แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัท ทั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ อย่ามัวเดินไปเดินมาอยู่ หาที่นั่ง นั่งแถวนั้นแหล่ะ ใบไม้แห้งๆ เยอะ ทิ้งไว้ให้เป็นครู เป็นเครื่องสอนใจ ไม่ให้กวาด ไม่ให้เผา โดยธรรมชาติต้นไม้นี่ หน้าแล้ง น้ำมันน้อย น้ำมันน้อยจะเอาใบไว้มันก็ไม่ได้ เลยมัน ทิ้งใบ ทิ้งใบลงมากองอยู่ที่โคน ใบที่มากองอยู่ที่โคนนั้น จะเป็นเครื่องปกคลุมดิน ไม่ให้แห้ง เพราะว่าดินนี่ เวลากลางคืน มันมีไอน้ำระเหยขึ้นมาจากดิน ถ้าว่าไม่เชื่อ เอากะลามะพร้าวไปวางไว้ดู และไปดูเช้าๆ จะเห็นว่า กะลามันเปียก อันนี้มันระเหยอยู่ ตลอดเวลา ความชื้นมันระเหย พอระเหยขึ้นมา มันก็เปียกใบไม้ แล้วทำให้รากไม้มันชุ่ม มันช่วยตัวเอง ต้นไม้นี่มันช่วยตัวเอง มันพึ่งตัวเองตามธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้น
ทีนี้คนเรานี่ ไม่รู้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ พอใบไม้ร่วง กวาดเผาเลย แล้วเผาที่โคนไม้ด้วย เผาเข้า รากไม้มันก็ถูกไฟเผา มันก็เดือดร้อน มันแห้ง มันร้อน และมันจะตายได้ง่าย อันนี้การทิ้งไว้อย่างนั้น เพื่อให้เป็นปุ๋ยต่อไป แล้วก็เป็นพืชคลุมดินด้วย ญาติโยมมาเห็น ก็อาจนึกว่า พระวัดชลประทานนี่ ไม่กวาดวัดเสียมั่ง ที่ไม่กวาดนั่น มันเรื่องรักษากฎของธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องอะไร และอีกประการหนึ่ง โยมก็จะได้เห็นใบไม้ร่วง เห็นใบไม้ ก็อย่าไปเหยียบมันเฉยๆ เหยียบใบไม้แล้ว ก็พิจารณาว่า ตัวเรามันก็เหมือนใบไม้ มันต้องหล่นลงไปกองบนดิน เหมือนกับใบไม้ แต่เขาไม่ทิ้งให้กองไว้ มันเหม็น คนนี่ ต้องเอาไปฝัง เอาไปเผาเสียให้เป็นการเรียบร้อย เป็นบทเรียน เป็นเครื่องสอนใจ จึงทิ้งไว้ในรูปอย่างนั้น พอฝนตก มันก็เปื่อย แล้วก็เป็นปุ๋ยของต้นไม้ต่อไป ธรรมชาติของป่า มันเป็นอย่างนั้น ถ้าเราไปเที่ยวตามป่าใหญ่ๆ จะเห็นว่าใบไม้ร่วงกองอยู่อย่างนั้น คนไม่ไปเผาไม่ไปทำลาย มันก็กลายเป็นปุ๋ยต่อไป วงเวียนเป็นวัฏจักรของต้นไม้ จึงทิ้งไว้อย่างนั้น
วันนี้ก็ได้มาพบปะ ญาติโยมอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากที่ได้ ลาญาติโยมวันก่อน เพื่อเดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์ การไปประเทศนิวซีแลนด์นี้ ก็เพื่อไปช่วย ในการที่เผยแผ่ธรรมะที่นั่น เพราะว่าพระท่านไปอยู่ที่นั่น เดี๋ยวนี้มีอยู่ ๕ รูป แล้วก็มีอุบาสก ที่จะบวชต่อไป ๒ รูป อยู่ที่นั่น สะดวกสบายดี แต่ไปวันนั้น ก็ขรุขระนิดหน่อย เพราะว่าออกเดินทางวันที่ ๑๔ เวลา ๑๘.๓๐ เรือบินออกจากดอนเมือง ไปถึงก็จัดแจง เขาเรียกว่า เช็คอิน ตรวจข้าวตรวจของ ตีเรื่องตั๋วเรื่องอะไรเรียบร้อย ผ่านด่านเข้าเมืองเรียบร้อย แล้วก็เดินไป เพื่อจะไปออกตามประตูที่เขาเขียนไว้ พอเดินไปหน่อย เจ้าหน้าที่บอกว่ายังเข้าไม่ได้จ่ะ บอกเรื่องอะไร ก็ไปนั่งอยู่แถวโน้น บอกไม่ได้เพราะเรือบินมันดีเลย์ หมายความว่า ช้า ถามว่าช้าเท่าไหร่ ยังไม่ทราบ แล้วทำไง นิมนต์ไปนั่งแถวนู้นก่อน แล้วก็ไปนั่งรอ นั่งรอคอยฟังเสียง ที่เค้าจะกระจายเสียง ว่ามันช้าเท่าไหร่ ก็นาน นั่งอยู่ตั้งชั่วโมงกว่าแล้ว ไม่บอกสักที ชักจะอึดอัดหน่อย ทำไมไม่แถลงให้ประชาชนทราบ อันนี้แหล่ะเรียกว่า บริษัทนี่ ขาดจิตวิทยา คนที่คอยนี่มันเหนื่อย โยมทั้งหลายเคยไปคอยอะไร มันเหนื่อย ถ้าไม่ประกาศให้รู้ แล้วมันไม่สบายใจ
วันก่อนนี้รถไฟ จะไปใต้ รถด่วน รถไม่เข้า คนแออัดยัดเยียดกันอยู่ แล้วไม่แถลงให้ทราบ ว่ามันเรื่องอะไร ความจริง รถมันตกราง ขวาง รถนู่นก็เข้าไม่ได้ ออกไม่ได้ ก็เลยไปที่เจ้าหน้าที่ ไปถึงถามว่า ในสถานีนี้ใครเป็นใหญ่กว่าเพื่อน ไปถามอย่างนั้น (หัวเราะ) เขาบอกว่า นายสถานี อยู่ตรงไหน นายสถานี เอาเลย ไปถึงบอกนี่ คุณนายสถานี คุณนี่ใหญ่กว่าเพื่อนในหัวลำโพง ทำไมเครื่องมือมี คนมี ไม่ใช้เสียมั่ง เขาถามว่า เรื่องอะไรรึหลวงพ่อ เอ้า คนมันรอรถ จนมันเหนื่อยใจ จะมาไม่มา จะออกเมื่อไหร่ มันก็ไม่รู้ มันอึดอัดขัดใจ คุณเคยรออะไรบ้างมั้ยหล่ะ ถามไปอย่างนั้น แล้วว่าเวลารอหนะ รู้สึกอย่างไร ทำไมไม่บอกให้ประชาชนทราบ บอกแต่เรื่องอื่น ปาวๆ อยู่ได้ แต่เรื่องรถสายใต้ไม่บอก พอพูดอย่างนั้น ประเดี๋ยว ตรงที่โหวกเหวกโน่น พูดเลย บอกว่า รถด่วนสายใต้ยังเข้าไม่ได้ เพราะว่ามีรถตกรางขวางอยู่ คนก็เบาใจว่า รถตกราง เมื่อได้เข้าก็จะได้แจ้งให้ทราบ มันก็เบาใจ รู้เหตุแล้วมันก็เบาใจ รู้เรื่องแล้วก็เบาใจ แถมยังเฉยๆ ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่บอกน่ะ
นั่งคอย คอย ก็มีเจ้าหน้าที่มาบอกว่า หลวงพ่อครับ เรือบินมันขัดข้อง ไปไม่ได้ แล้วจะไปได้เมื่อไหร่ พรุ่งนี้ แล้วกัน แล้วฉันจะทำยังไง ฉันจะกลับไปวัดอีก ก็ไม่ได้สั่งรถสั่งลาไว้มา มันก็ลำบากอีก ไม่เป็นไร นอนโรงแรม ว่างั้น พาไปนอนโรงแรม บอกไปแอร์พอร์ตโฮเต็ล ตรงนี้ใกล้ๆ แต่ปรากฏว่ามันเต็ม แล้วก็พาไปนู่นหนะ รามาการ์เด้นท์ ไปนอนที่นั่น ขนาดไปถึงโรงแรมรามา บอกเอ่อ โรงแรมนี้ฉันมาเทศน์ ๒ หนแล้ว วันนี้ไม่ใช่มาเทศน์นะ ๖ โมงครึ่ง ก็ลงไปในห้องอาหาร ฉันท์อาหารเช้า ๗ โมง รถก็พาไปสนามบินอีก ไปจะไปรอต่อไป ไปรอก็ ๘ โมง ก็ออกไป เพื่อจะไปขึ้นเรือบิน ขึ้นเรือบินแล้ว ก็นั่งในเรือบินรอต่อไป ๙ โมงหนะ ถึงจะได้บินออกจากสนาม คือออกไปแล้วก็ไปรอ อยู่ที่แท็กซี่เวย์นู่น แล้วก็รอต่อ ๙ โมงก็ได้บินออก อันนี่มันคลาดเวลาหมด ไปถึงนู่น มันก็ตี ๒ หนะที่นู่น แล้วเวลา นิวซีแลนด์ มันเร็วกว่าเมืองไทย ๖ ชั่วโมง เร็วกว่าเรา ๖ ชั่วโมง อย่างเราเวลานี้ ๓ โมงเช้า ต้องเอา ๖ บวกเข้าไป ที่นู่นมันก็กลายเป็นบ่ายเย็นไปแล้ว
ก็ไปถึงเมืองไครสต์เชิร์ช ซึ่งเป็นเมืองใหญ่พอสมควร แต่ว่าไปถึง เอาตี ๒ คนก็มารับ ๒ คน ผู้หญิงก็มารับ ก็มาช่วย รับแล้วบอกว่าทำยังไง บริษัทก็ให้ไปนอนที่โรงแรมอีก เลยนอนโรงแรมใกล้กับสนามบินนั่นแหล่ะ โรงแรมเล็กๆ มันชั้นเตี้ยๆ สบายอยู่ แบบอังกฤษ เรียกว่าทำไม่ใหญ่ไม่โต ที่มันจำกัด เลยพักที่นั่น ๖ โมงเช้าก็ตื่น อาบน้ำนิดหน่อย แล้วก็มาสนามบิน ๗ โมง ขึ้นเรือบิน ไปเวลลิงตัน ไปถึงนู่น ก็บินไม่นานอะไร ๓๕ นาทีเท่านั้นเอง ก็ไปถึงเรียบร้อย ท่านวีระธัมโม ท่านการุณิโก มารับ พาไปที่วัดเวลลิงตัน วัดนี่มันอยู่ห่างจากตัวดาวทาวน์ ตัวในเมือง ๓๐ นาทีขับรถ อยู่เขาเรียกว่า stop worry (สต๊อป วอร์รี่) เป็นหุบเขา ที่นั่นมันภูเขาทั้งนั้น มันอยู่เป็นแอ่งๆ สบายดี เนื้อที่ทั้งหมด มัน ๕๐ กว่าเอเคอร์ เป็นที่ภูเขาลาดเอียงลงมา ก็ได้สร้างกุฎิ สำหรับพระอยู่แล้ว ๕ หลัง แล้วกำลังจะสร้างต่อไป มีหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่ง เป็นที่ประชุมด้วย เป็นที่อะไรต่ออะไรด้วย แต่มันไม่สะดวกญาติโยมขึ้น อาตมาไปอยู่ที่นั่น สอง สาม วัน เดินขึ้นเดินลงเนี่ย ปวดกล้ามน่องแล้ว เลยบอก เอ้ย ทำไมมันปวดน่อง มียาอะไรมาทามั่ง มันเลยเอายาพวกครีมมาทาให้ เพราะว่าเดินขึ้นเดินลง เวลาจะฉันท์เช้าก็ลงมา ฉันท์เพลก็ลงมา ลงแล้วก็เดินขึ้น เลยเมื่อย เลยปวดที่น่อง เพราะเดินขึ้นเดินลง
แต่เวลานี้ กำลังสร้างศาลา ข้างล่าง ซื้อที่ดิน บ้านที่อยู่เชิงภูเขา เขาขาย ก็เลยซื้อไว้ ซื้อไว้แล้วกำลังจะสร้างศาลา กำลังสร้าง สร้างศาลานี่ ฝรั่งที่เขาเป็นช่างนี่ เขาเป็นชาวพุทธ เขามาช่วยทำโดยไม่ต้องเสียสตางค์ เราออกค่าซื้อแต่เครื่องวัสดุให้ เขาก็ทำมา ทำเร็ว ทำงานแบบฝรั่ง นี่เขาทำเร็ว ไปดูวันนี้ทำได้ พรุ่งนี้ทำได้ ทำได้รวดเร็ว เป็นศาลากว้างใหญ่พอสมควร ต้องใช้เงินประมาณ ๓๕๐,๐๐๐ เหรียญ ของที่นั่น เหรียญหนึ่งเท่ากับ ๑๕ บาท อาตมาก็เอาไปช่วยเขา ๑๕,๐๐๐ เหรียญ เรียกว่าเงินที่มันเหลืออยู่ เงินทุนก้อนหนึ่ง เรียกว่า ผ้าป่าอังกฤษ ผ้าป่าอังกฤษนี่ ไม่ใช่เอาไปทอดเมืองอังกฤษอย่างเดียว สะสมไว้ไปออสเตรเลียบ้าง ไปนิวซีแลนด์บ้าง ไปอังกฤษบ้าง ไปอังกฤษเวลานี้เรียบร้อยแล้ว ออสเตรเลียก็เรียบร้อยแล้ว พอดีเงินเหลืออยู่ เหลืออยู่แสนกว่าบาท แล้วก็ไปบอกธนาคารว่า จะแลกเงินสัก ๑๕,๐๐๐ เหรียญ พอทำเช็คทำเรียบร้อยแล้ว เอ่อไม่พอ เงินนั้นไม่พอ ก็พอดีบอกเรี่ยไรโยมในนี้ บอกว่าช่วยค่าโดยสาร (หัวเราะ) ที่นี่เงินเหลือค่าโดยสาร ก็เลยสมทบเข้าไป แล้วคุณโยมคนหนึ่ง ก็ให้ ๒๐,๐๐๐ ก็ช่วยนั่น เลยบอกสมทบเข้าไป แล้วคนที่จะไปด้วย คุณเชี่ยวชาญ เกสาน แกอยากจะไปด้วย แต่ลูกชายทำงานเรือบิน ความจริงได้รถ แต่หาที่นั่งไม่ได้ เลยไม่ได้ไป ก็เอาเงินมาช่วย ๑๐,๐๐๐ บาท เลยสมทบกันเข้าพอดี คิดเป็นเงินก็ ๒๐๐,๐๐๐ กว่าบาท ได้ ๑๕,๐๐๐ เหรียญ ก็ไปมอบให้ต่อ จะได้ใช้จ่าย ก่อสร้างขั้นต่อไป ปีหน้าก็คงจะเสร็จเรียบร้อย คือไม่ถึงปีหน้า ราวเดือน กรกฎาคม นี่ก็เสร็จ ก็ใช้การได้ แต่ว่าตอนนั้นไปไม่ได้ ยุ่งแล้ว ค่อยไปปีหน้าต่อไป ไปฉลองกันสักทีหนึ่ง ก็ไปพักอยู่ที่นั่น ก็กลางคืน ก็มีคนมาทำวัตร สวดมนต์ เพราะมันประจำน่ะ พระที่นั่น เขาตื่นตี ๔ ลุกขึ้นทำวัตร เฉพาะหมู่พระ ชาวบ้านไม่มา แต่ว่าหนึ่งทุ่มกลางคืนนี่ ชาวบ้านมา พวกช่างไม้ ๔ คน ก็เข้าไปร่วมด้วย สวดมนต์ไหว้พระ เสร็จแล้วก็นั่งสมาธิ ภาวนา เป็นเวลา ๓๐ นาที ต่อจากนั้นก็มีการแสดงธรรม อาตมาก็แสดงธรรม ท่านชยสาโร เป็นผู้แปลให้เขาฟังกัน ทำอย่างนี้ทุกคืนที่อยู่ที่นั่น
แล้วก็ต่อมา ก็นึกว่า จะไปเที่ยวเกาะใต้ ท่านวีระธัมโม ที่เป็นเจ้าอาวาส บอกหลวงพ่อมาหลายครั้ง ยังไม่ได้ไปเกาะใต้ จะพาไปเกาะใต้หน่อย ก็วางแผน จะจองตั๋วเรือบิน ราคาก็ไม่มากอะไร มันบินประมาณ ๔๐ นาที ไปลงที่เมืองเนลสัน เมืองเนลสันนี่ ก็เป็นเมืองเล็กๆ มีคนอยู่ราวสัก ๑๕๐,๐๐๐ คน เท่านั้นเอง แต่ว่า ถนนหนทาง สะอาดสะอ้านเรียบร้อย ไปถึงนั่นก็มีคนมารับ พาไปฉันท์เพลที่บ้าน เป็นคนฝรั่งแต่เป็นชาวพุทธ ไปที่บ้านฉันท์เพล แล้วก็เขาว่าเช่ารถไว้คันหนึ่ง เป็นรถมินิบัสเล็กๆ นั่งได้สัก ๘ คน เราไปกันพอดี จำนวน ๘ คนพอดี พระ ๓ รูป คฤหัสถ์อีก ๕ พอดีครบจำนวน กระทั่งคนขับ ขับไปฉันท์อาหารที่บ้าน บ้านเขาอยู่บนเนินเขา นั่งบนบ้านเห็นทะเล เวิ้งว้าง หน้านี้สวยงาม แล้วก็มีคนไทยมาร่วมด้วย ๕ คน ฉันท์อาหารเสร็จแล้ว ก็แสดงธรรม ให้เขาฟัง ก็ต้องแปลเหมือนกัน เพราะว่าฝรั่งอยู่ด้วย แปลฟังเสร็จแล้วก็ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก
แล้วก็ออกเดินทาง เลียบ เค้าเรียกว่า ฝั่งตะวันตก ฝั่งตะวันตกนี่อากาศดี ต้นไม้เขียวชอุ่ม น้ำในห้วยเต็มไปทุกห้วย เพราะว่าฝนตกมาก ด้านตะวันตกของเกาะนี่ ฝนตกมาก ชุ่มชื่นเขียวสด นั่งไปแล้วเพลินตา เพลินใจ นั่งรถไป ทั้งวัน ชมโน้น ชมนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เบื่อ ไม่หน่าย ไม่เหมือนนั่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคะวันออกเฉียงเหนือ ถ้าไปฤดูนี้นะ มองไปแล้วมันเศร้าใจ มันแห้งอยู่ ทุ่งนาก็ไม่มีต้นไม้ แล้วฝุ่นก็เต็มไปหมด ดูระยิบระยับแสบตา แต่นั่งไปที่นั่นมันเขียว ไอ้ฝากหนึ่งเป็นทะเล ไอ้ฝากหนึ่งเป็นภูเขา แล้วก็มีต้นไม้ สองข้างถนน มีต้นไม้ ต้นสน เป็นป่าใหญ่ๆ เขาปลูก ต้นสนนี่ เมืองนี้ใช้ไม้สนมากที่สุด จะสร้างบ้าน สร้างเรือน เสาก็ไม้สน เครื่องอะไรไม้สนทั้งนั้น แต่ว่า เขาเอาไปแช่น้ำยา ก่อนที่จะเลื่อยออกขายนี่ เขาเอาไปแช่น้ำยา เรียกว่า treat (ทรีท) ซะก่อน แช่น้ำยาเสร็จแล้ว ทับตรา มีทับตราไว้ว่า วันหนึ่งได้ทำการแช่น้ำยาเวลาเท่าไหร่ เขาบอกไว้เสร็จ แล้วก็ไปซื้อมา เช่นไม้ที่มาทำศาลานี่ แช่น้ำยาแล้วทั้งนั้น ก็เป็นพวกไม้สน ที่นั่นมันดีอย่างหนึ่ง ปลวกมันไม่มี ไม่เหมือนบ้านเรา ปลวกไม่มี มอดไม่มี ไอ้สัตว์กินไม้มันไม่มีที่นั่น มันก็สบาย เวลาเราเข้าเมืองนี่ เค้าถามคำนึงว่า มีไม้ไผ่มามั้ย คือเรื่องไม้ไผ่ เขาตรวจนักหนา ไม่ยอมให้เข้าเมือง เพราะกลัวว่ามี มอดติดไปกับไม้ไผ่
มีเด็กไทยคนหนึ่ง ซื้อพัดไป พัดมันเป็นไม้ไผ่ เค้าว่า นี่พัดทำด้วยอะไร เขามาเปิดดู ไม้ไผ่ เค้าบอก ไม้ไผ่นี่ ได้อาบ อบยา อะไรหรือยัง เค้าตรวจใหญ่เลย บอกว่า อบยา เรียบร้อย ไม่มีตัวแมลง เขาว่า ไม่เป็นไร ทีนี้ไอ้เชิงบาตรนี่ มันเป็นไม้ไผ่ เหมือนกัน ที่รองบาตรนี่ ทำด้วยไม้ไผ่ เฮ้ยนี่ทำด้วยอะไร บอกไม้ไผ่ซี่เล็กๆ เขาก็ไปตรวจเหมือนกัน ตรวจดู ว่ามีอะไร ด่านเค้าตรวจแข็งแรง เรื่องไม้นี่ ตรวจเผื่อศัตรูพืชจะเข้าไป แล้วก็คนที่ไปด้วยเป็นชาวอุบลหนะ เขาซื้อฝรั่งไป เขาจะเอาไปถวายพระที่นู่น เขาบอก เข้าไม่ได้ ฝรั่งนี่เอาเข้าไปไม่ได้ ต้องยึดไว้ที่นี่ นั่งหัวเราะนึกว่า ยึดไว้ ก็คงกินกันหมดตรงนี้เอง เพราะว่าของกินได้นี่ จะเอาไปทิ้งทำไม คงจะกินซะเอง แต่เขายึดไว้ ไม่ให้ไป เขาควบคุมอย่างนั้น กลัวศัตรูพืช มันก็เรียบร้อย
นั่งรถไป ไปถึงที่แห่งหนึ่งมันเป็นที่สูง ให้ชมวิว ชมวิวภูเขา ดูเวิ้งว้าง ก็เจอคน ๔ คน เป็นคนเยอรมัน มาจากเยอรมันตะวันตก เลยคุยกับเขา เขาบอกว่า เขาเคยอ่านหนังสือ เรื่องพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ที่บ้านของเขามันมีเหมือนกัน หนังสือประเภทนี้ แต่เป็นภาษาเยอรมัน เขาบอกว่า คำสอนของพระพุทธเจ้านี่ดี ดีเหมือนกัน ก็เหมือนกับของพระเยซูสอนเหมือนกัน ว่างั้น แต่มันรู้เพียงขั้นศีลธรรม ได้อ่านเพียงขั้นนั้น แต่ขั้นโลกุตตรธรรมนี่ พวกนั้นไม่ได้อ่าน แกก็มาเที่ยว เช่ารถยนต์คันหนึ่งขับไป จะเดินสวนทางกัน แกก็บ่น โห้ไม่ไหว ตลอดทาง ฝนตกทุกวันๆ ขับรถลำบาก แต่ว่าพวกเราไปนี่ ไม่มีฝนเลย ตลอดทาง อากาศโปร่งสบาย จนกระทั่ง กลับมาเวลลิงตัน ไม่มีฝนตลอดทาง ได้ชมวิวทิวทัศน์ ได้สะดวกสบาย แล้วก็ไปคืนแรก ก็ไปพักที่ ที่พักแห่งหนึ่ง เค้าเรียกว่า เกรย์เม้าท์ โอ้ย แม่น้ำในเกาะใต้นี่ แม่น้ำสายใหญ่ๆ น้ำใส เย็น เย็นเจี๊ยบ บางแห่งก็ลงไป ลงไปแช่น้ำหน่อย ไปล้างเท้า ล้างอะไร พอแหย่ลงไป เย็นเจี๊ยบเลย น้ำใส ชนิดที่เรียกว่า ไหลเย็นเห็นตัวปลา ว่ายแหวกปทุมมาอยู่ไหวๆ แต่มันไม่มีปทุมมาให้แหวก มีแต่หินทั้งนั้น หินก้อนเล็ก ก้อนน้อย โหย เต็มไปหมด บอกว่า แหมนี่ถ้าอยู่ใกล้เมืองไทยแล้วรวย ขนหินนี่ไปขายคนกรุงเทพฯ เอาไปทำสวนหย่อมกัน ก็หินมันเยอะ ก้อนใหญ่ ก้อนเล็ก ก้อนน้อยๆ สวยๆ งามๆ แวววาว ก็การครูด การสี หินสวยๆ ทั่วไปนี่ ของเขาไม่มีใครเอาไปไหนเลย ไอ้เรื่องรักษาธรรมชาตินี่ มองแล้วเขาทำได้ดีมาก ต้นไม้เขาไม่ตัดไม่ทำลาย ภูเขาไม่ถูกทำลาย ธรรมชาติดอกไม้ ดอกไม้ป่าเยอะแยะ
ออกมาข้างป่า ต้นไอ้บ้านเราสมัยก่อน ที่มาเมืองไทยมันแพง ไฮเดรนเยีย ที่มันออกเป็นช่อ แล้วก็สี ออกเป็นสีขาว เป็นสีคราม แล้วก็เป็นสีม่วง กว่าจะโรยนี่มันตั้ง ๓ เดือน ไฮเดรนเยียนี่ ไอ้ที่นั่นมันธรรมดา มันขึ้นตามป่าเต็มไปหมด นั่งรถไปตรงไหน ก็เห็นไฮเดรนเยียโผล่ออกมาจากป่า เป็นพุ่ม เป็นพุ่ม เยอะแยะ เขาไม่ได้ปลูก มันขึ้นเองตามธรรมชาติ แล้วก็มีดอกไม้ประเภทต่างๆ มีนก สัตว์อื่นไม่ค่อยมีที่นั่น สัตว์มีก็ต้องเขาเลี้ยง เช่นกวางนี่เขาเลี้ยง ก็ไม่ใช่ของพื้นเมือง เขาเอามาจากที่อื่น เอามาเลี้ยง มีกวาง เลี้ยงกวางเป็นฝูงนะ เขาเลี้ยง เลี้ยงกวาง เลี้ยงแกะ เลี้ยงวัว เลี้ยงม้า แต่ว่าในป่าไม่มี มีก็แต่นก พวกนกเท่านั้นเอง นกก็มีหลายสี หลายอย่าง เขาก็สงวนนักหนา พวกนกนี่ เพราะว่ามันหายาก
ต้นไม้สนนี่ก็ไม่ใช่ของเกาะนิวซีแลนด์ เขาเอาพันธุ์มาจากอื่น เอาไปปลูกที่นั่น พวกไม้ในเกาะจริงๆ นั้น มันไม่ใหญ่ไม่โต มันเป็นพุ่มเตี้ยๆ แต่ว่าคลุมดินได้ น้ำไม่เซาะนั่นเอง ที่นี้เขาปลูกต้นสน ภูเขาบางแห่งนี่โล้นไปหมด มีแต่หญ้าให้แกะกิน แต่เดี๋ยวนี้เขาก็พยามยามปลูกต้นไม้ ทิ้งให้ว่างไว้ สำหรับแกะกินบ้าง เขารักษาธรรมชาติ คนเขารักธรรมชาติมาก ถ้าใครทำอะไร จะเป็นการทำลายธรรมชาติ เขาไม่ยอม เขารักธรรมชาติ สงวนไว้ ทุกแห่งเรียบร้อย ไม่ว่าเป็นที่น้ำตก เป็นป่า เป็นสวนสาธารณะ สะอาดทุกแห่ง คนไม่ทิ้งขยะเพ่นพ่าน
อันนี้มันก็เป็นเรื่องระเบียบวินัย คนของเขามีระเบียบวินัย พลเมืองไม่มาก เกาะใต้นี่ พลเมืองมันน้อย อยู่กันกลุ่มน้อยๆ ไม่ใช่มากมายอะไร ทั้งประเทศมันก็ ๓ ล้านคน ไอ้ ๓ ล้านนี่มันอยู่ที่เกาะเหนือซะมาก เกาะใต้ นานๆ ไปเจอหมู่บ้านสักหย่อมหนึ่ง แต่ก็คนไม่มากเท่าใด แต่ก็มีที่พัก มีอะไร มีน้ำสะอาด ไปเอาน้ำมา ใส่ภาชนะมา เลยถาม คนที่นั่นว่า น้ำนี่กินได้เหรอ เขามองหน้า เขายิ้ม เลยถามเขาว่า กินได้เหรอ เขายิ้มๆ ยิ้มว่านึกแปลก ทำไมถามว่าน้ำกินได้ เขาบอกว่า น้ำในนิวซีแลนด์ กินได้ทุกแห่ง จะเป็นน้ำไหลออกมาจากก๊อกก็กินได้ น้ำในห้วยก็กินได้ ไม่มีเชื้อโรค ไม่มีอันตราย แต่นี่มันน้ำในก๊อก ไปไหนก็มีก๊อกน้ำ ข้างถนนไปเปิดก๊อกเอามากินได้ เป็นน้ำสะอาดทั้งนั้น ไม่มีสิ่งสกปรก ก็ดูน้ำในห้วย ก็มันกินได้แล้ว สะอาดไม่ขุ่น ไม่ข้น ไม่มีตะกอน ก็ไหลลงมาเป็นโขดหิน ไหลลงมา เป็นน้ำตก น้ำโจน ใสแจ๋ว ไม่มีอะไรไม่มีเชื้อโรค กินได้สบายๆ เราไปถามเขาว่า กินได้หรือไม่ เขาจึงมองหน้า มองหน้าว่า กะเหรี่ยงนี่มาจากไหน (หัวเราะ) มาถามว่า น้ำกินได้หรือเปล่า ของเขามันสะอาดอยู่แล้ว เราก็นึกชมในใจว่า เขารักษาความสะอาด
คืนแรกที่ไปพัก เขาเรียกว่า เกรย์เม้าท์ นี่ เป็นเมืองเล็กๆ แต่ว่ามีแม่น้ำใหญ่ ไหลลงมารวมกันที่นั่น แม่น้ำมีหาดทราย มีหิน มีอะไรอย่างนั้น ธรรมชาติ เขาไม่ขุดทรายไปขายที่นั่น บ้านเรานี่ มีทรายขุดหมด เปลี่ยนแปลงสภาพธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงแม่น้ำ แต่ที่นั่นเขาไม่ขุดไปขาย เพราะเขาไม่ต้องการอะไรจากทรายในแม่น้ำ ถ้าเขาจะก่อสร้าง เขาไปขุดจากภูเขา ขุดเอาที่ที่ขุดได้ ภูเขาที่เขาไม่ห้าม เป็นของเอกชน ภูเขาที่นั่นมันเป็นทราย เป็นหิน เอามาร่อน เลือกเอาแต่ทราย หินก็กองไว้แห่งหนึ่ง ทรายก็กองไว้แห่งหนึ่ง เพื่อเอาไปทำการก่อสร้าง ก็ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นมันก็เรียบร้อย สภาพบ้านเมืองก็ดี
ไปพักครั้งแรกที่โรงแรมนั้น เมืองเล็กๆ มีคนสองคน คนแก่ สามีภรรยา เจ้าของ แกก็อยู่ในออฟฟิศของแก เราต้องเข้าไปหาแก ไปติดต่อ ติดต่อเขาก็บอกว่า มีให้กุญแจ ไม่เคยดูหรอก แต่ว่ามอบผ้าเช็ดตัว ให้คนละผืน ละผืน และมอบนมให้สองขวด สำหรับเป็นอาหารเช้า เขาไม่เลี้ยง แต่ให้นมสองขวด ให้ต้มกินเอง เพราะในโรงแรมนั้น มีเตา มีถ้วยชาม มีกาแฟ มีน้ำตาล วางไว้ เราก็ทำกินกันเอาเองได้ โยมที่ไปด้วยเขาก็จัดแจง ตื่นเช้าก็ฉันท์พวกคอนเฟลค พวกซีเรียล กินง่ายๆ กินเสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อไป เดินทางก็เลียบริมฝั่งทะเล ดูคลื่นดูลมไป สะดวกสบาย
ไปคืนที่สอง ก็ไปพักที่ เป็นทะเลสาบ เมืองนี้มีทะเลสาบมาก เพราะมันมีภูเขามาก แล้วน้ำมันก็ไหลลงมาเป็นแอ่ง ก่อนนี้มันไม่มีทะเลสาบ น้ำมันไหลมาก็ผ่านไป ไหลมาก็ผ่านไป แต่ทางราชการ เขาไปทำเขื่อนกักไว้ ทำคันเขื่อนกั้นน้ำไว้ น้ำเขียว ทะเลสาบ ทุกแห่ง น้ำสีครามทั้งนั้น เขียว ทะเลสาบน้ำขุ่นไม่มีที่นั่น มีแต่น้ำเขียวทั้งนั้น กว้างใหญ่ไพศาล บางแห่งสุดลูกหูลูกตา ขับรถเลียบไปตั้งชั่วโมงครึ่งแล้ว ก็ยังไม่หมดทะเลสาบ ช่วยรักษาน้ำไว้ได้มาก แล้วพอไปถึงที่ประตู เขามีประตูปิดเปิดปล่อยน้ำ ทำคันคลองไป ส่งไปตามสถานที่ต่างๆ คนจะได้ใช้น้ำนั้น สำหรับเอาไปทำสวน เลี้ยงสัตว์ เกี่ยวกับการเพาะปลูกอะไรต่อไป ดูแล้วของเขาเข้าทีดี คนเขาช่วยกันรักษาธรรมชาติ
พอวันที่สองก็เดินทางต่อไป ก็ไปจนกระทั่งเย็น ก็ไปถึงทะเลสาบอีกแห่งหนึ่ง แล้วก็ใหญ่โตเหมือนกัน แต่ไปพักที่นั่น พักโมเต็ล เขามีโมเต็ลเกือบทุกแห่ง ให้คนไปพักรถไปจอด สะดวกสบาย เหมือนกันทุกหนทุกแห่ง มีน้ำร้อน มีน้ำเย็นให้อาบ เพราะเมืองมันหนาวเหมือนกัน หน้าหนาว แต่หน้านี้ไม่หนาว เป็นหน้าร้อน อากาศธรรมชาติดีมาก ไม่ๆ หนาวเลย กลางคืน นิดๆ หน่อยๆ พอรู้สึกเย็น คล้ายกับ เย็นๆ บ้านเรา ไม่รุนแรง ถึงกับจะต้องห่มผ้านวมหนาๆ อะไร เพียงห่มผ้าเบาๆ บางๆ ก็นอนสบายแล้ว ธรรมชาติอากาศอย่างนั้น ก็นอนพักที่นั่น ตื่นเช้าไปเดินออกกำลังกายเสียหน่อย แล้วก็ขึ้นรถ เดินทางต่อไป
คืนที่สามนี่ไปแวะที่แห่งหนึ่งเขาเรียกว่า เม้าท์คุก คือภูเขาสูง สูงที่สุดในเกาะใต้ บนยอดภูเขานั้นน้ำแข็งคลุมตลอดเวลา คลุมตลอดปี หน้าร้อน หน้าหนาว หน้าไหนมันก็มีน้ำแข็งอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ขาวโพลนไป คนไปเที่ยวมาก ไปดูหิมะปกคลุมน้ำแข็ง คลุมจนแข็งอยู่บนนั้น เหมือนกับก้อนน้ำแข็งไปปูไว้ อย่างนั้น แล้วมันก็ซึมละลายลงมา เขามีบริเวณ เขาเรียกว่า แค้มป์ ให้คนไปพัก ทุกแห่งที่เป็นที่คนไปพักนี่ เขาเขียนว่า no fire คือไม่ให้จุดไฟ ไม่ให้เผาอะไรต่ออะไร ในบริเวณนั้นเป็นอันขาด เพราะหญ้ามันแห้ง หญ้าเมืองนั้นมันแห้ง หน้าร้อน แดงไปหมด แต่หญ้าแห้งนี่ แกะกินได้ แกะมันกินหญ้าแห้งได้ เขาก็ปล่อยไว้อย่างนั้น ไปพัก คนไปกางเต้นท์นอนกัน ฝรั่งมังค่า มาจากยุโรป จากไกลๆ ถามว่ามาจากไหน มาจาก เยอรมัน มาจากออสเตรีย มาจาก เบลเยี่ยม จากฝรั่งเศส ไอ้พวกนี้มันหน้าหนาว เมืองยุโรปหน้านี้ นี่ที่ข้างใต้มันร้อน คือมันกลับกัน ถ้าทางยุโรปมาอยู่ทางเหนือ หนาว นิวซีแลนด์ อยู่ใต้ ร้อน แต่ถ้านิวซีแลนด์หนาว ยุโรปร้อน หน้าร้อนยุโรปที่นี่หนาว แต่ถ้ายุโรปหนาว ที่นี่ร้อน มันผิดกันไปอย่างนั้น คนละขั้วโลก มันอยู่กันอย่างนั้น ก็เลยอากาศเปลี่ยนแปลง
คนก็มาเที่ยวกัน มาเที่ยว สะดวกสบาย คนไทยจะไปเที่ยวนิวซีแลนด์นี่ ไม่ลำบาก เพราะไม่ต้องวีซ่า ไม่ต้องไปยุ่งกับสถานฑูตเลย ไปได้เลย แต่ว่าคนหนึ่งมีเงินไป ต้อง ๑,๕๐๐ เหรียญนิวซีแลนด์ แต่ไม่เห็นถาม เวลาไปถึงยื่นพาสปอร์ตให้ประทับตรา ไม่ได้ถาม ว่าท่านมีเงินมาเท่าไหร่ เขาคงจะไว้ใจว่า ถ้าไม่มีเงินคงจะไม่มาถึงนี่ เหมือนกับไว้ใจ แต่ก็มีระเบียบว่าอย่างนั้น แต่เขาไม่ถาม ไม่ค่อยจู้จี้ จู้จี้เรื่องไม้ไผ่เรื่องเดียว นอกนั้นละก็ไม่ถามอะไร กระป๋งกระเป๋า ก็ไม่เปิดดูอะไร ไปถึง เราออกไปในทางที่ ไม่ได้ declare เพราะไม่มีของอะไร ก็เดินไป เขาก็ไม่ว่าอะไร เดินไป ก็ประทับตรา ดูพาสปอร์ต ดูไอ้ declare เรื่องเกี่ยวกับภาษี เราไม่มีอะไร บอก nothing to declare ไปเท่านั้นเอง มันสะดวกสบาย ไม่ค่อยจะยุ่ง แล้วสถานีการบินก็เรียกว่า น่าเอ็นดู ไม่ใหญ่ไม่โต เล็กๆ สองชั้น ขึ้นนิดหน่อย ก็มีบันไดเลื่อนขึ้น สำหรับคนแก่ๆ ได้ขึ้นสะดวกสบาย ก็ทำไว้อย่างนั้น ไปดูภูเขาเสร็จแล้ว ก็ฉันท์เพลกันที่นั่น ฉันท์เพลที่บริเวณนั้น บริเวณที่ร่มๆ แล้วก็มีน้ำก๊อกเหมือนกัน เปิดน้ำนั้นก็ดื่มได้เลย เพราะเป็นน้ำสะอาด เสร็จแล้วก็เดินทางต่อไป
ที่นี่ ข้ามมาฝั่งตะวันออกแล้ว ไม่ใช่ตะวันตก ผิดกันเลย ตะวันออกนี่แห้งแล้ง ฝนไม่ค่อยตก ภูเขาแดงไปหมด แต่ด้านตะวันตกเขียวชอุ่มไปหมดเลย ไอ้นี่มันแดง ขับรถไป แต่ก็ไม่ถึงกับร้อนอะไร พอสบายๆ มีลมพัดเย็นอยู่เหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นทุ่งแห้งแต่มีลมพัด แล้วในทุ่งนี่ มีแกะเป็นเครื่องประดับ แกะมันมากจริงๆ ไอ้เมืองนี้ มีถึง ๗๕ ล้านตัว คน ๓ ล้าน แต่แกะ ๗๕ ล้าน แกะขนมันมาก แต่บางฝูงก็ขนเกรียน เพราะถูกตัดแล้ว ตัดขนเอาไปขาย แล้วก็ปล่อยไว้ แกะนี่ไม่ต้องไปไหน กินอยู่ในนั้น อยู่ในบริเวณ เขาทำคอกไว้ กินตอนนี้ อีกสักเดือนย้ายคอกไปอยู่ตรงนี้ อีกเดือนย้ายไปตรงนู้น คนหนึ่ง คนหนึ่ง นี่มีที่ดินมากๆ ไว้เลี้ยงแกะ กินอยู่บนถึงภูเขา ดูบนภูเขาก็ฝูงแกะ แกะขาว สลับอยู่กับหญ้า มองเห็นแต่ไกล
สินค้าหลักของเขาคือ ขนแกะ แล้วก็เนื้อแกะ เนื้อแกะนี่ส่งไปขายพวกอาหรับ ทะเลทราย ไอ้นั่นไม่มีหญ้าจะกินเลย ก็ส่งแกะไปขาย แต่ว่า เขาส่งไปทั้งเป็น ไม่ได้ฆ่าแล้วส่ง ฆ่าแล้วส่ง พวกอิสลามมันไม่กิน เขาถือว่า เนื้อสัตว์ สัตว์นี่ต้องฆ่าเองถึงจะกินได้ คนอื่นฆ่ากินไม่ได้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนนโยบายแล้ว เพราะว่า เอาคนอาหรับมาอยู่ แล้วอาหรับทำการฆ่า ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ แล้วบอกเนี่ย คนอาหรับเป็นผู้ฆ่า แล้วก็ส่งไปขาย ส่งเนื้อแช่แข็งส่งไปขาย มันไม่หนักเรือเท่าใด ไอ้ส่งแกะไปนี่ มันต้องต่อเรือเป็นชั้นๆ แกะชั้นนี้ ๕๐๐ ชั้นนี้ ๕๐๐ หลายชั้นนะ พาไปทีหนึ่งมันเป็นแสน บรรทุกเอาไปขาย แล้วก็ต้องเลี้ยงมันไปกลางทาง เอาหญ้าไปด้วย เลี้ยงแกะเอาไปส่ง พวกนั้นก็เอาไปฆ่ากินกัน พวกอาหรับมันไม่รู้จะกินอะไร มีน้ำมันเยอะแต่กินไม่ได้ ถ้าหากว่าไม่มีใครส่งอาหารไปให้ ให้มีน้ำมันท่วมหัว มันก็กินไม่ได้ มันก็ลำบากเหมือนกัน จึงต้องหาอาหารไปจากที่อื่น เอาไปเลี้ยง
ไอ้เมืองไครสต์เชิร์ชนี่ ตอนหลัง เมื่อกลับมานอนทีหลัง นี่ก็ได้ดูบ้านดูเมือง โอ้ เมืองเขาสวย มันแบบอังกฤษนะ สร้างเล็กๆ น้อยๆ เป็นตลาด เป็นอะไร สะอาดสะอ้าน มองไปที่ไหนก็สะอาดสะอ้าน มีโบสถ์ มีโรงเรียน มีอะไร ก็ใหญ่โตพอสมควร แต่มันไปลอนดอนแล้ว คือ ไปเที่ยวเมืองอังกฤษบ้านนอกแล้วมาดูนะ นี่มันเมืองอังกฤษนี่หน่า เหมือนกับเมืองอังกฤษน้อย นั่นเอง เพราะคนอังกฤษ มาสร้างไว้ มาทำไว้ แต่มันชื่อเป็นนิวซีแลนด์ ไอ้ซีแลนด์นี่เป็นคำของพวกดัชต์ พวกดัชต์ มันมาก่อน พวกดัชต์ เขามีบ้านเมือง เมืองของดัชต์ มีเมืองหนึ่ง ชื่อว่า ซีแลนด์ อันนี้มาที่นี่ ก็เลยตั้งชื่อว่า นิวซีแลนด์ เหมือนกับนิวยอร์กหนะ แต่ก่อนไม่ใช่ชื่อนิวยอร์กหรอก ชื่อ นิวอัมสเตอร์ดัม เพราะดัชต์ ไปอยู่ก่อน เลยอังกฤษไปตีเอามา เลยเปลี่ยนเป็น นิวอัมสเตอร์ดัม มาเป็น นิวยอร์ก ไป แล้วก็ชื่อเมืองอื่น ก็เป็นชื่อตามแบบอังกฤษ เช่นเมืองเนลสัน เมืองทราคอนก้า เมืองอะไร ต่ออะไร ไปอย่างนั้นทั้งนั้นแหละ เอาชื่ออังกฤษมาตั้ง เอาชื่อคนมามั่ง เอามาตั้ง เช่น เวลลิงตันนี่ก็เป็นชื่อของนักรบผู้ยิ่งใหญ่ รบชนะ นโปเลียน เลยเอามาตั้งชื่อเป็นเมืองหลวงว่า เวลลิงตัน ก็มาถ่ายทอดไว้ นิสัยใจคอ เขาก็ดี
วันนั้นขับรถไป จะไปบ้านคนไทย ไทยใหญ่ ที่เขาอพยพไปอยู่นั่น เขามั่นคงในพระศาสนา นิมนต์ไปฉันท์ที่บ้าน ที่นี่ เขาให้เบอร์บ้านไว้ ให้ชื่อถนนไว้ ขับเวียนไปเวียนมา มันไม่ถึงสักที เลยก็หยุดรถ แหม่มคนหนึ่งเดินมา ก็ถามว่าไปทางไหน เขาก็อธิบายเสร็จแล้ว เขาเดินไปแล้ว กลับมาอีก กลับมาอธิบายใหม่ ทำให้รู้สึกซาบซึ้งว่า โอ้นี่ เขารู้จักหน้าที่ เขาพูดให้ฟังแล้ว เกรงว่าเราจะไม่เข้าใจ เลยกลับมาอธิบายใหม่ ให้ไปนั่นไปนั่น ซอยนั้น ซอยนั้น เลี้ยวนั่น เลี้ยวนั่น คืออธิบายละเอียดเที่ยวนี้ ไปนั้นจะเห็นป้ายนั่น เห็นอะไร จะเลี้ยวตรงนั้น เลยไปถูกเรียบร้อย นึกขอบใจว่า เขาไม่ได้บอกเฉยๆ ไม่บอก ไปทางนั้นหนะ ไอ้อย่างนั้นมันแย่นะ
ที่เมืองไทยนี่ วันก่อนไปสืบหาวัด เจ้ามูล ไม่ใช่เจ้ามูล วัดเจ้าอาม วัดเจ้าอาม เลยไป มันเข้าไม่ถูกทาง เลยไปถามโยมคนหนึ่ง โยมบอก โยมแกยืนอยู่ คนแก่ แก่ ถามว่า โยม วัดเจ้าอามไปทางไหน ไปทางนั่นแหละ ไอ้เราก็ขับไปทางนั้น แต่มันไม่ใช่ทางไปวัดเจ้าอาม มันต้องเลี้ยว ถึงจะไปได้ ขับไปแล้ว ทำไม เอ๊ะ ไม่ใช่นี่ ขับมานานแล้ว ไม่ถึงวัดเจ้าอามสักที เลยถามคน คนหนึ่ง อ่อ มาผิดจ่ะ ต้องเลี้ยวที่ตรงนู้น แล้วก็ออกถนนอีกสาย แล้วก็ไปถึง นี่อธิบายไม่ละเอียด ถ้าบอกว่าไปถึงนั้นแล้วก็เลี้ยวซ้าย ไปถึงนั้นเลี้ยวขวา มันก็ไปถึงวัดเจ้าอาม แต่แกไม่บอกให้ แกบอกว่าไปทางนั้นแหละ ขับไปเถอะ ไอ้อย่างนั้นมันก็แย่หนะซิ บอกไม่ละเอียด เรียกว่า ทำหน้าที่ไม่เรียบร้อย ใครมาถามอะไรเรานี่ เราต้องนึกว่าคนนี้ไม่เคยมา เป็นคนต่างถิ่น ต้องอธิบายให้ชัดเจนหน่อย ไปอย่างไร ไปตรงนั้นจะมีอะไร ด้านขวามีอะไร ด้านซ้ายมีอะไร แหม่มคนนั้นแกอุตส่าห์กลับมาอธิบายให้ฟัง เป็นอัธยาศัย คนนิวซีแลนด์ปกติเป็นอย่างนั้น ถ้าเราถามเรื่องอะไรเขาอธิบายยาวเหมือนว่า ปาฐกถาให้ฟังเลย เรื่องนั้น อย่างนั้น
วันก่อนนี้ก็ไป เขาปลูกหญ้าในสนาม เล่นโทรฟี่อะไร แหมหญ้าสวย เลยถามว่า หญ้านี้ปลูกอย่างไร แกอธิบายใหญ่โต อธิบายให้ฟังแล้วก็ รดน้ำ แกไปเนี่ย เข้าไปในห้องนี่ เปิดตรงนี้ แล้วน้ำจะออกพุ่งไปด้านนั้นเท่านั้นนาที พุ่งไปด้านนั้น เท่านั้นนาที คือทั่วทั้งสนาม ไม่ต้องไปยืนคุมเปิดสวิตซ์ไว้ ฉะนี้พอครบเวลา มันปิดของมันเอง คอมพิวเตอร์ (หัวเราะ) แกก็อธิบายซะให้ จนเราเข้าใจ แต่ว่าทำไม่ถูก เพราะไม่เคยทำ แต่นึกขอบใจว่า เขาไม่พูดเพรียงพร่อยๆ แต่พูดอธิบายกันจนเข้าใจ ไม่ว่าเรื่องอะไร อย่าไปถามอะไรเข้า ถามแล้วเขาต้องอธิบาย ใช้ภาษาง่ายๆ พูดชัดเจน แต่ว่าสำเนียงนิวซีแลนด์ สำเนียงนิวซีแลนด์ ท่านชยสาโร พูดเหมือนกับชาวสก๊อต ท่านชยสาโร แกคนอังกฤษ อยู่แถว เคมบริดจ์ แกว่าอย่างนี้ พูดเหมือนกับชาวสก๊อต นี่พวกนี้คงจะเป็น พวกไอริช พวกสก๊อต มาอยู่กันมากๆ สำเนียงมันเป็นอย่างนั้น แต่เขาก็มีน้ำใจดี อารมณ์ดี เพราะเมืองเขาสบาย
คนเราถ้าอยู่ในบ้านเมืองที่สบาย จิตใจมันก็สบาย แล้วบ้านเมืองสะอาด ขยะมูลฝอยไม่มี ไม่ทิ้งเพ่นพ่าน เขามีที่ทิ้งไว้ แม้ในสวนสาธารณะ ที่ไครสต์เชิร์ช ก็มีสวน โบตานิคัลการ์เด้น โอ้ ต้นไม้ใหญ่ ใหญ่ๆ เข้าไปถึงยืน มายืนตรงนี้ ให้ท่านชยสาโร มายืนอีก มันไม่รอบ สองคน ยังไม่รอบ แล้วโยม เอ้ามายืนต่ออีกคน ก็ยังไม่รอบ เอ อายุมันสักเท่าไหร่ ไอ้ต้นนั้น มันใหญ่ อายุเป็นร้อยๆ ปี แต่ว่าเมืองนี้อายุมันไม่นานหรอก ฝรั่งมาอยู่เพียง ๑๕๐ ปี เขาจะฉลอง ๑๕๐ ปี เรากรุงเทพฯ ๒๐๐ ปีแล้ว แต่ที่นั่นเพิ่งมา ตั้งต้นเพียง ๑๕๐ ปี แต่เขาตั้งต้น ๑๕๐ ปี ก็ไปไกล ทำอะไรเจริญก้าวหน้ามากกว่าเรา ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะคนที่มาอยู่ มาจากที่เจริญแล้ว มาด้วยความรู้ มาด้วยความสามารถ
เหมือนพวกอารยัน ลงมากับพวกมิลักขะ ในประเทศอินเดีย ตามพุทธประวัติว่าอินเดียเจ้าของถิ่น คือ พวกมิลักขะ หรือพวกทัสยุ มาอยู่มาก่อน แต่ไม่มีความเจริญ ไม่มีความก้าวหน้าอะไร พวกอารยัน เขามีความเจริญ เขาลงมา ขับไล่พวกนั้น กระจายลงไปอยู่ตามชายทะเลด้านใต้ พวกนั้นก็เข้ายึดครอง แล้วก็เกิดมีตำนาน พระอินทร์ รบกันกับพวกอสูร นี่มันตำนานพวกประวัติศาสตร์ พวกอารยัน พวกอารยัน นี่เป็นเหมือนพวกพระอินทร์ ที่มีความเจริญก้าวหน้า รู้จักปกครอง รู้จักระเบียบของบ้านเมือง พวกมิลักขะ พวกอยู่เดิมนี่ไม่ได้เรื่อง เหมือนกับพวกอสูรหนะ เลยเกิดสงครามรบกัน เพราะว่าอสูรมันเป็นเจ้าของถิ่น เวลาไปอยู่ ลงมาอยู่ข้างล่างแล้ว ดอกแคฝอย เขาเรียก จิตตปาลิ ในภาษาบาลี มันบาน บานแล้วส่งกลิ่นฟุ้ง ไปไกลๆ น่ะ พวกอสูร มันเคยได้ดมกลิ่น กลิ่นมันไปถึงพวกอสูรอยู่ มันก็นึกอยู่ ไอ้นี่บ้านกูนี่หว่า พวกนี้มารุกรานเอาไปไม่ได้ ต้องขึ้นไปรบกับพวกนี้หน่อย เลยจัดทัพไปรบเลย แต่ว่าเป็นทัพพวกบ้านนอกน่ะ จะไปรบกับทัพที่เจริญได้อย่างไร เทวดาก็จัดทัพเก่งกว่า พระอินทร์ สั่งพวกทหาร บอกว่า เวลาออกรบต้องดูธง ดูธงพระอินทร์ เกิดความกลัว เกิดความตกใจ เกิดความท้อแท้ ให้ดูธงพระอินทร์ ถ้าไม่ดูธงพระอินทร์ ดูธงของวะรุณัสสะ ไม่ดูธงของวะรุณัสสะ ดูปะชาปะติสสะ ดูธงของแม่ทัพ สี่คน ให้ดูธงแม่ทัพ ถ้าดูธงแม่ทัพ แล้วจะฮึกเหิมใจ กล้ารบ ไม่ถอย ถ้าเขาโบกธงรุก รุก ต้องรุก ไม่ต้องถอย
พระพุทธเจ้าเล่าเรื่องนี้ให้พระฟัง บอกว่านี่มันเป็นเรื่องเก่า สงครามอสูรกับพวกพระอินทร์ เขารบกัน พระอินทร์นั้นคือพวกอารยันนะ อสูรก็พวกเจ้าของถิ่นน่ะ แล้วก็รบกัน พวกอสูรแพ้ทุกที เสียเปรียบทุกที เพราะว่าไม่เก่งอะไร พวกพระอินทร์เขาเก่งกว่า ก็ตีถอยร่นลงไปทุกที แต่พอดอกแคขอให้บาน นึกถึงบ้านแล้ว เอ้า รบกันหน่อย แพ้มาอีกแล้ว เสียหน้ามาทุกที ไม่ได้เรื่องอะไร
ทีนี้คราวหนึ่งเป็นนิยายนี่ พวกเทวดานี่ พวกอารยันนี่ หลอกพวกอสูรมันใช้ เพราะว่าพวกนี้ไม่อยากตาย อยากจะมี ยากันตาย เรียกว่า น้ำอมฤต คือน้ำที่กินแล้วไม่ตาย ทีนี้ไปถาม พระฤาษี ฤาษีว่า ต้องทำอมฤต ต้องเอาเขา ๒ ลูก เอาเขาลูกหนึ่งมาวางลอง เอาเขาลูกหนึ่งมาซ้อนลงไป คว่ำลงไป แล้วก็ต้องดึงให้มันเสียดสีกัน เสียดสีแล้วต้นไม้ ใบไม้ หญ้าทั้งหลาย มันละลาย ละลายลงไปในทะเล ขุ่นเป็นตรมเลย เวียนไปเวียนมา ทำไปทำมาก็จะเกิดเป็นน้ำอมฤตขึ้นมา
ทีนี้จะทำยังไง ไปดึงภูเขายังไง ต้องเอาพญานาค นาคมันงูใหญ่ เอามาพันเข้า ก็ต้องให้พวกอสูรพวกหนึ่ง เทวดาพวกหนึ่ง เทวดามันฉลาด พวกอารยันฉลาดกว่าอสูร เลยบอกอสูรอยู่ด้านหัวนาคนะ อันนี้หัวนาค นาคมันก็พ่นพิษใส่พวกอสูร เหงื่อไหลไคลย้อย แสบตามองอะไรไม่เห็น แต่พวกอารยัน เขาจับหางนาค หางนาคมันไม่มีอะไรนี่ มันก็สบาย แต่ว่าชักไปชักมา พวกอสูรตาลาย เหงื่อไหลไคลย้อย จะเป็นลมไปตามๆ กัน แล้วพอน้ำอมฤตเกิดขึ้น ก็เป็นภาพเทวดา เทพธิดา ชูขันกันมา น้ำอมฤตอยู่ในนั้น พวกพระอินทร์ก็กินหมดเลย เพราะอยู่หางนาค ตาแกเห็นเชียว หลอกกินหมด นี่ก็เป็นเรื่องชี้แจงว่า ไอ้คนโง่ละก็ เป็นเหยื่อของพวกมีปัญญาตลอดไป เสียเปรียบเขาเรื่อยไป
เพราะฉะนั้น ประเทศใดชาติใดก็ตาม ถ้าไม่ส่งเสริมการศึกษาให้คนฉลาด ประเทศนั้นชาตินั้น มันก็ไปไม่รอด ส่งเสริมเพียงครึ่งๆ กลางๆ มันก็ไปไม่ได้ การศึกษานี่ รัฐต้องทุ่มเท เพื่อให้ประชาชนฉลาด แล้วก็ต้องให้ฟรี อย่าไปคิดเงินคิดทอง ให้เรียนเปล่าๆ เพราะเป็นการลงทุนที่เกิดกำไรแก่ประเทศชาติ คนมันฉลาด มีความรู้ พูดกันง่าย แต่คนไม่ฉลาด ไม่มีความรู้ พูดกันยาก ไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยก็ไปไม่รอด อะไรก็ไปไม่ได้ อันนี้ต้องลงทุนการศึกษาให้ทั่วถึง อย่าเอามากองไว้ที่เดียว ให้คนไปเรียน ไม่ต้องมาเมืองใหญ่ เปิดให้มันแพร่หลาย ส่งเสริมให้เต็มที่ งบประมาณเอาไปใช้เพื่อการศึกษาให้มาก เอาไปใช้เรื่องอื่นมันไม่เกิดประโยชน์เท่าใด ทุ่มทิ้งเสียเยอะแยะ เอาไปเรื่องที่ไม่จำเป็น ลงทุนมาก แต่ไม่ได้เรื่องอะไร จะไปรบกับใคร เราก็สู้เขาไม่ได้ เพราะเราซื้อของเขามา ยิงสองสามทีมันก็แตกแล้ว แล้วจะไปเอาที่ไหนมาอีก มันสู้สร้างคนให้เก่งไม่ได้ สร้างคนให้เจริญ ด้วยการศึกษา รู้จักช่วยตัวเอง รู้จักพึ่งตัวเอง เขาก็รักษาบ้านเมืองของเขาได้ เพราะเขารู้ว่า อะไรเป็นอะไร มันต้องส่งเสริมอย่างนั้น
แต่การศึกษาถ้าเรียนแต่ฝ่ายคดีรู้ ไม่เอาธรรมะเข้าไปใช้ด้วย มันก็ลำบากเหมือนกัน เพื่อให้เกิดความสมดุลทั้งกายทั้งใจ ก็ต้องส่งเสริมธรรมะด้วย นักเรียนต้องเรียนธรรมะ ประพฤติธรรมะ ครูก็ต้องเป็นครูที่ดีจริงๆ เป็นครูตัวอย่าง เดี๋ยวนี้เรามีครูที่ไม่ค่อยจะเป็นตัวอย่างมากหลาย มากหลายเหลือเกิน บางแห่งมาก ครูขี้เมาก็เยอะ นักการพนันก็เยอะ แล้วถ้าสำรวจดูแล้ว ครูเป็นหนี้มากเหลือเกิน ในพวกครู ข้าราชการทั้งหลายทั้งปวงนี่ ครูเป็นหนี้มากกว่าใครๆ เป็นหนี้มาก แล้วก็มันยุ่งนะ ถ้าไปให้ทำงานเกี่ยวกับการเงิน เกิดคอรัปชั่น โกงอะไรต่ออะไรกัน เพราะมันจน เงินไม่พอกินพอใช้ อันนี้มันไม่ปรับปรุงทางศีลธรรม
ไอ้เรื่องให้เงินให้พอนี่ มันไม่พอ มันต้องสอนคนให้รู้จักพอ ให้รู้จักมักน้อย รู้จักสันโดษ กินอยู่แต่พอดี แล้วก็อย่าส่งเสริมสิ่งที่มันจะยั่วให้จ่าย อย่าให้บ้านเมืองมันสนุกในเรื่องเหลวไหล อะไรที่มันเหลวไหล ล่อความฟุ่มเฟือย ตัดๆ เสียบ้าง ปิดๆ เสียบ้าง มันไม่ดี มันไม่เกิดความเจริญอะไร แล้วก็ไม่ช่วยให้คนดีขึ้น เราก็ตัดเสียมั่ง ปิดเสียมั่ง เช่น เที่ยวกลางคืน อย่าให้มันเที่ยวกันจนดึกดื่นเที่ยงคืน เอานิดหน่อย ๒๒.๐๐ น. กลับบ้านได้แล้ว มันก็ได้ แต่ว่ามีคนคัดค้านอีก พวกหาสตางค์มาบอก เฮ้ย ประชาธิปไตยเขาไม่บังคับเรื่องอย่างนั้น มันไปอ้างประชาธิปไตย แต่ไม่รู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร ประชาธิปไตยที่ไม่มีธรรมาธิปไตยมันไปไม่รอด ต้องมีธรรมะด้วย ธรรมาธิปไตย ถ้ามีธรรมาธิปไตย ประชาธิปไตยมันเกิดเอง แต่ถ้าไม่มีธรรมาธิปไตย ประชาธิปไตยไม่เกิด มันเป็น อัตตาธิปไตยไป คือ เห็นแก่ตัว เห็นแก่พรรคพวก เห็นแก่ได้ บ้านเมืองมันก็พังทลาย เพราะขาดธรรมะเป็นพื้นฐาน นี้ต้องส่งเสริมการศึกษาธรรมะ
เดี๋ยวนี้การศึกษาธรรมมะ มันไม่ค่อยมีงบประมาณอะไร ให้นิดๆ หน่อยๆ ให้ศาสนานี่น้อย งบประมาณน้อย ขอแล้วขออีกก็ไม่ค่อยได้ ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ ขอเงินไปเขาก็ไม่ให้ เขาว่าไม่มีงบประมาณ แต่เอาไปทุ่มเรื่องอื่นได้เยอะแยะ มากมายก่ายกอง ไม่รู้จักใช้เงินให้เป็นประโยชน์ มันก็เกิดปัญหา ทำให้เกิดความลำบากในการปกครอง
ในประเทศที่เขาเจริญนั้น เขาส่งเสริมการศึกษา แม้เพียงเกาะเล็กๆ แต่ก็มีมหาวิทยาลัย เกาะใต้ก็มีมหาวิทยาลัย และที่เกาะเหนือก็มี มีตั้ง 2 แห่ง 3 แห่ง เขามีไว้ ที่เวลลิงตันก็มี แต่ไม่ใหญ่ ไม่โต เล็กๆ เป็น มหาวิทยาลัยเล็กๆ แต่ว่ามีครบทุกสิ่งทุกอย่าง คนไทยไปเรียนที่นั่นเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะไปเรียนเรื่องภาษา เพราะว่าเขาให้ทุน พวกครูได้ทุนไปจากสถานที่ต่างๆ โรงเรียนเมืองไทยไปพบหลายคน ถามว่ามาเรียนอะไร มาเรียนภาษา เรียนวิธีสอนภาษา เพราะคนนิวซีแลนด์เขาเก่งในการสอน วันก่อนนี้ ที่มิสเตอร์ปอนด์ ภรรยาแกเป็นคนไทย เคยไปฉันท์ที่บ้านแกเหมือนกัน แล้วแกมาแวะที่นี่ แกเดินทางไปประเทศนอร์เวย์ ถามว่าไปทำไม ไปสอนภาษา รัฐบาลนอร์เวย์ จ้างไป ๖ เดือน ให้ไปทำการสอนภาษาอังกฤษที่นั่น เพราะแกเป็นคนเชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษ สอนเก่ง เลยไปทั้งครอบครัว เอาลูกเอาเมียไปด้วย ไปอยู่ ๖ เดือน ลูกชายกำลังเรียนหนังสือ บอกเอาไปเรียนที่นู่น ไปเรียนต่อที่นู่น เรียนด้วยกัน สอนไปกันไป แสดงว่าเขาเก่งในเรื่องนั้น
การเกษตรเขาก็เก่งเหมือนกัน มีนักเรียนไทยไปเรียนการเกษตร เขามีความเชี่ยวชาญในเรื่องเกษตรหลายเรื่อง เรื่องเกี่ยวกับพืช เกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับโรคพืช โรคสัตว์ เขามีใหญ่โตเหมือนกัน ที่บริเวณที่เขาตั้งไว้ ให้คนไปเรียน ให้ทุน เขาให้ทุนประเทศเล็กๆ แต่ว่าช่วยเมืองไทย ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นก็มีโรงพยาบาล มีการเรียนแพทย์ที่ขอนแก่น โรงพยาบาลขอนแก่นใหญ่โตมาก ลงไปเดิน ถ้าไม่มีคนนำ เดินไม่ถูก ลงไปชั้นล่าง ขึ้นไปชั้นบน กว้างขวางใหญ่โต ถามว่าได้งบประมาณมาจากไหนนี่ ประเทศนิวซีแลนด์ช่วย โอ้ ตายแล้ว พอไปเห็นประเทศนิวซีแลนด์เข้า ประเทศมันเล็กกว่าเราเป็นไหนๆ แต่มาช่วยเรานะ ถ้าพูดภาษาไทยว่า เตี้ยอุ้มยักษ์แล้วน่ะ เรานี่มันใหญ่นะ แต่ว่านิวซีแลนด์เล็ก แต่มาอุ้มเราไว้ มาช่วย แปลว่า เศรษฐกิจเขาดี การเงินเขาดี เขาส่งเสริมอะไรต่ออะไร ดีก้าวหน้า มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยทุกสิ่งทุกอย่าง ดูแล้วก็เพลินตาเพลินใจ
ถ้าจะส่งข้าราชการไปดูงาน น่าจะส่งไปประเทศเล็กๆ อย่างนั้น ส่งไปอเมริกา มันใหญ่เกินไป เอามาทำไม่ได้ มันใหญ่ ถนนมันก็ใหญ่ ตึกมันก็ใหญ่ หนังสือพิมพ์ฉบับ นิวยอร์กไทม์ วันอาทิตย์นี่ ๑๐๐ หน้านะ แหมหนีบกันเหนื่อยรักแร้เลย ถ้าจะถือไหว อ่านไม่ไหว แต่เมืองนิวซีแลนด์ ของเขาน้อยๆ บ้านน้อยๆ อะไรน้อยๆ พอดูได้ แต่ถนนสะอาดสะอ้าน ต้นไม้ข้างถนนปลูกสวยงาม ไม่มีใครทำลาย สนามหญ้า สวยๆ งามๆ เรียบร้อย เขาไม่ต้องเขียนป้ายบอกว่า อย่าทำลาย อย่าเหยียบหญ้า คนมันไม่เหยียบ มันรู้ คนรู้ว่าหญ้านี้สวย ไม่เหยียบ ดอกไม้ไม่มีคนเด็ด เขาฝึกกันมาอย่างนั้นเรียบร้อย
แล้วนายกรัฐมนตรีของเขานี่ เป็นคนของประชาชน เพราะประชาชนเลือกเข้าไปให้ทำงาน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวใครจะฆ่า เพราะเป็นของประชาชน แกก็เดินไปตาม ตามในตลาดนั้น เดิน เที่ยวเดินดูของตามร้าน ดูหน้าต่างที่เขาประดับขายของ เดินดูนั่นดูนี่ ท่านทูตคนก่อน นั่งรถไปด้วยกัน เห็น โอ้ย หลวงพ่อ นั่นแหละ นายกรัฐมนตรี เดินอยู่นั่นแหละ เดินอยู่คนเดียว ไม่มีบอดี้การ์ด ไม่มีตำรวจตามหน้าตามหลัง ไม่มีสันติบาลคอยจ้องอยู่ตลอดเวลา ของเราจ้างไปไหน รอบตัว ปืนรอบตัว ราวกับว่ามีศัตรูทั่วบ้านทั่วเมืองอย่างนั่นแหละ ทำไม ไม่เดินไปคนเดียวเสียมั่ง ออกไปเที่ยวตลาดจตุจักรเสียมั่ง หรือไปเดินสนามหลวงเสียมั่ง ไปนั่งรถเมล์เสียมั่ง เพื่อจะได้รู้ว่ารถเมล์เมืองไทย มันเป็นยังไง นั่งรถไฟชั้น 3 เสียมั่ง จะได้คุยกับประชาชน เพื่อจะได้รู้ว่าสภาพมันเป็นอย่างไร นี่ไม่รู้ เพราะไม่เคยนั่งไง สมัยก่อนก็ไม่เคยนั่ง เป็นใหญ่เป็นโตก็ไม่เคยนั่ง ไปนั่งเสียมั่ง นั่งรถไฟ นั่งรถบัส ว่างๆ ก็ไปวัดไปวาเสียมั่ง วันอาทิตย์แอบมานั่งมั่ง ใต้ต้นไม้ ต้นไผ่วัดชลประทาน มองแล้ว โห ใคร โอ้ นายก ทำไมมานั่งอยู่นั้น คนรู้ จะได้เห็น ได้เข้าไปใกล้ๆ จะได้ถามปัญหา จะได้คุยกัน
ไปตรวจงานตรวจการก็ คนมันล้อมไว้ ชาวบ้านไม่ได้พูดอะไร เคยไปถามชาวบ้าน ได้ข่าวว่านายกมาที่นี่ พวกเราได้คุยอะไรกับนายกบ้าง ไม่ได้ เขาไม่ให้เข้า เดินเฉียดเข้าไปก็ไม่ได้ ตำรวจมันคอยห้ามไว้ ทำไมตำรวจถึงห้ามนักหนา กลัวชาวบ้านจะไปคุยเรื่องไม่ดี ให้นายกฟัง เออ เพราะว่า วัวสันหลังหวะมันเยอะ กามาแล้ว อย่าให้เข้าใกล้ ไม่ให้พูด ถ้าพูด ชาวบ้านมันพูดตรงไปตรงมา อย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ยุ่งหนะซิ แล้วก็เลยไม่ได้คุยกันอย่างนั้น ไปไหนก็ได้ฟังแต่เรื่องเรียบร้อย ความจริงมันไม่ได้เรียบร้อยหรอก แต่พวกนั้นก็ต้องฺ brief ให้ฟังว่า เรียบร้อยทุกอย่าง การโจรผู้ร้าย อาชญากรรมก็ลด ทำมาหากินดี ก็ว่าไปงั้น ก็ชื่นใจกลับกรุงเทพฯ เพราะทุกอย่างเรียบร้อย ความจริงมันไม่ได้เรียบร้อย แต่ว่าไม่ได้เข้าถึงประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ได้ไปคุยกับประชาชน มันต้องแอบไปเที่ยวๆ มั่ง ไปคุยกับพระสงฆ์องค์เจ้าตามวัดบ้านนอก เพราะว่าเรื่องอะไร พระรู้ทั้งนั้น บ้านนอกหนะ คนมันมาถ่ายไว้ มาถ่ายไว้ที่วัดทั้งนั้น มาถ่ายไว้ มีไรเป็นทุกข์ ก็มาเทไว้ เทไว้นะ พระท่านรู้ สองหูเต็มเปี่ยม ที่นี่ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ไปคุย ท่านก็เล่าให้ฟังมั่ง และเราก็ได้รู้เบาะแส พอจะได้สืบสวนอะไรต่อไป เพื่อปรับปรุงแก้ไขต่อไป อะไรๆ มันก็ดีขึ้น มันเป็นอย่างนั้น
การไปเที่ยวมันก็ได้ประโยชน์ ได้เห็นสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะในด้านการศาสนานั้น กระเตื้องขึ้นทุกปี คือมีคนเพิ่มขึ้น มีคนสนใจ มีคนศึกษา มาปฏิบัติเจริญภาวนา ที่เมือง ออคแลนด์นั่นก็มี เรียกว่า พุทธวิหาร พระไม่ได้อยู่ประจำ แต่พระเวลลิงตันมา เดือนหนึ่ง ๒ ครั้ง มาอยู่ ๑๐ วัน ๑๕ วัน ผลัดเปลี่ยนกันมา วันนั้นก็มาแวะพักที่นั่น มาถึงคืนวันเสาร์ ชาวบ้านก็มากันประมาณ 30 คน หลายชาติ หลายภาษา คนสิงหล คนพม่า คนไทย คนลาว คนเขมร เขมรก็มามั่ง แต่เขมรเขามีวัดของเขาแล้วเวลานี้ แต่คนลาว มีเหมือนกัน แต่ว่าพระยังอ่อนการศึกษาอยู่ เขาก็มากัน มาเขาก็ให้สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสงบจิต แล้วก็เทศน์ให้ฟัง
ตื่นเช้าขึ้นวันอาทิตย์ เขาก็มาอีก มาตักบาตร ตักบาตร ใส่บาตร ใส่แต่ข้าว กับไม่ต้อง เขาเอากับมาถวาย ใส่ฉันท์ในบาตร เหมือนเราทำที่นี่ แล้วก็เสร็จอาหารแล้ว เขาก็ฟังธรรมก่อน หัวหน้าเป็นคนสิงหลบอกว่า ฟังธรรมก่อน แล้วจึงจะไปกินอาหารกัน ให้พระเทศน์ให้ฟัง ก็พูดให้ฟังประมาณ ๓๐ นาที แล้วเขาก็ไปทานอาหารกัน เขาเรี่ยไรปัจจัย แต่ว่าเอาไว้สร้างศาลาที่นู่น เพราะว่าที่นั่นเขาก็จะช่วยสร้างศาลาให้เรียบร้อย ดูแล้วก็ก้าวหน้า พระท่านก็ทำงานจริงจัง เอาจริงเอาจัง มีการเปิดรับ เขาเรียกว่า ปฏิบัติ เป็นครั้งคราว ๑๐ วัน ๑๐ วัน ไม่ได้เปิดที่วัดเสมอไป เปิดที่เมืองนั่น ที่เมืองนู่น หาที่เหมาะๆ หาบ้านเหมาะๆ เจ้าของบ้านเขาจัดการ ช่วยเหลือ ให้คนได้มาปฏิบัติ แสดงว่า เขาอยากจะได้ความสุขทางใจ ไอ้วัตถุหนะ เขามีพอแล้ว บ้านเมืองเขาเจริญก้าวหน้าแล้ว แต่เขามีความทุกข์ทางใจ คนเราแม้มั่งมีศรีสุขอย่างไร คนอื่นมองว่าเป็นสุข แต่ว่า รู้ว่ามันมีความทุกข์ มีปัญหา มีเรื่องเดือดร้อน ลำบากใจ ปัญหานี้ต้องแก้ด้วยธรรมะ เขาก็มาศึกษา มาปฏิบัติ อะไรกัน
วันนั้นมีช่างถ่ายรูปเป็นคนอังกฤษ มาถ่าย โอ้ย ค่อยๆ ถ่ายทำช้าๆ ถ่ายรูปเดี่ยว ถ่ายรูปหมู่ ถ่ายรูปคนงานกับศาลา ก็มา ก็มาถ่าย ก็ไม่คิดราคาอะไร ถ่ายให้ แล้วก็คืนนั้นแกก็มาฟังธรรมด้วย แต่แกนั่งเก้าอี้ เอ้ย นั่งพื้นไม่ไหว ร่างแกอ้วน เลยยกเก้าอี้ให้มานั่ง นั่งเหนือเพื่อนหน่อย นั่งเก้าอี้ แล้วก็นั่งฟังธรรม นั่งสงบใจ ทำได้ เป็นคนอังกฤษใจดี เขาก็มาช่วยกัน เขาก็ช่วยกัน เงินทองอะไรเขาก็ช่วย แต่ว่ามันไม่ค่อยพอ เลยถือโอกาสหาไปช่วย ก็ยังนึกว่า จะต้องหาเพิ่มเติมไปช่วย
เวลาจะไปคราวหน้า ก็ค่อยประกาศทางวิทยุ ให้ญาติโยมได้ช่วยกันต่อไป ส่งเสริมกิจการเผยแผ่ธรรมมะแก่ประชาชน บ้านเราช่วยแล้ว ก็ไปช่วยที่อื่นบ้าง ช่วยในที่ที่ควรช่วย ส่งเสริมในสิ่งที่ควรส่งเสริมให้ก้าวหน้า หลวงพ่อต้องพิจารณารอบคอบ ว่าควรช่วยหรือไม่ แต่ว่าได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าดี ว่าถูก เขาทำได้ เราช่วย ถ้าเห็นว่าไม่ได้เรื่อง ก็ไม่ช่วย มันเสียเปล่า ไม่ได้เรื่องอะไร เราจะหว่านพืชลงไป มันต้องดูดิน ถ้าดินดี หว่านลงไปมันก็เกิดงอกงาม ถ้าบนหินเอาไปหว่านเท่าใด มันก็ไม่งอก นกกินหมด เลยไม่ได้เรื่องอะไร มีที่ไหนที่ไปช่วยก็เจริญทั้งนั้น ที่ลอนดอนไปช่วย ก็เจริญ ที่ออสเตรเลีย เมืองเพิร์ธ ท่านจาคโร ก็เจริญก้าวหน้า สบายแล้ว เวลานี้ สบายแล้ว ไม่ลำบากแล้ว แต่ที่นิวซีแลนด์นี้ ยังลำบากอยู่หน่อย เพราะว่าสถานที่ยังไม่พอ แต่พระท่านก็ตั้งใจอยู่ ตั้งใจปฏิบัติช่วยเหลือกัน พระที่อยู่นั่น เป็นแคนาดาองค์หนึ่ง เป็นอังกฤษองค์หนึ่ง เป็นเยอรมันองค์หนึ่ง และก็อีก ๒ องค์นั้น เป็นคนนิวซีแลนด์ มีคนนิวซีแลนด์ด้วย แล้วยังเตรียมจะบวชอยู่อีก ๒ คน เป็นพ่อขาว ปีหน้าก็จะบวช เมื่อศาลาเสร็จก็บวช ไปเป็นอุปัชฌาย์ให้ บวชให้เขา
นี่เอามาเล่าให้ญาติโยมฟัง เพื่อจะได้รู้ว่าไปไหน ไปทำไม ได้อะไรมาบ้าง แล้วก็ได้สิ่งที่เป็นประโยชน์ ได้บุญได้กุศลในจิตใจ แล้วญาติโยมก็ได้ช่วยให้ไปต่อปีกต่อหาง เรือบินเขาก็เอื้อเฟื้อดี วันไปก็นั่งชั้นหนึ่ง ตีตั๋วชั้น เขาเรียกว่า ชั้นธรรมดา economic ชั้นเศรษฐกิจ แล้วก็พอขึ้นไป เขาบอก โห หลวงพ่อ นั่งตรงนี้ ก็ชั้นนั้นมันมีคนเพียงไม่กี่คน เราก็ไปนั่งเป็นเพื่อนกันหน่อย ขากลับ ชั้นหนึ่ง มี ๒ คน พระไปนั่งอีก ๒ กลายเป็น 4 คน น้อยดีอยู่ แล้วก็นั่งสบาย พอดีก็พบลูกศิษย์ เขาเคยบวชที่นี่ อาตมาจำไม่ได้ แต่เขาจำได้ เลยบอกว่าผมบวชกับหลวงพ่อนะ ปีนั้นปีนี้ ถามว่า พระองค์นั้นยังอยู่มั้ย บอกว่าไม่อยู่ เขายังจำได้ เลยเค้าจัดให้ขึ้นไปนั่งชั้นหนึ่งเลย ก็ได้รับความสะดวกสบาย ที่มันกว้างหน่อย ไอ้ชั้นอื่นมันแคบ นั่งแออัดยัดเยียด นั่งนานๆ มันก็ไม่ไหว ไกลๆ ๑๐ ชั่วโมง
ออกจากเมือง ออคแลนด์ นี่บิน ๑๐ ชั่วโมง กว่าจะถึงเมืองไทย บินมากลางวันเรื่อยมา มาค่ำเอาแถวนี้ เลยเกาะบาหลีมาแล้ว มาค่ำ มาเข้าเขตมาเลเซียแล้ว ถึงมืดถึงค่ำ มาถึงเมืองไทยก็พอดี ๓ ทุ่มกว่า ๓ ทุ่มครึ่ง กว่าจะออกมาได้ ก็ ๒๒.๐๐ น. พอดี นี่เป็นเรื่องที่เอามาเล่าให้ญาติโยมฟัง ตอนนี้ก็ไม่ไปไหน อยู่เรื่อยไป นู่นจะไปอีกทีหนึ่ง เดือนมิถุนายน พ้นจากอาทิตย์แรกของเดือนแล้วถึงจะไป เพราะว่าที่ชิคาโก เขาจะผูกพัทธสีมา แล้วจะมีการประชุมพระทั่วอเมริกา ท่าน ดร.สุนทร อยากให้หลวงพ่อไปหน่อย ไปพูดกับพระที่ไปอยู่อเมริกาหน่อย พูดให้เขารู้ว่า อะไรเป็นอะไรหน่อย เพราะมาประชุมกันหมด ก็ดีเหมือนกัน ก็ไปตอนนั้นอีกที ไปไม่นานโยม ไป ๒๕ วัน ไปวันที่ ๕ กลับ วันที่ ๒๕ พอดี ๒๕ มาถึงก็บวชนาคกันต่อไป นาคเข้าพรรษา นี่ตอนนี้ก็มีพระมากขึ้น เพราะเมื่อวันที่ ๑ มีนานี้ บวช ๖๓ องค์ บวชเดือนหนึ่ง หรืออาจจะเลยไปได้ แล้ววันที่ 1 เมษา บวชอีกชุด หน้าร้อนนี่บวช ๓ ชุด กุมภาชุดหนึ่ง มีนาชุดหนึ่ง เมษาชุดหนึ่ง จำนวนไม่จำกัด เท่าใดก็ได้ วันที่ ๑ นี่บวช ๒ ยก เพราะมาก บวชตอนเช้า เที่ยงออกมาฉันท์เพล เที่ยงครึ่งเข้าโบสถ์ต่อ ก็เสร็จเรียบร้อย ก็มากหน่อย ก็โยมจะได้เห็นพระมาก จะได้สบายใจ เห็นพระมากๆ อาหารมันเยอะ พระน้อยนี่โยมไม่สบายใจ แต่มากแล้วก็สบายใจ ความสบายเกิดเพราะเราได้เห็นสิ่งที่ดี ที่ประเสริฐ จิตใจก็สบาย พูดมาก็สมควรแก่เวลา
- ปาฐกถาธรรม ประจำวันอาทิตย์ที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๓