แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาแล้ว ขอให้ทุกท่านหาที่นั่ง นั่งให้เหมาะๆที่สามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงนี้ได้ แล้วจงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังอันสมควรแก่เวลา วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่มีอากาศสดชื่น เมื่อคืนนี้ฝนโปรยลงมานิดหน่อยไม่มากอะไร แล้วก็หายไป แต่ก็ทำให้เกิดความชุ่มชื่นพอสมควร ชุ่มชื่นจากฝนจากอากาศยังไม่ดีเท่าใด สู้ความชุ่มชื่น (00.57 เสียงไม่ชัดเจน เพื่อความเข้าใจ ควรเติม “จาก”) ธรรมะไม่ได้ เพราะธรรมะนี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้เย็นให้สงบ ให้เย็นให้สงบอย่างถาวรชีวิตจะได้สดชื่นตลอดไป เราจึงได้มาหาธรรมะเพื่อเอาไปเป็นเครื่องประโลมใจ ให้ใจของเราสดชื่นรื่นเริงอยู่ด้วยรสของพระธรรม ความสดชื่นรื่นเริงที่เกิดจากวัตถุนั้นมันไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลงผันแปรไปอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้ชีวิตสุขบ้างทุกข์บ้าง ขึ้นๆลงๆ สู้ชีวิตสดชื่นจากธรรมะไม่ได้ เพราะธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้ใจเราอยู่ในสภาพคงที่ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นตัวเดิมของมัน หน้าตาดั้งเดิมก็เป็นเค้าเรียกว่าหน้าตาดั้งเดิมของจิต หน้าตาดั้งเดิมนั้นคือไม่มีอะไรปิดฉาบร้ายให้เปลี่ยนแปลง แต่มันเป็นอยู่อย่างนั้นสงบอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา พระอริยเจ้าทั้งหลายนั้นท่านเข้าถึงสภาพอย่างนี้ จิตจึงสงบอยู่ตลอดเวลา ไม่ตื่นเต้นไม่หวาดเสียวไม่ขึ้นไม่ลงกับเหตุการณ์ต่างๆ อะไรจะเกิดขึ้นก็เกิดไปตามธรรมชาติ อะไรดับไปก็ดับไปตามธรรมชาติ จิตของท่านไม่หวั่นไหวด้วยสิ่งเหล่านั้น ไม่โยกโคลงด้วยสิ่งเหล่านั้น ในมงคลสูตรข้อสุดท้ายที่กล่าวว่า “ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ” และใครผ่านเข้ามาได้เขาไม่ให้เข้าตอนนี้ ลืมมองนั่นไปตั้งไว้ จิตที่ไม่กระทบด้วยโลกธรรม โลกธรรมไม่สามารถทำจิตให้เปลี่ยนแปลงได้ แล้วก็ไม่โศก ไม่ขุ่น ไม่มัว ไม่เศร้าหมอง นั่นแหละเป็นยอดของความเป็นมงคลของชีวิต
พระพุทธเจ้าแสดงมงคลไปตามลำดับในชีวิตประจำวัน แต่ไปสรุปเอาตอนสุดท้ายว่าจิตไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรมนั่นแหละเป็นยอดมงคลเป็นสิ่งสูงสุดในชีวิต เป็นจิตที่ไม่หวั่นไหวเพราะอะไร เพราะว่ามีปัญญารู้ทันรู้เท่าต่อสิ่งนั้นๆตามสภาพที่เป็นจริง ได้ใช้เวลาพิจารณามาโดยลำดับจนมองเห็นชัดในสิ่งนั้นว่ามันเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น ธรรมดามันเป็นอย่างนั้น แล้วก็ไม่หวั่นไหวไม่โยกโคลงด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เพราะมีปัญญามั่นอยู่ในใจ มองเห็นสภาพที่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา
คนเราชาวบ้านชาวเมืองเราตามปกตินั้น ยังไม่ถึงสภาพเช่นนั้น จึงหวั่นไหว ยินดียินร้าย เวลาสิ่งที่น่ายินดีมากระทบก็ยินดีเพลิดเพลินสนุกสนาน พอสิ่งที่ไม่น่ายินดีมากระทบก็ตกต่ำลงไป หวั่นไหวด้วยสิ่งนั้น แสดงอาการเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์ อันนี้เรียกว่ายังไม่เข้าถึงความสงบที่แท้จริง ที่ไม่ถึงความสงบก็เพราะว่ายังไม่มีปัญญาในส่วนนั้น ยังมองไม่ถึงจุดอันแท้จริงของสิ่งนั้น เราเห็นแต่เพียงภายนอกผิวเผิน ไม่ได้เจาะลึกลงไปให้เข้าถึงเนื้อแท้ของธรรมชาติที่มีความเป็นอยู่อย่างไร จิตจึงหวั่นไหวโยกโคลงไปด้วยอำนาจเหล่านั้นได้ แม้จิตที่หวั่นไหวโยกโคลงนั้นก็ย่อมมีการขึ้นลง ยินดีเขาก็เรียกว่าขึ้น ยินร้ายก็เรียกว่าลง วันหนึ่งๆนั้นขึ้นลงขึ้นลงอยู่มากมาย แล้วลองนึกดูว่าถ้าขึ้นๆลงๆนี้มันเป็นอย่างไร เหมือนกับเราขึ้นบันไดสูงๆ ขึ้นแล้วลงขึ้นแล้วลงนี่จะรู้สึกอย่างไรในทางร่างกาย จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยหายใจไม่สะดวก หอบ นั้นเป็นเรื่องของกาย ใจก็เหมือนกัน ถ้ามีการขึ้นมีการลงมันก็เหนื่อยใจ เหนื่อยใจนี้มันร้ายกว่าเหนื่อยกาย ก็เหนื่อยกายนี่แก้ง่ายไม่ลำบากยากเข็ญอะไร เพียงแต่เรานั่งพักเสีย มันก็หายเหนื่อยแล้ว นอนพักเสียก็หายเหนื่อยแล้ว แต่ว่าใจเหนื่อยนี้จะทำอย่างไร ก็ไม่มีสิ่งสำหรับแก้ไขก็เหนื่อยมาก เหนื่อยหนักเข้าหนักเข้าก็จะกระทบกระเทือนถึงร่างกาย กระทบกระเทือนถึงร่างกายก็คือเป็นโรคหัวใจพิการ ที่เป็นโรคหัวใจ เรียกว่าโรคใจโรคอะไรอย่างนั้น มันเป็นกันอยู่บ่อยๆ หัวใจวายกันบ่อยๆ หัวใจวายเพราะความตื่นเต้นยินดีมากยินร้ายมาก ช๊อกไป อย่างนี้ก็มันเนื่องจากจิตมันเปลี่ยนแปลงนั่นเอง มีความทุกข์เกิดขึ้นเพราะไม่มีความสงบทางใจ แล้วก็เหนื่อยใจ เมื่อเหนื่อยใจหนักเข้าก็เหนื่อยกาย เหนื่อยกายก็หัวใจอ่อนเพลียทำงานไม่สะดวก
ทำไมใจจึงเหนื่อย? ก็เพราะว่าไม่รู้จักสิ่งนั้นถูกต้อง และเมื่อรู้สึกเหนื่อยใจคือว่าสมองมันทำงานหนัก เมื่อสมองทำงานหนักก็ต้องการชดเชย หัวใจก็ต้องสูบโลหิตขึ้นไปสู่สมอง เต้นแรง เราจะเห็นได้เวลาที่เรารู้สึกตื่นเต้นหัวใจเต้นแรง เวลากลัวก็หัวใจเต้นแรง มีความรู้สึกเปลี่ยนแปลงก็หัวใจเต้นแรง คือมันเต้นแรงก็เพราะว่าเป็นปฏิกิริยาในสมอง สมองของเราทำงานหนัก สมองทำงานหนักก็ต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น ต้องการเลือดเพิ่มขึ้น หัวใจก็เร่งเป็นการใหญ่ส่งเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมอง เวลาเลือดขึ้นไปมาก ถ้าเราทำมือสองข้างขมับนี่จะรู้สึกว่ามันเต้นแรง เต้นแรงคือเส้นโลหิตทำงานหนัก ถ้าขึ้นมากๆก็เส้นโลหิตแตก เส้นโลหิตฝอยแตกก็กลายเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวไม่ได้ ถ้าเส้นโลหิตใหญ่ในสมองแตก เรียบร้อย ตัสโม สุโข กันไปเลยทีเดียว อาการมันเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เรื่องเกี่ยวกับใจเราไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันทำให้เกิดความวุ่นวายพอสมควร เพราะฉะนั้นจึงควรจะหาวิธีประคับประคองจิตใจ ให้อยู่ในสภาพที่สงบนิ่งเหมือนน้ำในอ่าง ไม่เคลื่อนไหว ไม่เหมือนน้ำในทะเลหรือมหาสมุทรมันเคลื่อนไหวเป็นคลื่น เป็นคลื่นก็เพราะว่ามีลมมาพัดผ่าน ถ้าลมน้อยๆก็คลื่นน้อยๆ ถ้าลมแรงเหมือนพายุเกย์ที่มาแวะเยี่ยมปะทิว ท่าแซะ ชุมพรมันก็เป็นคลื่นใหญ่สูงท่วมหลังคาโรงเรียน คลื่นใหญ่มาก ถ้าคลื่นใหญ่มากความเสียหายก็เกิดมาก ในชีวิตของเราก็อย่างนั้น มันเกิดคลื่นขึ้นในสมองอย่างรุนแรง หัวใจทำงานหนักเร่งไปที่ตรงนั้น ก็เกิดอาการผิดปกติเป็นโรคหัวใจวายตายไปตามๆกัน ก็เป็นอย่างนั้น
คนเราส่วนมากไม่ค่อยคำนึงถึงเรื่องสภาพจิต แต่กังวลถึงเรื่องกายมากเหลือเกิน อยากกินอาหารดีๆ อยากอะไรดีๆมีมากมาย สนใจแต่เรื่องทางกาย เครื่องประกอบเรื่องกายนั้นมีมาก จะไปร้านที่เขาขายของมากๆ มีแต่เรื่องกายทั้งนั้น ไม่มีขายของเกี่ยวกับเรื่องจิตเลยแม้แต่น้อย เครื่องกาย เครื่องแต่งตัว เครื่องโน้นเครื่องนี้จิปาถะ โรงงานก็มีมากมายผลิตเครื่องประกอบร่างกาย ซื้อกันไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น ซื้อจนไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรแล้ว ประกอบกายทั้งนั้น คิดดูแล้วเรานี่เป็นทาสของร่างกายเป็นทาสวัตถุ กลายเป็นนักวัตถุนิยม คือนิยมในเรื่องความสวยความงามความมีนั่นความมีนี่ และวัดกันที่ตรงนั้น วัดที่ความมีว่าเราได้หน้าได้ตาจากวัตถุเหล่านั้น แต่ว่าที่สนใจในการที่จะแสวงหาเครื่องประคับประคองจิตใจนั้นน้อย ตอนนี้จำนวนมีอยู่นี้ ญาติโยมที่มานี้เป็นพวกที่สนใจในการแสวงหาเครื่องประคับประคองจิตใจจึงมากันทุกวันอาทิตย์ไม่เบื่อไม่หน่าย อาหารใจนั้นมันไม่น่าเบื่อแต่อาหารกายเบื่อ ถ้าเรากินอาหารอะไรซ้ำสักสามวันนี่ก็จะเบื่อแล้วก็จะอารมณ์ไม่ดีแล้ว พอเห็นเอามาวางบนโต๊ะก็ทำหน้าไม่ค่อยจะดีแล้ว ถ้าคนใช้เป็นผู้ปรุงแต่งอาหารก็จะดุเอา “เอ้ออะไร! มีความรู้เท่านี้หรือ? ทำกับข้าวเป็นแต่อย่างนี้เท่านั้นหรือ? ทำอย่างอื่นไม่เป็นบ้างหรือ” แล้วก็กินด้วยอาการที่เป็นทุกข์เพราะว่าไม่พอใจ ไม่พอใจเมื่อใดก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น พอใจเมื่อใดก็เป็นสุขเมื่อนั้น ท่านจึงกล่าวว่า “ขันสุขี ปรมัง คะลัง” (11.41 ภาษาบาลี) ความสันโดษคือพอใจในสิ่งที่วางอยู่เฉพาะหน้าเป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง เป็นสุขอย่างยิ่ง จิตมันเป็นสุขเพราะพอใจ แต่มันเป็นทุกข์เพราะไม่พอใจ วันหนึ่งๆ ถ้าเราไม่พอใจหลายครั้งเราก็เป็นทุกข์หลายครั้ง และเมื่อเป็นทุกข์บ่อยๆนั้นสภาพชีวิตจะเป็นอย่างไร สุขภาพกายก็เสื่อม สุขภาพจิตนั้นไม่ต้องสงสัยเสื่อมทุกครั้งที่เกิดความไม่พอใจ เกิดเป็นทุกข์ขึ้นมาสภาพจิตก็ทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ และเมื่อจิตทรุดโทรมร่างกายก็พลอยทรุดโทรมไปด้วย นี่เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดมีแก่คนเราในสังคมปัจจุบันนี้ และในสังคมปัจจุบันนี้มีเครื่องยั่วยุให้คนเกิดความอยากมากขึ้น มีความต้องการไม่รู้จบไม่รู้สิ้นจากการโฆษณาชักจูงก็เหลือเข็ญ โฆษณากันจริงๆ เพื่อให้คนไปซื้อไปหามากินมาใช้ โฆษณาบ่อยๆก็ชักจะอ่อนใจอยู่เหมือนกัน คนเราเห็นอะไรมากก็อยากได้สิ่งนั้น ได้ยินอะไรมากก็อยากได้สิ่งนั้น ได้กลิ่นอะไรมากก็อยากได้สิ่งนั้น ได้ชิมอะไรบ่อยๆก็พอใจในสิ่งนั้น ได้ถูกต้องอะไรก็พอใจในสิ่งนั้น นี่เรียกว่าจิตมันไปติดอยู่ในสิ่งนั้นมีอุปาทานเกิดขึ้นแล้วไปยึดถือสิ่งนั้น ความยึดติดในสิ่งใดที่ไม่เป็นทุกข์นั้นหาไม่ได้ในโลกนี้ เป็นทุกขทั้งนั้น เที่ยวสังเกตุตัวเองในเวลาที่เราเป็นห่วงอะไร กังวลอะไร สภาพจิตใจเป็นอย่างไร มันมีความวุ่นวายใจมีปัญหา เช่นว่ามาวัดวันอาทิตย์ ถ้าเป็นห่วงบ้านขึ้นมา นั่งฟังธรรมก็ไม่สบายใจแล้ว เป็นห่วงว่าใส่กุญแจเรียบร้อยหรือเปล่า อะไรต่ออะไรอย่างนั้นมันกังวลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าจิตใจไม่อยู่กับที่ก็ไปคิดถึงสิ่งนั้น ไม่ว่าเราจะไปไหนแต่ว่าเข้ามานั่งในศาลาฟังธรรมแล้วจะลุกขึ้นไปก็น่าเกลียด เดี๋ยวหลวงพ่อจะมองเห็น ใจมันไปแล้วกายยังนั่งอยู่แต่ว่าใจไปแล้ว ใจมันก็ไม่เป็นสุขมันไปแล้ว อย่างนี้ก็เลยเป็นตัวอย่าง
ในเรื่องอื่นๆ ก็เหมือนกัน เมื่อใดเรามีปัญหามีความกังวลห่วงใยในอะไรต่างๆ เราก็เป็นทุกข์ แล้วมันก็เป็นทุกข์เรื่อยไปเมื่อยังไม่รู้ว่าเราเป็นทุกข์ ถ้าไม่รู้ว่าเป็นทุกข์มันก็จะทุกข์เรื่อยไป แต่เมื่อใดเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่านี่คือทุกข์ นี่คือทุกข์นี้เป็นความรู้ชั้นต้นที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราเรียน เรารู้ เราเข้าใจ เมื่อเรารู้ว่านี่คือทุกข์แล้วจะแก้หรือเปล่า คิดต่อไปว่าจะแก้ทุกข์หรือไม่ เราก็อยากจะแก้ แก้จะต้องทำอย่างไร ทุกข์มาจากอะไร พระพุทธเจ้าสอนว่าทุกข์เกิดจากเหตุ ไม่มีเหตุทุกข์เกิดไม่ได้ สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้มีเหตุจึงมีผล ถ้าไม่มีเหตุ ผลจะไม่ปรากฎขึ้นเลย ที่เราพูดว่าบังเอิญอย่างนั้นบังเอิญอย่างนี้อย่าพูดดีกว่า มันต้องมีเหตุมีผล ถ้าไม่มีเหตุมันเกิดอะไรไม่ได้ ถ้าพูดว่าบังเอิญนั้นแสดงว่าเราไม่ทราบซึ้งในกฎเหตุผลของพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงพูดเผลอออกไปว่าบังเอิญรถสองคันชนกันเปรี้ยงเลย อันนี้มันไม่ใช่บังเอิญมันต้องมีเหตุคือคนขับนั้นแหละเป็นตัวเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการชนกัน เหตุสำคัญอยู่ที่อะไรก็อยู่ที่ไม่ประพฤติธรรม ไม่เอาธรรมะมาใช้ในเวลาขับรถแล้วก็กลายเป็นคนประมาทขาดสติขาดปัญญา ไม่ได้สำนึกถึงสิ่งที่ตนกำลังกระทำอยู่เลยเกิดอุบัติเหตุ เกิดอุบัติเหตุแล้วก็ยังไม่ได้สำนึกว่าตัวเรื่องอยู่ที่ตัวเองเลยไปแก้ที่อื่น แก้ด้วยวิธีไสยศาสตร์นานาประการช่วยไม่ได้ นั่นไม่ใช่ตัวที่จะให้เกิดคลายปัญหา เราจะคลายปัญหาได้ก็ต้องรู้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดขึ้น เมื่อรู้จากเหตุแล้วก็ต้องตัดเหตุ เมื่อตัดเหตุได้ผลมันก็หายไปเอง แต่คนเรามักจะมีความเชื่อเก่าๆติดอยู่ในสมอง ไม่ใช่ความเชื่อรุ่นเก่าแต่เป็นความเชื่อเก่าที่ไม่เข้าเรื่องมีเยอะแยะ รับไว้ผิดแล้วก็ถือไว้ผิดนี้มีมากมาย ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความคิดความเห็นให้มันถูกต้อง ถ้าเปรียบเทียบให้ฟังก็ไม่ค่อยจะคิดเปลี่ยนแปลง แต่บางทีจะว่าพระเสียด้วยหาว่าเทศน์อะไรไม่เหมือนเก่าทำลายของเก่า ไอ้ของเก่าที่สกปรกจะกองไว้ทำไมเหมือนกับขยะนี้ไปกองไว้ทำไมมันสกปรก สกปรกก็ต้องเอาไปทิ้งทำให้บ้านเมืองสะอาด ถ้าเราทิ้งไว้มันก็ยิ่งสกปรกใหญ่
ความเชื่อประเภทเหลวไหลที่ไม่เป็นสาระเหมือนขยะมูลฝอยที่ส่งกลิ่นเหม็นแล้วเราเอามาไว้ในใจของเราทำไม เราควรจะเขี่ยออกไปแต่เขี่ยไม่ได้เพราะใจมันยังรักอยู่ จึงเป็นเด็กอมมืออย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงสภาวะทางจิตใจกายมันก็ลำบาก
เมื่อวานนี้ไปเทศน์กับเจ้าหน้าที่โรงรับจำนำของกระทรวงมหาดไทยที่โรงแรมเวียงใต้ คุยกันจุ๊กจิ๊กๆ อาตมาก็เทศน์ไปก็พูดไปเค้าก็คุยกัน เอ!!! ไม่ได้การแล้วนี่ เด็กนักเรียนชุดนี้ไม่เข้าเรื่องแล้ว เลยตอนจบก็ต้องว่ากันหน่อยปิดฉากเสียหน่อย บอกว่าหลวงพ่อนี่เทศน์มานานแล้ว ไปที่ไหนคนฟังสงบเรียบร้อย บ้านนอกบ้านนาก็ฟังกันสงบเรียบร้อย แม้เด็กนักเรียนปกติมันก็ซุกซนนะ แต่ถ้าหลวงพ่อไปเทศน์ ไมโครโฟนดีลำโพงดีมันก็ฟังเรียบร้อย แต่ถ้ามันฟังไม่รู้เรื่องมันก็จ๊อกแจ๊กเหมือนกัน นี่วันนี้มาเทศน์กับผู้ใหญ่ทั้งนั้น หัวหน้าทั้งนั้น เถ้าแก่โรงรับจำนำทั้งนั้น ทำไมเสียงมันจ๊อกแจ๊กๆเป็นเด็กน้อยไปได้ ว่าเค้าไปอย่างนั้นก็เสียงเงียบเลย เงียบไปเลย บอกว่าเราฟังคนอื่นพูดมันต้องเคารพผู้ฟัง ต้องฟังด้วยความตั้งใจ ใช้หูอย่าใช้ปาก ปากรูเดียวหูสองข้าง แล้วถ้าใช้ปากมากมันก็รู้ซิ ถ้าใช้หูมากมันก็หลับซิเทศน์เข้าให้ ท่านหัวหน้ามาแก้ตัวว่ามันนั่งนานไปหน่อยขอรับ ตั้งแต่บ่ายโมงถึงสามโมงยังไม่ได้เบรคเลย เราก็อยู่บ้านไม่ได้เบรคแต่เวลาประชุมต้องคอฟฟี่เบรค เสียสตางค์ไม่เข้าเรื่องทำให้ข้าราชการอ่อนแอ ทำไมจะต้องเบรคด้วย ว่าเข้านั่นอีก หัวหน้าก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร มันต้องเบรคอะไรกันนักหนา นั่งฟังปาฐกถาไม่เท่าใดชั่วโมงนึงก็เบรคแล้วไปกินกาแฟ เสียงบประมาณหลวงไปเท่าไหร่ กินกาแฟกินขนมเล็กขนมน้อย เลยถามผู้ที่มาประชุมบางครั้งว่า นี่อยู่บ้านนี่กินหรือเปล่ากาแฟตอนจะมา ไม่ได้กินไม่ได้เบรคอะไร แต่มาประชุมทำไมต้องเบรคด้วย แล้วไปถามผู้จัดการว่าทำไมต้องเบรคด้วย อ้าวไม่เบรคอย่างนั้นมันก็ไม่ค่อยมาประชุม อ้าวต้องเอาเหยื่อมาล่อด้วย ถ้าไม่มีเหยื่อล่อก็จะไม่มาประชุม เป็นอะไรพวกเราเป็นอะไร ต้องแซวเสียหน่อยให้เขาสบายใจ แต่เขาก็ไม่โกรธไม่เคืองอะไร เพราะเขาก็รู้ว่าท่านปัญญานี่แกเทศน์อย่างนั้นเขาก็ให้อภัย นี่ทีหลังมีคนไปเรี่ยไรเอามาไม่ได้บอก เขาก็ไปซุบซิบเรี่ยไรกันได้เงินปัจจัยมาสร้างตึกห้าพันกว่าบาท ก็ต้องลุกขึ้นไปขอบใจอีกหน่อย บอกว่าเมื่อกี้ดุแล้วแต่พวกเราไม่โกรธ เขาไปขอสตาค์สร้างตึก ๘๐ ปี ยังให้ขอขอบใจ หวังว่าคราวหน้าคงจะดีกว่านี้แล้วก็จบเรื่อง ก็พูดหัวเราะๆไปตามเรื่อง ไม่ได้ทำหน้าเครียด ทำหน้าเครียดเดี๋ยวเขานึกว่าเอาจริงเอาจัง แต่เวลาดุก็ยิ่งๆจะหน่อย นึกว่าท่านพูดเล่น แต่เล่นเป็นจริง ที่จริงเป็นเล่นก็มี เป็นอย่างนั้นคนเรามักจะเป็นแบบนั้น ไม่ค่อยยอมรับในสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเราไม่รับสิ่งถูกต้องเราก็ไม่ก้าวหน้า ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เทศน์ความจริงในสมัยนั้นพุทธศาสนาจะเกิดได้อย่างไร ไม่มีทาง ก็เป็นเหมือนกับที่เค้าเป็นอยู่เป็นฮินดู แต่พระองค์ไม่เป็นฮินดูพระองค์เป็นพุทธ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบาน จึงประกาศสิ่งที่ถูกต้อง ไม่กลัวพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายที่มีอาวุโสในทางอายุ แต่ไม่อาวุโสในทางคุณธรรม พระองค์ก็ต้องเทศน์ให้เขาเข้าใจ เวลาเทศน์อะไรออกไปเขาก็เข้าใจและยอมรับก็ยังดีอยู่เหมือนกัน
ในสังคมในยุคปัจจุบันเรานี้ จะต้องมีการแก้ไขอะไรหลายอย่างหลายประการที่จะต้องปรับให้คนมีสัมมาทิฐิกันมากขึ้น มีความเข้าใจเรื่องชีวิตถูกต้องมากขึ้น รู้จักช่วยตัวเองมากขึ้น พึ่งธรรมะมากขึ้นแต่ไม่ไปพึ่งสิ่งเหลวไหล ไม่ไปพึ่งอะไรๆไร้สาระซึ่งไม่ได้เรื่องอะไร เมื่อวานซืนนี้ได้ฟังข่าวว่าผู้ว่าการฯจังหวัดอ่างทองพาคนไปตัดต้นราชพฤกษ์ที่ปลูกไว้ที่นิคมสร้างตนเอง ก็สมัยก่อนท่านผู้นี้เคยอยู่นิคมสร้างตนเองและปลูกราชพฤกษ์ไว้ แล้วก็เลื่อนชั้นเลื่อนฐานะมาโดยลำดับจนได้เป็นเจ้าเมืองอ่างทอง และเมืองอ่างทองยังขาดหลักเมืองอยู่ ขาดหลักเมืองไม่มีศาลหลักเมืองเลยคิดว่าจะสร้างศาลหลักเมืองขึ้น ก็เอาไม้ราชพฤกษ์ที่เคยปลูกไว้ที่นิคมสร้างตนเอง เลยพาคนไปโค่นต้นไม้ต้นนั้น แห่แหนกันมาสู่เมืองอ่างทองแล้วมาสมโภชน์ต้นไม้นั้นที่อ่างทองหน้าศาลากลาง ศาลากลางอ่างทองอยู่ติดกับวัดอ่างทองแต่ว่ามาสมโภชน์ต้นไม้อยู่ข้างวัดอ่างทอง พระในวัดอ่างทองก็ไม่พูดจาแก้ไข ปล่อยให้สมโภชน์ต้นท่อนไม้แล้วก็ไปแกะเป็นเสา สมมุติว่าเป็นเสาหลักเมือง เอาไปตั้งให้คนไหว้ต่อไป อาตมาไม่ค่อยจะเลื่อมใสเท่าใด ความจริงควรจะทำหน้าที่จูงคนเข้าวัด จูงคนเข้าหาธรรมะดีกว่าไม่เสียเงินมากแต่ไปสร้างศาลหลักเมืองก็ต้องสร้างศาลสร้างเสาหลายล้านเสียดาย เอาเงินไปสร้างโรงเรียนให้เด็กเรียนก็ได้ เอาตั้งเป็นทุนสงเคราะห์เด็กยากจนก็ได้จะเป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองมากกว่า แต่ว่านั่นแหละรับสิ่งเก่าๆเข้าไว้ จังหวัดอื่นมีจังหวัดนี้ไม่มี มาเป็นเจ้าเมืองทั้งทีต้องแสดงโง่ฝากไว้สักหน่อยคือว่าสร้างหลักเมืองไว้ แล้วไม่แสดงความโง่ หลักเมืองนั้นคืออะไร ก็คือศิวลึงค์นั่นเอง อินเดียก็มีศิวลึงค์เป็นเครื่องหมายแทนพระศิวะ สมัยที่ไม่มีรูปเคารพ เพราะรูปเคารพในอินเดียเมื่อก่อนมันไม่มี แต่มีเพราะกรีซมาตีอินเดีย อเล็กซานเดอร์มหาราชบุกตีมาจนถึงอินเดีย ก็กรีซนับถือเทวดา มีรูปเทวดาไว้ไหว้ เช่น เทพเจ้าอพอลโล จูปิเตอร์ วีนัส มีมากมาย ในเมืองกรีซเดี๋ยวนี้กรุงเอเธนส์มีแต่เทวสถานร้างมากมาย มีรูปมีอะไรคนไปเที่ยวไปดูไปชมกัน ในยุคนั้นพวกกรีซนับถือเทวดาอย่างชนิดที่เรียกว่ารุนแรง เช่นว่าผู้หญิงที่ยังไม่มีสามีตั้งท้อง คนกรีซเขาไม่โกรธไม่เคืองเขาว่าเทวดามาหา เพราะอย่างนั้นศาสนาคริสต์เมื่อผ่านกรีซไปก็เลยบอกพระเยซูลูกพระผู้เป็นเจ้า เพราะคนมันมีฐานอยู่ตรงนั้นแล้วเลยว่าไปอย่างนั้นเขาก็รับได้ แต่เวลานี้คนฝรั่งตั้ง90%ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นลูกของเทพเจ้า ทรงเป็นลูกใครคนใดคนหนึ่งอย่างนั้น แล้วเขาก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพระผู้เป็นเจ้าแล้วสมัยนี้ คนอินเดียก็ไม่มีรูปเคารพแต่เห็นเขาไหว้รูปเคารพแล้วเขารบเก่ง ไอ้รบเก่งไม่ใช่เพราะไหว้รูป คือมันบุกมาเรื่อยรบมาเรื่อย รบแล้วก็ได้รางวัลคือริบทรัพย์สมบัติเหมือนรบเมืองนั้นได้ข้าวของมาเป็นกองโจรนั่นเอง ไม่ใช่อะไรกองโจรบุกตีมาเรื่อยดักตีมาเรื่อยจนถึงอินเดียตอนเหนือ แล้วก็ชนะยึดไว้บางส่วน คนอินเดียก็เห็นว่าพวกนี้มันเก่งเพราะมีรูปเคารพ เราไม่มีจึงอ่อนแอ ต้องทำบ้างแต่ทำอย่างไร ไม่เคยหน้าตาพระศิวะสักหน่อย รูปร่างอย่างไรก็ไม่รู้เลยทำเครื่องหมายแทนคือศิวลึงค์ เป็นเสากลมๆทำไว้ที่วัดมหรรฯที่พุทธคยา ศิวลึงค์อันเล็กอันน้อยเต็มไปหมด แล้วก็ไปไหว้เอาน้ำมันไปชะโลมเอาแป้งไปทาไปเจิมแล้วก็ไหว้อยู่นั่นแหละ ไม่หันมานับถือพระพุทธศาสนาซึ่งสอนธรรมะล้วนๆให้เข้าถึงธรรมะเป็นอย่างนั้น
เมืองไทยเราก็พัฒนาเสียหน่อยเอาศิวลึงค์มาทำแล้วก็ใส่มงกุฏให้ (27.34 เสียงไม่ชัดเจน) จากศิวลึงค์ของแข็งแล้วก็ปักไว้ในกระโจมและมณฑปกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ไป เรียกว่าเสาหลักเมือง ความจรืงนั้นเขาปักเป็นเครื่องหมายวันสร้างบ้านสร้างเมืองเพื่อเป็นอนุสรณ์เป็นประวัติศาสตร์ เหมือนกับแผ่นหินศิลาฤกษ์ใครไปพบจะได้รู้ว่าตึกนี้สร้างเมื่อไหร่ในสมัยใดเขียนไว้เป็นศิลาจารึก เหมือนจารึกพ่อขุนรามคำแหงอะไรอย่างนั้น แต่ว่าพอปักแล้วคนไม่เข้าไปไหว้ คนนี่เผลอไม่ได้ มีรูปอะไรก็จะไหว้ๆไปเรื่อย มีรูปนั้นยืนอยู่ยังไม่มีคนมาไหว้ ถ้าใครอุตริเอาทองมาปิดก็สักสองสามแผ่นมันจะขลังมั้งนี่ เดี๋ยวก็คนมาขอเบอร์ล่ะคราวนี้ ยืนอยู่นั่นแหละ ยังไม่ตายคนยังไม่วายนี่พอตายแล้วคนน่าจะมาไหว้มากและจะปิดทอง ควันธูปโขมง เลยสั่งว่าอย่าไปยุ่งกับท่าน ให้ยืนเฉยๆอย่างนั้น อย่าไปเที่ยวเอาทองมาติดจนรุงรังต่อไปข้างหน้าไม่ได้ ตั้งไว้แล้วอย่าไปปิดเข้า ไม่อย่างนั้นมีอะไรก็จะต้องไหว้เรื่อย ไปขอ ไหว้แบบไปขอร้องวิงวอนบนบานศาลกล่าว ให้หลักเมืองช่วยให้เสาช่วยให้หินช่วยให้ต้นไม้ช่วย คิดดูให้ดี คิดดูให้ดีว่ามันประหลาดๆอะไรอยู่พิกล ทำอะไรแปลกๆอ่อนแอทางจิตใจ ปัญญายังไม่เจริญเลยไปทำอย่างนั้น แล้วเราก็ชอบส่งเสริมในสิ่งเหล่านั้น ไม่มีหัวคิดที่จะแก้ออกไปว่าเราควรจะส่งเสริมอะไร ส่งเสริมดึงคนเข้าวัดฟังธรรมรักษาศีลเว้นอบายมุข อย่างนี้มันค่อยเข้าทีหน่อย นี่ไปส่งเสริมให้คนไปไหว้เต่า ไม่เห็นด้วยอาตมาไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องอย่างนั้น พูดอย่างนี้ถ้าใครส่งหนังสือเล่มนี้ไปให้ผู้ว่าฯอ่างทอง แกคงจะเขม่นเหมือนกัน เจ้าคุณฯปัญญาเล่นกูเข้าแล้ว โยมพิมพ์เสร็จส่งไปเป็นของขวัญผู้ว่าฯ อ่างทองเสียหน่อย มีหลายจังหวัดทำอย่างนั้น บางจังหวัดยังไม่มีก็อุตส่าห์ทำ พัทลุงนี่ก็ไม่มีแต่ไม่กล้าทำ ผู้ว่าฯไหนไปอยู่ก็ไม่กล้าทำเพราะว่าอาตมาก็มีบ้านอยู่ที่นั่นแล้วไปบ่อยๆ ถ้าใครทำอะไรแปลกๆแผลงๆก็เดี๋ยวก็เทศน์เอา ได้ข่าวว่าก็ยังไม่ทำ แต่ว่ามีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ พระพุทธนิรโรคันตราย ในหลวงฯให้วางไว้ข้างศาลากลางและบอกไว้แล้วว่าเมืองพัทลุงไม่ต้องมีหลักเมืองเพราะมีพระอยู่แล้ว มาไหว้พระกันเถอะ เอาพระใส่ไว้ในใจเถอะแล้วมันก็จะเจริญก้าวหน้า เมืองที่สร้างหลักเมืองแล้วแตกแยกกันมีอยู่เมืองคือเมืองนครศรีธรรมราช อาตมาก็ไปเทศน์ไว้แล้วว่านครฯไม่ต้องสร้างหลักเมืองแล้วเพราะมีเจดีย์ใหญ่คือพระธาตุยอดทองคำ ดึงคนให้เข้าหาพระธาตุที่แท้ของพระพุทธเจ้าเถิดอย่าไปสร้างหลักเมืองกันเลย ไม่เชื่อ เพราะว่ามีคนที่หัวโบราณอยู่คนหนึ่งเป็นนายตำรวจเก่า ชอบของพรรค์นั้นแล้วก็เลยมาจัดฉาก ไปสร้างตรงที่เป็นที่แตกด้วย นั่งรถไปตามถนนสายใหม่ ตามถนนมีรั้วปักกั้นไว้ อาตมาก็ถามคนว่า ใครมาทำอะไรขวางถนนอยู่ตรงนี้ เขาบอกว่านี่แหละก็เขาจะสร้างศาลหลักเมือง หลวงพ่อบอกว่าบ้าแล้ว เอาหลักเมืองมาไว้กลางถนนอย่างนี้ก็บ้าเต็มที ไปครั้งหลังเขาย้ายแล้ว ย้ายไปอยู่ ณ ที่หนึ่ง แล้วจนบัดนี้ยังไม่เสร็จ แตกกัน แตกแยกกันเพราะเรื่องหลักเมือง พวกนึงจะสร้างตรงนั้น พวกนึงจะสร้างตรงนี้ พวกนั่นเอารูปอย่างนั้น พวกนั้นเอารูปอย่างนี้ อีกพวกนึงว่าไม่ต้องสร้าง เอาแล้ว กลายเป็นสามก๊กสมัยโจโฉแตกทัพเรือไปเสียแล้ว แล้วนครฯมันยุ่งจนถึงบัดนี้เพราะว่าไม่เข้าเรื่อง ไม่ดึงคนเข้าหาพระธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่สอนคนให้รู้จักพระพุทธศาสนา แต่ไปทำเรื่องอะไรๆให้ยุ่งทำให้เกิดปัญหาขึ้น วันนั้นนั่งรถผ่านถามมีอะไร หลักเมืองยังไม่เสร็จก็ยังตกลงกันไม่ได้ สร้างทำไมเมื่อมันแตกแยก ไม่มีใครเอาลูกระเบิดไปวางมันพังไปเสียเลยจะได้หมดเรื่องกันเสียที เป็นอย่างนั้นนะโยม ของไม่จำเป็นจะสร้างทำไม มันมีอยู่แล้วเราจูงคนให้เข้าหาธรรมะดีกว่า แต่ไม่มีความคิดอย่างนั้น ความคิดเก่าๆ เอามาฝังในหัว แล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรให้มันดังมันเด่นเลยต้องทำเสาหลักเมืองขึ้นมา
แถวยะลาปัตตานีก็ไม่มี ท่านผู้ว่าการฯ คนหนึ่งไปอยู่ยะลาก็พยายามสร้างขึ้นจนได้ ก็มีงานทุกปีเก็บเงินค่าผ่านประตูไว้ใช้ในราชการ นี่ก็เรียกว่าทำไปแล้วก็ไม่ว่าอะไร แต่ว่าที่ยังไม่มีก็ไม่น่าจะทำแต่ก็ทำ เราไม่พยายามที่จะทำคนให้ฉลาดให้เข้าถึงสิ่งถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางพระพุทธศาสนา เมืองไทยนี้มีสมบัติอันประเสริฐอย่างยิ่งอยู่ในชาติแล้วคือพุทธศาสนา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งเลิศเหลือเกิน ประเสริฐที่สุดสำหรับนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราศึกษาให้เข้าใจนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันแล้ว เจริญทุกทาง ไม่ว่าทางไหน จะเป็นคนค้าขายทำธุรกิจ เป็นนักการเมือง เป็นอะไรก็ตามแต่ ใช้ธรรมะเถิดเอาชนะได้ทั้งนั้นแล ถ้าเราประพฤติธรรมนี้เอาชนะได้ แต่ถ้าเราไม่ประพฤติธรรมมันก็พ่ายแพ้ไปตามๆกัน ยกตัวอย่างเห็นง่ายๆเมื่อคราวเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เขาหาว่าเชียร์คุณจำลองอีกแล้ว ไม่ได้เชียร์คุณจำลองเลยสักครั้งเดียว แต่ว่าเชียร์ธรรมะที่อยู่ในใจของคนเท่านั้นแหละ คนนั้นตีความผิดไป ด่าว่าทางโทรศัพท์บ้างอะไรต่ออะไร เพราะมันไม่รู้เรื่องมันไม่เข้าถึงธรรมะตีความไม่เป็น เราก็เห็นอยู่ว่าคนประพฤติธรรมเป็นอย่างไร คนประพฤติธรรมก็ชนะ ไอ้พวกไม่มีทุนธรรมด่าคนอื่นสาดเสียเทเสียเลยโกนหัวนั่งประท้วงสนามหลวงได้กี่คะแนน ได้ห้าร้อย พวกโจรห้าร้อยลงให้หน่อยเร็ว ได้ตามนั้น คนไหนจะไปลงให้คนอย่างนั้น ไม่หันหน้าเข้าหาธรรมะ
เคยบอกเคยเตือนใครๆ อยู่เสมอว่า ถ้าคุณต้องการจะเป็นใหญ่ในสังคม ขอให้คุณประพฤติธรรม เอาศีลธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้เถิด แล้วท่านจะชนะทุกสิ่งทุกอย่าง มันช้าไม่อยากจะประพฤติธรรม อยากจะตามใจตัวเอง อยากจะเอาอามิสไปเลี้ยงคนมาเลือกตั้ง เลี้ยงเหล้า เลี้ยงข้าว ลงทุนลงรอนมากมาย ลงทุนไปแล้วมันก็ต้องเอาทุนคืน เข้ามาเป็นใหญ่เป็นโตก็คอรัปชั่นกันใหญ่โต เสียหายแก่บ้านแก่เมือง ฐานมันผิดไม่เอาธรรมะไปใช้ ใครเอาธรรมะใช้คนนั้นชนะถาวร ตราบใดที่เรายังประพฤติธรรมก็ชนะต่อไป แต่เมื่อใดเปลี่ยนแปลงตกต่ำทางจิตใจไม่ใช้ธรรมะ ไม่รับรองเหมือนกันว่าจะขึ้นเป็นอย่างไรมันก็ต่ำอีก เรามีธรรมะอยู่แล้วมันจะลอยเด่นต่อไปขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นไปสูงสุดในชีวิตของการเป็นอย่างนั้นด้วยธรรมะ เอาธรรมะมาใช้ดีกว่า คนค้าขายก็ค้าขายโดยธรรม ครั้งแรกมันอาจจะคลุกคลักหน่อยคนเขายังไม่เห็น แต่ทำไปๆคนเขาไว้ใจ ไว้ใจว่าสินค้าจากร้านนั้นเป็นของดีมีคุณภาพ ก็ค่อยไว้ใจขึ้นเรื่อยๆเพราะความซื่อสัตย์ คุณยายคนหนึ่งที่จังหวัดสงขลาอ่านหนังสือไม่ออกแต่ให้คนช่วยเขียนสั่งของจากกรุงเทพฯ สั่งของแล้วส่งเงินมาให้สม่ำเสมอไม่ผิดเพี้ยน ผู้ที่ส่งของก็ยิ่งส่งไปให้ใหญ่โต ส่งเกินสั่งให้ไปขายเพราะเขาไว้ใจ เลยส่งมาให้ขายมากมายเกิดความไว้ใจเกิดเครดิต เราจะผลิตอะไรส่งออกไปขายต่างประเทศมันต้องของดี ไม่ดีอย่าส่งออกไปมันเสียชื่อ ต้องส่งของดีออกไป ถ้าไม่ดีเก็บไว้ใช้ในบ้านเราไม่ให้ออกไป ที่นิวซีแลนด์ก็มีผลไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่ากีวี่ ผลไม้มีมากส่งขายต่างประเทศ มีคนไทยไปเห็นเข้าที่คัดเลือกแล้วมันก็ยังพอใช้ได้ บอกว่าอันนี้จะขอเอาไปขายเมืองไทยก็ไม่ได้ เอาไปไม่ได้เพราะมันไม่มีคุณภาพ เขาไม่ขายให้เสียชื่อประเทศนิวซีแลนด์ นี่แหละพ่อค้ามีธรรมะ ไม่เห็นแก่รายได้แต่ว่าทำคุณภาพของสินค้าให้ดีให้ดัง แล้วเขาก็รักษาคุณภาพให้ดีตลอกไปมันก็เจริญในทางค้าขาย เมืองไทยเราส่งข้าวสารหอมมะลิส่งไปขาย คนติดใจสั่งซื้อล่วงหน้า ต่อมาๆดอกมะลิกลายเป็นดอกอุตพิษไปแล้ว มันปนแล้วเดี๋ยวนี้ไม่เรียบร้อยแล้ว นี่แหละเขาเรียกว่ากินไม่พอ คนซื่อกินไม่หมด แต่คนคดมันกินไม่พอ ไม่พอกินเพราะทำของไม่ดีส่งไปขาย ไม่ว่าสินค้าอะไรพวกที่อยากรวยเร็วๆ อยากรวยทางลัด พวกนี้เอาตัวไม่รอด ทำสินค้าไม่ดีส่งไปฝรั่งเขาตรวจคุณภาพเขาไม่ใช่คนมักง่าย ตรวจไปอันนี้ไม่เหมือนกัน เป็นไงไม่ซื้อ ล่มเป็นอันล่ม แต่มันได้เงินไว้ก้อนหนึ่งแต่กินไม่กี่วันมันก็หมดแล้ว เงินที่ได้มาจากทุจริตนี้ใช้ไม่เท่าใดมันก็หมด แล้วล่มจมต่อไปกรรมมันสนอง กรรมมันสนองกรรม ในที่สุดก็เอาตัวไม่รอด แต่ถ้าหากว่าเราซื้อขายด้วยความสุจริต ยั่งยืนคนไว้ใจ พอคนไว้ใจแล้วไม่ต้องโฆษณา สินค้ามันโฆษณาตัวเองเราก็สบาย (39.13 เสียงไม่ชัดเจน) ต่อไป อะไรไม่ดีไม่เอาอย่างนี้ การขายอาหารเจ้าของร้านควบคุมดี ทุกอย่างที่จะส่งออกไปต้องดูแลความเรียบร้อย ไม่เรียบร้อยต้องทำใหม่ ถ้าเรียบร้อยส่งไป ลูกค้าติด ขายคนนั่ง ฟังเต็มร้าน ไม่มีดนตรีไม่มีระบำโป๊ให้ดูแต่คนก็ไปกิน เพราะว่าเขาทำอร่อย บริการดี ร้านสะอาด เขาก็ไปกัน
คุณภาพมันช่วยให้อะไรๆก้าวหน้าแต่คนไม่ค่อยสนใจเรื่องคุณภาพ ชอบทำอะไรหลอกๆเขา ก็ไปไม่รอด ขาดธรรมะไม่ได้อบรมในคุณธรรม นักธุรกิจก็ต้องมีคุณธรรม นักการเมืองก็ต้องมีคุณธรรม ทุกคนทุกอาชีพต้องใช้ธรรมะทั้งนั้น โลกจะวุ่นวายมากขึ้นถ้าชาวโลกสิ้นธรรมะ แต่โลกจะสงบเย็นเพราะทุกคนหันหน้าเข้าหาธรรมะ ธรรมะดับโรคทำโลกให้ร่มเย็นเป็นสุข ขาดธรรมะโลกเดือดร้อน โลกกลมๆป้อมๆมันไม่เดือดร้อนอะไรแต่คนซิเดือดร้อน โลกมันก็คือคน คนก็คือโลก ธรรมะช่วยโลกก็คือช่วยคนให้ดีขึ้น อุปการะคนให้ดีให้เจริญให้ก้าวหน้า แต่ถ้าเราร้ายธรรมะมันจะเจริญได้อย่างไรไปไม่รอด หลักการเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นญาติโยมที่ประพฤติธรรมเห็นผลอยู่ว่าอะไรดีขึ้น ทำอะไรโดยธรรมแล้วมันก็ดีขึ้น การติดต่อการคบหาสมาคม การค้าการขายทำไร่ไถนา ผลิตอะไรออกมาโดยธรรมแล้วขายให้ถูกต้องมันเจริญเองไม่ต้องลงทุนโฆษณามากมายตามโทรทัศน์ซึ่งมันแพง แต่ว่าสินค้าเป็นสิ่งโฆษณาอยู่ในตัว มันค่อยก้าวไปทีละน้อยๆจนเจริญมั่นคง เมื่อถึงขั้นนั้นสบายแล้วลอยลำได้เพราะมีเครดิตมี (41.24 เสียงไม่ชัดเจน) จากพระธรรม ได้รับความคุ้มครองจากธรรมะอย่างเรียบร้อย ชีวิตเป็นสุขมีความสงบร่มเย็น หลักการมันเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นการใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์นี้เป็นคุณเป็นค่าแก่ชีวิตแก่ประเทศ ชาติโดยเฉพาะเมืองไทยเรานี้ ถ้าว่าทิ้งธรรมะแล้วจะไปไม่รอด อะไรๆจะไม่ดีขึ้น แต่ถ้าหันหน้าเข้าหาธรรมะแล้วก็จะดีขึ้น สนใจที่จะอบรมคนให้มีคุณธรรมมากขึ้น สร้างธรรมบุคคลให้เกิดขึ้นในโลก อย่าสร้างกิเลสบุคคลให้มันมากขึ้น สิ่งใดที่จะทำตนให้ตกต่ำทางจิตใจตัดทิ้งไปเสียบ้าง เลิกไปเสียบ้างให้เหลือน้อยๆ แต่สิ่งใดส่งเสริมคุณธรรม ทำให้มากขึ้นส่งเสริมมากขึ้น เผยแผ่ธรรมะให้มากขึ้น ทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ ทางเอกสารหนังสือประเภทต่างๆ เครื่องมือมันเยอะเวลานี้ ถ้าเราใช้ให้เป็นประโยชน์เพื่อความสุขความเจริญด้านจิตใจสิ่งนั้นจะมีค่ามีราคาเป็นประโยชน์มากขึ้น แต่คนยังคิดไม่ค่อยได้เท่าใดนัก ยังฝึกขวนขวายแต่เรื่องยั่วคนให้มีกิเลส ให้มีโลภมากขึ้น มีโกรธมากขึ้น มีหลงมากขึ้น มีริษยาพยาบาทอาฆาตจองเวรกันมากขึ้น ไม่ใช้ธรรมะเป็นเครื่องประกาศโฆษณาสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น นี่มันคือปัญหา โยมก็เห็นกันอยู่ว่าปัญหาต่างๆมันเกิดจากสิ่งเหล่านี้ นักเผยแผ่ธรรมะมันยังมีน้อย เสียงธรรมะมันยังดังไม่เท่าไหร่ แต่เสียงมารมันดังกว่า ดังโครมไปเลย ธรรมะนี้ยังนิดๆหน่อยๆไม่ค่อยดังเท่าใด แต่ก็ยังดังอยู่บ้างก็ยังดี ดีกว่าไม่มีเสียเลย ให้มันดังไว้บ้างตะโกนไว้บ้างเพราะคนจะได้ยิน คนมีหูมีใจจะได้รับฟัง มีตาจะได้อ่านได้ศึกษาจะได้เข้าถึงสิ่งนั้นมากขึ้น จะเกิดความเจริญก้าวหน้าในชีวิตในการงาน หลักการเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกัน ช่วยด้วยวิธีอะไร ช่วยปฏิบัติ ปฏิบัติดีด้วยตน ชักชวนคนอื่นให้ปฏิบัติดี ส่งเสริมคนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คือเรานั้นต้องตั้งต้นด้วยตัวเราเอง พ่อบ้านตั้งตนประพฤติธรรม แม่บ้านตั้งตนประพฤติธรรม ลูกเดินตามพ่อแม่ ให้การอบรมบ่มนิสัยทำตนเป็นตัวอย่างให้ลูกได้เห็นอยู่ตลอดเวลา ลูกได้เห็นภาพคุณพ่อคุณแม่ที่มีธรรม ภาพนั้นมันก็ฝังไปในจิตใจ ได้ยินเสียงของพ่อแม่ที่เป็นธรรมะอย่างนั้นก็ฝังอยู่ในจิตใจ สิ่งแวดล้อมภายในบ้านเป็นธรรม เด็กก็เคยชินกับสิ่งที่เป็นธรรม เติบโตขึ้นก็มีธรรมะตามคุ้มครองตามรักษาเด็กนั้นให้เจริญก้าวหน้า นี่เป็นเรื่องในครอบครัว พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่าง ใครเป็นพ่อเป็นแม่มันต้องเริ่มต้นชีวิตทางธรรมะ เริ่มแต่งงานก็ต้องใช้ธรรมะแล้ว มีคนมาแต่งงานที่วัดบ่อยๆเมื่อเช้านี้ก็มีคู่หนึ่งก็สอนให้ประพฤติธรรม เอาธรรมะมาช่วยให้ชีวิตครองเรือนมีความสุขขึ้น ให้เอาธรรมะสองฝ่ายมาสมรสกัน ให้มันเกิดเป็นธรรมคู่กัน อย่าเอาผีกับผีมาแต่งงานกัน มันจะเกิดผีขึ้นในบ้าน ในเมือง ในชาติ ในประเทศ ให้ประพฤติธรรม ให้ทำความงามความดี ให้งดเว้นสิ่งต่างๆที่เป็นของชั่วร้าย ให้ประพฤติดีประพฤติชอบ สอนเขาอย่างนั้น จะเอาหรือไม่เอาก็สอนเขาไป มีโอกาสใดที่จะสอนได้ก็ต้องสอนให้เขาเกิดความรู้ความเข้าใจ เด็กหนุ่มๆมาวัดก็พยายามพูดให้เขาเห็นคุณค่าของพระธรรม ให้ช่วยกันประพฤติธรรม เพื่อชาติเพื่อประเทศของเรา ทำอย่างอื่นมันช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเราช่วยกันทำดีและเราช่วยชาติ ขณะทำดีช่วยชาติอยู่แล้ว ช่วยประเทศอยู่แล้ว ช่วยพระศาสนาอยู่แล้ว และเมื่อเราทำดีแสดงว่าเรารักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ เพราะเราทำดี รักศาสนาเป็นแกนกลาง ถ้ารักธรรมะก็เรียกว่ารักศาสนา คนมันรักศาสนาก็รักชาติถูกต้อง รักพระมหากษัตริย์ถูกต้อง ทำประโยชน์ถูกต้อง แต่ถ้าไม่มีธรรมะรักผิดทาง รักผิดทางก็รบกัน ดูบางประเทศมันรบกันไม่หยุดมันรักผิด รักชาติผิดรักประเทศผิดเลยรบกัน
ที่รบกันไม่หยุดก็เพราะมันรักผิด รักไม่ถูกเพราะไม่มีการศึกษาธรรมะ ในเขมรนี่การเผยแผ่ธรรมะมีน้อยแต่มีการเผยแผ่ไสยศาสตร์มาก ครูบาอาจารย์ขลังๆเยอะ เคยไปเมืองไพลินมีพระธาตุอยู่บนยอดภูเขาทางขึ้นไปมีหลังคา มีศาลาพักเป็นแห่งๆ ศาลาไหนก็มีพระทั้งนั้น ไม่ได้นั่งเผยแผ่ธรรมะเลย นั่งดูดวงนั่งสะเดาะเคราะห์รดน้ำมนต์ หลวงพ่อว่าไอ้นี่ถ้าเขมรแดงเข้ามันก็ต้องกระเจิง แล้วก็เป็นยังไง พอเขมรแดงเข้าก็กระเจิงไปหมด เพราะไม่ประพฤติธรรม คนมันจะนับถือได้อย่างไร ถ้าพระเราประพฤติธรรมไว้ พระที่ไหนก็ยังเห็นประโยชน์ของธรรมะอยู่ เขาเอาประโยชน์ได้เขาไม่ฆ่าไม่แกง ผู้ที่ทำดีไม่ถูกฆ่าแต่คนทำชั่วมันก็ถูกฆ่า ถึงเขาไม่ได้ฆ่ามันก็ฆ่าตัวเองอยู่แล้ว คนทำชั่วคือคนฆ่าตัวเองทำลายตัวเอง ทำลายชาติ ทำลายศาสนา ทำลายพระมหากษัตริย์อยู่แล้วเพราะประพฤติชั่ว แต่ถ้าประพฤติดีไม่เป็นไรชีวิตจะไม่ตกต่ำ แต่ไม่มีอย่างนั้นผลเป็นอย่างไรเวลานี้ก็รบกันไม่เลิกเพราะไม่มีธรรมะในตัวคน ไม่มีความนึกคิดว่าเรากำลังจะฉิบหายวายวอด พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เหมือนกันว่า ในหมู่คนที่ทะเลาะวิวาทกันนั้น ถ้ามีใครคนหนึ่งเกิดความรู้สึกขึ้นมาได้ว่าเรากำลังจะฉิบหายวายวอดอยู่แล้ว ความสงบจะเกิดจากความรู้สึกนั้น แต่ถ้าความรู้สึกแบบนั้นมันไม่เกิด เขาก็รบต่อไปรบจนตายหมดไม่มีใครเหลือ เหลือแต่แผ่นดินแล้วจะทำอะไร เหมือนที่เขาพูดว่าเมื่อคนไม่มีแล้วจะร้องเพลงชาติให้ใครฟัง ไม่รู้จะร้องอะไรแล้วเพราะกิเลสมันท่วมหัวใจมันจึงเป็นปัญหา ไม่เอาพระเข้าไปใช้ไม่เอาธรรมะเข้าไปใช้จึงได้เกิดรบราฆ่าฟันกัน ในศาสนาอื่นก็เหมือนกันไม่เข้าถึงธรรมะของศาสนา ใจก็เขวรบกัน ถ้าถึงธรรมะจะรบกันทำไม ก็ธรรมะสอนให้สงบ กายสงบ วาจาสงบใจ สอนให้รักกัน สามัคคีกัน ไม่ให้เข่นฆ่ากัน ถ้าเข่นฆ่ากันมันก็ผิดธรรมผิดศีลอยู่แล้วมันไม่ถูกต้อง ก็เลยไม่รบ จิตมันมืดด้วยโมหะด้วยอวิชชามองไม่เห็นความจริงของสิ่งทั้งหลาย เลยตกอยู่ในสภาพมืดบอดด้วยประการต่างๆเลยหยุดกันไม่ได้ ไม่ยอม ตายทั้งคู่ ไม่มีอะไรที่เหลืออยู่สักนิดเดียวนี่มันเป็นอย่างนี้
เมืองไทยเรานี้นับว่ายังมีบุญอยู่พอสมควรเพราะอย่างน้อยก็มีคนๆ หนึ่งประพฤติธรรมอย่างหนักแน่นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านทรงศีลทรงธรรมมีความคิดถูกต้องมีการกระทำถูกต้องอยู่ตลอดเวลา เป็นบุคคลที่ชาวไทยเคารพบูชาสักการะ เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นพระองค์ก็บอกว่าหยุดกันที ขืนทำมากไปบ้านเมืองจะลำบากจะเดือดร้อน เสียงเบาๆแต่มันดัง พระสุรเสียงเบาๆที่ตรัสทางโทรทัศน์วิทยุ มันเบาแต่มันดัง เบาแต่มีอำนาจ มีอิทธิพลที่จะทำคนผู้ลุ่มหลงให้หายหลงหายมัวเมาหายประมาท ทำคนมืดให้สว่างทางจิตใจแล้วก็วางปืนวางดาบอยู่ในภาพสงบต่อไป บุญนักหนาที่เรามีบุคคลอย่างนี้อยู่ในชาติในบ้านเมืองของเรา คือสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องมีต่อไป จำเป็นที่จะต้องมีต่อไป ร่างกายไม่มีหัวแล้วมันจะอยู่ได้อย่างไร อะไรๆมันอยู่ที่หัวทั้งนั้น สมองอยู่ที่หัว หูอยู่ที่หัว ตาอยู่ที่หัว จมูกปากอยู่ตรงนี้ทั้งนั้น ตัดนี่ออกแล้วมันจะเป็นรูปเป็นร่างอยู่ได้อย่างไร ประเทศชาติก็ต้องมีหัวหน้า มีประมุขเป็นคนสำคัญของชาติ เราจึงนับว่ามีบุญในเรื่องนี้ แต่บุญนี้มันเกิดจากอะไร เกิดจากธรรมะของพุทธศาสนาที่หล่อหลอมจิตใจคนไทยมาตั้งแต่ยุคโบราณให้มีความคิดนึกถูกต้อง แม้จะอะไรก็ไม่รุนแรง คนไทยเราไม่รุนแรงต่างเป็นมัชฌิมาปฏิปทาสายกลางพอดีๆ ไม่ตึงไม่หย่อนพอดีๆ สภาพชีวิตในคนไทยเราเป็นอย่างนั้น โกรธก็ไม่แรง เกลียดก็ไม่แรง เดี๋ยวก็ลืมละ เขาจึงพูดว่าคนไทยลืมง่าย ก็ดีลืมง่ายก็ดี ลืมเรื่องร้ายมันดีแต่ถ้าลืมเรื่องดีก็ไม่ถูกต้อง คิดจะอะไรแล้วลืมไปแล้วอันนี้ไม่ถูก ลืมเรื่องร้ายๆ เรื่องเป็นทุกข์เป็นร้อนทำให้มีปัญหาทางใจลืมไปเสีย เป็นความหลังไป เราก็สบายชีวิตไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ไม่มีความเดือดร้อน เป็นความดีงามของชีวิตประการหนึ่ง จึงเป็นเรื่องที่ควรจะได้คิดกันบ่อยๆ แล้วควรจะได้ช่วยกันปฏิบัติขัดเกลาจิตใจ ปฏิบัติดีด้วยตน ชักชวนคนอื่นให้ทำดี ส่งเสริมสนับสนุนคนดีคนทำดีให้ได้มีโอกาสทำดีต่อไป อย่าส่งเสริมคนชั่วความชั่วเพราะความชั่วกับคนชั่วมันตกต่ำทำให้สิ่งทั้งหลายเสียหาย เราจึงส่งเสริมคนดีมีศีลธรรมประจำใจ มีความดีประจำใจ ดูคนก็ต้องดูว่ามีธรรมะขนาดไหน ธรรมะเป็นเครื่องวัดคน ธรรมะเป็นเครื่องวัดคนว่าดีหรือไม่ดี เราก็ดูว่าเขามีธรรมะขนาดไหน สภาพจิตใจเป็นอย่างไร สิ่งแสดงออกด้วยคำพูดด้วยการกระทำเป็นอย่างไร นั่นแลเป็นเครื่องวินิจฉัย เอาธรรมะเป็นกระจกส่องลึกเข้าไปถึงในใจ ส่องดูการกระทำ การเป็น การอยู่ในชีวิตประจำวัน เห็นว่าคนนี้มีธรรมเราสนับสนุนส่งเสริม ส่งเสริมธรรมะ อาตมานี่ส่งเสริมธรรมะ ไม่ได้ส่งเสริมคนแต่ส่งเสริมธรรมะ แต่ธรรมะอยู่ในคนใดคนหนึ่งก็พลอยได้รับการส่งเสริมไปด้วยมันเป็นอย่างนั้น ไม่ได้ส่งเสริมคนนั้นคนนี้อะไร สมัยเลือกผู้ว่าฯนี่ถูกด่าจมหาว่าไปสนับสนุนคุณจำลอง บางคนไม่เรียกคุณจำลอง ไอ้จำลอง บอกโยมทำไมเรียกอย่างนั้น เขาเป็นนายพลตรี ในหลวงฯตั้งนะ ไปเรียกอย่างนั้น “ฉันเกลียดมัน” อ้าวแล้วกัน เกลียดเขาทำไม เป็นทุกข์นะ นี่โยมหาความทุกข์ใส่ตัว พอได้ยินชื่อเท่านั้น เกลียดขึ้นมาในใจ เป็นยาพิษ กินยาพิษทุกที พอเอ่ยชื่อเท่านั้นแล้วก็วางหู วางสายไม่อยากฟังต่อ มันเป็นเสียอย่างนั้น ไปว่าเขาอย่างนั้น มันไม่รู้เรื่อง เป็นชาวพุทธอะไร มีผู้ชายคนหนึ่งบอกว่าผมเป็นพุทธครับ ผมมีพวกมาก มีสมาชิกมากตั้งพันคนทำไมท่านไปสนับสนุนคุณจำลอง อ้าว คุณได้ยินที่ไหนว่าอาตมาสนับสนุนคุณจำลอง อาตมาสนับสนุนความดี สนับสนุนธรรมะ สนับสนุนคนที่มีธรรมมีความดี นั่นแหละไอ้ความดีที่ท่านว่านั้นมันอยู่ในคุณจำลอง อ้าว ก็หมายความว่าคุณจำลองแกดีนะซิ แต่ผมไม่ชอบ อ้าว คุณมันเป็นชาวพุทธอะไร วางหู มันบ้ามาก มันเป็นเสียอย่างนั้น ไม่รู้เรื่องอะไรแล้วก็เที่ยวพูดเลอะเทอะเลยไม่ได้เรื่อง ถ้าพบตัวต่อตัวจะเทศน์ให้หนัก นี่มันวางหูเสียก่อนเทศน์ไม่ทันจบกัณฑ์ เหลวใหลคนเราไม่ได้เรื่องอะไร ยุ่งเปล่าๆไม่ได้สาระเป็นอย่างนี้นะโยมนะ
เอาล่ะหมดเวลาแล้ว ต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที