แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ประจำวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๓ วันสงกรานต์ ตอนนี้ขอให้ทุกคนพักนั่ง อย่าเดินไปเดินมา นั่ง ณ ที่ใดที่หนึ่งให้สงบและตั้งใจฟังธรรมะอันเป้นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตต่อไป หาที่นั่ง หาที่นั่ง มานี่ก็ได้ มาตรงนี้ เก้าอี้มีเยอะแยะ ยังว่างเยอะในศาลานี้ มานั่งตรงนี้ก็ได้ นั่งตามร่มไม้ก็ได้ แต่อย่าเดินไปเดินมา ไม่เคารพต่อธรรมะ เวลานี้เป็นเวลาธรรมะ หาที่นั่งให้สบาย และก็นั่งฟังธรรม เวลาจบฟังธรรมแล้ว เขามีนั่งสงบใจ ๕ นาที เราก็อย่าลุกขึ้นก่อน ให้เขาจบเรื่องสงบใจ ๕ นาที แล้วจึงจะลุกขึ้นไปตักบาตร ส่วนมากพอจบนี่ก็เดินให้ว่อนแล้ว ยังไม่จบต้องนั่งสงบใจ ๕ นาที แล้วจึงเดิน รถยนต์ก็ไม่ขับเข้ามาในบริเวณนี้ ถนนสายนี้ห้ามรถเข้าในวันอาทิตย์เวลาวันฟังธรรม เพราะรถวิ่งแล้วมันก็หนวกหูคนอื่น รำคาญเขา เราไม่ควรก่อความรำคาญให้แก่ใครๆ ควรทำอะไรให้เกิดความสงบถึงจะเป็นการถูกต้อง
วันนี้เป็นวันสงกรานต์ คือวันที่ ๑๓ ๑๔ ๑๕ เป็นวันงานสงกรานต์ตามธรรมเนียมโบราณเป็นการเปลี่ยนปีเก่ามาสู่ปีใหม่ สมัยก่อนนี้นับต้นปีคือเดือนเมษายน หลังจากสงกรานต์ไปก็เป็นต้นปี ปีของจุลศักราชไม่ใช่พุทธศักราช พุทธศักราชนั้นเรานับตั้งแต่วันเพ็ญเดือนหก ก็เป็นการขึ้นปีใหม่ เพราะว่านับตั้งแต่วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานมา พอครบรอบปีก็เรียกว่าปีหนึ่ง และก็นับเวียนกันมาเรื่อยๆ จนเวลานี้ได้ ๒๕๓๓ ปี พระพุทธเจ้านิพพานล่วงไปแล้ว 2533 ปี ต่อมาก็ปีศักราชก็เรียกว่าจุลศักราช ศักราชเล็กๆ เกิดขึ้นก็นับแต่วันสงกรานต์เป็นต้นไป ธรรมเนียมสงกรานต์เป็นธรรมเนียมของชาวอินเดีย เข้ามีสงกรานต์เหมือนกัน ประเทศลังกาก็มีสงกรานต์ประเทศพม่าก็มีสงกรานต์ ประเทศที่นับคิอพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท มีวันสงกรานต์ด้วยกันทังนั้น แต่ถ้านับถือศาสนาฝ่ายมหายานเขาไม่มีวันสงกรานต์แต่จะ (03.12 เสียงไม่ชัดเจน) ก็มีวันปีใหม่อีก (03.15 เสียงไม่ชัดเจน) ปีใหม่ตรงกัน เป็นปีใหม่เหมือนกัน เมืองไทยเราก็ถือวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่ว่าทีหลังมาก็เปลี่ยนเอามาเป็นวันที่ 1 มกราคม ให้มันตรงก็ทั่วโลก เข้ากับเพื่อนมนุษย์ได้ ไม่แยกอยู่โดดเดี่ยวในโลก เพราะเราอยู่ในสังคมโลกทำอะไรก็ให้มันเหมือนๆ เขา ในเรื่องที่พอจะทำได้ ปีใหม่ของไทยเราจึงเรียกว่าวันที่ 1 มกราคม แต่ว่าวันสงกรานต์ก็เป็นประเพณีเก่าแก่ ที่เรานับถือกันมานานแล้ว ก็ยังไม่เลิกไม่ทิ้ง ไม่เสียหายอะไร เพราะว่าเป็นวันที่เรากระทำความดีกัน ตามแบบการถูกต้องในทางพระพุทธศาสนา จึงเป็นเรื่องบุญเรื่องกุศลเหมือนกัน อันเรื่องของสงกรานต์นั้นเป็นเรื่องที่เล่ากันมาตามแบบของคนโบราณเก่าก่อน เล่ามาว่ามีพรหมองค์หนึ่งลงมาถาม ถ้าอาตมาถ้าให้ตอบปัญหากับธรรมาบาล ถามเด็กหนุ่มถามว่าสามราศีของมนุษย์คืออะไร ถามอย่างนั้น ให้ตอบภายใน 7 วัน ถ้าตอบได้เราจะให้ตัดหัวเรา ตัดหัวพระพรหมเลย ถ้าตอบไม่ได้เราจะต้องตัดหัวของท่านเหมือนกัน ไปคิดเอา มนุษย์สามราศีอันได้แก่อะไร ธรรมาบาลและหนุ่มน้อยก็คิดมาหกวันแล้ว ยังไม่แจ่มแจ้ง ยังคิดไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร ก็เลยคิดว่า ไหนๆ จะตายก็ไปตายใต้ต้นไม้ให้มันไม่มีใครรู้ใครเห็นดีกว่าเลยไปนั่งเพื่อรอตายอยู่ที่ใต้ต้นไม้ บนต้นไม้นั้นมีแร้ง มีแม่แร้ง และลูกแร้งอยู่ด้วยกัน แม่แร้งและลูกมันอยากกินอาหาร แม่แร้งบอกว่า อดใจหน่อยพรุ่งนี้จะได้กินร่างของมนุษย์ ได้กินเนื้อมนุษย์อร่อยกว่าเนื้อสัตว์อื่น ลูกถามว่ามนุษย์ที่ไหนจะมาตายให้เรากิน แม่แร้งบอกว่าอยู่ที่โคนต้นไม้มานั่งรอความตายอยุ่แล้ว วันพรุ่งนี้เป็นวันเด็ดขาดกัน เขาจะต้องตาย แล้วเราก็จะได้กินเนื้อกัน ลูกแร้งก็ถามว่า ทำไมจึงต้องตาย แม่แร้งก็บอกว่า พรหมองค์หนึ่งมาท้าพนันกับเจ้ามนุษย์คนนี้ ว่ามนุษย์สามราศีได้แก่อะไร คิดมาหกวันแล้วคิดไม่ออก ถ้าคิดไม่ออกก็จะต้องถูกตัดหัวตายในวันพรุ่งนี้ แต่ถ้าคิดออกก็ไม่ต่าย ลูกแร้งก็ถามว่า มนุษย์สามราศีคิออะไร แม่แร้งก็ตอบให้ลูกฟังธรรมาบาลนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ได้ยินเสียง เพราะว่ามีหูพิเศษพูดภาษานกแร้งได้ ได้ยินก็บอกว่า ไอ้นี่เอง กูรอดตายแล้ว
พอวันรุ่งขึ้น พระพรหมก็มาถามว่ามนุษย์สามราศีได้แก่อะไร ธรรมบาลตอนแรกก็ทำท่าเงียบๆ ขรึมๆ หน่อย แสดง (06.49 เสียงไม่ชัดเจน) บอกว่า แสดงท่าไว้ถี่หน่อย และผลที่สุดมาถามซ้ำก็เลยบอกว่า มนุษย์สามราศีเป็นเรื่องกล้วยๆ เรื่องธรรมดา ว่าราศีของมนุษย์มันมีอยู่สามที่ คืออยู่ที่หน้า หน้าอก ที่เท้า เพราะนั้นคนเราเมื่อตื่นขึ้นก็ต้องล้างหน้า เช้าๆ ราศีราศีอยู่ที่หน้า แล้วพอตะวันเที่ยงแดดร้อน ราศีก็อยู่ที่หน้าอกของผู้นั้น พอตอนเย็นก็ต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน เพราะราศีอยู่ที่เท้า พระพรหมได้ฟังอย่างนั้นก็ใจปล้ำเหมือนกัน ไม่บิดไม่เบี้ยว ถ้าหากว่าพระพรหมว่าเบี้ยวก็คงบอกว่าเป็นอย่างอื่น ผู้ตั้งปัญหาหากจะเบี้ยวก็ได้แต่พระพรหมเป็นผู้ที่มีสัจจะเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ และบอกว่าคำตอบถูก เรายอมให้ตัดหัวเรา อันนี้ธรรมาบาลก็เตรียมมีดมาตัดหัวพระพรหม อันนี้หัวพระพรหมว่าตัดแล้ว ตัดลงบนแผ่นดินก็ไม่ได้ ตกไปในน้ำก็ไม่ได้ เสียหายใหญ่โตตกลงแผ่นดินแผ่นดินก็จะลุกเป็นไฟ ตกลงในน้ำ น้ำก็จะแห้งเหือด มดปลาต่ายเป็นการใหญ่ แล้วจะทำอย่างไร พระพรหมมีลูกสาวอยู่เจ็ดคน เลยบอกลูกสาวว่าให้เอาพานมารองรับเศียรไว้ พอตัดแล้วก็วางไว้บนพาน วางไวบนพานแล้วก็แห่ไปเก็บไว้ในถ้ำ ถ้ำนั้นคงจะมีความเย็น ความชื้นไม่เน่าไม่เปื่อน พอถึงวันครบถูกตัดหัวก็มาแห่รอบเขาพระสุเมน สักทีหนึ่ง ดังนั้นในปฏิทินโบราณเขาทำรูปนางฟ้าชูเศียรพระพรหม นางฟ้าทั้งเจ็ดคนเป็นลูกสาวของพระพรหมนั่นเอง จะถือกันไว้ ปีนี้องค์นี้ปีโนองค์โน้น ผลัดกันเจ็ดปีรอบหนึ่งรอบหนึ่ง แห่เวียนกันไปแล้วไปเก็บไว้ที่เดิม พระพรหมถูกตัดหัวเรื่องอะไร อันนี้เค้าสอนให้เราเห็นว่าสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งชั่วร้าย คือการพนัน การพนันเป็นสิ่งชั่วร้ายทำลายทรัพย์สมบัติ ทำลายครอบครัว ทำลายสังคม ตลอดจนทำลายประเทศชาติด้วยเรื่องการพนัน มีหนังสือทางพระพุทธศาสนาสอนโทษเรื่องการพนันไว้หลายที่หลายแห่ง
มีหนังสือทางพระพุทธศาสนาสอนเรื่องการพนันไว้หลายที่หลายแห่ง แล้วการพนันทำให้เกิดปัญหาเสียหายมากมายหลายเรื่องในเรื่องนี้ไม่ใช่คัมภีร์พุทธศาสนา แต่เป็นคัมภีร์ไสยศาสตร์ก็มีพูดเรื่องการพนันเหมือนกัน บอกให้เห็นว่าพระพรหมอุตริไปเที่ยวพนันกับมนุษย์ในเรื่องมนุษย์สามราศี ถ้ามนุษย์แก้ได้ก็ต้องยอมให้มนุษย์ตัดหัวของตนไปอันนี้เป็นเรื่องว่าชี้ให้เห็นว่าการพนันไม่ดี ไม่เป็นสิ่งที่ควรจะให้อยู่ในใจของเรา ปีใหม่เราก็ควรตัดสินใจเลิกเล่นการพนันทุกประเภท ไม่ว่าการพนันประเภทใด เมืองไทยเรานี้การพนันแพร่หลายมาก และเมากันมาก โดยเฉพาะหวยเบอร์ หวยเถื่อนคนชอบเสี่ยงกันมาเหลือเกิน ชอบไปถามกันที่นั่นที่นี่ บนบานศาลกล่าวให้ถูกกันจริงสักที หากพบพระสงฆ์องค์เจ้าก็มักจะถาม บอกให้เจ๋งๆ กันสักทีหลวงพ่อ (10.39 เสียงไม่ชัดเจน) หลวงพ่อไม่รู้หรอก หลวงพ่อไม่รู้เรื่องหวยเรื่องเบอร์แต่พอมีคนมาถามก็บอกๆ ส่งเดชไป ถูกไม่ถูกช่างหัวมัน ให้มันไปไม่มาเซ้าซี้ แต่มันไม่อย่างนั้น นาย ก ไป นาย ข มาอีก นาย ค มา มาเป็นการใหญ่ บันไดไม่แห้ง เรียกว่าขึ้นบันไดไม่แห้ง มารบกวน ไม่ควรจะบอกเลยซะดีกว่า ปิดปากเงียบ เอาปลาสเตอร์ปิดปากเลยไม่ต้องพูดกันต่อไป เหมือนกับพูดแทนคนหนึ่งที่ชอบพูดบ่อยๆ (11.21 เสียงไม่ชัดเจน) เอาปลาสเตอร์ปิดปากเลย แต่ประเดี๋ยวก็พูดเอาปลาสเตอร์ออกไปแล้ว (11.27 เสียงไม่ชัดเจน) อย่างนั้นมันไม่ได้ เราก็ไม่ควรพูดไม่ควรให้ เฉยๆ นั่งเฉยๆ ใครจะรบเร้าเซ้าซี้อย่างไรก็ไม่ให้ มีคนเคยไปถามหวยกับท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสบอกว่าเรื่องอย่างนี้ต้องไปถามสมภาร คนนี้ก็ดีใจนึกว่าจะได้ไปถามสมภาร เลยถามว่าสมภารอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่านั่นแหละ นอนคุดอยู่ในตระกร้านั่นแหละคือหมาตัวนั้นมันชื่อสมภารจริงๆ หมาที่ท่านเลี้ยงมันชื่อสมภาร ตอนนี้ตายแล้ว ไปสิไปกราบมัน มันจะได้บอกว่าหวยออกเลขอะไร ไอ้เจ้านั่น (12.15 เสียงไม่ชัดเจน) เพราะว่าให้ไปไหว้หมา ถามอย่างนั้น ไปเที่ยวคนนั้นคนนี้ ถามคนนั้นคนนี้ไม่ได้อะไร เลิกซะดีกว่า เพราะการพนันไม่ชนะ ทำให้เล่นอีก พวกแพ้ก็เสียดายทรัพย์สินที่เสียไปต้องหาทางแก้ตัว ก็ต้องจำนำสร้อย จำนำแหวน จำนำนาฬิกา เพื่อเอามาเล่นต่อ เล่นแพ้ทรัพยืสมบัติก็หมดไปสิ้นไป ไม่มีใครเชื่อเครดิตของนักการพนัน พูดอะไรเขาไม่เชื่อ เพราะว่าไม่ได้ทำงานทำการอะไร มอมเมาในการพนัน พูดอะไรเขาก็ไม่เชื่อเลยหมดเครดิต หมดเกียรติ หมดชื่อเสียง ตั้งเนื้อตั้งตัวไม่ได้
การพนันเป็นอบายมุขก็เพราะว่าไม่เป็นไปเพื่อการสร้างสรรค์ นักการพนันไม่ได้สร้างอะไร คนทำนาปลูกข้าวได้ข้าว ทำสวนปลูกข้าวโพดได้ข้าวโพด ทำอะไรก็ได้ไปขายต่างประเทศ แต่นักการพนันจะมีสมบัติอะไรไปขายต่างประเทศ ขายเขาก็ไม่เอา มีแต่เรื่องเสื่อมเรื่องเสียหาย ดูเรื่องพระพรหมที่ถูกตัดหัวเป็นบทเรียน แล้วก็ตัดสินใจว่าปีใหม่ หลังสงกรานต์นี้เลิกไม่เล่นการพนันต่อไป เราจะทำมาหากินเก็บหอมรอมริด คิดตั้งเนื้อตั้งตัว ไม่ไปเสี่ยงโชคกับการพนันต่อไปอย่างนั้นจึงเป้นการถูกต้อง พระพรหมถูกตัดหัวก็เพราะเรื่องไปเที่ยวท้าพนันเขา คนเรามักจะพนันกัน พูดอะไรก็พนันกันไหมเล่า นี่แหละนิสัยของนักพนัน ชอบพนันกันเรื่อยไป ดูโทรทัศน์ก็พนันกัน มวยตู้ก็พนัน อะไรพนัน ชกมวยก็พนันกัน แพ้กัยบ้างเหมือนกับที่เขาค้อล้มมวย แพ้กันเป็นกองเลย ตอนแรกนึกว่าจะชนะแต่ล้มมวยหมดท่าเลย อันนี้เป็นบทเรียนอันหนึ่ง อันนี้เรื่องของพรหมเขาเขียนภาพสี่หน้า แต่เราเห็นสามหน้า อีกหน้าหนึ่งอยู่ในกระดาษ แต่พระพรหมมีสี่หน้า ตัดพระพรหมทิ้งไม่ได้ ที่เขาว่าตัดหัวพระพรหมโยนไปบนดินก็ไม่ได้ ในน้ำก็ไม่ได้ คือตัดพรหมทิ้งไปก็จะเดือดร้อน แต่พรหมในที่นี้หมายถึงธรรมะสี่ประการ ไม่ใช่หมายถึงพระพรหมตามเรื่องสมมติ เรื่องนิยาย แต่หมายถึงคุณธรรมสี่ประการ คุณธรรมแบ่งความเป็นกลุ่ม ได้แก่ เมตตา ปรารถนาความสุขความเจริญแก่ผู้อื่น กรุณา ใจอยู่ด้วยได้ เมื่อเห็นใครเป็นทุกข์เดือดร้อนก็เข้าไปช่วยเหลือ มุทิตา ยินดีเบิกบานใจ เมื่อใครมีความสุข ความเจริญ มีความเศร้าในชีวิตในการงาน เราก็พลอยมีใจด้วย ไม่มีความริษยา อาฆาต และอุเบกขา หมายความว่า ยังทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ตาดู หูฟัง ใจคิดถูก มีอะไรพอจะช่วยเหลือใครได้ เราก็เข้าไปช่วยเหลือด้วยคุณธรรมต่อไป เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เรียกว่าเป็นพรหมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พรหมของพราหมณ์ พรหมของพราหมณ์นั้นเป็นพรหมสมมติ เป็นพรหมที่สร้างขึ้น สร้างโลกแล้วก็ปล่อยทิ้งปล่อยขว้าง ไม่ดูรักษาอะไร มอบให้พระอิศวรดูแล และพระวิศณุคอยปราบยุคเข็ญกันต่อไป พระพรหมอยู่เฉยๆ เงียบๆ คนอินเดียก็ไม่ค่อยนับถือ เพราะไม่ค่อยมีฤทธิ์เดชอะไร อ่านเรื่องแล้วก็ไม่สนุก สู้เรื่องพระอิศวร พระนารายณ์ไม่ได้ อ่านแล้วสนุกสนาน คนนับถือมาก พระพรหมอยู่อินเดียคงไม่ไหว เลยต้องอพยพมาอยู่เมืองไทย เดี๋ยวนี้พระพรหมไปนั่งอยู่หน้าโรงแรมเอราวัณ โรงแรมนั้น โรงแรมนี้ ตามบ้านจัดสรรก็มีรูปพระพรหมทุกคน ทุกแห่ง แสดงความโง่ของพวกจัดสรร ก็ไม่เข้าเรื่องอะไร พระพรหมเอราวัณเกิดจากความโง่ความเขลา นั่นมันเป็นพรหมวัตถุเราไม่ต้องไปไหว้ก็ได้ แต่ว่าเราไหว้พรหมที่อยู่ใกล้ๆ ของเรา พรหมที่อยู่ใกล้คือพรหมในบ้าน ในบ้านมีพระพรหมนั่งอยู่แล้ว คือคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง คุณพ่อคุณแม่เป็นพระพรหมของบุตรธิดา เพราะคุณพ่อคุณแม่ประกอบด้วย เมตตา ปรารถนาดีต่อบุตร ธิดา กรุณาช่วยเหลือบุตรธิดาให้พ้นจากความทุกข์ มุทิตาเมื่อลูกสอบไล่ได้ ทำงานเป็นฝั่งเป็นฝา คุณพ่อคุณแม่ก็ยินดีที่สุด อุเบกขายังทำอะไรไม่ได้ก็คอยฟังข่าว คอยดู คอยฟัง คอยเอาใจใส่ ว่ามีข้อขัดข้องอะไรบ้างเกิดขึ้นกับลูกของเรา พอรู้ว่ามีข้อขัดข้องอะไรก็มาก่อนเพื่อน มาช่วยก่อนเพื่อน นี่แหละพระพรหมที่เราควรไหว้ เราควรไหว้ทุกเช้า เข้านอน ตื่นขึ้นเช้าไปกราบพระพรหมศักหน่อย กราบบนตักคุณพ่อคุณแม่ และเวลาเย็นก่อนนอน จะหลับจะนอนก็ไปกราบท่านเสียหน่อย ถ้าท่านมีชีวิตอยู่เราก็ไปกราบไปไหว้ และปู่ตาย่ายาย ก็เป็นพระพรหมเหมือนกัน
เราควรไปเข้าไปกราบไหว้ รับฟังคำสอน คำเตือนในเรื่องที่ถูกที่ชอบเอาไปปฏิบัติต่อไป ผู้ใดปฏิบัติต่อพระพรหม คือ พ่อ แม่ ปู่ตา ย่ายาย เรียกว่ามีพระพรหมที่ถูกต้อง เป็นผู้ไหว้พระพรหมถูกต้องจะขออะไรก็ได้ แต่ถ้าไปไหว้พระพรหมตุ๊กตาก็เสียเข้าเสียของ เสียค่ารถออกจากบ้าน เสียค่าธูปค่าเทียน และหากไปให้สินบนก็เสียค่าสินบนอีก เอาทองไปติดบ้าง เอาตุ๊กตาไปให้พระพรหมเล่นบ้าง พระพรหมดูแล้วเหมือนเด็กอมมือ ชอบเล่นช้างไม้ม้าไม้ ยังเป็นเด็กอยู่ไม่เตอบไม่โตสักที แล้วเราไปไหว้ก็เลยเป็นเด็กไปด้วยเหมือนกัน คนที่ไปไหว้พระพรหมมีจิตใตเป็นเด็ก ไม่มีจิตใจเป็นผู้ใหญ่ เพราะไหว้พรหมตุ๊กตา แต่ถ้าเราไหว้พรหมพ่อแม่ ปู่ตายายาย หรือคนใดที่เป็นคนดี มีคุณธรรมประจำจิตใจ เราไปไหว้อย่างนั้น เรียกว่าไหว้พระพรหมแท้ พระพรหมแท้ คือ ตัวธรรมะ ไม่เป็นตัวบุคคล แต่บุคคลใดมีธรรมะสี่ข้ออยู่ในใจ เราเรียก บุคคลนั้นว่าเป็นพรหมโดยธรรม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าทุกคนเป็นพรหมได้ เด็กน้อยๆ ก็เป็นพรหมได้ ถ้ามีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หนุ่มสาวก็เป็นพรหมได้ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็เป็นพรหมได้ คนไทย คนจีน คนแขก คนฝรั่ง ถ้ามีธรรมะสี่ข้อนี้ก็เรียกว่าเป้นพรหมได้ทั้งนั้น นั่นเป็นพรหมถูกต้องตามหลักการในทางพระพุทธศาสนา ให้เราเข้าใจว่าอย่างนี้ พูดถึงพรหมที่ไรก็ให้นึกถึงธรรมะสี่ข้อ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นพรหมธรรมะไม่ใช่พรหมสมมติที่เป็นตัวบุคคล พระพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายนั้น ทรงเปลี่ยนตัวบบุคคลสมมติให้เป็นธรรมะ เปลี่ยนพระพรหมให้เป็นธรรมะ เปลี่ยนเทวดาให้เป็นธรรมะ เปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างให้เป็นธรรมะทั้งหมด เช่นเทวดา ก็ให้ถือว่าธรรมะทำให้คนเป็นเทวดา เวลาสวดมนต์ตามวัดต่างๆ เวลาจะจบบทสวดธรรมะของเทวดา เรียกว่า เทวดาธรรม เทวดาธรรม ขึ้น ขึ้นต้นว่า หิริโอ (21.03 เสียงไม่ชัดเจน) เด็กได้ยิน เด็กวัดได้ยินก็วิ่งกันในวัด วิ่งหาไม้กลองไม้ระฆังจะได้ไปตีกัน เด็กวัดเขามีความสุขเมื่อได้ตีกลอง ตีระฆัง เพราะฉะนั้นคอยฟังพระสวดมนต์อยู่ พอสวดมนต์ใกล้จะจบขึ้นว่าอิริโอ (21.25 เสียงไม่ชัดเจน) ก็วิ่งเอาไม้กลอง บางคนได้ไม้ระฆัง วิ่งไปบนหอระฆังเลย บนหอกลองเลย พอสวดจบแล้ว ก็ตี ชาวบ้านยกมือสาธุกัน คนบ้านใกล้วัดยกมือสาธุถ้าสวดมนต์จบ เรียกว่าได้บุญเหมือนกัน อนุโมทนา บุญสมเด็จได้ด้วยการอนุโมทนาในความดีที่คนอื่นกระทำ มีคำที่พระท่านสวดว่า อิริโอ ... (21:59 เสียงไม่ชัดเจน) ...... แปลว่า บุคคลใดมี หิริ ความละอายต่อบาป โอตัสปะ กลัวบาป มีกุศลบุญสิบประการ มีสัปปุรัญชธรรมเก็บไว้ในจิตใจ มีหลายข้อเรียกว่า หิริโอตัสปะ ปุรัญชธรรม สัปปุชธรรม ถ้ามีธรรมเหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ก็ชื่อว่าเป็นเทวดาโดยธรรม
พระพุทธเจ้าสอนคนให้เป็นเทวดาโดยการประพฤติธรรม ไม่ใช่เป็นเทวดาไปเที่ยวสิงอยู่ในต้นไม้ ตามศาลพระภูมิ ตามนั่น ตามนี่ไม่ใช่ นั่นมันเทวดาเบ็ดเตล็ด เทวดาร้อน อยู่ตามสิ่งเล็กสิ่งน้อย ส่วนเทวดาแท้คือผู้มีธรรมะอยู่ในจิตใจ คนใดมีความละอายบาป กลัวบาป หิริโอตัสสปะ ก็เรียกว่าเป็นเทวดาแล้ว มีกุศลกรรม เกิดคุณธรรมสิบประการ เพราะความเป็นคนโดยแท้จริง ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ประพฤติผิดในกาม นี่ทางกาย ทางวาจาคือไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดคำเพ้อเจ้อ ไม่พูดคำที่ให้คนแตกกัน เรียกว่าเป็นคุณธรรมทางวาจาใจไม่รู้ ไม่โกรธ ไม่หลง หรือเรียกวา กรรม (23.36 เสียงไม่ชัดเจน) ที่เดินไปสู่ความพ้นทุกข์ ผู้ใดประพฤติตนแบบนี้ก็เรียกว่าเป็นเทวดา และยังมีธรรมที่ให้เป็นเทวดา ๗ อย่างใครประพฤติก็ได้ คือเป็นผู้รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้เวลา รู้บุคคล รู้ชุมชน เรียกว่า สัปปุญสัญธรรม ๗ อย่าง ใครมีธรรม ๗ อย่างเรียกว่าเป็นสัตตบุรุษ เป็นคนดี เป็นคนสงบ เป็นสุภาพชน โดยธรรม เราเรีบกว่า สุภาพบุรุษ บางทีก็ไม่ค่อยสุภาพ สุภาพสตรีที่ไม่ค่อยสุภาพก็มีเหมือนกัน แต่ถ้าสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีใดเป็นผู้รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้เวลา รู้บุคคล รู้ชุมชน และปฏิบัติตามที่รู้ด้วย ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นเทวดาโดยธรรม เทวดาทุกคนเป็นได้ ไม่ต้องรอตายแล้วเป็น พระพุทธเจ้าสอนให้เราเป้นอะไรเป็นในปัจจุบัน เป็ นมนุษย์ในปัจจุบัน เป็นเทวดาในปัจจุบัน เป็นพรหมในปัจจุบัน เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าก็เป็นกันในปัจจุบัน เป็นกันด้วยการประพฤติธรรม ถ้าเราประพฤติธรรมเราก็เป็นผู้มีธรรมะ แล้วเรียกชื่อไปตามลักษณะของธรรมะที่ตัวมี ในสมัยก่อนถือว่ามีเทวดารักษารูป ๔ องค์ เรียกว่า ท้าว ...... (25.14 เสียงไม่ชัดเจน) อยู่ในที่ ต้องร่างกายกำยำล่ำสัน เหมือนเราจ้างคนเป็นยาม ถ้าไปจ้างคนเอวบางร่างน้อยเหมือนพระเอกลิเก ผู้ร้ายไม่เกรงใจ มันเดินผ่านมา นี่หรอ ดีดทีเดียวก็ล้มไปแล้ว เพราะเอวบางร่างน้อย อันเป็นยามต้องกำยำล่าสัน ร่างกายแข็งแรงบึกบึน ถือไม้กระบองด้วย จะแพ่นกระบานทุกคนที่เดินเข้ามา เขาจึงทำยักษ์วัดแจ้ง ยักษ์วัดโพธิ์ ยักษ์ตามวัดต่างๆ นั่นเป้นรูปพวกรักษา คนชอบรู้ ต้องรูปร่างอย่างนั้น ที่วัดพระแก้วมียืนอยู่หน้าประตูด้านใน ๒ ตน ท้าววิรุฬหก ท้าววิรุฬปักษ์ ไปถึงก็นั่งลงไหว้ วันนั้นไปเจอก็ถาม โยมไหว้อะไร ไม่ได้ยิน ไหว้แล้ว ไหว้พ่อ นี่พ่อเหรอ หน้าตาจะกินเลือดกินเนื้อ ถือไม้กระบาน นี่พ่อเหรอ ไหว้อะไรอีก ไหว้แต่ความโง่แท้ๆ เข้าไปในโบสถ์ไหว้พระแก้วโน่น มานั่งไหว้ยักษ์เฝ้าประตูอยู่ทำไม ไปโบสถ์วัดพระแก้ว มาไหว้ยักษ์ ไหว้ฤาษี มีอะไรก็ไหว้ ไหว้หมด ไหว้จะไปหาเจ้าหานาย พวกยืนรายทางก็แจกคนละนิดละหน่อย จะได้เข้าง่ายหน่อย ก็ไม่แจกก็ไม่ให้เข้า เข้าไม่ได้ ดูหนังจีน พวกขันทีถ้าใครไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ก็ต้องมีอะไรมาแจก นิดหน่อยก็ไหว้ เวลานี้ไม่มีว่าง ฮ่องเต้ไม่ว่าง พอให้เป็นแท่ง ก็บอกว่าว่าง เข้าไปเลย ไหว้ยักษ์แบบนั้นไม่ได้เรื่องอะไร ไหว้ด้วยความโง่ความเขลา ชาวพุทธเราไม่ต้องไปไหว้ยักษ์หน้าวัด เข้าไปหาพระพุทธเจ้าเลย ไปไหว้ยักษ์ทำไม คตืโบราณเป็นของเก่าไม่ใช่ของพระพุทธศาสนา โบราณคือพราหมณ์เข้าถือมาอย่างนั้น ว่ามียักษ์ทั้งสี่ดูแลรูป รักษารูปอยู่ในทิศทั้งสี่ คอยดูแลป้องกันรูป พระพุทธเจ้าท่านบอกไม่ใช่ ไม่ต้องยักษ์ทั้งสี่เป็นผู้รักษารูป แต่ว่าธรรมะสองข้อง คือ ธรรมมะรักษารูป ธรรมะสองข้อ ก็ได้แก่ หิริโอตัสปะ เรียกว่า เป็นธรรมะคุ้มค่ารูป ธรรมรักษารูป คำว่ารูปหมายถึง ชีวิตของเราแต่ละคน ร่างกายยาวหนาคืบ เป็นรูป รูปนี้แหละต้องเอาหิริโอตัสปะ มารักษา เอาธรรมะมาใช้เป็นเครื่องคุ้มครองรักษา ถ้ารักษาด้วยเรื่องอื่นไม่ได้ ก็รักษาด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้า เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามารักษารูปนี้ก่อนใคร
เช่นว่า หิริโอตัสปะ ช่วยคุ้มครองรักษารูป คือ ตัวเรา อันคนที่มีความละอายบาปย่อมไม่ทำชั่ว ไม่คิดเรื่องชั่ว ไม่พูดเรื่องชั่ว ไม่ทำเรื่องชั่ว ไม่คบคนชั่ว เห็นความชั่วก็ละอาย ละอายแก่ใจว่าสิ่งนี้ไม่เหมาะ สิ่งนี้ไม่เอา ทำไม่ได้ ละอาย กลัวผลที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของคน เพราะหลักการพระพุทธเจ้าสอนว่าทำดีได้ความดี ทำชั่วได้ความชั่ว เราหนีจากผลที่เรากระทำไว้ไม่ได้เป็นอันขาด เราทำอย่างใดก็ได้อย่างนั้น มีความกลัว โอตัสปะในใจ เลยไม่กล้าทำ เมื่อไม่กล้าทำ เลยไม่ต้องรับทุกข์จากความชั่ว ไม่ต้องรับทุกข์ รับโทษจากการทำร้าย เราก็ปลอดภัย ธรรมะสองข้อเป็นธรรมรักษารูป ไม่ใช่รักษารูป ไมใช่เทวดามารักษา แต่ตัวเราเองเอาธรรมะมาใช้ เราก็อยู่รอดปลอดภัย พระพุทธเจ้าทรงเป้นแบบนั้น เรียกว่าธรรมา ... (29.59 เสียงไม่ชัดเจน) พูดภาษาธรรมพูดภาษาคน เป็นตัวเป็นตนเป็นนั่นเป็นนี่ แต่พูดภาษาธรรมะคือเอาธรรมะมาใช้เป็นหลักปฏิบัติเป็นการถูกต้องมากกว่าดีกว่า แต่ก็ไปเข้าใจอย่างนั้น เพราะฉะนั้น พรหมก็ดีเทวดาก็ดี เทพเจ้ารักษารูปก็ดี พระพุทธเจ้าเปลี่ยนเป็นธรรมะทั้งหมด ให้เอาธรรมะมาปฏิบัติ คนมีธรรมะเป็นคนใจสูง ใจดี ใจงาม คนขาดธรรมะเอาตัวไม่รอด ชีวิตตกต่ำไม่ก้าวหน้า เราจึงต้องเข้าหาธรรมะ เมื่อเราเข้าหาธรรมะก็เรียกว่าถึงพระพุทธเจ้า เราถึงพระพุทธเจ้าเพราะว่าพระธรรมนั้นเป็นสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า ธรรมะเป็นสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อเป็นหนังนิพพานไปแล้วก็ธรรมะเป็นสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้บอกว่าอะไรอื่น ไม่ได้บอกว่าพระธาตุเป็นสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า แต่ตัวธรรมะเป็นสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า เราต้องเข้าถึงธรรมะด้วยการศึกษาให้เข้าใจด้วยการปฏิบัติ เราก็ได้พบพุทธในใจของเรา มีความชั่วเข้ามาบังไว้จึงไม่เห็น เหมือนเพชรอยู่ในหิน เราไม่รู้ว่ามีเพชร นึงว่าก้อนหินธรรมดา แต่ว่าทุบหินนั้นออกเห็นเพชรข้างใน เอามาเจียรไนไว้บนเรือนแหวน เป็นของมีค่าราคาแพง เป็นอย่างนั้นให้เข้าในอย่างนั้น อันนี้ พระพรหมหมายถึงตัวธรรมะ ถ้าตัดพระพรหมไปแล้วจะเดือดร้อน คนไม่มีเมตตาก็เดือดร้อน คนไม่มีกรุณาก็เดือดร้อน คนไม่มีมุทิตาต่อกันก็เดือนร้อน ไม่มีอุเบกขาก็เดือดร้อนเหมือนกันจึงต้องมีพรหม ปีใหม่นี้ก็เอาเศียรพรหมมาแห่ เพื่อแสดงว่าต้องอยู่กับพรหม อย่างอยู่กับสิ่งอื่น อยู่กับธรรมะของพระพรหม ให้อยู่กันด้วยความเมตตา ปรารถนาความสุขแก่กันและกัน อยู่ด้วยความกรุณา ช่วยเหลือแก่กันและกัน ใครมีทุกข์ ใครเดือดร้อน ใครขัดข้องสิ่งใดเราต้องช่วยเหลือเจือจุนกันเรียกว่าอยู่ด้วยความกรุณา เมื่อเพื่อนได้ดิบได้ดีมั่งมีศรีสุขก็ต้องมีความยินดีด้วย อย่าริษยา เพราะความริษยาทำโลกเดือดร้อน …… (32.40 ภาษาบาลีเสียงไม่ชัดเจน) เพราะความริษยา มีธรรมะสี่ข้อนี้ เช่น เมตตา ป้องกันความเหี้ยมโหดดุร้าย คนมีน้ำใจนั้นไม่โกรธใคร ไม่เคืองใคร ไม่ทำร้ายใคร ความเหี้ยมโหดไม่มีในใจ คนเหี้ยมคนโหดคือคนขาดเมตตา ใช้อำนาจที่มีแทรกความโกรธ แทรกความเกลียด แทรกความริษยาเป็นอำนาจทำการเบียดเบียนคนอื่น เมื่อเราเบียดเบียนคนอื่นก็เหมือนเบียดเบียนเราเอง ทำร้ายผู้อื่นก็เหมือนทำร้ายตนเอง ผู้มีธรรมะ คือ มีเมตตานั้น แผ่ไปกว้างไม่จำกัด เราจึงแผ่เมตตาว่าสัพเพสัพตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถอะ อย่ามีเวร อย่ามีภัย อย่าเบียดเบียนแก่กันและกันเลย
พุทธศาสนาสอนให้เมตตากว้างขวาง ศาสนาอื่นจำกัดให้รักแต่พวกของตัว รักคนศาสนาเดียวกัน คนนอกศาสนาฆ่ากันก็ได้ ทำร้ายกันก็ได้ เพราะไม่ใช่พวกเรา อันนี้มันคับแคบ แต่พุทธศาสนาไม่เฉพาะคน แต่ให้แผ่เมตตาไปยังสัตว์เดรัชฉานด้วย เพราะถือว่าสัตว์เดรัชฉานก็เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่เจ็บ ตายด้วยกันเหมือนกัน และก็แผ่ไปถึงต้นหมากรากไม้ว่าเป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์แก่ชีวิตของเรา เราไม่ควรทำลายสิ่งเหล่านั้น ได้อาศัยร่มไม้ร่มเงาใด ก็อย่าทำร้ายต้นไม้นั้น ได้กินน้ำบ่อใดก็อย่าทำลายบ่อนั้น นั่งศาลานั้น อย่าทำลายศาลานั้น ใครให้อะไรแก่เราอย่าทำลายผู้นั้น หลักธรรมไม่ให้เบียดเบียนกัน ให้รักกัน สามัคคีกัน ร่วมแรงร่วมใจกันให้ปฏิบัติกันเป้นคนมีน้ำใจอย่างนั้น ตื่นแต่เช้าก็ต้องสร้างพรหม ความเมตตาขึ้นในใจ นั้งสงบใจและนึกว่าให้สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถอะ พ้นทุกข์พ้นร้อนเถอะ ให้นึกอย่างนั้น เห็นใครเดินมาก็แผ่เมตตาขอให้มีความสุขความเจริญเถอะ คิดให้เมตตาจะไปกระทบคนนั้น แล้วจะทำให้คนนั้นรักเรา สงสารเราขึ้นมา ถ้าหากว่าเราแผ่ไปว่าขอให้มันตายอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ความรู้สึกไปกระทบคนนั้น คนนั้นก็เกลียดเรา คนบางคนเราเห็นหน้าไม่ชอบแล้ว แสดงว่าคนนั้นจิตใจไม่ดี มีแต่เรื่องคิดเบียดเบียนคนอื่นๆ อยู่ในใจ ใครเห็นหน้าก็ไม่มีรัก พอใจ เพราะจิตมันคิดชั่ว เพราะถ้าจิตคิดแต่เรื่องดีเรื่องงาม ใครเห็นก็รักใคร่ อยากเข้าใกล้ นั่งคุยด้วย เพราะมีน้ำใจเมตตา คนใจเมตตามีร่มเงาอันเย็น เราเข้าไปนั่งใกล้ มันเย็น พูดเย็น ทำอะไรก็เป็นในทางสงบเย็นและมีปกติ ไม่ให้คิดเรื่องชั่ว ไม่ให้พูดเรื่องชั่ว ไม่ทำเรื่องชั่วเรื่องร้าย ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีเมตตาต่อเรา เช่นครูกับศิษย์ ครูต้องมีเมตตาศิษย์ เพื่อนต้องมีเมตตาต่อเพื่อน อยุ่กันด้วยคุณธรรมคือความเมตตาเป็นพรหมข้อแรกที่เรามาปฏิบัติแล้ว ก็พ้นทุกข์พ้นร้อน กรุณาคือว่าช่วยเหลือผู้อื่น เอามาเป็นรูปธรรม คือการช่วยเหลือเห็นใครเป็นทุกข์เราไปช่วยเหลือ เช่นว่า เกิดน้ำท่วมที่ใดเราไปช่วยเหลือ เกิดพายุร้ายเหมือนพายุชุมพร คนก็ไปช่วยเหลืออย่างนี้เรียกว่ากรุณาไปช่วยเหลือ เห็นใครได้เราความทุกข์ยากเราก็เข้าไปช่วย เห็นคนรถชนนอนร้องครางครางอยู่เราก็ไปช่วย เอาคนนั้นไปส่งโรงพยาบาลให้เข้ารักษาเยียวยากันต่อไป แต่เดี๋ยวนี้คนไม่อยากไปส่ง เพราะว่าตำรวจจะหาว่านี่แหละทำร้ายเขาแล้วเอามาส่ง เป้นซะอย่างนั้น คนเลยไม่อยากช่วยใครอีกก็ระแวงกัน ไปจับคนที่เข้ามาช่วย หาว่านี่ขับรถชนเขาแกล้งเอามาส่ง ต้องเอาเป็นจำเลยไว้ก่อน ทำให้คนไม่อยากประพฤติธรรม เพราะว่าเจ้าหน้าที่ไม่ประพฤติธรรมนั่นเอง เราอย่าไปสงสัยให้มันมากไป เพียงแต่จดชื่อ จดเสียงว่าเป็นคนเอาคนไข้มาส่ง แล้วค่อยสืบสาวราวเรื่องต่อไป ก็จะรู้ว่าเขาไม่ได้ทำอันตรายแต่เขาเอามาส่ง คนสมัยก่อนเขาช่วยเหลือกัน เห็นคนตกทุกข์ได้ยากก็ช่วยเหลือ เช่น คนเจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่วยเอาไปที่บ้าน ช่วยเอาไปรักษา ต้มหยูกต้มยา หายาให้กิน ป้อนข้าวป้อนน้ำ จนกระทั่งหายโรคหายไข้ หายโรคหายภัยแล้วก็ลากลับไป ไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องการเงินค่าตอบแทน คนสมัยก่อนเข้าให้กันด้วยไมตรี ไม่ต้องการอะไรเป็นเครื่องตอบแทน เพราะถือว่าการตอบแทนเป็นเรื่องวัตถุไม่สำคัญ เพราะถือเราเอง ไมตรีจิตมีค่ามากกว่าทอง คนเราถ้ารักกันช่วยเหลือกันราคาสูง ถ้าให้เป็นเงินเป็นทองมันก็หมดค่าไป เรื่องไปแล้ว จะไม่มีข้อผูกพันกัน เพราะฉะนั้นเขาไม่ต้องการ เขาต้องการพันธะทางจิตใจ เอื้อเฟื้อต้องกันและดัน คนรู้จักไม่รู้จักเมื่อเข้ามาในบ้านก็ต้องหุงข้างต้มแกงให้กิน ให้พักให้ผ่อนหลับนอน ไม่ค่อยระแวงกัน คนสมัยก่อนเขาไม่ทำร้ายแม้จะเป็นโจร ถ้าไปบ้านไหนได้รับการเอื้อเฟื้อเลี้ยงดูเขาไม่ทำร้าย เขาถือหลักว่าอย่าปล้นคนที่ให้ข้าวให้น้ำแก่เรา อย่าล้างฝ่ามือ อย่าทำร้ายฝ่ามือที่เปียกชุ่ม ฝ่ามือที่เปียกชุ่มคือฝ่ามือที่ตักข้าวตักแกงเลี้ยงเรา
พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่าทำลายมือที่เปียกชุ่ม อย่าทำร้ายคนที่ให้การอุปถัมภ์ค้ำชูแก่เรา คนโบราณเขาถืออย่างนั้น แม้เป็นโจรไปปล้น แต่ฝนตกไปหลบอยู่ชายคาบ้านของใคร หลบฝน หลบแดด เขาไม่ทำร้ายเจ้าของบ้านนั้น โจรเมื่อก่อนมีธรรมะเหมือนกัน ไม่เที่ยวปล้นเรื่อยไป เขาปล้นบางที่บางแห่ง และก็ไม่ตลอดเวลา ปล้นเป็นครั้งคราว เพื่อหาพวก หาเส้น หาสาย แม้ไปรักวัว รักควายเขา ก็ไว้ก่อนก็ให้เขาตามมาแล้วให้คืนไป เป็นพวกเดียวกัน ไม่ต้องการเสียค่าไถ่ ให้ไปเปล่าๆ ก็เกิดไมตรีจิตต่อกันได้พรรคได้พวก ทำเพื่อหาพวก ด้วยมีกิจการอย่างนั้นก็มี แล้วเขาไม่ปรุทุษร้ายต่อกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน เป็นเพื่อนกับใครแล้วรักกันจนตาย ไม่ประทุษร้ายต่อกัน ไม่หักหลัง ไม่ทรยศกันสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในจิตใจคนสมัยก่อน แต่สมัยนี้สิ่งเหล่านี้มันจางหายไป เอารัดเอาเปรียบ เอาอะไรก็เอาก่อน มันเป็นอย่างนั้น แสดงว่าจิตใตคนตกต่ำ ความเป็นมนุษย์มันน้อยไป ความเป็นเทวดาไม่ต้องพูด เพียงเป็นมนุษย์ยังไม่ได้แล้วจะไปเป็นเทวดาได้อย่างไร จะเป้นพระพรหมได้อย่างไร จะเป้นพระอรหันต์ผู้บริสุทธ์ได้อย่างไร เพียงแต่เป็นมนุษย์ก็ยังแย่เลย ลำยากเดือดร้อนกันอยู่และสังคมก็เดือดร้อนวุ่นวาย นอนก็ไม่เป็นสุข นั่งก็ไม่เป้นสุข มีระแวงต่อกันและกัน สร้างบ้านสร้างช่องก็ต้องทำแข็งแรงใส่ลูกกรงเหล็กกั้น ประตูก็เหล็ก หน้าต่างก็เหล็ก ประตูก็เหล็กแสดงความเหี้ยมโหดดุร้าย เพราะมีเหล็กกั้นอยู่ตลอดเวลา เจ้าของบ้านก็เหมือนอยู่ในคุกในตะราง มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ ไม่มีความสุขเลย ทั้งที่บ้านยังกลัวภัย แล้วที่ทะเลาะเพราะอะไร ก็เพราะคนขาดศีลธรรม ไม่หันหน้าเข้าหาพระ เอาแต่ศีลเข้าไว้ในใจ จึงเกิดความทุกข์ความเดือดร้อน เราจึงควรได้คิดในข้อเหล่านี้ แล้วมาช่วยกันประพฤติธรรม อย่างประพฤติผู้เดียว ต้องชวนคนอื่นให้ช่วยกันประพฤติธรรม มาวัดชวนเพื่อนมาบ้างให้เขาได้ยินได้ฟังธรรมะ แล้วจะได้เกิดความสำนึกรู้สึกตัวจะได้เปลี่ยนแนวเข้าหาธรรมะต่อไปชีวิตที่มีธรรมะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข มีความสะดวกสบายทุกประการ เราควรชวนกันอย่างนั้น ช่วยกันส่งเสริมชักจูงเพื่อนฝูง มิตรสหายให้ได้เข้ามาศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะให้มากยิ่งขึ้น การกระทำอย่างนั้นก็เรียกว่ามีเมตตาต่อเพื่อน เราเป็นเพื่อนกับใครก็มีหลักว่าจะทำเพื่อนให้ดีขึ้น ให้เจริญขึ้นไม่ใช่เป็นเพื่อนเพื่อกิน เพื่อเล่น เพื่อความสนุกสนานเฮฮา คนคบเพื่อนแบบนั้นเยอะ แล้วก็ชวนกันเล่นสนุกหมดเปลืองเงินทอง เอาตัวไม่รอดตกต่ำ แต่พอตกต่ำหมดเงินหมดทองเพื่อนก็หายหมด ไม่มีสักคนเดียว เวลามีทรัพย์เพื่อนตามหลังเป็นแถว แต่ว่าพอหมดทรัพย์ก็หายหน้าไปหมด ไม่มีเพื่อนสักคนเดียวเอานี้เป็นเรื่องของสังคมเป็นอย่างนั้น เพระาว่าขาดคุณธรรม ขาดความเมตตา ปราณีต่อกัน จึงเกิดความเสียหาย
ในวันสงกรานต์จึงมีรูปพระพรหมเพื่อเตือนคนให้มีธรรมะประจำจิตใต อย่างทิ้งธรรมะทั้งสี่ข้อ ใครทิ้งธรรมะสี่ข้องใจมันจะแห้งแล้ง จะลุกเป็นไฟ ลุกเป็นไฟก็เบียดเบียนกัน ริษยากัน ทำร้ายกัน จองกรรมจองเวรแก่กันและกัน แล้วจะอยู่จะอยู่ด้วยกันด้วยความทุกข์อย่างไร เห็นง่ายๆ สิ่งเหล่านี้ ภาพเหล่านั้นจึงเป็นภาพเตือนจิต สะกิดใจ ให้เราเกิดความนึกคิดในทางที่ถูกที่ชอบ ที่เหมาะที่ควร เรื่องของสงกรานต์มันเป็นอย่างนี้ เรารู้หว้เป็นเครื่องประดับสติปัญญา แล้วก็รู้การเข้าหาพระธรรมอันเป็นหลักคำสอนที่ถูกต้อง ปฏิบัติตามหลักธรรมะ ในวันสงกรานต์เขาเรียกว่าเป้นวันแห่งกตัญญูกตเวที คือผู้น้อยจะไปกราบผู้ใหญ่ เช่น ลูกไปกราบพ่อ กราบแม่ ปู่ตาย่ายาย ศิษย์ไปกราบครูบาอาจารย์ พุทธบริษัทไปกราบพระสงฆ์ที่เราเคารพบูชา เป็นผู้นำทางจิตใจ เป็นผู้ชี้ทาง ชี้ทางทุกข์ทางสุขให้เราเข้าใจ ก็ไปกราบไปไหว้ไปขอพร ไปขอธรรมะจากท่าน ขอความดีจากท่าน แล้วเราไปรดน้ำผู้ใหญ่ ก็เท่ากับไปให้พรท่าน คือทำให้ท่านสบายใจ เราไปหาผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่สบายใจ เช่น เราไปหาคุณพ่อ คุณแม่ เรามาอยู่กรุงเทพ คุณแม่อยู่ต่างจังหวัด พอวันปีใหม่ เช่น วันปีใหม่จีน คนเชื้อสายจีนก็ไปกัน ปีใหม่ไทยเราก็ไปกัน ไปกราบไปไหว้ ซื้อผ้าไปให้ท่าน ผืนหนึ่ง ถ้าเป็นคุณพ่อก็ซื้อผ้าขาวม้าผืนหนึ่ง เอาไปให้ท่านใช้อเนกประสงค์ ใช้ได้ทุกอย่างหรือซื้อเสื้อไปให้ท่านสักตัวหนึ่ง คุณแม่ก็ซื้อผ้านุ่ง กับเสื้อสักตัวเอาไปกราบเท้าท่าน การที่เราไปกราบเท่าท่านนั้น ท่านสบายใจ พ่อแม่เห็นหน้าลูกก็สบายใจ เห็นหน้าหลานก็สบายใจ ว่าเราทำให้ท่านสบายใจก็เรียกว่าเราให้พรแก่ท่าน ให้ท่านมีความสุขมีอายุยืน มีผิวพรรณผ่องใส ถ้ามีความสุขทางจิตใจเราก็ทำอย่างนั้นเป็นความสุขทุกฝ่าย เราเองเป็นผู้กระทำก็เป็นสุข ผู้ถูกกระทำก็เป็นสุข เช่นเราเป็นลูกไปกราบคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่ท่านก็สบายใจ เอาหลานไปด้วยท่านก็สบายใจได้เลี้ยงหลาน ให้ขนมแก่หลานให้ของขวัญแก่หลาน บางทีเตรียมตัวเก็บผลไม่ใส่ตู้ไว้พอลูกมาก็แม่เก็บใส่ตู้ไว้ให้เจ้า ให้ลูกได้กิน ลูกกินแม่ก็สบายใจ หลานกินก่อนหน้าคุณแม่ก็สบายใจ คนแก่นั้นไม่สบายใจเมื่อเห็นลูกนั้นเป็นทุกข์ และเป็นทุกข์เมื่อลูกหลานไม่สบาย เป็นธรรมดายอ่างนั้น นี้เราไปกราบท่านก็เรียกว่าทำให้ท่านสบายใจ จึงมีทำเนียมว่าไปรดน้ำผู้ใหญ่ บางทีก็เรียกว่าไปดำหัว ไม่ใช่จับท่านแล้วกดหัวลงไปไม่ใช่อย่างนั้น เอาน้ำไปรดท่านใส่ขันให้เรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจเอาไปใส่ขัน ใส่น้ำอุทัย ใส่ผิวมะกรูด เครื่องชำระชะล้างเอาใส่ขันไป พอไปถึงก็เข้าไปกราบ กราบแล้วก็รดน้ำให้กัน รดในมือ ไม่รดมาก รดในมือนืดหน่อยแล้วก็รดเท้านิดหน่อย ถ้าท่านนั่งเเก้าอี้ก็รดเท้า ลูบเท้าให้ ล้างเท้าให้ท่าน ท่านก็ปลื้มใจ เอ้อ ยังคิดถึงกูอยู่วะ ท่านก็สบายใจ
ทีนี้ถ้าเราไม่ไปเลย คุณแม่คุณพ่อแก่แล้ว ทำไมไม่มา รถสิบล้อทับหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันกังวลนะ ถ้าเราไปก็ดีอกดีใจคุณแม่ดีใจ คุณพ่อดีใจ คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายดีใจ ครูบาอาจารย์ก็ดีใจว่าลูกศิษย์ยังอยู่ ยังเห็นหน้ากันอยู่ก็สบายใจ คนบางคนมันคิดไม่ได้ ไม่มาหามาสู่ เช่นอยู่วัด พอลาสิกขาก็ไม่เคยมา ไม่เคยมาเลนย ปีใหม่ก็ไม่มา เข้าพรรษาก็ไม่มา ไม่มาสักปี นึกว่ามันตายหรืออย่างไร พอถามข่าวก็ยังอยู่ ยังไม่ตาย นี่แหละเข้าเรียกว่าคนใจไม้ไส้ระกำ คือไม่ได้สำนึกถึงบุญคุณของสถานที่ที่ตนอยู่อาศัย ไม่ได้นึกถึงข้าวแดงแกงร้อนที่ได้รับประโยชน์ ได้มาอยู่ได้พึ่งบารมีของใคร บารมีพระธรรม เราได้รับบารมีพระธรรม พระธรรมคุ้มครองรักษา เราได้รับความสุขความสบาย แล้วใครให้พระะรรมแก่เราใครชี้ทางธรรมะแก่เรา เราต้องนึกถึงคนนั้นบ้างแล้วก็มากราบมาไหว้มาบูชา มาสักการะ ครูบาอาจารย์ก็สบายใจ ไม่ใช่สบายแต่ว่าเขามา แต่สบายใจว่ามันยังประพฤติธรรมอยู่ พี่แหละ ตรงนี้แหละสำคัญ สำคัญที่คนประพฤติธรรม ถ้าเห็นลูกศิษย์ประพฤติธรรม ลูกประพฤติธรรม หลานประพฤติธรรม ผู้ใหญ่ก็สบายใจ สบายใจว่ายังอยู่ในธรรมะตราบใดที่ยังอยู่ในธรรมะ คนนั้นยังเจริญอยู่ ยังก้าวหน้าอยู่ แต่ถ้าหากว่าไม่มีธรรมะเป็นหลักคุ้งครองรักษาจิตใจ วิตกกังวล พ่อแม่วิตกว่าไอ้คนนี้มันจะล้มจะจม เพราะไม่มีธรรมะรักษาจิตใจ ครูก็นึกว่าศิษย์คนนี้ถ้าจะแย่เพราะไม่มีธรรมะรักษาจิตใจ ทำให้ท่านเป็นทุกข์ การที่เราทำอะไรให้ผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อแม่ปู่ตาย่ายาย มีความทุกข์มันไม่ดี มันจะบาปตกลงบนหัวเราทำให้เราเป็นทุกข์ต่อไปข้างหน้าจึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ไปหามาสู่บ้าง วันตรุษ วันสงกรานต์ หรือวันเข้าพรรษา วันอะไรถ้ารู้ว่าเกิดวันอะไรก็มาหน่อย มาเยียมมาเยียนให้รู้ว่านยังไม่ตาย หลวงพ่อยังอยู่ก็พอแล้ว ก็สบายใจ ลูกศิษย์จะได้สบายใจ มีท่านเจ้าคุณที่วัดเทวราชกุญชรท่านเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง เป็นผู้พิพากษามาก็ไม่เคยถวายอะไรท่านหลาย มาเฉยๆ และนานๆ มาสักที วันหนึ่งมา ไอ้หลวงมึงเอาเงินมาให้กูบ้างสิ กูจะได้คุยกับเขาได้ว่ามึงให้กู ท่านก็พูดไปแบบนั้นแหละ พูดตรงๆ กับลูกศิษย์ มึงเอามาให้กู้บ้าง กูจะได้ไปอวดเขาบ้างว่าไอ้หลวงนี่มึเป็นลูกศิษย์กู เอาเงินมาให้กูใช้บ้าง อาจารย์เหลือทนแล้วจึงต้องพูดแบบนั้น ลูกศิษย์ก็นึกไม่ได้ อาจจะนึกผิดไป ผิดไปเพราะว่าอาจารย์มีพร้อมแล้ว ไม่ต้องให้ก็ได้ คิดแบบนั้นมันไมถูก จริงอยู่ท่านมีจริง แต่เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องให้ คุณพ่อคุณแม่มีเงินไม่ต้องให้ก็ได้ แต่เป็นหน้าที่ที่จะต้องให้ นิดๆ หน่อยๆ ก็ไปให้ ทำให้ท่านสบายใจ ไม่ใช่สบายใจเพราะได้เงิน แต่สบายใจเพราะว่าลูกมีหัวใจ แต่ว่าลูกมีน้ำใจ น้ำใจสำคัญคนเรามีน้ำใจสำคัญ คนไม่มีน้ำใจคำนี้สำคัญมากในภาษาไทย คนไม่มีน้ำใจ ไอ้คนไม่มีน้ำใจมันเห็นคนหิน ไม่มีใจ หินมันก็ไม่มีใจ มันอยุ่อย่างนั้น ที่มันไม่มีน้ำใจหลายแง่หลายมุม ไม่มีน้ำใจ ไม่ช่วยเหลือใคร ไม่สงสารใคร ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่หน้าก็ไม่มีน้ำใจ ทำอะไรก็ไม่มีน้ำใจจะทำ คนไม่มีน้ำใจ แต่คนมีน้ำใจมองเห็นว่าควรทำอะไร ควรจัดอะไรเป็นเพราะมีน้ำใจ บางทีมาถึงท่านก็นอน นอนท่านก็ให้พรเราขอให้นั่งกินนอนกิน กินใคร่ยังชั่ว ถ้านอนกินก็ไม่ไหว ท่านเป็นพระที่มีน้ำใจ คือ เห็นอะไรก็ทนดูไม่ได้ ต้องไปกวาดไปทำ ไปดูไปทำไอนั่น ไอ้นี่ เห็นอะไรก็ขออนุญาตขอทำหน่อย ทำที่ล้างจาน ทำที่คว่ำจาน ทำร่ม ทำเรื่อยเลย ได้ปัจจัยมาก็ทำตลอด ไม่ต้องบอก ไม่ต้องเตือน นี่เรียกว่าคนมีน้ำใจ คนไม่มีน้ำใจเฉย ไม่รู้ไม่ชี้อะไรเป็นอะไรไม่รู้ไม่ชี้ ไม่โผล่หัวมาจากกระดองเลย เรียกว่าเป็นเต่าหลบอยู่ในกระดองตลอดเวลา ถ้าไม่ผ่าก็ไม่เอาหัวออกมาเลย นี่แหละพวกไม่มีน้ำใจ พวกชาวบ้านชาววัดเหมือนกัน พวกไม่มีน้ำใจ พูดไม่เข้าใจ ลำบาก พูดยังไงก็ขาดน้ำใจ ไม่สนใจที่อยู่ที่อาศัยก็ไม่ตกแต่ง ทำความสะอาด ที่นอนก็ไม่ปัด คนนอนได้ทั้งนั้น เหมือนสุนัขนอนตรงไหนก็ได้ ไม่ปัดกวาด คนขาดน้ำใจมันแย่มาก
คำว่าน้ำใจลึกซึ่งมาก คิดดูให้ดีว่ามันลึกซึ้งคนไม่มีน้ำใจ มีความหมายลึกซึ้งมากที่มีคุณค่าแก่ชีวิต คนประเภทนั้นมันมีเรียกว่าคนมีน้ำใจ แต่คนมีน้ำใจเขาไม่ลืม คนคนหนึ่งเป็นข้าราชการ เป้นรองอธิบดีกรมศุลากร ตรุษจีนของเต็มบ้าน ของไม่มีที่จะวาง พอออกจากอธิบดีก็ไม่มีคนมาให้แล้วมาถามคน ถามคนนั้นมาจนกระทั่งท่านแก่เฒ่าชรา ทุกปีต้องมานี่มีน้ำใจ มั่นคง แต่พอไม่มีศักดิ์แล้วเอาไปให้ทำไม คืออยุ่ติดตลอด ท่านไปแล้วครอบครัวยังอยู่ ท่านผู้นั้นตายแล้วก็ยังมา ไม่ใช่พอตายแล้วก็ไม่มา ยังมาอยู่ ลูกอยู่ก็มาเยียมมาเยียน ถึงวันนั้นเคยมาอย่างไรก็มา แล้วเป็นคนเจริญชีวิตดี ก้าวหน้า ค้าขายเจริญก้าวหน้า ค้าขายดี ลูกหลายดี เพราะมีธรรมะเป็นหลักครองใจ คนเราถ้าพ่อแม่มีคุณธรรม ลูกก็มีคุณธรรมถ่ายภาพไป ครอบครัวนั้นก็เจริญก้าวหน้าเป็นไปด้วยดี เรื่องเป็นอย่างนี้ ธรรมเนียมเก่าๆ ที่เขาให้เราทำอย่านึกว่าเล่นๆ มันมีเครื่องนึกทางจิตใจเป้นสิ่งปลูกฝังให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เขาจึงทำกันอย่างกว้างขวางในหมู่คนไทยทั่วๆ ไป สมัยเด็กๆ นี้มีคนแก่อยู่ในบ้าน เวลาเขาทำขนมวันสาร์ทจะทำขนมกัน บ้านคนแก่ขนมมาก คนเอาไปให้ บ้านนั้นเอามาให้ คนนี้เอามาให้ มีอะไรก็เอามาให้กัน เพราะนับถือคนแก่ ไม่ได้เป็นญาติอะไร แต่ว่าเป็นคนแก่กว่าเพื่อนในหมู่บ้านนั้นเขาก็นับถือ เอาของมาให้มีงานมีการก็ต้องเชิญมานั่งเป็นประธานในพิธี แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญสุนทาน ต้องเชิญมานั่งเป็นประธาน บ้านไหนไม่เชิญคนแก่มา ก็จะบอกว่าบ้านนี้ทำอะไร ทำไมตาคนนั้นไม่มา แสดงว่าไม่ได้เรื่องแล้ว มันขาดคนไป ก็ต้องมาเชิญเป็นประธานในงานมานั่ง พอมานั่งเป็นประธานในงานแล้ว คนมาถึงก็ยกมือไหว้ไปกราบเคารพบูชาเป็นมงคลแก่เจ้าของบ้าน เป็นมงคลแก่ผู้มาในงาน สิ่งดีๆ งามๆ เวลานี้กำลังจะจางไปเรื่อยๆ จางไปเรื่อยๆ แล้วถ้าสิ่งดีงามมันหมดไป เราก็จะอยู่ในสภาพอย่างไร มันก็มืดบอดมีปัญหา สร้างความทุกข์ความเดือดร้อน จึงขอให้เราช่วยกันรักษาคุณธรรมอันดี อันงามของบรรพบุรุษไว้ ถ้ารักษาคุณงามความดีของบรรพบุรุษ บรรพบุรุษไม่ได้ตายจากเราไป เพราะความดีนั้นเราถ่ายทอดมาไว้ในจิตใจของเราเหมือนกับท่านอยู่กับเราตลอดไป เราก็มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป อันนี้เป็นข้อคิดในวันสงกรานต์คือวันนี้ วันนี้เป็นวันตรุษสงกรานต์ พรุ่งนี้อีกวัน มะรืนนี้ วันอาทิตย์คนคงจะมากันมาก เพราะหยุดงาน ตอนนี้ก็หยุดไปเที่ยว ไปบ้านนอก บ้านนา ไปไหว้ผู้เฒ่าผู้แก่ ที่นี่มาอยู่เป็นประจำวันอาทิตย์ก็มาได้ไม่เป็นไร จึงขอขอบใจญาติโยมที่มาในวันนี้ และก็ได้ฟังธรรมกัน ต่อนี้ไปเราก็มานั่งสงบใจกันเป็นเวลา ๕ นาที