แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
เมื่อวานนี้ได้รับสาส์นจากสวนโมกข์ จะอ่านให้โยมฟังหน่อย โมกขพลาราม อำเภอไชยา ๓๐ เมษายน ๒๕๓๓ ขอประกาศย้ำให้ทราบทั่วกันอีกครั้งหนึ่งว่า วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ อาตมาหรือคณะกรรมการใดๆ ไม่มีการจัดงานพิธีรีตองอะไรเกี่ยวกับการฉลองอายุหรือแม้แต่ล้ออายุ คงมีแต่พิธีกรรมเลิกอายุ คือไม่รับรู้ความหมายของอายุของอัตตาตัวตนอีกต่อไป จึงมีแต่เพียงการแสดงธรรม อภิปรายธรรม สาธยายธรรม สนทนาธรรม ทำสมาธิ ทำวิปัสสนาอานาปานสติเรื่องเลิกอายุ ทำความสงัดสูงสุดในระดับสุญญตาวิหารกลางพื้นดิน เว้นการบริโภคอาหารสองสามวัน แล้วแต่ใครจะทำได้เท่าไหร่ ผู้ใดหิวทนไม่ไหวก็แก้ปัญหาด้วยน้ำข้าวต้มหรือน้ำปานะหนึ่งหรือสองถ้วย ซึ่งจะมีผู้บริจาคให้ หรือหาซื้อเอาเองจากร้านจำหน่ายอาหารที่มีอยู่ตามปรกติก็ได้ มีการสนทนากลางดิน ถ้าจะต้องพักผ่อนหลับนอน ก็พักผ่อนกลางดินตลอดเวลาหนึ่ง สอง สามวัน ตามที่ใครจะทนได้เท่าไหร่ จะเรียกว่าเป็นการประชดอายุ หรือประกาศสงครามกับอายุก็แล้วแต่ ใครอยากเรียกอย่างไรก็ตามใจ ความมุ่งหมายอันแท้จริงก็คือทำพิธีหย่าขาดจากปัญหาอันเกี่ยวกับอายุทุกประการ ไม่มีการจัดที่พักต้อนรับหรืออาหารเลี้ยงดูตามแบบที่กระทำกันทั่วไปทั้งแก่ฆราวาสและบรรพชิต ขอได้โปรดทราบตามนี้ ลงนาม พ. อินทปัญโญ ภิกขุ พุทธทาสอินทปัญโญ หรือว่าใครจะไปก็ไม่ว่าแต่ไม่มีการต้อนรับอะไร ไปก็นอนบนดินบนทราย กินน้ำข้าวสองสามวัน ไม่กินเลยก็ได้ ไม่มีครัว ไม่มีโรงครัวตั้งเลี้ยง ไม่มีอาหารเหมือนปีก่อนๆ หรือเหมือนที่เขาทำกันทั่วไป ทุกคนไปก็ช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง อย่างนี้ก็ไปด้วยศรัทธาจริงๆ คนที่อยากจะไปสบาย เขาก็ไม่ไป อันนี้ก็เรียกว่าถ้าใครไปก็ไปไม่สบาย ไปหัดนอนกลางดินกินกลางทราย แล้วก็สนทนาธรรม ฟังธรรมกันไปตามเรื่อง ใครจะไปก็ตามใจโยมนะ ไม่ว่าอะไร แต่ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีการต้อนรับเป็นพิเศษ ทุกคนเหมือนกันอย่างนั้น เพื่อตัดปัญหายุ่งยาก เพราะว่าการทำอะไรมันต้องยุ่ง ต้องจ่าย ต้องซื้อ ต้องหา ต้องจัดโน่นจัดนี่ ท่านไม่อยากรบกวนใคร ใครจะไปก็ไม่รบกวนใคร ไปสงบ ไปทำจิตในทางธรรมะ สนทนาธรรม อภิปรายธรรมอะไรกันเรื่อยไป ใครทนไม่ได้ก็นอนอยู่ตรงนั้นแหละ นอนบนทรายอ่ะ นอนบนดินซะมั่ง จะได้พบกับธรรมชาติ ท่านต้องการอย่างนั้น ผู้ใดจะไปก็ลองดูก็แล้วกัน เอ้า ว่าเรื่องอื่นต่อไป
ตอนนี้ที่สนามหลวง เขามีสัปดาห์แห่งการส่งเสริมพระพุทธศาสนา แต่ปีนี้ไม่เหมือนปีก่อนเพราะฝนเทลงมาเมื่อวานห่าใหญ่ น้ำเจิ่งไปหมด เป็นโคลนไปหมดเลย เมื่อคืนไปแสดงธรรมที่นั่น เอารถเข้าไป บุกโคลนเข้าไป กว่าจะถึงที่แสดง แล้วโยมก็นั่งกันลำบาก ก็ต้องนั่งตามเต๊นท์ห่างไป ไม่เห็นหน้าเห็นตา แต่ว่าโยมส่วนหนึ่งก็มานั่งอยู่ในสนามหญ้า เอาอะไรปูนั่ง แล้วก็นั่งฟังธรรมกัน แสดงธรรมหนึ่งชั่วโมงนิดหน่อย แล้วก็จบกัน คนเขาไปกันอย่างนั้น งานนี้มีจนถึงวันที่ ๘ เรียกว่าสัปดาห์แห่งการส่งเสริมพระพุทธศาสนา น่าจะเปลี่ยนแล้ว คือเปลี่ยนไปทำเดือนกุมภาฯ ดีกว่า เพราะกุมภาฯ อากาศมันแห้ง ฝนไม่ตก จะนั่งจะอะไรก็สะดวกสบายทุกประการ ไม่เอาเดือนวิสาขะ แต่เอาเดือนมาฆะ แต่แสดงอะไรเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มันก็ได้ทั้งนั้นแหละ วันวิสาขะนี้ฝนมักจะเทลงมา อาสาฬหะก็เหมือนกัน มักจะมีฝน ไม่ค่อยจะสะดวกกับงานใหญ่ๆ อันนี้ถ้าไปทำเดือนมาฆะล่ะก็สบาย ลมพัดเย็นสบาย แล้วก็แห้ง ญาติโยมก็ไม่เดือดร้อนกับเรื่องฟ้าเรื่องฝน แล้วก็ไม่ร้อนอะไร สบายดี แต่ว่าทำกันมา ริเริ่มเอาวันวิสาขะ และก็ต้องทำกันต่อมาดังที่เคยทำกันมา ทำไมจึงต้องทำการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ถ้าพูดให้ถูกต้องก็เรียกว่าส่งเสริมการศึกษา ส่งเสริมการปฏิบัติหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ทำไมจึงต้องมีการส่งเสริมเรื่องอย่างนี้ เพราะเวลานี้คนกำลังหันหลังให้ธรรมะมากขึ้น ๆ ทำไมจึงได้หันหลังให้ธรรมะ ก็เพราะว่าความเจริญในทางวัตถุมีมากขึ้น อันความเจริญในทางวัตถุนั้นทำคนให้โลภมากขึ้น โกรธมากขึ้น หลงมากขึ้น ริษยามากขึ้น พยาบาทอาฆาตจองเวรกันมากขึ้น เพื่อเอาวัตถุ แข่งกันเอาวัตถุ แล้วถ้าใครเข้ามาทำด้วยก็ต้องยิงมัน ฆ่ามัน เพราะงั้นการฆ่าที่ร้ายๆ จึงเกิดมากขึ้น เพราะแย่งวัตถุกัน จิตคนไปอยู่กับวัตถุ ลืมนึกถึงธรรมะอันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อคนหลงใหลมัวเมาในวัตถุ จิตมันก็มืดบอด มืดด้วยโมหะ มืดด้วยโทสะ มืดด้วยโลภะ มืดด้วยความริษยา แล้วก็ทำการเบียดเบียนกันด้วยประการต่างๆ นี่เป็นปัญหาในสังคมประเทศไทย ความจริงไม่เฉพาะแต่เมืองไทยอ่ะ ทั่วโลกมันเหมือนกันทั้งนั้น เพราะว่าคนแข่งกันหาวัตถุทั้งนั้น อยากมีอยากได้มากๆ แล้วถ้าใครมาขัดขวางไม่ให้มีให้ได้ก็ต้องปัดออกไป ทำลายออกไป มันเป็นอย่างนั้น ไม่ได้นึกถึงความเมตตาปราณี ไม่ได้นึกถึงความอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่นึกว่ากูเอาก่อน กูมั่งมีก่อน ไอ้คนอื่นจะยากจะจนช่างหัวมัน อันนี้เป็นความคิดที่เกิดขึ้นรุนแรงมากขึ้นทุกวันทุกเวลา การส่งเสริมทางศีลธรรม หรือนำคนเข้าหาธรรมะชักจะจางไป จึงเป็นปัญหามากขึ้น
เมื่อเช้านี้ไปเทศน์ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง ๕ เขามีมุมหนึ่งที่ตรงโน้น เด็กหนุ่มๆ สาวมากกว่าหนุ่ม คิดเฉลี่ยแล้วสาว ๙๙ หนุ่มมันสัก ๑ เปอร์เซ็นต์ มานั่งกันอยู่ตั้งแต่ตีห้า วันนี้เบิร์ด แมคอินไตย เป็นผู้ร้องเพลง แล้วก็โอ๊ยติดอกติดใจเบิร์ดตัวนี้อ่ะ มานั่งกันเอี๊ยดเลย แน่นเอี๊ยดในบริเวณนั้น ทำไมต้องมานั่งแต่ตีห้า กลัวจะไม่มีที่นั่ง คนนั่งเต็มไปหมด เต็มแล้ว เมื่อเช้าหลวงพ่อไปถึงเจ็ดโมงครึ่งนี่เต็มหมดแล้ว ไปดูทุกทีอ่ะ ไปดูว่ามันมากขนาดไหน เมื่อเช้ามันมากเป็นพิเศษ เลยถามว่าวันนี้ทำไมถึงแน่นตั้งแต่ตอนนี้ อ้อ เบิร์ดเขามาค่ะ เขาเรียกว่าชอบเบิร์ดทุกคน จนไม่มีที่นั่ง ล้ำออกมาบนฟุตบาท เดินกันเป็นแถว ตรงประตูทางเข้า จนกระทั่งยืนขวางประตูเต็มไปหมด บอกอ้าว ยืนแบบนี้เดี๋ยวก็ชนแหลกกันไปเท่านั้นเอง แล้วก็ถอยกันออกไป พวก พวกบ้าดนตรี นั่นหล่ะไม่งั้นไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว มันจะมาฟังท่าเดียว แล้วฟังโน่นแน่ะต้องเที่ยงโน่นกว่าดนตรีจะแสดง ก็มานั่งอยู่ตั้งแต่เช้า เป็นลมเป็นแล้งหามออกกันไปตามๆ กัน เพราะอึดอัดแน่น นั่นหล่ะเป็นงั้น คนมันชอบอย่างนั้นเวลานี้ ถ้ามีดนตรีที่ไหน อู้ย ไปกันเป็นการใหญ่ แต่เรื่องอื่นมันไม่ค่อยเป็น และพวกนั้นหนุ่มสาวทั้งนั้น ความคิดมันก็กวัดแกว่งไปตามอารมณ์และสิ่งแวดล้อม ถ้าเราไม่มีการหาวิธีชักจูงโน้มน้อมจิตใจให้คนเข้าหาธรรมะไว้บ้าง คนจะเป็นอยู่อย่างชนิดที่เรียกว่าไม่มีห้ามล้อ รถไม่มีห้ามล้อ อันตราย เพราะจะไปชนใครเมื่อใดก็ได้ คนเราไม่มีห้ามล้อก็จะมีปัญหา ห้ามล้อทางจิตใจก็คือศีลธรรม คำสอนในทางพระศาสนา ถ้าไม่มีเรื่องนี้ก็จะเกิดทุกข์ เกิดปัญหามากขึ้นในสังคม จึงต้องมีการตื่นตัวกันขึ้นเพื่อทำงานส่งเสริมปลุกใจเร้าอารมณ์ในทางพระศาสนา แต่ว่ายังไปไม่ได้เท่าใด มันเป็นการเริ่มต้น คือการหาทุนเท่านั้นเอง หาทุนด้วยการจำหน่ายดอกบัว ดอกละ ๑๐ บาท ๑๐ บาท ส่งไปตามสำนักราชการต่างๆ ให้ช่วยขายให้ แล้วที่นั่นก็ขายดอกบัวเพื่อหาทุน ปีหนึ่งก็ได้สักล้าน สักอะไรอย่างนั้น เอามารวบรวมไว้ให้เป็นก้อนใหญ่ แล้วก็ใช้จ่ายในการเผยแผ่ต่อไป งานมันวางฐานไกล กว่าจะได้มากก็ทำกันหลายปี ทำกันอยู่อย่างนี้ หลายปีเพื่อให้ได้ทุนพอสมควร ก็เป็นการสร้างสิ่งถูกต้องขึ้นในสังคม แต่ว่าถ้าเราส่งเสริมเพียงการหาทุนมันก็ยังได้ไม่พอใช้ การส่งเสริมกิจการทางพระศาสนานั้นไม่ใช่ทำเพียง ๗ วัน แต่ต้องทำทุกวัน ทำทุกวันเลย พระสงฆ์องค์เจ้าก็ต้องช่วยกันทำ ญาติโยมอุบาสกอุบาสิกาก็ต้องช่วยกันทำ คือให้เราพิจารณาว่าการไม่มีธรรมะในสังคมเป็นอย่างไร ความทุกข์ความเดือดร้อนจะเกิดขึ้นขนาดไหน มองให้เห็นทุกข์เห็นโทษของการปราศจากศีลธรรมกันเสียก่อนว่ามันร้ายขนาดไหน เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมนี่มันเป็นอย่างไร พิจารณาให้เห็น เมื่อเห็นแล้วก็จะเกิดความหวาดกลัวต่อสิ่งนั้น ไม่อยากจะให้เกิดขึ้น เมื่อไม่อยากให้สิ่งน้ันเกิดขึ้นเราจะทำอย่างไร เมื่อไฟไหม้เราจะทำอย่่างไร เราต้องเอาน้ำมาดับไฟ น้ำต้องมากกว่าไฟ ถ้าน้ำน้อยกว่าไฟมันก็ไม่ได้ เอาน้ำมาก น้ำน้อยแพ้ไฟเขาว่าไว้แล้ว เพราะงั้นต้องเอาน้ำมากมาดับไฟ ดับหมดไม่ให้มันติดเชื้อต่อไป ไฟก็จะไม่ลุกลามต่อไป
เวลานี้ไฟกำลังจะไหม้โลก เพราะว่ากำลังเตรียมจะจุดไฟไหม้โลกกันอยู่ทั่วๆ ไป มนุษย์ไม่มีความไว้ใจกัน ระแวงต่อกัน แม้ชาติใหญ่ๆ ก็ไม่ไว้ใจกัน แบ่งเป็นสองค่าย ค่ายประชาธิปไตยโดยสมมติ กับค่ายของพวกคอมมิวนิสต์ เลยแก่งแย่งแข่งดีกันอยู่ แม้ว่าจะพูดอะไรกันก็เอามือไขว้ไว้ข้างหลัง แล้วก็ถืออะไรๆ ไว้ข้างหลัง ถ้าเอ็งเผลอข้าแทงก่อนนะ มันเป็นซะอย่างนั้น แล้วก็เตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างชนิดร้าย เช่น ระเบิดปรมาณู ระเบิดไฮโดรเจน ถ้าหากว่าทุ่มลงไปทีไรก็โลกแหลกวินาศกันไปเลย เพราะความไม่ยั้งคิด ไม่ยั้งตรองของผู้นำบ้านนำเมือง คือนักการเมืองน่ะแหละจะทำให้เกิดความเสียหาย เพราะขาดคุณธรรม ไม่มีความคิดในทางที่ถูกที่ชอบ เกิดโมโหโทโสขึ้นมาเมื่อใดก็จะใช้สิ่งที่ตนมีในทางวัตถุทำลายกัน พ่นพิษเข้าใส่กัน ปัญหาก็จะเกิดเดือดร้อนมากขึ้น ในบ้านเมืองของเรานี้ก็ไม่ค่อยจะปลอดภัย บ้านช่องก็ต้องทำอย่างแข็งแรง มีเหล็กประตูเหล็กหน้าต่างเหล็กหมด เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ออกไม่ได้ถึงแก่ความตายกันไปตามๆ กัน ทำไมจะต้องทำอย่างนั้น เพราะความหวาดกลัว กลัวภัยอันเกิดขึ้นจากคนที่ไม่มีธรรมะ แล้วจะฆ่าจะแกงกัน จะจี้จะปล้นกัน นี่คือตัวปัญหาที่จะเกิดขึ้นในสังคม แล้วเราจะทำอย่างไร เราต้องถามตัวเราเองว่าเราจะทำอย่างไรที่จะหยุดสิ่งเหล่านี้ไม่ให้เจริญงอกงามต่อไป ก็หาคำตอบได้คำเดียวว่าต้องจูงคนเข้าหาธรรมะ ถ้าไม่จูงคนเข้าหาธรรมะก็จะไปกันไม่รอด ทีนี้ใครจะเป็นคนจูง ผู้ใดมีความรู้ทางธรรมะก็ต้องช่วยคนไม่รู้ คนใดปฏิบัติธรรมะอยู่บ้างแล้วก็ไปจูงเพื่อนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมะให้มาปฏิบัติธรรมะกัน ชวนกันเข้าหาพระเข้าหาธรรมะด้วยการศึกษา ด้วยการปฏิบัติ แก้ไขชีวิตเพราะเห็นทุกข์เห็นโทษของความไม่มีธรรมะ แล้วก็ช่วยกันแก้ไข ทำทุกคนไม่ใช่ทำเฉพาะองค์การใดองค์การหนึ่ง องค์การนั้นเรียกว่าเป็นผู้นำหน้าทำเป็นตัวอย่าง แต่ว่าเราทุกคนต้องช่วยกันทำช่วยกันศึกษาธรรมะให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เดี๋ยวนี้พุทธบริษัทเราในประเทศไทยว่ากันโดยส่วนรวมแล้วยังไม่เข้าใจพุทธศาสนาถูกต้อง ยังไม่มีความเชื่อมั่นคงในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม พระสงฆ์ เชื่อไม่มั่นคง ง่อนแง่น คลอนแคลน เรียกมาสัมภาษณ์ก็ได้ สัมภาษณ์แล้วจะรู้ว่าความเชื่อไม่มั่นคง สัมภาษณ์ง่ายๆ ถามว่าเคยไปไหว้ผีไหม เคยไปไหว้เทวดาไหม เคยไปไหว้เสาหลักเมืองไหม เคยไปไหว้ต้นไม้ไหม เคยไปไหว้อะไรๆ ที่เขาเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ไหม ทีนี้ถ้าได้รับคำตอบว่าเคยไป ก็แสดงว่าจิตใจไม่มั่นคงในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ยังกวัดแกว่งเอาไปพึ่งเสาบ้าง พึ่งก้อนหินบ้าง พึ่งจอมปลวกบ้าง พึ่งต้นไม้บ้าง พึ่งอะไรๆ ที่เรียกว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่มีอยู่ในแผ่นดินนี้มันเกิดจากความโง่ทั้งนั้นเลย พูดไม่เกรงใจ เมื่อคืนก็พูดที่สนามหลวง บอกว่าไอ้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่มีอยู่บนแผ่นดินไทยเนี่ย มันเกิดจากความโง่ทั้งนั้น เกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา ไม่ไว้วางใจพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เลยต้องไปพึ่งสิ่งเหล่านั้นซึ่งคนสร้างขึ้น แล้วคนก็ไปกราบไหว้บูชา
ถ้าเราเป็นพุทธบริษัทเราจะไม่ไปไหว้สิ่งเหล่านั้น ไม่ไปไหว้สิ่งใดๆ ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนปัญญาอ่อนสร้างขึ้นเพราะเราเป็นพุทธบริษัท พุทธบริษัทคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้มีความเบิกบานแจ่มใส จะไม่หวาดกลัวต่อสิ่งเหล่านั้นเพราะมันไม่ใช่ส่ิงน่ากลัวอะไร เสาไม่สามารถจะมาตีศีรษะใครได้ถ้ามันปักอยู่เฉยๆ ไม้ไม่สามารถดลบันดาลให้ใครเป็นอะไรได้ ไม่สามารถจะบอกเหตุการณ์ว่ากรุงเทพฯ จะเกิดอะไร น้ำจะท่วม ไฟจะไหม้ จะเกิดอะไรที่ไหนมันไม่เคยบอกสักที เสาไม่เคยบอกไม่เคยกล่าว ปักเฉยๆ อยู่ตรงนั้นแหละแต่คนก็ไปกราบไปไหว้เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือไปไหว้เสาหินที่เรียกว่าศิวลึงค์ที่เขาปักไว้ที่วัดโพธิ์ คนก็อุตส่าห์ไปไหว้ไปโง่เหมือนหินนั่นน่ะ ไม่เข้าเรื่อง หินมันไม่มีหูไม่มีตาไม่มีจมูกไม่มีปาก เราก็ไปไหว้หิน ไปไหว้เรื่องอะไร ไหว้ด้วยความเขลาแท้ๆ ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และก็ชอบทำพิธีอะไร ไปสะเดาะเคราะห์สะเดาะโศก ไปหาหมอดูให้ช่วยทำอย่างนั้นให้ช่วยทำอย่างนี้ ก็เพราะว่ามันเคราะห์มากแล้วก็ให้สะเดาะ มันไม่ถูกทั้งนั้นแหละ ไม่ถูกหลักการของพระพุทธศาสนา แสดงว่าผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นพุทธบริษัทยังไม่มั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อย่างมั่นคง ยังกวัดแกว่งอยู่ แม้พระสงฆ์องค์เจ้าก็แกว่งเยอะเหมือนกัน พระก็เป็นพระพวกปัญญาอ่อนก็เยอะ ทำอะไรให้คนโง่ให้คนงมงายให้คนหลงให้คนเข้าใจผิดมีอยู่มาก ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน แล้วพระเรานำทางนั้นคือ นำทางไปในทางผิด โน่นญาติโยมก็เดินไปในทางผิด แล้วถ้าเป็นพระผู้ใหญ่นำก็ เอ้ย ฉันนั้นยังทำอย่างนั้น ท่านเจ้าปัญญาจะว่าอย่างนั้นมันจะได้เหรอ เอ้า ไม่แน่นะ ไม่ว่าจะเป็นพระชั้นไหน เจ้าคุณชั้นไหน หรือสมเด็จชั้นไหนยังปัญญาอ่อนเยอะเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าปัญญาฉลาดปราดเปรื่องอะไร เป็นสมเด็จก็เพราะเขาให้เป็นน่ะนะ แต่ว่ายัง ยังติดอะไรๆ อยู่ ยังติดลัทธิพิธีรีตองต่างๆ ที่มันโง่ๆ งมงายก็เยอะเหมือนกัน นี่พูดอย่างนี้ก็ไม่เกรงใจใครแล้ว พูดตามความจริงกัน มันเป็นอย่างนั้น เมื่อคืนก็พูดทางสนามหลวงแล้ว บอกว่ามาพูดกลางสนามหลวงต้องพูดความจริงกันวันนี้ ไม่กลัวใคร ไม่เกรงใจกันแล้ว เพราะว่าเรามันหลงกันมาก งมงายกันมาก ไม่เข้าหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า อันนี้มันต้องปรับปรุงแล้ว ต้องปรับปรุงแก้ไข ต้องประกาศสิ่งใดที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า พิธีการอันใดที่ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนา เราต้องไม่ทำ ไม่ทำอย่างนั้น ไม่สอนอย่างนั้น ไม่ให้คนประพฤติอย่างน้ัน เราต้องพูดสิ่งที่ถูกต้องให้คนเข้าใจ นี่เรียกว่าส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้คนศึกษาให้เข้าใจ ให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้พึ่งตัวเองได้ช่วยตัวเองได้ด้วยการประพฤติธรรม เวลานี้เราพึ่งตัวเองไม่ได้ ช่วยตัวเองไม่ได้เพราะเรารับความรู้เก่าๆ ที่โง่ โง่งมงายเอามาไว้ในสมอง แล้วก็ไม่รู้จักเปลี่ยน พระพุทธเจ้าท่านเปลี่ยนมานานแล้ว เปลี่ยนตั้งแต่นู้นก่อนนิพพานน่ะ พระองค์ก็เปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนด้วยการพูดให้คนเข้าใจว่ามันไม่ถูกต้อง ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนามากมาย เช่น เรื่องถือฤกษ์ถือยาม เป็นตัวอย่าง ถือฤกษ์ถือยามเนี่ยเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปบ้านโน้นไปเจอสาวสวยเข้าก็เลยขอหมั้นไว้ แล้วก็นัดแต่งงานกันเลย ก็จะแต่งงานก็ต้องไปบอกพ่อแม่ผู้หลักผู้ใหญ่ให้รู้ก่อน และไอ้ทางนี้ก็นัดไว้เสร็จแล้ว วันนั้นเดือนนั้นจะมา ก็ไปบ้าน พอไปถึงบ้าน ไอ้พราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ปัญญาอ่อนทั้งหลายก็บอกว่าไม่ได้ แต่งวันนั้นไม่ได้มันจะมีปัญหา ตายจากกัน แล้วใครมั่งคู่ไหนบ้างที่ไม่ตายจากกัน มีคู่ไหนที่แต่งงานกันแล้วที่ไม่ตายจากกันนี่ ตายจากกันไปเยอะแยะแล้ว มันตายจากกันทั้งนั้นแหละไม่ว่าใครอ่ะ ทีนี้พราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ก็คัดค้านไม่ยอมให้ไป
สมัยนั้นการสื่อสารมันลำบากไม่มีโทรศัพท์ที่จะบอกให้ฝ่ายนู้นรู้ ไอ้ทางนู้นก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ทำพิธี เรียกว่าเตรียมข้าว ขนมขาวขนมแดงอาหารการบริโภคเลี้ยงต้อนรับพวกเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวไม่ไปตามนัดหมาย อันนี้เขาก็ขายหน้าสิ พ่อแม่ก็ขายหน้า ลูกสาวตัวบกพร่องอะไรที่เจ้าบ่าวหมั้นแล้วจึงไม่มาแต่ง แล้วก็ขายหน้า พอขายหน้า ไอ้หนุ่มคนหนึ่งมันก็รักแม่คนนั้นอยู่เหมือนกัน มันบอกไอ้เจ้าบ่าวคนนั้นคงจะต้องอืดตายเสียแล้วล่ะ อย่าไปรอมันเลย ผมก็รักหนู น้องคนนี้เหมือนกัน แต่งกับผมดีกว่า แล้วก็แต่งแล้ว แต่งเรียบร้อย อ้าว วันดีคืนดี ฤกษ์ดีแล้วนะ มาแล้ว มาถึงก็ พ่อแม่ก็ถามอ้าวมาทำอะไร ก็มาแต่งงานสิ อ้าวก็นัดวันก่อนแล้วทำไมไม่มา เพราะว่าวันมันไม่ดี ว่างั้น เลยไม่มา แล้วมาวันนี้แต่งกับผีอะไร เจ้าสาวเขาเอาไปเสียแล้ว อันนี้ความเรื่องนี้ทราบไปถึงพระพุทธเจ้า พระสงฆ์คุยกันอ่ะ คุยกัน เล่าลือไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสเป็นคำภาษิตว่า นักขัตตัง ปฏิมาเนนตัง อัตโถ พาลัง อุปัจจคา อัตโถ อัตถัสสะ นักขัตตัง กึง กริสสันติ ตารกา แปลง่ายๆ ว่าคนพาลคือปัญญาอ่อน มัวแต่นั่งดูดาวดูเดือนอยู่ ประโยชน์มันก็เลยไปเสีย มันพ้นไปเสีย ประโยชน์มันเป็นฤกษ์อยู่ในตัวแล้ว ดวงดาวในท้องฟ้าจะช่วงอะไรได้ นี่ พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้น ติอย่างแรง ติหาว่าเป็นคนปัญญาอ่อนมัวไปนั่งดูดาวดูเดือนอยู่ ไอ้ประโยชน์มันก็ผ่านเลยไปเสีย เพราะเราไม่ได้ทำนี่ มันก็ผ่านพ้น เจ้าสาวเลยเพื่อนเลยเอาไปเสียเลยเพราะไปนั่งเชื่อดาวเชื่อเดือนอยู่ ที่เขายกเจ้าสาวให้น่ะมันเป็นฤกษ์อยู่ในตัวแล้ว ควรจะรีบไปแต่งงานตามวันที่เขากำหนดให้ ทีนี้ไม่ไปก็เพื่อนแย่งเอาเจ้าสาวไป ประโยชน์มันก็ผ่านตัวไปเสีย นี่มันเป็นอย่างนี้ แล้วดวงดาวในท้องฟ้าจะช่วยอะไรได้ ฤกษ์ยามนาทีจะช่วยอะไรได้ มันช่วยไม่ได้ นี่มันคำสอนของพระพุทธเจ้า สอนไว้อย่างนั้น ถูกต้องที่สุด ไม่ให้เชื่อในส่ิงเหล่านั้น สิ่งเหลวไหลหรือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่เราเชื่อกันน่ะ เช่นว่าเราไปไหว้พระนี่ก็ไหว้แบบไม่ถูกต้อง เขาเรียกว่าไหว้แบบไสยศาสตร์กันเป็นส่วนมาก ไหว้แบบไสยศาสตร์ก็ถือว่าหลวงพ่อองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ นี่ผิดแล้ว เชื่อผิดแล้ว ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อะไร หลวงพ่อไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อะไร แล้วเราไปบนบานศาลกล่าว ติดสินบนอ่ะ คอร์รัปชั่น ไปคอร์รัปชั่นกับพระพุทธรูป ไปคอร์รัปชั่นกับเจ้าหน้าที่ยังไม่พอเวลานี้ ไปคอร์รัปชั่นกับเสาหลักเมือง ไปคอร์รัปชั่นกับพระพุทธรูป ไปคอร์รัปชั่นกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ด้วยให้สัญญาไว้ว่าถ้าสำเร็จคราวนี้จะเอาหัวหมูมาถวาย เอาเป็ดย่างไก่ย่างมาถวาย เอาไข่มาถวาย ซ้ำชาตรีให้ดูด้วย ละครชาตรีมารำให้ดูด้วย นี่ถูกต้องไหมถ้าทำเช่นนั้น มันไม่ถูกแต่ทำไมเราทำ ทำตามกันมา ทำด้วยความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วพระทำไมไม่บอกอ่ะ บอกได้ เงินมันเยอะสิ เงินที่ได้จากความโง่มันเยอะสิ ขืนบอกก็กลัวจะไม่ได้ ความจริงเราบอกให้คนเข้าใจ เขาทำบุญถูกต้อง ทำบุญถูกตามที่เราต้องการ ไม่ทำด้วยความโง่ความเขลามันก็ดีขึ้น คนฉลาดด้วย แล้วก็ได้ปัจจัยจากความฉลาด ดีกว่าได้จากความคิดที่โง่ๆ ทำเพราะความโง่เนี่ยมันไม่ได้เรื่องอะไร แต่ไม่กล้าแสดง ไม่สมกับเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าท่านกล้าแสดง กล้าพูดความจริง ไม่เกรงใจพราหมณ์เก่าๆ แก่ๆ ในอินเดียในสมัยนั้น ถ้าพระองค์กลัวพราหมณ์เก่าแก่ พระองค์ก็ไม่ต้องสอนอะไร พระพุทธศาสนาจะไม่เกิดขึ้นในโลก จะมีแต่เรื่องของพราหมณ์เท่านั้นเอง ติดอยู่กับรูปต่อไป แต่พระพุทธเจ้าท่านกล้าที่จะพูดสิ่งเหล่านั้นให้คนฟัง ให้เขาเข้าใจ ถ้าใครทำผิดก็เตือนว่า อริยชนเขาไม่ได้ทำอย่างนี้ แล้วก็ถามว่าทำอย่างไร ก็แสดงให้ฟังว่าทำอย่างไรเป็นการถูกต้อง แต่ว่าต่อๆ มามันก็กลายไป เพี้ยนไปจากของเดิมเยอะแยะ เช่นสร้างพระพุทธรูปแล้วคนก็ไปไหว้บนบานศาลกล่าว เอาหัวหมูไปเซ่นเอาไข่ไปไหว้ เอาอะไรต่ออะไร ละครชาตรีรำให้ดูดังที่ปรากฏนั้นมันไม่ถูก พูดกันไปแล้วมันไม่ถูกต้องหรอก แต่ว่าทำไมปล่อยให้ทำอย่างนั้น ก็เพราะว่าเงินตัวเดียว ไอ้เงินนี่มันทำลายศาสนาเหมือนกันนะ ทำลายสัจธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะเราไม่กล้าพูดไม่กล้าสอน เพราะกลัวว่าเงินมันจะขาดไป ปีหนึ่งได้ตั้งเก้าล้านสิบล้านนี่ ที่คนโง่เอามาให้นี่ แต่ว่าไม่สอนให้ทำมันก็ขาดเงินไปนะ แต่ว่าความจริงมันไม่ขาดหรอกมันได้มาทางถูกต้องต่อไป เขาเห็นประโยชน์สอนคนให้ฉลาด เขาเห็นประโยชน์จะสร้างอะไรจะทำอะไร เมื่อคนเขาเห็นว่ามันเป็นประโยชน์เขาให้เอง ไม่ลำบากยากเข็ญอะไร ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ เหมือนกับหลวงพ่อประกาศสร้างตึกนี่คนก็มาให้ทุกวันๆ วันเสาร์มากันเยอะ วันอาทิตย์ก็มากัน ทำไมเขาให้เพราะเขาเห็นว่าโรงพยาบาลเป็นสิ่งมีประโยชน์แก่สังคม คนป่วยมันมากตึกมันไม่พอ เขาเห็นประโยชน์เขาทำด้วยความฉลาด ไม่ใช่ทำเพื่อจะเอาเครื่องลางของขลังจากหลวงพ่ออะไร ไม่มีของแลกเปลี่ยนอย่างนั้นเขาก็มาให้ ทำเสร็จแล้วให้หนังสือคนละเล่ม คนละเล่ม เอาไปอ่านจะได้ฉลาดเพิ่มขึ้นไปอีก มันก็เท่านั้นแหละ แล้วก็มาอยู่ทุกวันๆ นี่ ญาติโยมที่มาวัดชลประทานนี่ฉลาดขึ้นเยอะแล้วนา ไอ้พวกไม่มายังโง่อยู่เยอะเหมือนกัน มันเป็นความจริงนะโยมเพราะไม่ได้ยินได้ฟัง ไม่ได้สอนให้เข้าใจ ไม่กล้าพูดไม่กล้าแสดงสิ่งถูกต้องแก่ประชาชน พูดอ้อมๆ ไปอย่างนั้นแหละ พูดอะไรให้ทาน พูดอะไรต่ออะไรไป แต่ไม่ล้างสมองไม่เอาของเก่าออก ถ้าถ้วยใบนี้มันมีของเปื้อนอยู่แล้วเราเอาแกงใส่ กินได้ไหมแกงนั้น มันกินไม่ได้เพราะมันมีของเปื้อนอยู่ก้นถ้วย มันต้องล้างถ้วยออกเสียก่อนแล้วเอาแกงดีใส่ลงไป เอาขนมใส่ลงไป ทีนี้ไม่ล้างอ่ะ เวลาโยมเข้าวัดไม่ล้างสมองคือไม่เอาของที่ไม่ถูกต้องออก ไม่สอนให้เข้าใจว่าไอ้ที่เป็นมานั้นมันไม่ถูกมันไม่ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เรามาตั้งต้นใหม่กันเสียที ความจริงควรจะตั้งต้นตั้งแต่ปี ๒๕๐๐ เป็นปีฉลองศักราช พุทธศักราชครบ ๒๕๐๐ แต่ไม่มีหัวคิดอะไร ไม่ได้ฉลองในทางที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ความเลื่อมใสของประชาชนให้ดีขึ้น ฉลองกันเต็มสนามหลวง มีนิทรรศการแสดงพัดยศบ้างแสดงเรื่องอะไรต่ออะไรไป มันไม่ได้เรื่องทั้งนั้นแหละที่ทำอยู่ปีนั้นน่ะ ๒๕๐๐ น่ะ ทำกัน ๗ วันเสร็จไปก็ไม่ได้อะไรเพ่ิมขึ้นนอกจากได้พระที่เขาทำไว้แจก พระปี ๒๕๐๐ ทำด้วยตะกั่ว เอ้าแจกไปองค์ละเท่าไหร่ ๒๕ บาท แจกกันไป คนก็เอาไม่หมด เหลือเยอะเอาไปไว้ตามอำเภอ ใครมาขอทะเบียนปืนเอาไปองค์หนึ่ง มาเสียภาษีเอาไปองค์หนึ่ง มาย้ายทะเบียนเอาไปองค์หนึ่ง บังคับให้ซื้อนะยังเหลืออีก พระยังเหลืออีกเยอะแยะกองอยู่ในโบสถ์วัดสุทัศน์ วิหารน่ะ จนวิหารทรุดน่ะ ก็ตะกั่วน่ะกองตั้งแต่พื้นจนถึงเพดาน วิหารทรุดเลย ก็น้ำหนักมันมากวิหารทรุดเลย เลยท่านสมภารบอกไปบอกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องบอกไม่ได้แล้วนะ วิหารทรุดแล้วเวลานี้ หนักพระ ให้ขนไปไว้ที่อื่นกันเสียที ไม่รู้จะเอาไปไหน หาอุบายให้เอาไปบรรจุเจดีย์ ต้องซื้อเหมือนกันนะ ไม่ใช่เอาไปบรรจุเฉยๆ เอาไปบรรจุนครปฐมเอาไปวาง ป่าวร้องประชาชนมา เอ้าช่วยกันบรรจุพระเข้าองค์เจดีย์ เจาะรูใส่เข้าไป ใส่เข้าไป ไม่หมดยังเหลือเยอะ เดี๋ยวนี้ก็ยังเหลืออยู่นะ
สมัยนั้นหลวงพ่ออยู่เชียงใหม่เอาไปขายที่เชียงใหม่มาก หลายแสนนะ คนเชียงใหม่เยอะนี่ ห้าวันห้าคืนอาตมาขายได้เท่าใดนะโยมรู้ไหม ห้าสิบองค์เท่านั้นนะ ห้าวันห้าคืนขายได้ห้าสิบองค์เท่านั้นเอง ขายไม่ออกเพราะคนเชียงใหม่ฉลาดไม่ได้เชื่องมงายอย่างนั้น เขาไม่ได้ต้องการพระเครื่องลางของขลัง คนเชียงใหม่แท้ๆ ไม่ต้องการไอ้สิ่งเหล่านี้ เขาต้องการธรรมะจริงๆ เขาต้องการหลักธรรมเอาไปปฏิบัติ เรื่องเครื่องลางของขลังเขาไม่สนใจ ทีหลังนี่มีพระดังไปอยู่เชียงใหม่ หลวงปู่แหวนนะ แต่ไม่ใช่คนเชียงใหม่นะ คนกรุงเทพฯ ภาคกลางเท่านั้นที่ไปเอาอะไรๆ หลวงปู่แหวนมานะ เอาแหวนเอาเหรียญเอาชานหมากเอาเมี่ยงเอาอะไรมานะ คนกรุงเทพฯ ทั้งนั้นแหละโยม คนเชียงใหม่เขาไม่ค่อยสนใจเท่าใด เขาไม่ค่อยไปเท่าใด เพราะพื้นฐานของคนเชียงใหม่นั้นเขาสนใจธรรมะมากกว่า ไม่ได้สนใจเรื่องอะไรอื่น เขามาหาพระเขามาฟังธรรมอยากจะมาฟังธรรมอยากจะรับคำสอนเอาไปปฏิบัติ หลวงพ่ออยู่เชียงใหม่สิบปีรู้ว่าคนเชียงใหม่ต้องการอะไร เพราะงั้นให้สิ่งที่เขาต้องการคือให้ธรรมะแก่เขา เขาได้ปัญญาเกิดความรู้ความเข้าใจ แต่มันมีอะไรบางอย่างผิดอยู่ ก็บอกอันนี้ไม่ถูกโยม ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าทำอย่างนี้ไม่ถูก เขาก็เลิก สอนง่ายนะ คนภาคเหนือนี่โดยปกติก็สอนง่ายแต่ไม่มีใครค่อยสอนเท่านั้นเอง ไม่พูดไม่สอน ทำอยู่อย่างนั้นแหละทำพิธีรีตองกันเรื่อยไปตามเรื่องตามราว ไม่สอนให้คนเข้าใจให้เปลี่ยนทัศนคติมาตามหลักการของพระพุทธศาสนา มันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้คนมันก็ไม่ก้าวหน้าอะไร ถือกันอยู่อย่างนั้นตลอดมา แล้วก็วิธีการที่ไม่ถูกต้องเน่ี่ย คนศาสนาอื่นก็โจมตี โจมตีว่าศาสนาพุทธไม่ได้เรื่องอะไร ดูที่ทำสิ เขาโจมตี เอาเปลือกไปโจมตี ไม่เอาเนื้อแท้ไปโจมตีเพราะเขาเห็นเราทำแบบเปลือกๆ ทั้งน้ัน อันนี้คนบางคนมันเบื่อเปลือกก็ไปถือศาสนาอื่น ไปเป็นคริสเตียนอะไรต่ออะไรไป เพราะพระไม่แก้ไข ปรับปรุงสิ่งที่มันถูกต้องให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ไม่ได้ทำอย่างนั้นคนก็หลุดไปเรื่อยๆ หลุดไปเรื่อยๆ หลวงพ่อไปก็พยายามพูดพยายามสอนให้คนได้เข้าใจความจริงขึ้น เอ้าคนก็รู้ว่าพุทธศาสนาเป็นอย่างไร อะไรมันก็แจ่มแจ้งขึ้น นี่มันเป็นอย่างนี้ ทีนี้เราจะส่งเสริมมันต้องเอาสิ่งที่เนื้อร้ายออก เหมือนเราชะแผล ใครเป็นแผลที่ตรงไหนก็ตาม เวลาไปหาหมอที่โรงแพทย์โรงพยาบาลเขาต้องชำระแผล เพราะแผลมันมีหนองมีเนื้อเน่า เวลาชำระมันก็ต้องเจ็บนิดหน่อย เวลาเอาสิ่งนั้นออกมันก็เจ็บแต่ก็ต้องทนเอาเพราะว่ามันเจ็บนิดหน่อย พอหากว่าเอาสิ่งนั้นออกหมดแล้วก็เอายาโรยฆ่าเชื้อแล้วก็เอาผ้าพันไว้ เนื้อมันงอกขึ้นทุกเวลา แต่มันงอกไม่ได้เพราะมันมีเชื้อโรคเกาะกินอยู่ มันก็เป็นแผลลึกลงไปทุกวันทุกเวลา มันไม่หาย อันนี้ถ้าไม่มีเชื้อโรคมันก็หายเอง บางทีไม่ต้องใช้ยาอะไร เมื่อสมัยเด็กๆ หลวงลุงเฆี่ยนที่สะโพกเนี่ยเป็นแผลลึกอย่างนี้อยู่ เวลานั้นยามันไม่มีอะไรหรอก มีแต่น้ำเท่านั้นเองแต่เรียกว่าน้ำมนต์หลวงพ่อ นิดหน่อย น้ำสะอาดๆ นี่เอามาหยดไว้เรื่อย เอาผ้าขาวปะไว้ แล้วเอาน้ำหยดเรื่อย ๆๆ แผลมันไม่เน่า มันไม่เปื่อย แล้วไม่ลึก เนื้อมันก็งอกขึ้นมา งอกเป็นเดือยขึ้นมา เดือยขึ้นมา ไม่เท่าไรก็มิดแล้วก็หนังมันก็ปิดเรียบร้อย หายเพราะน้ำแหละไม่ได้มีอะไร คือให้แผลสะอาดไว้มันก็หายของมันเองโดยธรรมชาติ เพราะร่างกายนี้มันเจริญอยู่ทุกเวลา แต่มันขึ้นไม่ได้เพราะมีเชื้อโรค มีของเน่าปิดอยู่ฉันใด ทีนี้สิ่งที่เข้าใจผิดไม่ถูกต้องอะไรต่างๆ นี้มันเป็นเนื้อร้ายที่พอกธรรมะไว้ เราไม่เห็นพระธรรม แต่ไปเห็นสิ่งที่เป็นเนื้อร้าย ทางที่ถูกก็ต้องแกะเนื้อร้ายออก โยมอาจจะเจ็บปวดนิดหน่อยเพราะติดมานานเพราะไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่ว่าพอรู้มันก็หายปวดเองอ่ะ แล้วต่อไปก็เรียบร้อย แต่ว่าเราไม่ได้ทำกันอย่างนั้น ไม่ได้ทำกันทุกวัดวาอาราม ยังติดของเก่าๆ ที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนา ติดเปลือกน่ะ พูดง่ายๆ ว่ายังติดเปลือกกันอยู่มาก ไม่พยายามกระเทาะเปลือกออกเพื่อให้เห็นเนื้อใน กินทุเรียนทั้งเปลือก กินมังคุดทั้งเปลือกเนี่ยมันจะกินได้ไหม ลองกินมังคุดทั้งเปลือกมันฝาดแสบคอกลืนไม่ลง ต้องแกะเอาเปลือกออกแล้วกินเนื้อในหวานอร่อย ทุเรียนก็ต้องปลอกเปลือกทิ้งแล้วกินเนื้อใน มะพร้าวก็ต้องเอาเปลือกทิ้งแล้วก็กินเนื้อใน กินน้ำกระทิมัน ไม่ใช่กินกากมะพร้าวเข้าไปด้วย หรือกินกะลามะพร้าวมันก็เคี้ยวไม่ไหว
นี่ความจริงมันเป็นอย่างนั้น คือต้องกระเทาะเอาเปลือกออก เวลานี้เปลือกเยอะมาหุ้มพระพุทธศาสนาไว้ จนคนไม่รู้ว่าพุทธศาสนาคืออะไร ทำอะไรก็ทำแต่เปลือกๆ อยู่ตลอดเวลาเพราะเราไม่กระเทาะออกเสียบ้าง ทีนี้ถ้าช่วยกันกระเทาะออกเสียบ้าง พูดจาให้คนเข้าใจต้ังแต่เด็กไป สอนเด็กให้รู้จักสิ่งถูกต้อง ให้เป็นสัมมาทิฏฐิตั้งแต่เบื้องต้นโตขึ้นมันก็ไม่เป็นไร อันนี้ผู้ใหญ่ก็ต้องสอนให้แก้ไขสิ่งเหล่านั้น แต่บางคนมันติดมากเกินไปจนแกะไม่ออกเหมือนข้าวเหนียวติดมือลิงน่ะ เอาไม่ค่อยออกล่ะ ก็ไม่เป็นไรแก่แล้วไม่ออกก็ไม่เป็นไร ไม่เท่าใดโยมก็สิ้นบุญไปแล้ว แต่ว่าคนรุ่นใหม่ต้องสอนสิ่งถูกต้องให้เขาเกิดปัญญาเกิดความรู้ความเข้าใจ แล้วคนรุ่นใหม่นี่มันเหมาะที่จะรับพระพุทธศาสนาเพราะอะไร เพราะพระพุทธศาสนานั้นเป็นคำสอนสำหรับปัญญาชน คนที่มีปัญญาเป็นพื้นฐานเท่านั้นที่จะเกิดความรู้ความเข้าใจในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ แต่ถ้าขาดปัญญาชั้นพื้นฐานก็ไม่เข้าใจ เวลานี้การศึกษาคนเจริญขึ้นมาก มีปัญญาเป็นพื้นฐาน ถ้าเราไม่เอาสิ่งถูกต้องให้เขา เขาจะไม่ชอบ เขาจะนึกว่าพุทธศาสนานี้ไม่มีอะไร มีแต่เรื่องพิธีรีตองเท่านั้นเอง เสื่อมแล้วทีนี้ เด็กเหล่านั้นไม่สนใจสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เลยออกไปเลย ออกไปนอกลู่นอกทางเพราะเราไม่สอนเขาให้เข้าใจ ไม่ปรับปรุงให้มันทันสมัย ไม่มีการพัฒนา คือพัฒนาการสอนให้มันทันสมัย ให้ถูกต้องตามความเป็นอยู่ของบุคคล พระพุทธเจ้าของเรา ท่านทรงพัฒนาเปลี่ยนแปลง สิ่งใดที่มันไม่ถูกก็บอกตรงไปตรงมา ไอ้นี่ไม่ถูกต้อง อริยชนเขาไม่ทำอย่างนี้ เขาทำกันอย่างนี้ อธิบายให้คนเข้าใจ ในสมัยนั้นคนก็เข้าใจ ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จนิพพานไป อิทธิพลของพราหมณ์ พราหมณ์นี่มีแต่เรื่องไสยศาสตร์ เรื่องพิธีรีตอง เรื่องเยอะในศาสนาพราหมณ์นี่ พวกนั้นมันกลัวจะเสื่อมลาภเสื่อมสิ่งที่จะมีจะได้ก็เลยโจมตีพุทธศาสนา พราหมณ์บางคนก็เข้ามาบวชแต่ไม่สอนพุทธศาสนา บวชแล้วก็สอนศาสนาพราหมณ์ เขียนหนังสือหนังหาเอาลัทธิพราหมณ์ใส่เข้าไป เอาความเชื่อแบบฮินดูใส่เข้าไปในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา คือทำให้เสื่อม ทำให้พุทธศาสนาเสื่อม แล้วก็เขียนหนังสือกลืนพระพุทธเจ้า กลืนพระพุทธเจ้าโดยถือว่าพระพุทธเจ้านี่เป็นอวตาร เป็นอวตารองค์นึงของพระวิศณุเท่านั้นเอง เหมือนกับพระนารายณ์อวตารแล้วมีสิบองค์น่ะ เขาแต่งขึ้น เรื่องนี้เขาเขียนขึ้น อาจารย์ชื่อว่าศังกราจารย์แกก็เขียนอวตารสิบปางขึ้นมา เอาพระพุทธเจ้าไปใส่ไว้ด้วยให้เป็นอวตารไป ก็เลยกลืนไปเลย กลืนพระพุทธเจ้าให้เป็นอวตารของฮินดู แต่หลักธรรมคำสอนซึ่งเลอเลิศของพระพุทธเจ้าไม่เอาเลย ไหว้เหมือนกัน เจอพระพุทธรูปก็ไหว้ ไหว้ในฐานะเป็นรูปอวตาร เหมือนเขาไหว้ลิงไหว้หนุมาน ไหว้วัว คนอินเดียเนี่ยไหว้รูปลิง หนุมาน ไปถึงหนุมานก็ไหว้ เอามือคลำตีนหนุมานเอามาใส่หัว ไหว้ลิงไหว้วัว ไหว้รูปต่างๆ ก็ไหว้กันอยู่ทั่วไป อันนี้ไหว้พระพุทธรูปก็เหมือนไหว้อย่างนั้น ไหว้ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของอวตาร แต่พระธรรมคำสอนอันสูงส่ง ฮินดูไม่เอาไม่ศึกษาไม่เข้าใจเพราะว่ามันขัดต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์หลายเรื่องหลายแง่หลายมุม เขาเลยก็ไม่ต้องการ เพราะงั้นเขาก็กลืนเข้าไป
ประเทศอินเดียเวลานี้คนสนใจมาศึกษาพุทธศาสนา มาเป็นชาวพุทธ แต่พอไปจนทะเบียนมันไม่เขียนว่าเป็นชาวพุทธ ไม่ฮินดู ไม่ว่าใครฮินดูทั้งนั้น แต่ความจริงเป็นพุทธแต่มันไม่ยอมเขียน ไอ้พวกนั้นชาตินิยมจัดเลยเขียนว่าฮินดูหมด ชาวพุทธก็โกรธเคืองอยู่นะ บอกแหม เราไม่ใช่ฮินดู เพราะเขาไม่ชอบฮินดู ที่ไม่ชอบฮินดูเพราะอะไร เพราะถูกเหยียดหยาม ในคำสอนฮินดูนี่แบ่งคนเป็น ๔ ชั้น กษัตริย์ พราหมณ์ เวสส์ ศูทร กษัตริย์นักรบ พราหมณ์คือนักสอน เป็นครูเป็นอาจารย์ เวสส์พวกพ่อค้าพาณิชย์ทั้งหลาย ศูทรเป็นกรรมกรเป็นคนชั้นต่ำ และถ้าคนเหล่านี้มาผสมพันธุ์กัน เช่นว่ากษัตรย์ไปได้นางพราหมณีย์ ลูกเกิดมาไม่เป็นกษัตริย์และก็ไม่เป็นพราหมณ์ แต่กลายเป็นคนจัณฑาล ไม่มีใครยอมรับให้เข้าพวกเข้าหมู่ คนประเภทนี้มันก็เยอะเหมือนกัน ถูกเหยียดหยามว่าเป็นคนวรรณะต่ำ พระพุทธเจ้าท่านก็กล่าวแก้แล้ว บอกว่าคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับวรรณะ ไม่ได้เป็นพราหมณ์เพราะเกิด ไม่ได้เป็นกษัตริย์เพราะเกิด ไม่ได้เป็นเวสส์เป็นศูทรเพราะความเกิดแต่เป็นเพราะการกระทำ คือการประพฤติปฏิบัติในหน้าที่นั้นๆ จึงจะเรียกว่าเป็นพราหมณ์ เป็นกษัตริย์ เป็นเวสส์ด้วยการกระทำ แล้วพระองค์บอกว่าคนๆ หนึ่งเป็นคนวรรณะศูทรออกบวชปฏิบัติธรรมได้บรรลุคุณธรรมชั้นสูง กษัตริย์ก็ไปไหว้ พราหมณ์ก็ไปไหว้ พวกพ่อค้าก็ไปไหว้ เพราะเขาไหว้อะไร ไหว้คุณงามความดีของบุคคลนั้น เขาไม่ถือเรื่องวรรณะแล้ว เพราะว่าคุณงามความดี พูดให้เข้าใจให้เรื่องไป ใครจะมาบวชในพุทธศาสนา รับหมดไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์เป็นพราหมณ์เป็นเวสส์เป็นศูทร ยอมรับให้บวชเท่าเทียมกัน และถ้าบวชแล้วก็ได้รับเกียรติ นิยมเท่าเทียมกัน พระองค์ทำลายสิ่งเหล่านั้นไป แต่ว่าพวกพราหมณ์กลัวจะเสียสิทธิก็เลยเขียนส่งเสริมไม่ยอมต่อไป แล้วพวกศูทรบางพวกก็โอ้ย ยอมรับ ยอมรับหมด ถ้าเดินผ่านพราหมณ์นี่ต้องเดินไปไกลๆ เหยียบเงาก็ไม่ได้ เหยียบเงาพราหมณ์นี่จะตกนรกเอาเลยทีเดียว ไม่กล้าเหยียบเงา ถ้าว่าพราหมณ์เดินมาทางทิศตะวันออกเรามาทิศตะวันตก เราเดินอ้อมไปเลย เดินไปข้างหลังพราหมณ์ กลัวจะเหยียบเงา มันถึงขนาดอย่างนั้น ความเชื่อ คนก็ตกอยู่ในการถูกกดดันในทางวรรณะมากมาย ทำให้เกิดการแตกแยกในสังคม เข้ากันไม่ได้ ในสมัยเมื่อหลังการได้อิสรภาพนี่มีคนๆ หนึ่งเป็นชาวฮินดู แต่ว่าแกเป็นวรรณะศูทร เป็นด็อกเตอร์อัมเบดการ์ แกเป็นด็อกเตอร์ ๓ ปริญญา เรียนเก่ง ที่เกิดแกในแหล่งสลัมเหมือนกับคลองเตยอย่างนั้น อยู่ในแหล่งสลัม แต่แกได้เรียนนะเรียนเก่ง เรียนจนได้ทุนของมหาราชาแห่งปารุระ ไปเรียนประเทศสหรัฐอเมริกา ไปเรียนอังกฤษ ได้ปริญญามามากมาย แล้วเวลาได้รับอิสรภาพน่ะเขาตั้งให้เป็นประธานเขียนรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญของอินเดียฉบับเดียวน่ะใช้กันมาจนบัดนี้ เขาใช้ไม่เปลืองเท่าใด ไม่เหมือนรัฐธรรมนูญเมืองไทย เปลืองมากใช้กันหลายฉบับแล้วเมืองไทย แล้วคนเขียนก็คือด็อกเตอร์อัมเบดการ์ อยู่ในวรรณะศูทรแกเขียนรัฐธรรมนูญ ในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดว่าคนอินเดียไม่มีวรรณะ ทุกคนเสมอกันมีสิทธิเท่าเทียมกัน แต่ว่าสังคมมันไม่ยอม กฎหมายมันว่าอย่างนั้นแต่สังคมมันไม่ยอม ยังรังเกียจกันอยู่ มหาตมะ คานธีแกไม่ถือวรรณะอะไร แกตั้งสถานสงเคราะห์คนที่ลำบาก เรียกว่าช่วยเหลือคนยากคนจน ทีนี้คนวรรณะศูทรก็เข้าไปอยู่ เจ็บไข้ได้ป่วย คานธีเข้าไปปฏิบัติ มีแผลก็ไปชำระแผลให้ เอาผ้าพันให้ พราหมณ์คนหนึ่งเป็นเชื้อพราหมณ์ให้เงินอุดหนุนจุนเจืออยู่ วันหนึ่งมาเห็นเข้า เฮ้ย ทำอย่างนี้เหรอ ทำอย่างนี้ไม่ถูกต้องล่ะ ท่านทำไมไปปฏิบัติต่อพวกวรรณะศูทรอย่างนี้ คานธีก็บอกเขาเป็นคนเหมือนฉัน ถ้าเขามีความทุกข์ฉันเห็นแล้วก็สงสารก็ต้องช่วย เอ้ยทำแบบนี้ไม่ได้ ผมจะงดเงินแล้ว ไม่ให้แล้ว อ่ะไม่ให้เงินช่วยเลยเพราะคานธีไปทำกับศูทรอย่างนั้น ไปช่วยนะไปช่วยให้ศูทรสบายขึ้น เขาไม่ให้เงิน ไม่เป็นไรขอบใจที่ให้มาแล้วก็ขอบใจ แต่ถ้าท่านไม่ให้ก็ไม่เป็นไร แกก็ประชุมกรรมการ ถามว่าเรามีเงินเท่าไรเวลานี้ มีเงินอยู่ประมาณสามสี่หมื่นรูปี บอกว่าต่อไปนี้ต้องประหยัดใช้ แล้วเราทุกคนต้องช่วยตัวเอง ต้องปลูกผักต้องทำงานช่วยตัว ต้องปั่นด้ายต้องทอผ้าช่วยตัวเองทุกอย่าง เพราะว่าพ่อเศรษฐีคนนั้นเขาไม่ให้แล้ว ไม่ให้เงินแล้ว ไม่เป็นไรไม่ต้องวิตก เราช่วยตัวเองได้ ก็ช่วยตัวเองไป วันหลังเศรษฐีนั่นมาดู ฮึ คานธีนี่ยังเหมือนเดิม ยังทำปฏิบัติเหมือนเดิม ไม่ให้เงินแล้วก็ยังเหมือนเดิม เอ คนนี้เป็นคนมั่นคงนะ เห็นจะต้องช่วยต่อไป เลยไม่เข้าไปบริเวณนั้น กลัวบาปเพราะว่าพวกศูทรอยู่ แกไม่เข้า ยืนข้างนอกเรียกคานธี กวักมือให้ออกมาบอกว่าวันนี้เอาเงินมาช่วย คานธีก็โอ้ขอบใจมากที่ท่านมีน้ำใจกรุณา พระผู้เป็นเจ้าเข้าไปอยู่ในใจของท่านแล้ว ว่างั้นแล้วคานธีก็รับเงินช่วยเหลือกันต่อไป ดูความเชื่อแบบเก่ามันขนาดนั้นนะ เป็นเศรษฐีไม่ใช่คนยากคนจน มีการศึกษา มีดีแต่ความเชื่อเก่ามันมีอยู่ น้ำบ่อเดียวกันก็กินร่วมกันไม่ได้ เพราะงั้นคนเดินทางทุกคนต้องมีถังน้ำเล็กๆ แล้วก็มีเชือกไปตักน้ำที่บ่อไหนก็ไปตักเอามา แล้วก็ไปกินที่อื่นกินตรงนั้นก็ไม่ได้ กินน้ำถ้วยเดียวกันก็ไม่ได้ เพราะงั้นคนอินเดียเวลากินน้ำนี่ยกถ้วยแล้วรินลงไป มันเก่งไง รินกร๊อกๆๆ กลืนได้นะ ทั้งๆ ที่ริน ก็กลืนน้ำได้น่ะ ไม่ให้ถ้วยมาแตะปาก ถ้าแตะปากแล้วเขารังเกียจว่าถ้วยนี้พวกวรรณะนั้นเอาไปใช้ ขว้างทิ้งไปเลย เพราะงั้นตามร้านน้ำชากาแฟนี่เขาทำถ้วยดินเล็กๆ ทำด้วยดินเผาอ่ะ ใครซื้อกินแล้วก็ทิ้งไปเลย ถ้วยนั้นไม่ใช้ต่อไป มันก็เป็นอย่างนั้นอ่ะ ความถือมันรุนแรงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าพยายามสอน พยายามแก้ไขก็ได้บ้างในยุคนั้น แต่ต่อมาพราหมณ์ก็กลัวสิทธิของเขา เพราะพราหมณ์แกได้เปรียบนี่ พราหมณ์แกเกิดจากปากพระพรหมนะ แกเขียนไว้อย่างนั้น กษัตริย์เกิดจากแขนต้องรบป้องกันบ้านเมืองพวกศัตรู พวกพ่อค้าเกิดจากท้องต้องหาของมาเลี้ยงท้องของประชาชน ไอ้พวกศูทรมันแย่กว่าเพื่อนมันเกิดจากหน้าแข้งเนี่ยนะ เกิดที่ต่ำที่สุดเลยศูทรนี่เกิดหน้าแข้ง อันนี้มันเขียนกันทั้งนั้นไม่ได้เรื่องมีอะไร เขียนเพื่อกดคนพวกหนึ่งให้อยู่ในระดับต่ำ แล้วก็ยกพวกขึ้น พราหมณ์พูดอะไรต้องเชื่อ ไม่เชื่อบาป ตกนรกไม่ผุดไม่เกิด พราหมณ์ก็ได้เปรียบน่ะสิ พวกกษัตริย์ก็อยู่ใต้พราหมณ์ แต่บางที เหมือนพระพุทธเจ้าท่านเป็นกษัตริย์แต่แหวกแนวนะ
พระพุทธเจ้าของเราแหวกแนวคือออกบวชทำหน้าที่เป็นพราหมณ์ ไม่ใช่พราหมณ์ทำหน้าที่ พระองค์ออกบวชเลย ปฏิวัติสังคมแล้ว ออกมาเป็นพราหมณ์เสียเอง สอนธรรมะแล้วความรู้ที่สอนก็เป็นธรรมะชั้นเลิศ ได้ค้นพบด้วยพระองค์เองเอามาสอนพัฒนาเปลี่ยนแปลงสังคมของประเทศอินเดียในสมัยนั้น ก็มีสองคนนะที่เป็นกษัตริย์ออกบวชนี่ มหาวีระอีกคนหนึ่ง มหาวีระเป็นเชื้อสายของพวกมัลลกษัตริย์แห่งเมืองปาวา พระพุทธเจ้าเมืองกบิลพัสดุ์ ใกล้กันเส้นทางมันเส้นเดียวกัน เดินขึ้นเหนือต้องผ่านปาวา กุสินารา ปาวา แล้วขึ้นไปถึงกบิลพัสดุ์ นี่แนวเดียวกันความคิดตรงกันคือออกบวชแล้วก็แก้ไขสังคมเหมือนกัน แต่ว่าของพระพุทธเจ้านี่ในอินเดียคนมีน้อย แต่ของมหาวีระคนยังนับถือกันอยู่ แล้วก็เป็นพ่อค้าเป็นส่วนมาก มีฐานะดีมั่นคงในเรื่องการเป็นการอยู่ เป็นงั้น สังคมอินเดียเป็นอย่างนั้นเป็นอยู่จนกระทั่งบัดนี้ เพราะงั้นดิ้นรนก็ไม่ถนัด ท่านอัมเบดการ์แกก็เลยประกาศข้าพเจ้าไม่เป็นฮินดูต่อไป แล้วก็มีคนศาสนาอื่นมาขอ ขอให้เป็นคริสเตียนเถอะ เป็นอิสลามเถอะ ขอกันใหญ่โต ไปปลอบไปต่อวันยังค่ำเลย เหมือนกับเจ้าสาวที่รูปสวยแล้วคนมาเกี้ยว แต่แกใจมั่นคงบอกว่าฉันไม่เป็นอะไร แต่ฉันจะเป็นอินเดียแล้วฉันจะนับถือสิ่งที่เกิดขึ้นในอินเดียคือพระพุทธศาสนา เพราะแกศึกษาพระพุทธศาสนา มีความเข้าใจถูกต้อง แกแต่งหนังสือเล่มขนาดเท่านี้เป็นภาษาอังกฤษเรื่องพุทธศาสนาให้คนได้อ่านได้ศึกษา และแกนำพวกศูทรมาแสดงตนเป็นพุทธมามกะวันเดียวที่เมืองโคระปุระห้าแสนคน เต็มสนามใหญ่กว่าสนามหลวงที่แสดงตนเป็นพุทธมามกะห้าแสน พระท่านไปให้ศีลรับศีลห้า เขาก็เป็นชาวพุทธ และแกตั้งโรงเรียนทางพระพุทธศาสนา วิทยาลัยทางพระพุทธศาสนา ตายไปแล้วแต่ชื่อยังอยู่ ท่านผู้นี้เป็นคนสำคัญส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้คนได้สนใจศึกษาได้ปฏิบัติ ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็มีการสอนภาษาบาลีเพื่อคนจะได้อ่านคัมภีร์ทางพุทธศาสนาได้ ตื่นตัวขึ้นหลัง ๒๕๐๐ แล้วปี ๒๕๐๐ เขาฉลอง อินเดียเขาฉลองเป็นประโยชน์ เขาทำสิ่งที่ควรทำ เช่นว่าเมืองคยานี่ไม่มีอะไร ถนนในเมืองไม่มีชื่อพระพุทธเจ้า เขาตั้งถนนสายหนึ่งว่าโคตมะบุดดะโรด ถนนโคตมะพุทธยาวแต่นั้นแต่สกปรกที่สุดในโลกเลย ไอ้เมืองนั้นพอเห็นชื่อแล้วไม่ไหว ชื่อถนนพระพุทธเจ้านี่มันแย่ทั้งหมดทุกสายเลย เมืองนั้นมันสกปรก เมืองนี้อายุมันสี่พันปี สกปรกไม่ไหวเมืองนี้แต่คนไปมากเพราะมันเป็นเกี่ยวกับศาสนา ฮินดูก็ไปคยาเพราะว่าต้องไปทำบุพเพอุทิศให้แก่บิดามารดาปู่ตาย่ายาย ต้องไปทำที่นั่น ทำที่อื่นไม่ขลังต้องไปทำที่นั่น เขาก็ไปกันแล้วไปแล้วก็ต้องไปอาบน้ำโกนหัว ทำบุญแล้วก็ได้ไปไหว้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วย เขาก็ไปไหว้เหมือนกัน ไปไหว้พระพุทธรูปแต่ไม่รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าอะไรเลย แต่ก็ทำกัน คนจึงไปมากที่เมืองนั้น บ้านเมืองไม่สะอาด ชานชาลาคนนอนเต็มไปหมด ใครจะเดินข้ามหัวข้ามตีนข้ามตัวเขาไม่ว่าอะไร ก็นอนเฉย ขอให้ได้นอนก็แล้วกัน หลับคลุมหัวไม่รู้เรื่อง ตามใจใครจะข้ามไปก็ไม่ว่าอะไร มันเป็นอย่างนั้น เมืองนั้นจึงเป็นปูชนียสถานของบุคคลทั่วไป พระพุทธเจ้าท่านไปตรัสรู้ที่นั่นแต่มันเป็นป่าน่ะสมัยก่อน นอกเมืองสะอาดสอ้านเรียบร้อย แม่น้ำใสไหลเย็น มีร่มต้นโพธิ์แล้วก็มีแนวป่าทุ่งหญ้าเขียวสด เหมาะเป็นสถานที่ที่จะนั่งภาวนา แล้วก็นั่งสงบที่นั่นจนได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็นำศาสนามาสั่งสอนแก่ประชาชนต่อไป พระองค์ทรงพัฒนาเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ผิดให้กลายเป็นสิ่งถูก งมงายให้กลายเป็นไม่งมงาย ทำคนให้ฉลาดมีปัญญาเข้าใจสิ่งถูกต้อง แต่เมื่อพุทธศาสนาเลยมา เลยมา มันมีของอื่นเข้ามาปนเรื่อยๆ ปนเข้าไปเรื่อยๆ เพราะมันไม่มีคนคอยแก้คอยเอาออก ที่ไม่เอาออกก็เพราะว่าเห็นว่าคนมาแล้วก็ใช้ได้ แต่คนมาก็ไม่ถึงพระพุทธเจ้า ไม่ถึงพระธรรมอันเป็นเนื้อแท้ ไม่ถึงพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า มาติดอยู่รั้วไม่ได้เข้ามา นอกรั้วคือว่าติดอยู่ที่ไสยศาสตร์ รั้วไสยศาสตร์มันกั้นไว้ คนก็มาเกาะรั้วไหว้รั้วเอาทองมาปิดรั้ว ยืนอยู่งั้นไม่พังรั้วเข้ามาเพราะไม่มีคนเปิดประตูรั้วให้คนเข้ามา โยมก็ติดอยู่ในรูปอย่างนั้น
อันนี้การส่งเสริมมันต้องเอาอะไรที่มันไม่ถูกต้อง กล้าที่จะประกาศให้รู้ว่าสิ่งนี้มันไม่ถูกต้องไม่ใช่พระพุทธศาสนา แล้วเรามาเลิกมาละกันเสียที มาตั้งต้นใหม่ในปี ควรจะตั้งต้นแต่ปี ๒๕๐๐ แต่ก็ไม่ได้ตั้งต้นอะไรนอกจากฉลองกันในรูปวัตถุแต่ไม่เกิดคุณค่าทางจิตใจเท่าใด นี่มันเป็นอย่างนั้น อันนี้เรามาทำอย่างนี้เวลานี้ก็เหมือนกัน ทำกันอยู่อย่างนั้นไม่ได้แก้ไขอะไรที่เป็นความบกพร่อง ทั้งฝ่ายการเป็นอยู่ของพระ ความเชื่อความเป็นอยู่ที่ไม่ถูกต้อง อุบาสกอุบาสิกาก็ตามพระไป ใกล้วัดไหนก็ไปวัดนั้น ใกล้วัดหมอก็ไปหาหมอ ใกล้วัดหมอดูก็ไปหาหมอดู มีความเชื่อ โอ้หลวงพ่อองค์นี้เก่ง ไม่รู้ว่าเก่งเรื่องอะไร เก่งในเรื่องที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เก่งในเรื่องที่ไม่ได้เรื่องมีอยู่ไม่ใช่น้อย นี่คือว่ายังไม่ได้พัฒนาไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ พูดอย่างนี้แล้วใครอ่านเขาก็ไม่ชอบ เขาหาว่าท่านปัญญานี่แหกคอกออกไปแล้ว เอ้ออยู่ในคอกมันคับแคบจะตาย ออกมาจากคอกมันมีเสรีจะไปกินหญ้าตรงไหนก็ได้นะ มันต้องแหกออกไปมั่งถ้าหากว่าคอกนั้นมันแย่เต็มที่ ไปอยู่ทำไมในคอก มันต้องออกนอกคอกไปมั่ง ไปอยู่ในที่ที่ดีกว่าสบายกว่า พระพุทธเจ้าท่านแหกคอกเหมือนกันถ้าพูดกันแล้วนะ แหกคอกมิจฉาทิฏฐิของศาสนาพราหมณ์ในสมัยนั้น ไม่เชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ ไม่ทำในสิ่งที่เขาทำ แต่พระองค์มีความคิดแนวใหม่แล้วก็สอนแนวใหม่ให้คนช่วยตัวเองด้วยการปฏิบัติธรรม ไม่ไปทำพิธีรีตองไม่ไปวิงวอนขอร้องบนบานศาลกล่าวไหว้เจ้าไหว้ผีหรือว่าเชื่ออำนาจเบื้องบนจะมาช่วยตนให้เป็นอะไร ซึ่งมันเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระทั้งนั้น เราทั้งหลายก็ทำกันอยู่อย่างนั้น พูดเท่าใดๆ ก็ยังเลิกไม่ค่อยจะได้ มันติดน่ะ ติดสิ่งที่เขาเคยทำกันมา ไม่ใช่เรื่องอะไร ถ้าใจเราเลิกจากสิ่งนั้นได้เราเป็นอิสระขึ้น เราเป็นพุทธะคือเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น เป็นผู้มีความเบิกบานแจ่มใสในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น แล้วเวลามาวัดไม่ต้องมาขออะไรที่มันไม่เข้าเรื่อง จะมาถึงว่าช่วยสะเดาะห์ให้ผมหน่อย เพราะอะไร เพราะอะไรที่จะสะเดาะห์ออกไปมันเพราะอะไร เรามันมีอะไรที่เป็นทุกข์ล่ะ ถามเขาให้ ต้องอธิบายให้ฟังก่อนมันทุกข์อะไร ทำไมจึงเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ให้มันรู้ว่าเหตุของเคราะห์อยู่ที่ตัวเขาทำ ไม่ใช่มันเกิดขึ้นเฉยๆ ลอยๆ ต้องไต่ถามซักไซร้ไล่เรียงแล้วก็บอกว่าต้องไปแก้ตัวเอง ถ้าว่าเคราะห์เกิดจากดื่มเหล้าต้องเลิกดื่มเหล้าสิ ถ้าเคราะห์เกิดจากการพนันก็ต้องเลิกเล่นการพนัน เคราะห์ร้ายเพราะเที่ยวไปหาโรคเอดส์มันต้องเลิกไปเที่ยวสิ แล้วไปหาหมอให้รักษา แต่มันรักษาไม่ได้นะโรคนี้มีตายท่าเดียว หรือว่าเคราะห์ร้ายเรื่องอะไรเราก็ต้องเลิก ตัดเหตุสิ พระพุทธเจ้าบอกว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ เหตุอยู่ที่ไหน อยู่ที่ตัวผู้นั้น ไม่ได้อยู่บนสวรรค์ไม่ได้อยู่ที่วิมานไหน ไม่มีอะไรจะมาดลบันดาลให้ใครเป็นอะไร เหมือนกับคนชาวจีนก็ไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมนะ ไปไหว้อย่างนั้นแหละ ไหว้โง่ๆ แบบนั้นแหละ ไม่ได้ไหว้แบบคนฉลาด ไหว้แบบคนฉลาดก็ต้องว่าเจ้าแม่กวนอิมเป็นภาพแห่งความเมตตา เป็นรูปแทนความเมตตา อันนี้ถ้าเราเห็นเจ้าแม่กวนอิมก็ต้องทำใจเมตตา ปรารถนาความสุขแก่ผู้อื่น อยู่ด้วยความปรารถนาดีแก่กันและกัน นี่แหละเจ้าแม่กวนอิมอยู่ในใจของเราแล้ว แต่ไปไหว้อย่างนั้นแหละ ไหว้จุดธูปเทียนบูชา ไหว้กันไปตามเรื่อง เสร็จแล้วก็ไปเห็นแก่ตัวต่อไป ทำอะไรให้คนอื่นเดือดร้อนต่อไป มันไม่ได้เอาเจ้าแม่กวนอิมแท้ไปใส่ไว้ในใจนี่ แต่เอารูปเป็นหลัก สร้างใหญ่โตสวยงาม นั่นเรียกว่าเอารูปเป็นใหญ่ ไม่เข้าใจเนื้อแท้ นี่เป็นอย่างนี้โยม ทีนี้ถ้าเราจะส่งเสริมต้องส่งเสริมให้ถึงเนื้อแท้ของสิ่งนั้น ไม่ไปเกาะเปลือกอยู่ ไม่ไปจับเปลือกแต่กระเทาะเข้าไปให้ถึงเนื้อในของสิ่งนั้นอย่างแท้จริงจึงจะเป็นการถูกต้อง ขอให้ญาติโยมได้เข้าใจอย่างนี้
วันนี้ก็เป็นวันอาทิตย์แรกของเดือนพฤษภาคม แล้วก็เดือนนี้ก็เป็นเดือนที่วันเกิดของท่านเจ้าคุณพุทธทาส แต่ดังที่ว่าแล้วท่านไม่ต้องการให้ทำอะไร ใครจะไปก็ได้ ไปได้ แต่ก็ไปก็อย่างนั้น ไปศึกษาไปปฏิบัติธรรมกัน นอนบนดินบนทรายกัน ลองใครอยากไปก็ไปโยมนะ ไปได้ พวกเขาจัดเองล่ะ อาตมาไม่จัด เพราะว่ามันยุ่งเรื่องจัดรถนี่โยม เคยไปจัดคราวก่อนนู้นวุ่นวาย เป็นปัญหาเยอะแยะ ทีนี้ใครพวกเรา (59.04 เสียงไม่ชัดเจน) …… ก็คงจัดเอง คงจะไปวันไหนงไม่ชัก็คงจะประกาศ อาตมานี่ไปเหมือนกันแต่ไปอย่างนั้น ไม่มีอะไรไป ไปเฉยๆ ก็คงไม่ได้ทำอะไร เพราะท่านห้ามไม่ให้ทำอะไร ก็ต้องทำตามที่ท่านสั่ง อย่าไปฝืนมติของท่าน เราเคารพท่านแต่เราไปเพื่อศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะกันก็จะได้
สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงนี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที