แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพทุธศาสนาแล้ว ขอทุกท่านอยู่ในอาการสงบ หยุดนั่ง ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งสามารถได้ยินเสียงชัดเจน และจงตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันพิเศษ เพราะเป็นวันคล้ายวันประสูติ วันตรัสรู้ วันปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นบรมครูที่เราทั้งหลายเชิดชูบูชา ในวันนี้ทั่วโลกที่นับถือพระพุทธศาสนา เขาได้มีการกระทำอะไรเป็นพิเศษ โดยเฉพาะประเทศลังกา เขาถือว่าวันนี้เป็นวันชาติด้วย ฉะนั้นเขาประดับบ้านเมืองให้สวยงาม มีซุ้มประตูใหญ่ๆ เช่น ภาพเกี่ยวกับการประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ทุกบ้านช่องประดับธง ตามไฟ (01.35) คนไปเที่ยวนมัสการพระกันตั้งแต่เช้า เช้านี้โดยเฉพาะที่สำคัญคือ เจฬาณียะ (01.45) เจดีย์ใหญ่ของเมืองลังกา คนนุ่งขาวห่มขาว นั่งรถเต็มไปหมด เดินอยู่ในบริเวณวัดขาวพรืดไปหมด เขารับศีลอุโบสถตอนเช้า แล้วก็อยู่วัดตลอดวัน มีคนไปตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารแก่คนทั่วไป เลี้ยงข้าวราดแกง คนก็ได้รับทานกัน ไม่เฉพาะแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไปวัดถือศีลอุโบสถ แม้เด็กน้อยๆ เด็กน้อยๆ เป็นเด็กหญิง เด็กชายก็นุ่งขาวห่มขาวไปถือศีลด้วยเหมือนกัน ได้ถามเด็กคนหนึ่งว่า หนูถือศีลไม่กินข้าวเย็น หิวไหม เขาบอกว่าไม่หิว อ้าวก็เคยกินนี่ ทำไมไม่หิว เพราะตั้งใจว่าจะไม่กินแล้ว มันก็ไม่นึกถึงอาหาร ก็เลยไม่หิว เขาตอบน่าฟัง เด็กๆ ก็ไปถือศีลกัน แล้วก็มีการแสดงธรรมตอนเช้า ตอนบ่าย ตอนกลางคืนทั่วไป ให้คนได้ยินได้ฟัง บ้านเมืองก็สว่างไสวด้วยประทีป โคมไฟ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าในวันพิเศษ คือวิสาขบูชา เขาทำกัน ๓ วัน จะได้คุ้มกับการลงทุน
เมื่อลังกาเป็นเมืองพระพุทธศาสนา ก็ทำอย่างนั้น ที่นี้ถ้าเราข้ามไปดูประเทศยุโรปซึ่งมีชาวพุทธมากขึ้นโดยเฉพาะที่ประเทศอังกฤษ คณะสงฆ์ที่ไปทำงานเผยแผ่พุทธศาสนาที่นั่นอันมีท่านสุเมโธเป็นหัวหน้า ทำงานได้ผลมาก งานเจริญก้าวหน้า เวลานี้มีพระฝรั่งมาบวชจำนวนถึง ๔๐ กว่ารูป แล้วก็มีคนฝรั่งมาเป็นแม่ชีจำนวนก็เกือบ ๓๐ รูปแล้ว วันวิสาขบูชานี่ เมื่อก่อนนี้ต้องไปเช่าห้องประชุมใหญ่ในเมือง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้วเพราะว่าเนื้อที่วัดใหม่นี้อยู่ใกล้กรุงลอนดอน มีเนื้อที่ตั้ง ๗๐ กว่าเอเคอร์ แล้วก็มีสถานที่ประชุมกว้างขวาง คนไปมากๆ ก็ประชุมกันได้ไม่ขัดข้อง แต่สมัยก่อนนี้ไปเช่าฮอลล์เป็นที่ประชุม เช่าวันหนึ่งตั้ง ๕๐๐ ปอนด์ ปอนด์หนึ่ง ๔๐ บาทไทย ลองคูณเข้าไปดูราคาเท่าไหร่ ไม่ใช่เล็กน้อย แต่ก็ทำได้ เเล้วชาวฝรั่งที่นับถือพุทธศาสนา ก็มากันตั้งแต่เช้าประมาณ ๙ โมงก็มาพร้อมกัน มากันทั้งครอบครัว บางคนก็พาหมอนมาด้วย มองครั้งแรกแล้วเอ๊ะ จะมานอนกันรึ เอาหมอนมาด้วย หมอนนั้นเขาเอามารองนั่งเวลาทำสมาธิ เพราะฝรั่งไม่ค่อยถนัดในการนั่งพื้นเท่าใด แต่เวลานี้ฝรั่งนั่งเก่งแล้ว นั่งนานๆ เขาก็นั่งขัดสมาธิได้สวยงามเรียบร้อย แต่ไปใหม่ๆ แข้งขามันก็เก้งก้าง เพราะไม่เคยนั่ง เขาจึงเอาหมอนไปด้วย
พิธีเริ่มต้นด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ตอนเช้า เสร็จแล้วก็ตักบาตรกัน การตักบาตร ก็ตั้งพระ แล้วก็อุบาสก แม่ชี อุบาสกนั่งเป็นแถวไปตามลำดับ ออกไปตักบาตร ฝรั่งเข้าไปตักบาตรนี่น่าดู โดยเฉพาะเด็กน้อยๆ ซึ่งเป็นเด็กๆนี่เข้าไปตักบาตร ยกมือไหว้พระนี่ เป็นภาพที่น่าดูมาก ดูแล้วก็ชื่นอกชื่นใจว่าฝรั่งเขาเลื่อมใส เขาทำได้อย่างนั้น กราบพระ ฉันอาหารเสร็จ ตอนบ่ายก็เปิดการประชุมแสดงธรรม หลวงพ่อไปอยู่ที่นั่นก็แสดงก่อนเพื่อน มีพระแปลให้ญาติโยมทั้งหลายฟัง พูดประมาณหนึ่งชั่วโมง แล้วคนอื่นพูดต่อไป เวลา ๔โมงนี่ เขาเริ่มนั่งภาวนา ๑ ชั่วโมง ไปเลิกเอา ๕โมงเย็น ต่างคนต่างกลับบ้าน อาหารการกินเหลือเฟือ ญาติโยมที่ไปจากเมืองไทยก็ไปช่วยทำอาหารแถมเป็นหม้อๆ ใหญ่ๆ ฝรั่งกินหมด ฝรั่งเขาไม่กินให้เหลือ เขาเสียดาย กินหมดเลย ไม่ว่าแกงอะไร กินหมดทุกหม้อ ไม่มีเหลือ กินกันอย่างนั้น ช่วยกันกินกันจนหมดเลย แล้วเขาก็กลับบ้านกัน ส่วนที่วัดกลางคืนก็ยังมีต่อ คือกับพระไม่จำวัตร (06.29) กลางคืนทุกวันพระ พระฝรั่งที่อยู่อังกฤษไม่นอนกลางคืนวันพระ เจริญภาวนา สวดมนต์ เดินจงกรม สนทนาธรรมะกันทุกคืนตลอดปี ไม่เฉพาะวันพระ วิสาขะ มาฆะ หรือ อาสาฬหะอะไร แต่ถ้าวันพระเขาไม่นอน ไม่พัก เจริญภาวนาเอาจริงเอาจัง การจะทำอย่างนั้นเป็นการปฏิบัติบูชา ทำให้มั่นคงคงในพระศาสนามากขึ้น
เวลานี้พระมีจำนวนมากพอที่จะส่งไปไว้ที่อื่น จึงส่งไปอยู่ประเทศอิตาลี ส่งไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แล้วก็กำลังจะส่งไปประเทศอเมริกา ให้ไปช่วยเผยแผ่ธรรมะที่นั่นต่อไป อันนี้เป็นความก้าวหน้าของพระพุทธศาสนา ที่อยากจะนำมาเล่าให้ญาติโยมทั้งหลายฟังกัน ในส่วนหนึ่งของลูกก็มีการกระทำเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในอเมริกาที่เมืองลอสแอนเจลีสนี่ เขามีวัดใหญ่ วัดจีนนี่ใหญ่มากลงทุนไป ๒๕ ล้านเหรียญอเมริกัน สร้างในเนื้อที่ ๑๔ เอเคอร์ เอเคอร์ละ ๒ ไร่ ซึ่งอยู่บนภูเขาสวยงาม ลงทุนมาก ถ้าวันวิสาขะอย่างนี้ คนจะต้องไป รถติดเป็นเวลายาวเหยียด จนฝรั่งบ่นไปตามๆ กัน เพราะคนไปวัดกันมาก ไปไหว้พระ ไปทำบุญสุนทานกัน ชาวจีนนี่เขามีทุน เขาสร้างวัดใหญ่ๆ วัดที่แห่งหนึ่งเรียกว่าพระพุทธเจ้าหมื่นองค์ เขาสอนว่า ที่ตั้ง ๔๐๐ เอเคอร์ มันไม่ใช่เล็กน้อย โตกว่าสนามหลวงหลายเท่า อาคารเยอะ ฝรั่งเป็นพระบวชแบบจีน เคยไปเยี่ยมเขาให้การต้อนรับขับสู้อย่างดี พาชมทุกหนทุกแห่ง แล้วก็บอกว่ามาอเมริกาทีหลัง ให้มานอนที่นี่ พักกี่วันกี่คืนก็ได้ ก็รับปากไว้ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปอย่างนั้น เพราะเวลามันจำกัด อันนี้เป็นเรื่องที่เราควรจะภูมิใจ ทางด้านใต้ออสเตรเลีย ท่านจาคโรก็ทำงานเข้มแข็งมาก ฝรั่งเลื่อมใสศรัทธามาศึกษามาปฏิบัติกัน วันนี้น่ะ คงจะ แต่ว่าวันนี้ไม่ใช่วันอาทิตย์ เขาคงจะปฏิบัติงานวันอาทิตย์ที่แล้ว เพื่อสะดวกเอาวิสาขะวันอาทิตย์ไป แต่สำหรับพระนั้น ก็ทำเฉพาะพระ ทำกันอย่างจริงจัง เลยไปใต้สุดประเทศนิวซีแลนด์ พระไปอยู่ ๕ รูป ก็ทำงานกันอย่างเข้มแข็ง เอางานเอาการ สร้างสถานที่เพื่อให้คนมาพัก มาปฏิบัติธรรมได้ เป็นการเผยเเผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า เวลานี้คำสอนของพระพุทธเจ้าแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง มีคนสนใจศึกษามากขึ้น มาปฏิบัติมากขึ้น โดยเฉพาะกรุงโรมนี่ มันเป็นปราการ ป้อมปราการใหญ่ของคาทอลิกเขา แต่ว่าพุทธศาสนาก็เจาะเข้าไปได้เหมือนกัน คนที่นับถือพุทธศาสนาไม่ใช่คนธรรมดา เป็นทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย เมื่อไปคราวปีก่อนที่อเมริกา ไปเมืองบอสตันนี่พบกัน เห็นด็อกเตอร์ อาจารย์มหาวิทยาลัย แต่มาที่นั่น และได้สนทนากัน และบอกว่าเรากำลังต้องการพระให้ไปเป็นผู้นำ เดี๋ยวนี้ก็พระไปอยู่แล้ว พระเป็นชาวอิตาลีเหมือนกัน แต่มาบวชที่ลอนดอน เลยได้ไปเป็นผู้นำที่นั่น แม้ในค่ายคอมมิวนิสต์ก็มีพุทธศาสนาเจาะเข้าไปเหมือนกัน ในประเทศรัสเซียนี่ เรานึกว่าจะไม่มีพุทธศาสนา เขามี เขามีสถานที่ มีพระ มีอะไร แต่เป็นฝ่ายมหายาน ก็ไม่เป็นไร ยานไหนก็ไม่สำคัญ เพราะยานไหนก็เป็นยานที่สอนธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าใช้ได้ทั้งนั้น อันนี้เอามาพูดให้โยมฟังนิดหน่อยเบื้องต้น พอจะได้เกิดความชื่นใจ ว่าเรานับถือพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธศาสนาไม่ใช่เป็นแต่เพียงประทีปทวีปเอเชีย
ฝรั่งเขาเขียนหนังสือว่า The Light of Asia แปลว่าประทีปทวีปเอเชีย แต่เวลานี้ประทีปของพระพุทธเจ้ากำลังจะเป็นของโลก เพราะคนในโลกกำลังสนใจทำไมคนในโลกจึงได้มาสนใจพระพุทธศาสนา ก็คือปัญหาเรื่องชีวิตนั่นเอง คือชีวิตมันเป็นทุกข์ ประเทศตะวันตกเป็นประเทศที่เจริญด้วยวัตถุมากมาย เรานึกว่าสบายว่าความเจริญทางวัตถุนั้นมันสบายกาย แต่ว่าใจไม่สบายเท่าใด เพราะมีความต้องการมากขึ้นในเรื่องวัตถุเครื่องใช้ไม้สอย มีการแข่งขันกัน การทำลายกัน มีปัญหา คนเป็นโรคประสาทมากกว่าประเทศที่ไม่เจริญ ถ้าเอาคนเมืองไทยไปเทียบกับประเทศอเมริกา จะเห็นว่าคนอเมริกานั้นเป็นโรคประสาท โรคจิตทรามมากกว่าบ้านเรา เพราะปัญหามันมาก และมันเครียด ว่าเครียดก็ไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร จะแก้โดยวิธีการที่เขามีไว้ก่อน มันไม่สำเร็จ ไม่สามารถจะดับทุกข์ดับร้อนได้อย่างแท้จริง ก็เหมือนกับว่าเจ้าชายสิทธัตถะของชาวเราทั้งหลาย เมื่อท่านออกบวชแล้วก็ไปศึกษาค้นคว้าในสำนักอาจารย์ต่างๆ ที่มีชื่อมีเสียงในสมัยนั้น ทำจริงจังจนอาจารย์ชมเชยว่า เรารู้อย่างใด ท่านก็รู้อย่างนั้น เราทำได้อย่างใด ท่านก็ทำได้อย่างนั้นแล้ว อยู่นี่เถิด ช่วยสอนศิษย์ต่อไป แต่พระองค์ทรงทราบดีว่าสิ่งที่รู้นั้น ยังไม่แก้ไขปัญหาชีวิตอย่างแท้จริง ยังไม่ทำให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริง ยังมีความทุกข์ มีความกังวลใจ ยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ในอะไรบางอย่าง จึงต้องแสวงหาใหม่ แล้วก็ไปแสวงหาด้วยพระองค์เอง ทรงศึกษาค้นคว้าภายใต้ต้นโพธิ์ พุทธคยา ซึ่งถือว่าเป็นห้องทดสอบของพระองค์ เป็นปูชนียสถานสำคัญที่คนไปกราบไปไหว้ แล้วก็ได้พบความจริงอันเป็นสิ่งสูงสุด ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรถูกต้อง รู้ว่าความทุกข์เป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ทุกข์เป็นเรื่องแก้ได้ จะแก้ได้โดยวิธีใดมองเห็นตลอดปลอดโปร่ง เรียกว่าเห็นแจ้งแทงตลอดในปัญหาชีวิต พระองค์ก็พ้นจากความทุกข์ไปได้ แล้วก็นำสิ่งนั้นมาประกาศแก่ชาวโลกต่อไป
ชาวตะวันตกเวลานี้เจริญด้วยวัตถุ ด้านเทคโนโลยี และประการต่างๆ เจริญขนาดไปเหยียบดวงจันทร์ได้ ขนหินมาให้คนดูได้ แต่มันก็ไม่ช่วยให้พ้นทุกข์อะไร เห็นหินมันไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์อะไร ไปเดินอยู่บนขี้ฝุ่นในดวงจันทร์ ก็ไม่ได้เป็นเหตุและผลจากความทุกข์ความเดือดร้อนอะไร กลับมาก็เป็นทุกข์อย่างเดิม เขาก็แสวงหา หาคำสอนอันจะช่วยให้เขาพ้นจากความทุกข์ จากความเดือดร้อนใจในชีวิตประจำวัน ก็เริ่มหันมาศึกษา ของตะวันตกนั้นเขามีอยู่แล้ว แต่ว่าเขาเห็นว่าช่วยไม่ได้ ก็มองมาตะวันออก มองมาตะวันออก ก็เดินทางมาตะวันออก มุ่งไปโน่นก่อน ไปประเทศอินเดีย มุ่งไปที่ประเทศอินเดีย แต่ไปอินเดียก็พบสิ่งเก่าแก่ ซึ่งมีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า และไม่ใช่ทางดับทุกข์อย่างแท้จริง พอออกจากอินเดียมา มาประเทศลังกาบ้าง มาประเทศพม่าบ้าง ทะลุมาถึงประเทศไทย สมัยก่อนนี้ฝรั่งมาจากตะวันตก มาแวะลังกา เพราะเรือผ่านทางนั้น แล้วก็ศึกษาพระพุทธศาสนาจากลังกา เอาไปเป็นหลักประกาศในยุโรปต่อไป เช่นสมาคมใหญ่ เรียกว่าสมาคมบาลีปกรณ์ ก็ไปจากลังกา โรเเบเตอร์ ลิซ เดวิส (15.48) แกมาอยู่ลังกาเป็นข้าราชการพลเรือน ติดต่อกับวัดบ่อยๆ มีปัญหาบ่อยๆ แกเลยสนใจเรียนบาลี เพื่ออ่านคัมภีร์ทางพุทธศาสนา เมื่ออ่านมากเข้า ก็เกิดความหลงรักในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ติดอกติดใจ กลับไปอังกฤษก็เลยไปตั้งสมาคมขึ้น เพื่อศึกษาค้นคว้า พิมพ์หนังสือทางพุทธศาสนา เขาพิมพ์คำบาลี พิมพ์คำแปล แล้วก็มีการเขียนการโฆษณามากขึ้น เป็นการปูพื้นฐานให้ฝรั่งได้ศึกษา แต่ก็เป็นแต่เพียงศึกษา ไม่มีการปฏิบัติ เพราะไม่มีพระเป็นผู้นำ ได้แต่เพียงศึกษาให้รู้ไว้เท่านั้นเอง แต่ต่อมาพระไปอยู่ก็เลยนำจริงขึ้น ก็เลยเกิดความกว้างขวาง ฝรั่งที่มีความทุกข์ เขาก็มาอย่างนั้น สมัยก่อนมาเพียงลังกา อย่างดีก็ถึงพม่า แล้วกลับไป เมืองไทยมาไม่ถึง เพราะว่ามันไกล แต่เดี๋ยวนี้เรือบินมันนำมาถึงเมืองไทย แทนที่จะแวะลังกา อินเดีย พม่า บินปรูดมาประเทศไทยเลย ลงเมืองไทย เห็นวัดวาอาราม เห็นวัตร (17.09) เห็นพระสงฆ์องค์เจ้า เห็นชาวบ้านมากมายในเมืองไทยเลื่อมใส ศรัทธาในพระพุทธศาสนา เขาก็นึกว่า เออมันต้องมีดี ถ้าไม่มีดีนี่ คนก็คงไม่อย่างนี้ เช่นเขามาเห็นคนมากอย่างนี้ เขาต้องนึก โอ ต้องมีดี วัดนี้ต้องมีดี ถ้าไม่มีดีคนก็ไม่มามากนัก ก็ต้องศึกษาให้มันลึกซึ้งต่อไป ศึกษาได้นิดหน่อย ยังไม่ลึกซึ้งเลยบวชเลย บวชก็ไปได้อาจารย์ดีๆ เข้าก็เลยบวชจนกระทั่งไม่ลาสิกขา มอบชีวิตให้งานพระพุทธศาสนาไปทำงานต่อไป ฝรั่งก็ได้นำคำสอนไปประกาศ ฝรั่งที่อยู่ต่างประเทศเขาก็เริ่มมาสนใจศึกษา มาหาพระตามวัดต่างๆ ถ้าเราที่ไปอยู่ ถ้าหากว่าพูดฝรั่งคล่องแคล่ว เข้าใจธรรมะลึกซึ้งทำงานได้ แต่ถ้าพูดไม่คล่องก็ไปนั่งเฝ้าคนไทย ไปช่วยให้โยมมาวัด มาสั่นกระบอกอะไรต่ออะไร ตามเรื่องตามราว รดน้ำมนต์ให้บ้าง ทำอะไรให้บ้าง ยังไม่ก้าวหน้าเท่าใด แต่ถ้าเป็นพระที่มีความรู้ทางภาษาดี รู้ธรรมะดี จึงได้เอาฝรั่งเข้ามาได้ เหมือนดร.สุนทรนี่ แกภาษาแกดีมาก แล้วเข้าใจธรรมะดี ประพฤติเรียบร้อย นุ่มนวล ใจเย็น รักงาน ขยัน ดึกดื่นเที่ยงคืนยังทำงานก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก พิมพ์ดีดอยู่ตลอดเวลา หลวงพ่อไปพักด้วย ก็เห็นว่าโอ พระองค์นี้อางานเอาการ ตัวเล็ก แต่ขยันมาก แล้วความรู้ดีด้วย ก็สามารถดึงพลังเข้ามา ให้มาศึกษา
เวลามีงานวันวิสาขบูชา เมื่อก่อนก็ทำกันแต่หมู่คนไทย ไปวัดไปวาเหมือนเรามาอย่างนี้ เห็นว่ามันไม่กว้างขวางอะไร มันต้องทำให้เป็นระหว่างชาติ ก็เลยไปเดินไปเที่ยวติดต่อ ไปวัดญี่ปุ่น ไปวัดเกาหลี ไปวัดจีน ไปคบค้าสมาคมกับฝรั่งต่างๆ ที่เขานับถือพุทธศาสนา เพื่อนัดประชุมศึกษาหารือกันว่าวันเกิดพระพทุธเจ้านี่เป็นวันสำคัญ เราจะต้องมาร่วมใจกันฉลองวิสาขบูชา เรียกว่าเป็นวิสาขบูชาระหว่างชาติว่า เมื่อตกลงกันแล้ว เมื่อก่อนนี้ไม่มีสถานที่ต้องไปเช่าฮอลล์ ห้องประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยทรูเเมนคอลเลจ ไปเช่าเขา แล้วก็ไปนัดประชุมกันที่นั่น มีคนสิงหล คนพม่า คนจีน คนเกาหลี คนญี่ปุ่น คนฝรั่งที่นับถือพุทธศาสนา หรือไม่ได้นับถือแต่ก็มาประชุมกัน มีรับทานอาหารกัน ทำพิธีกรรมกันทางพระพุทธศาสนา เริ่มครั้งแรกเป็นที่ประทับใจ ทำมาเรื่อยๆ ปีนี้ก็ทำ แต่คงไม่ได้ทำวันนี้ ต้องเอาวันอาทิตย์ที่ใกล้ที่สุดนะ คงจะอาทิตย์ที่แล้ว ผ่านมาแล้ววันที่ ๖ นั่นแหละ เขาคงจะทำแล้ว การทำอย่างนั้นเป็นการดึงเอาคนเข้ามารวมพวกรวมหมู่ เพราะเราจะไปพูดอะไรกับรัฐบาลอเมริกันน่ะ ถ้าต่างคนต่างพูด ฝรั่งมันไม่ฟัง ไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นองค์การ เป็นสมาคมไปพูด เขาฟัง เขาเคารพสิ่งที่เป็นรวมกันเข้า เป็นประชาธิปไตย ถ้าว่ารวมตัวกันเข้าก็เลยตั้งรวมตัวกันเรียกว่า North Western Bhuddist Association พุทธสมาคมแห่งตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกา รวมกันเข้าเป็นกลุ่ม มีธรรมนูญของสมาคม มีประธานกรรมการ มีเลขา มีเหรัญญิก ทีนี้ไปพูดทำอะไรก็ได้ จะขอร้องอะไรเขาก็ต้องให้ เพราะมันเป็นสมาคม แล้วมีฝรั่งมาอยู่ด้วย มีทุกชาติทุกภาษาเข้ามารวมด้วย ก็สามารถทำอะไรได้กว้างขวางออกไป แล้วฝรั่งเขาก็มาศึกษา มาปฏิบัติ ปีกลายนี้ก็บวชคนหนึ่ง บวชแล้วก็ให้ไปอยู่อังกฤษกับท่านสุเมโธ แต่ตอนนี้คงจะไปกลับไป ไปอยู่ที่กากู้แล้วจะบวชในวันผูกพัทธสีมา หลวงพ่อว่าจะไปเป็นอุปัชฌาย์ให้เขา เพราะเป็นอุปัชฌาย์บวชสามเณรแล้ว คนนี้ตั้งใจจริง เรียบร้อยมาก สนใจมาก วันก่อนพบท่านสุเมโธก็ถามแล้ว บอกว่าเณรที่ส่งไปเป็นยังไง ท่านสุเมโธ เรียบร้อย เรียบร้อย ตั้งใจศึกษา ตั้งใจปฏิบัติดีมาก จะเป็นประโยชน์ต่อไปข้างหน้า ใช้ได้ แล้วก็ยังมีคนต้องการจะเข้ามาบวชอยู่อีก แต่ยังศึกษาอยู่ แต่ก็มาสนใจอยู่ ทำได้ ถ้าเราสามารถพูดกับเขาได้ เขาเข้าใจก็สามารถดึงเขาเข้ามาสู่หลักธรรมของพระพุทธเจ้าได้ ถ้าหากว่าเราทำจริงๆ อย่าทำอย่างเหลาะแหละหละหลวม ไปอยู่ต่างประเทศต้องเอาจริงเอาจัง เป็นตัวอย่างแก่เขาให้เขาเลื่อมใส ให้เขาเห็นว่าพระในพระพุทธศาสนานี่ทำจริง เรียบร้อย มีความมั่นคง มีความเพียร มั่นคงในทางธรรมะวินัยของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติเป็นตัวอย่างนั่นแหละดึงดูดให้เขาเข้ามาสนใจศึกษาได้ จึงน่าชื่นใจในสิ่งเหล่านี้ เราทั้งหลายที่อยู่บ้าน เราก็พลอยดีใจว่าอะไรมันดีขึ้น แต่ถ้าอะไรมันไม่ดีก็เสียใจกับเขาด้วยเหมือนกัน จึงอยากให้พระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหลายที่ไปอยู่ในต่างประเทศ จะได้สบายใจ ทำงานกันจริงจัง นี่แหละ วันที่ ๕ นี่แหละ หลวงพ่อจะไปประเทศอเมริกา วันที่ ๕ มิถุนายน เพราะว่าที่วัดพุทธธรรมนี่จะผูกพัทธสีมา แล้วก็นิมนต์สมภารที่ไปอยู่วัดอเมริกันมาประชุมทั้งหมด ดร.สุนทรบอกว่า หลวงพ่อต้องไปให้ได้ เพราะจะได้ไปพูดกับพระทั้งหมดเสียที ประชุมพร้อมกัน แล้วก็จะได้คุยกัน พูดทำความเข้าใจกันในเรื่องบางสิ่งบางอย่าง จะได้ทำประโยชน์แก่พระศาสนาต่อไป ก็ต้องไป ปลีกตัวไปหน่อย ประมาณ ๒๕ วัน แล้วก็กลับมาบวชนาคไล่เข้าพรรษากันต่อไป ไปอย่างนี้ไม่ใช่ไปเที่ยวเล่น ไอ้เรื่องเที่ยว มันไม่มีแล้ว แก่แล้วไม่มีอารมณ์เที่ยวแล้ว มีแต่ไปเรื่องงานทั้งนั้น แม้ในเมืองไทย ไปเรื่องงานทั้งนั้นแหละ เวลากลับมา มีคนถามว่าท่านไปเที่ยวเมืองนอกสนุกไหม อ้าวฉันไม่ได้ไปเที่ยวนะ ฉันไปทำงาน ทำหน้าที่ ไอ้เรื่องสนุก มันสนุกในงาน ไม่สนุกเพราะดูภาพนั้น ภาพนี้ แต่ของภาพต่างๆ มันอิฐ ปูนทั้งนั้นน่ะ มันไม่มีอะไรแปลก ไม่ต้องไปดูอะไร แต่ว่าไปทำงานเพื่อพระศาสนา บอกให้เขาเข้าใจอย่างนั้น
ทีนี้ในวันวิสาขะเช่นนี้ เราควรจะทำอะไร ควรจะคิดอย่างไร ควรจะทำอะไรเป็นพิเศษเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าให้อย่างถูกต้องแท้จริง การบูชาพระพุทธเจ้าก็บูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียน อันนี้เป็นอามิสบูชา ไม่ใช่เป็นการบูชาแท้ แต่การบูชาแท้นั้นต้องปฏิบัติบูชา การปฏิบัติบูชาก็คือทำจริงๆ ตามหลักธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษในวันวิสาขบูชา ก็ถือว่าเป็นวันเกิดแห่งพระพุทธเจ้า เป็นวันแสงสว่างแห่งโลก เป็นวันที่พระองค์ได้รับชัยชนะเหนือกิเลสมารทั้งหลายทั้งปวงใต้ต้นโพธิ์ พุทธคยา เราจึงถือว่าเป็นวันสำคัญของชีวิต เป็นวันที่เราควรจะได้ทำอะไรให้เป็นพิเศษ การทำอะไรให้เป็นพิเศษนั้นจะทำอย่างไร ก็ต้องการปฏิบัติ ปฏิบัติในเรื่องอะไรบ้าง เราก็ปฏิบัติศีล ขัดสมาธิ และปัญญาให้ยิ่งขึ้นไป การปฏิบัติศีล ถ้าว่าเราถือศีล ๕ อยู่เป็นประจำเเล้ว วันวิสาขบูชานี้ถืออุโบสถศีลหน่อย เป็นการที่ยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น เพราะอุโบสถศีลเป็นตัวพรหมจรรย์ เราจึงรับข้อที่สามว่า อพรัหมะ จริยา เวรมณี สิกขา ปะทัง สะมาทิ ยามิ (26.09) ข้าพเจ้าสมาทานศีล คือการประพฤติไม่ผิดพรหมจรรย์ ไม่ผิดแบบอย่างของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ พรหมจรรย์คือการขัดเกลาจิตใจให้สะอาด ปราศจากสิ่งเศร้าหมองใจ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์นั้นต้องอยู่ด้วยสติ ด้วยปัญญา ไม่เผลอ ไม่ประมาท หมั่นมองด้านใน มองที่ใจของเราว่าคิดอะไร มีอะไรเกิดขึ้นในใจ ก็ต้องให้รู้ให้เข้าใจ แม้ว่ารู้แล้ว ก็จะเห็นว่ามันเป็นอกุศล จะก่อให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ เราก็ต้องเอาสิ่งนั้นออกไปด้วยการพิจารณาด้วยปัญญา ใช้สติ ใช้ปัญญาพิจารณาอยู่ ก็เป็นการเพิ่มคุณค่าทางจิตใจในเรื่องนั้นให้มากขึ้น แล้วก็อดอาหาร ก็คือไม่ให้ยุ่งเรื่องกิน คนเรานี่กินกันเยอะแยะ วันหนึ่งหลายมื้อ หลายอย่าง กินบ่อยๆ เลิกกินเสียมั่ง อธิษฐานใจว่าวันนี้จะกินเพียงเท่านั้น แล้วก็ไม่ต้องกินอะไรอีก นอกจากดื่มน้ำ แก้กระหายนิดหน่อย แล้วก็อยู่ได้ ท่านเจ้าคุณพุทธทาสบอกว่าใครจะไปในงานวันเกิดของท่าน ต้องไปอดอาหาร ต้องไปอดอาหารด้วยกัน ถ้าไม่อดอาหารด้วยกัน ก็เหมือนกับไม่ได้ไปในวันเกิดของท่าน ถ้าไม่อดอาหารตามเท่าที่จะทนได้ แต่ถ้าทนไม่ได้ก็ไปดื่มน้ำข้าว ก็ต้มไว้ให้ นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็มานั่งปฏิบัติกันต่อไป ไปอยู่กลางดิน กลางทราย ใช้ชีวิตเรียบๆ ง่ายๆ ตามแบบของพระพุทธเจ้าเสียบ้าง เพื่อจะได้เห็นว่าการอยู่อย่างนี้เป็นอย่างไร คนเราเคยอยู่สะดวกสบาย ก็ติดความสะดวกสบาย อันนี้ลองไปอยู่ในที่ไม่สบายเสียบ้าง แต่ว่าอยู่บ้านนั่นแหละแต่ว่าเคยนอนบนเตียง ก็เอ้า วันนี้วันบูชาพระพุทธเจ้า ฉันไม่นอนบนเตียงละ ฉันจะนอนบนพื้นละ เอาผ้าปูนิดหน่อย แล้วก็นอนลงบนพื้น นอนก็คงไม่หลับมากเท่าใด ตื่นขึ้นก็สวดมนต์ ไหว้พระ พิจารณาอะไรต่ออะไรต่อไป ก็จะเป็นการช่วยยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น การปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่าเป็นการปฏิบัติบูชา โดยเฉพาะโยมที่มาอยู่ในวัด จะต้องปฏิญาณตนว่าเราจะไม่พูดมาก ไม่พูดมาก ไม่พูดอะไรที่ไม่จำเป็น ต่างคนต่างนั่งนิ่งๆ เงียบๆ พระพุทธเจ้าบอกว่าอริยะสาวก คือสาวกผู้ประเสริฐ เมื่อมาพบกันนั้นทำกิจสองอย่าง คือ หนึ่งนั่งนิ่งๆ การนั่งนิ่งนั้นเป็นแบบพระอริยะเจ้า ถ้าจะพูดกันก็ต้องพูดธรรมะ พูดเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พูดเรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องภาวนา เรื่องนอบน้อมจิตใจให้เกิดความเข้าใจสิ่งต่างๆ ถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง เราพูดแต่เรื่องอย่างนั้น ไม่พูดเรื่องอื่น เรื่องช้าง เรื่องม้า เรื่องวัว เรื่องควาย เรื่องเขาจะเปิดอภิปราย อย่าไปพูดถึงเรื่องนั้น ยิ่งมา วัด …… (29.29) วันนี้เรามาพูดธรรมะ เรามาพูดเรื่องพระพุทธเจ้า เรามาพูดเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พูดเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ถ้าไม่มีเรื่องอย่างนั้นจะพูด ก็นั่งนิ่งๆ นั่งนิ่งๆ นั้นก็คือกำหนดจิตของตัวเอง เช่นเจริญอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก คุมจิต ให้ความคิดให้อยู่กับลมเข้า ลมออก ไม่ให้ไปไหน ควบคุมจิตไม่ให้เกิดอารมณ์ มีความโกรธ ความเกลียด ความรัก ความชัง หรืออะไรๆ ต่างๆ ให้หมดไป ทำใจให้สบาย ให้มันสงบ ให้มีความสะอาดสว่าง สงบอยู่ตลอดเวลา เราก็ได้ชิมรสแห่งความสงบสุขอย่างแท้จริง แล้วถ้าใจเราสงบก็เรียกว่าเราอยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือความสะอาด คือความสว่างทางใจ คือความสงบทางใจ ว่าในใจเราสะอาด เพราะเราก็มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในใจ ใจเราสงบ เราก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในใจ ใจเราสว่างอยู่ด้วยปัญญา เราก็มีพระทั้งสามอยู่ในใจของเรา เมื่อพระอยู่ในใจเรา ก็ไม่ตกอบาย
ดังคำที่พระองค์ตรัสว่า เยเกจิ พุทธัง สะระณัง คะตาเส นะ เต คะมิสสันติ อะปายภูมิง ปะหายะ มานุสัง เทวะกายัง ปูเรสสันติ (30.48) หมายความว่าผู้ใดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จิตของผู้นั้นย่อมไม่ตกอบาย เพราะจิตอยู่กับพระพุทธเจ้า จิตมันสะอาดอยู่ จิตสว่างอยู่ จิตสงบอยู่ กิเลสมันไม่เกิดในขณะนั้น ความโลภไม่เกิด ความโกรธไม่เกิด ความหลงความริษยา ความพยาบาทอาฆาต จองเวร อะไรต่างๆ มันไม่เกิด เมื่อสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้นในใจของเรา ใจเราก็ไม่ตกอบาย อบายนั้นหมายความว่าตกลงไปสู่ภาวะที่ไม่สบาย อบายคือว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสูรกาย สัตว์เดรัจฉานก็คือความโง่ เราคิดอะไรแบบโง่ๆ พูดแบบโง่ๆ ทำอะไรแบบโง่ๆ ไปไหนก็ไปแบบคนโง่ เรียกว่าเรากลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่ต้องตายเเล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานดังที่เขาว่า มันเกิดทันที พอโง่แล้วมันก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน พอฉลาดขึ้นมันก็เป็นมนุษย์ขึ้น เป็นพุทธะขึ้น เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบานแจ่มใส พอเผลอ พูดเข้าไปอย่างนั้น คนเราทำอะไร แค่นั่งเป็นทุกข์นี่ ก็เป็นความโง่อย่างหนึ่ง นั่งกลุ้มใจนี่ก็เป็นความโง่ แต่เราไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วไม่นึกว่ามันเป็นความโง่ ความเขลา และไม่รู้ว่ามันมาจากอะไร และไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันแก้ได้ เรานึกว่าโอ๊ยแก้ไม่ได้ ไปเข้าใจผิด นี่ต้องเข้าใจว่าสิ่งนี้แก้ได้ อะไรต่างๆ มันเกิดแล้ว มันก็ดับไป แต่ว่าไม่ยอมให้ดับ เพราะเราไปป้อนเหยื่อให้สิ่งนั้น เหมือนไฟ มันลุกเเล้ว เราใส่ฟืนเข้าไป น้ำมันราดเข้าไป มันก็ไม่ดับ แต่ถ้าเราหยุดใส่ฟืน หยุดราดน้ำมันเป็นเชื้อ ไฟมันก็มอดดับไปเอง ไม่ลุกลามต่อไป ในใจเราก็เหมือนกัน ไฟคือราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง มันเกิดขึ้นในใจของเรา อันนี้เราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้น เราก็เพิ่มเชื้อให้มันเช่น คิดถึงคนที่ทำให้เราโกรธนั่นคือเพิ่มเชื้อ คิดถึงสิ่งของที่เราไม่ชอบก็เพิ่มเชื้อให้เกิดอารมณ์อย่างนั้น เราอย่าเพิ่ม เราไม่เพิ่มเชื้อ เมื่อไม่เพิ่มเชื้อ ไฟกิเลสมันก็ดับไป ไฟทุกข์มันก็ดับไปด้วย เหมือนที่เราสวดมนต์ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์สิ้นเชิง คือดับเพลิงกิเลสได้ เพลิงทุกข์ได้ ไฟที่เป็นไฟกิเลสมันดับ ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะดับ แล้วไฟทุกข์มันก็ดับไป ความทุกข์เกิดจากกิเลสประเภทต่างๆ กิเลสมันเกิดเพราะเราโง่ เราไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง ก็เลยไปยึดเอาสิ่งนั้นมาว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา เป็นสิ่งน่าเอา น่าเป็น น่าอย่างนั้น น่าอย่างนี้ ทำให้เกิดปัญหาขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆ จึงได้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนขึ้นในชีวิตของเรา ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งนั้นตามสภาพที่เป็นจริง ถ้ามีตัวสติ มีตัวปัญญากำกับอยู่ สิ่งนั้นก็ไม่เกิด อะไรมากระทบ สติรู้ทัน ปัญญารู้เท่าทันที สติรู้ทัน ปัญญารู้เท่า สิ่งนั้นมันก็หยุด หยุดอยู่อย่างนั้น มันไม่ลุกลามต่อไป อย่าเพียงสักว่าได้เห็น สักว่าได้ยิน ได้ดม ได้ชิม ได้ลิ้มรส ได้ถูกต้องมันเกิดเพียงเท่านั้น แล้วสิ่งนั้นมันก็ดับไป ไม่ก่อปัญหา คือมันก่อปัญหาเพราะเราไม่รู้ ไม่รู้ก็เพราะว่าเราหลงสิ่งนั้น เพลินในสิ่งนั้น พอใจในสิ่งนั้น โดยไม่รู้ว่าเรากำลังจับอสรพิษ มันจะแว้งกัดเราเมื่อใดก็ได้ เราไม่รู้ แต่ถ้าเรารู้ เราก็ขว้างมันไปเสีย ถ้าจะ (35.00) มันก็ไม่มีโอกาสจะกัดเรา อารมณ์ต่างๆ ที่มากระทบประสาทของเรา รูปกระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นกระทบจมูก รสกระทบลิ้น สิ่งถูกต้องกระทบกายประสาท ใจรับรู้ในสิ่งนั้น รับรู้ด้วยความไม่รู้มันก็เกิดปัญหา ถ้ารับรู้ด้วยความรู้ มันก็ไม่มีปัญหา รับรู้ด้วยความไม่รู้ คือไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันมาอย่างไร มันไปอย่างไร เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ มันก็เกิดปัญหาขึ้นมา ทำให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนแก่จิตใจของเราด้วยประการต่างๆ เพราะเราไม่รู้ ไม่เข้าใจในเรื่องอย่างนั้น แต่ถ้าเรารู้ทันว่าสิ่งนี้คืออะไร เราก็ไม่ติดใจ ไม่หลงใหล ไม่มัวเมาในสิ่งนั้น จิตก็ผ่องใส ขณะจิตผ่องใส เขาเรียกว่าเราอยู่กับพระ ขณะจิตขุ่นมัวเราก็อยู่กับมาร ไม่ใช่พระ และเราก็เป็นทุกข์ วันหนึ่งๆ เราเป็นทุกข์กี่ครั้งกี่หน กลุ้มใจเท่าไร ไม่สบายใจ หงุดหงิด งุ่นง่าน ด้วยอารมณ์ต่างๆ นั้น เพราะอะไร เพราะว่าเราไม่ศึกษาเรื่องชีวิตให้ถูกต้อง จึงเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นในวันวิสาขบูชา เราก็มาทำความสงบใจ มาพิจารณาปัญหาชีวิต จะไม่ทำเรื่องอื่นวันนี้ เราจะเข้าใกล้พระพุทธเจ้า เราจะอยู่กับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ให้จิตอยู่กับพระ ไม่ให้อยู่กับสิ่งอื่น ตัดปัญหาอื่นออกไปหมด ไม่เอามากังวลในจิตใจ เรื่องอะไรๆ ที่เรามี เราได้แล้วก็ตัดทิ้งไป มายุ่งอยู่กับเรื่องนี้ เพื่อให้เป็นตัวเองอย่างแท้จริง ความเป็นตัวเองมันอยู่ที่ใจสงบ เพราะใจสงบนั้นคือตัวแท้ ใจสะอาดคือตัวแท้ ใจสว่างคือตัวแท้ หลักธรรมของพระพุทธศาสนาบอกไว้ชัดเจนว่า ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เป็นธรรมชาติผ่องใส ใช้คำบาลีว่าประภัสสร ประภัสสรหมายความว่าผ่องใส มีรัศมี มีแสงอยู่ตลอดเวลา เหมือนดวงจันทร์ในวันคืนวันเพ็ญที่ไม่มีเมฆ ไม่มีหมอกเข้ามาปิดบัง แสงเต็มดวงสว่างจ้าอยู่ฉันใด สภาพจิตเดิมมันก็เป็นอย่างนั้น แต่ว่าดวงจันทร์นั้น บางคราวก็มีเมฆลอยมาขวางไว้ มีหมอกลอยมาขวางไว้ ทำให้เราไม่เห็นแสงจันทร์อันเจิดจ้า ใจเราก็เหมือนกันบางทีก็มีสิ่งภายนอกมากระทบรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และเข้าไปสู่ใจ ใจก็ถูกสิ่งนั้นบดบัง ทำให้ความสว่างถูกปิด ทำให้สิ่งที่เป็นดั้งเดิมหายไป ภาษาของทูตฝรั่งเขา (38.01) เรียกว่าหน้าตาดั้งเดิม คือหน้าตาดั้งเดิมของจิต หน้าตาเดิมของจิตก็คือสงบอยู่ สว่างอยู่ สะอาดอยู่ นั่นคือหน้าตาดั้งเดิม แต่ว่ามันไม่เป็นตัวเดิม เพราะสิ่งอื่นเข้ามาฉาบทา ทำให้มัวเมา มืดไป เศร้าหมองเกิดขึ้น เพราะสิ่งเหล่านั้น อันนี้เราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันเป็นของที่ไม่ใช่ของเรา มันเข้ามาฉาบตาเรา เราขัดออกได้เหมือนกับสิ่งต่างๆ เปื้อนวัตถุ เช่นว่าสนิมเกิด ทำให้เหล็กเสียหาย เราก็ขัดสนิมออกได้ ทองเหลืองมันไม่แวว ขัดให้แววได้ ภาชนะทำให้สะอาดได้ บ้านเมืองกวาดได้ เสื้อผ้าซักได้ ร่างกายก็ชำระได้ แต่ว่าใจเรา ไม่ค่อยจะได้ชำระสะสาง ชำระแต่ภายนอก ไม่ได้เข้าไปชำระข้างใน คือสภาพใจดั้งเดิมของเรา นั่นแหละคือตัวปัญหาที่สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆ ในวันเช่นนี้เราจึงควรจะอธิษฐาน แต่วันนี้ฉันจะจัดการกับตัวฉันเองให้มากหน่อย ฉันจะมองตัวเอง ฉันจะพิจาณาตัวเอง ฉันจะไม่สนใจเรื่องภายนอก ไม่สนใจกับเรื่องของใคร แต่ฉันจะสนใจกับเรื่องภายในของตัวฉัน แล้วก็นั่งสงบใจพิจารณาตัวเอง ดูมาตั้งแต่ต้นก็ได้ ดูว่าชีวิตของเรามันเป็นอย่างไร อ่านประวัติศาสตร์ตัวเองเสียหน่อย เปิดย้อนหลังไป ย้อนหลังไป และก็ดูว่าสมัยนั้นเป็นอย่างไร สมัยนี้เป็นอย่างไร สภาพชีวิตเป็นอย่างไร ในชีวิตของเรานี้มีความทุกข์จากเรื่องอะไรบ้าง ทุกข์เพราะได้ ทุกข์เพราะไม่ได้ ทุกข์เพราะสมหวัง ทุกข์เพราะไม่สมหวังอะไรต่างๆ มันเกิดขึ้นในชีวิต ในวิถีชีวิตของเรา มองให้ดี พิจารณาให้ดี พิจารณาไป บางทีพิจารณาไปก็เกิดท้อแท้อ่อนแอทางจิตใจ อาจจะน้อยใจตัวเองว่าแหมฉันนี่ทำไมเกิดมาลำบากอย่างนี้ มักจะคิดอย่างนั้น ถ้าว่ามองเรื่องที่เป็นทุกข์ แต่ว่าสิ่งนั้นมันก็ผ่านไปแล้ว ความทุกข์ผ่านไปแล้ว เรื่องอะไรๆ ก็ผ่านพ้นไปหมดแล้ว เมฆหมอกที่เข้ามาบังชีวิตของเรา มันก็ห่างออกไปแล้ว เพราะไม่มีอะไรถาวรอยู่ในใจของเรา
หลักคำสอนพระพุทธเจ้าสอนไว้แน่ชัดว่าสิ่งทั้งหลายเกิดดับ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา อันนี้สำคัญมาก เราต้องเข้าใจหลักนี้ให้ถูกต้อง ว่าสิ่งทั้งหลายมีการเกิดดับ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไม่มีตัวแท้ถาวร ไม่มีตัวจริง มันเป็นแต่สิ่งเกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นเพราะอาศัยเครื่องปรุงแต่ง แล้วเครื่องปรุงแต่งพร้อม มันก็ต่อไป แต่ว่าพอเครื่องปรุงแต่งขาดตกบกพร่องก็ดับไปทั้งนั้น อะไรๆ ทั้งฝ่ายวัตถุ ฝ่ายนามธรรม ฝ่ายตัวเรา ฝ่ายสิ่งแวดล้อม มันเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น เกิดดับ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา แล้วมีตอนไหนที่ถาวร มีตอนไหนที่เป็นเรื่องจริงจังในชีวิตของเรา มันไม่มีอะไร มันเป็นแต่เพียงละครฉากหนึ่งๆ ที่ผ่านไป ผ่านไปทั้งนั้นแหละ ตัวเราก็คือตัวละครที่มาแสดงอยู่ในเวทีโลก เราก็ผ่านทั้งทุกข์ทั้งสุข ทั้งได้ทั้งเสีย ทั้งเศร้าโศก ทั้งดีใจ อะไรมากมายก่ายกอง แล้วเราคิดไว้สิ่งเหล่านั้น ที่ผ่านมานั้น มันมีอะไรคงทนบ้าง มีอะไรถาวรอยู่ในชีวิตของเราบ้าง ดูเราด้วย ดูเพื่อนของเราด้วย ดูญาติพี่น้องของเรา ดูไปทุกๆ คน เพื่อให้เห็นความจริงของสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง เราก็จะรู้ชัดว่า เออ มันก็อย่างนั้นเองแหละ เราอย่าไปเที่ยวยึดถือให้มันวุ่นวายเลย ปล่อยมันไปตามเรื่องตามราว แต่ว่าประคับประคองจิตใจของเราไว้ ไม่ให้ดีใจเมื่อได้ ไม่ให้เสียใจเมื่อเสีย คนเรามันก็สองเรื่องนั่นแหละที่สำคัญ ได้แล้วก็ดีใจ พอเสียแล้วก็เสียใจ สองเรื่อง แล้วทำใจไม่ให้ดีใจได้ไหม ไม่ให้เสียใจได้ไหม ทำได้ ถ้าเราใช้สติปัญญา คือไม่ดีใจเมื่อได้ ไม่เสียใจเมื่อเสีย ที่เรียกว่าโลกธรรม มันมีทั้งสองฝ่าย มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสุขมีทุกข์ มีนินทามีสรรเสริญ นี่มันคู่กัน มีลาภมียศ มีสรรเสริญ มีความสุข ฝ่ายได้ เขาเรียกว่าจิตถารมณ์ (42.52) คืออารมณ์ที่น่าปรารถนา พึงใจ ใครๆ ก็อยากมี อยากได้ ในเรื่องอย่างนั้นๆ ฝ่ายได้ พอฝ่ายได้เกิดขึ้นก็ยินดี เพลิดเพลิน พอใจ ลืมตัว ลืมตัวไป จะเกิดทุกข์ในภายหลัง ทีนี้ฝ่ายที่ไม่ดีเช่นเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์เกิดขึ้น เราเสียใจ บางทีเสียใจไปหลายวัน ซึ่งไม่ควรจะเสียใจนานอย่างนั้น แต่ก็เสียใจหลายวัน นึกถึงภาพนั้น นึกถึงเรื่องนั้น นึกถึงอะไรๆ ที่ (43.36) กลุ้มใจทันที อย่างนี้เรียกว่าเราไม่เข้าใจแล้ว มันถูกต้อง สิ่งนั้นมันผ่านไปเเล้ว ล่วงไปเเล้ว และเราเอามาคิดให้ทุกข์ใจ นี่เขาเรียกว่าเพราะไม่เข้าใจ มีอวิชชาคือความไม่รู้ ในเรื่องนั้นตามสภาพที่เป็นจริง สิ่งใดผ่านพ้นไปแล้ว มันก็ควรจะเเล้วกันไป ถ้าจะเอามาคิดก็ได้ แต่คิดด้วยปัญญา คิดอะไรที่ล่วงแล้วต้องคิดด้วยปัญญา ถ้าคิดด้วยปัญญามันก็ไม่กลุ้มใจ ไม่ทุกข์ใจ แต่ถ้าคิดด้วยไม่ใช้ปัญญา มันก็มีความทุกข์ มีความกลุ้มอกกลุ้มใจเพราะไม่ใช้ปัญญา คนเราที่นั่งเศร้าโศก นั่งเสียใจ นั่งร้อนใจ นั่งเป็นทุกข์ คิดด้วยความไม่มีปัญญา พูดง่ายๆ ว่าคิดด้วยความโง่อยู่ โง่เมื่อใดทุกข์เมื่อนั้น โง่เมื่อใดเสียใจเมื่อนั้น กลุ้มใจเมื่อนั้น แต่พอฉลาดปุ๊ป แสงสว่างเกิดทันที ใจเราก็สว่าง โล่งไป สิ่งเหล่านั้นหายไป เพราะเรารู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง
พระพุทธเจ้าจึงตรัสภายหลังตรัสรู้ว่า เมื่อใดความรู้อย่างนี้ปรากฏขึ้นแก่ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ คือรู้ว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ความรู้นั้นทำให้ผู้นั้นสว่างไสวด้วยปัญญา ความทุกข์หายไป เมื่อใดผู้นั้นได้รู้ว่าสิ่งทั้งหลายดับเพราะเหตุดับ ความทุกข์มันก็จะหายไป เพราะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นเพราะเหตุ และดับเพราะเหตุ ความเข้าใจถูกต้องเกิดขึ้น จิตใจก็สงบสว่าง อยู่ด้วยปัญญาเพราะความเข้าใจอย่างนั้น แต่เพราะเราไม่ค่อยจะได้คิดให้เกิดความเข้าใจถูกต้อง เห็นอะไรก็เพียงแต่พอใจ เอ้อ สบายแล้ว ได้พอใจแล้ว แต่ถ้าอะไรไม่พอใจ ก็เออะไม่ดี กลุ้มใจโว้ย อึดอัดโว้ย ขัดอกขัดใจ แล้วทำไมไม่เเก้ปัญหา ธรรมะก็มีไว้ให้ใช้ สำหรับเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหา แต่เราไม่ใช้ ยาอยู่ข้างตัวแต่นอนเก็บอยู่ได้ ไม่กินยา ไม่ยกขวดขึ้นมาอ่านว่ายาอะไร กินอย่างไร เวลาไหน ก่อนอาหาร หลังอาหาร แล้วไม่กิน แล้วจะไปโทษยายังไง ยามันจะวิ่งเข้าปากเราได้ยังไง แม้อ้าปาก มันก็ไม่วิ่งเข้ามา มันต้องกินและกินให้ถูกต้องตามที่หมอสั่งไว้ โรคมันก็บรรเทาเบาบางไป ธรรมะเป็นยาแก้โรค แก้ความทุกข์ แก้ปัญหาชีวิตของมนุษย์ ของสังคม ของโลกก็ว่าได้ แต่ชาวโลกเมินเสีย ไม่สนใจในตัวยาคือธรรมะ บางคนก็บอกโอ๊ย ธรรมะไม่เข้าเรื่อง ไปวัดนี่ไปทำไม คนไปวัดนี่พวกอกหักทั้งนั้น เขาก็พูดถูกเหมือนกัน เพราะว่าคนมาวัด มันคนมีทุกข์ เหมือนกับคนป่วยมันต้องไปโรงพยาบาล เราจะว่าเอ้ยคนไปโรงพยาบาลมันคนป่วยนะ ก็ถูกต้อง ไม่ป่วยแล้วจะไปทำไมโรงพยาบาล ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวนี่ ป่วยนะจึงต้องไปโรงพยาบาล โยมมาวัดนี่ต้องมีปัญหา มีความทุกข์กายใจ เราจึงมาวัด วัดนี้เป็นเหมือนโรงพยาบาลทางจิตทางวิญญาณของโลก ธรรมะเป็นยาแก้โรคทางจิต ทางวิญญาณของมนุษย์ในโลก เราก็ต้องมาโรงพยาบาล ที่มานี่มาโรงพยาบาลทั้งนั้น หลวงพ่อก็เป็นหมอก็ประกาศยาให้โยมทราบ อันนี้โยมจะเอาไปใช้หรือเปล่า ถ้าเอาไปใช้มันก็หายโรค แต่ถ้าไม่ใช้มันก็ไม่หายโรคเหมือนกัน จริงอยู่ที่ตัวปฏิบัติ เราจะต้องทำตามสิ่งที่เราเข้าใจ ญาติโยมมาวัด (47.20) คนยังไม่แก่ไม่เฒ่าแล้วไปวัด อกหักรึ จ๊ะ ฉันอกหักจ๊ะ ฉันจึงไปวัด บอกเขาเลย เพราะฉันไปวัดเพื่อให้อกมันแข็งแรง แข็งแรงเพราะฉันเอาธรรมะเข้ามาไว้ในใจของฉัน เมื่อธรรมะอยู่ในใจของฉัน ใจฉันเข้มแข็ง อดทน หนักแน่น สามารถต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ได้ ระวังคนที่ไม่ไปวัด มันไม่อกหักนะ จะอกแตก เพราะอะไร เพราะไม่รู้อะไร ไม่เข้าใจเรื่องปัญหาชีวิต ถูกต้อง แล้วก็เกิดความทุกข์ ทนไม่ได้ เลยต้องกินน้ำมันระกำบ้าง จะผูกคอตายบ้าง กระโดดสะพานพระปิ่นเกล้ามั่ง อันนั้นพวกไม่มาวัด พวกทำอย่างนั้น ให้มีความรู้สูงเป็นด็อกเตอร์ แต่ถ้าไม่สนใจธรรมะ ก็ทำลายตัวได้เหมือนกัน ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอดเพราะไม่สนใจ
อันนี้เราทุกคนที่มานี่จะเป็นคนเฒ่า คนแก่ คนหนุ่ม คนสาวควรจะดีใจว่าเรานี้ได้เคยอาบแสงสว่างทางพระธรรมของพระพุทธเจ้า แสงธรรมเป็นแสงสว่าง เรามาอาบแสงธรรมะให้มันเกิดความชุ่มชื่นเย็นอกเย็นใจ แล้วเราเอาธรรมะไปใช้ ยิ่งเข้าวัดตั้งแต่วัยรุ่น หนุ่มๆ สาวๆเข้าวัดนี่จะไปไกล เพราะว่าจะได้รับธรรมะมากๆ จะได้เอาไปใช้ชีวิตจะมีปัญหาน้อย จะมีความทุกข์น้อย เพราะเรามียาเยอะ ที่จะช่วยประคับประคองจิตใจไม่ให้เกิดปัญหา พ่อแม่จึงควรจะให้ลูกมาวัดมาฟังธรรม มีปัญหาอะไรก็เอามาวัดให้พระช่วยแนะช่วยสอน อย่าเอาลูกไปหาหมอดู ไปสะเดาะเคราะห์ ไปรดน้ำมนต์ ไปเสี่ยงทาย ไอ้อย่างนั้นมันแก้ปัญหาไม่ได้ เราต้องแก้ตามหลักการของพระพุทธเจ้า ด้วยการมาศึกษาธรรมะให้เข้าใจ นี่มันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพระธรรมนี่เป็นแสงสว่างสำหรับชีวิต พระพุทธเจ้าท่านนิพพานไปแล้วตั้ง ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่ธรรมะไม่ได้สูญหายไปไหน ธรรมะเป็นสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า เราตรัสกับพระอานนท์ไว้ชัดเจน อานนท์เอ๋ย ธรรมะวินัยอันใดที่เราสอนแล้วบอกแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั่นแหละจะเป็นศาสดาแทนเราต่อไป นี่ให้เข้าใจอย่างนี้ ตัวพระธรรมเป็นศาสดาแทนเราทั้งหลาย ได้แทนพระพุทธเจ้า เราเข้าถึงพระพุทธเจ้า ก็เข้าถึงธรรมะ เมื่อเรามีธรรมะอยู่ในตัวเรา เราก็มีพระพุทธเจ้า เรามีศีล เราก็มีพระพุทธเจ้า เรามีสมาธิ เราก็มีพระพุทธเจ้า เรามีปัญญา เราก็มีพระพุทธเจ้า เรามีสติ เราก็มีพระพุทธเจ้า มีสมาธิ มีขันติมีทุกอย่าง ข้อธรรมะไม่ว่าบทใด เราเอามาใช้ก็เรียกว่าพระพุทธเจ้าอยู่กับเรา พระธรรมอยู่กับเรา พระสงฆ์ก็อยู่กับเรา มีครบทุกอย่างในเนื้อในตัวของเรา ผู้นั้นก็ไม่ตกอบาย ไม่ตกไปสู่ที่ต่ำ ไม่เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ เพราะอาศัยพระธรรมเป็นเครื่องค้ำชูจิตใจ ญาติโยมที่เข้าหาธรรมะ ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมะอยู่ ก็เห็นประโยชน์ของธรรมะ เวลาใดความทุกข์หนักๆ เกิดขึ้น เราก็พอปลง พอวาง มันไม่รุนแรง มันผิดกับคนที่ไม่มีธรรมะ ไม่ได้ศึกษาธรรมะ ทุกข์หนัก ทุกข์จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะไม่ได้รู้ธรรมะ แต่พอเข้าถึงธรรมะมันค่อยเบาไปจางไป แสงสว่างน้อยๆ ค่อยเกิดขึ้น เหมือนรุ่งอรุณยามเช้า แตกแสงเงิน แสงทอง ถ้าเราไปยืนชายทะเลหัวหิน ก็จะเห็นแสงเงินแสงทองขึ้น เมื่อเห็นดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากน้ำ ค่อยๆ ขึ้นมาๆ จนเต็มดวง ส่องแสงสาดไปทั่วโลกเท่าที่จะส่องได้ สุดแล้วอยู่ตรงไหน (51.33) เหมือนกัน แสงพระธรรมก็ค่อยส่องเข้าไปในใจของเรา เราก็รู้ว่าชีวิตคืออะไร อะไรเกิดขึ้นในชีวิต มันเกิดจากอะไร แล้วสิ่งนี้แก้ได้ไหม แก้ได้ แก้ได้โดยวิธีใด เข้าใจตลอด เวลาอะไรเกิดขึ้น เราเข้าใจปุ๊ป เห็นตลอดสาย ไม่เห็นเป็นครึ่งๆ กลางๆ ไม่เห็นเป็นนิดหน่อย แต่ส่วนลึกเรามองไม่เห็น เหมือนเห็นก้อนน้ำแข็งในมหาสมุทร เห็นมันโผล่ แต่ข้างใต้มันมหึมานะ เรือไปชนเข้า เรือแตก เพราะก้อนมันใหญ่ เห็นอย่างนั้นมันเป็นไป ไอ้เราเห็นตลอดหมดว่าอะไรเป็นอะไร เห็นทุกข์ แล้วเห็นไหมเหตุให้เกิดทุกข์ด้วย เห็นไปถึงความดับทุกข์ด้วย แล้วเห็นอริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นข้อปฏิบัติให้ขจัดปัญหาชีวิตคือ ความทุกข์ ความเดือดร้อนใจได้ เราเห็นตลอดไปอย่างนั้น ถ้าเห็นตลอดไปอย่างนั้น มันก็ปลอดโปร่งแจ่มใส ไม่มีเมฆ ไม่มีหมอก พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรานั่งทำความเพียรตั้งแต่หัวค่ำในวันเพ็ญ เดือน ๖ ก่อน พ.ศ. ๔๕ ปีทรงกระทำความเพียรอยู่ที่นั่น จนกระทั่งว่าค่อยสว่างขึ้น สว่างขึ้น แสงสว่างเกิดขึ้นในน้ำพระทัยของพระองค์จนรุ่งเช้า
พอรุ่งเช้าดวงอาทิตย์ส่องโลก ธรรมะก็ส่องน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์กลายเป็นไม่ใช่เจ้าชายสิทธัตถะแล้ว เรียกว่าเป็นพุทธะ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้มีความเบิกบานแจ่มใส มีคนเคยไปถามพระองค์ว่า พระองค์เป็นมนุษย์รึ ไม่ใช่ พระองค์เป็นเทวดารึ ไมใช่ พระองค์เป็นยักษ์รึ ไม่ใช่ พระองค์เป็นคนธรรพ์รึ ไม่ใช่ พระองค์เป็นพรหมรึ ไม่ใช่ ไม่ใช่แล้วอย่างนั้น ท่านเป็นอะไร เราเป็นพุทธะคือเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระองค์ไม่ได้เป็นอะไรเพราะสิ่งที่จะให้เป็นมันไม่มีแล้ว กิเลสที่จะให้เป็นมนุษย์มันไม่มี กิเลสที่จะให้เป็นเทวดา มันก็ไม่มี กิเลสที่จะให้เป็นคนธรรพ์ เป็นยักษ์ มันก็ไม่มี กิเลสที่จะให้เป็นพรหม มันก็ไม่มี ไม่มีอะไร มีแต่จิตที่ว่างเปล่าจากกิเลส เป็นพุทธะ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบานเเจ่มใสอย่างแท้จริง พระองค์เป็นอย่างนั้น เป็นพุทธะอย่างแท้จริง พุทธะเกิดในวันเพ็ญเดือน ๖ ที่ใต้ต้นโพธิ์ พุทธคยา ประเทศอินเดีย แล้วต่อจากนั้นพระองค์ก็ทำหน้าที่พุทธะ ทำหน้าที่พุทธะก็คือแจกธรรมะแก่ประชาชนในที่ทั่วไป แจกแก่พระเจ้าแผ่นดิน แก่ข้าราชการ แก่ทหาร แก่ตำรวจ แก่คน พ่อค้า ชาวนา ชาวสวน คนยาก คนจน พระองค์มองคนเท่ากันไม่แตกต่างกัน รู้ว่าเป็นคนผู้รับทุกข์เท่ากัน แจกยาให้เท่ากัน แต่มันอยู่ว่ารับได้เท่าใด คนมีปัญญามากรับได้มาก คนมีปัญญาน้อยก็รับได้น้อย เหมือนกับเราป้อนข้าวเด็ก เราทำคำโตแต่มันใส่ไม่หมด ปากมันเล็ก เด็กมันรับเท่าที่มันจะรับได้ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน พูดออกไปนี่ คนหนึ่งรับได้เท่านั้น คนหนึ่งรับได้ขนาดนั้น เช่นโยมมาฟังธรรมนี่ หลวงพ่อพูดธรรมะให้ฟัง ไม่ใช่ว่ารับได้หมดทุกคน รับเอาได้แต่พอประมาณ ตามพื้นฐานแห่งปัญญาที่ตนมีไว้ในใจ ก็รับได้เท่านั้น ไม่ได้มากมายอะไร แต่รับบ่อยๆ มันก็ค่อยๆ มากขึ้นๆ ความสว่างทางใจก็เกิดมากขึ้น ปัญหาชีวิตก็ค่อยเบาไปบางไป เพราะเราเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริงตลอดเวลา นี่มันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นในวันเช่นนี้ ซึ่งเป็นวันสำคัญยิ่งของโลกนะ ไม่ใช่สำคัญแต่เพียงพวกเรา สำคัญของโลก พระพุทธเจ้าเกิดมาเพื่อโลก เราจัดว่านานๆ พุทธะจะเกิดขึ้นในโลกสักครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชาวโลกทั้งหลาย ในคำบาลีบอกว่า พาหุ ชะนะ หิตายะ พาหุ ชะนะ สุขายะ เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่มหาชน เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่มหาชน ทรงสอนธรรมะให้คนได้เกิดปัญญา เกิดความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายที่เป็นคนเกิดในเมืองไทย อันเป็นเมืองที่มีพุทธศาสนาเป็นหลัก
ถ้าเราไม่รู้จักพระพุทธศาสนาถูกต้อง ไม่ได้นำธรรมะของพระพุทธเจ้าไปใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วเราอยู่ด้วยความมีปัญหา คือความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็นับว่าเสียที เสียทีที่ได้เกิดมา ไม่ได้พบสิ่งประเสริฐ ทั้งๆที่สิ่งนั้นอยู่ใกล้ตัวเรา อยู่ในตัวเรา แต่ว่าเอาสิ่งอื่นมาคลุมหมด จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็นับว่าน่าเสียดาย เสียใจกับชีวิตอย่างนั้น อย่าให้ต้องเสียใจในภายหลัง เราควรจะได้สำนึกว่าตัวเรานี้คือใคร เรามีอะไรเป็นหลักใจ สิ่งประเสริฐที่ควรจำเอาไว้ในใจคืออะไร คือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเราได้รับมาไว้หรือเปล่า เอามาใช้ในชีวิตประจำวันของเราหรือเปล่า ถ้าเรายังไม่ได้ใช้ก็เป็นหมันไป มีเงินไม่ใช้ก็เป็นหมัน มีแหวนไม่ใช้ก็เป็นหมัน มีเพชรนิลจินดาก็เป็นหมันไม่ได้เรื่องอะไร แต่ว่าเงินทองเพชรนิลจินดาเอาไปฝากธนาคารได้ ฝากไว้ดีกว่าเก็บไว้ด้วยซ้ำไป เพราะว่าโจรมันขโมยไม่ได้ แต่เก็บไว้กับเนื้อกับตัวอันตราย แต่ธรรมะนั้น ไม่เป็นไร เอามาประดับที่กายได้ ประดับที่วาจาได้ ประดับที่ใจของเราได้ ใช้ได้ทุกเวลานาทีของชีวิต เพราะธรรมะเป็นอกาลิ คือ ไม่จำกัดเวลา ให้ผลตลอดไป ตอนเช้า สาย บ่าย เย็น ทำเมื่อใดก็ได้ผลเมื่อนั้น พระพุทธเจ้าตรัสกับสุภัททะที่ไปถามปัญหาใกล้จะหมดลมหายใจแล้ว ปัญหามาก พระองค์บอกว่าอย่าถามยาวๆ เวลามันน้อย ตถาคตจะหมดลมแล้ว ฟังดีกว่า แล้วพระองค์พูดให้ฟัง แล้วก็ตรัสสุดท้ายว่า สุภัททะเอ๋ย ตราบใดที่ชาวโลกยังปฏิบัติตนตามอริยมรรคมีองค์ ๘ โลกนี้จะไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ นี่คือคำยืนยันของพระพุทธเจ้า เราอย่าไปเข้าใจว่า เวลานั้นเมื่อชาวโลกยังปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ โลกนี้จะไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ ให้โยมเข้าใจอย่างนี้ แล้วก็ปฏิบัติไปเถิด ค่อยทำ ค่อยไป เพิ่มขึ้นๆ เพิ่มแสงสว่างให้แก่ตัวเองทีละน้อย ทีละน้อย เหมือนหลอดไฟบางประเภท เปิดสวิตช์แล้ว ค่อยสว่างขึ้น สว่างขึ้น สว่างขึ้น มันไม่สว่างปุ๊ปทีเดียว แต่ค่อยสว่างขึ้นๆ ใจเรามันอยู่ในความมืด เราเข้าหาพระธรรม ฟังไป ศึกษาไป ปฏิบัติไป ก็ค่อยสว่างขึ้นๆ จนเราเห็นอะไรชัดเจนแจ่มแจ้งตามสภาพที่เป็นจริง แล้วก็ไม่เข้าไปกอดจับอยู่กับสิ่งนั้นให้เกิดเป็นปัญหา อันนี้เป็นเรื่องที่ควรจะทำความเข้าใจ และควรจะปฏิบัติในวันวิสาขบูชา ดังแสดงมาก็พอสมควรแก่กาลเวลาแล้ว
- ปาฐกถาธรรมเนื่องในวันวิสาขบูชา ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๓