แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้วขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา วันนี้ อาตมาแก่มาอีกรอบ แก่ครบ ๗๙ เมื่อวาน เพราะสมมติว่าเป็นวันเกิด ก็ครบไปอีกรอบหนึ่งวันเกิดนี้ ใครๆเขาก็ทำอะไรกันครึกครื้น เป็นวันเกิด คึกฤทธิ์เกิดวันที่ ๒๐ เมษายน คนไปเยอะแยะ ไปแสดงความยินดีเอาดอกไม้ไปให้ อะไรไปให้มากมาย
อาตมาเกิดวันที่ ๑๑ เมื่อวานนี้ก็มีคนให้ดอกไม้ แจกันก็คนในวัดนั้นเองไม่ใช่ใครที่ไหนแล้วตอนสายหน่อยก็ไปที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพราะว่าวันเกิดท่านปรีดี ครบ ๙๐ ปีถ้ามีชีวิตอยู่เขาก็ไปวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ คนแน่น รับนิมนต์ไปรับสังฆทานบังสุกุลอัฐิของท่าน เพราะว่าเป็นคนที่เกิดในวันที่ ๑๑ พฤษภาคม เหมือนกันแต่แก่กว่ามากมาย คนก็ไปให้เกียตริกันตามสมควร เพราะเป็นคนสร้างความงามความดีเป็นประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมืองแต่ว่าคนบางส่วนก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน ก็เป็นธรรมดาคนในโลกนี้จะเห็นด้วยว่าดีหมดก็ไม่ได้ ชั่วหมดก็ไม่ได้ มันแบ่งกันเห็นชั่วก็มี เห็นดีก็มี ไอ้ดีกับชั่วนั้นมันก็อยู่ที่เดิม แต่ว่าคนมองไม่เหมือนกัน สิ่งๆหนึ่งคนมองว่าดีก็ได้ แต่คนหนึ่งอาจจะมองว่าไม่ดีก็ได้ ดอกลำเจียกเป็นไม้ชนิดหนึ่ง เขาเรียกว่า “ลำเจียก” คนเขาชอบเอามาทัดหู คนบางคนบอกว่าชอบกลิ่นลำเจียก แต่บางคนว่าปวดหัว พอได้กลิ่นลำเจียกแล้วปวดหัว ลำเจียกมันก็อันนั้น กลิ่นมันก็อันนั้น แต่คนหนึ่งชอบ คนหนึ่งไม่ชอบ จะเอาอะไรกับคน มันไม่แน่เสมอไป เพราะว่าจิตใจคนมันแตกต่างกัน เราชอบอะไรหมายความว่ามันเข้ากับเราได้ ถ้าเราไม่ชอบ ก็หมายความว่ามันเข้ากับเราไม่ได้ ทั้งนี้คนเรานั้นมีฐานอยู่ในจิตใจด้วยกันทั้งนั้น อะไรถูกกับฐานมันก็พอใจ อะไรไม่ถูกกับฐานก็ไม่พอใจเพราะอย่างนั้น ใครไม่พอใจ ก็อย่าไปโกรธไปเคืองเขา เพราะเขาเป็นอย่างนั้น แล้วถ้าใครพอใจก็อย่าไปยินดีกับเขา เพราะเขามันเป็นอย่างนั้น สบายใจ ยินดีมันก็เป็นทุกข์ ยินร้ายมันก็เป็นทุกข์ แต่ที่จะไม่ทุกข์ก็คือว่ามีปัญญารู้เท่ารู้ทันสิ่งนั้นตามสภาพที่มันเป็นจริง แล้วจิตใจมันก็ไม่หวั่นไหว ไม่โยกโคลง ไปตามอารมณ์นั้นๆ นี่เป็นเรื่องที่ควรคิด
ไปที่ธรรมศาสตร์ จบเวลา ๑๐ นาฬิกา ก็รีบกลับมาวัด เพราะมีโยม ๒-๓ คนมาเลี้ยงอาหาร ก็ธรรมดาๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตมโหฬารอะไร นิมนต์พระมาฉัน ก็ ๑๑ องค์พอดี ๑๑ ทั้งหลวงพ่อ มันตรงกับวันที่ ๑๑ ก็ฉัน ๑๑ องค์พอดี ความจริงจะให้ฉันหลายองค์ แต่ว่าโยมเอาไปหมด พอถึงวันเสาร์นี่ โยมแย่งพระกัน เอาไปสวดมนต์ที่บ้าน เอาไปทำอะไรต่ออะไร หลายเรื่องหลายอย่าง คิดๆดูแล้ว เรานี่มันอยู่กับพิธีรีตอง ทำนั่นทำนี่ เพื่อความสบายใจ ความจริงการกระทำนั้น ก็ไม่ได้เกิดปัญญาอะไรเท่าใด เช่นนิมนต์พระไปสวดที่บ้าน มันก็อย่างนั้นล่ะ บ้านมันก็ไม่ดีไม่ชั่ว อะไร มันอยู่อย่างนั้นล่ะ ถ้าหลังคารั่ว ก็มันไม่ใช่เรื่องของบ้าน แต่เป็นเรื่องเจ้าของบ้านที่ไม่เอาไหน ไม่ซ่อมไม่แต่ง หรือว่าบ้านชำรุดก็เพราะเจ้าของบ้านจิตใจมันชำรุด มันจึงไม่แต่งบ้าน บ้านสกปรกรกรุงรัง ก็เป็นเรื่องของคน ที่ไม่เอาใจใส่ ขี้เกียจ ขี้เกียจดายหญ้า ขี้เกียจปัดกวาด ปล่อยให้บ้านรก สวดเท่าไรมันก็ไม่หาย ถ้าเราไปสวดบ้านมันก็ไม่หาย แต่ก็ทำตามธรรมเนียม เขานิมนต์พระมาสวดเป็น ศิริมงคลแต่ว่าศิริมงคลอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ความจริง ศิริมงคลมันอยู่ที่เราทำดีทำถูก ถ้าเราทำดีทำถูก มันก็เป็นมงคล ทำไม่ดีไม่ถูกมันก็เป็นอัปมงคล บางบ้านมีพระไปสวด ข้างบนบ้าน ข้างล่างก็ดื่มเหล้ากันเสียงดังก้องเลย คุยกัน พวกคอเหล้าคุยกัน นั่นมันเป็นอัปมงคล อยู่ใต้ถุนบ้าน ข้างบนพระนั่งสวดแล้วก็พรมน้ำมนต์ พวกขี้เมาก็มาก้มหัวรับน้ำมนต์เหมือนกัน ไม่รู้มารับไปทำไม ไอ้ของดีไม่เอา จะเอาหยดน้ำจากหญ้าคานั่นล่ะ พอจะพรม ก็มากันหมดเลยพวกขี้เมาหยำเป ก็มารับน้ำมนต์ด้วย อย่างนี้เขาเรียกว่า ทำพอเป็นพิธี ไม่ได้เข้าถึงสิ่งที่เป็นเนื้อ คือการประพฤติปฏิบัติธรรม แต่ก็ทำอยู่อย่างนั้น ทั่วๆไปเป็นอย่างนั้น เพราะเราทำตามกันมา ก็ดีเหมือนกันนะ พระได้มีสตางค์ใช้บ้าง เพราะถ้าโยมไม่นิมนต์ไปสวด พระก็ไม่มีสตางค์ใช้ ไม่รู้จะเอาอะไรไปซื้อสมุด ดินสอ หนังสือ เครื่องใช้ไม้สอย มันก็ได้ไปทางหนึ่ง แต่ว่าโยมก็ควรจะได้อะไรมากกว่านั้น ไม่ใช่ได้แต่เพียงว่า สบายใจ พระมาสวดที่บ้าน หลวงพ่ออุตส่าห์มาเป็นมงคลจริงๆ ก็เท่านั้นล่ะ คือสบายใจ ได้ให้หลวงพ่อไปก็สบายใจ มันก็ได้เพียงเท่านั้น
เมื่อวานนี้ก็ไปที่บ้านหนึ่ง ไปเทศน์ที่อื่นก่อน เทศน์เสร็จแล้วก็ต้องรีบไปที่บ้านนั้น ความจริงก็นั่งรถผ่านหน้าบ้านแล้ว แต่ไม่รู้บ้านอยู่ที่ไหน นัดพบไว้ที่โน่น ที่วัดวิเศษการ ฝั่งธนฯ เขาก็มารออยู่ก่อนหน้าแล้ว มาถึงก็ขึ้นรถไปเลย ไปถึง ก็อ้าวอยู่ตรงนี้เอง เมื่อเช้าก็นั่งรถผ่านตรงนี้เหมือนกัน หน้าธนาคารนี้ อยู่หลังธนาคารนั่นเองเข้าไปในซอย ไปถึงโยมบอก โอ ดีอกดีใจ ว่า หลวงพ่อได้มาที่บ้าน โยมคนหนึ่งท่านตาไม่เห็น ตาบอด อายุประมาณ ๖๐ ตาบอดก็ได้บริจาคปัจจัยสร้างตึกพยาบาล ๒๐๐,๐๐๐ บาท ลูกเขยกับลูกสาว อีก ๒๐,๐๐๐ บาท เลยได้ ๒๒๐,๐๐๐ บาท กลับมา เมื่อวานนี้ไปอย่างนั้น วันที่ ๑๑ ก็อยู่วัด อยู่วัดก็อยู่ปกติอย่างนั้น อยู่ทำอะไรไปตามเรื่อง ก็มีคนมาทำบุญบ้าง อะไรบ้างกันไปตามเรื่อง
ผ่านไปวันหนึ่ง ก็นั่งนึกในใจว่า เออ วันนี้มันเป็นวันที่ฉันเกิดมามองดูโลกนี้ นึกถอยหลังไปถึงสภาพเก่าๆ ว่าเรานี้มันเกิดที่ไหน เกิดในบ้านหลังน้อยๆ ก็ไม่น้อยเท่าใด ก็พออยู่ได้ ตามประสาชาวนา แล้วก็ คุณพ่อ คุณแม่ก็เป็นชาวนา ญาติพี่น้องทั้งหลายก็เป็นชาวนาด้วยกันทั้งนั้น นาก็ไม่มากมายอะไร มีอยู่ประมาณ รวมกันเบ็ดเสร็จแล้วรวมกัน สัก ๑๐ ไร่ แต่ก็พอกินพอใช้ ได้ข้าวพอกินพอใช้ เป็นครอบครัวที่ ใครๆก็ให้เกียตริ ว่าไม่ใช่คนยากคนจน เพราะมีควายตั้งฝูง ๒๐ กว่าตัว วัวตั้ง ๕๐-๖๐ ตัว
แต่ว่าคุณโยมใช้เพียง ๒ ตัว ควาย ๒๐ นี่ ใช้เพียง ๒ ตัว อีก ๑๘ ตัวคนอื่นเอาไปใช้ เวลามาเอาก็มาบอกว่าฉันขอควายไปใช้ ๒ ตัว เออ มึงเลือกเอาไปก็แล้วกัน เขาก็เลือกเอาไป เลือกเอาไปเหลือ ๒ ตัว โยมใช้ไถนา เวลาเขาไปใช้แล้ว ควายผอมเห็นซี่โครง เอามาส่ง ไม่เห็นให้อะไร แล้วไม่เห็นคุณโยมทวงอะไรจากคนนั้น เขาไม่พูดกันเรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องปัจจัย เอาไมตรีจิต มิตรภาพต่อกัน เอามาให้แล้วก็กลับไปเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร ไม่ได้ต้องการอะไร เวลามาเอา ก็ไม่ได้พูดว่า มึงเอาไปตัวละ เท่านั้นบาท เท่านี้บาทนะ เป็นค่าเช่าค่าออน ไม่พูดสักคำเดียว บอกว่ามึงเลือกเอาไปก็แล้วกัน เวลาส่งคืนก็ไม่ได้ให้อะไร ทำอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา เป็นอยู่อย่างนั้น
แต่ว่ามีวันหนึ่งกำลังไถอยู่ ๒ ตัว คนมาถึงบอกว่า น้า ควายของฉันมันง่อยเสียตัวหนึ่ง อยู่ตัวเดียวมันไถไม่ได้ เพราะเขาใช้ควาย ๒ ตัว พ่อก็บอกว่า เดี๋ยวเลิกไถแล้ว มึงเลือกเอาไปตัวหนึ่งก็แล้วกัน ไอ้เขาก็ เลือกเอาตัวแข็งแรง ไปเสียด้วย ชื่อไอ้แหยง เอาไป ตอนเย็นก็จูงควายตัวเดียวกลับบ้าน เมื่อมาถึงบ้าน คุณโยมผู้หญิง ว่า อ้าว ไอ้แหยงหายไปไหนล่ะ บอกว่า พ่อให้เขาไปแล้ว เขาไม่มีควายไถนา เลยให้ไปแล้ว โยมก็ไม่ว่าอะไร แต่พอ คุณพ่อกลับมา โยมว่า อ้าว ก็เราเหลืออยู่ ๒ ตัว ให้เขาไปเสียตัว แล้วเราจะไถกับอะไร โยมผู้ชาย ตอบโยมผู้หญิงคำเดียว โยมหยุดทันที ตอบว่า มันจนกว่าเรา ตอบคำเดียว ว่ามันจนกว่าเรา โยมผู้หญิงเงียบ ไม่พูดอะไรต่อไป เพราะเขาจนกว่า
แต่เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะวันรุ่งขึ้น คุณโยมก็ขึ้นไปทางทิศตะวันตกของเมืองริมภูเขา เขามีควายแถวนั้น ไม่ได้ใช้ไถนา เพราะนามันยังไม่ถึงฤดู ก็ไปจูงของเพื่อนมาตัวหนึ่ง เอามาใช้กันต่อไป เป็นอยู่อย่างนั้น แล้วที่บ้านนี่ เหมือนกับว่าเป็นโรงแรม ก็ว่าได้ คนไปคนมา มาพักทีละ ๑๕ คน ๒๐ คน มากันมากมาย พวกที่มานั้น ไม่ใช่พวกไหน วัวถูกขโมย ควายถูกขโมย แล้วได้ข่าวว่าผ่านไปทางนู้น ไปทางใต้ เขาเรียกว่า “หัวนอน” ทิศใต้นี่ คนปักษ์ใต้เขาเรียกว่า “หัวนอน” ทิศเหนือเขาเรียกว่า “ข้างตีน” “เบื้องตีนนอน” สุโขทัยก็พูดอย่างนั้น เบื้องตีน เบื้องนอน อันนี้บอก พาไปข้างหัวนอน ก็มาบอกว่า ช่วยไปตามหน่อย เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำ นอน ถ้ามากลางวันก็กินข้าวกลางวัน กินแล้วไปเลย ไม่ต้องพูดมากไปกันเลย ไปตาม ตามก็ได้คืนมา พาไป อ้าวไอ้พวกข้างหัวนอนมาอีกแล้ว ข้างหัวนอนมันหาย ก็มาตาม พากันไปข้างตีน ไปได้ควายกลับมา เป็นสถานีกลางที่คนมาติดต่ออยู่ตลอดเวลา
คุณโยมไม่ได้ลักของใคร ไม่ได้ขโมยของใคร แต่ช่วยไปตามของหายให้แก่เขานี่ บ่อยเหลือเกิน เห็นบ่อยๆ มากัน พักกัน บางทีมานอนคืนหนึ่ง บอกว่า พี่ไม่ต้องยุ่ง เช้าๆฉันจะไปแต่เช้า ไม่ต้องทำอะไร ไม่ได้ ให้ออกจากบ้านโดยไม่มีข้าวใส่ท้อง บอกว่าไม่ได้ คุณโยมผู้หญิง ก็ต้องตื่น ไก่ขันก็ต้องตื่นหุงข้าว ต้มแกงเลี้ยงก่อน เลี้ยงมื้อหนึ่ง แล้วคดข้าวใส่ ห่อใบตอง เขาเรียก “คดห่อ” คือ ห่อใบตองกับ ปลาอะไรต่ออะไร นิดหน่อยไปกินกลางทาง เพราะสมัยนั้นเดินทางมันไกล ไม่มีถนน ไปตามป่าตามดง แล้วจะไม่มีบ้านคน ถึงเวลาก็จะหิว เอาไปด้วยเอาไปกิน เป็นอย่างนั้น บางทีพวกมโนราห์นะ มโนราห์นี่โรงหนึ่งไม่ใช่น้อยนะ ๒๕-๒๖ คน มาถึง ก็ต้องหุงข้าวเลี้ยง ให้กิน พอกินเสร็จแล้ว หัวหน้าโรงบอก ฉันจะรำให้เด็กๆดูหน่อย คุณโยมบอกว่า ไม่ต้องแล้ว เหนื่อย นอนดีกว่า ความจริงคุณโยมแกไม่ชอบ ให้มโนราห์รำ เลยบอกว่า เหนื่อย นอนดีกว่า ก็นอนกันไปไม่ต้องแสดง เช้าขึ้นก็หุงข้าวเลี้ยง ก็ไปต่อไปอยู่อย่างนั้น ตลอดเวลา
มันก็มีอานิสงค์เหมือนกันโยม คือเมืองพัทลุงสมัย อาตมาเด็กๆ ผู้ร้ายชุมเหลือเกิน เสียงปืนดังทุกคืน ยิงกันอะไร ปล้นกันบ่อยๆ แต่ว่าวัวควายของโยมนี่ แม้ปล่อยอยู่ในทุ่ง ขโมยมันไม่เอา มันไม่เคยปล้น ไม่เคยลัก มันมาถาม ไอ้นี่ของใคร เขาบอกว่าของ... พอเอ่ยชื่อ เขาก็ว่า อย่า อย่าไปยุ่ง เขาไม่เอา ไปเอารายอื่น ไปเอารายอื่น โยมก็ต้องช่วยไปตามอีกล่ะ เวลา มาลักไป เขาบอก ไปช่วยตามหน่อย ก็ไปตาม หายไป ๑๐ ตัว ได้กลับมาได้ ๖ ตัว มันเอาไปฆ่า ไปแกงเสียบ้าง ขายเสียบ้าง ก็ได้มาเท่านั้น ไม่ต้องพูดกัน ไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ผูกมิตรไมตรีกันต่อไป ไม่เป็นไร แล้วบุกปล้นกันบ่อยๆ แต่คนในหมู่บ้าน มี ๑๑ ครอบครัว ก็ไม่เป็นไร โยมบอกว่า เรามีบ้าน นอนบนบ้าน มีบ้านแล้วไม่นอนบนบ้าน ไปนอนอยู่ในป่าข้างๆบ้าน เพราะบ้านสมัยก่อน เขามีป่าเป็นรั้ว แล้วก็มีที่ พอจะหลบได้ ข้างกอไผ่ ข้างอะไรต่ออะไร แต่ว่า บอกว่าอย่าไปนอนอย่างนั้น ยุงมันกินเปล่าๆ นอนบนบ้าน ในบ้านนี้ ไม่มีอะไร ผู้ร้ายเขาไม่มาปล้นบ้านนี้ เขาไม่รังแกบ้านนี้ ก็ไม่ใช่ของดี วิเศษอะไรไม่ใช่มียันต์ปิดประตูบ้าน แล้วผู้ร้ายมันจะกลัวยันต์ หรือว่ามีใบตาล เขียนอักษรขอม แขวนไว้หน้าบ้าน อะไรก็จะไม่มา ไม่ใช่อย่างนั้น มานึกได้เมื่อตอนโตว่า ธรรมะ อย่างเดียว คุ้มครองได้ เพราะอยู่ด้วย “ธรรมะ” อยู่ด้วยการให้ อยู่ด้วยการพูดจาฉันญาติ อยู่ด้วยการทำตน เสมอเขา อยู่ด้วยการ ไม่ถือตัว เรียกว่า รักมนุษย์สัมพันธ์ (15.03) ของพระพุทธเจ้าใช้
ความจริงไม่รู้ ท่องไม่ได้ จำไม่ได้ ไม่เคยเรียน แม้ได้บวชแต่ก็ไม่ได้เรียนอะไร โยมบวชเหมือนกัน อยู่วัดเรียนหนังสือ คิดเลขได้ เวลาจะไปเสียค่านานี่ เอามาคิดได้ ว่าเงินเท่าไร แล้วคิดถูกด้วย ไปเสียไม่ต้องลำบาก มีความรู้เพียงขั้นนั้น อ่านออก เขียนได้ คิดเลขได้ แต่ว่าไปบวช ก็เรียนสวดมนต์ บวชพรรษาเดียว เรียนสวดมนต์ พาหุงอะไร สวดศพสวดอะไร อย่างนั้นล่ะ เรื่องอื่นไม่รู้ เรื่องธรรมะ หลักธรรมะนี่ ไม่รู้เลย แต่ว่าประพฤติถูกธรรมะ เป็นปกติ ชอบให้ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่แก่คนทั่วไป ใจกว้าง ใจดี ใจงาม ใครมาถึงบ้าน ก็ต้อนรับ โอภาปราศรัย ให้กิน ให้อยู่ สะดวกสบาย ใครเดือดร้อน ก็ไปช่วยเขา ชอบช่วยคนอื่น ให้มีความสุข ความสบายตลอดเวลา
ใครต้องการอะไรก็เอาไป เช่นว่ามาถึง บอกว่า น้า ต้องการควายทั้งฝูงนี่ ไปเหยียบนาหน่อย นาสมัยก่อน เขาไม่ต้องไถบัง โคลนมันเยอะ แต่หญ้ามันรก ไล่ควายเหยียบ เดินวนไปวนมา ๙ รอบ ๑๐ รอบ หญ้ามันก็แหลกไป แล้วก็เอาข้าวไปปลูกในนั้น กอตั้งเท่านี้ ดินมันดี เอาไปเหยียบ เหยียบ ๒วัน ๓ วัน เอามาส่งคืน ไม่พูดอะไรไม่ว่าอะไร เอาไปได้ คนที่ให้อยู่อย่างนี่ แล้วใครมันจะมาขโมยอีก ไอ้คนไหนมาขโมยก็มันจัญไรเต็มทีแล้ว แต่มันไม่มีคนขนาดอย่างนั้น จึงไม่มีการขโมย
แต่ว่าคราวหนึ่งมีควายหายไป ๒ ตัว เพราะว่าเอาไปฝากไว้ อยู่บ้านอื่น ไอ้ขโมยมันไม่รู้ว่า วัวของใคร หายไป คนที่รับฝากก็มาบอกว่า น้า วัว ๒ ตัว ขโมยมันเอาไปแล้ว แล้วมันไปทางไหน ถามว่ารอยเท้ามันไปทางไหน พอวัวหาย เขาก็ตามรอยเท้าไป บอกว่ามาทางนี้ มาทางใต้ มาชายทะเลนี้ล่ะ บอกว่ามึงกลับบ้านไป แล้วโยมก็ไป ไปที่หมู่บ้าน เขาเรียกบ้านสวน เพราะมันไปแถวนั้น พอไปถึงบอกวัว ๒ ตัวมาแถวนี้ ยังอยู่หรือเปล่า เขาบอก โอ ได้ข่าวอยู่ เดี๋ยวไปสืบถามหน่อย บอก ยังอยู่เรียบร้อย ใครนำมา เด็ก มันไม่รู้ นำมา ไปบอกมันด้วย บอกว่า วัวของกู แล้วก็ ไอ้เด็ก ๒ คนที่ลักมาก็จูงไปให้ที่บ้าน พาไปให้ถึงบ้าน ไปกราบ ขอโทษขอโพย ว่า ผมไม่รู้ว่าเป็นของน้าเลย ผมไปลักมา นึกว่าของบ้านนั้น พอรู้ก็เอามาคืนให้แล้ว ก็ว่า เออกูไม่ว่าอะไรหรอก ทีหลังจะลักอะไรก็พิจารณาให้มันดีๆหน่อย แล้วถ้าให้ดี ก็เลิกลักเสียเลยจะดีกว่า ตั้งหน้าทำมาหากินดีกว่านะ ก็ว่ากันไปอย่างนั้น มันก็มีครั้งเดียวเท่านั้นที่จำได้ว่าของหาย
แต่มีครั้งหนึ่งที่เกิดวิกฤตการณ์ใหญ่เลยทีเดียว เกิดเรื่องโรคระบาด โรคระบาดมันระบาดที่ อำเภอระโนดก่อน แล้วก็พวกระโนดก็ต้อนควายมา มาทางฝั่งทะเลสาบ พัทลุง มันติดโรคมา มาที่อำเภอพนางตุง เขาเรียกอำเภอพนางตุงทะเลน้อยบ้านมหาผล อยู่ติดกับทะเลสาบวัวควายที่บ้านพนางตุงตายวันละตัว ๒ตัว ตายกันเป็นการใหญ่เลย โยมเห็นแล้ว ว่าไม่ได้ เดี๋ยวมันลุกลาม ต้อนวัวควายหนี หนีข้ามฝั่งน้ำไปอยู่อื่น ในทุ่งอื่น ไม่ให้โรคระบาดติด แต่ผลที่สุดโรคระบาดไปถึง เดินตามหลังควายมันตายวันละตัว ๒ ตัว ควาย ๒๐ กว่าตัว ล้มตายหมดเลย ไม่เหลือสักตัวเดียว โยมกลับบ้าน นอนเงียบ ไม่พูด ไม่พูดไม่จากับใคร นอนเงียบเลย แล้วปกติควายตายนี่ เขาแล่เนื้อเถือหนังนะ เอาหนังไว้ โยมไม่เอาหนัง บอกว่าใครอยากได้เอาไปเถอะ เนื้อก็เอาไป หนังก็เอาไป กูไม่เอาแล้ว กลับบ้าน มาอยู่เฉยๆ เพราะว่ามันวิกฤต ตายกันจริงๆปีนั้น อาตมาเข้าโรงเรียนแล้ว เวลานั้น วัวตายมากทำให้เกิดปัญหา
แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่เดือดร้อน เพราะว่าที่อื่นมันไม่ตายก็ยังเอามาใช้ได้ ไม่มีปัญหาอะไร อยู่กันด้วยความสะดวกสบาย คุณโยมนี่เป็นนักเที่ยวเหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ไปเที่ยวซื้อควายเดินทางจากพัทลุง ผ่านกระบี่ ห้วยยอด กระบี่ พังงา แล้วก็ตะกั่วป่าไปถึงระนองตอนหลังมา อาตมานี่พอออกจากโรงเรียนก็ไปเที่ยวเหมือนกัน ลาโยมไปเที่ยว ไปปีนัง ไปภูเก็ต แล้วก็ไปถึงระนอง ไปบวชสามเณรที่โน่น กลับมา โยมถามว่า ปลาที่หน้าวัดกะเปอ มันยังอยู่หรือเปล่า เพราะว่าเคยไปที่นั่น เห็นปลาเยอะๆ แล้วบอกสมภารที่วัดกะเปอนี่ดุนักหนา กลัวเราจะจับปลาแกกิน ยังอยู่หรือเปล่าที่นั่น เป็นทางผ่านเส้นทางผ่าน ไปดูปลา ไปซื้อควาย
ควายเวลานั้นราคาเท่าไร โยมรู้ไหม ตัวละ ๒ บาท ควายโตๆ นี่ตัวละ ๒ บาท ไปซื้อมาทีหนึ่งก็ ๒๐ ตัว แล้วก็ต้อนเดินมา มาทางชุมพรมา มาทางชุมพรมา เอาเส้นทางรถไฟต้อนตามทางรถไฟเดินไป ข้ามแม่น้ำตาปี ข้ามแม่น้ำหลังสวน ไล่ต้อนข้ามไปจนกลับไปถึงบ้าน วันไหนที่โยมกลับบ้าน แล้วก็ควายมาอยู่หน้าบ้าน เป็นฝูงนี่ เราเด็กๆรู้สึกว่าชื่นใจมาก ชื่นใจที่เห็นควายมากๆแล้วก็ออกไป ดูควายตัวนั้น ดูควายตัวนี้
ตื่นเช้าขึ้นต้อนควาย ออกกลางทุ่ง จิตใจมันร่าเริง ตามแบบเด็กๆ นึกถึงภาพสมัยนั้น มันเป็นความสุขเหลือเกิน ที่ได้เห็นควายมากๆ แล้วต้อนควายไปกินหญ้า พอตอนเย็นต้องไปดูที่ท้อง มัน ที่ข้างบนนั้นมันมีรู ซี่โครงนะกับกระดูกสันหลังมันมีรู บุ๋มลงไปถ้าไอ้รูนั้นเต็ม เราสบายใจพูดกันว่า โอวันนี้ควายกินหญ้าอิ่มโว้ย สบายใจ แล้วก็ต้อนลงไปน้ำ ลงน้ำแล้วควายก็นอนน้ำลงไป หวิดน้ำใส่มัน ล้างเขาให้มัน ขึ้นไปขี่บนหลังมัน อาบน้ำเสร็จแล้ว ก็ต้อนกลับบ้าน ขี่หลังตัวใดตัวหนึ่งต้อนควายตัวอื่นๆ กลับบ้าน
มันเป็นสุข เป็นสุขตามประสาเด็กๆที่ได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น ไปอาบน้ำในคลองอาบน้ำให้ควาย ต้อนควายไปกินหญ้าในทุ่ง แล้วก็ไปนั่งอยู่บนที่สูงๆบนเนินดินสูงๆ มันดูได้รอบทิศ ได้ดูควายกินหญ้า ตัวนั้นกินที่นั่น ตัวนั้นๆ ดูไปพอถึงเวลาเที่ยง ก็ต้อนลงน้ำ อาบน้ำทั้งคน ทั้งควาย อาบน้ำสักครึ่งชั่วโมง มันชอบ ควายนี่ชอบนอนในน้ำ พอขึ้นจากน้ำ ก็ไปกินหญ้าต่อไป
เด็กอื่นๆ ก็ชอบเล่นกัน เล่นเสือกินวัวกัน ขีดเป็นตารางสองช่อง มีเสือ ๔ ตัว นอกนั้นเป็นวัว ทีนี้เดินตาหมากรุกกัน เสือกระโดดข้ามวัว ก็เอาไปตัวหนึ่ง ไอ้คนไหนเล่นไม่เก่งก็เสือกินหมด ถ้าเสือกินหมดก็เขกหัวเข่ากัน เท่านั้นที เท่านี้ที เขาชอบเล่นกันอย่างนั้น ไอ้บางทีซนกว่านั้น ไปจับมด ๒ ตัว ขุดหลุมน้อยๆ แล้วหยิกท้ายมดมดมันก็เจ็บ พอเจ็บแล้วก็ทิ้งลงไปในหลุม พอเจอเพื่อนมันก็กัดกัน แล้วเด็กก็หัวเราะชอบใจ ที่มันกัดก็เพราะนึกว่าไอ้มดตัวนี้กัดกู ไอ้ตัวหนึ่งก็ว่าไอ้นี่กัดกู นี่เขาเรียกว่า หยิกท้ายมดให้กัดกัน เหมือนเราไปยุให้คนสองคนเขาแตกกัน เขาเรียกว่า หยิกท้ายมดให้กัดกัน เพราะเด็กมันเคยเล่นอย่างนั้น อาตมาไปนั่งดูเขาเล่น แต่อาตมาไม่กล้าหยิกท้ายมด ไม่เคยทำอย่างนั้น แต่ว่าดูเขา เขาสนุกกันไอ้เรื่องอย่างนั้น
ตามปกติมักจะปลีกตัวออกจากเพื่อนฝูงไปนั่งอยู่บนที่สูงๆ ดูควายในทุ่ง บางทีก็ไปนั่ง แดดเปรี้ยงๆ อาบแดดมันไป อาบแดดไม่รู้สึกว่ามันเดือดร้อนอะไร อาบแดดไป ใครมาก็ทักว่าทำไมมานั่งอยู่กลางแดดแจ้งๆ ทำไมมันร้อนนะ บอกว่าอาบแดดเสียหน่อยมันดี ไม่เจ็บไม่ไข้ อยู่อย่างนั้นละ เวลากระหายน้ำนะ ไปกินน้ำตรงไหนก็ได้ น้ำในนานะ เขาไถนาตอนเช้า ตอนสายเขาเลิกไถ น้ำมันก็ขุ่น ไปถึงตักใส่มือก็กิน กินเข้าไป ท้องไส้ไม่เสียเลย เวลานั้นมันแข็งแรง มานึกถึงความหลังว่า เอ เรานี่มันน่าจะตายเสียนานแล้วนะ เพราะกินน้ำสกปรกในนา ไปกินอะไรอย่างนั้น
แต่มันไม่ตาย โยม มันอยู่มาได้จนบัดนี้ ก็นึกว่าเอ มันก็เก่งเหมือนกันนะ มันอยู่มาได้นะ เหมือนกับคน อุตรดิตถ์ไปเมืองแพร่ พวกเมืองแพร่พูดอะไร ว่าเฮ้ย ถ้ากูไม่ดีกูไม่ข้าม เขาพรึงมาเว้ย เพราะว่า เขาพรึง มันเป็นเขาสูง กั้นเขตระหว่างเมืองแพร่กับเมืองอุตรดิตถ์ รถไฟผ่านตรงนั้น ต้องเจาะอุโมงค์ ใครไปเชียงใหม่ ลอดอุโมงค์ สองทีนะ แต่มันมืด ก็ไม่รู้ พอออกจากอุตรดิตถ์ ไม่เท่าใดก็อำเภอลับแลมันมีลอดอุโมงค์คั้น เขาเรียกว่าเขาพรึง แล้วก็ไปลอดลอดโน่น ที่ขุนตาลอีกที ถึงเมืองลำพูนเชียงใหม่ คนเมืองอุตรดิตถ์ ถ้าไปเมืองแพร่ พวกเมืองแพร่พูดดูถูกมา ว่า เฮ้ย กูถ้าไม่ดี กูไม่ข้ามเขาพรึง มาวะ หมายความว่ารอดมาได้จากเขาพรึง มันก็เก่ง เลยนั่งนึกถึงตัวเองว่า เอ เรานี่มันกิน น้ำในนา น้ำในบ่อสกปรก ไม่เป็นไร ท้องไส้เป็นปกติ ไม่ไข้ไม่ตาย แสดงว่า ตอนนั้นมันก็บุญโขอยู่เหมือนกัน เพราะอยู่ในสภาพอย่างนั้น ตอนเย็นก็ต้อนควาย กลับบ้านนะ เอาควายกลับบ้าน อยู่บ้านนี่ ตอนที่มันฉุกละหุกที่สุด คือตอนเย็นๆ ไก่ก็จะขึ้นร้าน ควายก็จะต้องเข้าคอก ไอ้มืดก็มืด เขาเรียกว่า “พลบ” เวลาพลบค่ำ ภาษาปักษ์ใต้ คนไม่เคยได้ยิน
คนปักษ์ใต้ที่พูดปักษ์ใต้เก่งๆนะ ถ้าถามว่าคำนี้ ตอบไม่ได้ คุณโอสถ นะ เป็นนายกสภามหาวิทยาลัยปักษ์ใต้ แกว่า ภาษาปักษ์ใต้ผมพูดได้หมด รู้หมด เลยถามว่า อาตมาขอถามสักคำสิ คำว่า “มุ้งมิ้ง” นี่แปลว่าอะไร มุ้งมิ้ง นะ ถ้าสำเนียงปักษ์ใต้ว่า หมุ่งมิ๋ง มันไม้เอกนะ หอ มอ ไม้ เอก แต่ถ้าพูดว่ามุ้งมิ้ง อะไรน่ะ มุ้งมิ้ง โยมเข้าใจไหมว่าอะไร ไม่รู้เรื่องไม่รู้ว่าอะไร มุ้งมิ้ง เวลามุ้งมิ้ง เวลายุ่งที่สุด คือเวลาพลบค่ำ ไก่ก็จะขึ้นร้าน เพราะว่าเขาเลี้ยงไก่ เขาทำร้านไว้ไดถุนบ้าน ไม่ใช่อยู่กับดินนะ อยู่กับดินก็ชะมด มุดสัง เอาไปกินหมดนะ
มุดสังคือชะมดนั่นเอง แต่ว่าปักษ์ใต้เรียกว่า มุดสัง เรียกตามมาเลเซีย มาเลเซียเขาเรียกว่า มูสั้ง มูสั้งนี่มันกินไก่ มีเนินแห่งหนึ่งใกล้สะเดา เขาเรียกว่า “ควนมุดสัง” เพราะควนนั้นมีมุดสังมาก เขาเรียก “มูสั้ง” เราเรียก “มุดสัง” แต่ภาษากลางเขาเรียกว่า ชะมด ตัวโตๆ มันเที่ยวเช็ดไว้ มีกลิ่น กลิ่นชะมด มันมากินหมดล่ะ ถ้าอยู่กับพื้นดินนะ เพราะฉะนั้นต้องทำร้านขึ้น แล้วก็มีบันไดให้มันขึ้น บันไดไม้ไผ่อันเดียวขึ้นได้ ไอ้ลูกไก่ขึ้นไม่ได้ ควายก็จะเข้าคอก ไก่ก็จะขึ้นร้าน เสียงเจี๊ยวจ๊าวๆ ไอ้มืดก็จะมืด มันยุ่งเท่านั้น เป็นเวลาที่มี ความทุกข์ ตอนนั้นก็ต้องจับลูกไก่ขึ้นร้าน จับให้เรียบร้อย เวลาเช้าก็ต้องเอาไก่ลงจากร้านอีกให้มันไปหากินกันต่อไป นี่งานในชีวิตประจำวัน ที่ทำกันในเวลานั้น แล้วก็รับประทานอาหารตามแบบชาวบ้าน สมัยนั้น ไม่มีตะเกียง ตะเกียงใช้น้ำมันก๊าดก็ไม่มี เขาเรียกว่าใช้ ต้นไม้ชนิดหนึ่ง เขาเรียกว่าต้นเสม็ด
ไม้เสม็ดนี่ ชอบขึ้นในที่ลุ่ม เป็นพุ แล้วมันมีเปลือก เปลือกนี่กะเทาะเอามาได้ เอามาแล้ว เอามาฉีกๆให้มันละเอียด เอาไปคลุกกับน้ำมันยาง สมัยนั้น ต้นยางเยอะแยะ ใกล้ๆบ้านที่หลวงพ่ออยู่นี่ ป่ายางใหญ่ โอ ต้นตั้งเท่านี้ ไม้ยางเต็มทุ่งเลย แล้วก็มีกา มีนกกระทุง นกกระยาง นกเหยี่ยว นกทุกประเภท เย็นๆก็เห็นนกบินเป็นฝูง ภาพเช่นนั้นไม่มีแล้ว เวลานี้ ภาพนั้นเห็นเมื่อเด็กๆน้อยๆ อายุ ๑๐ ขวบ ๑๒ ขวบ ได้เห็นภาพนั้น บินเป็นฝูง มาจับที่ต้นยาง แล้วมันก็ถ่ายมูลลงมาที่พื้นดิน นาแถวนั้น ไม่ต้องใส่ปุ๋ย เขามักจะไปหว่านต้นกล้าเพื่อถอนเอาไปปักดำที่อื่น เอาต้นกล้าไปหว่านที่นั่นนะ ใบเขียวจนดำไปเลย มันงามเพราะปุ๋ยมันเยอะแยะ นกเอาปุ๋ยมาให้
สมัยนั้น คนไม่มีการยิงนก เพราะชาวบ้านไม่มีปืนสำหรับยิงนก ถึงมีปืน เขาก็ไม่ยิงนก เขาไม่ทำลายนก เขารู้ว่านกมีประโยชน์ แล้วเขาก็ถือว่าที่นั่นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ป่านั้นเขาเรียกว่า “ทวด” ปักษ์ใต้ สิ่งศักดิ์สิทธ์ เขาเรียกว่าทวด ต้นไม้ศักดิ์สิทธ์ งูเหลือมศักดิ์สิทธ์ อะไรตรงไหน เป็นบริเวณป่าต้นไม้ เขาเรียกป่าทวด ต้นไม้ทวด ศาลาทวด คนไปที่นั่นก็ต้องไหว้ นางมโนราห์เดินผ่านทางนั้น ต้องตีกลอง ต้องเชิดฉิ่ง เชิดกลอง แล้วก็รำ ๒-๓ ท่า บูชาทวด ที่ผ่านไป
แต่ทวดนี่ รักษาต้นไม้ คนไม่กล้าทำลาย นกก็เยอะ มากินอาหารกัน แล้วมาอยู่ที่นั่น เช้าก็บินไปหากินในทุ่งในนา ในทุ่งก็มีนกกระทุง ตัวสูงๆ มีนกยางเป็นฝูง คนไม่เบียดเบียน ภาพนั้นเห็นเมื่อเด็กๆ เดี๋ยวนี้หายากเต็มที นกกระทุงที่เคยเห็นเป็นฝูง นกยางที่เคยเห็นเป็นฝูง กาเป็นฝูง กานี่มันร้องดังกว่าเพื่อน ตื่นเช้ายังไม่สว่าง กาบินข้ามหมู่บ้าน เสียง กาๆๆ ร้องเรียก เพรียกหากัน มันเยาะเย้ยมนุษย์ว่า ไอ้พวกแกยังหลับอยู่ ฉันตื่นนานแล้ว แล้วมันไปหากินกัน ก็มีมากมาย ป่ายางเหล่านั้น
แต่เดี๋ยวนี้ป่ายางเหล่านั้น ไม่เหลือสักต้นเดียว เพราะสมัยนั้น คนตั้งตลาดขึ้น ที่ตำบลคูหาสวรรค์ เขตเทศบาลเดี๋ยวนี้ เขาตัดไม้ยางต้นใหญ่ เอามาเลื่อย เอามาทำบ้านทำเรือน ให้คนเช่ากันหมด เดี๋ยวนี้ ต้นยางก็ไม่มี ภาพเช่นนั้นไม่มีแล้ว ไม่เห็นต่อไป
สมัยก่อนนี้มันมีเหมืองน้ำ น้ำไหลจากภูเขา ไหลมาคลองใหญ่ก่อน แล้วเขาก็.. เขาเรียกว่าทำนบหลวง ทำนบหลวงคือทำนบใหญ่ พอใกล้ฤดูทำนา ก็ผู้ใหญ่บ้านตีเกราะ ที่หมู่บ้านที่หลวงพ่ออยู่นี่ ผู้ใหญ่บ้านชื่อลุงด้วง ลุงด้วงก็ตีเกราะ ตีเกราะแล้วไม่มีใครไปประชุม แกเที่ยวเดินบอกทุกหมู่บ้าน บอกว่าพรุ่งนี้นะให้ไปช่วยกันทำทำนบเพื่อเอาน้ำมาเข้าเหมือง มานาบ้านเรา ตีเกราะทีไร ไม่เห็นใครไปประชุม ต้องเที่ยวเดินทุกทีล่ะ ไม่ว่าเรื่องอะไร แกเที่ยวเดิน แต่มันไม่กี่หลังคาเรือน มีประมาณสัก ๑๒ หลังคาเรือน แกก็เที่ยวเดินบอกบ้านนั้น บ้านนี้ เห็นภาพ ผู้ใหญ่ด้วงเที่ยวเดิน
นึกถึง ในสมัยนี้ ว่า ผู้ใหญ่บ้านสมัยก่อนนี่ ใจดีจริงๆ ตีเกราะเท่าใดๆ เกราะจะแตก คนก็ไม่ไป ผู้ใหญ่ก็ต้องมาเที่ยวบอกเอง บอกให้ไปทำเรื่องนั้น ทำเรื่องนี้ อะไรๆต่างๆ ก็ไปกัน พอรุ่งเขาก็ไปกันนะ ไปกัน แบกจอบไป เอาพร้าไป มีดชนิดหนึ่ง เขาเรียกว่าพร้า แล้วก็ไม้ไผ่ ๒-๓ ลำ เอาไปสำหรับ ที่จะตอกเป็นหลัก แล้วเอาฟางข้าวอัดลงไป ใบไม้อัดลงไป เอาดินถมกั้นไม่ให้ไหลมาก ให้ไหลเข้าทางนี้ แล้วก็มาเข้าเหมือง เหมืองนั้นก็ไหลไปตามทุ่งตามนา เขาก็ทำนากัน ได้น้ำก็ทำนากัน หว่านกล้าก่อน แล้วก็ไปไถดะไว้ เตรียมที่ไว้ พอกล้ายาวสูงขนาด ๑ ฟุต ก็เอาไปปลูก ต่อไป
แต่บางปีมันแห้งแล้ง แล้งจัดที่สุด จำได้ว่าปีนั้นมีช้าง พวกค้าช้างไปจากจังหวัดตราด ช้างตั้ง ๑๐ กว่าเชือก ไปหยุดอยู่ที่ป่ายาง แล้วพวกเราก็ไปดูช้างกัน เพราะไม่เคยเห็นช้าง แล้วคนแก่ๆก็ถาม พวกช้าง ว่ามาจากไหน โอ้ มาจากเมืองตราด เมืองตราดน่ะมันอยู่ที่ไหน พวกนั้นก็บอกว่าอยู่ทางเหนือ ไกล นี่ มากันตั้งเดือนแล้วเดินช้างจะเอาไปขายถึง กลันตัน เอาช้างไปขายที่โน้น เดินมา เลยถามว่าที่ผ่านมานี่มันแล้งไหม แล้งทั้งนั้น ฝนไม่ตก แล้งทั่วไป นะ มันแล้งคล้ายกับปีนี้ บ้านเรามันแล้งบ่อยๆ แล้งแล้วก็แห้ง น้ำก็ไม่ค่อยจะมีกิน
แต่ว่าไม่เป็นไร เพราะว่าสมัยนั้น ภูเขาระหว่างกลางเมืองพัทลุง ต้นไม้ยังมาก เดี๋ยวนี้ก็ยังมากอยู่ ยังไม่ได้ทำลายเท่าใด แต่ว่าบริเวณเชิงภูเขาออกมาไกลตัง ๔-๕ กิโล ก็ยังเป็นป่าใหญ่ ป่าไม้ยาง ป่าไม้ต่างๆใหญ่ โต เคยเดินไป คุณโยม ไปเอาวัว เอาควาย จากบ้านเดิน ในเขา เดินในป่า โอ้โห เย็น เย็นยะเยือกเลย เดินกลางวันนี่ เดินประมาณ ๑๐ โมงเช้า เย็น ได้ยินเสียง เขาเรียกว่า เรไร นะ มันร้องก้องไปนะ ก้องไปไกลตั้ง กิโลนะ เขาเรียกว่า ๓ ควน คือมัน ๓ เนินเขา มันยังได้ยินเลย ร้อง หริ่งๆๆๆๆ... ดังนะ ดังก้องไป โยมจูงไป โยมเดินหน้า อาตมาก็เดินหลัง ถือไม้หวดควายไป ความจริงกลัวเหลือเกิน เดินกลัว ไม่สบายใจเลย กลัวเสือมันจะออกมา กลัวหมีมันจะออกมา กลัวอะไรจะออกมา แต่จะแสดงความขี้ขลาดก็ไม่ได้ จะบอกโยมว่า ไม่เอาเดินข้างหลังไม่ได้ ต้องเดินข้างหน้า ไม่ได้ กลัว กลัวคุณพ่อมาก คุณพ่อมีลักษณะเงียบๆ ขรึมๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา นานๆ พูดสักที ถ้าพูดแล้ว พูดยาว บ่นอยู่เรื่องเดียว เรื่องยาว
แต่ก็กลัวไม่กล้าบอก ก็ต้องไล่ไป ใจมันเสียว พอออกจากป่าถึงทุ่ง ใจมันโล่งไปเลย มันสบาย ทุ่งมันกว้างนี่ มองเห็นรอบทิศ อะไรมา มองเห็น กูวิ่งก่อนละ แต่ในป่า ป่ามันแคบนี่ แต่เวลานี้รถยนต์วิ่งได้ เย็นนะ น้ำไหล ลำห้วยเย็นสบายนึกถึงป่าเช่นนั้นแล้วนะ ว่า ถ้าเราโตเป็นพระนี่ ไปอยู่ตามป่าเช่นนั้นคงจะเย็นสบาย
แต่อนิจจา ป่าเหล่านั้นมันไม่มีแล้ว เวลานี้ คนมันตัดหมดแล้ว เป็นสวนยางไปหมดแล้ว ไม่มีสภาพป่าเช่นนั้น แต่นี่มันมีอยู่ในสมัยนั้น แล้วบางทีก็ต้องไปเยี่ยมญาติ เยี่ยมญาติอยู่ทางริมภูเขาเยอะแยะ ต้นตระกูลของคุณยายนี่ อยู่ที่ตำบลบ้านนา ระหว่างทางไปตรัง แพญาติเพ่นพ่านอยู่แถวนั้น ก็ต้องไปเยี่ยมไปเยียนกันนะ มาพบมาปะ คนบ้านนอกนี่ ญาติเขาถือกันนักหนา ต้องไปเยี่ยมไปเยือน มีอะไรก็ต้องไปร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจกัน อยู่กันอย่างนั้น ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นับญาติกันถึง ไปอยู่ไกลก็นับกันถึง ว่าลูกคนนั้นหลานคนนี้ พอเจอกันแล้ว ดีอกดีใจ กินอาหารกัน เบิกบานใจ ด้วยประการทั้งปวง
สภาพชีวิตมันเป็นอย่างนั้น การทำนาก็ ไถด้วยวัวบ้าง ด้วยควายบ้าง คราวหนึ่งมันแล้งจัดอยู่ แล้งจัด ก็นิมนต์พระมาสวดมนต์กลางแจ้ง เขาเรียกว่า สวดคาถา “พระยาปลาช่อน” นะ มันมีตำนานว่า มันแล้ง ก็มีมาสวดคาถานี้ แล้วทำให้ฝนตก เขาทำปลาช่อนกัน ปลาช่อนตัวโตๆ ทำด้วยดินเหนียว ให้มานอนอยู่ในที่แห้งแล้วก็มี จัดปักธงอะไรต่ออะไร รอบๆนั้น แล้วก็พระก็ไปสวด พระก็ไปสวดกลางแจ้งด้วย โอ นั่งสวดมนต์เหงื่อไหลซิกๆ ฉันเป็นเด็ก ตื่นเช้านั่งดูพระเหงื่อไหลที่ ปลายจมูก จีวรเปียกโชก สวดกันอยู่ตั้งช.ม. สวดไป สวดไป ฟ้าคะนองเสียงดัง ครืน ๆ เสียงดังเปรี้ยงปร้างๆ โอ้ย ฝนตกใหญ่เลย ฝนตกน้ำท่วมทุ่งเลย ได้ยินเสียงน้ำก้องทุ่งเลย สวดกลางแจ้งนี่ขลังจริง เดี๋ยวนี้สวดเท่าใดฝนมันก็ไม่ตก ถ้าว่าสวดมนต์ ฝนตก สวดที่ๆมันแล้งๆบ้าง ภาคอีสานบ้าง มันก็ไม่ตกสักที สมัยนั้นสวด ดูที่สวดนั้นมันก็เป็นเดือนเมษายน
เมษายนนี่ฝนตะวันตกมันเริ่มบ้างแล้ว พายุตะวันตกเฉียงใต้นี่มันเริ่มพัดแล้ว และมันก็มาพอดีกันล่ะ ทำให้ ความเชื่อของคนก็ดีขึ้น ในการที่ พระสวดมนต์แล้วก็น้ำมา ทีนี้เขาก็หว่านกลัา ข้าวกล้าที่เขาจะ (37.37 เสียงขาดหายไป) ใส่ตะกรัาใบใหญ่ๆ เอาน้ำราดๆ แล้วมันงอกหน่อ เหมือนเราเพาะถั่วเขียว แต่มันไม่มีฟาง วางไว้เฉยๆ (37.49 เสียงขาดหายไป) คือคนโบราณนี่รู้จักบุญคุณของสัตว์ เขาควาย เขาวัว ตัวที่เคยใช้งาน ใช้จนมันแก่นะ แก่แล้วก็ปลดบำนาญนะโยม ควายแก่ๆ เขาไม่ใช้แล้ว ปลดให้มันกินหญ้าตามสบาย ไม่ใช้งาน วัวแก่ๆก็ไม่ใช้งาน แล้วมันอยู่ๆ (38.00 เสียงขาดหายไป) แต่ว่ายุ้งข้าวปักษ์ใต้ ไม่ได้เป็นข้าวย่อย เก็บไว้ทั้ง ... ที่คอมัน ... ไม่ใช่ยาวมาก ใกล้ๆ ... เก็บเสียด้วยแกะ เก็บไว้ ... เอาเก็บไว้ เก็บแล้วก็เอามาไว้บนเรือน ....ที่ยุ้งข้าว เอาหัววัว ไอ้เขาวัว เขาควาย ... ที่เคยใช้งาน ... วางไว้บนพื้น แล้วพอจะเอาไปหว่านกล้าใหม่ เขาเอา ... มันก็น้ำมนต์ แช่น้ำ แล้วก็เอาน้ำนั้นนะ มาพรมต้นข้าว ... แล้วก็เอาไปหว่าน หว่านกล้า เอาน้ำมาให้มันพอดีๆ แล้วข้าวมันค่อยๆงอกขึ้นสูงสักฟุต ก็ถอนไปปักดำ วิธีถอนกล้าน่ะ ถอนรวบมาๆ เห็นทางภาคกลางเขาไม่ฟัดกะเท้า เขามีไม้รอง แล้วไปฟัดกับไม้ ปักษ์ใต้ไม่ต้องเอาไม้ เท้าแข็งแรง ยื่นเท้าออกไปแล้ว ฟัดดินหลุดเลย แล้วมัดเป็นมัดๆ วางๆ ไว้ แล้วก็หาม หาบไป เอาไปในทุ่งนา ไปโยนๆๆ แล้วก็ปักดำ ปักดำนา เอาหัวแม่มือแยงเป็นรู เอาต้นข้าวลงไป ปักดำเสร็จ ใส่น้ำให้มันพอดีๆ มันก็ค่อยเจริญเติบโตขึ้น จนถึงเวลาเก็บเกี่ยวได้
เวลาข้าวออกท้องนี่ เป็นเวลาที่เขาดีใจมาก เขาจะต้องไปไหว้เจ้าที่ เจ้าทาง คือว่าเขานับถือแผ่นดินนั่นเอง แต่จัดของไปไหว้ มีไก่ตัวหนึ่ง ไก่ต้ม แล้วก็มีปลา มีข้าว มีขนม อะไรต่ออะไรไปวาง บริเวณคันนา แล้วก็จุดธูปจุดเทียนบูชา คือ ขอบคุณธรรมชาติ ขอบคุณพื้นนาที่ได้ให้ข้าว จนออกท้องออกรวง มีหวังว่า จะได้เก็บเกี่ยวแล้ว
แต่ว่าคุณโยมนี่ไม่ฆ่าไก่ เวลาไปไหว้นี่เอาผลไม้ไปไหว้ คือไม่ฆ่า ไม่ฆ่าเอง ไม่ทำกับสัตว์เหล่านั้น ถือศีลเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อก่อนนี้เคยดื่มของเมา ดื่มสุรา คนหนุ่มน่ะ ดื่มของมึนเมา เมาจนตำรวจจับ จับไปขังไว้ที่ในกรงบนโรงพัก ขังไว้คืนหนึ่ง เขาไม่ลงโทษอะไร ปล่อย ตั้งแต่นั้นมา โยมไม่ดื่มเลย ไม่ดื่มของมึนเมาเลย แต่สูบบุหรี่ใบจาก สูบเท่านั้น นอกนั้นของเมาไม่ดื่ม ถ้าใครมาพูดว่า โยมนั่งกินน้ำตาลเมาอยู่ ไม่มีใครเชื่อสักคนเดียว เพราะไม่ดื่มของมึนเมา นี่ไม่ดื่ม เข็ด เข็ดเพราะว่าเขาจับไปขังกรง ขายหน้า คนอย่างเราไปนอนในกรงเหมือนกับหมี มันขายหน้า เลยไม่ดื่มเลยตั้งแต่นั้นมา จนกระทั่งหมดอายุ อายุไม่มาก คุณโยมผู้ชาย อายุ ๕๐ กว่าถึงแก่กรรมเพราะเป็นโรควัณโรค ได้ยินเสียงโยมไอ ยังจำเสียง อ่อยๆๆๆ แล้วก็เสลดเขียว เป็นก้อนเลย ไม่มียา
สมัยนั้น ไม่มียารักษาเลยต้องไอเรื่อยไป แต่มีเพื่อนคนหนึ่ง เรียกว่าเขาเป็นเกลอ เป็นสหาย รักใคร่กันมาก เพราะว่าเกลอคนนี้ โยมช่วยชีวิตไว้ เพราะว่าคนไม่ค่อยชอบแก แต่ก็เกรงใจโยม ไม่กล้าทำร้าย วัวควายของโยมแกก็เอาไปใช้ ไปใช้เรื่อยไป เวลาโยมป่วยมานอนใกล้ๆ ไม่กลัววัณโรคจะติดเลย มานอนใกล้ๆ ดูแลเอาใจใส่ ซักผ้าซักผ่อนให้ เหมือนกับเป็นบุรุษพยาบาล เวลานั้น อาตมาไม่อยู่บ้านไปปีนังแล้ว ออกเที่ยวแล้ว คราวนี้ก็โยมชิ้นบน โยมชิ้นบนน่ะ เกลอคนนี้ร้องไห้เหมือนเด็กๆ ร้องฮือๆเลย ร้องออกมาว่า กูหมดที่พึ่งแล้ว ร้องไห้ร้องห่ม แต่ว่าเมื่อเผาศพเสร็จ อะไรเรียบร้อย มีข้อแปลกอยู่ในงานศพโยม คือโยมไม่ชอบ กาเหลาะ กาเหลาะนี่เป็นเครื่องดนตรี ชนิดหนึ่ง เขาใช้ในงานศพ เหมือนปี่ชนะของหลวงนั่นล่ะ มีปี่อันหนึ่งยาว เป่าดังตือ.... นะ เป่ายาวๆ แล้วก็มีกลอง ๒ ใบ มีฆ้อง ๒ ใบ ตี ตึง ตึง ตึ้ง ตีฆ้องดัง ตึ้ง.. ตีบรรเลงเป็นเพลงนะ พอตอนดึกนี่ บรรเลงเป็นเพลง เพลง กบเต้น เพลงต่อยหอย เพลงปลูกแม่ครัวให้ลุกขึ้น เพราะดี จำบทประพันธ์แล้ว นี่สั่งให้เขาอัดเทปไว้แล้ว เรื่องเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ศิลป์ เขาอัดเทปไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นมันจะสูญพันธุ์ คนแก่ๆที่เคยเป่ามันตายหมดแล้ว
เวลามีงานศพนี่ เขาทำโรงเล็กๆ ให้นั่งเป่าปี่อยู่ วันไหนออก เขาถือทิศ วันนั้นห้ามทิศนั้นบางทีไม่ออกทางประตูนะ ฉีกขวาออก ลอดออกไป ว่าวันนี้ออกทิศนั้นไม่ได้ หลาวเหล็ก เขาว่าหลาวเหล็ก เขาห้าม อาทิตย์ห้ามทิศนั้น จันทร์ห้ามทิศนั้น เลยออกไปทางขวาอย่างนั้น โยมไม่ชอบ กาเหลาะ เลยบอกว่า เวลากูตายอย่าเอากาเหลาะมานะ แต่ว่าพวกญาติอยากได้ไปเที่ยวหา หาได้ พอหาได้แล้วมาดื่มน้ำเมากัน แทงกันไส้ไหล เลยไม่ได้มาแสดงในงานศพของโยม เพราะโยมไม่ชอบ เลยแทงกันไส้ไหล เลยไม่ได้แสดงแล้วก็เลยเผากันไปเรียบร้อย เป็นอย่างนั้น
คุณโยม นี่รูปร่าง จมูกโด่ง แต่หนวดเครารุงรังไม่ค่อยได้โกน ไม่รู้จะโกนอย่างไร สมัยก่อนเขาไม่โกนกัน ไว้รุ่มร่ามเลย นิสัยพูดน้อย ใจสงบ ไม่พูดมาก ใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักเพื่อนรักฝูง ยอมเสียสละเพื่อคนอื่นได้มากๆ ไม่เสียดมเสียดาย นิสัยเป็นอย่างนั้น คุณธรรมเป็นอย่างนั้น
ส่วนคุณโยมผู้หญิงนั้นใจดี ยิ้มๆ ไม่มีอารมณ์เครียดกับใคร ตั้งแต่เกิดมาไม่เห็นโยมทะเลาะกับใคร ไม่เคยเถียงกับใคร เพื่อนบ้านใกล้ๆไม่เคยทะเลาะกับใคร ใจดี น่าตายิ้มแย้มแจ่มใส ใจเบิกบานอยู่ตลอดเวลา สูงใหญ่ ร่างกายสูงใหญ่ เป็นคนสูง น่าตาก็คล้ายหลวงพ่อนี่ล่ะ หลวงพ่อนี่ไม่คล้าย โยมผู้ชาย คล้ายเหมือนโยมผู้หญิง เขาว่าผู้ชายถ้าหน้าคล้ายโยมผู้หญิง มันดี ว่างั้น ไม่อาภัพ คนเขาว่าอย่างนั้น แล้วมันก็ไม่อาภัพอะไร มันก็เรียบร้อยมาจนบัดนี้ แต่ว่า หน้ามันไปคล้าย แล้วก็จิตใจมันเอียง อาตมานี่มันเอียง เอียงรักคุณแม่มากกว่าพ่อ เพราะคุณพ่อไม่ค่อยพูดนี่ เฉย จะไปรักอย่างไร รักคุณแม่มากเพราะคุณแม่อยู่ใกล้ ใกล้ชิดมาก เห็นหน้าแม่นี่ เจ็บไข้ได้ป่วยมันหายไปแล้ว นะ เพราะรู้ว่าครั้งหนึ่งไปโรงเรียน ไปอยู่วัด ไกลบ้าน พอเพื่อนบอก ป้ามาแล้ว มันลุกขึ้นได้ทันที ลุกขึ้นจากที่นอนเลย ไปนั่งคุยกับโยมได้ มันชื่นใจ เห็นหน้าท่านแล้วก็ชื่นอกชื่นใจ
คุณโยมนี่ใจเย็น ไม่ค่อยยุ่ง กับใคร แต่ว่าใจกว้างเหมือนกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เวลาจะสิ้นไม่เคยป่วยอาตมาบวชมา ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นสามเณร เป็นพระมาไม่เคยไปรักษาโยมเรื่องป่วยเจ็บเลย เขาป่วยเป็นไข้หวัดระบาดอยู่ก็ไม่เป็นไข้หวัดกับเขา ไม่มีโรคอะไรเป็นคนสะอาด ตื่นเช้าต้องอาบน้ำ อาบน้ำเสร็จหวีผมหวีเผ้าเรียบร้อย เป็นคนที่รักความสะอาด ความมีระเบียบ ไปไหน ไปทำบุญวัดไหนไม่นอน คือว่านอนลำบาก กินน้ำในสระก็กินไม่ได้ ต้องกินน้ำบ่อที่บ้าน มันไม่สะอาดดูสระใหญ่ๆ ไปบ้านนั้น ไม่กินน้ำเลย วัดไหนกินน้ำสระ ไม่กินเลย แล้วก็ทำบุญแต่ก็รีบกลับบ้านมากินน้ำที่บ้าน เป็นอย่างนั้น เวลาป่วยก็ไม่ได้ป่วยอะไร เขาโทรเลขบอกว่า โยมเจ็บหนัก ก็รีบไป ไปถึงโยมก็นั่ง นอนคุยกับคนนั้น คนนี้อยู่ คือมันเพลีย คนแก่ ฟันไม่มี
เมื่อก่อนนี้ อาตมามีฟัน พอถอนฟันนึกถึงโยม ว่าโยมนี่อยู่อย่างไร ๒๐ กว่าปี ไม่มีฟันสักซี่ มันต้องไปใส่ฟันให้โยม แต่โยมตายเสียแล้ว ไม่รู้จะไปใส่อย่างไร เออ มันไม่ไหว ไอ้ก่อนนี้ มันนึกไม่ได้ เรามีฟัน เรานึกไม่ได้ อันนี้ ท่านเป็นไร ดูๆอยู่ ๓ วัน ก็ไม่เห็นเป็นไร ไม่ได้ร้อนรนกระวนกระวาย นอนสบายๆ ใครมาก็คุยกันไปอะไรต่ออะไรกันไปตามเรื่อง คุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วก็คุยกับอาตมา ก็เตือนเรื่องนั้นเรื่องนี้ โยมนี่ไม่ได้ เข้าใกล้ทีไร สอนทุกที ไอ้เราเที่ยวสอนคนทั่วบ้านทั่วเมือง พอกลับไปถึงบ้านต้องฟังเทศน์โยมทุกที เรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องเยอะ สอนเรื่องกินเรื่องอยู่ ไปไหนต้องระวัง เงินทองระวังไอ้นั่นไอ้นี่ มากมาย สอนมาก
เสียดายไม่มีเทปบันทึกเสียง แต่มันบันทึกอยู่ในความทรงจำตลอดเวลา เวลานั่งฟังก็อิ่มใจมาก อิ่มใจว่า โยมนี่รักเรามาก เป็นห่วงมาก แม้เราจะโตแล้ว ก็นึกว่า ไอ้นุ้ยของโยมอยู่นั่นเอง ปักษ์ใต้ เขาไม่เรียก ไอ้หนู ลูกชาย เรียกไอ้นุ้ย อีนุ้ย ก็นึกว่าเป็น ไอ้นุ้ย ของแม่อยู่นั่นเอง ยังต้องสอน เรื่อย เราก็ฟังด้วยความสบายใจ เวลานั้น มันใกล้พรรษาจะต้องบวชนาค ก็เลยบอกว่า โยม ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ ฉันจะต้องกลับไปบวชนาคแล้ว ไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง ตายแล้วค่อยมาเผา ก็แล้วกัน อ้าว กลับมาถึง ๒ คืน เขาโทรเลขมาบอก ว่าโยมตายแล้ว ตายจริงๆ เลยก็วางแผนจะไปเผาศพ
แต่ว่าเพื่อนฝูงมิตรสหาย เขาทำเรียบร้อย พอตายแล้ว เขาก็จัด สวดอยู่ที่บ้าน ทำบุญสุนทาน คนนั้นมาเป็นเจ้าภาพ คนนี้มาเป็นเจ้าภาพ เรียบร้อย ไม่ลำบากอะไร จัดเรื่องเรียบร้อยทุกอย่างเรียบร้อย เพื่อนนักเรียน ร่วมชั้น เขาเป็นครูใหญ่ เป็นอะไรต่ออะไร ที่อยู่บ้าน เขาก็มาจัดเรียบร้อยทุกอย่าง เลยไปถึง ลงสถานี เขาถามว่า ศพโยมนี่จะว่าอย่างไร จะเก็บ หรือจะเผา บอกว่า เผา อีก ๓ คืนเผา แล้วจะแจกการ์ดไหม ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน จะไปแจกเขาอย่างไรคนมันไม่รู้จัก ไม่ต้องแจกหรอก บอกไม่เป็นไรๆ พวกผมจัดการเอง พวกเขาก็จัดการ ไปเขียนป้ายไปติดไว้ร้านกาแฟ หน้าตลาด สามแยก สี่แยก ประกาศไว้ บอกว่า มารดาท่านปัญญานันทะ ถึงแก่กรรม
แต่ว่าพอไปถึงนี่เอาศพออกจากบ้านมาแล้ว เอาไว้ที่วัด ที่บ้านมันแคบ คนไปคนมาลำบาก แล้วมันไกลถนน บอกว่า เคลื่อนศพวันนี้ พาไป วัดคูหาสวรรค์ ใกล้เมืองหน่อย แล้วที่ทางกว้างขวาง ก็พาไปสวดที่วัด ก็มีเจ้าภาพมา คนนั้นสวด คนนี้สวด ไอ้เราเป็นลูกนี่ไม่ได้สวดเลย เขาเอาหมดเลย บอกเอาไปเถอะ ให้เขาไป พวกไปติดประกาศไว้ บอกว่าเผาวันนั้นนะ คนมากันเยอะแยะหมด อาตมาดูคนแล้ว มากันเยอะแยะ ไม่สบายใจ ตื้นตันในใจ นั่งนิ่ง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขา ดีใจ แล้วก็ขึ้นไปพูดหน่อย ก่อนที่จะจุดไฟนะ แต่มันพูดไม่ได้มากนะ มันแน่นในอก ตื้นตันใจ น้ำตาไหล พูดไม่ออก เลยบอกแค่นี้พอนะ โยมนะ จุดไฟเผากันเลย เผาเรียบร้อย เรียกว่าตายสบายๆ
คือว่าโยมนี่ เคยอธิษฐานใจไว้ ขอให้ตายง่ายๆ อย่าทรมาน ไปเห็นคนป่วยที่ทรมาน โยมไม่ชอบ รู้สึกอึดอัดแทนที่เขาป่วยแล้วทรมาน แล้วก็นอนอุจจาระไหล อะไร ไม่รู้สึกตัว บอกว่าขออย่าได้เป็นเช่นนั้นเลย ทำบุญสุนทานก็อธิษฐานใจว่าขออย่าเป็นเช่นนั้น ให้ได้สบายๆง่ายๆ ก็ได้เหมือนใจ นะ คือตายสบายๆ
เวลาจะสิ้นบุญจริงๆนี่ ไม่มีอะไร หลานฉาบเป็นลูกผู้น้องกับโยม เขามีลูกชายเป็นหมอมาเยี่ยม พอมาเยี่ยมโยม โยมก็ต่อว่า เออ กูป่วยตั้งหลายวันแล้ว ไม่เห็นมาเยี่ยม นี่มาเยี่ยมแล้ว เอาหมอมาด้วย เขาจอดรถก่อนแล้วก็ตามมา หมอก็จอดรถในวัด แล้วก็เดินมา ประมาณสักกิโลหนึ่ง ก็มาถึงบ้าน มาถึงหมอคลำชีพจร ทำไมอ่อนนักหนา ชีพจรอ่อนเหลือเกิน หันไปเปิดยา เตรียมยา จะหันมาฉีดโยม พอหันกลับมา โยมหมดลมแล้ว ไม่ต้องฉีดแล้ว บอก ไม่ต้องฉีดแล้ว หมดลมแล้ว ช่วยไม่ได้แล้ว หัวใจหยุดเต้นแล้ว ตายง่ายๆ สบายๆ ไม่มีอะไร เรียบร้อย
แล้วพวกก็จัดการเรียบร้อยนี่มันอานิสงค์ที่เรามีเพื่อน เพื่อนเขาก็ เป็นใหญ่เป็นโตเป็นอะไรต่ออะไร เป็นข้าราชการ แล้วก็ช่วยกันทั้งนั้น ชลประทานก็ช่วย ก็มีหน่วยชลประทานที่นั่นให้รถให้ราช่วยเหลือ ทำอะไรทุกอย่าง โดยไม่ต้องออกปาก เขามาช่วยกันเอง เผาศพเรียบร้อย คนมาช่วยปัจจัยวันเผาศพได้เงิน ๒๐,๐๐๐ กว่าบาท อาตมาเตรียมไป ๑๕,๐๐๐ เผื่อจะทำบุญ ก็เลยสมทบเข้ากลายเป็น ๓๕,๐๐๐ ตั้งทุน ไว้ที่นั่น ให้แก่วัดคูหาสวรรค์ เป็นทุน
ทุน นามนางคล้าย เสน่ห์เจริญ อ้อ นายวัน-นางคล้าย เสน่ห์เจริญ ทั้งโยมชาย โยมหญิง ตั้งเป็นทุนไว้ให้ได้ใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ต่อไป แล้วเพิ่มทุกปี ส่งไปเพิ่ม แต่ว่าเงินเดือนที่รับนี่ ทุกเดือนนี่ ส่งให้วัดมหาธาตุ ครึ่งหนึ่ง ๖ เดือน อีก ๖ เดือนส่งไปพัทลุง วัดคูหาสวรรค์ ให้มาตั้งแต่โน้นเริ่มต้น จนบัดนี้ นี่ได้ขึ้นเงินเดือนแล้วนะ เป็นชั้นเทพนี่ แต่ไม่รู้ได้ขึ้นเท่าไร ก็ไม่เคยไปเบิก บอกเขา ก็ให้ไปหมดล่ะ เขาก็ไปเบิกกันไปตามเรื่อง เรื่องมันเป็นมาอย่างนั้น ชีวิตมันเป็นมาอย่างนั้น นึกถึงชีวิตหลังๆ มานั่งคิด ตัวเรานี่มันฟลุ้ก ว่าอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้วางแผนอะไร มันเป็นของมันไปตามเรื่องตามราว
แต่มันเป็นไปตามขั้นตอน เรียบร้อย ได้บวช ได้เรียน ได้ไปศึกษา ไ ด้อะไรๆของมัน เจอนั่นเจอนี่ มันไปตามเส้นทางเรียบร้อย เจอคนดีๆ ได้ไปเจอท่านเจ้าคุณพุทธทาส ท่านก็ให้แนวว่า น้องท่านควรจะอย่างนั้น ควรจะอย่างนี้ มันก็ได้แนว เราก็ทำมาจนบัดนี้ มาด้วย ด้วยบุญ บุญเก่าๆมั่ง บุญใหม่บ้าง มาสะสมกัน นั่งนึก พิจารณาแล้ว เรานี่มันก็พอใช้ได้ชีวิตมันมาได้เรียบร้อย ร่างกายก็แข็งแรง สุขภาพ อนามัยยังดี มันไม่ตายเมื่อกินน้ำขุ่นนี่ก็นับว่าเก่งแล้วล่ะ แล้วกลางคืนนอน ไม่ได้มีมุ้งนะโยม เมื่อเด็กๆนอนยุงกัด เอาผ้าคลุมหัว กลัวยุงกัด ไปอยู่วัดก็ยุงกัดจริงๆ มันก็ไม่ตาย ไม่เป็นมาลาเรียตาย
แต่ว่าเป็นมาลาเรียคราวหนึ่ง ไปยะลา ความจริงเป็นพระแล้ว แล้วก็เขามีงานก็ไปนอน ชั้นแรก เขากางมุ้งให้ แต่ว่าพระมาหลายองค์ ไม่มีมุ้งพอ เราจะไปกางมุ้งอยู่องค์เดียว มันเอาเปรียบเพื่อน เลยนอนไม่กางมุ้งยุงกัด ยุงกัดกลับมา สงขลาก็เป็นไข้ ไปเทศน์ไหนก็จับสั่นไปในเรือ แต่ไปถึงนั้นมันก็หาย เทศน์ได้ เวลาขากลับ ก็นอนไข้มาในเรือ นั่งในรถไฟก็เป็นไข้ไปในรถไฟ แต่ก็ไปเทศน์อยู่ จนกระทั่งมากรุงเทพฯ มากรุงเทพฯ ก็มาเรียบร้อย แต่พอถึงวัดสามพระยา วันรุ่งขึ้น ป่วยเลย จับสั่น ถึงเวลาเพลเด็กบอกหลวงพี่ ฉันเพล ไม่ฉันล่ะ ทำไม ไม่สบาย หลวงพี่ป่วย ตัวร้อนนี่ หลวงพี่ป่วย ไม่ได้ต้องไปโรงพยาบาล ไปยังไง โรงพยาบาลอยู่ที่ไหน วชิระ นั่งรถรางจากหน้าวัดไป พรุ่งนี้ผมพาหลวงพี่ไปเอง ไอ้เด็กคนนั้นมันเก่ง ยังอยู่เด็กคนนั้น อยู่หาดใหญ่ชื่อสวัสดิ์ บอกว่าผมพาหลวงพี่ไป พาไป
ไปถึงก็บอกหมอตรวจ เจาะเลือด ก็ถาม ท่านไปเที่ยวปักษ์ใต้มาเหรอ อาตมาอยู่ปักษ์ใต้ นี่มาจากปักษ์ใต้ เพิ่งมาถึงเมื่อวาน แล้วมาจับไข้ที่นี่ หมอบอก มาลาเรียเยอะ ให้ยา ควินินน้ำขวดหนึ่ง ให้ฉันเช้า กลางวัน เย็นทุกวัน ฉันแล้ว หูอื้อเลย แล้วมันขมจริงๆนะ ยาควินินน้ำนี่ ใส่ช้อนกิน น้ำเขียว ขมแล้วก็หูอื้อเลย หมอว่ากินให้หมดขวด แล้วมาเจาะเลือดอีกทีหนึ่ง กินหมดขวด ไปวชิระอีก พอเจาะเลือด เรียบร้อยไม่มีเชื้อแล้ว แล้วก็ไม่มีตั้งแต่นั้น
มันไม่ตายกับมาลาเรีย เพราะว่าหมอช่วยไว้ทัน มันขลุกขลักๆ มา มันจะล้มก็ไม่ล้ม ไม่เป็นอะไร ก็อยู่มาได้ จนอายุ ๗๙ ปีบริบูรณ์ ตั้งแต่วันนี้ไป ก็เรียกว่าย่างเข้าปี ๘๐ แล้ว เดือนพฤษภาคม ศกหน้าโน้น มันก็ ๘๐ บริบูรณ์เท่าพระพุทธเจ้า จะนิพพานหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้านิพพานก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวนี้ก็คิด ว่าเราทำงานมาถึงขนาดนี้แล้วสร้างประโยชน์แก่สังคม ประเทศชาติมาพอแล้วจะตายเมื่อใดไม่ว่าตายวันไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ ไม่เป็นทุกข์แล้ว เรื่องตายไม่ลำบากใจแล้ว เพราะว่าเราทำงานมาเยอะแล้ว เป็นประโยชน์ มาพอแล้ว แต่ถ้ายังไม่ตายก็จะทำงานต่อไป ตามหน้าที่ที่จะทำได้ นี่เป็นข้อคิดในวันเกิดเอามาเล่าสู่กันฟังนิดหน่อย ก็สมควรแก่เวลา