แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่าน ที่เดินอยู่นั่งเสียให้เรียบร้อย หาที่นั่ง อย่าเดินไปเดินมา เวลานี้เป็นเวลาที่จะได้ศึกษาธรรมะด้วยการฟัง ก็ควรจะนั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่ง ที่สามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงได้ชัดเจน และจงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
หน้านี้เริ่มหน้าร้อนแล้ว ความจริงก็ไม่ร้อนเท่าไหร่ เพราะว่าฝนก็เริ่มตกลงมาแล้ว เมื่อคืนก่อนนี้ ฝนตกมากที่วัด น้ำเจิ่งไปหมดในบริเวณโบสถ์ เดี๋ยวนี้ก็ยังระบายออกไม่หมด เพราะว่าท่อมันตัน อันนี้ ญาติโยมมาวัดก็คงจะรู้สึกร้อน หน้าร้อนนั่งเฉยๆแล้วมันร้อนน้อยหน่อย ถ้าไปนั่งพัดมันก็ยิ่งร้อนใหญ่ เพราะว่าพัดนี้มันต้องออกกำลัง ออกกำลังมันก็ร้อนนั่นแหละ อันนี้นั่งเฉยๆ นั่งนึกว่าไม่ร้อน ก็สบาย ถ้านึกว่าร้อนมันก็ร้อน ถ้านึกว่าเย็นมันก็เย็น เรานึกเอาเองทั้งนั้น เรื่องร้อนเรื่องเย็นเรื่องสุขเรื่องทุกข์เรื่องอะไรต่ออะไร เรานึกเอาแล้วก็เป็นไปตามที่นึก นึกว่าไม่ร้อน นั่งเฉยๆ มันก็สบาย ไม่ต้องลำบาก
เมื่อวานนี้ ได้ไปที่สถาบันการศึกษาเขาเรียกว่า ราชมงคล เขารวมวิทยาลัยเทคนิคหลายที่หลายแห่งเข้ามาด้วยกัน เรียกว่า ราชมงคล ในหลวงท่านตั้งชื่อให้อย่างนั้น แล้วก็นักเรียนก็สอบไล่ได้ปริญญา ได้มีการปัจฉิมนิเทศ เลยนิมนต์พระไปพูดด้วย เพื่อให้เขาได้เกิดความสำนึก ในความเป็นบัณฑิต มีพูดแล้ว แต่ว่าเขาไม่ได้อัดเสียงไว้ ก็นึกว่าจะเอามาพูดวันนี้อีกทีหนึ่ง เพื่อจะได้อัดเสียงไว้ ทีหลังใครต้องการก็จะเอาไปอ่านไปศึกษาได้ หรือใครจะพิมพ์แจกกันในงานฉลองบัณฑิตกันก็จะได้เอาไปพิมพ์ ได้ เพราะว่าเขาฉลองกันใหญ่โตเหมือนกันบัณฑิต หลวงพี่ฉ้วนแกก็ได้เป็น ด๊อกเตอร์ ไม่รู้ฝรั่งไหนเอามาให้ ได้แล้วก็ฉลองมีระบำด้วย มีระบำนุ่งน้อยห่มน้อยไปเต้นอยู่บนศาลา ครึกครื้นกันใหญ่ คนก็รับแจกท่านปลัดกันเป็นการใหญ่ แจกปลัดจนได้ด๊อกเตอร์เหมือนกัน ฝรั่งอะไรไม่รู้ได้เอามาให้ เขาได้ฉลองกันแล้ว อันนี้เวลาฉลองก็พิมพ์หนังสือความเป็นบัณฑิตไปแจก มันก็ดีเหมือนกัน
เมื่อวานนี้ก็พูดให้เขาฟัง ว่าที่เราได้มาประชุมกันวันนี้ เพื่อรับความรู้ความเข้าใจบางเรื่องสำหรับไปต่อสู้กับปัญหาชีวิต เพราะว่ามาเรียนอยู่นี้ยังต่อสู้ไม่เท่าไหร่ ก็มีคนหนุนหลังอยู่ คนที่หนุนหลังก็คือคุณพ่อคุณแม่ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เราผู้เป็นนักเรียนนักศึกษา พอจบการศึกษาได้ปริญญาคุณพ่อคุณแม่ก็สบายใจ แต่สบายใจได้ไม่นาน ยังเป็นทุกข์ต่อไป เป็นทุกข์เพราะว่าลูกได้ปริญญาแล้วยังไม่มีงานทำ ไม่ใช่ว่าพอได้ปริญญาปุ๊บก็ได้งานปั๊บเมื่อไหร่ งานมันก็หายาก คนมันมาก ถ้าใครเก่งก็เอาไป ใครไม่เก่งก็ต้องรอไปก่อน มันเป็นเรื่องที่สร้างความทุกข์เป็นปัญหาอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเมื่อใดได้มีงานทำ มีเงินเดือนเองใช้ คุณพ่อคุณแม่ก็สบายใจ หมดภาระไปตอนหนึ่ง แต่จะเรียกว่าหมดทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะพ่อแม่ที่มีความยึดถือในลูกมาก มีความรักลูก อยากจะเห็นลูกเจริญก้าวหน้า ทุกแง่ทุกมุม บางทีจบการศึกษามีงานทำแล้ว ก็ยังเป็นทุกข์อีก เรื่องการแต่งงาน ลูกมักจะแต่งงานตามที่ตัวชอบ แต่ว่าคุณแม่มองแล้วอาจจะไม่ชอบก็ได้ มีแม่คนหนึ่งลูกเรียนแพทย์แล้วก็ไปรักแพทย์เข้าอีกคนหนึ่ง แต่ว่าพาไปบ้านแม่เห็นแล้ว ไม่สมควรจะเป็นลูกสะใภ้ของแม่เลย เพราะรูปร่างมันไม่สวย ตัวเตี้ย คอสั้น หน้าตาไม่เข้าท่าเลย บอกว่าแหมความดีเขามีแหละลูกเอ๊ย แต่ว่าแม่ดูแล้วมันไม่สบายใจ ลูกสะใภ้ของแม่มันต้องดีกว่านี้หน่อย บอกลูกชายว่า อย่าเอาเลยคนนี่น่ะ แต่ลูกชายบอกว่าผมรักมัน มันรักมัน บอกว่าอย่ารักแรงลูกเอ๊ย เบาๆไว้หน่อย ดูๆไปอีกหน่อยเผื่อว่าจะมีดีกว่านี้ ถ้าเป็นห่วงนะแม่ก็เป็นห่วง ปรารภให้ฟังว่าจะทำอย่างไร นี่ก็เพราะความยึดถือในลูกมากเกินไป เป็นห่วงเป็นใยถึงการแต่งงานของลูก กลัวจะได้ไม่ดี แต่มันก็ลำบาก ลูกเขาก็คิดไปอย่างหนึ่ง แม่ก็คิดไปอย่างหนึ่ง ก็ยังเป็นปัญหาอยู่สำหรับลูกที่ได้ปริญญาแล้ว
นี้พวกเราที่ได้ปริญญาแล้วเขาเรียกเป็นบัณฑิต บัณฑิตนี้ก็แปลว่าผู้รักษาตัวรอด รักษาตัวรอดจึงเรียกว่าเป็นบัณฑิต เป็นบัณฑิตแล้วเอาตัวไม่รอดก็มีเหมือนกัน บางทีเป็นถึงชั้นด๊อกเตอร์แต่ยังเอาตัวไม่รอด เอาตัวไม่รอดเพราะว่าปล่อยตัวปล่อยใจ ไปตามอารมณ์ตามสิ่งแวดล้อม ไม่มีธรรมะเป็นเครื่องประคับประคองใจ เพราะศึกษาแต่วิชาการที่จะเอาไปทำมาหากิน แต่ไม่ได้ศึกษาวิชาการในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของตนอย่างแท้จริง จึงไม่มีเครื่องมือสำหรับควบคุมตัวเอง ก็เลยไหลไปตามอารมณ์ตามสิ่งแวดล้อม ยิ่งมีค่าสูงเพราะเป็นบัณฑิตชั้นสูง เช่นเป็นปริญญาเอกนี้มีค่ามาก ใครๆก็เข้ามาหามาประจบประแจง แล้วอาจจะทำอะไรผิดพลาดขึ้นในชีวิต ผลที่สุดก็ปลงไม่ตก ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยฆ่าตัวตายไปก็มี เมื่อปลายปี ๒๕๓๑ ด๊อกเตอร์ฆ่าตัวตายไปรายหนึ่ง พอขึ้น ๒๕๓๒ ได้สองวันตายไปอีกรายหนึ่ง ที่หลวงพ่อรู้ก็เพราะว่าเขาเอาไปเผาที่วัด แต่ว่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่เทศน์หน้าศพนั้น ถ้าได้เทศน์ก็นึกว่าจะต้องเทศน์ให้จั๋งหนับเข้าไปเลยเพราะมีตัวอย่างวางอยู่เฉพาะหน้า เป็นการยืนยันคำโบราณที่เขาพูดว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด อันนี้เป็นคำพูดของคนโบราณพูดดักไว้ ไม่ให้หยิ่งในความรู้ไม่ให้เมาความรู้ ไม่ให้หลงในความรู้มากเกินไป แล้วจะเอาตัวไม่รอด คือว่าเอาตัวไม่รอดพ้นไปจากความตกต่ำทางจิตใจ มันมีตัวอย่างอยู่ถมไป สมัยก่อนมันมีน้อยเพราะคนมีความรู้น้อย แต่เดี๋ยวนี้คนมีความรู้มาก เรียกว่าท่วมหัวท่วมหู แต่เอาตัวไม่รอด มีอยู่ถมไป อันนี้ก็ต้องรู้จักความเป็นบัณฑิตของเราไว้ ว่าเป็นบัณฑิตต้องรู้จักรักษาตัวรอด การที่จะรักษาตัวให้รอดพ้นไปจากความตกต่ำทางจิตใจนั้น มันต้องเป็นบัณฑิตอีกแบบหนึ่ง คือ เป็นบัณฑิตที่มีคุณธรรม ก็ความเป็นบัณฑิตที่ขาดคุณธรรมนั้นเอาตัวไม่รอด เพียงแต่มีความรู้มันไม่พอใช้ แต่ต้องมีคุณธรรมคู่กับความรู้ บัณฑิตในทางภาษาบาลี จึงแปลว่า ผู้รู้จักรักษาตัวรอด คือ รู้จักประคองตัวเองให้รอดพ้นจากปัญหาในชีวิตประจำวัน มีอะไรเกิดขึ้นก็รู้จักแก้ไขปัญหา การที่รู้จักแก้ไขปัญหาก็เพราะมีธรรมะเป็นเครื่องมือ แต่โดยมากไม่ค่อยจะสนใจ ก็นึกว่าเราเป็นบัณฑิตเป็นด๊อกเตอร์มีความรู้พอแล้ว เลยไม่สนใจศึกษาธรรมะ ไม่ค่อยจะไปวัด ถ้าจะไปวัด ยังไปวัดแบบคนปัญญาอ่อน ให้พระดูดวงชะตาราศรีว่าเมื่อไรจะได้เลื่อนชั้นเลื่อนเงินเดือน หรือไปให้พระรดน้ำมนต์ ไปสะเดาะเคราะห์ อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นบัณฑิตที่ปัญญาอ่อน ยังไม่เป็นบัณฑิตที่มีปัญญาแก่กล้า เพราะว่าไม่ศึกษาแนวทางชีวิตที่ถูกต้อง ตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
เราทั้งหลายที่เป็นบัณฑิตส่วนมากคงจะเป็นพุทธบริษัท เป็นผู้นับถือพระพุทธ ศาสนา แต่ว่าเคยถามตัวเองบ้างหรือเปล่า ว่าเราเป็นชาวพุทธขนาดไหน เรามีความเชื่อถูกตรงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า เรามีความ แนวคิดการกระทำถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า เราใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันของเราหรือเปล่า บางทีอาจจะไม่เคยคิดอย่างนั้น เพราะไม่ได้ศึกษาสนใจ เหตุที่ไม่สนใจก็เพราะนึกว่าไม่จำเป็นแก่ชีวิต เรามีความรู้หาอาหารใส่ท้องได้ หาเงินมาใช้ได้ มันก็พอแล้ว นึกอย่างนี้ ก็เพียงเรียกว่า นึกเพียงด้านวัตถุ นึกแต่เพียงด้านร่างกายฝ่ายเดียวไม่นึกถึงด้านจิตใจ คนเราที่มีชีวิตไม่ได้มีแต่เพียงร่างกาย ถ้ามีแต่เพียงร่างกาย ก็เป็นท่อนไม้ท่อนฟืนเหมือนกับศพ ไม่มีลมหายใจ ไม่มีไออุ่น ไม่มีความรู้สึก ก็มีร่างกายอยู่ แต่ร่างกายของศพนั้นทำอะไรได้ นอนนิ่งเฉยไม่สามารถจะเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง ต้องช่วยกันยกช่วยกันหามเอาใส่เตาเอาไปเผากัน นั่นมันมีแต่เพียงกาย เผาแล้วก็เป็นขี้เถ้า เป็นกระดูกก็ยังเป็นฝ่ายกายอยู่ เราไม่ได้อยู่แต่เพียงร่ายกาย จึงเรียกว่ามีชีวิต แต่เรามีใจอยู่ในร่างกายนี้ด้วย ในภาษาของธรรมะเขาเรียกว่า รูปนามหรือนามรูป นาม ก็คือ ใจ รูปก็คือร่างกายทั้งหมด รูปคือสิ่งที่สัมผัสด้วยประสาทห้า สัมผัสได้ด้วยตา ด้วยหู ด้วยจมูก ด้วยลิ้น ด้วยกาย สิ่งนั้นเรียกว่าเป็นรูป รูปนี้เป็นวัตถุที่เกิดขึ้นจากการประกอบของธาตุต่างๆ ไหลไปตามอำนาจของการปรุงแต่ง เมื่อส่วนประกอบยังพร้อมก็เป็นรูปร่างอยู่ได้ ถ้าส่วนประกอบไม่พร้อมก็เกิดอาการวิปริตผิดปกติคือเจ็บไข้ได้ป่วย โรคภัยไข้เจ็บก็เกิดขึ้น ถ้าเป็นโรคร้ายก็อาจถึงแก่ความตาย ถ้าเป็นโรคที่ไม่หนัก ก็พอที่จะรักษาได้ ถ้ารีบรักษา หากปล่อยไว้โดยประมาทก็หนักเหมือน แล้วอาจจะถึงตายได้ นี้เป็นเรื่องของร่างกาย คนเราโดยมากมักจะดูกันแต่เพียงร่างกาย คนจึงได้แต่งตัวกันนักหนา แต่งกันจนกระทั่งว่ามากมายก่ายกอง ก็เพราะว่ามันเป็นที่มองเห็นได้ คนดูได้ ชอบหรือชังได้ จึงแต่งร่างกาย แต่ไม่คิดถึงการแต่งใจ ซึ่งมันอยู่ภายในร่างกาย พระพุทธเจ้าสอนให้เราเข้าใจว่าอะไรๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น มันเกิดมาจากใจ คือ ใจคิด แล้วจึงพูดจึงทำ จึงอย่างนั้นจึงอย่างนี้ด้วยประการต่างๆ จึงถือว่าใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน ในเรื่องอะไรๆต่างๆของชีวิต แต่ว่าคนเราให้ความสนใจแก่ใจน้อย ให้ความสนใจแก่ร่างกายมาก บรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายที่โรงงานประดิษฐ์ขึ้น ล้วนแต่เป็นเครื่องประกอบกายทั้งนั้น ไม่มีโรงงานไหนประดิษฐ์เครื่องประกอบใจ เพราะเครื่องประกอบใจมันไม่ใช่วัตถุ แต่มันเป็นคุณค่าที่เกิดขึ้นในใจ สิ่งนั้นเราเรียกว่า ธรรมะ คนเราจึงต้องมีธรรมะเป็นหลักครองใจ ถ้าไม่หลักธรรมะเป็นหลักครองใจ ใจก็ไม่สมบูรณ์เรียกว่า จิตผิดปกติ เมื่อจิตผิดปกติการพูดก็ผิดปกติ การกระทำก็ผิดปกติ การคบหาสมาคมอะไรต่างๆมันก็ผิดปกติไปหมด เพราะมันฐานมันเสีย สิ่งที่เกิดจากฐานเสีย มันจึงเสียไปด้วย อันนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ จึงใคร่ของเตือนบัณฑิตทั้งหลายว่า อย่ามัวแต่ตกแต่งร่างกาย แต่จงตกแต่งใจของตนด้วย การแต่งใจนั้นต้องเอาศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องตกแต่งใจ ถ้าใจเรามีศีลธรรมชีวิตก็ดีขึ้น
ที่สถาบันราชมงคลนี้ เมื่อตะกี้นี้ท่านรองคณาจารย์ รองอธิการได้พูดว่า สถาบันนี้โฆษณามานานแล้วแต่ไม่ได้ถึงเป้า ไม่ค่อยมีคนรู้จัก แต่นักศึกษาของสถาบันนี้ไปประกวดนางงาม ได้เป็นนางงามขึ้นมาคนหนึ่ง คนก็สนใจสถาบันนี้ รู้จักสถาบันนี้ อยากจะมาเยี่ยมสถาบัน ไม่ใช่มาดูสถาบัน แต่อยากจะมาดูนางงามนั่นเอง แต่นางงามที่เขาประกวดกันนั้น เขาประกวดร่างกายทั้งนั้น ประกวดความสวยไม่ใช่ประกวดความงาม ความสวยมันเป็นเรื่องของสิ่งภายนอก แต่ความงามมันอยู่ข้างใน คนบางคนรูปสวยแต่ไม่งามก็ได้ เขาจึงพูดว่าสวยแต่นอก ข้างในไม่สวย หรือพูดว่างามแต่รูปจูบไม่หอม หรือไม่มีความดีให้ดมนั่นเอง เลยไม่หอมอะไร คนที่เป็นนางงามก็ต้องอย่างามแต่ภายนอก อย่าเอาแต่ความสวย ต้องให้ใจงามด้วย มาหรือเปล่า ได้ถามไปอย่างนั้น ไม่มา ไม่มา บอกแหมเสียใจหลวงพ่อไม่ได้เห็นนางงามวันนี้ มาด้วยก็จะได้เห็น ชื่นใจหน่อย แต่ไม่เห็น ไม่เป็นไร วันอื่นคงจะเห็น แต่ว่าเห็นอาจไม่งามแล้วก็เป็นได้ เพราะว่าตอนแก่มักจะไปวัดกัน ไปก็ไม่งามแล้วร่างกายแต่งามใจ ดังนั้นต้องทำใจให้งามด้วย งามใจก็ต้องมีธรรมะประจำใจ ธรรมะที่ทำให้งามนั้นมีนะ พวกเราที่ยังไม่เข้าประกวดจำไว้ด้วย บอกกับนักศึกษาอย่างนั้น จำไว้ แล้วเอาไปประดับไว้ที่ใจ
ธรรมอันทำให้งามนั้นมีสองอย่างเขาเรียกว่า ขันติ โสรัจจะ ขันติคือความอดทน โสรัจจะคือความเสงี่ยม สองอย่างนี้ทำให้งาม ทำให้เรียบร้อย ทำให้น่าดูน่าชม ขันติอดทน คือ อดทนต่อสิ่งยั่วยุ ใครจะมาด่ามาว่าก็นั่งเฉยๆ ไม่แสดงอาการ มือไม่สั่น ปากไม่สั่น ไม่แสดงอาการโกรธอาการอะไร ไม่ด่าตอบ ไม่โต้ตอบกับคนที่มาด่ามาว่าเรา หรือว่าได้เห็นอะไรที่เป็นของน่าตื่นเต้น ก็ไม่ตื่นเต้น แต่รักษากริยามารยาท เขาเรียกว่าเป็นผู้ดี ผู้ดีนั้นคือไม่ตื่นเต้นไม่วุ่นวายกับสิ่งที่มากระทบ ไม่แสดงอาการระริกริกรี้ เหมือนกับปลากระดี่ได้น้ำ ปลากระดี่มันอยู่ในน้ำในนา พอฝนตกเหมือนตกเมื่อคืนก่อน ปลากระดี่ก็โอ้ยดีอกดีใจ ว่ายกันไม่ได้เป็นแถวไปเลย แล้วก็มันก็เกิดด้วยนะปลากระดี่นี่ มัน คือมันไข่ไว้ในดิน พอฝนตกน้ำเจิ่นไข่ก็กลายเป็นตัวปลาขึ้น มา คนก็ไปกวาดต้อนเอาไปลงหม้อแกงกันเป็นแถวไปเลย เขาเรียกว่าระริกกระซิกกระซี้ ภาษาเขาเรียกอย่างนั้น ทำวุ่นวาย คนที่รักษาความงามทางใจนั้นจะไม่วุ่นวาย ไม่ตื่นเต้นต่อสิ่งที่ได้ประสบพบเห็น ไม่วี๊ดว๊าด โดยมากพอเห็นอะไร วี๊ดว๊าดกระตู้วู้อะไรอย่างนั้น อย่างนั้นมันไม่ใช่สมบัติของผู้ดีมีคุณธรรม ผู้ดีนั้นเขานั่งเฉยๆ ดูด้วยอาการที่สุภาพเรียบร้อย ไม่แสดงอาการตื่นเต้นลิงโลดกับสิ่งเหล่านั้น เวลาได้ก็ไม่ดีใจจนเป็นลมไป เวลาเสียใจก็ไม่เสียใจเป็นลมไป แต่มีปัญญารู้ว่า ถึงได้ก็อย่างนั้นไม่ได้ก็อย่างนั้น มันเรื่องสมมุตินั่นเอง มีพื้นฐานปัญญาทางจิตใจ รู้ว่าอะไรเป็นอะไรถูกต้อง แล้วไม่ตื่นเต้นในสิ่งเหล่านั้น อันนี้เรียกว่ามีความอดทน ไม่แสดงอาการออกมานอกหน้า ไม่เหมือนกับคนที่ถูกล็อตเตอรี่บางคน พอเขาบอกพอจดพอดูๆไปเลขมันตรงหมดทุกตัวกระโดดขึ้นไปเลย กระโดดตัวลอยขึ้นไป เวลาตกลงมาปวดตะโพกไปหลายวัน เขาเรียกว่าขาดความอดทน ตื่นเต้นมากเกินไป ดีใจมากเกินไป บางคนดีใจล่วงหน้าว่าจะได้อะไร เชิญพวกมากินเลี้ยง แต่พอเอาจริงเข้ากลับไม่ได้ หน้าจ๋อยไปเลยทีเดียว นี่ไม่ใช่วิสัยของบัณฑิต ไม่ใช่วิสัยของผู้มีความอดทน มีพระพุทธภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า นะ ปุจจา วะจัง บัณฑิตา ทะสะ ยันติ นะ ปุจจา วะจัง บัณฑิตา ทะสะ ยันติ แปลว่า บัณฑิตย่อมไม่แสดงอาการขึ้นลง คือไม่ขึ้นในเรื่องยินดี ไม่ลงในเรื่องยินร้าย คนเรามักขึ้นในเมื่อกระทบสิ่งที่พอใจ อะไรที่เราพอใจภาษาธรรมะเรียกว่า อิฏฐารมณ์ อิฏฐารมณ์ แปลว่า อารมณ์ที่ชื่นใจ พอใจ ดีใจ นั่นมันมักจะขึ้น อนิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ มักจะลง หน้าเหี่ยวหน้าแห้งหน้าซีดหน้าเซียว แสดงอาการอย่างนั้น แสดงว่าจิตใจไม่มั่นคง แต่คนที่มีจิตใจมั่นคงนั้น จะวางเฉยในสิ่งเหล่านั้น ไม่แสดงอาการอะไร นั่นเป็นลักษณะของบัณฑิต คือไม่แสดงอาการขึ้นลงกับสิ่งเหล่านั้น การที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะมีการฝึกฝนมานานในเรื่องความอดทน ความอดทนมันเกิดเพราะการบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง เอาอะไรมาคุม ก็เอาสติปัญญานั่นแหละคอยคุมไว้ สติคอยคุมไว้ ปัญญาคอยคุมไว้ แล้วก็ไม่แสดงอาการอะไร ทำบ่อยๆจนชินเป็นปกตินิสัย อะไรมากระทบก็เฉยได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยินดี ฝ่ายยินร้าย ก็ไม่แสดงอาการ อย่างนี้เรียกว่าความอดทน คนที่มีน้ำอดน้ำทนนั่นแหละเป็นผู้งามแท้ จิตใจมั่นคง เพียงอดทนอย่างเดียวไม่พอ ท่านบอกว่าต้องเสงี่ยม คือ ควบคุมประสาทของตัวเองได้ ไม่ให้แสดงอาการ เช่น ปากสั่น มือสั่น หน้าแดง หูแดง อะไรนี่ ที่ไม่มีความเสงี่ยมไม่มีความสงบเสงี่ยม ผู้มีความสงบเสงี่ยมนั้นไม่แสดงอะไร ที่ไม่แสดงอะไรเพราะรู้ทัน รู้เท่า ต่อสิ่งนั้นทันท่วงที สติมาทันปัญญาตามมาทันที เลยไม่แสดงอาการอะไร ในเรื่องที่เขาแสดงกัน ชาวโลกเขาแสดงอย่างไร แต่ว่าบัณฑิตจะไม่แสดงอย่างนั้น จะควบคุมอารมณ์ไว้ได้ไม่แสดงอาการอะไร อย่างนี้เขาเรียกว่ามีธรรมะเป็นเครื่องประดับ งามแท้คืองามใจ เพราะมีขันติ มีความสงบเสงี่ยม ธรรมสองข้อนี้เรียกว่าธรรมให้งาม
เมื่อตะกี้นี้ เมื่อหลวงพ่อเข้ามาในห้องเรียน ได้เห็นว่าพวกเรายังไม่ค่อยจะเรียบร้อย เลยพูดกับอาจารย์ว่ายังเป็นเด็กกันอยู่ ยังเป็นเด็ก อาจารย์ อาจารย์ก็ไม่รู้ บอกว่านี่จบปริญญาแล้วหลวงพ่อ จบปริญญาอายุ ๑๕, ๑๖, ๑๘ , ๒๐ ก็มี ก็ว่าอายุมันมากแต่ว่าจิตใจมันยังเป็นเด็กอยู่ ดูเวลาเข้าห้องเจี๊ยวจ๊าวเจี๊ยวจ๊าวเหมือนกับนกเข้ารัง เวลานกมารังนี่มันเจี๊ยวจ๊าวก่อกวน ไก่ขึ้นร้านก็เจี๊ยวจ๊าวก่อกวน มันเจี๊ยวจ๊าว อันนี้คือผลของการอบรมในโรงเรียน เราอบรมไม่ดีพอ บางทีโรงเรียนอนุบาลอบรมดี พอถึงชั้นประถมไม่ดีเท่า ไปมัธยมยิ่งไปกันใหญ่ พออุดมศึกษาไปเลย ไม่ตลอด อบรมไม่ตลอด เพราะนึกว่าโตแล้ว ไอ้นึกว่าโตแล้วนี่ทำให้เสียหาย มันโตจริงคือ กายมันโตแต่ใจมันไม่เติบโต เพราะเราไม่ได้อบรมให้ เกิดความสำนึกรู้สึกผิดชอบชั่วดี แล้วก็คุยกันดังลั่นไปหมด เหมือนนักเรียนโรงเรียนทั่วๆไปที่คุยกันอย่างนั้น นานๆจะเห็นนักเรียนเข้าชั้นเรียบร้อยสักแห่งหนึ่ง เช่น โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยนี้เข้าห้องประชุมเรียบร้อย เดินกันมาเป็นแถว จากสำนัก ที่พัก คณะนั้น คณะนี้ แล้วเดินเรียบร้อย ไม่ตีหลังกัน ไม่จี้สีข้างกัน ไม่เตะก้นกันมา ไอ้ที่อื่นมักจะทำอะไรๆกัน ไอ้เด็กข้างหลังต่อยคนข้างหน้ามั่ง เตะมั่งจี้มั่งทำหยอกล้อกันไปตลอดทางเหมือนทหารพระรามเดินไปงั้น แต่ที่นั่นเขาเรียบร้อย เดินเรียบร้อย เคยได้ไปเห็น เขานิมนต์ไปเทศน์ แต่เขาเทศน์วันอาทิตย์ เลยไปไม่ได้ ไปทีเดียวพอ บอกมา มาครั้งเดียวพอ ได้เห็นได้รู้แล้วว่าสภาพของโรงเรียนนี้เป็นอย่างไร สมพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระดำริตั้งโรงเรียนแบบนี้ขึ้น ท่านไปอยู่อังกฤษ ไปเห็นโรงเรียนที่นี้แบบอังกฤษ เขาเรียกว่า พลับลิกสคูล พลับลิกสคูล นี้เป็นโรงเรียนกินนอน เขาฝึกเด็กให้มีระเบียบมีวินัยตามแบบของคนอังกฤษ คนอังกฤษเขามีระเบียบมีวินัยมาก เขาก็ฝึกเด็กของเขาอย่างนั้น แล้วก็เรียบร้อย เข้ามาในที่ประชุมเงียบ ไม่มีพูดกันเลย ทุกคนนั่งเงียบ พอถึงเวลา เมื่อมาประชุมพร้อม ก็มีหัวหน้าลุกขึ้นนำไหว้พระสวดมนต์ สวดมนต์แบบนักเรียน สวดแบบนักเรียน เพราะว่าสวดได้กันแบบทุกคน แล้วพอถึงเวลา ก็พระขึ้นเทศน์มีธรรมาสน์แบบโบราณ มาก็ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ ให้ศีล ตั้งนะโม แสดงธรรม นักเรียนก็ฟังกันไปจนกระทั่งจบเป็นที่ประทับใจ แล้วต่อมาก็มีอีกโรงเรียนหนึ่ง คือ โรงเรียน ภปร.ที่สามพราน ได้ไปเทศน์ที่นั่นได้เห็นว่า อ๋อ นี่ถ่ายแบบจากวชิราวุธเรียบร้อยดี เขาฝึกกันอย่างนั้น ให้เรียบร้อย ตามโรงเรียนทั่วไปยังไม่เป็นอย่างนั้น เคยไปบางโรงเรียนพอเข้าห้องก็วิ่งกรูกันมาเลย เลยบอกครูๆเรียกเด็กออกไปใหม่ ไปเข้าแถวใหม่ เมื่อตะกี้ ดูแล้วมันไม่สวยงาม ครูก็เรียกออกไปทั้งหมด แล้วก็เข้าแถว บอกให้เดินเป็นแถว ให้นั่งข้างหน้าให้เต็ม ที่หนึ่งที่สองที่สามที่สี่ที่ห้านั่งให้เต็มตามลำดับเรียบร้อย ไปเทศน์ที่โรงเรียนตำรวจที่วิภาวดีเข้าห้องประชุมก็เหมือนเด็กนักเรียน เลยบอกผู้บังคับบัญชาว่า เจริญพร ให้พวกนี้ออกไปเข้าแถวใหม่แล้วเข้ามาใหม่ เข้ามาให้เรียบร้อย ให้มันน่าดูสักหน่อย ได้ เลยเรียกให้ไปเข้าแถวใหม่ แล้วเข้ามาให้เป็นระเบียบเรียบร้อย คือ คนที่ฝึกนี้ไม่สนใจ ไม่สนใจความมีระเบียบวินัย
ไอ้ระเบียบวินัยนี่มันเป็นฐานใหญ่ของประเทศชาติ ประเทศชาติต้องมีระเบียบวินัย ชาติต่างๆที่มีความเจริญ ก้าวหน้า เป็นมั่น ความ เป็นหลักเป็นฐานมั่นคงนั้นเราศึกษาดูแล้วว่าเคร่งในระเบียบวินัยมาก คนอังกฤษถือระเบียบวินัยเหลือเกิน คนเยอรมันก็มีระเบียบวินัย คนญี่ปุ่นก็มีระเบียบวินัย แต่คนฝรั่งเศสไม่เหมือนคนอังกฤษคนเยอรมันเอะอะมะเทิ่ง ชอบพูดจายกไหล่ ซ๊อกแซ๊กๆอยู่ตลอดเวลา ถ้ารถติดนี่คนฝรั่งเศสต้องบีบแตรก้องไปทั้งเมือง แต่คนอังกฤษรถติดเขานั่งเฉย เขาสงบอารมณ์ เขามีขันติ มีความสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เขาไม่เอะอะ เขารู้ว่ามันไปไม่ได้ บีบแตรให้แตรแตกมันก็ไปไม่ได้แล้วบีบทำไม เสียลักษณะของผู้ดีอังกฤษเปล่าๆ เขา เขาไม่วุ่นวาย เขาไม่เอะอะมะเทิ่ง คนเขาอย่างนั้น เพราะนั้นเขาจึงรักษาความเป็นระเบียบ โรงเรียนอังกฤษเด็กแต่งตัวเรียบร้อย ไปโรงเรียน นุ่งกางเกงยาว ใส่เสื้อนอก ผูกไทด์ทั้งนั้น ดูแล้วเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ว่านักเรียนอเมริกันนี่ไม่เหมือนอังกฤษ ตามชอบใจ นุ่งสีอะไรก็ได้ กางเกงยาวก็ได้ กางเกงสั้นก็ได้ ถ้าหน้าร้อนจะใส่รองเท้าอะไรก็ได้ ดูแล้วมันไม่ค่อยมีระเบียบ ฐานไม่เหมือนคนอังกฤษเขา ก็น่าเห็นใจเพราะคนอเมริกันนั้นคนหลายชาติหลายภาษาเข้าไปอยู่รวมกัน จะให้เป็นทองแค่เปอร์เซ็นต์อย่างหนึ่งอย่างเดียวกันมันก็ไม่สะดวก ด้วยประการต่างๆ เขาก็เป็นอย่างนั้น พูดให้นักศึกษาฟังว่าเราต้องฝึกกันใหม่ ฝึกความเป็นระเบียบเรียบร้อยที่เราเป็นบัณฑิตรุ่นใหม่ ออกไปแล้วช่วยกันเป็นบัณฑิตให้สมศักดิ์ศรี ให้มีระเบียบมีวินัยแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อย อย่าแต่งให้มันโลดโผนโจนทะยานเกินไป มันสิ้นเปลืองเงินด้วย แล้วก็ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ก็บอกเขาไปอย่างนั้น ให้รู้จักว่าคุณค่าของความเป็นบัณฑิตนั้นมันอยู่ที่อะไร
ถ้าเราพูดต่อไปถึงเรื่องว่า สิ่งบกพร่องที่เราจะช่วยกันแก้ไขในบ้านเมืองของเรามีอะไรบ้าง เรื่องแรกก็คือ เรื่องเวลา ก็ปรากฏว่านักศึกษามาหลังจากเปิดการประชุมแล้วหลายคน อันนี้เรียกว่าไม่ตรงต่อเวลา เรื่องเวลานี่พระพุทธเจ้าท่านสอนมาก สอนไว้มาก เช่น สอนให้คิดบ่อยๆ ให้พระภิกษุสงฆ์คิดบ่อยๆ ให้อุบาสกอุบาสิกาคิดบ่อยๆ คิดว่าเวลาล่วงไปๆบัดนี้ทำอะไรอยู่ เวลาล่วงไปๆบัดนี้ทำอะไรอยู่ ทำไมให้คิดอย่างนั้น ก็ เพื่อให้รู้ว่าเวลาเป็นของมีค่าสำหรับชีวิต เวลามีปกติผ่านไปๆอยู่ตลอดเวลา เวลาไม่อยู่นิ่ง เวลามันเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงของเวลาก็เกิดจากโลกมันหมุน โลกที่เราอยู่นี่มันไม่ได้อยู่นิ่งมันหมุนอยู่ตลอดเวลา เพราะโลกหมุนมันทำให้เกิดเวลา เกิดกลางวันเกิดกลางคืน แล้วก็ซอยลงไปเป็นเช้า เป็นสาย เป็นบ่าย เป็นเย็น เมื่อยุคมีนาฬิกาก็ซอยลงไปเป็นวินาที เป็นนาที เป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี นี่เรื่องของเวลา เวลาเกิดขึ้นก็เพราะโลกมันหมุน แล้วเมื่อเวลาหมุนไปนั้นไม่ได้หมุนไปแต่เวลา มันพาเราไปด้วย ฉุดเราไปด้วย เหมือนกระแส กระแสน้ำที่ไหลมาจากที่สูงเวลาฝนตก มันไม่มาแต่น้ำ แต่เอากรวด เอาทราย เอาดิน เอาใบไม้ เอาอะไรๆติดน้ำมาด้วย จึงเห็นว่าน้ำอื่นๆหลังฝนตกนี้มันขุ่นข้น แล้วก็มีอะไรๆติดมาเยอะแยะ เวลาเหมือนกับกระแสน้ำ ที่ผ่านไปไม่ได้ผ่านไปแต่น้ำ แต่ว่าฉุดคร่าสรรพสิ่งทั้งหลายไปด้วย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เวลาเคี่ยวตัว กินตัวเอง และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เวลามันหมดไปด้วยทำให้สัตว์ทั้งหลายหมดไปด้วย สิ่งที่ได้ผลมาจากเวลาที่ผ่านไปคืออะไร คืออายุ เราได้อายุ อายุเป็นเครื่องหมายของความแก่ ของ ของเวลาที่ผ่านไป แล้วบอกว่าเรามีอายุเท่าไหร่ อายุหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี สิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี เป็นเครื่องหมายว่าอยู่มาในโลกนี่นานเท่าไหร่ แล้วมันก็เป็นเครื่องหมายของความแก่ อายุมากก็ยิ่งแก่ แก่ลงไปเรื่อยๆ เจ็ดสิบแปดสิบมันก็แก่ เก้าสิบยิ่งแก่ใหญ่ ถึงร้อยก็ยิ่งแก่ใหญ่จะไม่ได้เรื่องแล้ว ร้อยปีนี่ไม่ได้เรื่องมันเป็นอย่างนั้น เมื่อชีวิตของเราเป็นไปตามเวลาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้คิดว่าเวลาล่วงไปๆบัดนี้ทำอะไรอยู่ ก็เพื่อให้สำนึกว่าเราไม่ได้เกิดมา นั่งเฉยๆ เดินเฉยๆ หรืออยู่เฉยๆ แต่เราเกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อหน้าที่ หน้าที่ก็คือธรรมะ จำไว้ให้ดี ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราเกิดมาเพื่อปฏิบัติธรรมะ การปฏิบัติธรรมะก็คือหน้าที่ นักศึกษาทุกคนได้ปฏิบัติธรรมะ คือ การศึกษาสำเร็จเรียบร้อยมาแล้ว ที่ได้สำเร็จนั้นก็เพราะเอาธรรมะมาประกอบการเรียน จะเรียนด้วยใจรัก เรียนด้วยความขยัน เรียนด้วยความเอาใจใส่ เรียนด้วยการคิดค้นเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ ในเพื่อนนักศึกษาของพวกเธอทั้งหลายมีบ้างมั๊ยที่หล่นไป เข้ามาปีหนึ่งหล่นไปบ้างปีสองหล่นไปบ้างปีสามหล่นไปบ้าง แล้วปีสุดท้ายก็ยังหล่น คือยังซ้ำที่ไม่ก้าวหน้า พวกไม่ก้าวหน้ามันขาดธรรมะ ไม่เรียนด้วยใจรัก ไม่เรียนด้วยความขยัน ไม่ได้เรียนด้วยความเอาใจใส่ ไม่ได้เรียนด้วยการคิดค้นให้เกิดปัญญา เกิดความรู้ความเข้าใจ พอถึงเวลาสอบก็สอบไม่ได้ สอบไม่ได้หรือว่าเรียนไม่ทันเพื่อน ขายหน้า แทนที่จะวิ่งให้มันเร่งฝีมือฝีเท้าขึ้นไปหน่อยกลับไม่วิ่ง นอนมันเสีย ไหนๆก็ไม่ทันแล้วกูนอนดีกว่า เลยออกไป อย่างนี้ชีวิตมันจะมีค่ายังไง จะมีความหมายอย่างไร มันก็ไม่ได้เรื่อง แล้วจะเสียใจเมื่อเพื่อนฝูงทั้งหลายที่เรียนพร้อมกันเขาได้ดิบได้ดี ก้าวหน้าในชีวิตในการงาน แต่เรานั้นไม่ก้าวหน้า เกิดร้อนใจในภายหลัง ไม่สบายใจ ท้อแท้ อ่อนแอทางจิตใจ ก็ไม่เป็นอันได้ทำอะไร เพราะไม่มีความคิดก้าวหน้า อย่างนี้มันก็เสียคนกันไปตามๆ กัน
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้คิดบ่อยๆ ถึงเรื่องเวลา แล้วรีบใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ต้องทำงานทำการตามหน้าที่ เรามีหน้าที่อะไร ต้องทำหน้าที่นั้นให้สมบูรณ์ให้เรียบร้อย เป็นนักศึกษาทำหน้าที่นักศึกษา เป็นครู เป็นอาจารย์ เป็นอะไรก็ทำหน้าที่ให้ดีให้ถูกต้อง ถ้าเราทำหน้าที่ถูกต้องก็เรียกว่าเราประพฤติธรรม ถ้าเราทำหน้าที่ไม่ถูกต้องก็เรียกว่าเราไม่ประพฤติธรรม คนใดประพฤติธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้นั้นเจริญ ก้าวหน้า ผู้ใดไม่ประพฤติธรรม ธรรมะก็ย่อมทำลายอยู่ในตัว เพราะธรรมะนั้นให้ผลทั้งสองอย่าง ให้ผลเป็นความทุกข์ก็ได้ เป็นความสุขก็ได้ แต่สิ่งที่ให้ผลเป็นความทุกข์เขาเรียกว่า อธรรม เราจึงจัดว่า ธรรมะ กับ อธรรม ให้ผลต่างกัน คือ ธรรมะทำคนให้เจริญ อธรรมทำคนให้เสื่อม เราอยู่ด้วยอะไร ถ้าอยู่ด้วยธรรมะเราก็เจริญ ถ้าอยู่ด้วย อธรรมคือไม่มีธรรมะ ไม่สนใจธรรมะ เราก็เสื่อม ชีวิตไปไม่รอด เรื่องนี้เราจะต้องช่วยกัน เพราะคนไทยเรานั้นไม่ค่อยเคารพเวลา ภาษาที่พูดมันก็ช่วยให้เหลวไหล เช่น เราพูดว่าตามเวลานะ มาตามเวลานะ มาตามนัดนะ เฮ่อ ตามเวลา ตามเวลาก็เวลาเก้าโมงผ่านไปแล้วเพิ่งมาถึง นี่ตามเวลา เขานัดสิบโมง ก็มาเอาสิบโมงครึ่ง มาตามเวลา ถ้ามาตรงเวลา ก็พูดว่าตรงเวลา พูดนัดหมายกับใครก็กำชับว่ามาตรงเวลานะ แต่ว่าตรงเป๋งก็คงไม่ได้ แต่มันก่อนไว้หน่อย เช่น นัดเก้าโมง ก็มาก่อนเก้าโมงสักสิบนาที พอถึงเวลาก็ได้ฤกษ์ทำงานทำการ งานการของประเทศไทยที่ล่าช้าน่ะไม่ใช่เรื่องอะไร เรื่องไม่ตรงต่อเวลา ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไม่ตรงเวลา มักจะมาสาย เวลานัดประชุมกรรมการเยอะๆ มาไม่พร้อม ไม่ตรงเวลา บางทีก็ไม่ได้ประชุมเพราะกรรมการไม่ครบองค์ บางทีครบองค์แล้วแต่คุยเรื่องอื่น เถลไถลไม่เข้าเป้าหมายสักที และมันก็ไม่ได้เรื่องอะไร จึงเสียหาย มันก็เกิดความทุกข์แก่ประเทศชาติบ้านเมือง เพราะความไม่ซื่อตรงต่อเวลา คนเราถ้าไม่ตรงต่อเวลาแล้วก็ไม่ตรงต่อการงานต่อหน้าต่ออะไรไปหมด มันเสียหาย ท่านจึงสอนให้เป็นคนมีสัจจะ หมายความว่าให้ซื่อตรงต่อสิ่งถูกต้อง เช่น เรานับถือพระพุทธศาสนา เราก็มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซื่อตรงต่อคำสอนของพระองค์ ไม่กวัดแกว่ง ไม่ทรยศ ไม่เบี่ยงเบนไปในทางที่ไม่ถูกต้อง อย่างนี้เขาเรียกว่ามีสัจจะ มีความจริงใจ ทำอะไรก็ทำจริง มันก็เจริญก้าวหน้า เพียงขอให้เราที่เป็นบัณฑิตได้ช่วยกัน ไปอยู่ที่ไหนก็ทำตนให้เป็นตัวอย่าง ในเรื่องเวลา ในเรื่องหน้าที่การงาน อย่าทำเล่นๆ ประเภทงานของประเทศชาติไม่ใช่ของเล่น อย่า อย่าพูดเหมือนกับนักการเมืองว่า เล่นการเมือง มันไม่ได้ เล่นการเมืองนี้ไม่ได้ ต้องทำหน้าที่นักการเมืองให้สมบูรณ์ให้เรียบร้อย อย่าให้มีชื่อเสียงในทางเสียในหน้าหนังสือพิมพ์ เดี๋ยวนี้ก็มีชื่อเสียในหน้าหนังสือพิมพ์กันอยู่ ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เสียเกียรติเสียศักดิ์ศรีของความเป็นที่เราเป็นอยู่ แล้วเราเป็นอะไร ถ้ามันเสียแล้วมันก็เสียที่ความเป็นอย่างนั้น มันเสียความเป็นคน เสียความเป็นมนุษย์ เสียความเป็นพุทธบริษัท แล้วก็เสียในเรื่องที่เราจะต้องจัดต้องทำทุกประการ ระวังอย่าให้เกิดความเสีย ต้องคอยบอกตัวเองเสมอว่า ฉันจะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ให้เรียบร้อย มีงานอะไรที่จะต้องทำ ทำให้ดีที่สุด แม้งานเล็กงานน้อยก็ต้องทำให้ดีที่สุด อย่าทำแบบลวกๆพอผ่านพ้นไป เพราะมันเป็นการสร้างนิสัย ถ้าเราทำหัดอะไรแบบลวกๆแบบสะเพร่า ทำบ่อยๆก็มีนิสัยโอนเอียงไปในทางอย่างนั้น ก็จะเสียผู้เสียคน ไม่สมความเป็นบัณฑิตที่แท้จริง จึงต้องทำอะไรทำจริง ช่วยกันแก้ไข ให้เวลาที่เราจะเอามาใช้นั้นเป็นประโยชน์แก่เรามากขึ้น หัดเป็นคนตรงต่อเวลา บัณฑิตต้องรู้จักซื่อตรงต่อเวลา อันนี้ก็สำคัญอันหนึ่งที่ประเทศไทยเรายังไม่ค่อยจะเรียบร้อย
อีกประการหนึ่ง อยากจะขอฝากไว้ เราเป็นคนไทยยังบกพร่อง คือยังไม่ตื่นตัว ยังไม่ว่องไว ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร ไม่ตื่นตัว ไม่ว่องไว ไม่ก้าวหน้า ในหน้าที่ในการงาน เราจึงเสียเปรียบประเทศอื่นชาติอื่นเขา เพราะเราตื่นช้า ตื่นช้าแล้วก็ไม่ค่อยจะว่องไวในการทำหน้าที่ ไม่คิดก้าวหน้า นึกว่าเท่านี้ก็พอแล้ว มันเป็นนิสัยดั้งเดิมที่ติดมาเพราะภูมิประเทศมันอำนวย เมืองไทยเรานี้อำนวยให้เกิดความเชื่องช้า ไม่กระตือรือ ร้น เพราะดินฟ้าอากาศมันก็พอดีๆ ไม่ ไม่หนาวเกินไป ไอ้หนาวนั่นมันช่วยให้ลุกขึ้นทำงานทำการ เพราะนั่งอยู่เฉยๆมันหนาว เพราะฉะนั้นคนเมืองหนาวจึงว่องไวทั้งนั้น ฝรั่งทุกประเทศว่องไว เดินเหินว่องไวกระฉับกระเฉง ญี่ปุ่นก็อยู่ที่หนาวก็ว่องไวกระฉับกระเฉงเหมือนกัน คนอินเดียอยู่ที่ร้อน ไม่ค่อยจะว่องไวเท่าไหร่ พม่า ไทย มันก็เหมือนกันเรียกว่า มาแบบแนวเดียวกัน อยู่ในโซนเดียวกัน เฉื่อยๆชาๆอย่างนั้นแหละ ธรรมชาติมันช่วย แล้วอีกอย่างหนึ่งเมืองไทยมันอุดมสมบูรณ์ ทรัพย์ในดินสินในน้ำ มันมีพอกินพอใช้ ปลูกอะไรแบบขี้เกียจยังได้กินเลย ไม่ว่าปลูกอะไรแบบเขี่ยๆดินฝังๆไว้มันก็ยังเติบโตให้เราได้กินได้ แต่ความกระตือรือร้นมันไม่มี ไม่ขยันที่จะทำ แต่ในประเทศอื่นเขาลำบาก ปลูกแล้วไม่เอาใจใส่มันไม่ขึ้น ไม่รดน้ำ ไม่พรวนดิน ไม่ใส่ปุ๋ยมันไม่ขึ้น เพราะฉะนั้นทำอะไรก็ทิ้งไม่ได้ กลายเป็นคนไม่ทิ้งงาน รักงาน เพราะธรรมชาติมันบังคับ แล้วบางทีก็เกิดภัยธรรมชาติ ภูเขาไฟ แผ่นดินไหว ลมพายุ ทำให้ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ว่องไวตลอดเวลา คิดก้าวหน้า เหมือนชาวญี่ปุ่นเป็นคนเอเชียเหมือนกัน แต่เอเชียอยู่ในโซนหนาว อากาศหนาว หิมะตกทั่วประเทศ แล้วก็แผ่นดินเขาก็มันน้อย ธรรมชาติไม่ค่อยจะอำนวยเท่าใด จึงต้องต่อสู้มาก ชีวิตของเขาจึงเป็นนักต่อสู้ มีสภาพตื่นตัว ว่องไว ก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา เขาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าในข้อนี้ แต่คนไทยเรานั้นดูเหตุการณ์แล้วมันยังไม่เข้าหลักการ ยังขาดความตื่นตัว ว่องไว ก้าวหน้ากันอยู่ จึงขอให้เราช่วยกันคิดช่วยกันแก้ไข ให้เราแต่ละคนไปทำงานที่ไหนก็ช่วยแก้ไขผู้ร่วมงานทุกคนให้มีลักษณะตื่นตัว ว่องไว ก้าวหน้า คำว่าตื่นตัวหมายความว่าพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ เราต้องรู้ว่าหน้าที่ของเราคืออะไร ชั่วโมงนี้จะทำอะไร ชั่วโมงต่อไปจะทำอะไร วันนี้มีงานอะไรสำคัญที่ต้องทำก่อน เราก็ต้องรู้ เมื่อรู้แล้วก็ต้องรีบทำสิ่งนั้น พร้อมที่จะทำสิ่งนั้น ใครมีหน้าที่อะไรก็ต้องพร้อม เช่น เป็นตำรวจดับเพลิงต้องพร้อม เมื่อไฟเกิดขึ้นไปได้ทันที เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบผู้ร้ายก็ต้องพร้อม เมื่อผู้ร้ายเกิดขึ้นที่ใดได้รับเรื่องรีบไปทันที ไม่ใช่ไปช้าๆ กว่าจะออกไป เที่ยวหารองเท้าหาไอ้นั่นหาไอ้นี่ วางไว้ไม่เป็นที่หยิบก็ไม่สะดวก อย่างนี้มันก็ทำให้เกิดการไม่ว่องไว ไม่พร้อมที่จะไปทำงานทำการ คนไม่พร้อมนี่ทำอะไรไม่ได้ประโยชน์ ประเทศชาติก็จะไม่ก้าวหน้า เพราะไม่พร้อมในเรื่องที่จะทำ มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นไม่พร้อมที่จะแก้ไข เพราะขาดการวางแผนว่าเราจะทำอะไร คนเรามันต้องวางแผนชีวิตว่าจะทำอะไร ชั่วระยะนั้นทำอะไร จากนั้นไปทำอะไร ทำอะไรบ้าง
เคยแนะนำพระที่เข้ามาบวชในพระศาสนาที่ไม่ใช่บวชเดือนเดียว สิบห้าวัน ออกไป แต่บวชหลายเดือน บวชนาน บอกว่าคุณต้องวางแผน บวชนานๆ ก็วางแผนว่าจะเรียนสักเท่าไหร่ ใช้เวลากี่ปีเรียนหนังสือ เอาให้สิบปี สิบปีเป็นเวลาเรียนกับตัวเองเตรียมเนื้อเตรียมตัว เพื่อจะปฏิบัติงานกิจพระศาสนาต่อไป เอาสิบปีสำหรับการเรียน เรียนให้มันจริงๆอย่าเรียนเล่นๆ อย่าเรียนสักแต่ว่าไปโรงเรียนเฉยๆ เรียนให้รู้ให้เข้าใจให้ตอบได้ แล้วก็พ้นจากระยะนั้นแล้วทำอะไร วางแผนว่าจะช่วยบริหารการพระศาสนา จะเป็นนักเทศน์ เป็นนักสอน หรือจะเป็นนักบริหารช่วยดูแลหมู่คณะให้เจริญก้าวหน้าต่อไป ทำไปจนตลอดเวลา พอแก่ตัวหน่อยก็วางแผนว่าพักมั่ง เช่นอายุมากแล้วก็ต้องเลิกฝ่ายบริหาร เราไม่เป็นแล้ว ไม่เป็นสมภารแล้ว ไม่เป็นอะไร ถ้าจะเป็นก็เพียงแต่ว่าสอนคน เมื่อคนมาหาก็สอน ว่างบ้างก็ไปสอนที่อื่นบ้าง ไม่มีข้อผูกพัน เรียกว่าเกษียณบ้างเหมือนกัน พระเรานี้ไม่ค่อยได้เกษียณ เป็นสมภารตายคาแอกทั้งนั้น แล้วถ้าไม่ดีก็ถ่วงวัด ถ่วงความเจริญของวัด คนอื่นจะเป็นก็ไม่ได้ เพราะองค์เก่าไม่ถอยสักที นั่งขวางทางอยู่ตรงนั้น แล้วคนอื่นจะมาเป็นก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้เพราะเกรงใจสมภารเก่า องค์นั้นกลายเป็นผู้ขวางทางเจริญไป แก่แล้วก็ควรจะลาออกไปพักผ่อน อยู่วัดนั้นก็ได้ อยู่ในฐานะเป็นลูกวัด ให้เป็นลูกวัดที่ดีด้วย เป็นอะไรเป็นให้ได้ทั้งสองอย่าง เป็นสมภารที่ดี แล้วเป็นลูกวัดที่ดี อย่างนี้ก็ใช้ได้ วางแผนเอา เวลาตอนนั้นจะลาออกจากความเป็นสมภาร แล้วก็อยู่ตามหน้าที่ ไม่ใช่ไม่ทำอะไร แต่ทำตามความสบายใจ ไม่ต้องบริหารคน ให้บริหารวัดนี่ บริหารสถานที่ไม่ยาก สร้างเสนาสนะอะไรไม่ยาก บริหารคนนี่มันยุ่งจริงๆ ไอ้คนนี่มันยุ่ง ไม่ว่าที่ไหนนะ ชื่อว่าคน คนมันลำบาก คนมันไม่เหมือนกัน ไอ้ดื้อไม่เอาไหนก็มี ดื้อไม่เข้าเรื่องก็มี ไอ้ฉลาดเกินตัวไปก็มี รู้มากทำอะไรแหมเกินตัว เกินคำสั่งของหัวหน้าไปก็มี มันหลายแบบ ทำให้เกิดปัญหา ต้องใจเย็น สมภารต้องใจเย็น ต้องมีเหตุผล ต้องอดทน ไอ้องค์นั้นจะเอาอย่างนั้น องค์นั้นจะเอาอย่างนี้ มาพูดต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ ถ้าเราเป็นคนที่เรียกว่าไม่มีการบังคับควบคุมก็วู่วามไปตามอารมณ์ องค์นั้นว่านั้น เอ้อ องค์นี้ เอ้อ เละเทะไป ต้องเฉยๆ ใครมาอะไรก็เดี๋ยวก่อน ค่อยๆ ค่อยๆค่อยๆจัดไป บางทีไม่ต้องจัดอะไรมันหายไปเอง อยู่ๆไปมันก็เซ็งหายไปเอง แล้วก็ยอมกันเอง เรื่องมันก็เรียบร้อย
ถ้าว่าทำตามทุกอย่างมันก็ไม่ได้ เป็นผู้ใหญ่บางทีมันก็ต้องโง่ ทำเฉยๆ ไม่รู้ไม่ชี้ หูตึงเสียบ้าง ตาบอดเสียบ้าง ไม่เอาใจใส่เสียบ้าง ให้มันได้เห็นผลของตัวเองว่าทำผิดเป็นอย่างไร ภาระเยอะ เป็นสมภารนี่ภาระเยอะ หลวงพ่อเป็นภาระเยอะ เป็นสมภาร ถ้าเป็นนักเทศน์อย่างเดียวสบายใจมั่ง ถ้าเทศน์เสร็จแล้วก็กลับมานอน สบาย อยู่เชียงใหม่สบายมาก เพราะไม่ต้องบริหารอะไร โยมแกบริหารเสร็จ โยมแกเป็นสมภารเอง จัดสร้างโน่นสร้างนี่ เงินของแกไม่ต้องบอกใคร ไม่ต้องมีฎีกงฎีกาอะไร แกทำเรื่อย เราก็ไม่ว่าอะไร แกทำอะไรก็ได้แกวางแผนของแกเอง เรามีหน้าที่ไปสอนกลับมา พอเข้าในบริเวณวัดแล้วสบาย สงบเงียบ นั่งเขียนหนังสือหนังหาสบาย คนก็ไม่มารบกวน เพราะว่ามันไกลคน นั่งเขียนหนังสือได้สองสามชั่วโมงคนไม่มา พอเป็นสมภารก็ อ่อ ไม่ได้เดี๋ยวคนมา จะเขียนอะไร อ้าวโยมมาวางเขียนไว้ ไอ้โครงการเดิมก็ลืมไปแล้ว ก็ต้องเขียนใหม่ จะทำอะไร จะพักสักหน่อย อ้าวโยมมา คือโยมแกมาตามเวลาของโยม ไอ้เราจะพักก็ไม่ได้ ก็ต้องลุกขึ้นไปรับหน้าญาติโยม เช่นสมัยนี้โยมมามาก ไม่ใช่มาทำอะไร มาอนุโมทนา เอาสตางค์มาให้ ก็ไม่ได้พัก ฉันเพลแล้วก็นึกว่าจะงีบสักยีบห้านาที แต่ว่าเปิดประตูให้มองเห็นคนมา หลับตาไปแป๊บนึง โยมมาแล้ว ยังไม่ทันได้หลับเลย แล้วมันก็ซึมๆเซื่องๆไปตลอดวัน ปัญหาเยอะ เป็นสมภารมันมีเรื่อง แต่ว่าเราเป็นแล้วต้องเป็นให้มันถูกต้อง ก็สำนึกว่าเป็นหน้าที่ อย่าเบื่อหน่าย อย่าอิดหนาระอาใจ ทำไปตามหน้าที่ มีหน้าที่อะไรทำตามหน้าที่อย่าเบื่อหน่าย ให้เรียบร้อย นี่พวกเราที่เป็นบัณฑิตต่อไปก็ทำหน้าที่ตามความรู้ตามความสามารถ ก็ต้องทำด้วยวิธี ตื่นตัว ว่องไว ก้าวหน้า ต้องวางแผนทำงาน วางแผนชีวิตให้เรียบร้อย แล้วก็เงินทองที่ได้มาก็วางแผน เก็บบ้างใช้บ้างลงทุนบ้าง ทำอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ ให้อย่าเป็น อย่าต้องเป็นหนี้ใครๆ เพราะการเป็นหนี้เขาก็คือไปสมัครเป็นขี้ข้าเขานั่นเอง ไปเป็นทาสเขา ไม่ได้เรื่องอะไร แต่ว่านักธุรกิจมันต้องกู้บ้างตามสมควร แต่กู้แล้วต้องมาใช้ให้มันเจริญงอกงาม ไม่ใช่กู้มาทำเล่นๆ เล่นแล้วก็เที่ยวหนี เขาตามจับอยู่นั้นก็ไม่ได้ ต้องทำอย่างนั้น ชีวิตจึงจะเรียบร้อยก้าวหน้าเป็นไปด้วยดี
ทุกคนเป็นบัณฑิตแล้วต้องรู้จักรักษาตัวรอด ให้มีความซื่อสัตย์ ให้รู้จักบังคับตัวเอง ให้มีความอดทน ให้มีความเสียสละอยู่ตลอดเวลา แล้วในการทำงานนั้นต้องทำด้วยสติปัญญา อย่าทำเพื่อเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ไปอยู่ที่ไหนอย่าคอรัปชั่น อย่ากินสินบน เพราะเมืองไทยเราปัจจุบันนี้คอรัปชั่นแพร่หลาย กลายเป็นเรื่องทั่วๆไปแล้ว ไอ้คนไม่คอรัปชั่นสิเป็นมนุษย์แปลกประหลาด เป็นคนแปลกประหลาด แล้วก็หาว่าเป็นคนโง่นะ ที่เป็นคนโง่ไปด้วย ที่เป็นคนสัตย์ซื่อเขาหาว่าโง่เง่าเต่าปูปลาไปเลย แต่คนไหนที่โกงเก่ง เอ้ย นี่ฉลาด มันหาเงินเก่ง แต่ว่าเอาตัวไม่รอด คนที่หาเงินด้วยความไม่สุจริตนั้นเอาตัวไม่รอด ตกต่ำ ไม่ถาวร มีเงินใช้ก็ไม่ตลอด บางทีก็พอเกษียณอายุก็หมดแล้วไม่พอกินไม่พอใช้ ไม่ถึงลูกไม่ถึงหลาน แต่ว่าคนที่ทำงานสุจริต หากินในทางศีลทางธรรมนั้นของเขามั่นคง ถึงลูกถึงหลาน เพราะสิ่งใดที่ได้ง่ายมันก็จ่ายง่าย เงินที่ได้มาง่ายๆจ่ายง่าย พวกคอรัปชั่นนี่จ่ายเงินเปลือง ก็คนนั้นให้คนนี้ให้ ก็จ่ายกันใหญ่ แต่คนที่ทำงานเก็บหอมรอมริบไม่ค่อยใช้ เพราะรู้สึกว่ากว่าจะสมได้ สะสมได้หนึ่งบาทสิบบาทนี่มัน โอ้ย มันแสนเข็ญ เลยไม่ค่อยใช้ ชีวิตก็ประหยัดอดออม กินอยู่แต่พอดีก็สบาย อันนี้เป็นข้อคิด
เขาให้หลวงพ่อพูดให้ฟังหนึ่งชั่วโมง ก็จะครบหนึ่งชั่วโมงแล้ว ก็ตรงต่อเวลาเหมือนกัน เลยก็ขอฝากสิ่งเหล่านี้ไว้ ให้ทุกคนนำไปคิดพิจารณา แล้วก็ ถ้าสำเร็จปัจฉิมนิเทศแล้ว ไปวัดบ้าง ไม่ไปวัดไหนก็ไปวัดชลประทานก็ได้ ทุกวันอาทิตย์มีการแสดงธรรมให้คนฟัง เก้าโมงครึ่ง แล้วก็เทศน์วิทยุโทรทัศน์วันอาทิตย์ต้นเดือน สองโมงเช้า มีโทรทัศน์เปิดได้ใช้เป็นประโยชน์บ้าง มีวิทยุก็ใช้ให้เกิดปัญญาเกิดความรู้บ้าง รับอาหารธรรมะหล่อเลี้ยงใจบ้าง อย่าเลี้ยงแต่กายอ้วนหมีพีมัน แต่ใจผอมนิดเดียว เพราะไม่มีธรรมะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ให้ทุกคนจำไว้เป็นหลักพิจารณา กล่าวมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงแค่นี้
- ปาฐกถาธรรมประจำวันอาทิตย์ที่ ๑๑ มีนาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๓๓