แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาถึงการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา อย่าเดินไปเดินมา นั่งเถิดโยม หาที่นั่ง เดินกันให้ว่อน ถึงเวลานั่งแล้ว ที่ม้าหินเยอะแยะ พวกมาใหม่ พวกที่มาบวชนาคบ้าง อะไรบ้าง วันนี้มากันเยอะแยะ วุ่นวายตั้งแต่เช้า ต้องไปออกโทรทัศน์ กลับมารถติดใหญ่ มาผิดทาง คนรถเผลอเข้างามวงศ์วาน มาถึงโยมมานั่งรออยู่เยอะแยะ มาห้างทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องอะไร มาทำบุญบ้าง มีอะไรต่ออะไรก็ว่าไป รีบร้อนว่าไปตามเรื่องว่าจะไปเทศน์แล้ว ก็เดินกระหืดกระหอบมาพบกับญาติโยมต่อไป
วันนี้ไปพูดทางโทรทัศน์ พูดเรื่องรักษามรดกของไทย วันก่อนก็พูดทีหนึ่งแล้วเรื่องมรดกนี่ แต่ยังไม่จบเรื่อง มรดกมีหลายชั้น มรดกทางวัตถุ แผ่นดิน ทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่ปู่ตาย่ายายหาเอาไว้ให้ เป็นมรดกทางวัตถุ บางคนก็รักษาไว้ไม่ได้ เรียกว่าเกิดมาขาย พ่อแม่หาไว้ให้ก็ขาย ขาย ขายจนหมดเนื้อหมดตัว ไม่มีอะไรจะขาย มีแต่ตัว ขายคนก็ไม่เอาแล้ว เรียกว่าเกิดมาขาย เกิดมาผลาญ ไม่ได้เกิดมาเพิ่มเติมสร้างเสริมให้ดีขึ้น ถ้าพ่อแม่เราทำไว้เท่านี้ และชั้นลูกทำเพิ่มขึ้นไป ชั้นหลาน ชั้นเหลนทำเพิ่มขึ้นไป มันก็ยิ่งใหญ่เจริญงอกงาม ครอบครัวนั้น นามสกุลนั้นมั่นคง แต่ว่าบางคนไม่เช่นนั้น เกิดมาแล้วก็ผลาญเรื่อยไป มันผิดตรงไหนที่ได้ทำอย่างนั้น มันผิดตรงพ่อแม่ ผิดอย่างไร ผิดที่เลี้ยงลูกไม่เป็น เลี้ยงลูกให้สบายเกินไป ให้เป็นคนอ่อนแอไม่ฝึกให้ทำมาหากิน เพราะประมาทคิดว่าเงินทองเยอะแยะกินสามชั่วคนก็ไม่หมด อย่างนั้นประมาทแล้วโยม สามชั่วคนอะไร ชั่วคนเดียวก็จะเกลี้ยงแล้วสมัยนี้ เอาเงินไปตลาดกำไปสักล้าน ซื้อก็ยังไม่พอจะซื้อ ถ้าไปซุปเปอร์มาร์เกต ไอ้นั่นก็ซื้อ ไอ้นี่ก็ซื้อมันก็ไม่พอ ถ้าจ่ายแบบนั้นมันก็ไม่พอ อันนี้ประมาทว่ามีเงินเยอะแยะ ไม่เป็นไรให้มันสบายหน่อย เท่ากับฆ่าลูก (02.20 เสียงไม่ชัดเจน) … บอกว่าพ่อแม่เป็นศัตรูของลูก เป็นไพรีผู้ทำให้ลูกพินาศ คือไม่สอนไม่แนะนำให้รู้จักทำมาหากินก็ไปไม่รอด สกุลใหญ่ ๆ ครอบครัวใหญ่ ๆ ที่เขาตั้งมั่นมาเป็นร้อยปีก็เพราะเขารู้จักสอนลูกให้ทำมาหากิน ไม่ทำให้ลูกสบายแต่ให้ลูกลำบาก ให้รู้จักว่าชีวิตต้องต่อสู้ อะไร ๆ ที่ได้มานั้น ไม่ใช่ได้มาง่าย ๆ มันต้องลงทุนถึงจะได้มา ต้องเหน็ดเหนื่อยถึงจะได้มา เขาก็ให้ลูกทำงานทำการ บางทีเป็นลูกเศรษฐีแต่ให้ไปเป็นเสมียนเขา รับจ้างเขา ให้รู้ว่าเป็นลูกจ้างเขานี่เป็นอย่างไร แล้วก็ทำงานมาโดยลำดับ สมควรแก่เวลากลับบ้านมันก็ทำงานเป็น รู้จักรสชาติของความลำบาก และก็ทำงานเป็นรักษาทรัพย์สมบัติเป็น นั่นพ่อแม่เข้าใจเรื่องลูกในทางอย่างนั้น อันนี้สงสารลูก ไม่อยากให้ลูกลำบากเดือดร้อน ไม่อยากให้ลูกเป็นทุกข์ บางคนพ่อแม่เหนื่อยมากกว่าจะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ พูดว่า เรามันเหนื่อยมามากแล้ว ให้ลูกสบายหน่อย นั่นคือทางเสื่อม การที่ให้ลูกสบายคือทางเสื่อม พอลูกสบายมันก็อ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ทำอะไรก็ไม่ได้เพราะมันเคยสบาย ลำบากก็ไม่ได้ เหมือนลิเกละคร สงสารพระหน่อ พระหน่อยคือพระเอก เอวบางร่างน้อย พอเดินป่านิดหน่อยก็สงสารลำบากอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็แพ้เขาเอาตัวไม่รอดพระหน่อแบบนั้น ลิเกก็ยังเล่นให้เป็นอ่อนแอ ละครไทยสอนคนให้อ่อนแอ ไม่สอนคนให้เข้มแข็ง ไม่มีพระเอกไปเลี้ยงหมู ไปทำไร่ ทำนาค่อยสร้างเนื้อสร้างตัวจนกลายเป็นคนมั่งคั่ง ไม่มีพระเอกแบบนั้น พระเอกถูกหวย พระเอกตกถังข้าวสารได้แม่ยายร่ำรวย มันไปไม่รอดพระเอกแบบนั้น เพราะมันไม่รู้จักตั้งเนื้อตั้งตัว เอาตัวไม่รอด เกิดความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อน
เหมือนเรื่องเขาเล่าเป็นนิทาน เรียกว่า นายดี นายร้าย คิดดี กับคิดร้ายบวชอยู่สำนักเดียวกัน บวชอยู่วัดอรุณ ใกล้แม่น้ำ ทีนี้เวลาจะสึกก็ไปลาอาจารย์ อาจารย์นี่เป็นพวกหมอดู ดูดวง คนหนึ่งดวงดีสึกออกไปแล้วจะร่ำรวย ให้ชื่อว่าทิดดี อีกคนหนึ่งดวงไม่ดี ให้ชื่อว่า ทิดร้าย เอ็งออกไปมันต้องลำบากตรากตรำ ชีวิตตกระกำลำบาก อันนี้พอสึกออกไปแล้ว ทิดดีก็ได้ภรรยาเป็นลูกแม่ค้า อยู่ที่คลองบางลำพู ก็สบาย แม่ยายพ่อตาก็มีลูกสาวคนเดียว ไม่สอนให้ทำมาหากิน สอนให้แต่งเนื้อแต่งตัวกรีดกรายอยู่ทุกวัน อะไร ๆ ก็คนใช้ทำให้ทั้งหมด ได้สามีก็เป็นทิดออกมาจากวัด หากินไม่เป็น อยู่สบาย อยู่สบายก็เฉย ๆ ก็กลุ้มนะคนเรา ต้องหาความสนุกบางอย่าง เลยชวนกันไปเล่นไพ่บ้านนั้นบ้านนี้ เพลิดเพลินกับไพ่ แม่ยายพ่อตาก็ไม่ว่าอะไรเพราะรักลูกนั่นเอง รักลูกไม่ถูกทาง เลยเพลินไปกับการเล่นการพนัน สนุกสนานไม่รู้จักทำมาหากิน จนกระทั่งพ่อตาแม่ยายตาย พ่อตาแม่ยายตายก็ค้าขายไม่เป็น กินของเก่าเล่นไปสนุกไปจนของเก่าหมด เลยตกระกำลำบาก ต้องขายที่ขายบ้านที่อยู่อาศัยแล้วไปอยู่กระต๊อบเล็ก ๆ นั่นคือทิดดี นายดวงดีแต่ตกต่ำ อันนี้ทิดร้ายดวงไม่ดี สึกไปก็ไปทำงาน เป็นลูกจ้างเป็นกรรมกร ทำไปในกรุงเทพฯ ทีนี้ไม่ไหว อยู่กรุงเทพฯไม่มีทางก้าวหน้าเป็นกรรมกรอย่างนี้เรื่อยไป ออกไปจากกรุงเถอะ มาอยู่ชานกรุงมาบางกรวย บางกรวยเป็นที่สวน สวนทุเรียน สวนอะไร ๆ ทีนี้เดินไปเจอสวนแห่งหนึ่ง หญ้าคารกเต็ม เลยถามว่าที่ตรงนี้เป็นของใคร เจ้าของบ้านก็อยู่ตรงนั้น ก็เข้าไปหาเจ้าของบ้านบอกกันตรงไปตรงมาว่า ผมมันคนยากคนจน เพิ่งสึกออกมาจากวัดและทำงานเป็นกรรมกรอยู่ในกรุงนี่ตั้งปีแล้วแต่ไม่เจริญก้าวหน้า เลยคิดจะช่วยตัวเองพึ่งตัวเองให้มันก้าวหน้ากว่านี้ ก็เห็นว่าที่ดินของคุณพ่อคุณแม่มันว่างอยู่ ผมอยากจะมาพัฒนาทำสวน จะคิดค่าเช่าค่าออนอย่างไรก็ไม่เป็นไร แต่ว่าตอนแรกนี่ผมไม่มีให้ เพราะว่าผมยังไม่มีเงิน แต่เมื่อใดทำมาหากิน ปลูกสวนปลูกพืชได้ผลแล้ว จะเอาอะไรก็ได้ผมยินดีให้ เจ้าของสวนก็ใจดี สวนมันรกอยู่เฉย ๆ ไม่เป็นเรื่องอะไร มีคนมาอาสาทำให้มันเกิดประโยชน์ก็เลยให้อยู่ เอาเถอะอยู่ไปเถอะ ค่าเช่าค่าออนไม่ต้องพูดกัน ทำไปเถอะ เราก็สร้างกระต๊อบน้อย ๆ ลงในสวนนั้น แล้วก็ทำงานขุดดิน ปลูกพืช ปลูกผัก ไม่เที่ยวเตร่ ไม่กินเหล้าเมายา ไม่เล่นการพนันขันต่อ ตั้งใจทำงานจริง ๆ ที่ ๆ เคยรกก็เตียนไปหมด เขียวไปหมด ปลูกกล้วยบ้าง ปลูกพืชอย่างอื่นบ้าง ปลูกพืชล้มลุกบ้าง แล้วเอาไปขาย เจ้าของสวนก็นั่งมองดู ไอ้นี่มันเอางานเอาการดีนะ ขยันทำมาหากิน ไม่ประพฤติชั่วเหลวไหล ตั้งแต่มันมาพลิกดินตรงนี้ ดินก็เจริญ พืชก็เจริญ มันเอาไปขายแล้วมันก็ไม่กินเหล้าเมายา ไม่เที่ยวเตร่เฮฮา เขาชมอยู่ในใจ ชมกับใคร ๆ เขาก็เอามาเล่าให้ทิดร้ายฟัง ทิดร้ายรู้ว่าเขาชมก็ยิ่งทำให้ดียิ่งไปกว่านี้อีก คนบางคนชมแล้วมันเหลิง เมาคำชม กินลูกยอหล่นลงไปเลย ไอ้นี่ไม่อย่างนั้นต้องทำให้ดีกว่านั้นอีก
เจ้าของที่ดินนั้นมีหลานสาวอยู่คนหนึ่งชื่อ แม่ส้มลิ้ม ได้รับการฝึกฝนอบรมดีรู้จักจัดข้าวของ จัดบ้านเรือนเรียกว่าเป็นกุลสตรี คำว่ากุลสตรี หมายถึงสตรีที่ได้รับการศึกษาดีแล้ว ได้รับการอบรมบ่มนิสัยเรียกว่ากุลสตรี ก็มองอยู่ว่าอายุก็มากแล้ว หลานสาวคนนี้ยังไม่มีใครมาติดต่อ ก็เห็นว่าทิดร้ายนี่เรียบร้อยดี แม้จะไม่มีทรัพย์สมบัติแต่มีทรัพย์ภายใน คือเป็นคนรักงาน เป็นคนขยันขันแข็ง ทรัพย์ภายในมีค่ากว่าทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายนอกมันหมดได้ แต่ทรัพย์ภายในมันไม่หมดไม่สิ้น คนฉลาดเขาไม่ดูคนภายนอก แต่เขาดูข้างใน ดูว่ามีอะไร มีคุณธรรมขนาดไหน มีความเป็นอยู่อย่างไร เขาดูอย่างนั้น เขาเห็นว่ามันดี ดีก็เลยจัดแจงแต่งงานกับแม่ส้มลิ้ม แต่งงานแล้วเจ้าของสวนเลยยกที่ดินให้เป็นของขวัญ และยังสร้างบ้านให้อยู่สบาย แม่ส้มลิ้มก็เป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี รู้จักจัดการบ้านเรือนทุกสิ่งทุกอย่างเงินทองข้าวของเก็บหอมรอมริบ ทิดร้ายก็ค่อยสบายหน่อย แม้เหนื่อยก็มีแม่บ้านที่ดีก็สบายใจ ทำไปทำไปก็เจริญขึ้น มีฐานะดีขึ้น ก็คิดถึงอาจารย์ เพราะว่าจากอาจารย์มาหลายปีไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนเลย ก็เลยไปเยี่ยมอาจารย์ ก่อนที่ทิดร้ายจะไป ทิดดีไปก่อนแล้ว ทิดดีไปลำบากไปขอให้อาจารย์ช่วย ช่วยสะเดาะเคราะห์สะเดาะโศกสักที แย่เวลานี้ไม่มีบ้านจะอยู่แล้วต้องลอยเรือเท้งเต้ง ตอนนี้มาจอดเรืออยู่หน้าวัด ลอยเรือมานอนอยู่หน้าวัดให้อาจารย์ช่วยสงเคราะห์ดูดวงทีว่าดวงมันเป็นอย่างไร อาจารย์ก็ดูปลอบใจไปตามเรื่อง ต่อมาก็ทิดร้ายมา มีแม่ส้มลิ้มแต่งตัวเรียบร้อย และมีชะลอมผลไม้เอยอะไรเอยเอาไปถวายอาจารย์ ไปถึงพระอาจารย์ก็ลอดแว่นมอง จำไม่ค่อยได้เพราะลูกศิษย์จากไปหลายปี อาจารย์มอง ๆ แล้ว อาจารย์ครับ จำผมไม่ได้หรือ เอ้อ..แกรึ พอได้พูดก็จำเสียงได้ ทิดร้ายหรือ เป็นอย่างไร ร้ายสมชื่อหรือเปล่า ก็เล่าเรื่องให้ฟัง และแนะนำว่านี่แม่บ้านของผม อาจารย์ก็มอง ก็เรียบร้อยดี แล้วก็เล่าเรื่องให้ฟัง อาจารย์ก็ว่า เออ..ดวงของเอ็งมันไม่ดี แต่เอ็งดี ทิดดีดวงดีแต่มันแย่ ตอนนี้มันลอยเรืออยู่ข้างวัดนี่เอง เอ็งลงไปเยี่ยมมันหน่อย เพื่อนกันนี่ แล้วก็ไปเยี่ยมเยียน ถามสารทุกข์สุกดิบกันไปตามเรื่อง และบอกว่าถ้าลำบากนักก็ไปอยู่ที่สวนด้วยกันก็ได้ จะได้ปลูกกระต๊อบอยู่ในสวน อาจารย์ก็นึกในใจว่า “แหม..กูเป็นโหรมาหลายปี ทาย ๆ ใครเขาก็อย่างนี้ ทายเขาว่าไม่ดีแต่มันดี ทายว่าดีแต่ว่าไม่ดี ไอ้ดวงนี้ใช้ไม่ได้ เผาตำราดีกว่า ไม่ดูหมอต่อไป เพราะมันไม่จริงตามดวงว่าเสียแล้ว มันฝืนดวงได้” ทิดร้ายมันฝืนดวง ฝืนดวงด้วยเรื่องการทำงาน ด้วยความรักงาน ความขยัน ความเอาใจใส่ ด้วยการใช้สติปัญญาสร้างงานสร้างการให้เจริญก้าวหน้า ก็เจริญเรียกว่า ชิงดวงไปได้ มันไม่เป็นไปตามดวงแล้วเพราะการกระทำเป็นไปในทางดี แต่ทิดดีดวงดีจริง แต่ไม่เอาไหน เมียก็ไม่เอาไหน เลอะเทอะเลยตกต่ำ อาจารย์เลยเลิกไม่เป็นหมอดูต่อไป ใครมาดูหมอก็บอกข้าเลิกแล้ว เผาตำราแล้ว ลูกศิษย์ข้า 2 คนมันตรงกันข้าม ข้าเลยเลิกดูหมอตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อันนี้เป็นตัวอย่างชีวิตว่าคนที่ลำบากได้ดีมีถมไป แต่คนสบายตกต่ำก็มีถมไปเหมือนกัน ในครอบครัวใหญ่ ถ้าแม่คนใดเลี้ยงลูกให้สบายมักจะช่วยตัวไม่ค่อยได้ ดูแลงานการก็ไม่ได้ แต่คนที่ลำบาก เขารู้สึกตัวว่าเราลำบากคิดก้าวหน้า ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนหาความรู้ใส่ตัว เอาดีให้ได้ด้วยการทำดี ชั่วได้ด้วยการทำชั่วเหมือนกันเป็นเรื่องอย่างนั้น ชีวิตเป็นอย่างนั้น คนเราถ้าหากว่าคิดถึงอนาคตก็ต้องพยายามต้องสร้างอนาคตด้วยการสร้างปัจจุบันให้ดี
พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน อดีตก็เนื่องจากปัจจุบันเหมือนกัน ถ้าเราทำปัจจุบันเรียบร้อย อดีตก็เรียบร้อย อนาคตก็เรียบร้อย ถ้าทำปัจจุบันให้ดี ฉะนั้นเราต้องควบคุมตัวปัจจุบัน และในการปฏิบัติธรรมท่านก็สอนอย่างนั้นเหมือนกัน สอนว่าให้เพ่งพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า อตีตัง นานวาคะเมยยะ อย่าไปคิดถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง อย่าไปกังวลถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ ให้เพ่งพินิจสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าว่ามันคืออะไร มันมาอย่างไร มันไปอย่างไรให้เพ่งอย่างนั้น ความทุกข์ก็จะไม่มี เพราะเราดูสิ่งที่เฉพาะหน้า แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ทีนี้โดยมากเราไม่ค่อยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า มาคิดถึงเรื่องอดีต กังวลใจเป็นทุกข์กับเรื่องอดีต คิดถึงเรื่องอนาคตด้วยความฟุ้งซ่าน ไม่รู้จักวางแผนคิดที่จะจัดงานจัดการ ตั้งเนื้อตั้งตัวหรือทำอะไรให้ถูกต้อง ก็เลยเกิดปัญหายุ่งยากสับสนด้วยประการต่างๆ อันนี้เป็นการผิดหลักการ ถ้าจะให้ถูกหลักการก็ต้องคิดเรื่องเฉพาะหน้า เช่นเรามีความทุกข์ก็ต้องคิดเรื่องความทุกข์ และค้นหาเหตุของความทุกข์ ทุกข์เป็นเรื่องแก้ได้คือแก้ที่ตัวเหตุ เหตุอยู่ที่ไหนก็แก้ที่นั่น เหตุอยู่ที่ตัวเราก็แก้ที่ตัวเรา นี่เพ่งปัญหาเฉพาะหน้า อะไรเกิดขึ้นก็ต้องคิดอย่างนั้น ที่เรานั่งเป็นทุกข์กลุ้มใจ ทุกข์เรื่องเก่าทั้งนั้น เรื่องเก่า ๆ เอามาทุกข์มันผ่านไปตั้งหลายวัน หลายเดือน หลายปีแล้ว อุตส่าห์เอามารื้อฟื้นแล้วนั่งน้ำตาไหลเป็นทุกข์กุล้มใจ พอถามว่ากลุ้มใจเรื่องอะไร ก็ตอบว่าคิดถึงเรื่องเก่าๆ แล้วกลุ้มใจ แบบนี้เรียกว่า “โง่เต็มที” ไม่รู้จะว่าอย่างไร ก็เรื่องมันเรื้อรังไปแล้ว มันเก่าแล้วไปคิดทำไม อะไรคิดแล้วเป็นทุกข์ไปเอามาคิดทำไม ควรคิดเรื่องที่ไม่เป็นทุกข์ เรื่องสบายใจ ปลื้มใจ ถ้าหากว่าเรื่องเก่าเอามาคิดก็คิดด้วยปัญญา ถ้าคิดด้วยปัญญามันไม่ทุกข์เพราะเราเพิ่งพินิจสิ่งนั้นด้วยปัญญา หาเหตุหาผลในเรื่องนั้น ๆ มันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่นี่ไม่ได้ใช้ปัญญาคิดด้วยความเขลา อวิชชาแล้วก็นั่งกลุ้มใจเป็นทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ได้เรื่องอะไร เสื่อมสุขภาพกาย เสื่อมสุขภาพจิต จึงเป็นที่ไม่ถูกต้องในการทำเช่นนั้น สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ทั้งนั้น เป็นมรดกตกทอดมาตามหลักการของพระพุทธศาสนา เราก็ต้องช่วยกันฟื้นสิ่งถูกต้องในธรรมะของพระพุทธเจ้า เพื่อเอามาใช้เป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ใช้เฉพาะตัวไม่พอ ต้องให้คนอื่นช่วยใช้ด้วย เช่นเราเป็นคนในครอบครัว หัวหน้าครอบครัวเป็นพ่อก็ตามเป็นแม่ก็ตาม เราจะต้องอบรมลูกเต้าเหล่าหลานของเราให้เข้าใจหลักการการดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่น หัดลูกให้รู้จักช่วยตัวเอง รู้จักพึ่งตัวเอง หัดลูกให้รู้จักประหยัดอดออม ให้รู้คุณค่าของวัตถุที่มีมาเอามาใช้ อย่าให้ใช้อย่างชนิดที่เรียกว่า ไม่รู้คุณค่า ใช้เสื้อผ้าโดยไม่รู้คุณค่า ใช้สมุดดินสอหนังสือโดยไม่รู้คุณค่า ใช้เครื่องประกอบชีวิตเช่น นาฬิกาอะไรทุกอย่าง ไม่รู้คุณค่า ใช้ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่รู้จักรักษา ไม่รู้จักประคับประคองสิ่งนั้น ของไม่ควรเสียมันก็เสีย เสียแล้วก็ไม่ซ่อมเพราะมีสตางค์ ขอแม่ได้เอาไปซื้อใหม่ ไอ้นั่นก็ทิ้งขว้างไป อย่างนี้ลูกก็สุรุ่ยสุร่าย โตขึ้นก็เป็นคนไม่มีเงินพอใช้ เพราะใช้ไม่เป็นที่ใช้ไม่เป็นเพราะเราไม่ได้ฝึกได้สอนให้เขารู้จักเก็บรู้จักใช้ในปัจจัยที่จะมีที่ได้ แถมพ่อแม่บางคน..เฮ้อ..ช่างมันเถิด ไม่เป็นไรให้มันสะดวกสบาย ไม่อยากให้ลูกเดือดร้อน อย่างนี้คิดผิด ไม่ให้ลูกเดือดร้อน ไม่ให้ลูกเป็นทุกข์น่ะคิดผิด
แต่ว่าเราควรทำให้เขารู้มีปัญญา ไม่เป็นทุกข์ก็มีปัญญานี่พูดให้ฟัง เช่นให้ของชิ้นหนึ่ง ของชิ้นนี้เราให้แก่เด็ก บอกให้เขารู้ว่านี่ราคาเท่าไหร่ ของนี่ซื้อมาเท่าไหร่ ควรใช้อย่างไร ควรรักษาอย่างไร ควรจะทะนุถนอมอย่างไรแล้วคอยหมั่นตรวจสอบสักเดือนหนึ่ง ของที่ให้ใช้เป็นอย่างไร ซื้อหนังสือให้เล่มหนึ่งก็บอกว่าหนังสือนี้ราคาเท่าไหร่ ควรจะรักษาอย่างไรถนอมอย่างไร อย่าเที่ยวเขียนอะไรให้เลอะเทอะในเรื่องไม่จำเป็น รักษาปกรักษามุมให้เรียบร้อย รักษาความสะอาดด้วย สมุดก็เหมือนกัน ไม่ใช้อีลุ่ยฉุยแฉก ขีดเขียนนิดหน่อยฉีกทิ้ง เป็นลูกเศรษฐีมากไปหน่อยแล้วจะลำบาก จะยากจะจนในกาลต่อไปข้างหน้า เราสอนเด็กให้รู้จักรักษาของ รู้จักคุณค่าของสิ่งของที่มีที่ใช้ แม้สิ่งของที่ใช้ในบ้านก็ต้องรู้ว่านี่ราคาเท่าไหร่ ของเก่าขนาดไหน ได้มาของเก่ายุคสุโขทัย ยุคกรุงศรีอยุธยาเป็นของมีค่าหายาก เป็นสมบัติล้ำค่าของชาติของประเทศ ควรจะช่วยกันทะนุถนอมรักษาไว้ เด็กมันไม่รักษา บางทีของเยอะแยะพอพ่อตายลูกขายเกลี้ยงเลย คราวหนึ่งเคยไปที่ข้างวัดบวรนิเวศ ใกล้บ้านก็มี ... (13.14 เสียงไม่ชัดเจน) ก็เข้าไปหลังบ้าน คุณพระ ยศคุณพระ มีของเต็มบ้านพวกของเก่าทั้งนั้นเต็มห้อง ก็ให้ดู อย่างนั้นอย่างนี้ มากมายก่ายกองหลายเรื่องหลายอย่างก็ดู คุณพระมีมากมายเช่นนี้ พอคุณพระตาย ลูกมันขายเกลี้ยงเลย ผมยังไม่ทันตายมันก็ลักไปขายบ้างแล้ว ของมีราคาเอาไปขายเจ๊กหมดเลย ไม่ใช่ของเล็กน้อย ราคาเป็นล้าน ๆ เพราะว่าของมาก ลูกไม่รู้จักคุณค่าเห็นว่าของไม่ได้ใช้ มันพ้นสมัย ไม่รู้ว่าของนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ มีคุณค่าทางศิลปะ เขาไม่รู้ ไม่รู้คุณค่าเลยขาย ฝรั่งเลยซื้อ ซื้อแล้วไปไว้บ้านฝรั่งต่อไป รักษาดูแลเป็นของแพงในต่างประเทศ ซื้อที่นี่มันแพง เมืองไทยยังถูก ฝรั่งว่าถูกไม่กี่เหรียญ เมื่อเอาไปที่โน่นมันแพงกว่านั้นอีก แต่เขาก็ไม่ขายพยายามทำรักษาทำพิพิธภัณฑ์ภายในบ้าน เพื่อให้คนไปดูไปชม ไม่เก็บสตางค์เพราะเป็นเศรษฐีที่เมือง (...) Maryland มีฝรั่งคนหนึ่งชื่อ ...... (14.17 เสียงไม่ชัดเจน) มาเมืองไทยทุกปีหน้าร้อน หน้าหนาวเมืองนั้นร้อนบ้านเรา แกมาทุกปีมาแล้วก็เที่ยวไป เชียงราย เชียงแสนไปไหนต่อไหน ไปดูไปศึกษา แกเป็นพุทธบริษัททางโบราณคดี คือนับถือพุทธศาสนาทางวัตถุทางพระ แกศึกษาเรื่องนั้น แกก็ซื้อไปขนไป ที่บ้านแกวางเต็มเลย วางเป็นระเบียบเรียบร้อย เดี๋ยวนี้อายุ 80 กว่าแล้ว เคยนิมนต์พระที่วอชิงตันไปฉันอาหาร แล้วบอกว่าผมแก่เต็มทีแล้ว ของนี้ไม่รู้ทำอย่างไร เห็นจะต้องยกให้พิพิธภัณฑ์ของชาติต่อไปสะสมไว้ เราไปดูแล้วตกใจ ฝรั่งเอามาเยอะแยะ ไปเก็บมาจากเมืองโน้นที่ไหน ที่ไหน คราวหนึ่งแกไปที่เมืองน่าน คราวนี้ที่ฐานเจดีย์มีพระยืนแบบนี้ (ไม่เห็นภาพ) แกบอกว่านี่ไม่ใช่พระปูน คนแถวนี้บอกว่าเป็นปูนอยู่อย่างนี้มานานแล้ว แกบอกว่าพิสูจน์หรือไม่ว่าไม่ใช่พระปูน พิสูจน์อย่างไร ให้เอาตะปูมาตรวจ เอาตะปูมาตัวหนึ่งมาตอกเข้าที่ข้างล่าง ไม่ใช่ที่แขน ตอกไม่หยุด ตะปูเข้านิดเดียว คราวนี้หยุดแล้ว เพราะไม่ใช่ปูน ตะปูหยุดแสดงว่าข้างในเป็นของแข็ง ถามสมภารว่า เคาะดูได้หรือไม่ สมภารบอกว่า ได้ กะเทาะออกเป็นพระสำริด พระทองพ่นทองสวย ยืนขนาดตัวเท่าคน สวยมาก จึงต้องยกจากเจดีย์ไปไว้บนกุฎิ เอาไปวางไว้เฉย ๆ ไม่รักษาคุ้มครองเท่าใด คุณโยมสง่า วรรณดิษฐ์ ไปเที่ยว รู้ว่าวัดนั้นมีพระสวยงามก็เลยแวะไปนมัสการ เมื่อนมัสการแล้วก็บอกท่านสมภาร ท่านพระองค์นี้ราคาตั้ง 500000 เงินสมัยนั้นตี 500,000 แกมาเล่าให้อาตมาฟัง ที่ตีราคาเพื่อให้พระตกใจ จะได้รักษาคุ้มครองไม่ให้คนขโมยลักไป ไม่อย่างนั้นคนเอาปิ๊คอัพไปจอดหน้ากุฏิ เอาคนหรือสองคนสามคนไปแบกหน้าตาเฉย เอาไปได้ง่ายจะตาย เลยบอกนี่ราคา 500,000 ถ้าเอาไปขายในตลาด พระตกใจว่าราคามากเลยทำกั้นห้อง ติดลูกกรงเหล็ก ข้างบนข้างล่างจับพระขังกรง เดี๋ยวนี้หลวงพ่อองค์นั้นอยู่ในกรง
วันก่อนอาตมาไปเทศน์เมืองน่าน ถามว่าพระองค์นั้นยังอยู่หรือไม่ ยังอยู่เรียบร้อย กุญแจแข็งแรง พระนอนเฝ้ากลางคืน แต่ถ้าขโมยจะเอาจริง ๆ มันก็เอาได้ หาอุบายนิมนต์พระไปฉันเพลหมดวัดก็ยังได้ แล้วข้างหลังก็ยกสบาย เคยมีสุโขทัย พระงามมาก 2-3 องค์ มันนิมนต์ไปฉันเพลททั้งวัดเลี้ยงใหญ่เลย พระกลับมาหลวงพ่อไปไหนหมดแล้ว ขโมยยกไปหมดแล้ว ทีนี้บ้านที่นิมนต์พระไปฉันก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ เอ..ขโมยรู้อย่างไรว่านิมนต์ฉัน ความจริงคือวางแผนกัน ให้เจ้าบ้านนั้นทำบุญได้บาป ก็นิมนต์พระไปฉันเพื่อให้คนเข้าไปขโมยพระ ก็ได้เงินค่าจ้างที่เอาไปเลี้ยงพระก็ยังไม่หมดเหลืออยู่บ้าง แต่ก็ไปไม่รอดเพราะว่าได้มาไม่ดีอย่างนี้เป็นตัวอย่าง ของที่รักษาไม่ดีก็เสียหาย เดี๋ยวนี้ไปวัดไหนเจอของดี ๆ แล้วบอก นี่อย่าวางไว้อย่างนี้คนจะแบกไปเสีย เอาไปไว้บนกุฎิ เดี๋ยวนี้หลายวัดพระงาม ๆ คนไม่ได้ไหว้ เพราะไปอยู่ในห้องกุฎิสมภาร สมภารนอนเฝ้าไม่ให้ใครเห็น เพราะขโมยมันชุมลักไปได้ง่าย ที่ระนองมีพระงามมาหลายองค์ เจ้าคุณฯ พระยาวิชิตวงวุฒิไกร เป็นเทศาภิบาล ท่านไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในท้องถิ่นนั้น เพราะว่าคนแถวนั้นเป็นคนเชื้อสายจีนโดยมากและห่างไกลกรุงเทพฯ เขาไม่ค่อยรู้เรื่องกรุงเทพฯ เลย ลูกเต้าเหล่าหลานไปเรียนปีนัง แล้วดีบุกก็ไปขายปีนัง ฝากเงินที่โน่นธนาคารโน่น ซื้อบ้านใหม่ ๆ สวย ๆ แถวคาราไวรูท ซึ่งเป็นบ้านชั้นดีให้ลูกไว้เรียนหนังสือ ไม่รู้จักกรุงเทพฯ ไม่มีความสัมพันธ์กับกรุงเทพฯ เลย อันนี้เจ้าคุณฯ ไป โอ้โฮ มันไม่ใช่เมืองไทย สถานการณ์ไม่เป็นไทยสักอย่างหนึ่ง ความรู้สึกความเป็นไทยก็ไม่มี แล้วถ้าถามเป็นชาติอะไร เขาก็ไม่ใช่ไทย จีนก็ไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นเป็นอะไร เป็นบาบ๋า พวกเขาเป็นคนบาบ๋า บาบายาย่า ยาย่าคือผู้หญิง ผู้ชายเรียกว่าพวกบาบ๋า ไม่ใช่ไทย ถ้าใครด่าจีนก็ไม่โกรธ ด่าไทยก็ไม่โกรธ ถ้าด่าบาบ๋าเขาโกรธ ไปสร้างชาตินิยมขึ้นมาใหม่ แล้วก็มีอะไรเป็นของเขา ท่านก็พยายามพัฒนา เอาคนเข้าวัดก่อน สร้างวัดด้วยกัน สร้างชมรมหมู่บ้าน พ่อบ้านแม่บ้าน พ่อเฒ่าแม่เฒ่า คนแก่ ๆ เอามาเป็นแม่เฒ่า แม่เฒ่ามีหลาย ๆ คน เป็นประธานหมู่บ้าน ดูแลชาวบ้านมีงานมีการ เชิญแม่เฒ่าไปทำบุญสุนทาน แม่เฒ่าก็ป่าวร้องชักนำญาติโยมมาและส่งเสริมพระ เอามากรุงเทพฯ เอาพระมา 3 องค์ให้มาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ มาอยู่วัดอนงคาราม เอามากราบฝากพระมหาสมณะเจ้า เอาไปไว้วัดอนงค์ฯ ฝากสมภารให้ดูแลให้ดีว่า นี่พระของฉันนะ ต้องดูแลให้ดี ให้เล่าเรียนและพระเหล่านั้นก็ได้กลับบ้าน ไปเป็นเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัดพัฒนาต่อไป เดี๋ยวนี้ทั้ง 3 รูปนั้นมรณภาพไปหมดแล้ว แล้วก็ไปพบเณรน้อยองค์หนึ่ง เณรน้อยตัวขาวสะอาดอยู่ที่ตะกั่วป่า เณรน้อยนั่งสอนหนังสือเด็กอยู่ ท่านไปเห็นชอบใจมาก เณรสอนหนังสือเด็ก เลยไปคุยด้วย ถามว่าเณรอยากจะไปกรุงเทพฯ หรือไม่ พวกนั้นไม่รู้ว่ากรุงเทพฯ ที่ไหน กรุงเทพฯ อะไร อาตมาไม่รู้กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง เป็นที่อยู่ของพระเจ้าแผ่นดิน พระสังฆราชก็อยู่กรุงเทพฯ สามเณรอยากไปกรุงเทพหรือไม่ สามเณรตอบ ต้องไปถามยายก่อน เณรองค์นี้ดี ต้องไปถามยายก่อน เคารพพระคุณยาย ทำอะไรต้องไปถามยายก่อน นี่เป็นลักษณะดีอย่างหนึ่ง คนเรานี้จะชวนไปไหนต้องไปถามคุณยาย ถามคุณย่า ถามคุณพ่อ ถามคุณแม่ เด็กอย่างนี้ไม่เสียคน แต่ถ้าชวนไปไหนไปเลย ไม่บอกกล่าวบอกยาย บอกผู้ปกครอง ไปเลย มันขาดความเคารพ ความเป็นระเบียบ แต่เณรน้อยดีโดยนิสัย ต้องไปบอกยาย หากยายให้ไป ก็ไปได้ เพราะแกอยู่กับยาย เอ้อ..ยายอยู่ไหน เณรตอบ ... อยู่ข้างไหน เอ้า พาโยมไปพบยายหน่อย เณรพาไปพบยาย ไปถึงก็รายงานตัวว่า “ผมนี่เป็นเทศาฯ” คุณยายตกใจ เทศาฯ เข้าบ้าน รีบลงมาจากเก้าอี้ นั่งกับพื้นเลย เทศาฯ ใหญ่แล้วถามว่า ท่านมีธุระอะไร เทศาฯ ตอบไม่มีอะไรหรอก เห็นหลานของยายสอนหนังสือเด็กแล้วชอบใจ อยากเอาไปกรุงเทพฯ ให้ไปเรียนหนังสือ จะได้มาช่วยกิจการทางนี้ต่อไป ยายตอบ เอาไปเถิด เอาไปเถิด ยายอนุญาตเลยพามากรุงเทพฯ เป็นเณรน้อยก็เรียนหนังสือพระได้ 1 ปี พอออกพรรษาเณรน้อยไม่อยากบวชแล้ว ไปหาคุณโยมเจ้าคุณฯ บอกว่าอาตมาไม่อยากเรียนหนังสือพระ อยากจะเรียนนายร้อย อยากเข้าโรงเรียนนายร้อย สมัยนั้นโรงเรียนนายร้อยมีชั้นประถม เจ้าคุณฯ ก็ไม่ว่าอะไร ก็ให้เรียนนายร้อย ให้ไปเรียนพร้อมกับลูกชาย ลูกชายเจ้าคุณฯ หม่อมหลวง สุทัศน์ แต่ว่าเจ้านี่เรียนเก่งกว่า ความรู้ดีกว่า อายุอาวุโสกว่าลูกชาย ก็เลยเหมือนเป็นพี่อุดหนุนจุนเจือ สำเร็จโรงเรียนนายร้อยออกไปจนได้เป็นนายพลโท ชื่อพลโทฉลอง อุชุโกมล นามสกุลก็ดี อุชุโกมล หมายถึง ใจตรง อยู่กรมแผนที่ อาตมาไปเทศน์กรมแผนที่ได้เจอกัน ก็คุยกันผมเป็นคนปักษ์ใต้เหมือนกัน แต่ว่าไม่ค่อยได้ไป เพราะหมดแล้วเพราะคุณยายก็ตายไปแล้ว ญาติพี่น้องไม่มีก็เลยไม่ได้ไป ก็ถามว่าเจ้าคุณฯ มาอย่างไร ไปอย่างไรถึงได้มาถึงนี่ได้ ท่านก็เล่าประวัติให้ฟัง เวลาตาย พิมพ์หนังสือแจกงานศพ พิมพ์เรื่อง “พลเมืองดี” สำหรับเด็กเรียน ของเจ้าพระยาสมเด็จสุเรนทราธิบดี.. (19.54 ราชทินนามได้ยินไม่ชัด) หม่องหลวงเปีย มาลากุล เขียนดี เรื่องนายมั่น นายคง มั่นคง ศรีเมือง มีบ้านหลังหนึ่งอยู่ริมคลองสามเสน เจ้าของบ้านชื่อนายมั่น นามสกุลรักธรรม โยมเคยอ่านหรือไม่สมัยนั้น หนังสือพลเมืองดี แกไปขุดเอามาพิมพ์แจกงานศพ และตั้งชื่อว่า “พลเมืองดีตะกั่วป่า” ลูกชาย 3 คนเป็นนายทหารบกทหารอากาศ ดี ๆ ลูกเรียบร้อย เพราะพ่อดีแม่ดี เอามาเล่าให้ฟังว่าเจ้าคุณวิชิตนั้น ท่านเป็นคนที่รักษามรดกไทย พยายามเอาระบบไทยเข้าไปให้คนรู้จักกราบพระ ไหว้พระนั่งพับเพียบเรียบร้อย ทำอะไรทุกอย่างให้เป็นไทย เมื่อก่อนเป็นปีนังหมดเลย อะไร ๆ ก็เป็นปีนังไปหมด ดูมันเลอะเทอะเต็มที สมัยนั้นภูเก็ตกับกรุงเทพฯ มันไกล มาลำบาก ต้องมาเรือไฟเล็กมาขึ้นกันตัง แล้วก็นั่งรถไฟ ก็ไม่อยากมาไปปีนังดีกว่า คืนเดียวเหมือนกัน ลงเรือไปปีนังคืนเดียวกัน แต่มากรุงเทพฯ มาขึ้นรถไฟไม่มีรถสมัยนั้น ต้องนอนค้างอ้างแรมกว่าจะถึงกรุงเทพฯก็ลำบาก ก็เลยไปทานโน้นหมด แม้ข้าวสารก็ไม่กินข้าวสารไทย กินข้าวสารพม่า พม่ามาขายคล่องกว่า มาจากทวาย มะริด บรรทุกเรือมาขายที่ระนอง ตะกั่วป่า ภูเก็ต แถวนั้นกินข้าวสารเมืองพม่า กินไม่อร่อยเท่าไหร่ข้าวสารพม่า แต่คนไทยไม่มีข้าวสารไทยจะกิน ก็เลยกินไปเช่นนั้น
ต่อมาเรียกว่าดีขึ้น มีการตัดถนนหนทางให้ไปได้ ระนองเป็นต้นไป ต่อมาแยกจากชุมพร กรมหลวงเพชรบุรีตัดถนนไปชุมพร ก็เหมือนกับกรมหลวงกำแพงเพชรอัครโยธิน ท่านเป็นเสนาบดีตัดถนนไประนอง ต่อมาจากระนอง สินค้าก็ลงไปภูเก็ตได้ ต่อมาตัดถนนไปพังงา ไปภูเก็ต คนภูเก็ตรู้จักกรุงเทพฯ เวลานี้คนภูเก็ตมาซื้อบ้านบางกะปิทั้งนั้นให้ลูกมาเรียนหนังสือ มีเงินก็ฝากธนาคารไทย เพราะธนาคารไทยไปตั้ง ความนิยมชมชอบก็เป็นไทยขึ้น อะไรต่ออะไรก็เป็นไทย ชื่อก็เป็นไทย เมื่อก่อนชื่อ นายเซียะเล้ง เซียเม้า เซียะอะไรก็ไม่รู้ อ่านยากแทบแย่ไปเลย เดี๋ยวนี้เป็นชื่อไทยหมดแล้ว เถ้าแก่นายเหมืองเป็นไทยหมด มีความใกล้ชิดและเอาวัฒนธรรมไปให้ วัฒนธรรมนี่สำคัญ อยู่ใกล้สิ่งใดก็เป็นสิ่งนั้น อยู่ใกล้จีนก็เป็นจีน อยู่ใกล้แขกก็เป็นแขก อยู่ใกล้ฝรั่งก็เป็นฝรั่ง ไม่เป็นตัวเอง ทีนี้เราคนไทยความจริงมีอะไรเป็นสมบัติของตัว กริยามารยาทเรียบร้อย การไหว้ การกราบ การนั่งพับเพียบเรียบร้อย คนชาติอื่นยังไม่เรียบร้อย คนลังกาเหมือนเรา แต่นั่งไม่สวย นั่งไม่เป็น นั่งขัดสมาธิ ก็ไม่เข้าท่า พระก็นั่งไม่สวยเหมือนพระไทย นั่งพับเพียบเรียบร้อย ผู้หญิงนั่งฟังธรรม หันหน้าไปหาพระแต่ยืดเท้าออกไป นั่งยืดเท้าแล้วพนมมือ บางทีมานั่งชันเข่าเอาข้อศอกวางบนเข่าและพนมมือไว้ เห็นแล้วเก้งก้างพิกล เมื่อเห็นใหม่ ๆ หูย ...... ทำไมนั่งอย่างนั้น ก็นั่งไม่เป็น ไม่เรียบร้อย พม่าก็ยังไม่เหมือนไทย แต่ว่าใกล้ไทยก็เลยเอาไปใช้บ้าง คนไทยนั่งพับเพียบเรียบร้อย กราบเรียบร้อย ไหว้เรียบร้อย ไหว้อย่างอ่อนน้อม เดี๋ยวนี้ชักจะไหว้เก้งก้าง หวัดดีครับ แต่ก่อนนี้เขา “สวัสดี” แล้วก็ก้ม เดี๋ยวนี้ “หวัดดีคับ” (เสียงหัวเราะเบาๆ จากทั่วห้อง) เด็กสมัยนี้มันเลอะแล้ว มันไม่เหมือนเดิม ไม่สุภาพเรียบร้อย เขาเรียกกระทำอัญชลี อัญชลีคือยกมือขึ้นเสมอหน้าอก แล้วยกขึ้นจรดหน้าผาก จรดไรผมแล้วก็ก้ม ไหว้แบบอ่อนน้อม เหมือนญี่ปุ่นคำนับ ญี่ปุ่นคำนับอ่อนที่สุด ฝ่ายนี้คำนับ ฝ่ายโน้นก็คำนับ พอลุกขึ้นก็ยังคำนับต่อไป เจอหลายทีก็คำนับหลายที วัฒนธรรมของเขาอย่างนั้น ญี่ปุ่นนี่ก็นั่งเรียบร้อย นั่งพับขานั่งทนจริง ๆ ผู้หญิงผู้ชายก็นั่งพับ นั่งได้ทน แต่เดินไม่สวย เพราะนั่งพับขาบ่อย ๆ สุภาพสตรีญี่ปุ่นเดินเต๊าะแต๊ะ เต๊าะแต๊ะ ขออภัยเหมือนกับเป็ดอย่างนั้น เพราะนั่งอย่างนั้นบ่อย ๆ ไม่สวย แต่เดี๋ยวนี้ญี่ปุ่นเลียนแบบฝรั่ง เป็นฝรั่งแล้ว คราวหนึ่งพบผู้หญิงญี่ปุ่นมาพักที่วัดไทย มานั่งคุยแล้วนั่งไขว่ห้างคุยกับพระ หลวงพ่อเลยบอกว่า เธอนี่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เธอตอบว่ารู้ตัว เลยรีบนั่งเรียบร้อย การที่บอกว่าเกิดหลังสงครามโลก หมายความว่าฝรั่งเข้ามาแล้ว เกิดแล้วไม่เป็นญี่ปุ่นแล้ว มานั่งไขว่ห้างคุยกับนักบวชในศาสนาไม่เคารพ เธอก็นั่งเรียบร้อยทันที รู้ตัวทันทีพอพูดคำนั้นก็รู้สึก คิดได้ว่าไม่ถูก
ระบบญี่ปุ่นไม่ใช่อย่างนั้น ญี่ปุ่นเรียบร้อยนั่งแล้วก็ก้ม สุภาพที่สุดเลยคนญี่ปุ่นแต่แข็งเหมือนสิงโต เรียกว่า เชื่องเหมือนลูกแกะ แต่แข็งและกล้าหาญเหมือนสิงโต รบรบแหลก แต่พอแพ้ก็เรียบร้อยจริง วัฒนธรรมของเขา เพราะพื้นฐานทางจิตใจมั่นคงในระเบียบประเพณี คนญี่ปุ่นจึงกลับตัวได้ไว ฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ไวจนฝรั่งยกนิ้วให้ว่าญี่ปุ่นเก่งจริง ๆ มันเก่งเพราะญี่ปุ่นมีลักษณะรักษาของตัว ชาตินิยมพอสมควร แรงทีเดียว ไม่ใช่พอสมควร แรงมาก ชอบใช้ของญี่ปุ่น พูดภาษาญี่ปุ่น ไปไหนก็ต้องล่ามญี่ปุ่น คนอื่นพูดญี่ปุ่นไม่เข้าใจต้องใช้ล่าม พวกนำทางก็เป็นคนญี่ปุ่น พักโรงแรมญี่ปุ่นอีก กินอาหารญี่ปุ่นอีก เขาเอาแต่ของญี่ปุ่นมาใช้ แม้มาช่วยประเทศไทยช่วยสร้างอะไร ๆ ตะปูตัวหนึ่งก็เอามาจากญี่ปุ่น เหล็กลวดญี่ปุ่น ของเมืองไทยมีแต่หิน ปูน ทรายเท่านั้นเอง นอกนั้นของญี่ปุ่นทั้งนั้น และถ้าเสียลงก็ซื้อของญี่ปุ่น เหมือนทีวีช่อง ๑๑ เคยออกรายการว่า ดูแข็งแรงดี ญี่ปุ่นสร้างให้ครับหลวงพ่อ แล้วหากของเสียจะซื้อเยอรมันไม่ได้ ต้องซื้อหลอดของญี่ปุ่น ซื้อ (24.09 เสียงไม่ชัดเจน) ของญี่ปุ่น อะไร อะไรในนี้ถ้าเสียต้องญี่ปุ่นเท่านั้น เขามัดไว้แล้ว เขาลงทุนแต่เอาคืน ช่วยเรา ๑๐๐ ล้าน แต่ดอกเท่าใดนี่ เพราะอะไร ๆ เสียต้องของญี่ปุ่นหมด เอามาหมดเลย แม้แต่โถส้วมก็เอาของญี่ปุ่น ไม่ใช้ของไทย ญี่ปุ่นนิยมอย่างนั้น ไปอยู่ไหนเป็นกลุ่มเป็นก้อน รักษาวัฒนธรรมประเพณีของเก่า คนไทยเรานี้เป็นประเภทวัฒนธรรมอ่อน เขาเรียกว่าไม่แข็งเท่าใด พอดี ๆ ความจริงก็ดีเหมือนกัน แข็งหักง่าย แต่อ่อนนี่ไม่หัก อ่อนไปได้ ลู่ไปได้ ลักษณะคนไทยเราเป็นอย่างนั้นลู่ตามสายลม ลมมาก็ลู่ไป แต่ถ้าลมแรงไปก็ลู่ไม่ไหวเหมือนกัน พังไปเหมือนกัน พายุเกย์มา มะพร้าวลู่ไม่ไหว พังไปเลย พังพินาศไป
แต่ไทยเราเมื่อกระทบกระเทือนระหว่างชาติเราลู่ตาม เอาอกเอาใจพูดจาดี ๆ ค่อยพูดค่อยจากัน พอมีศึกไทยไม่เป็นไร เพราะลักษณะนิสัยอย่างนั้น อันนี้ควรจะขอบคุณบุญคุณของพระเจ้าอยู่หัวทั้งหลายของเมืองไทย โดยเฉพาะพระเจ้าแผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นยุคที่อันตราย บ้านเมืองล่อแหลมต่ออันตรายมาก แต่ท่านก็สู้พายุหนักมาได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะสมัยฝรั่งมาหาเมืองขึ้นทางตะวันออก ได้อินเดียแล้ว ได้ลังกาแล้ว รุกมาหาพม่าและจะมาไทย อังกฤษมาทางนี้ ส่วนฝรั่งเศสเข้ามาด้านตะวันออก เอาเขมรเอาญวนไป อังกฤษเอามาเลเซียไป ๒ ชาตินี้แข่งกัน เหมือนสุนัขจิ้งจอก ๒ ตัวไล่เนื้อตัวงาม ใครก็ก่อนก็เอาไป อังกฤษได้ก่อนก็เอาไป ฝรั่งเศสมาทีหลังก็เอาไป เมืองไทยเกือบจะถูกแบ่งไปแล้ว ๒ ตัวจะแบ่งกันคนละซีก เอาแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเส้นแบ่ง แต่ว่าด้วยความฉลาดปราดเปรื่องของในหลวงรัชกาลที่ ๕ ถ้าพูดไปแล้ว ตั้งฐานมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินเหมาะแก่เหตุการณ์ เหมาะแก่สมัยชาติบ้านเมืองที่ต้องการคนมีความรู้ มีความฉลาด มีความสุขุมนุ่มนวลรอบคอบ ท่านได้มีโอกาสได้เข้าไปอยู่วัดไปบวช บวชเป็น ๒๗ พรรษา เรียนภาษาบาลี เป็นนักปราชญ์ทางภาษาบาลี สามารถแต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอนร้อยแก้วได้เรียบร้อย และก็ไม่ได้เรียนแต่ภาษาบาลี เรียนภาษาอังกฤษ ท่านคิดก้าวหน้าหูตาทันสมัย เอาหมออเมกันมาสอนที่วัดบวรนิเวศ ท่านอยู่วัดบวรนิเวศ ท่านแอบเรียน เรียนภาษาจนเก่งสามารถเขียนจดหมายโต้ตอบกับควีน ชื่อควีนวิคตอเรีย ใหญ่โตอำนาจมาก เขียนหนังสือไปด้วยลายพระหัตถ์ ตัวอย่างมีเขียนสวย ใช้ถ้อยคำสำนวนน่าฟังแบบภาษาไทยชั้นสุภาพแต่เป็นภาษาอังกฤษอย่างเรียบร้อยติดต่อกันได้ ฝรั่งมุ่งมาเอาไทยเหมือนกัน แต่ว่าในหลวงรัชกาลที่ ๔ ท่านตั้งฐานไว้ รัชกาลที่ ๓ รู้สึกสำนึกพระองค์เหมือนกัน เวลาท่านใกล้สวรรคตท่านว่า “การป่วยของฉันครั้งนี้หนักเต็มทน เกินวิสัยของหมอที่จะรักษาแล้ว ไม่นานเท่าใดฉันก็จะต้องลาท่านทั้งหลายไป บ้านเมืองของเรานั้นศึกใกล้ไม่มีแล้ว แต่มีศึกไกลระวังเนื้อระวังตัวอย่าให้เสียเปรียบเขาเป็นอันขาด” นี่คือคำของ ร ๓ พูดในเวลาประชวรหนักใกล้จะสวรรคต และรัชกาลที่ ๓ นี่ใจกว้าง คือไม่เห็นลูกหลานของพระองค์ แม้พระองค์จะมีพระโอรสหลายพระองค์แต่ไม่ให้ยุ่งในราชสมบัติ บอกว่า “ราชสมบัติพวกท่านทั้งหลายพิจารณากันให้ดี ใครที่จะมีความรู้ความสามารถพาประเทศชาติไปรอด จงมอบให้ท่านผู้นั้นเสียเถิด” ท่านเห็นแล้วว่ารัชกาลที่ ๔ ควรจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เวลานั้นท่านเป็นพระ จะถวายให้ก็ไม่ดี จึงบอกให้ท่านทั้งหลายพิจารณากันเองจะให้ใครเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไปพาบ้านพาเมืองรอด แล้วในสมัยนั้นการประชุมพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ เสนาบดีผู้ใหญ่ พระก็มาประชุมด้วย พระวัดโพธิ์ฯ พระมหาสมณะเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นนักปราชญ์ ลูกรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๓ ๔ ก็เป็นหลาน เป็นเหลนเอามาประชุมด้วย พระหลายองค์มาประชุมรวมกันพิจารณา ลงมติเอกฉันท์ว่าต้องถวายแก่เจ้าฟ้ามงกุฎ เวลานั้นเจ้าฟ้ามงกุฎยังบวชอยู่ แต่ซุบซิบกันว่าต้องถวาย พอรัชกาลที่ ๓ สวรรคต ก็ไปกราบทูลว่าถึงเวลาแล้ว ที่พระองค์จะต้องเสด็จออกจากเพศบรรพชิตเพื่อไปเป็นพระเจ้าแผ่นดิน รักษาประเทศชาติต่อไป ก็ไม่มีการขัดข้อง ท่านเตรียมพระองค์พร้อมที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เรียนภาษาต่างประเทศ ภาษาอังกฤษ ภาษาบาลี ภาษาละติน เรียนพร้อมศึกษาเรื่องของโลกของสังคม คบหาสมาคมกับฝรั่งแต่ไม่ให้ฝรั่งจูงจมูกท่าน ท่านฉลาด พอท่านครองเมืองก็ปูพื้นฐานไว้เรียบร้อย คบหาสมาคมกับชาวต่างประเทศไม่เสียเปรียบใคร แล้วก็รัชกาลที่ ๕ เสวยราชสมบัติก็ทำต่ออย่างพระบิดาต่อไป บ้านเมืองจึงเรียบร้อยก้าวหน้าเป็นไปด้วยดี
คือคนสมัยก่อนนี้เค้าคิดอะไรทำอะไร เขาคิดถึงอนาคตของประเทศชาติ ไม่ได้คิดเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัวเป็นผลพลอยได้ เรื่องส่วนรวมคือเรื่องประเทศชาติเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราไปอ่านดูคำแถลงการณ์ คำปรารภท่านทำอะไรเพื่อชาติเพื่อประเทศทั้งนั้น ไม่ได้ทำเพื่อพระองค์ท่าน แม้จะส่งลูกไปเรียนหนังสือ ท่านก็ไม่ใช้ทรัพย์ของราชการ แต่ใช้ทรัพย์ส่วนพระองค์บอกว่า “พ่อส่งลูกไปเรียน ถ้าเอาทรัพย์สมบัติของราชการไปใช้ ถ้าเรียนไม่สำเร็จมันก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นใช้ทรัพย์ของพ่อ ต้องเรียนด้วยความตั้งใจ ประหยัด อย่าถือว่าเป็นลูกของพระเจ้าแผ่นดิน อย่าไปอวดใคร ๆ ว่าเป็นเจ้าฟ้าชาย ของมันแพง พอไปร้านไหนรู้ว่าเจ้าฟ้ามาแล้ว เขาก็ขึ้นราคา เขาให้เกียรติต้อนรับและขายของแพง อย่าไปอยู่อย่างลูกเจ้าลูกนาย แต่ให้ไปอยู่อย่างคนธรรมดา ประหยัดการใช้จ่าย และต้องรายงานให้พ่อทราบทุกเดือนให้เขียนจดหมายถึงพ่อ ๒ ฉบับ ภาษาไทยฉบับหนึ่ง ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่ง ข้อความตรงกัน” พ่อกับลูกสั่งกันถึงขนาดนั้น กวดขันลูกเพื่อที่จะไม่ให้ลืมภาษาไทย ลืมขนบธรรมเนียมไทย และให้เขียนจดหมายถึงพ่อ ภาษาอังกฤษด้วย ภาษาไทยด้วย ถ้าหากว่าเขียนไม่ถูก ก็แนะไปใช้ถ้อยคำไม่ถูก สำนวนไม่ถูก ภาษาอังกฤษอย่างนั้นมันไม่ถูก ส่งติส่งแนะไป เป็นพ่อที่ดีของลูกเหลือเกิน ลูกก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เรียนเก่งทุกคน เรียนจบแล้วก็มาทำประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมือง แต่ว่าพระชนมายุน้อย ลูกรัชกาลที่ ๕ พระชนมายุน้อย ไม่เหมือนโอรสรัชกาลที่ ๔ อายุยืนเกือบ ๑๐๐ พระพันวสานี่เกือบร้อยปี พระองค์เจ้าประดิษฐาฯ อะไรนี่ อายุตั้งร้อย ก็องค์รัชกาลที่ ๕ ห้าสิบกว่าเท่านั้นเอง กรมหลวงราชบุรีฯ นี่เก่งมาก ๕๐ กว่า กรมหลวงพิษณุโลกก็อายุน้อย รัชกาลที่ ๖ มีทางจะทำงานได้มาก พระชนมายุก็น้อย พระปกเกล้าก็เปลี่ยนการปกครองพอดี อายุไม่ยืน เหมือนรัชกาลที่ ๕ อายุไม่ยืน รัชกาลที่ ๔ อายุยืน เพราะอะไรท่านรู้หรือไม่ เพราะรัชกาลที่ ๔ ท่านแต่งงานเมื่ออายุมาก พ่ออายุมากพ่อมักอายุยืน ถ้าหากว่าพ่อหนุ่ม แม่หนุ่มอายุไม่ค่อยยืนเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเขาให้คนโบราณแต่งงานเมื่ออายุมาก ๆ หน่อย แต่ที่อินเดียแต่งงานตอนอายุน้อย แต่เขาไม่ได้อยู่ร่วมกัน เขาแต่งกันไว้เพื่อไม่ให้อิสลามมาลักลูกสาวเท่านั้นเอง เลยแต่งตั้งแต่ตัวน้อย ๆ คานธีแต่งงานเมื่ออายุ ๑๐ ขวบหรือ ๑๕ เจ้าสาวก็เท่านั้น แต่งแล้วก็มาอยู่บ้านเลี้ยงกันไป แต่ไม่ได้ทำอะไรอยู่กันธรรมดา ก็เป็นอย่างนั้น เป็นเรื่องของลัทธิธรรมเนียม
เมืองไทยเรานี้มีคนดี ๆ มากหลายที่มากู้ชาติกู้บ้านเมือง เราเกิดในยุคหลังต้องนึกถึงบรรพบุรุษเหล่านั้นว่าท่านสร้างอะไร ท่านทำอะไร ท่านดำเนินชีวิตอย่างไร และเราก็ช่วยกันรักษารอยเท้าของบรรพบุรุษ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “จงเดินตามทางที่ผู้ใหญ่เดินแล้ว อย่าล้างฝ่ามืออันเปียกชุ่มเสีย ในกาลไหน ๆ อย่าประทุษร้ายมิตร ๓ ข้อนี้” หมายความว่า การเดินทางตามที่ผู้ใหญ่เดิน ผู้ใหญ่คือคนดีมีศีลธรรมประจำใจ ท่านเดินทางถูกทางชอบมา เป็นสัมมาทิฐิ เราก็เดินตามทางนั้นต่อไป แล้วก็อย่าล้างฝ่ามืออันเปียกชุ่ม ฝ่ามือที่เปียกคือฝ่ามือที่ตักอาหารให้เรากิน เพราะคนตักอาหารสมัยก่อนตักด้วยมือ ไม่ได้ใช้ทัพพี มือเปื้อนเปียกชุ่มอยู่ด้วยน้ำแกง อย่าไปประทุษร้ายต่อฝ่ามือนั้น ใครให้อะไรเรารับประทาน เราต้องนึกถึงบุญคุณของเขา แม้เด็กน้อยก็ไม่ลืม พระพุทธเจ้าบอกว่า คนอื่นทำอะไรแก่เราเล็กน้อยก็ให้จำไว้ อย่าลืม แต่ถ้าเราทำอะไรแก่คนอื่น โตเท่าภูเขาก็ไม่ต้องจำ ไม่จำเป็นอะไร แต่เรื่องคนอื่นทำกับเราก็ต้องจำไว้ เพื่อหาทางตอบแทนบุญคุณท่านผู้นั้นต่อไป เรียกว่าเป็นคนมีความกตัญญู และในกาลไหน ๆ ไม่ควรประทุษร้ายมิตร มิตรที่ดี การที่เราจะคบมิตรต้องพิจารณาคนที่ดี คบได้ คบแล้วเจริญก้าวหน้า คบแล้วอยู่กันยืดอย่าด่วนประทุษร้ายมิตร อย่าด่วนใจร้อนแตกมิตร อย่าเห็นแก่สั้น แต่เห็นแก่ยาว เห็นแก่สั้นก็ใจร้อน เลิกกันไปไว ๆ เห็นแก่ยาวก็คบกันนาน ๆ ดีกว่า ท่านสอนอย่างนั้นเป็นคุณค่าทางจิตใจ เมืองไทยเราสร้างคุณธรรม สร้างวัด ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี จากพระพุทธศาสนาทั้งนั้น ถ้าศึกษาให้ละเอียด จะเห็นว่ามาจากพระพุทธศาสนา แม้การนั่งรับประทานอาหาร การเปิบข้าว การอะไร ๆ มันมาจากเตกียวัตร ที่พระพุทธเจ้าสอนให้พระปฏิบัติอยู่ทุกวันทุกเวลา เป็นคนพูดดี มีมารยาทเรียบร้อย เราก็รักษาสิ่งเหล่านั้นไว้อย่าเป็นคนมักง่าย อย่าทำอะไรง่าย ๆ สะดวกเกินไป แต่ต้องนึกว่าอะไรควรอะไรไม่ควรให้พอเหมาะพอดี สิ่งทั้งหลายก็จะเรียบร้อยก้าวหน้า
ตอนนี้ก็บวชสามเณรกันเยอะเมื่อวาน สมัครไว้ ๑๗๐ แต่หายไปเสีย ๕ เหลืออยู่ ๑๖๕ มีคนหนึ่งหายไปแล้ว ไม่ไปพอไปถึงก็บอกพ่อ พระไล่ไม่ให้อยู่ เอาแล้วพ่อเดือดร้อน พระจะไล่อย่างไร มีความผิดอะไร เลยบอกว่า ตื่นสาย ท่านเลยไล่ไม่ให้อยู่ต่อไป พระไม่ได้ไล่เสียหน่อย ไม่ได้ทำอะไร พ่อมาเลย มาถามว่า ลูกผมไปเล่าว่าพระไล่ เพราะตื่นสาย พระตอบไม่ได้ไล่ หายไปไหนก็ไม่รู้ กำลังสืบอยู่นี่ ไปบ้านแล้วไปเล่าว่าพระไล่ไม่ให้อยู่ พ่อก็เลยมา มาขอโทษพระ นี่เป็นความบกพร่องของพ่อที่ไม่ฝึกลูกให้มีความซื่อสัตย์ ลูกไปโกหกพ่อว่าพระไล่ ถ้าพ่อเบาความก็ไม่มาถาม นี่ดีหน่อยที่มาถามก็เลยรู้เรื่อง ก็เลยไม่ว่าอะไรไปอบรมกันต่อไป เขาไม่อยากบวชก็ไม่เป็นไร ที่หายไปเพราะขาดความอดทน ให้มาอยู่วัด ๓ วันมากินอยู่ในวัด มันทนไม่ได้ ไม่เคยนอนอย่างนั้น ไม่เคยกินอย่างนั้น ไม่เคยทำอย่างนั้น เลยแอบไปเสีย ไปเรื่อย ๆ ไม่เป็นไร คนอ่อนแอไปเสียก็ไม่ว่าอะไร พวกเข้มแข็งก็ได้บวชได้เรียนต่อไปก็เรียบร้อย ต่อไปวันอาทิตย์ไปนี้ พระเณรมีมาก ต้องมาช่วยกัน มาฟังธรรม ทำบุญตักบาตรกันไป เพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เพราะคนเหล่านี้เมื่อมาบวชแล้วได้เล่าเรียน ได้อบรมบ่มนิสัย ต่อไปเป็นคนดี เสียบ้างก็ไม่ค่อยมากเท่าใด สังเกตดูพวกที่บวชไปแล้วก็เรียบร้อย ยังไงไม่ปรากฏว่าเสียหายอะไร ออกไปเรียบร้อย ออกไปเป็นคนดีพ่อแม่ชื่นใจ เราช่วยกันทำคนให้เป็นคนดีมีคุณธรรมเป็นประโยชน์มาก มีอานิสงค์มาก สำหรับวันนี้ก็สมควรแก่เวลา ต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งพักผ่อนทางใจ คือทำความสงบใจด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก นั่งตัวตรงหลับตาเสีย หายใจเข้ากำหนดรู้นึกตามลมหายใจเข้าเข้าไป หายใจออกก็กำหนดรู้ตามลมหายใจออก คุมจิตให้อยู่ที่ลมเข้าลมออก คุมด้วยสติ ด้วยความสำนึกว่าเราทำอะไร อย่าเผลอ พอเผลอก็ไปแล้ว ไปบางรักไปสาทร เอามาอยู่ที่ลมเข้าลมออกตลอดเวลา ๕ นาที