในประเทศไทยนั้นก็มีท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า ใช้นามแฝงว่า รูธ ติดต่อกับต่างประเทศ ประกาศตนเป็นชนเสรีไทย คือไม่ร่วมมือในการประกาศสงครามกับสหราชอาณาจักรและประเทศสหรัฐอเมริกา ทำการติดต่อส่งคนไป ติดต่อกับพวกสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ส่งไปทางเรือดำน้ำบ้าง เดินทางไปบ้าง เช่น ส่งคนเดินทางไปประเทศจีน ชื่อ นายจำกัด พลางกูรไปไม่ถึง ไปเป็นโรคถึงแก่กรรมระหว่างทาง แล้วก็ติดต่อกันมาเรื่อยๆทางวิทยุ เขาส่งคนมาลงทางพลร่มในประเทศไทยแล้วมาทำความเข้าใจกัน เมื่อสงครามสงบ ไทยก็ประกาศสันติภาพ เป็นตามเยี่ยงอย่างที่เคยกระทำมาตั้งแต่โบราณ
ในสมัยโบราณนั้นเมื่อ ๔๐๐ ปีมาแล้ว พระนเรศวรมหาราชยังเป็นเจ้าชายหนุ่มอยู่เวลานั้น ได้ประกาศอิสรภาพหรือสันติภาพของประเทศไทย ณ ชายแดน คือด่านเจดีย์สามองค์ ด้วยการหลั่งน้ำลงรดแผ่นดิน และประกาศว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ประเทศไทยขาดจากความเกี่ยวข้องกับประเทศมอญ หรือพม่าสมัยนั้น ไม่ขึ้นกับพวกนั้นต่อไป เป็นการประกาศเอกราชของชาติ เพื่อให้เกิดสันติภาพสันติสุขในประเทศไทย วันที่ประกาศนั้น คือ ๒๕ มกราคม นานมาแล้ว ราชการทหารจึงได้ถือเอาวันที่ ๒๕ มกราคมนั้นเป็นวันกองทัพ และก็ได้มีการไปวางพวงมาลาเป็นการสักการะที่อนุสรณ์ดอนเจดีย์ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี อันเป็นสถานที่ที่ชนช้างกับพระมหาอุปราชา แล้วพระมหาอุปราชาถึงถึงแก่กรรมไป ก็เรียกว่าเป็นการประกาศสันติภาพ คนในโลกที่สนใจในเรื่องสันตินี่มีอยู่มากกว่าคนที่ใฝ่สงคราม เพราะว่าโดยปกติคนชาวโลกทั่วไปนั้น มีจิตใจรักสันติรักความสงบ ไม่อยากรบไม่อยากทะเลาะวิวาทกับใครๆ เพราะการรบกันนั้นมันเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองของชาติมากมายก่ายกอง ทำให้สูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ สูญเสียบุคคล สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง มีแต่คนประเภทโง่ๆ เท่านั้นที่จะกระโจนเข้าสู่สงคราม แต่คนที่ฉลาดนั้นเขาจะต้องหลีกเลี่ยงไม่รบกับใคร การรบกันนั้นเป็นความเสียหาย
เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าของเรายังทรงพระชนม์อยู่นั้น พระองค์ก็ได้ทำให้เกิดสันติภาพในหมู่พระญาติครั้งหนึ่ง คือว่าพระญาติทั้งฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา อยู่ที่เมืองกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ รัฐสองรัฐนี้เกี่ยวดองกัน คือเจ้าชายเจ้าหญิงในรัฐสองรัฐนี้มาแต่งงานสัมพันธ์กัน ก็ชื่อว่าเป็นญาติกัน รัฐทั้งสองนั้นทำมาหากินเป็นหลักใหญ่ก็คือทำนา หรือการเกษตร ปีหนึ่งฝนแล้งมาก น้ำในแม่น้ำโรหิณีแห้ง ไม่มีน้ำสำหรับทำนา เลยก็ไปเกิดแย่งน้ำกัน ตอนแรกคนใช้มันก็แย่งกันและทะเลาะเบาะแว้งกัน ความทราบไปถึงเจ้านาย ก็เลยมาพูดจาในเชิงทะเลาะกัน ยกคนมาจะทำสงครามกัน แย่งน้ำกัน พระพุทธเจ้าทรงทราบก็เสด็จมา ณ ที่นั้นและก็ถามว่าพวกเรานี้กำลังจะทำอะไรกัน บอกว่าจะรบกัน เราถามว่ารบเรื่องอะไร รบกันด้วยเรื่องน้ำ พระองค์ก็ถามว่า ชีวิตคนกับน้ำอันไหนมีค่ามากกว่ากัน พวกนั้นก็ตอบว่าชีวิตคนมีค่ามากกว่าน้ำ แล้วทำไมเอาชีวิตคนมาแลกกับน้ำ ทำไมไม่ประนีประนอมกัน ไม่ปรองดองกัน ทำทำนบกั้นแม่น้ำเข้า แล้วก็ขึ้นฝั่งขวาวันหนึ่ง ขึ้นฝั่งซ้ายวันหนึ่ง ไม่ต้องรบกันไม่ดีกว่าหรือ คนเหล่านั้นนึกได้ พอนึกได้ก็วางอาวุธกันหมด ไม่ต้องรบกัน ช่วยกันทำทำนบกั้นแม่น้ำ แล้วก็ตกลงกันว่าวันนี้ให้ไหลไปบนฝั่งขวา วันพรุ่งนี้ไหลไปฝั่งซ้าย หรือพูดว่าวันอาทิตย์ไปฝั่งขวา วันจันทร์ไปฝั่งซ้าย อังคารฝั่งขวา วันพุธฝั่งซ้าย ผลัดกันไป น้ำมันก็พอกินพอใช้ ไม่ต้องรบราฆ่าฟันกัน พระญาติก็อยู่กันด้วยความสุขความสงบต่อไป นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสันติในยุคพระพุทธเจ้าเหมือนกัน
เกี่ยวด้วยพระญาติพระองค์ทรงทำอีกครั้งหนึ่ง คือเมื่อพระเจ้าวิฑูฑภะ.แห่งสาวัตถี มีความโกรธพวกศากยะ เรื่องที่มีความโกรธพวกศากยะก็เพราะว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้เป็นบิดาน่ะ ท่านนิมนต์พระไปฉันอาหารในวังทุกวันๆ แต่ว่าท่านไม่ค่อยได้มาดูเท่าไหร่ คนใช้มันทำกันเอาตามชอบใจ ทำดีมั่งไม่ดีมั่ง สนใจมั่งไม่สนใจมั่ง พระต่างก็รู้สึกอิดหนาระอาใจ เลยไม่มาฉัน มาฉันแต่พระอานนท์ กับพระองค์อื่นๆ ที่มาทุกวันๆ วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จมาที่โรงเลี้ยงพระ เห็นพระมีจำนวนน้อย อาหารมีจำนวนมาก ก็เลยถามเขาว่าทำไมพระน้อย ก็พระมาเท่านี้ก็เลี้ยงเท่านี้ ท่านก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า บอกว่าหม่อมฉันทำอาหารเพื่อเลี้ยงพระทุกวันๆ จำนวนมาก แต่พระไปนิดเดียว พระพุทธเจ้าก็บอกว่าพระองค์ไม่ได้เป็นญาติกับพระสงฆ์ พระสงฆ์จึงไม่ค่อยจะไป คือ ตอบในธรรมะ แต่ท่านฟังผิดไป พูดภาษาธรรม แต่ท่านฟังเป็นภาษาคนไป คือนึกได้ว่าท่านไม่ได้เป็นญาติกับพระพุทธเจ้า แต่ว่าอยากจะเป็นญาติ ก็เลยส่งทูตไปขอลูกสาวพวกศากยะเพื่อเอามาแล้วก็จะได้เกิดเป็นญาติกับพระพุทธเจ้า พวกศากยะเป็นพวกมีทิฐิมานะจัด ไม่ยอมให้เจ้าหญิงศากยะไปแต่งงานกับพวกพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งเป็นคนแก่แล้วด้วย เลยไม่ให้ แต่ถ้าไม่ให้มันจะเป็นปัญหาทางการเมือง เจ้ามหานามบอกว่าไม่เป็นไร ฉันมีลูกสาวคนหนึ่ง เกิดจากนางทาสี ชื่อ วาสภขัตติยะ เอาแม่คนนี้ให้ไป ก็เลยให้ไป ทำพิธีส่งเสียกันเป็นการเรียบร้อย พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงโปรดปราน แล้วก็ต่อมาก็มีลูกชาย ชื่อว่าวิฑูฑภะ วิฑูฑภะเมื่อเกิดเจริญขึ้น พอรู้เดียงสา ไม่เห็นญาติฝ่ายแม่เลย มีแต่ญาติฝ่ายพ่อเท่านั้น ก็เลยถามแม่ ญาติฝ่ายแม่ไม่เห็นมีมาเลยสักคนหนึ่ง ไม่มีพ่อมีแม่หรือ ไม่มีพี่มีน้องหรือ บอกว่ามีเหมือนกัน แต่ว่าอยู่ไกล ไม่สามารถจะมาเยี่ยมมาเยียนได้ พอเป็นหนุ่มขึ้นก็อยากไปเยี่ยมที่เมืองกบิลพัสดุ์ ไปเยี่ยมเจ้าตาน่ะ เจ้าตาเจ้ายาย ก็เลยจัดกองทัพมากมาย ไปถึงเมืองกบิลพัสดุ์ พวกกบิลพัสดุ์ก็จัดแจงต้อนรับ โดยให้คนที่เด็กอ่อนๆกว่าวิฑูฑภะไปหมด ไปที่อื่นหมดไม่มีใครสักคนหนึ่ง มีแต่คนแก่อายุมากกว่าวิฑูฑภะ วิฑูฑภะมาถึงก็ไหว้กันใหญ่ ไหว้กัน ไหว้มากมายก่ายกอง ไม่มีใครไหว้วิฑูฑภะสักคนเดียว วิฑูฑภะก็สงสัยว่า เอ เมืองนี้ไม่มีใครมีอายุอ่อนกว่าเราบ้างหรือ จึงไม่มาไหว้เราเลย บอกว่ามีเหมือนกัน แต่ว่าเขาไม่อยู่ เขาไปข้างนอก ไปเที่ยว ไปสนุกสนานที่อื่น ไม่ต้องตกใจหรอก ไม่ต้องวิตกกังวล ไหว้พวกญาติผู้ใหญ่ก็พอแล้ว ก็รับเลี้ยงดูกันไปตามเรื่องนั่นแหละ แต่ว่าวันจะเดินทางกลับนี่ นายทหารของวิฑูฑภะคนหนึ่งลืมดาบไว้ ลืมดาบก็กลับมาเอาดาบ กลับมาเอาดาบเห็นนางทาสีคนหนึ่งกำลังเอาน้ำนมราดที่ที่วิฑูฑภะเคยนั่ง ราดแล้วก็บ่นพึมพำไป อีลูกขี้ข้า อีลูกคนจัญไร ทำให้กูเหน็ดเหนื่อยต้องล้าง นายทหารคนนั้นมาได้ยินพอดี เลยถามว่า เธอบ่นพึมพำเรื่องอะไร อือ ไม่มีอะไรหรอก บ่นพึมพำ ฉันได้ยินนิดหน่อย ถ้าไม่บอกฉัน จะเอาดาบนี้เชือดคอ ก็เลยบอกความจริงว่าวิฑูฑภะเป็นลูกนางทาสี มารดาก็เกิดจากคนรับใช้ ไม่ใช่พวกศากยะหรอก แต่ว่าพวกศากยะส่งไปเป็นตัวปลอมให้แก่พระเจ้าปเสนทิโกศล วิฑูฑภะก็โกรธสิ ก็หาว่าพวกญาตินี่ไม่เอาใจใส่ตน ดูหมิ่น ก็เลยกลับไปเมืองเตรียมทัพมา ยกมาจะตีเมืองศากยะ เมืองกบิลพัสดุ์ พระพุทธเจ้าทรงทราบก็เสด็จมานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใบโกร๋น ซึ่งร้อนนะ อีกที่หนึ่งมีต้นไม้ชุ่มชื่น ใบหนาพระองค์ไม่นั่ง มานั่งต้นไม้ใบโกร๋น วิฑูฑภะผ่านมาก็เห็นรู้ว่าพระพุทธเจ้าประทับนั่งก็ไปกราบไหว้นมัสการ แล้วก็ถามว่าทำไมพระองค์มานั่งอยู่ในที่ต้นไม้ไม่มีใบ แดดร้อนจัด พระองค์ตอบว่า ความร้อนของฉันมันเล็ก แต่ความร้อนของพระญาติยิ่งใหญ่กว่า วิฑูฑภะรู้สึกพระองค์ ว่าพระองค์มาพูดเช่นนี้เพื่อไม่ให้เรายกทัพไปรบ ก็เลยถอยทัพกลับไป ไม่ทำการฆ่าแกงพวกศากยะในคราวนั้น แต่ว่ามาอีกครั้งหลัง พระพุทธเจ้าเสด็จไปไกล ห่างจากที่นั้นไปมาไม่ทัน เพราะบ้านเมืองสมัยก่อนไม่มีเรือบินบิน ไม่มีรถยนต์ รถไฟนั่ง เลยมาช่วยไม่ทัน ก็เลยถูกวิฑูฑภะฆ่าพวกศากยะเกือบหมดทีเดียว ถ้าใครคนไหนเรียกตัวเป็นศากยะก็ฆ่าทั้งนั้น เป็นการฆ่าครั้งยิ่งใหญ่ เป็นการทำลายพวกศากยะ พระพุทธเจ้าท่านมาห้ามไม่ทัน พระองค์พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญสันติภาพสันติสุข ไม่อยากให้ใครรบราฆ่าฟันกัน
หลังยุคพระพุทธเจ้า คนในประเทศอินเดีย ที่ส่งเสริมสันติยังนี่มีอยู่สองท่าน คือ เซอร์ รพินทรนารถ ฐากุร (16.00 ท่านพูดว่ารพินทร์นารถ ฐะกอ) คนหนึ่ง มหาตมะ คานธี คนหนึ่ง เซอร์ รพินทรนารถ ฐากุร แกเป็นตระกูลพราหมณ์ เกิดที่เมืองกัลกัตตา บ้านเกิดของท่านอยู่ใกล้สะพานที่เสียงดังที่สุดในโลก ดังตลอดเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงไม่มีหยุด เขาเรียกว่าสะพานเฮาราห์ ข้ามแม่น้ำฮุกหลี ที่เมืองกัลกัตตา แม่น้ำฮุกหลีนั้นเป็นสายหนึ่ง เป็นแขนของแม่น้ำคงคา เขาทำสะพานเหล็กข้ามเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่ท่านเกิดที่นั่นอยู่ที่นั่น แต่ว่าท่านก็เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศอินเดีย แต่งหนังสือมากมาย แต่งบทละครมากมายสำหรับให้คนแสดง แต่ว่าต่อมาท่านแต่งหนังสือชื่อ คีตัญชลี แล้วก็คนแปลไปเป็นภาษาฝรั่ง คนในวงการที่เรียกว่า (ท่านอ่านว่าโนเบิล) โนเบล ในประเทศสวีเดนน่ะ รางวัลโนเบล นี่เขาอ่านแล้วเขาพอใจ เห็นว่าท่านผู้นี้ส่งเสริมสันติภาพ ก็เลยให้รางวัลโนเบลแก่ท่าน แปลว่ารางวัลสันติภาพ เพราะว่าท่านเขียนบทความเกี่ยวกับให้คนรักกัน สามัคคีกัน ไม่รังเกียจกัน ด้วยชาติด้วยศาสนา ด้วยผิวพรรณ หรือด้วยเรื่องอะไรๆต่างๆ ถือว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน ควรจะอยู่กันด้วยความสุข ความสงบ แต่ว่าแต่งเป็นคำกาพย์ร้อยกรอง ไม่ใช่ร้อยแก้ว ไพเราะเพราะพริ้ง ก็เลยได้รับรางวัล ได้รับรางวัลแล้วท่านเห็นว่าอยู่ในเมืองนี้มันหนวกหู อายุมากแล้ว ควรจะไปอยู่ที่เงียบๆ หาความสุขตามแบบอารยธรรมของอินเดีย เพราะคนอินเดียนั้นพอแก่ตัวลง ก็ชอบไปหาความสงบ ก็เหมือนเราชาวพุทธในเมืองไทย พอเกษียณอายุราชการ ก็ควรจะเข้าวัดเข้าวา รักษาศีลฟังธรรม แต่บางคนออกราชการแล้วยังไม่เข้าวัด ยังไปม่านรูดอยู่ อันนี้ก็เรียกว่าไม่เจียมสังขาร ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว ทำให้เกิดความเสียหายได้ ท่านเซอร์รพินทร์ท่านมีเงิน ท่านก็เห็นว่าควรจะไปอยู่ไกลเมือง เลยออกจากเมืองกัลกัตตา ไปที่ตำบลสันตินิคถาน ร้อยไมล์ห่างจากเมืองกัลกัตตา อาตมาเคยไปแล้วทีนั่น เขาทำเป็นอาศรมสำหรับศึกษาวิชาการต่างๆ ครั้งแรกท่านไปอยู่คนเดียว แต่ต่อมาก็มีเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันไปอยู่ด้วยหลายคน อยู่กันหลายคนก็นึก เอ ... เรานี้มีความรู้มาก มาอยู่เฉยๆก็จะไม่เกิดประโยชน์ เอาเด็กมาเรียนหนังสือดีกว่า เลยเอาเด็กมาสอน สอนแบบฤาษีสอนศิษย์ คืออาจารย์นั่งบนสนามที่มันมีผ้าปูในสนามหญ้า แล้วก็ลูกเด็กนั่งแวดล้อม นั่งสอนกันกลางแจ้ง เวลานี้โรงเรียนนั้นก็สอนกลางแจ้ง ไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีกระดานดำ เขาเรียนกันแบบฤาษีสอนศิษย์ ทำกันอย่างนั้น มีห้องสมุดใหญ่โต เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นมหาวิทยาลัย เรียกว่าวิศวะภารตี คนไทยเราก็ไปเรียนที่นั่นได้ปริญญาเอกกลับมาก็หลายคนแล้วเหมือนกัน ท่านเริ่มไปทำงานที่นั่น แล้วรักษาธรรมชาติ ต้นไม้ต่างๆก็ปลูกไว้บ้าง รักษาของเก่าบ้าง ให้เป็นโรงเรียนธรรมชาติ นักเรียนต้องตื่นตีห้า และก็ไปรับอาหาร แล้วออกมาร้องเพลงสวดมนต์ก่อนเข้าเรียน เรียนจนถึงสิบเอ็ดโมง อากาศร้อนก็กลับหมด ไม่เรียนตอนบ่าย เขาเรียนอย่างนั้น ท่านเป็นผู้ใฝ่สันติ เขียนหนังสือเรื่องเกี่ยวกับสันติภาพไว้หลายเล่ม ให้คนได้อ่านได้ศึกษา จึงได้รับรางวัลโนเบลทางสันติภาพ ไอ้รางวัลโนเบลมันเกิดจากคนสวีเดน เป็นคนคิดเรื่องดินไดนาไมต์ สำหรับระเบิดแรง อันนี้แกคิดถึงบาปเวรที่ได้สร้างดินระเบิดขึ้น เอาไปฆ่าคน เอาไปทำลายคน ก่อนที่จะตาย ก็ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวนเป็นพันล้าน ให้เป็นมูลนิธิ เรียกว่าโนเบล และก็ตั้งทุนว่าโนเบลไพรซ์เป็นรางวัลแก่คนที่คิดค้นทางวิทยาศาสตร์ เรื่องยาแก้โรค เรื่องอะไรต่ออะไรหลายเรื่อง คนเอเชียที่ได้รับคนแรก ก็คือท่านเซอร์ รพินทร์นารถ ฐากูร แล้วก็ต่อมาก็คนอื่นก็ได้รับ ดาไลลามะนี่ก็ได้รับสันติภาพเมื่อปีก่อน เพราะว่าเป็นผู้ขวนขวายส่งเสริมสันติ ไม่อยากให้เกิดรบราฆ่าฟันกัน เขาจึงให้รางวัลสันติภาพ ก็เป็นการส่งเสริมความสงบสุขในสังคม
เรื่องเกี่ยวกับสันติภาพนี้ในทางพุทธศาสนาของเราส่งเสริมในเรื่องนี้เป็นพิเศษ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สันติ มัคคเม วโรเหยยะ ท่านทั้งหลายจงสร้างทางไปสู่สันติ และก็บอกว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
พระพุทธภาษิตสองบทนี้ บทแรกบอกว่าทุกคนควรจะสร้างทางไปสู่สันติ คือ คิดอะไร พูดอะไร ทำอะไร ให้เกิดความสงบขึ้นในตัวเอง ในครอบครัว ในหมู่บ้าน ในตำบล ในชาติ ในประเทศที่ตนอยู่อาศัย และก็บอกอานิสงค์ไว้ว่า ความสุขใดๆ ไม่สงบเท่ากับความสุขที่เกิดจากสันติ ความสันติที่มีอยู่ในใจน่ะเป็นความสุขแท้ เป็นความสุขที่ไม่เจือปนด้วยอะไร ไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้อง มันเป็นความสงบในภายใน อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราควรจะศึกษาทำความเข้าใจ เพื่อช่วยกันสร้างสันติให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา แล้วก็สร้างให้เกิดขึ้นในครอบครัว ในหมู่บ้าน ในตำบล ในเมือง ในประเทศชาติของเรา เวลานี้โลกไม่ค่อยสงบเท่าไหร่ ทำสงครามเรื่อยๆตั้งแต่โบราณ เพราะว่าประวัติศาสตร์บอกไว้ชัดเจนว่าผู้ทำสงครามนี้ย่อมย่อยยับในภายหลัง แม้ว่าอาจจะชนะ บุกเข้าไป บุกเข้าไป แต่ว่าผลที่สุดก็พ่ายแพ้ เพราะว่าเรื่องทำสงครามไม่ใช่เรื่องประเสริฐอะไร ไม่ใช่เรื่องดีอะไร แต่ว่าบางทีก็ทำเพื่ออยากได้ อยากได้เมืองขึ้น อยากได้ทรัพย์สมบัติ อยากได้เกียรติ ได้ชื่อเสียงแล้วก็ทำสงคราม อันนี้เป็นการรุกรานผู้อื่น การรุกรานผู้อื่นนั้นไม่ใช่เรื่องของความสุขสงบ แต่เป็นเรื่องสร้างปัญหา สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นในสังคม ทหารที่ไปรบทำไมจึงไปรบ เพราะการรบสมัยก่อนเหมือนกับไปปล้นเขา ไปตีเมืองใดได้ก็เก็บทรัพย์สมบัติในบ้านเมืองนั้นเอามาเป็นของตัว ทหารก็ชอบรบเพราะว่าได้ทรัพย์สมบัติ แต่ที่ถูกฆ่าตายก็ตายกันไป ไอ้พวกไม่ตายก็รบกันต่อไป
อเล็กซานเดอร์มหาราช อยู่ที่ประเทศกรีซ เดินทัพรบมาเรื่อยๆ จากประเทศกรีซเข้ามาประเทศอียิปต์มาเรื่อยมา จนกระทั่งถึงประเทศปากีสถานในปัจจุบันนี้ อัฟกานิสถานหรือปากีสถานเข้ามาตีประเทศอินเดียตอนเหนือได้ชัยชนะ เมื่อได้ชัยชนะแล้วก็นำเอาอารยธรรมบางอย่างมาฝากไว้กับประเทศอินเดีย เช่นอารยธรรมไหว้รูปเคารพ เป็นต้น สมัยก่อนอินเดียไม่มีรูปเคารพ แต่ว่าพวกกรีซนี่เขาไหว้รูป รูปเทพเจ้ามีมากมาย ในกองทัพก็เอารูปเทพเจ้ามาด้วย เทพเจ้าแห่งสงคราม เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ในจิตใจของนักรบ แล้วเขาก็กราบไหว้บูชากัน คนอินเดียเห็นว่าคนกรีซนี่รบเก่งเพราะไหว้รูปนี้ ก็เลยไหว้รูปบ้าง ทำรูปเต็มบ้านเต็มเมือง นี่เป็นมาจากของกรีซ ประเทศยุโรปตะวันออกนั่นเอง อเล็กซานเดอร์ก็เป็นผู้รุกราน แต่ผลที่สุดก็ตกต่ำเหมือนกันไม่ก้าวหน้า เพียงแต่มีชื่อในประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้รุกรานเท่านั้นเอง ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร ชื่อเสียงอย่างนั้น
ในยุโรปสมัยกลาง เราได้ยินชื่อ นโปเลียน โบนาปาร์ต ซึ่งเป็นคนฝรั่งเศส แกเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็รุกรานทั่วประเทศยุโรป เอามาเป็นเมืองขึ้น ส่งญาติไปปกครอง ที่ตีไม่ได้ก็รัสเซียเท่านั้น กับอังกฤษสองแห่ง ตีไม่ได้ เพราะว่าทัพเรืออังกฤษเข้มแข็ง นโปเลียนมีทัพเรือไม่พอ แต่ว่าได้มีประจัญบานกันครั้งหนึ่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เรียกว่า การรบใหญ่ที่ทราฟัลกา ท่านนายพลเนลสัน แม่ทัพอังกฤษนั้นแขนด้วนไปข้างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เขาปั้นรูปไว้ ยืนอยู่บนเสาสูง ที่ทราฟัลกาสแควร์ในกรุงลอนดอน ยังยืนอยู่เป็นอนุสรณ์ในชัยชนะ นโปเลียนก็สู้กันทางทัพเรือ นโปเลียนก็รบเรื่อย รบจนถูกจับไปปล่อยเกาะ แต่ว่าปล่อยเกาะแล้วหนีจากเกาะขึ้นมา กู้บัลลังค์อีก แล้วก็รบอีก รบอีกก็ไปแพ้ ผลสุดถูกจับปล่อยเกาะ ตายในเกาะนั้นเลย ตายอย่างคนธรรมดาในเกาะ แต่ว่าชาวฝรั่งเศสเขาเห็นว่าเป็นคนมีชื่อเสียง ก็เอาร่างกายมาฝังไว้ที่ใจกลางกรุงปารีส ก็เป็นเรื่องของนักต่อสู้ทำสงคราม ทำให้คนเดือดร้อนกันไปทั่วยุโรปก็ว่าได้
ยุคต่อมาก็มีมุสโสสินี ฮิตเลอร์ เกิดขึ้นในยุคเดียวกัน ก็ทำสงครามเหมือนกัน แล้วผลที่สุดเป็นอย่างไร ชีวิตท่านเหล่านี้ตกต่ำทั้งนั้น ไม่มีใครเจริญก้าวหน้า ผู้ใช้ดาบย่อมตายด้วยดาบ ในคัมภีร์อิสลามว่าอย่างนั้นว่าผู้ใช้ดาบต้องตายด้วยดาบ ในทางพุทธศาสนาสอนว่า อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก การไม่เบียดเบียนกันเป็นความสุขในโลก สุขในโลกนี่ก็ไม่พูดถึงทรัพย์ ไม่พูดถึงยศ ถึงความเป็นใหญ่ ถึงอะไรว่าความเป็นสุข เพราะนั่นไม่ใช่ความสุขแท้จริง แต่การไม่เบียดเบียนนั้นแหละเป็นความสุขที่แท้จริง สังคมใดยังเต็มไปด้วยความเบียดเบียน สังคมนั้นก็ไม่มีความสงบสุข แต่สังคมใดไม่เบียดเบียนข่มเหงกัน อยู่กันอย่างสงบ ก็มีความสุข ทุกคนตั้งหน้าทำมาหากิน แสวงหาทรัพย์สมบัติมาจับจ่ายใช้สอย ได้ทรัพย์สมบัติมาแล้วก็เอามาใช้ตามหน้าที่ ทำประโยชน์ตนบ้าง ช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง ก็มีความสุขจากทรัพย์สมบัติเหล่านั้น สุขนี้เกิดจากการไม่เบียดเบียนกัน การเบียดเบียนกันในทางร่างกาย การเบียดเบียนกันในทางทรัพย์ การเบียดเบียนกันในทางกามารมณ์ การเบียดเบียนกันด้วยการพูด เป็นการเบียดเบียนกันทั้งนั้น เป็นเรื่องการสร้างปัญหา สร้างความทุกข์ความเดือดร้อน คนเราควรจะอยู่กันด้วยความมีใจเมตตา ปรารถนาความสุขความเจริญแก่ผู้อื่น ไม่สร้างปัญหา ไม่สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ใครๆ คือต้องรู้จักเปรียบเทียบระหว่างตัวเรากับตัวเขา เรียกง่ายๆว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาใจเราไปใส่ใจเขา ต้องคิดถึงตัวเราก่อนว่าถ้าสมมุติมีใครมาทำอะไรกับเราในรูปนั้น เราจะพอใจหรือไม่ ถ้าใครทำร้ายร่างกายเรานี่ เราจะชอบใจหรือไม่ ใครมาฆ่าเรา เราชอบใจหรือไม่ ใครมาลักของของเราไป เราชอบใจหรือไม่ ใครฉ้อโกงเรา เราชอบใจหรือไม่ ถ้าใครมาทำผิดต่อครอบครัวของเรา เราชอบใจหรือไม่ ถ้าใครมาพูดคำโกหก คำหยาบ คำเหลวไหลกับเราหลอกลวงเรา เราชอบใจหรือไม่ ถ้าใครมาทำอะไรในทางไม่ดี ใส่ร้ายเรา เราก็ไม่ชอบ สิ่งใดที่เราไม่ชอบนี่ คนอื่นเขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน เพราะจิตใจคนนั้นมีฐานเหมือนกัน ฐานจิตใจคนนั้นคืออะไร คือความสะอาด สว่าง สงบ คือฐานจิตใจคนทั่วไป ไม่ว่าใครทั้งนั้น คือมีฐานสะอาด สว่าง สงบ แต่ว่าเกิดกิเลสเป็นครั้งคราว เพราะอาศัยวัตถุที่มากระทบ วัตถุภายนอกเขาเรียกว่าอารมณ์ อารมณ์มากระทบ มาทางตา มาทางหู มาทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็เข้าไปสู่ใจ รู้ผ่านเข้าไปทางตา ผ่านทางหู กลิ่นผ่านทางประสาทจมูก รสผ่านทางประสาทลิ้น สัมผัสถูกต้องผ่านประสาททางร่างกาย สิ่งเหล่านี้เมื่อเข้าไปถึงใจ เรารับสิ่งนั้นด้วยอำนาจ อวิชชาคือความไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องนั้น เราก็มีปัญหา มีความทุกข์ มีความเดือดร้อน ถ้าเรารับสิ่งนั้นด้วยปัญญา มันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่คนทั่วไปนั้นขาดการอบรมบ่มนิสัย ไม่สร้างสติสร้างปัญญา กำหนดรู้ ในเมื่ออะไรมากระทบ เมื่อมันกระทบโดยไม่รู้ ก็เกิดความโลภอยากได้ เกิดโทสะเมื่อไม่ได้ดั่งใจ เกิดความหลงมัวเมาอยู่ในสิ่งนั้น ทำให้เกิดปัญหา ใจถูกประทุษร้ายด้วย.กิเลสประเภทต่างๆที่เกิดขึ้นรบกวนจิตใจ ใจก็เปลี่ยนสภาพดั้งเดิม มาเป็นใจที่เศร้าหมอง ขุ่นมัว เร่าร้อน วุ่นวาย ด้วยประการต่างๆ นี่มันเป็นอย่างนี้ อันนี้ถ้าว่าพูดด้วยฐานจิตใจดั้งเดิมของคนเราจริงๆแล้ว เราไม่ต้องการความทุกข์ ไม่ต้องการความวุ่นวายทางจิตใจ ถ้าใครมาทำกับเรา เราก็ไม่ชอบ เมื่อเราจะไปทำกับคนอื่น เขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมหวาดกลัวอาญา เราจึงควรเอาตัวเป็นเครื่องอุปมาเปรียบเทียบ แล้วไม่ทำตนให้เดือดร้อนแก่ใครๆ
ในที่แห่งหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดอยากได้ความสุขเพื่อตน แต่ไปทำคนอื่นให้เดือดร้อนเป็นทุกข์ ผู้นั้นจะไม่ได้รับความสุขสมใจ บุคคลใดอยากได้ความสุขส่วนตน ไม่ทำคนอื่นให้เดือดร้อน ผู้นั้นแหละจะได้ความสุขอย่างแท้จริง มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่เราต้องการ คนอื่นก็ต้องการเหมือนกัน คนเราโดยทั่วไปนั้นก็รักสุข เกลียดทุกข์กันอยู่ทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครรักความทุกข์ เกลียดความสุขกันเลยแม้แต่น้อย เมื่อเราเข้าใจเรื่องอย่างนี้ ทำไมเราจะไปก่อกรรมทำเข็ญแก่ใครๆ ท่านจึงสอนว่าให้อยู่ด้วยน้ำใจเมตตาต่อกัน เราเห็นใครก็แผ่เมตตาไปยังเขา นึกในใจขอให้มีความสุข ขอให้มีความเจริญ ขอให้มีความก้าวหน้าในชีวิตในการงาน ปราศจากข้ออุปสรรคขัดข้องในการดำเนินชีวิตเถิด เราคิดอย่างนี้เรียกว่าคิดด้วยความมีเมตตา ปรารถนาดีต่อบุคคลอื่น แต่ถ้าเราคิดในทางตรงกันข้าม คิดให้เขาเดือดร้อน เสียหาย ก็เป็นการประทุษร้ายทางใจ แล้วเมื่อใจประทุษร้าย วาจาก็จะเป็นการทิ่มแทงคนอื่น การกระทำก็จะเกิดความเสียหายแก่คนอื่น อะไรๆ มันก็จะเสียหายไปหมด สิ่งทั้งหลายจึงเกิดจากใจของเรา โดยเฉพาะแต่ละคนจึงควรจะทำใจให้อยู่ในสภาพที่เป็นความสงบ ไม่วุ่นวาย ไม่เร่าร้อน ไม่คิดเรื่องชั่ว ไม่พูดเรื่องชั่ว ไม่ทำเรื่องชั่ว ไม่คบหาสมาคมกับคนชั่ว คนร้าย ไม่ส่งเสริมสิ่งชั่วร้ายขึ้นในสังคม อย่างนี้เรียกว่าเราสร้างความสงบให้เกิดขึ้น มีคนจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน ที่อยากจะมั่งมี อยากจะเป็นใหญ่เป็นโตในสังคม แต่ว่าขึ้นมาจากฐานที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เช่นเรามั่งมี แต่ว่าเราเบียดเบียนผู้อื่น ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทำมาหากินบางประเภทก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าใครมาขัดขวางก็ฆ่าทิ้งไปเลย ต้องฆ่าฟันกันทำร้ายร่างกายกัน ทำให้เขาถึงแก่ความตาย ไอ้บาปเวรอันนั้นมันก็ไม่ไปไหน มันก็กลับมาหาผู้กระทำ จึงปรากฏเป็นข่าวว่าคนฆ่ากันบ่อยๆ ยิงกันบ่อยๆ คนที่ถูกยิงถูกฆ่าโดยวิธีใดก็ตาม แสดงว่ามีสาเหตุคือ มีปัญหา มีเรื่องที่เขาทำไว้ก่อน ทำกรรมไม่ดีไว้ จึงถูกกรรมนั้นสนองผล ทำให้ตนต้องเป็นทุกข์ในภายหลัง แต่คนใดที่ร่ำรวยด้วยทางสุจริต ค่อยๆเป็นมาโดยลำดับไม่เร่งไม่รีบร้อน ไม่อาศัยใจที่รีบร้อน ไม่รีบเกินไป ไม่อยากได้เกินไป แต่ทำอะไรก็ทำตามหน้าที่ ที่จะต้องทำ แล้วผลมันก็เกิดขึ้น เมื่อเกิดผลขึ้นแล้วก็รู้จักเก็บ รู้จักใช้ รู้จักทำให้มันเจริญงอกงามต่อไป รู้จักจัดระเบียบความเป็นอยู่ให้เรียบร้อย ตามหลักธรรมะในพุทธศาสนา ทรัพย์สมบัติก็เหลือกินเหลือใช้ แล้วเอาไปลงทุนหาผลต่อไป การลงทุนในเรื่องอะไร ถ้าเห็นว่าเป็นไปเพื่อการเบียดเบียนผู้อื่นเขาจะไม่ทำ เขาไม่ประกอบอาชีพนั้น ค้าขายก็ไม่ให้ใครเดือดร้อน แต่เราค้าขายให้คนอื่นเดือดร้อนก็ต้องรับผล ทำอาชีพใดสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นในสังคม ให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อน มันเป็นอาชีพที่ไม่สบาย ผู้ทำอาชีพที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนนั้น นอนก็ไม่เป็นสุข นั่งก็ไม่เป็นสุข จะไปไหนก็ไม่เป็นสุข ทำไมจึงไม่เป็นสุข เพราะมันมีกรรมมีเวร เขาเรียกว่ามีกรรมมีเวร เราทำกรรมไว้ แล้วเมื่อทำกรรม มันก็เกิดเวรขึ้นมา ทำให้คนอื่นแค้นใจ เขาก็จะมุ่งมาทำร้ายเราเมื่อมีโอกาส จึงนอนไม่หลับ ไม่เป็นสุข นั่งก็ไม่เป็นสุข ไปไหนก็ระแวงไปอยู่ตลอดเวลา กลัวใครจะลอบยิง ลอบฆ่า อย่างนี้จะเป็นสุขได้อย่างไร ครอบครัวจะมีความสงบได้อย่างไร ทรัพย์สมบัติที่เรามีเราได้หาได้ช่วยให้เรามีความสุขอย่างแท้จริงไม่ ผู้ที่ต้องการความสุขอย่างแท้จริงจึงหลีกเลี่ยงการเบียดเบียนประทุษร้ายผู้อื่น
ในเรื่องการดำรงชีวิต เราอยู่อย่างสงบสันติ ไม่สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นแก่ใครๆ สภาพจิตใจก็จะเป็นปกติดีงาม อันนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่เราควรทำ ถ้ามีข้อขัดอกขัดใจกับใครๆ อย่าปล่อยให้ความขัดใจนั้นอยู่นาน อย่าเก็บไว้ในใจเรานานๆ แต่เราควรจะทำอย่างไร เราควรจะไปหาคนนั้น และทำความเข้าใจกันขอโทษขอโพยกันเสีย ไม่ให้ถือโทษโกรธตอบกันต่อไป อย่างนี้ก็เรียกว่าประนีประนอมกัน ประนีประนอมมีค่ามากกว่าการรบราฆ่าฟันกัน เราไปหาเขา ไปอ่อนให้เขา ขอโทษขอโพยยกมือไหว้ กราบมือกราบตีน ขอโทษเถอะ มันเผลอไปแล้ว ไอ้คนนั้นก็จะไม่โกรธอะไร เพราะเราไปขอโทษเขา คนเรามีเรื่องอะไร แต่อีกฝ่ายหนึ่งมาแสดงลุกะโทษ เขาก็ไม่ถือโทษโกรธตอบ ไม่มีปัญหา แม้เรื่องหนักๆบางเรื่อง เช่นว่าขับรถไปชนคนตาย แล้วคนนั้นก็เก็บศพไป เอาไปทำบุญสุนทาน ใช้จ่ายค่าการทำบุญสุนทานทุกอย่างทุกประการเรียบร้อย เจ้าของศพจะเป็นพ่อก็ตาม แม่ก็ตาม พี่ๆน้องๆก็ตาม หายโกรธไป หายโกรธไปเลย ทำไมจึงหายโกรธ ก็เห็นว่าเขาทำด้วยความประมาท คนเรามันอาจจะเผลอพลั้งได้ เพราะว่าสติไม่สมบูรณ์เหมือนพระอรหันต์ แล้วเขาก็มาแสดงความสำนึก ช่วยจัดงานศพอะไรให้เป็นการเรียบร้อย ก็ได้รับการอภัยกัน ไม่เอาอะไรมากเกินไป จ่ายเงินให้เขาบ้างนิดหน่อยตามสมควร ไม่ทำให้เขาโกรธแค้นเจ็บใจ มันก็ดีขึ้นเท่านั้นเอง มีหลายเรื่องหลายรายที่เป็นเช่นนั้น
คราวก่อนนี้ รถยนต์มันชนแม่ชี แม่ชีนี่แค่ประมาท แค่ว่าแกลงด้านซ้ายของรถ พอลงแล้วแกวิ่งไปด้านขวา คนขับห้ามว่า ไม่ได้ อย่าไป หยุดอยู่ก่อน แกก็...อันนี้ไปด้านขวา รถมันขึ้นมา รถไม่ได้ชนแม่ชี แม่ชีไปชนรถเอง รถกำลังวิ่ง แกก็ไปชน โครมเข้าให้ กระเด็นไป ไอ้รถคันนั้นก็พยายามหลบไป หลบไปข้างถนน ลงไปแล้วยังขึ้นมาได้อีก คนก็เห็นเฮ๊ย..มันประหลาด ลงไปอย่างนั้นแล้วยังขึ้นมาได้ คนขับเขาก็เก่งนะ ขึ้นมาก็หยุดรถทันที เขาไปยกร่างแม่ชีใส่รถ ไอ้คนที่มาเห็น ก็เอามาทำไม ชนแล้วก็หนีไป หนีไป แต่คนนั้นก็บอกว่าหนีทำไม หนีไปไหน เราทำความผิด เราก็ต้องรับผิดสิ ต้องเอาแม่ชีไปโรงพยาบาล ชนแถวบริเวณอยุธยา เขาก็พาแม่ชีมาส่งรพ.อยุธยา ให้หมอจัดการรักษา แล้วเขาก็ไปโรงพัก ไปโรงพักไปบอกตำรวจว่าเรื่องเหตุการณ์มันเป็นอย่างนี้ ตำรวจก็บอกว่าคุณมันโง่ที่สุดในหมู่คนขับรถในโลกนี้ ใครๆเขาก็หนีไปทั้งนั้น คุณมาหาทำไม ไปประนีประนอมกับเจ้าภาพดีกว่า มันก็เป็นหน้าที่ เราทำผิดก็ต้องแจ้งความไว้ก่อน ตำรวจก็ว่าคุณนี่มันโง่ ไปด่าเขาอีก หาว่าเขาโง่ ไอ้คนดีมันถูกหาว่าโง่ เขาก็เลยกลับบ้าน แต่พอรุ่งเช้าเลยรีบมาแต่เช้าเลย มาดูแม่ชี ที่รพ.อยุธยา มาถึงก็ไม่มีแล้ว ไม่มีแม่ชีแล้ว เขาถามว่าไปไหน ส่งไปกรุงเทพ ไม่รู้ส่งไปที่ไหน เขาก็มากรุงเทพ ไปที่ศิริราช ไปที่รพ. วชิระ รพ.กลาง ไปเที่ยวถามทุกโรงว่ามีแม่ชี เขาส่งมาที่นี่บ้างหรือไม่ แต่ไปที่รพ.หนึ่ง เขาบอกบอกว่า ป่วยเป็นรถชน ให้ไปดูที่สถานนิติเวช รพ.ตำรวจ ก็ไปที่นิติเวช แม่ชีตายแล้ว ตายแล้วแกก็จัดการ เขาพิสูจน์อะไรเสร็จแล้ว แกไปซื้อผ้าขาวห่อศพอะไรเรียบร้อย ซื้อโลงมาใส่ พามาที่วัดนี้ พามาที่วัดนี้เพราะรู้ว่าลูกชายแม่ชีเคยบวชที่วัดนี้ ก็พามาที่นี่ พวกญาติยังไม่รู้ เพราะญาติอยู่ไกล อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท แกก็สวดของแก ทำบุญอะไรไปตามเรื่อง พอคืนที่สอง ญาติถึงมามาถึงเห็นคนชนเป็นเจ้าภาพอยู่แล้ว ก็ไม่ได้ว่าอะไร พอรู้ว่าญาติมาแกก็ไปกราบคนนั้น ไปไหว้คนนี้ ขอโทษขอโพยอะไรต่างๆไปตามเรื่อง แต่ว่าลูกชายนี้ชักจะโกรธ บอกว่าแหมชนแม่ของกูตาย กูต้องเอาให้เจ็บ จะเรียกเอาเงินตั้งเท่าไหร่ ตั้งหกหมื่น แกก็มาหาอาตมาบอกว่า ผมนี่ไม่ใช่คนร่ำรวย ทำงานโรงงานแต่มีรถกลับบ้านอยู่อำเภอที่อ่างทอง ผมนี่เป็นลูกศิษย์วัดมาก่อน แล้วพาเจ้าคุณอาจารย์มาด้วย ให้มาช่วยพูด ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวฉันจะพบเจ้าภาพเขาก่อน แล้วพบเจ้าภาพคนนี้ บอกว่าคุณแม่ของเราตายไปแล้ว อย่าไปทำลายคนดีเลย เพราะคนนี้เขาเป็นคนดี อย่าทำคนดีเดือดร้อน เพราะเขาเก็บศพมาเรียบร้อย เอาไปรพ.แล้วอุตส่าห์ไปเที่ยวสอบถามจนรู้ว่าศพอยู่ที่ไหน ซื้อมาอาบน้ำศพ มาทำบุญสุนทาน เขาทำเรียบร้อยทุกอย่าง นี่เขาเป็นคนดี เราควรรักษาคนดี ช่วยคนดีไว้ อย่าเอาเขาแพงๆเลย ลดลงมาเหลือสักสี่หมื่น บอกว่ามันมากไปนะ สี่หมื่น เขาหาเงินไม่ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้พบกันใหม่ วันนั้นนะคนที่ชนนะ ไปยืมเงินเขามาสองหมื่น เสียดอกหมื่นละยี่สิบบาทต่อเดือน แล้วก็มาถึงบอกว่าผมไปยืมเงินเขามาแล้ว หลวงพ่อเอามาสองหมื่น บอกว่าเดี๋ยวก่อนคุยกันก่อน คุยคุยกัน เขาก็บอกว่าเขาก็ลำบากยากจน ไม่ได้ร่ำรวยอะไร เราอย่าเอาเขามากมากเลย นิดๆหน่อยๆพอสมควรนะ เขาทำดีทุกอย่างแล้ว พูดกันไปพูดกันมาก็เลยเอาเพียงหมื่นเดียวเท่านั้นเอง แกก็เลยเอาเงินสองหมื่นไปคืนเขาหมื่นหนึ่ง แล้วหมื่นหนึ่งก็เสียดอกกันต่อไป ลดลงมาขนาดนั้นให้อภัยกันและกัน นี่มันดีอย่างนั้น คนเรามันก็รู้ว่าผิดแล้วมันต้องไปรับผิด ถ้ารับผิดแล้วอะไรๆมันก็เรียบร้อยไป แต่ถ้าไม่รับมันก็เสียหาย เกิดความทุกข์ในภายหลัง จึงควรจะได้เป็นอย่างนั้น ถ้าเราจะสร้างสันติให้เกิดขึ้นในหมู่สังคมก็ควรทำอย่างนั้น
ในครอบครัวก็เหมือนกัน สามีภรรยาต้องอยู่กันด้วยความสงบ อย่าอยู่กันด้วยความวุ่นวาย แล้วทำอย่างไร ก็คือต่างคนต่างต้องให้เกียรติกันและกัน สามีก็ต้องให้เกียรติแก่ภรรยา ภรรยาก็ต้องให้เกียรติแก่สามี แล้วก็ทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง เป็นมีความซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่ไปเที่ยวหาความสุขนอกบ้าน ไม่คิดนอกใจให้เกิดความระแวงสงสัยแก่กันและกัน อยู่กันด้วยความซื่อสัตย์ประนีประนอมกัน ไปทำงานที่ไหนกลับมาก็รีบมาบ้าน ไม่ไปเที่ยวสโมสร ไม่ไปเที่ยวดื่ม ไม่ไปเที่ยวเล่นบิลเลียดอะไรวุ่นวาย พอนึกถึงบ้าน เราก็รีบมาบ้าน มาบ้านแม่บ้านก็ชื่นใจ ลูกก็ชื่นใจ ได้พบหน้าพ่อแม่อยู่กันพร้อมหน้า กินข้าวพร้อมกัน ได้คุยกันในโต๊ะอาหาร กินข้าวเสร็จแล้วก็ได้ดูข่าวโทรทัศน์ด้วยกัน ได้ฟังเทศน์หลวงพ่อปัญญาเทศน์ด้วยกัน อย่างนี้มันก็สบายใจ ได้อยู่กันด้วยความสงบสุข ไม่มีปัญหาอะไร ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เสียสละให้แก่กัน สามีก็เสียสละเพื่อภรรยา ภรรยาก็เสียสละเพื่อสามี มันก็สบาย ไม่มีปัญหา แล้วต่างคนต่างรู้ใจกัน ว่านิสัยใจคอเป็นอย่างไร สิ่งใดสามีไม่ชอบ ภรรยาก็ไม่ทำ ไม่พูดไม่คิดถึงเรื่องนั้น สิ่งใดภรรยาไม่ชอบ สามีก็ไม่ทำเรื่องนั้น ไม่พูดเรื่องนั้นให้กระทบกระเทือนจิตใจ ต่างคนต่างถนอมน้ำใจกัน ก็อยู่กันด้วยความสุข ไม่มีปัญหาอะไร อันนี้เรามีลูก พ่อแม่ก็ทำหน้าที่ให้ถูกต้องต่อลูก ด้วยการแนะนำพร่ำเตือนสิ่งดีสิ่งชั่วให้ลูกเข้าใจ ให้ทำแต่เรื่องดีอย่าไปทำเรื่องชั่ว ให้รักการเรียน ให้ขยันเอาใจใส่ในการศึกษา ดูแลการเรียนลูกให้ดี ถ้าลูกต้องการอะไรที่จำเป็นแก่การศึกษาจะซื้อหาให้ ให้เขาได้รับความสะดวกสบายในการศึกษาเล่าเรียน ไปติดต่อที่โรงเรียนบ้าง เพื่อจะได้รู้ว่าสภาพชีวิตของลูกเป็นอย่างไร มีอะไรควรแก้ไขควรปรับปรุง อย่างนี้ก็อยู่กันด้วยความสงบ
อันนี้ระหว่างเพื่อนบ้าน เราจะอยู่กันอย่างไร ก็ต้องอยู่กันด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน เพื่อนบ้านกันก็ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีอะไรก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ บ้านนาย ก.มีอะไรก็มาให้บ้านนาย ข. นาย ข.มีอะไรก็เอามาให้นาย ก. นาย ก.มีอะไรเกิดขึ้น บ้านนายข.ก็มาช่วยเหลือกัน ทุกอย่างมีอะไรช่วยเหลือกัน ไม่นั่งนิ่งไม่ดูดาย บ้านนาย ข.เป็นทุกข์ บ้านนาย ก.ก็ไปช่วยปลอบโยน ช่วยให้กำลังใจ บ้านนาย ก.เป็นทุกข์ นาย ข.ก็มาช่วยปลอบโยนให้กำลังใจ ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน ถ้าคนในบ้านนั้นมีอยู่สิบครอบครัว อยู่กันด้วยอาการอย่างนี้ โจรไม่มีผู้ร้ายไม่มี เพราะว่าคนในบ้านนั้นรักกันหมด ก็นอนสบาย นั่งสบาย นอนสบาย มีวัวก็ไม่หาย มีควายก็ไม่สูญ มีทรัพย์สมบัติก็ไม่มีใครมาปล้น เพราะทุกคนรักกัน อยู่กันด้วยความสุขความสงบ มันก็ไม่มีปัญหาอะไร
ไอ้ที่มีปัญหาก็เพราะว่ารังเกียจกันด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ กระทบกระทั่งกัน ไก่มันตีกัน แล้วเอามาเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าของไข่โกรธกัน หมากัดกันเอามาเป็นเรื่อง เจ้าของหมาโกรธกัน แมวกัดกันเอามาเป็นเรื่อง เจ้าของแมวโกรธกัน เด็กมันเล่นกัน แล้วมันก็ตีกันบ้าง ความจริงเด็กน่ะมันไม่โกรธไม่เคืองอะไรกันหรอก มันก็โกรธก็...ข้าไม่เล่นแล้ว โกรธแล้วนะ หันหลังให้ ประเดี๋ยวเดี๋ยวก็หันหน้ามายิ้มกันต่อไป แล้วมาเล่นกันต่อไป เด็กมันไม่ผูก ไม่จองเวร ถ้าผู้ใหญ่ทำเหมือนเด็กมั่ง มันก็สบาย มีอะไรเกิดขึ้นก็อภัยกัน ไม่ถือโทษโกรธตอบ แล้วก็ไปง้อฝ่ายได้ฝ่ายหนึ่ง ไอ้การไปง้อเขา มันลดทิฐิ ลดมานะ ลดความถือตัว คนเรามันลดไม่ค่อยลง กูไม่ยอม กูไม่ยอม เรื่องนี้ไม่ยอมเด็ดขาด นั่นแหละไอ้ตัวร้าย ที่มันสร้างปัญหาขึ้นในครอบครัว ในสังคม ในเพื่อนบ้าน ไม่ยอม ไม่ยอม ไม่ยอมเพราะเรื่องทิฐิมานะ มีความเห็นแก่ตัว มีความถือดี มีความอะไรหลายๆ ซึ่งเป็นตัวกิเลส พอสมควรที่ทำให้ยุ่งมีปัญหา เรายอมวันนี้ คนที่ไปง้อก่อนนั่นแหละเป็นผู้ชนะ แต่คนที่ไม่ง้อน่ะเป็นผู้แพ้ อันนี้เราอยากชนะเขา เราก็ไปง้อเขา ไปขอโทษขอโพยเขา แล้วก็ชวนมานั่งกินข้าวด้วยกัน แต่อย่าเอาเหล้ามาเลี้ยง เดี๋ยวมันผิดปกติก็ตีกันตายอีก ไม่ได้เรื่องอะไร เราก็หันหน้าเข้าหากัน ประนีประนอม พบกันที่ไหนก็ยกมือไหว้กันเสีย มันก็หมดเรื่อง นี่พบแล้วทำเมินเฉย มองไปด้านโน้นเหมือนว่ามีอะไรน่าดูอย่างนั้นน่ะ ไอ้ด้านนี้ไม่มองเพราะคนนั้นมันเดินอยู่ แล้วมันจะดีกันได้อย่างไร เรียกว่า ศรศิลป์ไม่กินกัน มันก็เข้ากันไม่ได้ มองกันไม่ได้ สายตามันไม่ชอบกัน มันก็...ไม่มีทางจะประนีประนอมกัน ให้ถือหลักว่าประนีประนอมมีค่ามากกว่าการแตกแยก เราก็ประนีประนอมกัน อย่างนี้ก็สบายใจ ไม่มีปัญหาอะไร
เอ้า ทีนี้ระหว่างคนต่างศาสนา เราในฐานะเป็นพุทธบริษัทนี่ควรจะทำตนให้ถูกต้อง ในระหว่างคนต่างศาสนา นี่เราไม่ถือ พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ถือ ไม่รังเกียจในระหว่างคนที่ถือศาสนาอันอื่น เมื่อครั้งยุคที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้น พระองค์ไปคุยกับเจ้าลัทธิต่างๆบ่อยๆ เช่น จะไปบิณฑบาตรมันยังเช้าเกินไป เอ้าแวะไปคุยกับเจ้าสำนักเดียรถีย์ สำนักนิครนห์ ...... (50.03 เสียงไม่ชัดเจน) ซึ่งเป็นนักบวชทั้งนั้นแหละ แต่ว่าแตกต่างในทางเชื่อ ไปคุยกัน สนทนาพาทีกัน ปรับความเข้าใจกัน แต่บางทีก็เข้ากันได้ บางทีเข้ากันไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอม เราก็บอกว่าท่านนี่มีความคิดความเห็นแบบนี้มานานแล้ว ไม่ยอม ก็จากไปบิณฑบาตรไม่ได้ถืออะไร พบกันที่ไหนก็คุยกันได้ นั่งกันได้ อะไรกันได้ แม้ลูกศิษย์ของเดียรถีย์ ของนิครนห์น่ะมาเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ายังไม่ได้สอนให้ตัดสวาทขาดกันจากพวกนิครนห์ พระพุทธเจ้ากลับบอกว่า เธอ เคยเป็นลูกศิษย์ของพวกนิครนห์มาก่อน บ้านเธอเปิดประตูสำหรับท่านเหล่านั้น แม้จะมาเป็นพุทธบริษัทเป็นลูกศิษย์ของเรา อย่าปิดประตูบ้านสำหรับนักบวชประเภทนั้น เขามาก็ต้อนรับด้วยดี กราบไหว้ให้อาหาร ให้ที่อาศัย ให้ทุกสิ่งอย่างเหมือนเคยทำ เคยทำอย่างใดก็จงทำอย่างนั้นต่อท่านเหล่านั้น ไม่ ไม่ผิดปกติ พระองค์สอนอย่างนั้นก็เพื่อให้เกิดความสงบ ไม่มีการแตกแยกแตกร้าว ในระหว่างพวกต่างศาสนา ชาวพุทธเราจึงถือว่าไม่เป็นพิษเป็นภัยกับคนศาสนาอื่น และเราถือว่าคนศาสนาอื่นก็ไม่เป็นพิษกับเรา แม้เขาจะพ่นพิษใส่เราก็ไม่ยอมรับพิษที่เขาพ่นใส่ เราถือว่าเป็นคนด้วยกัน ถือธรรมะด้วยกัน ศาสนาก็คือตัวธรรมะนั่นแหละ แต่เราไปตั้งชื่อเข้า เป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม เป็นฮินดู เป็นอะไรต่ออะไร ไปใส่ชื่อ ตัวธรรมะแท้ๆไม่มีชื่อ มันมีแต่ว่าข้อปฏิบัติอันจะทำให้เราพ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน อย่าไปเที่ยวตั้งชื่อเข้าไปเลย เอามาปฏิบัติ อันนี้คนถือศาสนาอื่นก็ถือว่าเขาปฏิบัติธรรมเหมือนกัน แต่ว่าอาจจะต่างชั้นก็นิดหน่อย ของเรามันอย่างนี้ เขาอย่างนู้นก็อย่าไปรังเกียจเดียดฉันท์กัน เพราะการรังเกียจนั้นสร้างปัญหา รังเกียจกันระหว่างศาสนานี่สร้างปัญหา สร้างความแตกแยกแตกร้าว เป็นปัญหาในสังคมอยู่เหมือนกัน เราชาวพุทธจะไม่ถืออย่างนั้น แต่จะถือว่าทุกคนเดินตามเส้นทางธรรมะ ไปสู่จุดแห่งสันติอย่างแท้จริง คือพระนิพพาน พระนิพพานเป็นสันติสูงสุด ตามหลักในทางพุทธศาสนา เขาก็เดินไปสู่จุดนั้น แต่มันไม่ถึงก็ไม่เป็นไร เขาเดินอยู่ เราก็เป็นเพื่อนเดินทางกัน อย่าไปเที่ยวทะเลาะเบาะแว้งกัน ระหว่างเดินทางทำไม ไปทุบไปตีกันทำไม มันไม่ได้เรื่องอะไร เราก็เดินไปด้วยกัน มีอะไรก็แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน อย่างนี้ก็สบายใจ อยู่กันด้วยความสุขสงบ
คนไทยที่นับถือพุทธศาสนาแถวจังหวัดสตูล ปัตตานี ยะลา นราธิวาสที่คนส่วนมากเขาเป็นอิสลาม เขาก็อยู่กันได้ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ไอ้ที่มันยุ่งน่ะ มันพวกนักกวนเมืองไม่กี่คน แต่ชาวบ้านทั่วไปเขาไม่ยุ่งกัน เขาช่วยเหลือกัน สมมติว่าพวกอิสลามเขาทำพิธีถือบวช พวกเราก็ไปช่วยกัน ก็มีงานเช่นว่างานสุนัตนี่เป็นงานใหญ่ เหมือนกับเราบวชเณร เขาทำพิธีสุนัต ทำพิธีอิสลาม เราก็เอาอาหารไปช่วย เอาอะไรไปช่วย คนไทยมีงานบวชนาค เขาก็มาช่วย มีงานศพเขาก็มาช่วย วัดวาอารามมีงานเขาก็มาช่วย แต่ว่าเขาไม่เรียกว่าทำบุญ เขาเรียกว่าเอามาช่วยทาน ไม่ใช่ทำบุญ มันก็เหมือนกันนะแหละ ไอ้ช่วยก็ทำบุญ แต่รังเกียจถ้อยคำ เพราะว่าในศาสนาเขียนว่าไม่ให้ทำบุญแก่คนศาสนาอื่น อันนี้มันคับแคบไปหน่อยไม่กว้างขวาง ของเราไม่ว่าอะไร แต่ห้ามไม่ให้ทำวิธีอื่น พิธีที่ไม่ใช่พุทธศาสนา การทำทานให้แก่คนต่างศาสนาก็ได้ ให้ใครก็ได้ เราไม่ถือว่าเสียหายอะไร หลักการเป็นอย่างนั้น ก็อยู่กันด้วยความสุข ความสงบ ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าหมู่บ้านอิสลามที่พูดไทยได้ เราผ่านไปในหมู่บ้าน ทักทายปราศรัยกัน ทำอะไร ก็ว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ เขาบอกว่า มากินกันบ้างก็ได้ ชวนให้เราไปกินด้วยซ้ำไป เพราะว่าเขายิ้มต่อกัน ไม่มีเรื่องปัญหา ชาวโลกควรจะอยู่กันอย่างนั้น แต่โลกมักจะถือชาติ ถือศาสนา ถือผิวพรรณ ถือภาษา ถือวัฒนธรรม สอนให้ต่างคนต่างถือและเข้ากันไม่ได้ อันนี้มันผิดทาง มันไม่ถูกทาง ถ้าถูกทางก็คือว่า คนทุกประเภทเข้ากันได้ เป็นเพื่อนกันได้ เป็นมิตรกันได้ จึงจะเกิดสันติสุขขึ้นในโลกนี้ แต่ที่มันก็เกิดขึ้นไม่ได้ ก็เพราะผู้สอนสอนผิดทาง สอนให้คนถือเขา ถือเรา ถือพรรค ถือพวก ถือนั่น ถือนี่ เป็นปัญหาทั้งนั้น มันยุ่งทั้งนั้นแหละ เราอย่าไปถือสิ่งเหล่านั้น เราเข้ากันได้ พบใครก็ถือว่าเป็นมนุษย์ด้วยกัน สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่ามีภัยกันเลย อย่ามีเวรกันเลย อย่างนี้มันก็สบายดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่นี้นั่นคนไทย นั่นคนแขก นั่นคนจีน พม่ารามัญ ไปกันใหญ่ ยิ่งตั้งชื่อมากยิ่งยุ่งมาก ปลดชื่อออกเสียบ้าง เอาแต่คนก็พอแล้ว ไม่ต้องยุ่งมากเกินไป แล้วก็เป็นสุขกันดี นี่เป็นวิถีทางที่จะให้เกิดสันติขึ้นในสังคมของมนุษย์ได้สมความตั้งใจ
แสดงมาก็สมควรแก่เวลา ในที่สุดนี้ก็ขออวยพรให้ญาติโยมทั้งหลายอยู่กันด้วยสันติ สุขสันติภาพกันทั่วหน้ากันทุกท่านทุกคนเทอญ