แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านหาที่นั่งๆพักให้สบายๆใต้ร่มไม้ซึ่งมีใบไม้หล่นอยู่เต็มบริเวณ เป็นเครื่องเตือนใจให้เราเห็นว่าชีวิตเหมือนกับใบไม้อาจจะร่วงเมื่อใดก็ได้ จงตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา
เมื่อคืนนี้ดูโทรทัศน์ข่าวต่างประเทศที่ประเทศอังกฤษ ประเทศในยุโรปหลายประเทศ ถูกลมพายุพัดแรงมาก ต้นไม้ล้มหักโค่นบ้านเรือนพังเสียหายมาก คนตายไปหลายเมืองมากเหมือนกัน คล้ายๆกับพายุเกย์ที่ขึ้นที่ประทิว ท่าแซะ ชุมพร แต่มันย้ายไปเล่นเอาฝรั่งบ้านเมืองพังไป ประเทศอังกฤษเมื่อปีก่อนนี้ สองปีพัดทีนึงแล้ว ต้นไม้ต้นโอ๊คต้นใหญ่ๆขนาดนี้เขาสงวนนักหนาพังกันไปเป็นแถว เจ้าของบ้านก็ดีใจ ได้เอาไม้ใช้เสียที เพราะเขาขอสงวนป่าไม้ เขาไม่ให้ตัด อันนี้ว่าลมพายุโค่นลงมาล้ม เขาก็อนุญาตให้เอาไปใช้ได้ ที่วัดอมราวดีที่พระท่านสุเมโธกับคณะอยู่ก็ถูกพายุเหมือนกัน ต้นไม้ซึ่งเป็นสวนป่าของวัดนี่ มีจำนวนตั้งมากมาย หักโค่น เลยวัดก็เอามาเลื่อยไว้ทำซ่อมแซมกุฏิเสนาคณะต่อไป
ไอ้ลมพายุนี่มันอาจจะเกิดขึ้นที่ไหนเมื่อใดก็ได้ ไอ้ที่ชุมพรที่ว่าเกิดเมื่อเร็วๆนี้บางทีคนก็เอ๊ะที่อื่นไม่เคยเกิดๆมาแล้วเหมือนกัน เมื่อ 60 ปีก่อนนี้เคยเกิดนี่ ท่านอดีตผู้ว่าจันทร์ สมบูรณ์กุลในสมัยนั้นได้กล่าวว่าเป็นปลัดอยู่ที่ชุมพรแล้วก็ถูกพายุใหญ่ แต่ไม่ใหญ่เท่านี้ไม่เท่า แต่ก็เคยมี มันอาจจะมีเมื่อไหร่ก็ได้ ธรรมชาติ เรื่องของธรรมชาติ อาจจะเกิดพายุ อาจจะเกิดน้ำท่วม เกิดแผ่นดินไหว เกิดภูเขาไฟระเบิดในที่ๆมีภูเขาไฟหรืออาจจะมีอะไรวิปริตเลยก็ได้ ก็เรื่องของธรรมชาติไม่อยู่ในอำนาจของใคร มันเป็นไปตามเรื่องของมัน
พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็สอนให้เรารู้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่เราสวดมนต์กันอยู่ทุกวันทุกเวลา ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันนี้เป็นกฎของธรรมชาติที่มีอยู่ เป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นเราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์อะไรมากเกินไป ตัดลงๆไปเสียว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ธรรมดามันเป็นอย่างนั้น เราได้รับผลจากความกระทบกระเทือนจากสิ่งที่เกิดขึ้นบ้างพอสมควร มากบ้าง น้อยบ้าง ก็ตั้งต้นใหม่กันต่อไปไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ใจมันก็จะสบาย ไม่ต้องวิตกกังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้นมากเกินไป เราเรียนธรรมะนี่ต้องเอาไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับแก้ไขปัญหาชีวิต ไม่ใช่เรียนไว้เฉยๆ เรียนแล้วก็ต้องเอาไปใช้ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นก็ต้องคิดโดยแยบคาย ในภาษาธรรมะเขาเรียกว่า มานะสิการ มานะสิการแปลว่าการทำใจโดยแยบคาย คือคิดให้ละเอียด ไตร่ตรองให้รอบคอบในเรื่องนั้นๆ ว่าอะไรมันเกิดขึ้นแล้วก็ผลเป็นอย่างไรเราจะไปห้ามได้ไหม ไปทำอย่างไรได้หรือไม่เราจะไปห้ามสิ่งภายนอกไม่ได้ แต่เราหักห้ามใจของเราได้คือ สอนตัวเองได้ คิดให้มันถูกต้องได้ตามกฎเกณฑ์ของธรรมะ คิดให้ถูกต้องก็คือ คิดว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเรื่องของธรรมดาที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะบังคับให้เป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ได้ตามที่เรารู้อยู่แล้วว่าไม่มีอะไรที่จะอยู่ในอำนาจของใครๆในหลักอนัตตาๆนี่มันมีอยู่อันหนึ่งว่าไม่อยู่ในอำนาจของเราๆบังคับมันไม่ได้ เช่นบังคับร่างกายให้อย่าแก่ก็ไม่ได้ อย่าเจ็บ อย่าไข้ก็ไม่ได้ อย่าเป็นโรคนั้นนะให้เป็นโรคนี้เบาๆหน่อย มันก็ไม่ได้ มันสุดแล้วแต่ปัจจัยเครื่องปรุงแต่งของร่างกายที่จะให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้ในร่างกายของเรา มันจะเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่นว่าคนบางคนก็เป็นโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคขนาดหนักมันก็เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติปรุงแต่งในร่างกายมีสิ่งภายนอกเข้าผสมเช่นว่า ดินฟ้าอากาศ สิ่งแวดล้อม มลภาวะในที่ต่างๆมันก็ไปรวมกันเข้า ก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นแก่ร่างกายของเรา เราไม่รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไรถูกต้อง เราก็หายใจอยู่โดยปกติแต่ลมหายใจนั้นไม่ใช่ว่าจะบริสุทธิ์เสมอไป ไม่เป็นออกซิเจนเสมอไป อาจจะเป็นคาร์บอนเข้าไปด้วยก็ได้ หรือในออกซิเจนที่เราหายใจมันอาจจะมีอะไรปนเข้าไปก็ได้ เพราะชาวโลกนี่ทำสิ่งสกปรกให้เกิดขึ้นในโลกตลอดเวลา จะความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุมันเพิ่มมลภาวะขึ้นในโลก โรงงานต่างๆที่เกิดขึ้นมากมายนั้นก็สร้างมลภาวะให้เกิดขึ้นทำให้กระทบกระเทือนต่อการเป็นอยู่ของประชาชน เป็นเหตุให้เกิดโรคอะไรๆขึ้นจากสารพิษต่างๆ จากมลพิษต่างๆที่เกิดขึ้นจากสภาพสิ่งแวดล้อมที่จะเรียกว่าเป็นความเจริญ ไอ้ความเจริญนี่มันก็ให้ทั้งดีทั้งเสีย ให้ดีก็ได้ให้เสียก็ได้จึงต้องช่วยกันกำจัดปัดเป่าตามสมควรเช่น ไม่ให้เกิดน้ำเสียมากเกินไป ไม่ให้เกิดควันพิษมากเกินไป ไม่มีอะไรที่เป็นพิษเป็นภัยแก่ประชาชนมากเกินไป เขาจึงต้องควบคุมสิ่งเหล่านี้ให้เกิดความพอดีไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน แต่ก็มันยังมีหลงเหลืออยู่บ้างเราก็ไม่รู้อยู่กันลำบาก เช่นคนแถวริมถนนจากบ้านโป่งไปกาญจนบุรีมีโรงงานน้ำตาลเยอะขึ้น แล้วก็ไอ้เถ้าแปลก ขี้เถ้าซากที่เขาเผาในโรงงาน มันก็ปลิวว่อนมา วันนั้นนั่งรถไปแล้วก็เกิดอาการปวดท้องขึ้นมาเลยก็บอกว่าเข้าไปในวัดหน่อย เขาไปในวัดขึ้นไปบนกุฏิถามว่าห้องน้ำอยู่ไหน บอกชี้ไปในห้องน้ำแต่บนพื้นเต็มไปด้วยขี้เถ้าพอออกจากห้องน้ำมาเสร็จแล้ว โอ้ย ทำไมขี้เถ้าเต็มไปอย่างนี้หลวงพ่อ กวาดไม่ไหวเจ้าคุณ พอยกไม้กวาดมันก็ตกลงมาแล้ว ไม่รู้จะทำยังไง ถ้าลมพัดมาทางนี้ก็ต้องนั่งทนอยู่อย่างนี้แหละ แล้วโรงงานก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้อย่างไร ไม่ให้ขี้เถ้าไปลงตามกุฏิพระ ลงตามบ้านของชาวบ้าน มันก็ปล่อยไปตามเรื่องตามราวก็ไม่มีใครแก้ไขอย่างนี้
สมัยก่อนนี้โรงงานไฟฟ้าอยู่วัดเลียบนะ วัดเลียบมีแต่ขี้เถ้าเต็มกุฏิเลยล่ะ ก็ควันไฟที่เขาใช้ทำเชื้อเพลิงให้เกิดความร้อนมันก็ตกลงมาในวัดเต็มไปหมด ไปเยี่ยมเพื่อนฝูงมิตรสหายที่อยู่วัดนั้นบ่อย ที่อยู่นี่ก็อยู่ในครัว มันดำไปหมดกวาดไม่ไหว มันตกทุกวันๆจีวรซักดีแล้ว ไปตากไว้แล้วมันก็มาถูกจีวรเวลาเก็บที่ต้องค่อยๆต้องค่อยๆสั่นให้มันหลุดไปเสียก่อน แหม เก็บมาขึ้เถ้ามันก็ติดมาด้วยเวลาพัดขี้เถ้ามันก็ติดเข้ามาในนั้นเลอะเทอะ เปรอะเปื้อนต่อไป แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วเพราะโรงงานไฟฟ้าวัดเลียบเขาไม่เปิดแล้ว เขาไม่ใช้แล้ว เขาไปใช้โรงงานยันฮีแทน พระวัดเลียบค่อยหายใจโล่งขึ้นมาหน่อย แต่มันก็ไม่โล่งเพราะว่าถนนมันจอแจที่สุด เขม่ารถยนต์มันก็เยอะแยะทำให้อึดอัดต่อไปแต่พระก็อยู่ได้ เพราะไม่รู้จะไปไหนไปดูแล้วไม่น่าอยู่วัดบางวัดหลายวัดในกรุงเทพก็ไม่น่าอยู่ แออัดยัดเยียด มลภาวะมันเยอะไปดูแล้วอยู่กันยังไง ชีวิตมันจะสั้นถ้าอยู่อย่างนั้น หนีบมานอกเมืองอย่างนี้มันค่อนยังชั่วเหมือนวัดชลประทานค่อยสบายหน่อยเพราะว่าต้นไม้มันมากอากาศค่อยปลอดโปร่ง แต่ว่าต่อไปข้างหน้าก็ไม่แน่ ๒๐ ๓๐ ปีมันอาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ มันก็ค่อยๆลำบากขึ้นคนเรามันต้องก็อยู่ไปตามสภาพ ล้มไป อยู่ไป ปลงไป ตามเรื่องตามราวถ้าไม่ปลงก็เป็นทุกข์เปล่าๆ เป็นทุกข์กับเสียงรถยนต์ที่ดังกระหึมอยู่ตลอดเวลา เป็นทุกข์กับเสียงเรือบินที่ดังอยู่บนหลังคา กำลังนอนหลับดีๆมาแล้วเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ต้องตื่น เดี๋ยวมาอีกแล้วก็ตื่นอีกแล้ว แล้วไปสร้างบ้านตรงเส้นทางมันทำไม ความผิดของเราเองสร้างบ้านเส้นทางเรือบิน แต่ก่อนมันไม่มา เรือบินมันน้อย เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวบินๆๆมากมายก่ายกอง มากมาย ที่ประเทศอังกฤษเรือบินไปลงสนามบิน คิดดู มันผ่านบ้านคน เสียงดังกระหึมผ่านเล้าไก่ๆไข่ไม่ออกเขาว่าอย่างนั้น ไก่ไม่ไข่เพราะตกใจเสียงเรือบินมันเลยไม่ไข่ ชาวบ้านก็ทำหนังสือร้องเรียนต่อศาลๆต้องให้เรือบินเสียค่าเสียหาย บริษัทเรือบินนี่เป็นพันต้องเสียค่าเสียหายให้แก่ชาวบ้านเมืองนอกเขาเป็นอย่างนั้น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเขาร้องเรียนไป คัดค้านไป ต้องเสียค่าเสียหายให้แก่เขา ถนนบางแห่งมันโค้ง มันดังพอเอาไม้กระดานไปตีเป็นแผงกั้นไว้ ทำขวาอะไร ถนนทำไมต้องทำขวาเขาบอกว่ากันเสียงไม่ให้ลงไปรบกวนชาวบ้าน ก็ชาวบ้านในระแวกนั้นเขาบ่นว่าเสียงรถมันมาก กรมทางหลวงก็เลยเอาไม้กระดานไปตีไม่ให้เสียงลงไปกระทบแก่ชาวบ้าน เขามองเรื่องสวัสดิภาพของคนมาก อะไรที่จะทำลายสวัสดิภาพของคน ทำลายสุขภาพจิตของคนเขาพยายามแก้ไขช่วยเหลือ เพราะเขาถือว่าประชาชนเป็นใหญ่ เสียงประชาชนเป็นเสียงสวรรค์ที่ทุกคนจะต้องฟัง ถ้าประชาชนร้องเรียนอะไรก็ต้องทำให้เขา เพราะบ้านเมืองเขาเป็นประชาธิปไตยเป็นมานานแล้ว เรานี่เพิ่งหัดเป็นเรียกว่าเพิ่งจะเดินต้วมเตี้ยม เตาะแตะ ยังไม่แข็งแรงยังเป็นประเภทตั้งไข่ ล้มลุกคลุกคลานไปตามเรื่องตามราว ต้องทนๆไปก่อน ทนไปกว่าจะหมดลมหายใจ พอหมดลมหายใจแล้วก็ไม่ต้องทนต่อไปหมดคิดกันไปตอนหนึ่ง แล้วจะไปเกิดใหม่กันอย่างไรก็ค่อยว่ากันต่อไปใหม่ คนเรามันเกิดมาอย่างนี้เรียกว่าเกิดมาเพื่อต่อสู้กับปัญหา มาผจญกับปัญหาก็ได้
เพราะว่าโลกนี้มันไม่เรียบร้อย ไม่ราบรื่น ไม่เป็นไปดั่งใจหวังทุกอย่างไม่เป็นอย่างนั้นก็ต้องทนไป สู้กันไป ว่าเราจำเป็นจะต้องอยู่ในภาวะที่มันวุ่นวาย เราก็อย่าให้มันวุ่นวาย จิตใจอย่าให้วุ่นวาย แม้โลกจะวุ่นวาย ใจเราไม่วุ่นวาย แม้โลกจะเป็นอย่างไรใจเราก็จะไม่เป็นอย่างนั้น การเข้ามาวัดมาศึกษาธรรมะนี้ก็เพื่อเอาเครื่องมือ เครื่องมือก็คือ พระธรรมไปใช้เพื่อต่อสู้กับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ให้รู้จักปลง รู้จักวางไม่แบกภาระนั้นตลอด เพราะว่าแบกไว้มันหนัก หนักแล้วก็มันเป็นทุกข์ นี้เราต้องปลงลงไป แม้เราจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น แต่ว่าเกี่ยวข้องด้วยปัญญา ทำอะไรก็ทำด้วยปัญญา รับอะไรก็รับด้วยปัญญาเกี่ยวข้องสิ่งใด ก็เอาปัญญาเข้าไปใช้ด้วยการพิจารณาไว้เสมอว่าอะไรมันเป็นอะไร ถูกตามที่มันเป็นอยู่จริงๆ เราไม่ไปสร้างภาพลวงขึ้นในใจของเรา ไม่ไปหวังอะไรให้มันเกิน จากที่เราจะพึงมีพึงได้ หรือไม่ไปหวังสิ่งที่มันเกิดแก่เราไม่ได้ ไปหวังลมๆแล้งๆ มันไม่สามารถจะเกิดขึ้นแก่เราได้แล้วเราก็นั่งเป็นทุกข์ไปเปล่าๆเราเคยเป็นทุกข์อย่างนั้นหรือไม่ในชีวิตประจำวัน เรื่องนั้นเรื่องนี้ ประดังเข้ามาเยอะแยะจนต้องพูดว่า เฮ้อ อะไรๆมันลงบนหัวกูทั้งนั้นและ ความจริงมันไม่ได้ลงบนหัวเราหรอก แต่ว่าเราไปเก็บมาเอง ไปเก็บมาวางลงบนศีรษะของเรา ทูนเขา แบกเขา บนหัวก็วาง บนบ่านี่ก็วางเข้าแรกๆนี่ก็หนีบมันไว้ ไอ้มือก็ถือไว้อีก ไอ้ตาก็จ้องอะไรจะมาอีก กูจะวางตรงไหนต่อไปมันอยู่อย่างนี้และจะไม่กลุ้มใจอย่างไร เพราะเรื่องมันเยอะ มันมาก ความต้องการนั่นแหละมันสร้างปัญหาเพราะฉะนั้นในหลักอริยสัจ 4 ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อุทัง พุทธัง อริยสัจจัง ทุกข์เป็นอริยสัจ เป็นความจริงที่เที่ยงแท้ และบอกว่าทุกข์นี่เพราะมีสมุทัยคือต้นเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ ต้นเหตุให้เกิดทุกข์นี่ท่านว่าเรียกว่าตัณหา กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา กามตัณหาคือความพอใจยินดีในวัตถุในอารมณ์ต่างๆที่เราพอใจ ภวตัณหาคือยินดีในความเป็นที่จะเป็นนั่นเป็นนี่ต่อไป วิภวตัณหาคือความไม่พอใจในสิ่งที่เรามีเราได้ ในสิ่งที่เราได้เป็นอยู่แล้วก็ไม่พอใจ ได้ดีอยู่แล้วก็ไม่พอใจ เบื่อเหมือนคนที่ฆ่าตัวตายที่ทำลายตัวเองด้วยประการต่างๆนั้น เพราะเนื่องจากว่าเรื่องไม่พอใจในชีวิตที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมันเป็นวิภวตัณหาขึ้นมา นั่งรถคันนี้ไม่พอใจ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดนี้เราก็ไม่พอใจ ได้กินอาหารอย่างนี้ก็ไม่พอใจ อยู่บ้านหลังนี้ก็ไม่พอใจ อากาศเป็นอย่างนี้ก็ไม่พอใจ หาเรื่องๆให้เป็นทุกข์มากมายหลายเรื่องหลายอย่าง อะไรเกิดขึ้นก็ไม่พอใจ ฉันไม่ชอบใจอย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นวิภวตัณหาคืออยากจะเป็นอย่างอื่นแต่มันก็เป็นไม่ได้ ว่าเป็นไม่ได้ก็จำใจจะต้องอยู่กับสิ่งนั้น
เมื่อเราจะต้องอยู่กับสิ่งนั้นก็อยู่ด้วยความทนทุกข์ อยู่ด้วยความจำใจ ทำไมต้องอยู่ด้วยความทุกข์ ทำไมต้องอยู่ด้วยความจำใจ อยู่ให้ไม่ต้องเป็นทุกข์ไม่ได้หรือ ได้แต่เราทำใจไม่ได้เพราะไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยฝึกฝน ในเรื่องที่จะเปลี่ยนความคิดหรือว่า เขาเรียกว่าทัศนะให้มันเป็นไปอย่างอื่น ไม่ได้มองในสิ่งที่มันเรียกว่าทำให้สบายใจแต่เรามองในสิ่งที่ไม่สบายใจ กับคนก็เหมือนกัน คนบางคนก็ไม่เป็นที่พอใจ อยู่ร่วมกันด้วยความทุกข์แต่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกันด้วยความทุกข์และอยู่ด้วยกัน และอยู่ให้เป็นทุกข์ทำไม ทำไมไม่อยู่ให้สบายใจทำไมไม่มองดูคนนั้นในแง่ที่ดีที่งาม ที่มันเป็นเรื่องไม่เป็นทุกข์ เรามองก็ได้มีหลายเหลี่ยมอะไรๆมันหลายเหลี่ยม ดูเหตุนี้เป็นทุกข์ หันไปเหลี่ยมอื่นไม่เป็นทุกข์ ดูเหลี่ยมนี้หนักใจดูอีกแง่หนึ่งมันเบาใจ แต่ว่าจำใจจำดู ดูอยู่แต่ตรงนั้นไอ้ตรงที่มันยุ่ง ดูแต่ที่มันเป็นทุกข์คิดอยู่แต่เรื่องที่เป็นทุกข์ไม่ลองคิดไปเรื่องอื่นเสียบ้าง เขาเรียกว่าไม่รู้จักเปลี่ยนอารมณ์ ไม่รู้จักเปลี่ยนจิตใจของเราเองให้คลายจากความทุกข์ความเดือนร้อนใจ แต่ไปคิดอยู่แต่เรื่องนั้น คิดจนปวดหัว คิดจนนอนไม่หลับเป็นการลงโทษตัวเองแล้วจะไปโทษใครได้จะไปโทษคนนั้นก็ไม่ได้ โทษสิ่งนั้นก็ไม่ได้ โทษอะไรที่เป็นภายนอกมันไม่ได้ทั้งนั้นแหละ เพราะใจเรามันคิดผิดไปเอง เราไม่รู้จักปรับตัวเราเพื่อให้เหมาะกับสถานที่ บุคคน เหตุการณ์นั้นๆเราจึงต้องนั่งเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลาไม่สบายใจ มันเป็นอย่างนี้ เราลองหัดคิดแบบใหม่ คิดในแง่สบายใจพอใจในสิ่งเหล่านั้นไม่ให้เกิดอารมณ์ประเภทอยากได้เกินไป อยากได้มาแล้วก็ไม่พอใจ อยากได้สิ่งอื่นต่อไปมันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งนั้น ตัณหาเป็นเหตุของความทุกข์ ลักษณะของตัณหาคือไม่รู้จักพออยากได้ยิ่งๆขึ้นไป เพลิดเพลินในสิ่งนั้นอยู่ตลอดเวลาด้วยความหลงใหลมัวเมาไม่ได้มองสิ่งนั้นด้วยปัญญา ความทุกข์ก็เกิดมากขึ้นอยู่ในจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าท่านมองเห็นสิ่งเหล่านี้ตามสภาพที่เป็นจริงและก็คิดค้นพบหลักการในเรื่องความจริงนี้เลยเอามาสอนชาวโลกเพื่อให้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป เราฟังธรรมะเราอ่านธรรมะ อย่าฟังเฉยๆอย่าอ่านเฉยๆแต่ต้องเอาไปใช้ให้เหมาะแก่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เมื่อใช้ให้เหมาะแก่เรื่องแก่เหตุการณ์เราก็สามารถจะยกใจขอเราให้พ้นจากความทุกข์ความเดือนร้อนนั้นได้ ท่านสอนไว้อย่างนั้น ให้ปฏิบัติตามหลักการที่ว่าจงยกตนขึ้นจากหล่มคือความทุกข์ความเดือนร้อน
เหมือนมีเรื่องเล่าว่าช้างศึกของพระเจ้าปเสนทิโกศลมันเดินเรื่องลงไปเรื่อยๆ ก็ตกลงไปในหล่ม ตกลงไปในหล่มลึกโคลนลึกมันขึ้นไม่ได้ทำอย่างไรก็ขึ้นไม่ได้ นี้มีคนฉลาดไปบอกพระเจ้าแผ่นดินว่าช้างตัวนี้เคยออกศึก เคยคึกคักเมื่อได้ยินเสียงโห่ร้อง เสียงฆ้องเสียงกลอง เสียงโห่เห็นทหารถือธงมันคึกขึ้นมา เมื่ออารมณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นก็ใช้อุบายเอาทหารมาเดินแถวแล้วก็โห่ร้องตีฆ้องตีกลองให้ดังกระหึ่มไปเลย ช้างมันได้ยินก็ได้ยินเสียงดังกระหึ่มขึ้น มันก็นึกจะต้องไปรบกันแล้ว ฉันมันเคยรบเคยต่อสู้กับข้าศึกเลยมันก็ออกแรงเต็มที่เลย ขึ้นไปจากหล่มได้เรียบร้อยด้วยอาการคึกคะนองของจิตใจนั่นเอง อันนี้ก็เป็นเรื่องสอนใจคนเราว่าเวลาเราเป็นทุกข์เหมือนกับจมอยู่ในปรัก ในหล่มอันมิดไม่สามารถจะถอนตนขึ้นได้ก็ต้องใช้กำลังใจของเราเอง เอาอะไรมาเป็นเครื่องใช้ สร้างกำลังใจ เอาคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า เอาคุณงามความดีของพระธรรม หรือของพระอริยะสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องประเล้าประโลมใจ สร้างกำลังใจให้เกิดขึ้นสร้างความเชื่อในเกิดขึ้น สร้างศีลให้เกิดขึ้น สร้างสมาธิให้เกิดขึ้นสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นสร้างความเพียรให้เกิดขึ้นเรียกว่ามีกำลังรวมกันเข้า พอกำลังรวมกันเข้าก็ฉุดตัวเราขึ้นไปได้จากสิ่งที่เราเป็นทุกข์อยู่ แต่ว่ามันต้องทำติดต่อถ้าไม่ทำติดต่อมันก็ทำไม่ได้เวลาใดเราเป็นทุกข์ก็นั่งจับเจ่าเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น ไม่ได้คิดไปในทางที่ว่าไม่ทุกข์ดีหรือไม่แต่ว่าคิดไม่ค่อยได้ ตัวคนผู้นั้นคิดไม่ค่อยได้ เพราะมันไม่มีแสงสว่างทางจิตใจแล้วจะทำอย่างไร เราก็ต้องไปหาผู้รู้ที่จะแนะนำแนวทางให้เราเกิดปัญญาเกิดความรู้ความเข้าใจ ไปหาผู้รู้ก็คือไปหาพระให้ช่วยชี้แนะแนวทางต้องไปหาพระที่สอนธรรมะ อย่าไปหาพระที่เป็นหมอดู หมออะไรประเภทต่างๆหรือใช้วิธีไสยศาสตร์เป็นเครื่องช่วยมันช่วยไม่ได้ พักได้นิดหน่อยชั่วครั้งชั่วคราว เหมือนเดินทางไกลแบกของไปพอถึงศาลาพักร้อนก็วางไว้หน่อยแต่พอจะเดินก็ยกขึ้นแบกต่อไป ไม่จบสักทีเพราะยังต้องแบกยังยึดยังถืออยู่ นี้ถ้าเราไปหาผู้สอนธรรมะท่านก็ชี้แนะแนวทางให้เราได้มองเห็น เมื่อเรามองเห็นเข้าใจแล้วเราก็ต้องเอาไปคิดเองไปทำเองตามแนวทางนั้น เราก็จะช่วยตัวเองได้ หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าสอนให้เราช่วยตัวเองให้เราพึ่งตัวเอง การช่วยตัวเองช่วยยกจิตใจของเราให้สูงขึ้นให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนใจ พึ่งตัวเองคือต้องทำเองผู้อื่นช่วยเราไม่ได้ ช่วยได้อย่างมากเพียงแต่ว่าบอกทางให้ บอกทางให้เราเดินชี้ทางให้เราเดิน ถ้าเราไม่เดินมันก็ไม่ถึงจุดหมายปลายทาง
แม้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็บอกชัดๆว่า ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้แต่การเดินทางนั้นเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลายบอกไว้ชัดเจน พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้ที่จะบันดาลให้เราเป็นอะไรๆได้ไม่ใช่อย่างนั้นแต่เพราะเราไม่เข้าใจเลยไปขอพึ่งในรูปอื่นมันผิดหลักการของพระพุทธเจ้าเช่นสมัยนี้มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆสวยๆงามๆคนก็ไปกราบไปไหว้วิงวอนขอร้องให้ช่วยๆ ประการต่างๆ เมื่อวานนี้ก็นิมนต์ไปแสดงธรรมที่วัดโน้นชื่อสวย วัดพุทธบูชา สร้างโบสถ์ใหญ่ยังไม่เสร็จเรียบร้อย แต่มีงานผูกพัทธสีมาเลยก็ให้ไปเทศน์ในโบสถ์แต่เสียงไม่ค่อยดี มันก้องหน่อยแต่ก็เทศน์ไปตามหน้าที่แต่ก็มีสิ่งที่รำคาญที่สุดก็คือว่า คนเข้าไปก็สั่นกระบอก 2-3กระบอกมีไว้เผื่อคนหลายๆคนสั่นกรุ๊บกริ๊บๆตลอดเวลารำคาญเทศน์ไปมันก็หนวกหูด้วยเลยบอก โยมช่วยหน่อยๆ ช่วยยกกระบอกไปที่อื่น ที่เด็กสั่นเล่น ไอ้ที่เด็กสั่นเล่นเอาไว้เอามาซ่อนไว้หลังพระก่อน ฉันเทศน์เสร็จแล้วก็มาวางกันใหม่ พวกเด็กๆมันชอบสั่นกันหนวกหูทั้งคนเทศน์ทั้งคนฟังก็ดีเหมือนกัน อุบาสกก็เข้าใจ เก็บหมดทั้ง ๓ กระบอกเอาไปวางไว้คนเข้ามาก็ไม่ต้องไปสั่นต่อไป ทำไมเขาจึงสั่นอยากจะถามโชคลาภ อยากจะร่ำรวยโดยไม่ต้องทำอะไร อยากจะรู้ว่าจะรวยเมื่อไหร่ จะเป็นเศรษฐีเมื่อไหร่ จะได้ลาภเมื่อไหร่ จะได้คู่เมื่อไหร่ หลายเรื่องที่เขาจะต้องถามน่ะ พวกพิมพ์ใบกระดาษเล็กๆแผ่นเสี่ยงโชคเหล่านี้เขาฉลาดเขารู้ว่าคนต้องการอะไรบ้าง เขาก็เขียนไว้หมดในนั้น เขียนเป็นกลอนสวยๆ อันนี้มาจากเมืองจีน คนจีนเขาทำไว้ตามศาลเจ้า ตามศาลเจ้าบ้าง ตามวัดบ้างทำไว้ทั่วๆไป เขาทำไว้สำหรับเด็กเล่น ผู้ใหญ่ก็เป็นเด็กถ้าไปนั่งสั่นอย่างนั้นเขาเรียกว่าเป็นเด็กนี่คือความเข้าใจผิดนึกว่าหลวงพ่อองค์ใหญ่นั้นจะช่วยได้ จะช่วยดลบันดาลให้ตนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งมันไม่ถูกต้องแต่เขาไม่รู้เพราะทำตามกันมา วัดเราก็ส่งเสริมพอมีพระใหญ่ก็มีพิมพ์ในนั้นไปวางไว้ให้คนไปสั่น ให้ขอเสี่ยงทายอย่างนั้นอย่างนี้ซึ่งมันไม่ถูกต้องอะไร ตามปูชนียสถานต่างๆมีทุกแห่ง พระปฐมเจดีย์ หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อเพชรสมุทรสาคร หลวงพ่อเพชรอุตรดิตถ์ พระพุทธชินราชเมืองพิษณุโลก พระธาตุดอยสุเทพ ต้องมีไอ้สิ่งที่ไม่เต็มบาทนี้เข้าไปวางอยู่ตรงหน้าพระเสมอ คนก็ไปสั่นกันกรุ๊บกริ๊บๆอยู่ตลอดเวลา ทำไมไม่พูดให้คนเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้องความจริงคนเขามาเขามาหาพระ แต่ไม่พบพระเพราะมีสิ่งอื่นขวางไว้เยอะ ขวางพระจนหมด คนก็ไม่เข้าถึงพระ มายุ่งไอ้สิ่งที่ขวางอยู่หน้าพระนั่นแหละแล้วไม่เห็นพระ เห็นก็ไม่เห็นพระเทศน์ เห็นแต่รูปของพระ เห็นเปลือกนอกผิวเผิน เราไม่คิดว่าจะให้คนทะลุสิ่งนั้นเข้าไป ถึงองค์แท้องค์จริงของพระพุทธเจ้าให้เกิดปัญญา ให้เกิดความรู้ความเข้าใจแต่ว่าไม่มีใครทำ เพราะว่าไม่มีแนวคิดไม่มีความริเริ่ม ไม่มีความรู้สึกในด้านปัญญาตามหลักการของพระพุทธเจ้า เห็นว่าเขาทำวัดโน้นได้สตางค์ วัดนี้ก็ทำมั่งเลยทำกันทั่วๆไปแผ่หลายไปทั่วบ้านทั่วเมือง เรื่องตัวเดียวคือตัวอยากได้สตางค์ ปัญหามันอยู่ตัวสตางค์ อยากได้สตางค์ ทำไมจะหาสตางค์โดนวิธีอื่นไม่ได้หรือ ที่ไม่มีปัญญาจะคิด เห็นคนชอบอย่างนั้นเอามาไว้ ไอ้โน่นไอ้นี่เต็มวัดเต็มวา บางแห่งหินก้อนกลมๆ ให้คนไปยกเสี่ยงทาย ถ้ายกขึ้นจะสำเร็จ ถ้ายกไม่ขึ้นมันก็ไม่สำเร็จ ถ้าคนร่างกายอ่อนแอก็ยกไม่ขึ้นเอาเด็กเล็กไปยกมันก็ไม่มีทางขึ้นได้ คนแข็งแรงก็ยกขึ้นได้ ยกได้แล้วพอใจ สำเร็จคราวนี้สำเร็จแล้วถ้าไม่ทำมันจะสำเร็จได้อย่างไร เป็นอย่างนั้น
สิ่งเหล่านี้มีอยู่ทั่วๆ ไปไม่เข้าถึงหลักการของพระพุทธเจ้าที่ว่าต้องช่วยตนเอง ต้องพึ่งตนเอง ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้ แต่การเดินทางนั้นเป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลาย ตัวเราจะต้องทำเอาเอง เขาเอากับข้าวมาวางไว้แล้วเราก็มีหน้าที่กินเข้าไป แล้วมันก็อิ่มแต่ว่าไม่กินอาหารมันจะเกิดประโยชน์ได้อย่างไร อันนี้เป็นเรื่องที่ควรจะพูดให้คนเข้าใจ พ่อแม่ควรจะพูดให้ลูกเข้าใจในเรื่องนี้ ให้เด็กรู้จักช่วยตัวเอง รู้จักพึ่งตัวเองให้มากขึ้น เด็กๆโดยมากมันไม่ค่อยคิดช่วยตัวเองพึ่งตัวเองเพราะพ่อแม่คอยช่วยอยู่ตลอดเวลา ไม่สอนให้ลูกทำอะไรเสียบ้างโตขึ้นมันก็เป็นคนอ่อนแอ ไม่ค่อยจะคิดไม่รู้จักใช้ปัญญาหรือใช้ความคิดความอ่าน ทำอะไรก็ไม่มีเหตุผล เมื่อวานนี้พวกคณะเขาเรียกว่า จ.ป.ร 7 เขามาทำบุญกันเขามาทุกปีมากัน 5 ปีแล้ว มีรถเยอะ รถเบนซ์อยู่หลายคัน มีเด็กคนนึงจะไปง้างไอ้ตรงนั้น ไอ้รถเบนซ์ที่เป็นดาวเครื่องหมายรถเบนซ์ จะไปลักไอ้นั้น ตำรวจจับเลยเมื่อวานตำรวจมาอยู่หลายคนวันอาทิตย์อย่างนี้ตำรวจก็ไม่ค่อยมาลักได้สบาย ได้ของรถเบนซ์ของบีเอ็มดับเบิลยู ถอดเอาไปขาย ขายได้ถอดไปเรื่อยๆเมื่อวานนี้ตำรวจเขามา จับได้ พาไปโรงพักแม่มาหาหลวงพ่อบอกว่ามีปัญหารีบด่วน ฉันจะไปแล้วจะเดินทางไปที่เขานิมนต์ มีปัญหารีบด่วนอะไร เอ้า พาไปหาท่านเฉลิม ให้ตาเฉลิมช่วยแก้ปัญหาให้ เขาว่าปัญหานี้มันอยู่ที่หลวงพ่อ เอ้า ปัญหาอะไรเขาบอกว่าปัญหาเรื่องลูกชายเขา ลูกชายเป็นยังไง ตำรวจจับๆเรื่องอะไร มันไปจะลักไอ้นั่นของรถเบนซ์ ตำรวจเลยจับตัว ไอ้อย่างนี้ฉันจะช่วยอย่างไร ให้ฉันช่วยยังไงเขาบอกว่าไปหาตำรวจแล้ว ตำรวจบอกว่าให้ทางวัดเซ็นมา ฉันจะเซ็นยังไง ฉันจะเซ็นว่ายังไง เซ็นว่าไม่เอาเรื่องรึ มันไม่ใช่รถฉัน ไม่เอาเรื่องได้ยังไงแล้วเด็กฉันก็ไม่รู้จักว่าเด็กที่ไหน เขาบอกว่าเด็กนี่มันอยู่ที่อื่น แต่ว่ามาหาเพื่อนที่นี่ เพื่อนข้างวัดไอ้ข้างวัดนี่ก็มีเพื่อนประเภทต่างๆหลากหลาย แล้วเพื่อนก็มาแนะวิธีให้ ก็เลยทำ บอกว่านั่นเรามันไม่สอนลูกๆมันจึงเป็นอย่างนั้น บอกว่าสอนแล้วๆลูกไปโรงเรียนวันอาทิตย์ด้วย อาทิตย์ไหน ไปเรียนวัดไหน วัดอัมพวันอยู่ที่พระราม 5โน้น ไปเรียนแล้วไปหาสมภารวัดอัมพวันให้เซ็นรับรองว่าเด็กนี่เป็นของวัดนี้ไม่ได้เป็นประพฤติเหลวไหลแต่มันถูกเพื่อนชี้แนะแล้วมันขาดปัญญาทำผิดไปขออภัยให้ปล่อยไปสักครั้งก่อนไปสิ ยังยืนเฉย รีบไป เรื่องมันรีบด่วนก็รีบไปแต่ว่าไปช้าก็ดีเหมือนกันเด็กมันจะได้เป็นทุกข์มากขึ้น เพราะขนาดที่อยู่โรงพักมันก็เป็นทุกข์ ว่าเป็นทุกข์มันก็ได้พบความทุกข์แต่พบความทุกข์แล้ว มันจะได้รู้ว่าเหตุของความทุกข์คืออะไร คือไปลักของเขา การไปลักของเขามันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความร้อนใจ แล้วมันจะได้สำนึกพอคิดได้แล้วทีหลังก็พูดกันอีกต่อไป แล้วก็ไปหายไป ปรากฏว่าไม่ได้ไปวัดโน้นหรอกไปหามหาประนอม มหาประนอมก็เลยเขียนหนังสือไปถึงโรงพักเขาก็ปล่อยตัวไปมันเป็นอย่างนั้น เรื่องเป็นอย่างนั้น มาพึ่งๆ ไอ้สิ่งที่มันไม่เข้าเรื่อง ตอนแรกนึกว่ามาเป็นทุกข์ ปัญหาอะไรเดือดร้อนอะไรก็จะได้แก้ปัญหาให้ ให้แค่เขียนหนังสือไปถึงผู้สารวัตรสอบสวนที่โรงพัก ก็บอกว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของฉันนะ ไปที่อื่นเป็นอย่างนั้น
นี่เพราะไม่เข้าใจๆเรื่องจึงได้เป็นอย่างนั้น ถ้าเราเข้าใจเรื่องถูกต้องก็ต้องแก้ปัญหา ที่พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักทุกข์น่ะไม่ได้ให้รู้จักทุกข์อย่างเดียว แต่สอนว่าเหตุของความทุกข์คืออะไรไม่ว่าเป็นทุกข์ขนาดไหน ทุกข์ในชีวิตประจำวัน ทุกข์ในการประกอบกิจการงาน ทุกข์ส่วนลึกคือความยึดมั่นถือมั่นในสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง จะได้รู้ว่าเหตุมันอยู่ที่อะไรว่าเห็นความทุกข์ก่อน มันมาจากอะไร เหตุมันอยู่ที่ตรงไหน จะได้ค้นหาเหตุแล้วการค้นหาเหตุก็อย่าไปค้นข้างนอก แต่ค้นว่าเราได้คิดอะไร ได้พูดอะไร ได้ทำอะไร ได้คบหาสมาคมกับใคร ได้ไปสู่สถานที่ใด มันจึงเกิดอะไรขึ้นมาให้ศึกษาที่ตัวเองค้นเอาให้ได้ ให้พบใช้สมาธิหน่อย ใช้ความเพียรหน่อย ใช้ปัญญาสักหน่อย อดทนสักหน่อยเอามาช่วยกัน คิดปลอบโยนจิตใจหาวิธีไป ถ้าคิดไม่ออกก็ไปหาผู้รู้ เหมือนผู้แทนสุพรรณว่า คิดไม่ออกบอกจอมชัย แต่ว่าไม่ต้องไปหาคุณจอมชัย แกก็ทุกข์อยู่เหมือนกัน มาหาท่านปัญญาดีกว่า จะได้แก้ปัญหาให้ในเรื่องปัญหาเหล่านั้น ก็มาศึกษามาไต่ถามพระท่านก็แนะแนวดังกล่าวแล้ว แนะให้แล้วเราก็ไปแก้ของเราเอง แนะวิธีให้เราก็ไปแก้ ตัดมัน ตัดความทุกข์นั้นหมดไป การมีชีวิตประจำวันนั้นอยู่ด้วยการรู้จักทุกข์รู้จักเหตุของความทุกข์และรู้จักแก้ของความทุกข์นี่ เป็นเรื่องจำเป็นเรียกว่าเอาสิ่งสูงสุดมาใช้ในชีวิตประจำวันเอาอริยสัจของพระพุทธเจ้ามาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา หลักการอริยสัจใช้ได้หมดเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว เรื่องการงาน เรื่องสังคม เรื่องการเมือง เรื่องการเศรษฐกิจที่มันยุ่งกันอยู่ทั้งหลายทั้งปวง ถ้าเราเอาหลักการของพระพุทธเจ้าไปใช้ เราแก้ปัญหาได้ เพราะท่านสอนให้ค้นหาสาเหตุของเรื่อง ว่ามันเหตุมาจากอะไร ค้นไปก็พบความจริง เมื่อพบความจริงเราก็แก้ แต่ว่าการแก้นี่มันก็ลำบากเหมือนกัน เพราะเรื่องบางเรื่องเรามันติดสิ่งนั้น ปลดไม่ออกเหมือนข้าวเหนียวติดมือลิง มันปลดไม่ออก ติดมันนี้เอามือนี้มาจับมาติดมือนี้ มันติดกันใหญ่เลยพัวพันไปทั้งสองมือไม่ออก คนเราก็เป็นอย่างนั้นคือติดในวัตถุ ติดในอารมณ์ ติดในความสนุกสนานความเพลิดเพลินในสิ่งเหล่านั้น แล้วสิ่งเหล่านั้นมันก่อให้เกิดความทุกข์ขึ้นในชีวิตประจำวัน เรารู้ว่าอันนั้นเป็นเหตุให้เกิดทุกข์แต่เลิกไม่ได้ เหมือนกันคนดื่มเหล้า แล้วเกิดเรื่องเพราะเหล้าบ่อยๆแต่เลิกไม่ได้ สูบบุหรี่ก็ให้เลิกสูบก็เลิกไม่ได้ เล่นการพนันแล้วก็เกิดความทุกข์จากการพนัน ก็เลิกมันเสียสิ มันเลิกไม่ได้มันเล่นมานานแล้ว ความจริงมันติดนั่นเอง เขาเรียกว่าอาลัยอยู่ในสิ่งนั้นไม่สามารถจะสลัดมันออกไปได้ บางทีก็คิดจะเลิกพอถึงเวลาก็ลืมไปเฉยๆ มันเคย มันเคยเดินไปเคยทำ พอถึงเวลามันก็ไปทื่อไปอย่างนั้นไปด้วยความโง่ไม่ได้ไปเรื่องอะไร ก็เลิกไม่ได้ เพราะกำลังใจไม่เข้มแข้งมันต้องมีความอดทนหนักแน่นอยู่ตลอดเวลา เราต้องใช้คุณธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนว่าให้มีความซื่อสัตย์ต่อสิ่งถูกต้องให้มีการบังคับตัวเองไว้ให้มาก ให้มีความอดทนอดกลั้นและก็ให้มีความเสียสละในสิ่งนั้นไม่เอาไม่ทำต่อไป เราคิดอย่างนั้นเรียกว่ามีความเสียสละ ธรรมะคือประการนี้เป็นหลักสำหรับชาวบ้านเอาไปใช้ในชีวิตเหมือนกัน
เริ่มต้นด้วยความซื่อตรงต่อสิ่งถูกต้องคือซื่อตรงต่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เราเรียนรู้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าคืออะไร ท่านสอนอย่างไรเราก็ตรงต่อสิ่งนั้น ไม่เอนเอียงไปหาสิ่งอื่น เวลาใดมีปัญหามีความทุกข์ความเดือดร้อนก็นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงคำสอนของพระองค์แล้วนึกถึงวิธีการปฏิบัติที่เรียกว่า สังฆะ พุทธะ ธรรมะ สังฆะมันสัมพันธ์คือกันถึงกัน เราก็นึกถึงสามสิ่งนั้นแล้วเอามาแก้ปัญหาที่ตัวเรา ด้วยการพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบและก็เมื่อเห็นว่าอะไรเป็นอะไรถูกต้อง เราก็ต้องคอยควบคุมจิตใจของเรา เรียกว่าบังคับตนเองหมายความว่าบังคับใจ บังคับใจก็คือใช้สติปัญญาเป็นเครื่องควบคุม คือคิดในเรื่องว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นจะไม่ทำสิ่งนั้น จะไม่ไปสู่ที่นั้น คิดในเรื่องอย่างนั้น ใจมันอยากขึ้นก็ให้รู้สึกตัว พอรู้สึกตัวก็รีบบอกตัวเองว่าอยากอะไร อยากทำไม ไปที่นั่นแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นแก่เรา แล้วมันเกิดมากี่ครั้งกี่หนแล้วไม่เข็ดไม่หลาบบ้างหรือ ไม่เจ็บไม่จำบ้างหรือ คิดไปอย่างนั้นไอ้เวลาคิดอย่างนั้น ความอยากนั้นมันก็หายไปเพราะใจเรามันคิดได้ทีละเรื่องไม่ได้คิดได้ทีละหลายเรื่อง คิดเอาเรื่องเดียวพอเราเปลี่ยนไปคิดถึงว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ใจมันก็เปลี่ยนแนวคิดแล้วมันไปอยู่กับสิ่งนั้นแล้วก็คิดต่อไป คิดให้มันติดต่อกันไอ้ความคิดนั้นมันก็ไม่โผล่ขึ้นมา ไอ้ความอยากจะไปมันก็ไม่โผล่ขึ้นมา อยากจะทำมันก็ไม่โผล่ขึ้นมา อะไรต่ออะไรที่เคยมันหยุด เพราะเราได้คิดเรื่องอื่น คิดให้มันติดต่อกันไป กำลังใจก็เพิ่มมากขึ้นๆ ความรู้สึกเราไม่ไป ชนะครั้งแรกการชนะครั้งแรกเป็นการชนะที่สำคัญ คนเราถ้าชนะได้ครั้งแรกจะชนะต่อไป แต่ถ้าครั้งแรกไม่ชนะจะแพ้ต่อไป คือแพ้ครั้งแรกก็จะแพ้ครั้งสอง สาม สี่ ห้า หกไปเรื่อยไป ถ้าชนะได้ในครั้งแรกก็จะชนะต่อไปแล้วเมื่อเราชนะมันได้ด้วยวิธีใดต้องจำวิธีนั้นไว้ เราคิดอย่างไร เราทำในใจของเราอย่างไร จึงได้เกิดชัยชนะขึ้นมา เราก็ต้องจำวิธีไว้ พอใจมันหวนไปคิดถึงเรื่องนั้นก็เอาวิธีนั้นแหละมาเล่นงานมันทันที เหมือนเรามีหวายอยู่ในมือ อะไรที่มันไม่ชอบมาพากลมันเข้ามาจะทำร้ายเรา หวดมันลงไปเลย เอาหวายนั้นหวดลงไป ประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นถือว่าเป็นหวายที่เราจะหวดความคิดที่มันไม่ถูกต้องเกิดขึ้น แล้วก็รู้สึกทันท่วงที พอรู้สึกตัวปุ๊บ ก็พิจารณาในแง่ดังกล่าว ดังที่เราเคยคิดก็ชนะอีก แล้วจะชนะเรื่อยไป เราจะไม่พ่ายแพ้ต่อสิ่งนั้น ชนะบ่อยๆมันก็ชินเอง เพราะสิ่งทั้งหลายมันเกิดจากทำบ่อยๆในทางชนะ ความชนะมันก็เพิ่มขึ้น ทำบ่อยๆในเรื่องแพ้ ความแพ้มันก็เพิ่มขึ้นแล้วเราก็แพ้ตลอดไป แพ้จนหมดลมหายใจ ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นผู้ชนะ พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่อย่างผู้ชนะ อย่าอยู่อย่างผู้แพ้ อัตตา หะเว ชิตัง เสยโย ความชนะตนนั่นแหละเป็นความชนะที่ประเสริฐ ชนะตนก็คือชนะความคิดชั่วๆที่มันเกิดขึ้นในใจของเรา เราไม่ยอมให้มันคิด หยุดคิด นั่งคิด ถ้าเกิดความคิดที่จะทำอะไรไม่ถูก หยุดคิดไม่เคลื่อนไหว คิดเรื่องนั้นคิดให้มันชนะ พอชนะแล้วก็สบายใจ เปล่งวาจาได้ว่า ชิตังเม ชิตังเม เราชนะแล้วๆ ก็เหมือนกับพราหมณ์คนหนึ่ง แกก็ไม่ใช่พราหมณ์เป็นคนยากจน สามีภรรยาอยู่ด้วยกันมีผ้านุ่งผืนเดียว ถ้าวันไหนสามีออกนอกบ้านภรรยาก็อยู่บ้าน ภรรยาออกสามีต้องอยู่บ้านเพราะผ้าผืนเดียว ไม่มีผืนที่สอง แขกมันนุ่งผืนเดียว ทั้งนุ่งทั้งห่มไปในตัวคราวนี้แกก็ทราบข่าวว่า พระพุทธเจ้าเสร็จมาที่เมืองนั้นคนก็ไปฟังธรรมมา ฟังธรรมแล้วก็คุยกันไปตลอดทาง
เหมือนคนเราสมัยนี้ไปดูหนังแล้วก็คุยกันตลอดทางแต่ฟังธรรมไม่ค่อยคุยกันเท่าไหร่ คุยกันเรื่อย คุยกันเรื่องธรรมะว่าพระพุทธเจ้าเทศน์ไพเราะอย่างนั้นอย่างนี้คุยกัน แกก็ได้ยิน อยากจะไปมั่งๆก็เลยปรึกษากับภรรยาว่าเธอจะไปกลางวันหรือเธอจะไปกลางคืน ผู้หญิงก็บอกฉันจะไปกลางวัน กลางคืนให้แกไปก็เลยผลัดกัน พอกลางคืนแกก็ไป นั่งฟังไปๆๆชักจะเลื่อมใสศรัทธาในธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า อยากจะถวายอะไรสักอย่างแต่มันไม่มีอะไรจะถวายมีอยู่แต่ผ้าผืนเดียวเท่านั้น จะถวายได้ยังไง คิดไปๆมันเถียงกันอยู่ ให้หรือไม่ให้ มันเถียงกันอยู่จนเกือบสว่างพอสว่างก็ไอ้ฝ่ายให้มันชนะก็เลยถือผ้าผืนนั้นไป วางแทบเท้าพระพุทธเจ้า ถวายแล้วก็เปล่งวาจาออกมาพูดดังๆ ชิตังเม ชิตังเม ถึง3ครั้งแปลว่าเราชนะแล้วๆ คำพูดแบบนี้ไม่ใช่คำพูดของชาวบ้านควรจะเป็นคำพูดของพระราชาที่ชนะข้าศึก วันนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลนั่งฟังธรรมอยู่ด้วยก็ได้ยินเสียงเปล่งนั้น ใครมาแข่งบารมีกูเข้าแล้ว นึกอย่างนั้น เลยให้อมาตย์ไปหาตัว ใครๆเปล่งวาจานี้อมาตย์ไปถึงก็พบพราหมณ์คนนั้น พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งให้มา พระเจ้าแผ่นดินก็ถามชนะอะไร ก็เล่าเรื่องให้ฟังว่าชนะด้วยการบริจาคผ้าผืนน้อยผืนเดียวนี้ พระเจ้าปเสนทิโกศลก็พอพระทัยมาก เธอสองคนมีผ้าผืนเดียวเราจะให้ผ้าสำหรับเอาไปใช้ เลยให้ผ้าสิบผืนเลย ให้สิบผืน ก็บอกว่ามันมากเกินไปยกถวายพระไปอีกสิบผืน พระเจ้าแผ่นดินเพิ่มเป็นยี่สิบผืนก็ถวายอีก สามสิบผืนแกก็ถวายอีก ถวายไปเรื่อยเลยถวายเพิ่มไปอีกผลที่สุดเอาไว้ตัวผืนหนึ่ง ภรรยาผืนหนึ่ง นอกนั้นก็ถวายพระหมดไม่เอา เรียกว่าตัวนุ่งผืน ภรรยานุ่งผืน เขาเรียกว่าคนรู้จักความพอดี มีความสันโดษพอใจในสิ่งที่จะมีจะได้ แม้เขาให้มากก็จะเอาไว้น้อยไม่เอามาก พระเจ้าปเสนก็ถามความเป็นอยู่รู้ว่าเป็นคนจนลำบากเลยประทานที่ดินให้ๆที่ดินสำหรับทำมาหากิน ให้วัวอีกสองตัวสำหรับใช้ไถนาแล้วก็ปวารณาไว้ขัดข้องอะไรบอกให้เราทราบนะเราจะช่วยเหลือท่านต่อไป เพราะชนะอันเดียวเลยได้อะไรหลายอย่างเป็นอย่างนั้น คนก็ให้ๆเหมาะแก่เวลาๆเจอพระเจ้าแผ่นดินนั่งอยู่พอดี ถ้าไม่มีพระเจ้าแผ่นดินนั่ง ไอ้ชิตังเมก็ไม่มีใครสนใจ มันเหมาะเวลา ทำอะไรเหมาะเวลา เหมาะบุคคล เหมาะเหตุการณ์มันเกิดผล คนบางคน โอ้ย ทำดีมากๆไม่ได้ดีมันไม่เหมาะ ไอ้ได้มันได้ในใจแล้วได้ความดีแล้วแต่วัตถุมันไม่เหมาะเวลา เจ้านายไม่รู้ไม่เห็น มันก็ไม่ได้ไอ้ของที่คนอื่นให้ต้องให้เขาเห็นด้วยเขาจึงจะให้ คราวนี้เราทำเขาไม่เห็นและไม่ได้รายงานให้เขารู้ด้วยเขาจะให้อย่างไร รางวัลได้ยังไง ต้องทำให้เขาเห็น ให้เขารู้แล้วจึงจะได้ เรียกว่าเหมาะแก่เวลาแก่บุคคลแก่เหตุการณ์สถานที่อะไรหลายอย่าง ผลทางวัตถุมันก็เกิดได้ งั้นเราหว่านพืชเหมาะแก่เวลาหว่านแล้วฝนมันตกโชย ข้าวมันก็งาม หว่านแล้วแห้งต้วนมันจะขึ้นยังไงนี่ตามปักษ์ใต้เขาบ่นแล้งกัน ข้าวจะเสียปักษ์ใต้ก็มันตกทีเดียวแล้วมันตกหมดเลย ไม่มาตกอีกต่อไปเรียกว่าตกสั่งฟ้าๆก็แห้งไปเลย ข้าวก็แห้งไปตายยืนไม่มีน้ำเดือดร้อนอีก ธรรมชาติลงโทษคนเพราะคนทำผิดต่อธรรมชาติ แต่คนไม่รู้ทำผิดต่อธรรมชาติอย่างไรได้แต่บ่นว่า กรรมจริงๆ แต่กรรมของใครก็ไม่รู้ไอ้ตัวทำมันไม่รู้มันลำบากตรงนี้นะโยม มันจึงเสียหาย
เราจึงต้องรู้ว่ากรรมของใคร กรรมของฉันแล้วกรรมของเธอมันต้องรู้กันแล้วก็ช่วยกันแก้ไขในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรสิ่งทั้งหลายมันก็ดีขึ้น เวลานี้ชาวโลกกำลังสร้างกรรมหลายเรื่องแต่ชาวโลกรู้สึกกลัว เขาจึงชักจูงกันแนะนำกันให้ช่วยไขปัญหาทุกประเทศให้ช่วยกันแก้ เช่นทำลายธรรมชาติ เขาก็มองว่าต้องสงวนธรรมชาติต้องสงวนสัตว์ป่า ต้องสงวนพันธุ์ไม้ ต้องทำนั่นทำนี่เพราะเขาเห็นว่ามันจะเป็นพิษเป็นภัย ก็เตือนกันมาจากองค์การสหประชาชาติ แต่ว่าคนในบ้านนั้นเมืองนั้นจะลุกขึ้นตื่นตัวหรือเปล่า ว่องไวหรือเปล่าทำกันจริงจังหรือเปล่ามันก็เป็นปัญหาอีก เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องที่น่าคิดน่าพิจารณา เราคนมาวัดก็มาศึกษาแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาชีวิต รู้แล้วเข้าใจแล้วก็เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันสิ่งทั้งหลายก็จะดีขึ้นๆโดยลำดับ โยมที่มาๆก็ดีขึ้น ไม่ต้องให้หลวงพ่อบอก รู้เองว่าใจมันดีสงบขึ้นมีปัญญา รู้ทันรู้เท่าต่อสิ่งต่างๆมากขึ้นจึงได้มากันทุกอาทิตย์ก็ติดใจ ติดธรรมะอย่างนี้ไม่เป็นไร อย่าไปติดหนังติดละครติดไพ่ มันยุ่ง มาวัดไม่เป็นไรเพราะมาเพื่อแสงสว่างแล้วจะได้มีชีวิตดีขึ้นจากธรรมะของพระพุทธเจ้า แสดงมาก็สมควรแก่เวลาต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ