แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ นั่งพัก ณ ที่ใด ที่หนึ่ง ซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงได้ชัดเจน อย่ามัวเดินไปเดินมาแล้วก็เวลาปาฐกถาจบแล้ว ขณะที่เขานั่งทำสมาธิ ๕ นาที อย่าเดินก่อน ให้นั่งอยู่ก่อน จนจบเรื่อง ๕ นาทีแล้วจึงจะเดินไปใส่บาตรต่อไป จะได้เป็นการเรียบร้อย จะได้เกิดความสงบ แล้วก็ไม่รบกวนผู้อื่น คนขับรถยนต์ก็เหมือนกัน เมื่อยังไม่จบการนั่งสงบ ๕ นาที อย่าขับรถยนต์มาก่อน อย่ารีบร้อนที่จะไป ไหน ๆ ก็มานั่งนานพอสมควรแล้ว นั่งต่อไปจนกว่าจะเสร็จเรื่อง อันนี้เป็นข้อเดือนใจแก่ญาติโยมทั้งหลาย ก่อนที่จะแสดงปาฐกถา
วันนี้ อากาศสดชื่นดี มีความสะดวกสบายตามฐานะ ของธรรมชาติที่อำนวยให้ แต่ว่าพวกชาวปักษ์ใต้ ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ แม้อากาศโปร่ง ก็ไม่โปร่ง เพราะว่ามีความทุกข์ด้วยเรื่องที่อยู่ที่อาศัย เรื่องยาแก้ไข้เรื่องอะไรต่าง ๆ รัฐบาลก็ไปช่วยเหลือ ประชาชนก็ไปช่วยเหลืออยู่ ก็น่าชื่นใจ
เมื่อวานนี้ก็มีพระที่ทำงานร่วมกันมาบ่อย ๆ ชื่อ พระครูประจักษ์สาระธรรม อยู่ที่วัดบ่อน้ำร้อน ระนอง พระองค์นี้ ก็เป็นพระเอางานเอาการมาก ถาม มาถึงก็บอกว่าระนองไม่เป็นไร บอกว่ามันเป็นเหมือนกัน แต่มันไม่เป็นข่าว เพราะว่าคนที่อำเภอกระบุรี หลายที่หลายแห่ง พายุมันก็ผ่านไป พัดต้นไม้หักโค่น บ้านเรือนเสียหาย แต่ว่าเวลาเขาพูด เขาพูดแต่ ชุมพร ประจวบฯ พูดแต่ท่าแซะ ประทิว ไม่พูดถึงกระบุรี แล้วก็มีการช่วยเหลืออะไรบ้าง บอกว่า ก็ช่วยกันตามมีตามเกิด ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอก็ช่วยกัน
ที่ไหนที่ไม่เดือดร้อนก็มาช่วยที่เดือดร้อน แล้วก็ทำรายงานมาให้ดูว่าเสียหายเท่าไร บ้านช่อง เรือกสวน ทำละเอียด เอามาทิ้งไว้ที่อาตมา เพื่อจะได้ดูว่าเป็นอย่างไร แล้วก็รีบไประชุมสมาคม มุลนิธิของประเทศไทย ประชุมเสร็จแล้ว ก็รีบกลับไป เลยไม่ได้ให้อะไรไป นอกจากให้ปัจจัย ๑ พันบาท เป็นค่ารถก็แล้วกัน เลยก็เดินทางกลับไป มันก็เป็นอย่างนั้น บางแห่งมันลึก
แต่ว่าพวกที่อยู่ลึก ๆ นี่ก็เป็นพวกที่ทำลายป่าเหมือนกัน เพราะรุกเข้าไปในป่าลึก แล้วก็ไปถากป่า ปลูกกาแฟ ทำไร่ ทำอะไร ต่ออะไร ไม่มีเลขบ้าน ไม่มีการจดทะเบียนบ้าน เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยจะได้รับแจกของ เพราะไม่รู้ว่ามีมนุษย์อยู่ที่นั่น นึกว่ามีแต่ป่า แต่ความจริงมันมี เป็นคนอพยพมาจากถิ่นอื่น มาอยู่ในสถานที่นั้น ๆ อันนี้ ก็เป็นปัญหากันอยู่ แต่ว่าพระท่านรู้ เพราะว่าพระท่านเคยไปเที่ยวเทศน์เที่ยวสอน ก็ได้ไปเยี่ยมไปเยียน เอาของไปช่วยเหลือตามมีตามเกิด แล้วก็พออยู่กันได้ ตามสมควรแก่ฐานะ
เมื่อพูดถึงน้ำใจของเราชาวไทย ในเรื่องเมตตากรุณานี้ ก็นับว่าพออวดใคร ๆ ได้ อวดชาวโลกได้ว่า คนไทยเรามีน้ำใจในการช่วยเหลือใคร ๆ ที่ได้รับความทุกข์ยาก ลำบากเดือดร้อน เห็นประจักษ์ ว่าทุกครั้งที่มีเรื่องมีปัญหา อันเกิดจากภัยธรรมชาติ ความเมตตาปราณีก็ไหลหลั่งมาจากน้ำใจของคนทั่วบ้านทั่วเมือง ทุกหนทุกแห่งนำสิ่งของไปช่วยกัน แต่ว่ามันก็ยังไม่ค่อยจะทั่วถึง ในบางที่ ที่รถเข้าไม่ถึงไม่ตอนแรก แต่เดี๋ยวนี้ ก็ เขาไปช่วยทำทางใหม่ ตัดต้นไม้ล้มขวางทาง พารถเข้าไปได้ ก็ค่อยทั่วถึงขึ้น แต่ก็ยังต้องช่วยกันต่อไป เพราะคนเหล่านั้นสูญเสียหมดทุกอย่าง แต่ดีกว่าชาวอำเภอกระทูนหน่อยหนึ่ง
พวกกระทูนนั้น สูญเสียบ้านช่อง สูญเสียที่ดิน ที่ดินมันไม่ได้หายไปไหน มันยังอยู่นั่นแหล่ะ แต่ว่าทรายมาทับหมด ทำอะไรไม่ได้ ทรายที่เอามาถมนั้นมันหนาตั้งเมตรครึ่ง ถ้าอยู่ใกล้กรุงเทพฯสัก ร้อยสองร้อยกิโลนี่ก็รวยกันเลย เอาทรายมาถมกรุงเทพฯกัน ขน มาขายได้ แต่นั่นมันไกลเหลือเกิน จะขนมาขายมันก็ไม่ไหว
นา ที่เป็นที่นา เคยปลูกข้าวดีมากบริเวณนั้น เพราะน้ำสมบูรณ์ แต่เดี๋ยวนี้ปลูกไม่ได้ เ พราะทรายมันอยู่เต็มหมด จะไปปลูกอะไรในทรายมันก็ปลูกไม่ได้ แกล้งกันเหลือเกิน เอาภูเขามาชดเชยมากไป ต้องย้ายคนจากเขตนั้นไปอยู่โน่น ลำทับ จังหวัดกระบี่ ย้ายไปทีละ ร้อย ทีละร้อยครอบครัว เอาไปไว้ ไปตั้งตัวใหม่ เขาให้ที่ คนละ ยี่สิบห้าไร่ ทั้งบ้านทั้งที่ทำมาหากิน
ดินดี ที่นั่นดินใหม่ ปลูกต้นยางงาม ปลูกอะไรก็งามทั้งนั้น ก็นับว่าได้ประโยชน์ไป แต่ว่าพวกท่าแซะ อำเภอประทิว ชุมพรนั้น ดินยังอยู่เรียบร้อย แต่เขาเห็นว่า ต้นไม้มันกีดขวาง ลมก็ช่วยถอน จนกระทั้งหมดเลย ถอนเสียเกลี้ยงเลย เหมือนต้นปาล์ม นี่ต้นมันเตี้ย ไม่ล้ม แต่ว่าหักยอดหมด หมุนจนยอด ยกขาดหมด เหลือแต่ต้นโด่เด่ เหมือนกันตาลยอดด้วน เป็นปาล์มยอดด้วนไป
ความทารุณมันก็พอใช้ แต่เราจะไปว่าทารุณก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่มันเกิดขึ้นเอง ไม่มีใครไปบอกให้เกิด ไม่มีใครดลบันดาลให้เกิด มันเป็นเรื่องของการปรุงแต่งของธรรมชาติ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้น และอาจจะเป็นอีกในการต่อไปข้างหน้า คือไอ แหลมที่ลงไปนั้นนะ มันอันตรายเรื่อยหล่ะ เก้าปี ยี่สิบปี ก็แอบมาห่ม เสียทีหนึง ให้ตั้งตัวใหม่กันต่อไป มันเป็นอย่างนั้น เช่นว่า มีคราวแหลมตะลุมพุก แล้วต่อมาก็มาท่วมที่นั่น สมัยก่อน ๆ นี้ก็มี เพราะฉะนั้น เราอ่านเรื่องจัก ๆ วงศ์ ๆ ของคนสมัยก่อนนะ จะมีเรื่องว่า ลมพัดใหญ่ หอบคนไปเลย หอบเอาพระเอกไปพบกับนางเอกที่เมืองยักษ์โน่น ลมมันหอบไป หอบไป แล้วในเรื่องอิเหนา ก็มีลมหอบเหมือนกัน อินโดนีเซีย มันก็เป็นเกาะ ลมมันแรงเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ลมหอบคนได้ หอบคนไปตกอยู่ ไปนอนหลับอยู่ พวกสาวใช้ออกมาเห็นเข้า พอเห็นรูปหล่อดี แล้วก็เลยชวนกันหามไป ช่วยให้ฟื้น แล้วก็ไปอยู่กับลูกสาวของพญายักษ์ พญายักษ์ ก็ไม่รู้ว่า ได้ลูกเขยแล้ว ต่อมาก็รู้ข่าวก็โกรธเคือง แต่ผลที่สุดก็หายโกรธ เพราะว่าพูดจาทำความเข้าใจกันได้ แล้วไม่ใช่คนชั้นตกต่ำ เป็นลูกกษัตริย์เหมือนกัน เป็นอย่างนั้น แสดงว่าสมัยโน้น มันก็เคยมีลมแรง ๆ เคยพัดหอบอะไร ๆ ไปทิ้งในที่ต่าง ๆ คนยืนอยู่ถ้าถูกที่กระแสลมแรง ๆ มันก็ยกขึ้นไป อย่าว่าคนเลย น้ำในมหาสมุทรนะ ลมมันหมุน พัดขึ้นไปสูง สูงเหมือนกับต้นตาล เป็นเกลียวใหญ่ แล้วมันก็เคลื่อนมา มาตกลงบนแผ่นดิน น้ำ กลายเป็นน้ำเค็มไป ที่เขาลองน้ำไว้กิน แอ๊ะ.. ทำไมเค็ม หลังจากพายุใหญ่ น้ำกลับเค็ม มันเอาน้ำในมหาสมุทร มาแทลงไปเลย ทำให้น้ำเค็ม ไม่ได้เกิดจากไอน้ำ ไม่ได้เกิดจากเมฆ เอามาทั้งก้อนเลย เอามาทั้งน้ำเค็มนั่นแหล่ะ เอามาให้กินกันเสียหน่อย จะได้ฟันไม่ผุ เพราะมีไอโอดีนเยอะ เป็นอย่างนั้น
นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เกิดขึ้น มันก็เกิดมาตั้งแต่โบรมโบราณ เช่นน้ำท่วมโลกนี่ มันคงท่วมทั่วไป เคยท่วม ในคัมภีร์ไบเบิ้ลมีเรื่องน้ำท่วมโลก แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็บอกครอบครัวหนึ่ง โนอา บอกว่าให้เอาคน เอาสัตว์อย่างละคู่ อย่างละคู่ ไปไว้ในเรือใหญ่ ทั้งให้ก่อเรือล่วงหน้า แล้วก็น้ำท่วมจะได้ลงไปในเรือนั้น เอานก เอาสัตว์ไปไว้ด้วย อยู่กัน คงสนุกกันใหญ่ อยู่เรือลำเดียวกัน สัตว์ทั้งหลายมันคงจะกัดกัน อะไรกันบ้าง แต่ว่าเรื่องเขาเขียนให้เป็นอย่างนั้น
แสดงว่าเคยมีน้ำท่วม ในแถวทะเลทราย ในอินเดียก็มีน้ำท่วม เพราะมีเรื่องอวตารของพระวิศณุ เขาเรียกมัศยาวตาร อวตารมาเป็นปลา แล้วก็มาลากเรือเหมือนกัน มีเรือที่คนอาศัยมาลากให้ไปเกย ที่ไม่มีน้ำ ช่วยชีวิตคนไว้ นี่แสดงว่าโลกนี้มันเคยมีน้ำท่วมใหญ่ จึงได้เขียนเป็นประวัติ เป็นนิทานอะไรไว้อย่างนั้น เคยมีน้ำท่วมใหญ่ เคยมีไฟไหม้ใหญ่ แล้วก็มีลมพายุใหญ่ หรือมีโรคระบาดทำให้คนตายมากๆ
นี้มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับใคร เมื่อใดก็ได้ เพราะเป็นเรื่องของธรรมชาติ เราไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไร แต่เมื่อมันเกิดเราก็หลีกไม่พ้น เพราะมันมาถึงเรา เราก็ต้องรับชะตากรรมไปตามเรื่อง แต่ถ้าเป็นคนมีธรรมะ เป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจ คือคิดเป็น นะ ถ้าคิดเป็น แล้วมันก็มีความทุกข์น้อย ถ้าคิดไม่เป็นมันก็มีความทุกข์มาก คนคิดเป็นนะ คิดอย่างไร คิดปลงลงไปได้ตามหลักธรรมะว่า อะไรๆ มันก็อย่างนี้แหล่ะ เพราะมันไม่เที่ยง มันมีความเปลี่ยนแปลง สิ่งทั้งหลาย อาจจะเป็นอะไร เมื่อใด ก็ได้ เช่นว่า เป็นอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นอย่างอื่นต่อไป สุขแล้วมันก็ทุกข์ ทุกข์แล้วมันก็สุข ได้แล้วก็ไม่มี มีแล้วก็ไม่ได้ เจ็บแล้วก็หายป่วย ป่วยแล้วก็เจ็บต่อไป เจ็บหนักเข้าก็ เอาลาโรงกันไปเลย อย่างนี้ มันมีเรื่องที่เป็นอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นเครื่องเตือนใจเรา ในเมื่ออะไรเกิดขึ้นเราก็คิดว่ามันก็อย่างนั้น ดูคนอื่นที่เขาเป็น ดูประเทศอื่นที่เขาเป็น แล้วมาดูประเทศเราว่าเป็นอย่างนั้น ความจริงถ้าจะเปรียบเทียบระหว่างประเทศที่เกิดลมพายุใหญ่ ที่เกิดน้ำท่วมอะไรอย่างนี้ เรายังดีกว่าอีกหลายประเทศ ซึ่งมันน้อยกว่า อันตรายก็มาก แต่มันก็น้อยกว่าประเทศอื่น
ประเทศบังคลาเทศนี้ ถ้าเกิดลมพายุ น้ำท่วมนี่ คนตายเป็นแสน เป็นหมื่นเป็นแสน ประเทศอินเดียก็เหมือนกันเ เพราะคนเขามาก ประเทศจีนนี่ถ้าแม่น้ำฮวงโห ก่ออันตรายขึ้นเมื่อใดแล้ว ตายกันเป็นแสนๆ บ้านเรือนพังพินาศ ท่วมไปหมดทุกหนทุกแห่ง เป็นบ่อย ๆ ประเทศฟิลิปปินส์มันทุกปี เพราะมันอยู่ในทะเล ลมเขย่าทุกปี ทำให้เกิดปัญหาเดือดร้อน
ญี่ปุ่นนั้นก็เรียกว่า ทุกเดือนก็ว่าได้ แผ่นดินไหวนี่เรื่องธรรมดา ลมพายุเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น คนญี่ปุ่นปลูกต้นไม้ ก็ต้องปักหลักไว้ด้านนี้ แล้วปักหลักด้านโน้น ด้านโน้นปักหลักสี่ด้าน แล้วเอาเชือกผูก แต่ว่าก่อนเอาเชือกผูก เอากระดาษฟางห่อก่อนเพื่อไม่ให้ต้นไม้ช้ำ แล้วก็ผูกดึงมาไปผูกไว้กับหลัก ลมพัดมาก็ไม่โยกไม่โคลง ไม่ล้ม เขาเคยต่อสูกับธรรมชาติลม
เพราะฉะนั้น เขาคิดแก้ปัญหาด้วยการเอาเชือกผูกไว้ แล้วบ้านญี่ปุ่นนี่เขารู้ว่าแผ่นดินไหวบ่อย ๆ เพราะฉะนั้นอย่าใช้วัตถุหนัก ๆ ฝาก็ทำด้วยกระดาษ ถ้าเป็นเมืองไทยก็ เด็กซุกซนเอานิ้วชี้ตำฝาทะลุหมดแหล่ะ แต่ของเขามันไม่มีอะไร ทำให้มันเป็นบานเลื่อน ใช้กระดาษ วัตถุเบา ๆ ถ้าแผ่นดินไหวมันพังก็ หัวไม่แตก เ พราะว่ามันเบา เขาทำอย่างนั้น บ้านทั่ว ๆ ไป เว้นไว้แต่ในเมืองใหญ่ สร้างเป็นตึก แต่สร้างตึกเขาก็มีกรรมวิธีที่จะไม่ให้มันเกิดเสียหายเมื่อแผ่นดินไหว เขาใช้เทคนิค เพราะเขาสู้กันมานาน ค้นคว้าว่าจะทำอย่างไร ธรรมชาติมันก็สอนคนให้ฉลาด ให้มีเหตุมีผล ให้รู้จักคิด รู้จักแก้ไขอะไรต่าง ๆ
ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเสียเลย มันก็ไม่เรื่องอะไร คนเราจะฉลาดขึ้นไม่ได้เพราะไม่มีอะไรสอน เช่น เกิดสงครามมันก็ทำให้คนฉลาดขึ้นเยอะ ทำให้คิดประดิษฐ์อะไรต่ออะไรขึ้น เพื่อใช้สอยในยามขัดสน เช่มเมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพา เราไม่มีน้ำมัน รถยนต์ก็ใช้ถ่าน เอาถ่านทำความร้อน หม้อถ่านใหญ่ไว้ข้างหลัง แล้วก็ติดไฟ สตาร์ทเครื่องไปได้
ไม่มีกาว เอายางมะม่วงหิมมะพานต์มาเคี่ยวทำกาวก็ยังได้ หลายอย่างทำได้ แต่ว่าพอเสร็จสงครามแล้ว สิ่งที่มาใช้เหล่านั้นมันลืมหมด เอาของสะดวกต่อไป โรงงานผลิตให้ดีกว่า ไม่ต้องใช้สิ่งเหล่านั้น รถไม่มีคนก็เดินไปมาหาสู่กัน ไม่มีกระดาษก็เอาอะไรมาทำกระดาษขึ้นหยาบ ๆ สีน้ำตาลก็ยังพอใช้ได้ มันชดเชยกัน
ร่างกายเรานี่ก็เหมือนกัน มันก็คอยชดเชยกันตามธรรมชาติ ตรงไหนเกิดปัญหา มันก็ไปช่วยกันแก้ตรงนั้น ให้สิ่งนั้นมันดีขึ้น หายขึ้น เช่นเป็น แผล มันก็ส่งไป ส่วนอาหารที่เข้าไปชดเชยในแผลนั้น ให้มันตื้นขึ้น ๆ จนเป็นปกติ แต่ว่า มันนูนอยู่หน่อย ไม่เหมือนเนื้อหนังธรรมดา ก็แสดงว่า มันมีส่วนชดเชย จากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป
ธรรมชาติมันก็เป็นอย่างนั้น คนทำงานหนัก เช่นว่า เดินด้วยเท้า ฝ่าเท้ามันก็หนาขึ้น แข้งมันก็ใหญ่ขึ้น คนแบกหาม เนื้อตรงบ่านี่มันก็นูนเป็นก้อน เพื่อรับการหาบ มันชดเชยกัน เพื่อจะได้รับน้ำหนัก เพื่อจะได้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ ธรรมชาติมันช่วย สิ่งทั้งหลายก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ดีขึ้น แต่ว่าบางครั้ง บางคราว เราไม่รู้ แล้วก็เกิดปัญหา เกิดความทุกข์ เกิดความเดือดร้อนใจ เพราะไม่ได้ศึกษาไว้ก่อน เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงสอนเราให้คิดอะไรไว้ล่วงหน้า เตรียมตัวไว้บ้าง เช่น ให้คิดว่าสิ่งทั้งหลายมีสภาพอย่างไร มันเปลี่ยนแปลงอย่างไร มันไม่เที่ยงอย่างไร มันเป็นทุกข์อย่างไร เป็นอนัตตาอย่างไร ท่านสอนให้เราคิดไว้บ่อย ๆ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ
เท่ากับว่าเตรียมรับภัยล่วงหน้าที่จะเกิดขึ้น เมื่ออะไรเกิดขึ้น เราก็จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์มากเกินไป เราคิดไว้ก่อน ว่าเหตุการณ์ มันจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าไม่คิดไว้ เรามักจะพูดว่า ไม่นึกไม่ฝันเลยว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ไม่นึกไม่ฝันเลยว่ามันจะเป็นอย่างนี้ นี่เพราะไม่ได้คิดไว้ มันเกิดปุ๊บปั๊บ นึกไม่ทัน พอนึกไม่ได้มันก็เป็นทุกข์ ตรม ตรอมใจ บางคนก็อาจจะคลั่งไปก็ได้ มันก็มีบ้าง แต่หนังสือพิมพ์ ก็เอามาจั่วหน้า ว่าชาวชุมพร คลั่งไปแล้ว มันก็คนเดียวไม่ใช่มากมายอะไร
หมอที่โรงพยาบาล เขาบอกว่า มีคนเป็นโรคคลั่ง ก็อย่างนั้นแหล่ะ ถึงฝนไม่ตก ฟ้าไม่ร้อง ไม่มีพายุ ไอ้คนจะคลั่ง มันก็คลั่งอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงมีโรงพยาบาลโรคจิต ที่สุราษฏร์ มีโรงพยาบาล ที่กรุงเทพฯ ที่เชียงใหม่ ที่อุบล ไว้ต้อนรับคนประเภทอย่างนั้น แล้วก็มีมากด้วย แต่มันมาเป็นตอนที่เกิดพายุ ก็เลยว่า เพราะพายุ มันจึงเป็นอย่างนั้น
ความจริง มันคลุ่มมาก่อนแล้ว เหมือนกับไฟไหม้แกลบ แต่พอ ลมโหมเข้าหน่อย มันก็ลุกฮือขึ้น สภาพจิตมันผิดปกติ เ พราะว่าไม่ได้คิดนึกในแง่ที่ถูกต้อง ไม่เอาธรรมะมาปลอบโยนจิตใจ เพราะไม่ค่อยฟังธรรม ไม่ค่อยเข้าใกล้ผู้รู้ ไม่ฟังคำสอน ไม่เอาไปคิด ไม่เอาไปปฏิบัติ สภาพชีวิตจึงมีความทุกข์อย่างนั้น
ส่วนมากก็เป็นคนที่ขาดการศึกษา ไม่มีปัญญาในเรื่องชีวิต จึงมีสภาพอย่างนั้น แต่คนที่มีปัญญานั้น พอปลง พอวาง แม้จะหนักอย่างไรก็พอปลงได้ วางได้ เพราะมีปัญญาพอให้คิด ไม่ทุกข์ร้อนมากเกินไป แล้วก็คิดช่วยตัวเองต่อไปใหม่ แต่ถ้าไม่มีคนบอกมันก็คิดไม่ออกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ว่าง ๆ ก็อยากจะลงไปเหมือนกัน คือไปพูดเตือนจิตสะกิดใจ ให้ญาติโยมได้เกิดความรู้สึกนึกคิด ในทางที่ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่มีครอบครัวเดียว มันมีกันเป็นตำบล ๆ มีเป็นอำเภอ มองไปที่ไหนมันก็เหมือนๆกัน ถ้าว่าเราเป็นคนเดียวมันก็น่าเศร้าใจ น่าจะเป็นทุกข์มาก เพราะแหม.. มันมาลงบนหัวเราคนเดียว แต่นี้ ไม่อย่างนั้น เฉลี่ยทั่วถึงกัน ทั้งอำเภอ สองอำเภอ หลายอำเภอในประจวบคีรีขันธ์ ก็เฉลี่ยกันไป มองไปบ้านโน้น อ๋อ…เหมือนบ้านเรา บ้านโน้น ก็เหมือนบ้านเรา มองไปทิศไหน มันก็เหมือนกัน ไม่ใช่เราคนเดียว อย่างนี้ก็พอปลง พอวาง
แต่ถ้ามันคิดไม่ออก มันก็เป็นทุกข์มาก ทรมารจิตใจ มองไปทางไหนก็มีแต่สภาพทรุดโทรม บ้านก็ไม่มีที่จะซุกหัวนอน นี้เป็นปัญหา แต่ว่าถ้ามีใครคอยปลอบโยนจิตใจก็พอนึกได้ ว่าสภาพมันเป็นอย่างไร ธรรมะจึงเป็นเรื่องจำเป็นเหมือนกัน ที่จะต้องแจก ต้องให้แก่คนเหล่านั้น เราเอาไปให้นี่ เอาให้แต่วัตถุ เพราะเป็นเรื่องร่างกาย เรื่องร่างกาย นี่เป็นเรื่องเห็นง่าย ขาดอาหารก็เห็น ขาดเสื้อผ้าก็เห็น ขาดที่อยู่อาศัยก็เห็น ขาดยาแก้ไข้มันก็เห็น ปวดหัว ตัวร้อน ลงท้องลงไข้ มันเป็นเห็นทั้งนั้น
แต่ว่าเรื่องของจิตใจ ไม่มีใครเห็น แล้วก็ไม่คิดว่าควรจะทำอย่างไร แต่ว่าก็มีกระทรวงสาธารณสุขส่งไปบ้าง เขาเรียกว่า นักสังคมสงเคราะห์ ก็ไปพูดจาแนะนำอะไรต่าง ๆ แต่ว่าชาวบ้านไปพูดนี่ เขาไม่ค่อยจะสนใจเท่าไร เพราะว่า ชาวบ้านพูดก็อย่างนั้นแหล่ะ แต่ถ้าพระไปพูดนี่จะดีกว่า เพราะว่าเขาเชื่อพระ พอเห็นพระนี่เขาก็สบายใจแล้ว
แล้วถ้าเอาของไปให้เขาด้วย เขาว่า โอโห หลวงพ่อมา เอาของมาแจก แจกของแล้ว ก็ก่อนแจกของก็คุยกันก่อน พูดจาแนะนำพร่ำเตือนกัน ในเรื่องเกี่ยวกับปัญหาชีวิต ก็ทำให้เขามีจิตใจ ผ่องใสขึ้นมาบ้าง แต่อาตมาคิดว่า คนไทยเรานี่ โดยสายเลือดมันก็มีความเข้าใจเรื่อง อนิจจัง ทุขขัง อนัตตา อยู่พอสมควร เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ มันพูดกันมานาน พูดกันทั่วบ้านทั่วเมือง นิสัยอย่างนี้มันก็มีอยู่ ความรู้สึกอย่างนี้ก็มีอยู่
แต่ว่าเมื่อเห็นคนไปแจกของ ก็ต้องทำหน้าเศร้า ๆ เสียหน่อย ให้เขาเห็นว่า ลำบากไปอย่างนั้นแหล่ะ คล้ายกับคนขออะไรใคร เวลาขอยกมือยกไม้ ทำหน้าเหมือนกับไม่ได้กินข้าวมาหลายมื้อ บางทีเอามือลูบท้องมา ตั้งแต่เช้าข้าวไม่ตกท้องเลยสักเม็ดเดียวเพื่อให้คนสงสาร อันนี้ มันเป็นมารยา อันหนึง แสร้งทำขึ้น แต่ถ้าโดยปกติ เขาก็ร่าเริงได้ หัวเราะกันไปได้ สนุกในท่ามกลางความทุกข์ได้
คนที่มีความรู้สึกถูกต้อง เขาสนุกในท่ามกลางความทุกข์ได้ เขาหัวเราะ พร้อม ๆกับน้ำตาออกมาได้ เพราะคิดแล้วก็ขำตัวเอง ขำตัวเองว่า ทำไมต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วถ้ารวมวง เขาก็คุยกันสนุกได้ คุยกัน คนนั้นทำอย่างนั้น คนนั้นทำแบบนั้น เป็นอย่างนั้น เอามาคุยกันกลายเป็นเรื่องขบขัน
คนไทยเรามีอารมณ์ขัน ญาติโยมคิดดูดี ๆ สิว่า คนไทยเรานี้มีอารมณ์ขัน มองอะไรมันเป็นของขันไปทั้งนั้นแหล่ะ หัวเราะได้เสมอ ไม่ว่ามีเรื่องอะไร อย่างนี้มันมีอยู่ เช่นสมัยสงครามเรือบินมาทิ้งระเบิด พอเขาเปิด หวอ ลงจากบ้านวิ่งกันสนุกครึกครื้น ตาดูข้างบน ไปทางไหน ไปทางไหน พอได้ยินเสียงโครม ดัง… ดีว่ามันไม่ลงบนหัวกู ก็สนุก ไปดูกัน
พอเรือบินกลับ ก็วิ่งดู ที่ไหนเสียหายอย่างไร มีอะไรอย่างไร ไปล้อมดูกันตรึมไปหมด อ้าว…มันระเบิดเวลา พอยืนดู ตูม…เข้ามา…อ้าว..พวกตายก็ตายไป พวกไม่ตายก็หัวเราะกันต่อไป หึ…กูรอดได้ไม่เป็นไร มีหลวงพ่อดี เพราะว่าแขวนพระทุกองค์ ไม่รู้องค์ไหนดีทั้งนั้นแหล่ะ รอดได้ ..ที่แขวนคอ พระ ตายกันเยอะเหมือนกัน แต่ไม่พูดถึง นี่มันอารมณ์ขัน
คนไทยเรามีอารมณ์อย่างนั้น ไม่ค่อยจะเศร้าใจ เสียใจเกินไปใน เรื่องอะไรต่าง ๆ ต้องแอบไปดู เวลาเขาอยู่ปกติ ไม่มีข้าวมีของไปแจก ไม่มีใครไปเยี่ยม ต้องแอบไปดูอย่าให้เขารู้ว่าเป็นใคร แอบไปดูก็จะเห็นว่า เขาก็คุย บางทีเขาคุยเรื่องรับของ คุยเรื่อง คนนั้นมา คนนี้มา คุยเรื่องนายก แบกของ แบกกระสอบข้าว เขาคุยกันสนุก ๆ ไป มีอารมณ์ขัน เกิดขึ้นในใจ เพราะสภาพมันเป็นอย่างนั้น ความจริงมันเป็นอย่างนั้น เพราะว่าอะไร เพราะว่าคนไทยเรานั้น อยู่กับธรรมะมานาน มันฝัง สัจจะธรรมของพระพุทธเจ้านี้ฝังในสายเลือด แม้ในเวลาต่อสู้รบกับข้าศึกอะไรเขาก็ จิตใจเขาก็ไม่ค่อยจะหดหู่ ไม่ค่อยกลัวเท่าไร ยังมีความร่าเริง ความยิ้มแย้มแจ่มใส
สมัยก่อนแม่ทัพนี่ นั่งบงการทัพนี่ นั่งเคี้ยวหมากแย๊บ ๆ ใจเย็นตลอดเวลา ไม่รีบไม่ร้อน วางแผนในสมอง แล้วก็สั่งเตรียมงานต่อไป ข้าศึกยิง เปรี้ยง ๆ ก็ไม่หวั่นไหว ไม่กลัว สั่งงาน อ้าว..บุกเข้าไป ตีตรงนั้น ด้านนั้น ในที่สุดก็ชนะข้าศึกได้เหมือนกัน เพราะแม่ทัพใจเย็น คนใจเย็นมันได้เปรียบ แต่คนใจร้อนย่อมเสียเปรียบ พอใจร้อนมันก็มืด คิดอะไรไม่ออก มืดแปดด้าน แต่พอใจเย็น มองอะไรเห็นชัด ตามสภาพที่เป็นจริง โดยปกติเราเป็นอย่างนั้น แต่นิสัยใจร้อนอะไรอย่างนี้ มันน้อยมันมีเป็นเฉพาะบางคน แต่มัน เป็นข่าว พวกใจเย็นไม่เป็นข่าว คนเดินเรียบๆ ไม่เป็นข่าว แต่ถ้าเดินเต้นแหย็งแหย่งไปมันเป็นข่าว อย่างนี้เป็นต้น
หนังสือพิมพ์ มันก็ชอบลงอย่างนั้น แล้วเราก็นึกว่า คนไทยนี่มันพิกลพิการ ไปหมดแล้ว สุขภาพจิตเสื่อมไปหมดแล้ว ไอเนื้อแท้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น สภาพชีวิตจิตใจก็ยังพอไปได้ ก็เคยไปเยี่ยมพวกที่ถูกน้ำท่วมปีก่อน นี่ก็ไปเยี่ยม ก็ดูเขาก็ไม่เศร้า ไม่สุขอะไร เขาคุยกันสนุกสนาน มานั่งฟังพูด นั่งฟังกลางแดด เ พราะมันไม่มีร่มไม้ อาตมาก็ยืนพูดกลางแดด เขาก็ฟังกันด้วยอารมณ์สดชื่น แล้วพอถามว่าที่นี่มีมะพร้าวมากไหม บอกว่า เยอะ…หลวงพ่อเยอะ ต้นมะพร้าว ไอ้ใบมะพร้าวนะเอามากันแดดได้นะ ใครปีนมะพร้าวได้บ้าง ยกมือเกือบทุกคนปีนได้ แล้วมีมีดไหม มี.. อ้าวมีดมี คนปีนก็มี ต้นมะพร้าวก็มี ว่าง ๆ ไปปีนมา เอาใบมันมา แล้วตัดไม้เสาขึ้น สี่ต้น เอามาทำปะรำไว้หน่อย แล้วก็เวลาร้อน ๆ ก็ได้ไปนั่งคุยกันใต้ปะรำ มันร่มดี หลวงพ่อมาก็ไม่ต้องยืนเทศน์ กลางแจ้งอย่างนี้ ดีไหม
โอ…ดีครับ เดี๋ยวหลวงพ่อกลับไปแล้ว จะต้องทำกันหน่อย ร่าเริงกันไป ก็ไปทำไปอะไรกัน แม้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยเข้าไปเยี่ยม เขาก็ยังมีอารมณ์ที่จะพูดจาเล่าเรื่องอะไรให้ฟังได้ ไม่เศร้าโศกเกินไป ไม่ทุกข์เกินไป เรียกว่า น้ำตาไหลอยู่ แล้วก็หัวเราะเมื่อน้ำตาแห้งได้ พ้นเหตุการณ์นั้นแล้วก็ สบายใจได้ นี่มันเป็นเรื่องอะไร เป็นเรื่องที่เรียกว่า ฝังอยู่ในธรรมะ
ในสัจจะของพระพุทธศาสนามองเห็นอะไรว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา เวลาเราปลอบโยนใคร คิดเสียบ้างเถอะ มันไม่เที่ยง ปลงเสียบ้างเถอะ มันไม่ใช่ของเรา แต่เขาพูดกันเรื่องธรรมดา แม้คนที่ไร้การศึกษาก็พูดได้ พูดเป็นแล้วก็มีความเข้าใจในเรื่องอย่างนี้ พอสมควร พอจะเป็นเครื่องปลอบโยนจิตใจในยามทุกข์ ยามยาก แต่บางครั้งบางคราว มันอาจจะลืมไป เพราะปัญหาเฉพาะหน้า แต่ถ้ามีใครไปสะกิดบอก เขาก็นึกได้ พอนึกได้แล้วก็มีอารมณ์ดีต่อไป ไปทำอะไร ๆ ต่อไป พัฒนาสถานที่ ที่ตนมีอยู่ต่อไป มันก็พอไปได้ อันนี้
นิสัย มันเป็นอย่างนั้น ถ้าเราไปสะกิดเขาหน่อยก็จะดี พระสงฆ์องค์เจ้าก็ไปช่วยกัน ช่วยปลอบโยนจิตใจ แต่ก็ยังไม่มีโครงการอะไรที่ได้คิดขึ้นในเรื่องอย่างนี้ ก็นึก ๆ อยู่ว่า ว่าง ๆ เห็นจะต้องไปเยี่ยมเขาหน่อย แต่ว่าไปก็ไม่ไปมือเปล่า เอาอะไรไปบ้าง เวลานี้ก็เก็บข้าวสารไว้ ได้ ๓๐ กระสอบ ถ้ามีของนั้น ของนี้ มีคนเอามาให้ กอง ๆ ไว้ที่ศาลาเล็ก วันไหนเห็นว่ามันมากก็ ปลีกตัวไปหน่อย วันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ไปเยี่ยม วันเสาร์ก็กลับ ก็พาญาติโยมที่ ศาลานี้ต่อไป
การไป ก็ต้องพึ่งราชการ ขอรถทหาร บรรทุกข้าวของไป แล้วก็มีรถอีกสักคันหนึง สำหรับนั่ง แล้วก็ผ่านไป ที่ไหน อาจจะแวะตามรายทางบ้างก็ได้ โวกเวกเสียหน่อย มีเครื่องขยายเสียง บอกว่านี่ ขบวนของหลวงพ่อปัญญาจะไปแจกข้าวแจกของ แก่พี่น้องปักษ์ใต้ผ่านมาแล้ว
พี่น้องมีอะไรจะฝากบ้าง จอดเสียหน่อย โวกเวกเสียหน่อย เดี๋ยวคนเขาออกมา เอานั่นมาให้ เอานี่มาให้ เก็บเรื่อย ๆ ไป ถึงนครปฐม โพธาราม บ้านโป่ง โพธาราม ราชบุรี เพชรบุรี หัวหิน ก็ว่าไปเรื่อย ๆ ไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน เก็บเรื่อยไปตลอดทาง จนกระทั่งถึงบริเวณ ก็ อ้าว…นัดพบกันก่อน ประชุม พูดจา กัน เสร็จแล้วก็แจกอะไรกันไปตามเรื่อง แต่ถ้าตรงไหน ไกล ต้องพยายามเข้าไปตรงนั้น ถามนายอำเภอเขาว่า ที่ไหนที่มันไกลที่สุด ลำบากที่สุด อยากจะไปดูหน่อย แล้วก็ไปสถานที่นั้น ไปช่วยเขา ให้เขาสบายใจ ชาวบ้าน ชาวเมืองนี่ เห็นผู้ใหญ่เขาก็สบายใจ เห็นพระไป เขาก็สบายใจ ยิ่งมีของไปด้วยก็ยิ่งสบายใจใหญ่ เห็นแต่หน้ามันสบายใจนิดหน่อย
ถ้ามีของยื่นให้ โอ..สบายใจโตขึ้นมาอีก ได้ข้าวสาร ได้เสื้อผ้า ได้หยูกได้ยา ว่ากันไป ไปตรงไหนเจอคนป่วยเอา…กินยา ยานี้กิน แนะให้กินยาตำราหลวง เป็นยากินง่าย ไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยกับใคร ๆ เราก็เอาไปให้เขา อะไรอย่างนี้ ก็ช่วยกันไป ญาติโยมมีอะไรจะเอามาฝาก เอามาได้เรื่อย ๆ ตอนนี้ อยู่ ๆ คนก็เอาปัจจัยมาให้เรื่อย ๆ ก็เก็บรวบรวมไว้ อย่างนี้ได้สักสี่ห้าหมื่น เก็บ ๆ ไว้ก่อน แล้วก็ค่อยรวม ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็มีคนมารายหนึ่ง แปลกเพื่อน เอาหนังสือมาให้หนึ่ง หนังสือนี้ เป็นหนังสือเรื่องเกี่ยวกับนามสกุล กฏหมายนามสกุล แล้วก็นามสกุลที่ในหลวงทรงตั้ง มากมาย เป็นหนังสือเล่มใหญ่ ในหลวงตั้งชื่อสกุลให้คนเป็นจำนวนพัน ๆ เอามารวมไว้ จะหมื่น อะไร พวกสุนทรเวชนี่ เป็นคุณอาของคุณสมัคร สุนทรเวช แกก็เขียนก่อนตาย รวบรวมก่อนตาย แล้วพิมพ์แจก พิมพ์แจกแล้วคนชอบ เลยพิมพ์ใหม่สำหรับให้เอาไปขาย
แต่นี้เอามาให้ ก็ว่า ญาติโยมต้องการก็ทำบุญ แล้วเอาหนังสือไปเล่มหนึ่ง เอาไปไว้ที่บ้าน ไว้ดูนามสกุลใคร มีอยู่ในนี้ หรือว่าเราจะตั้งนามสกุล อย่าไปตั้งให้ตรงกับในนี้ เลียนแบบ เลียนแบบ ในหลวงตั้งอย่างนี้ เราเปลี่ยนกลับเสียหน่อย เช่นว่า ในหลวงตั้งว่า สายัญวิกสิทธิ์ อาตมาตั้งให้พ่อค้าคนหนึงว่า ชนะวิกสิทธิ์ เขาก็ชอบจดทะเบียน เพราะมันไม่ตรงกัน แต่ไปลงตัวท้าย
แต่ถ้าเราเปิดนี่ดูแล้วก็แผลงเสียหน่อย แผลงศัพท์เสียหน่อยให้มันเป็นไปเหมือน ๆ กัน ลงว่า วิกสิทธิ์ นี่ แปลว่า เบิกบาน อะไรว่า ดอกไม้เบิกบานก็ได้ คนเบิกบานก็ได้ ธรรมะเบิกบานก็ได้ เยอะ ตั้งได้อีกมากมาย เอาเป็นเครื่องมือ ตามโรงเรียนมีไว้ก็ดีเหมือนกัน วางไว้ก่อน เวลาเทศน์จบแล้ว ใครจะเอาก็ได้ เอา.. แลกกันนิดหน่อย เอาหนังสือไปเล่มหนึง แล้วก็ทิ้งไว้ สักร้อย..สองร้อย (เสียงหัวเราะ ครึกครื้น … ) เอาไปช่วยกันได้ต่อไป เป็นประโยชน์ เราก็ได้หนังสือไป หมอเอามาให้ หมอแกอยู่ศิริราช เป็นลูกของคนที่เรียบเรียง พวกสุนทรเวช เอามาให้ บอกว่า หลวงพ่อเอาไหม ให้คนเอาไปแล้วก็ เขาทำบุญเท่าไร ก็ได้ บอกไม่เป็นไร เอามา เดี๋ยวจะไม่พอนะสิ เท่านี้ มันจะน้อยไปเสียอีก แต่ว่าอีก ที่กุฎิมีอีก เอามา เขาก็ทำบุญแบบนั้น ช่วยเหลือในรูปต่าง ๆ
เดี๋ยวนี้ คนช่วยเหลือในรูปต่าง ๆ หลายรูป หลายแบบ ก็เพื่อให้ได้ปัจจัยสำหรับเอาไปช่วยเหลือนั้นเอง ทั้งการช่วยเหลือผู้อื่นนั้น พูดกันไปแล้วก็เหมือนกับช่วยตัวเราเอง ช่วยตัวเราเอง เช่น เราเป็นคนมีสตางค์ อยู่ในขั้นพอกินพอใช้ เหลือกินเหลือใช้ แล้วเราก็ไปช่วยคนที่ไม่มีจะกินจะใช้ เราก็ได้รับความสบายใจ ปลอดภัยด้วย เพราะว่าคนเหล่านั้น เขาได้มีอะไรกิน มีอะไรใช้ ความคิดประทุษร้ายต่อเรามันก็หายไป เรียกว่า ช่องว่าง สมัยนี้ เขาเรียกว่า ช่องว่างระหว่างชนชั้น มันจะหายไป เพราะเอาธรรมะมาอุดไว้
เอาธรรมะ คือ เมตตาปราณี มาอุดช่องว่าง เอาเมตตาปราณีมาอุดไว้ แล้วก็เกิดการให้ การแจก การแบ่ง คนก็เกิดความเห็นอก เห็นใจกัน แล้วก็อยู่กันด้วยความสบาย ไม่เดือดร้อน ครอบครัวที่มีสตุ้งสตางค์ อยู่ในหมู่ครอบครัวที่ไม่มี เขาก็เป็นเกราะให้ เป็นรั้วให้ เพราะเขาได้พึ่งพาอาศัย ได้รับความสะดวกสบาย
คนสมัยก่อนเขาซื่อตรงต่อกัน แล้วกตัญญูกตเวทีดี เมื่อสมัยเด็กๆ นี่ไปเยี่ยมคุณย่า ซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้านที่อาตมาอยู่ ไปเยี่ยมคุณย่า แล้วเห็นคนมา ขอยืม ผ้านุ่ง พอย่าถามว่า จะไปไหน เขามี มโนราห์แข่งที่วัดโน่น อยากจะนุ่งผ้าใหม่ๆ ไปดูโนราห์บ้าง มายืมผ้านุ่งไป พอเย็นแล้วก็เอามาคืน บางคนมายืมแหวน ยืมสายสร้อย ยืมตุ้มหู เอาไปแต่ง เพื่อจะไปดูมโนราห์ ไปงานบุญ พอเสร็จแล้วเขาก็เอามาคืนให้ เย็นเอามาคืนให้
สมัยนี้ ให้ยืมอย่างนั้น มันก็ไปหายไปเลย ยืมตุ้มหู ก็หายไป สายสร้อย ก็หาย สมัยก่อน เขาไม่ไปไหน เขาเอามาให้เรียบร้อย แล้วก็ไม่มีใครมาบุก มาปล้น มาจี้ กับคุณย่า เพราะว่า เขามาเอาไปใช้ได้ เขาก็อยู่กันสบาย นี่เรียกว่า เราให้เขา มันช่วยเรา ช่วยให้เราสบายใจเรื่องหนึ่ง ช่วยให้เราปลอดภัยอีกเรื่องหนึ่ง สังคมใดที่อยู่กันด้วยการให้ สังคมนั้นเป็นความสุข แล้วเป็นเครื่องผูกมิตร ผูกเพื่อนไว้ได้ ก็ด้วยการให้แก่กันและกัน พระพุทธเจ้าสอนมากในเรื่องนี้ ทำไมจึงสอนเรื่องให้ขึ้นก่อน
ทาน ขึ้นก่อน เพราะในประเทศอินเดียนั้น คนไม่ค่อยจะให้กันเท่าไร นิสัยคนอินเดียนั้น เรื่องเงินแล้วพูดกันยาก ขอของอื่น พอขอได้ ขอถั่วได้ ขอผักได้ ขออะไรได้ อย่าพูดเรื่องเงิน ถ้าเรื่องเงินแล้วก็ ไม่ได้เรื่อง เขาไม่ค่อยพอใจเท่าใด อย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงสอน ให้คนให้
ข้อปฏิบัติในพระพุทธศาสนา เรียกว่าขึ้นทานก่อนแล้ว ศีล ภาวนา สำหรับชาวบ้าน เพื่อให้ ให้กันก่อน ให้เผื่อแผ่ ให้คนทุกคนได้สบายใจ ให้ลดช่องว่างระหว่างคนมั่งมีกับคนยากจน ด้วยทำการให้แก่กันและกัน ก็อยู่กันด้วยความเรียบร้อย เศรษฐี มหาเศรษฐีของอินเดียที่ร่ำรวย พอมาเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ก็เป็นเศรษฐี สมชื่อขึ้นมา เพราะคำว่า เศรษฐี เศรษฐี นั้นแปลว่า ผู้มีใจประเสิรฐ ใจประเสริฐ ก็หมายความว่า เป็นผู้เห็นอกเห็นใจคนอื่น ทนไม่ได้เมื่อเห็นใครเดือดร้อน ลำบากขาดอะไร เป็นเครื่องอุปกรณ์ชีวิต ก็ต้องเข้าไปช่วยเหลือ
เศรษฐี ที่ปรากฏในคัมภีร์ ทางพุทธศาสนา ล้วนเป็นคนมีใจกว้าง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ บริจาคดินให้คนได้ทำมาหากิน บริจาควัวให้คนได้เอาไปใช้แรงงาน บริจาคเสื้อผ้าเพื่อให้คนได้นุ่งได้ห่ม บริจาคยาแก้ไข้ แล้วก็ตั้งโรงทานไว้หน้าบ้าน ใครไปใครมาหิว แวะเข้ามากินได้ ต้องการเสื้อผ้าก็มีให้ ทำอยู่เป็นประจำ ไม่หยุด ไม่ยั้ง ทรัพย์ก็ไหลมาเทมา การค้าการขายมันก็เจริญงอกงามขึ้น
แล้วจะจัดขบวนไปค้าขายที่ไหน เขารู้ว่าเป็นของใคร เช่นรู้ว่าเป็นขบวนของท่าน อนาถบิณฑิก ไม่มีใครทำร้าย ไม่มีใครเบียดเบียน เพราะข่าวมันลือไปทั่วไปว่า ท่านผู้นี้เป็น อนาถบิณฑิก แปลว่า เป็น หม้อข้าวคนยากคนจน แล้วคนยากคนจนจะไปทุบหม้อข้าวของตัวได้อย่างไร เขาก็ช่วยป้องกัน
การเดินทางไปค้าขาย ก็มีกำไร มีกำไรแล้วก็ แบ่งกำไรให้แก่คนที่ขาดแคลนต่อไป มันก็ยิ่งมีกำไร มากขึ้น ยิ่งให้มันก็ยิ่งได้ ยิ่งไม่ให้ มันก็ยิ่งไม่ได้อะไรกลับมา คนที่ทำเขาก็เห็นผล จึงสอนให้ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ชีวิตของคนเรานี้ จึงอยู่กันด้วยการให้แก่กันและกัน
แต่ว่าในบางประเทศที่เจริญนี่ เขาให้มีระเบียบ เขาไม่ให้แก่บุคคล แต่เขาให้แก่องค์การ แก่สมาคม เพราะฉะนั้น คนก็ต้องตั้งองค์การ สมาคมขึ้น แล้วเขาก็ช่วยองค์การนั้น สมาคมนั้น เช่นว่า องค์การสงเคราะห์เด็ก ก็พวกเศรษฐีมีเงินมาก ๆ ก็เอาเงินไปมอบไว้เป็นก้อน ช่วยเหลือเด็ก ไม่เฉพาะในประเทศนั้น เป็นองค์การใหญ่ เรียกว่า ยูนิเซฟ ช่วยเด็กทั่วโลก เขาก็ให้เงิน รัฐบาลก็ให้ เศรษฐีก็ให้ เอาเงินให้แก่องค์การเหล่านั้น องค์การเหล่านั้น ก็เอาไปใช้จ่าย ช่วยเหลือเด็กประเทศต่าง ๆ ที่ด้อยพัฒนา เช่นในประเทศ อัฟริกา ยังด้อยพัฒนามาก ดังที่เราเห็นภาพ เด็กพุงโลก้นปอด ผอม ขาดอาหาร ไม่มีอะไรจะกิน เขาส่งไปเป็นลำเรือบิน เอาไปช่วยในสถานที่เหล่านั้น ส่งนม ส่งแป้ง ส่งอาหาร ส่งเสื้อผ้าไปช่วย
สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นจากคนที่เขา มีสตางค์แล้ว บริจาคเป็นก้อน ให้แก่องค์การเหล่านั้น เขาจึงมีองค์การมากมาย สงเคราะห์แม่ สงเคราะห์เด็ก สงเคราะห์คนแก่ ผู้สูงอายุที่ลำบาก เพราะคนแก่ที่สูงอายุ ลำบาก ก็มีเยอะ ก็ต้องมีสถานที่ให้อยู่ มีอาหารเลี้ยง มีคนดูแล รักษาเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย สิ่งเหล่านี้ก็เกิดมาจากปัจจัยที่คนบริจาค เขาก็บริจาคกันไป เวลาใดขาดแคลนเขาก็ลงหนังสือพิมพ์ ให้ทราบว่า องค์การนี้กำลังขาดแคลนปัจจัยที่จะเลี้ยงคนผู้สูงอายุ หรือจะเลี้ยงเด็ก เลี้ยงอะไรต่าง ๆ เมื่อคนรู้เขาก็ช่วยกัน แล้วที่ช่วยกันมาคือจากสำนักต่าง ๆ จากโบสถ์ นี่แหล่ะ เราเรียกว่า จาก เชิร์ช (CHURCH)
เชิร์ช (CHURCH) นี่มันเป็น องค์การทางศาสนา เขามักจะบอกกับประชาชน เช่นวันอาทิตย์นี่บอกทั่วประเทศ คนก็บริจาค ตามโบสถ์นั้น ๆ เอามารวมกันเข้าเป็นกำลังใหญ่ หรือบางที เขาก็ออกโทรทัศน์ นักเทศน์ที่เทศน์เก่งๆ ดี ๆ เขาก็ไปออกโทรทัศน์ บอกเรื่อง บอกราวให้คนทราบ แล้วบอกให้ส่งเงินมาที่นั้น คนก็ส่งมาช่วย ได้เงินตั้ง สิบล้าน ยี่สิบล้าน ร้อยล้าน แล้วเอาไปช่วยในที่ต่าง ๆ เกิดน้ำท่วมที่ไหน เกิดอุทกภัย วาตภัยอะไรต่าง ๆ เขาก็ช่วยกัน มากมายให้คนได้ช่วยเหลือ เพราะมีคนที่ตั้งเป็นองค์การอย่างนั้น อย่างนั้นช่วยเป็นระเบียบส่วนเราช่วย เช่นว่า คนมาขอทาน เราก็ให้ ไอนี่ก็ช่วยเหมือนกัน แต่ว่า ไม่ค่อยจะดีเท่าไร เพราะจะเพิ่มคนขอทานมากขึ้น แล้วคนขอทานบางคนก็ยังพอช่วยตัวเองได้ แต่ว่าไม่พยายามช่วยตัวเอง ทำให้พิกลพิการแข้งขาดี ๆ เอาผ้าสกปรกมาพันไว้ มาให้มันเลอะเทอะ แล้วก็แกล้งเดิน ตะคงตะแคงไปตามเรื่อง ให้เห็นว่า พิกลพิการ พอพบคนก็ทำท่าพิการหน่อย พอได้ตังค์แล้วก็เดินคล่อง รีบไปขอที่อื่นต่อไป
อย่างนี้ไม่น่าให้ เพราะว่า มันไม่ซื่อ เล่นไม่ซื่อกับผู้ให้ แสดงอาการอย่างนั้นก็ไม่ได้ บางคนก็มาขออย่างนั้นอย่างนี้ ที่นี่ก็มาขอบ่อย โดยมากก็มาขอในรูปว่า ตกรถ มากรุงเทพฯ คนขโมยเอาไปหมดไม่มีอะไรเหลือ อยากจะกลับ บ้านอยู่ไหน อยู่โน่น เอาไกล ๆ เมืองตราด เอาไกล ๆ หน่อย ถ้าอยู่ใกล้ ๆ มันน้อย ได้ไม่มากอยู่เมืองตราด อยู่จันทบุรี อยู่ขอนแก่น อยู่อุดร โน่น เมืองเลย ไกล ๆ หน่อย จะขอค่ารถ แต่ถามว่า ค่ารถเท่าไร ตอบไม่ถูก เพราะไม่เคยไป สกัดไปสกัดมา เลยไม่ได้เรื่อง บางรายก็สกัดไปสกัดมาเหลว ไม่ได้เรื่อง เลยต้องบอกนี่เรา ถ้ามาขอตรง ๆ จะดีกว่า
มาถึงบอกตรง ๆ ว่ามาขอสตางค์ ซื้ออาหารสัก สิบบาทนี่ ยินดีให้ แต่มาเล่นลูกไม้อย่างนี้ ฉันไม่ให้ เพราะไม่ซื่อ ไปได้ เลยก็ให้ไป ไม่ให้
นั่นพวกแบบนั้นมี ขอแบบนั้น บางคนก็แบบอื่น พ่อตาย ศพไปอยู่วัดแล้ว สตางค์ค่าเผาไม่มี ก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร เคยดูโทรทัศน์ เห็นท่านหลวงพ่อบ่อย ๆ นึกว่าคงจะมาพึ่งได้ พูดอย่างนั้น แล้วก็มีบัตรด้วย รูปถ่าย แต่งตัวลูกเสือ นี่บัตรผมเป็นลูกเสือ อาสาสมัคร อะไรต่ออะไรนะ แล้วก็หลวงพ่อเอาบัตรนี้ไว้ก็แล้วกัน เอาเงินให้ผม แล้ววันหลังผมจะได้มาเอาบัตรคืน เออ..พูดจาเข้าที เราก็หลงเชื่อมัน เอาไปเท่าไร เอาไป หนึ่งพัน เอาไปแล้ว หายไปเลย บัตรก็ทิ้งไว้นั่นแหล่ะ คงไปอัดใหม่ดีกว่า เอาไปเลย แบบนั้นก็มี หลายแบบในรูปต่าง ๆ
มาขออย่างนั้น ไม่ค่อยซื่อตรง แต่ถ้ามาขอตรง ๆ ว่า จะเอาไปกินข้าวสักสิบบาท เอาไป มีอยู่คนหนึ่ง ตาไม่รู้จักดีสักที มาทีไร ก็ขอไปรักษาตา รักษาทุกที บอก เอ..เรานี้ มันมาตั้งสิบกว่าครั้งแล้ว ตาไม่หายสักที บอกว่า ไม่ให้แล้ว ไม่รู้จักหาย บอกไปข้างใน หลวงตาชิ แกก็ไม่ให้เดี๋ยวนี้ ก็มาบ่อย ให้ได้ยังไง เป็นอย่างนั้น
ทีหลัง พอเห็นหน้าบอก ไม่ต้องขอ ไม่ต้องขอ ขอก็ฉันไม่ให้ เพราะมันไม่รู้จักหายสักที ตานี่ แล้วก็บอกว่าจะกลับบ้าน บ้านอยู่ไหน โน่นอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราดโน่น ให้มันไกลหน่อย ขอสตางค์ค่ารถ บอกว่าไม่ต้องไป อยู่กรุงเทพฯก็ได้ รักษาตาต่อไปดีกว่า แล้วมันก็ไป
ครั้งแรกก็ให้ แต่ว่ามาบ่อย ๆ ตาไม่หายสักที รักษาแบบใดก็ไม่รู้ มันเป็นอย่างนั้น ก็มีในรูปแบบแปลก ๆ การช่วยอย่างนั้น เป็นการช่วยที่ทำคนให้อ่อนแอ แต่บางคราวก็ต้องช่วยเมื่อเห็นว่าเขาจำเป็นจริงๆ แต่การช่วยที่ถูกต้องนั้น มันก็ต้องช่วยเป็นแบบ เป็นองค์การ เป็นสมาคมรวมกันเข้า แต่ว่าคนไทยเรานั้น ยังไม่ค่อยจัดองค์การ ทำไมจึงจัดองค์การไม่ได้ ทำไมจึงตั้งสมาคมไม่ค่อยได้ในประเทศไทย เพราะคนไทยมัน สมาคมกันอยู่ตลอดเวลา ไม่เหมือนฝรั่ง ฝรั่งนี้ เขาอยู่บ้าน เขาปิดประตูบ้าน อยู่แต่ในบ้าน ถ้าหากจะพบใครก็ต้องไปสมาคม เขาจึงมีคลับ มีสโมสร มีสมาคมประเภทต่าง ๆ สมาคมพ่อค้า สมาคมชาวสวน สมาคมพวกนั้น พวกนี้ ไปสังสรรค์กัน เราคนไทยมันคบกันอยู่ตลอดเวลา
มาวัดก็มาเจอกัน มานั่งคุยกัน กินน้ำชาของท่านสมภารได้ทุกวัน แล้วก็พอหมด เขาก็ซื้อมาให้ มาคุยกันอยู่อย่างนั้น ไปตั้งสมาคมได้อย่างไร เขาไม่ชอบความเป็นระเบียบอย่างนั้น แต่เขาไปพบมาหาสู่กันอุบาสิกา คนแก่ ๆ เขาอยู่บ้าน ก็ไปคุยกันบ้านนั้น คุยบ้านนี้ มันเป็นประจำ ไม่มีเรื่องอึดอัดขัดใจ เช่น สมาคมผู้สูงอายุนี้
ผู้ก่อตั้งมาบ่นบ่อย ๆ ว่า มันค่อยตายไป ตายไป แล้วก็คนทำงานไม่ค่อยมี ผมทำอยู่จนจะแย่แล้ว ทุกแห่ง เช่น พุทธสมาคม เมืองไหน ใครเป็นนายก แล้วให้เป็นอยู่นั่นแหล่ะ เป็นจนตาย ไม่มีการเปลี่ยน ไม่มีใครเปลี่ยนให้ คนนั้นเป็น เป็นจนตาย พอตายแล้ว หาคนยาก ไม่มีใครอยากจะเป็น ก็เป็น สมาคมที่ หาคนเป็นยาก เพราะว่า มันไม่ได้อะไร พุทธสมาคมนี่ คนก็ไม่ค่อยชอบไปเป็น เลยบอกว่า มันไม่ต้องตั้งหรอก พุทธสมาคม คนมันไปสมาคมกันอยู่ที่วัดแล้ว ประชุมกันอยู่บ่อย ๆที่วัด ตั้งก็มีคน เหมือนพุทธสมาคมกรุงเทพฯ มีชุดเดียว คุณสัญญา นะเป็นหัวหน้า แต่เวลานี้ ท่านไม่เป็น ให้คนประภาส อวยชัยเป็น แล้วก็เป็นอยู่นั่นแหล่ะ กรรมการก็ชุดนั้น ไปทีไร ก็ชุดนั้นแหล่ะ แก่ลงไปทุกวันเวลาแล้ว ชุดนั้นนะ
แล้วก็ทำงานแบบคนแก่นั่นแหล่ะ ไม่ได้พัฒนาอะไรเท่าใด นี่ก็จะไปประชุมกันเชียงใหม่ทุกปี แหล่ะ นัดประชุมที่เมืองนั้น ที่เมืองนี้ ประชุมเสร็จแล้วก็หมดเรื่องกัน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากการประชุม นอกจากว่านัดคนแก่ไปพบกันเสียทีหนึ่ง แล้วไปกินอาหารฟรีที่เมืองนั้น เมืองนี้ เจ้าภาพก็ต้อนรับสนุกสนานกันไปตามเรื่อง แล้วถามว่า มีอะไรบ้างหล่ะ หลังประชุม ก็ไม่มีอะไร คุย ๆ กันแล้ว ก็หมดเรื่องกันเลย เสนออะไรก็ไม่เห็นทำอะไร แล้วก็ประชุมกัน นี่ขณะนี้ก็ประชุมเชียงใหม่ วันนั้นพบ นายก บอกว่า ท่านเจ้าคุณน่าจะไปบ้าง เพราะพุทธสถานนั้น ท่านเจ้าคุณสร้าง นะจะประชุมพุทธสถาน
อาตมาว่าดูก่อน ถ้าว่างก็จะไป ถ้าไม่ว่างก็ไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าง ดูแล้วไม่ว่าง ไม่ต้องไป ไปก็ต้องเสียค่าเรือบินเอง ที่ประชุมก็ไม่จ่ายค่าเรือบินให้ด้วย แล้วเราก็พอดีไม่ว่างก็เลยไม่ไป แต่ไปก็ไม่ค่อยได้สาระอะไร มันเป็นอย่างนั้น คนไทยเราจึงไม่ค่อยจะมีสมาคมที่เป็นหลักเป็นฐาน ชาวจีนเขามีสมาคม ทำไมจึงมี เพราะจีนเขาพลัดบ้านพลัดเมืองมา คนไทยถ้าไปอยู่ต่างประเทศก็รวมตัวเหมือนกัน ไม่ว่าชาติไหน ถ้าใครอยู่ต่างถิ่นเขาก็รวมตัวกัน มาพบ มาปะ มาสังสรรค์กัน ช่วยเหลือกันแข็งแรง
ชาวไทยเราไปอยู่ต่างประเทศก็แข็งแรง ช่วยเหลือแข็งแรง เช่นว่า เกิดอะไรขึ้นในเมืองไทย เขาก็ช่วย หาเงินมาช่วย ส่งเสื้อผ้ามา ส่งเงินมาช่วยเหลือ เช่น น้ำท่วมนครฯ สุราษฏร์ เขาก็มาช่วย ส่งเงินมา ส่งผ่านอาตมามาก็มี ส่งผ้ามาเป็นกล่องใหญ่ ๆ ตั้ง ๗๐ กล่อง เอาไปแจก ๆ เขา ยังเหลือ ส่งไปแจกคราวนี้อีก คราวนี้หมดแล้ว แจกหมดแล้ว แล้วก็ส่งเงินมาช่วย คิดเป็นเงินไทย ตั้งสองแสนกว่าบาท เขาก็ส่งมาให้ เอาไปสร้างห้องอาหารให้แก้นักเรียน โรงเรียนที่พัทลุง แล้วก็ไปเปิดเรียบร้อย ถ่ายรูปไว้แล้ว จะเอาไปให้เขาดูในคราวต่อไป เขาทำอย่างนั้น ช่วยกันแข็งแรง เพราะต่างพลัดถิ่น คนเราถ้าไปอยู่ต่างถิ่น เจอกัน รักกันเหลือเกิน รักกันเหลือเกิน มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน เพราะฉะนั้น คนไทยไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน
คนจีนเขามาอยู่ประเทศไทย อยู่มาเลเซีย อยู่ที่ไหน เขาตั้งเป็นสมาคมแข็งแรง ช่วยเหลือกัน ยิ่งคนจีนในอเมริกาแล้ว สมาคมใหญ่โตมาก สมาคมทางพุทธนี่เขาใหญ่โต เขาไปซื้อที่ดินตั้ง ๕๐๐ เอเคอร์ เอเคอร์หนึ่ง มัน ๒ ไร่ครึ่งนะ ตั้งพันกว่าไร่แน่ะเป็นป่า เขาจะไปสร้างวัด แล้วก็สร้างใหญ่โต สร้างโรงแล้ว สองหลัง นี่ก็ มหึมาแล้ว ยังก็ต้องสร้างใหญ่อีกสักหลังหนึง เขามีทุน แล้วก็ไปที่แคลิฟอร์เนียร์ เหนือซานฟานซิสโกขึ้นไป เขาเรียกว่า ยูเรก้า อยู่ไกล อยู่ไกล ที่ว่าอยู่ไกล โอ…ใหญ่โตมาก เนื้อที่ ๔๐๐ เอเคอร์ ตึกหลังใหญ่ ๆ นี้ ตั้ง ๓๐ กว่าหลังนะ ไปเดินชม ไม่ทั่วมันใหญ่
เมื่อก่อนนี้ มันเป็นโรงพยาบาลโรคจิต สมัยรัฐบาลเรแกน เป็นประธานาธิบดี คนมันน้อย ไม่ค่อยไปอยู่ ประกาศขายดีกว่า ชาวจีนยังลงทุนซื้อได้ ซื้อกันเป็นหลายร้อยล้านเหรียญนะ แล้วเอามาตั้งเป็นสำนัก มีพระจีนไปอยู่ มีฝรั่งเข้ามาบวชเป็นพระจีน มาปฏิบัติงาน อะไรต่ออะไรต่าง ๆ เห็นแล้ว โอ…คนจีนนี่น่ากลัว แล้วเงินเขาเยอะ เขาเป็นพ่อค้าใหญ่ ร่ำรวย บางคนก็รวยมาก เป็นเศรษฐีเหมือนกัน เลยบริจาคช่วยเหลืออะไรต่าง ๆ รวมตัวกันได้ พอพลัดบ้าน พลัดเมืองแล้วเกิดความรักกัน สนิทสนมกลมเกลียวกัน พี่น้องนี่ถ้าอยู่ใกล้ไม่ค่อยรักกันเท่าไร กระทบกระเทือนกันบ่อย ๆ แต่ถ้าอยู่ไกลแล้ว คิดถึง นานๆ มาเจอทีแล้ว ชอบอกชอบใจ
แต่ถ้าอยู่ชิน ๆ ก็ ชัก ขเม่นกันแล้ว ไม่ค่อยชอบกันแล้ว มันเป็นอย่างนี้ ปกติ มันมีอย่างนั้น ทั่ว ๆ ไป แต่ว่าบางทีก็มีพิเศษ อยู่กันเรียบร้อย ไม่มีเรื่องอะไร นี่มันขึ้นอยู่กับจิตใจ กับการศึกษา สิ่งแวดล้อม ปัญหามันก็ไม่ค่อยมี เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น การเป็นสมาคมบ้านเรานี้ ไม่ค่อยจะถาวรเท่าใด ตั้งแล้วก็ไปไม่ค่อยรอด เพราะคนมันไม่ค่อย จะชอบไปทำเป็นสมาคมอย่างนั้น เขาสมาคมกันอยู่เป็นปกติแล้ว แต่ว่าบางเรื่องมันก็ต้องสร้าง เพื่อต้อนรับสิ่งที่จะมาใหม่ เพราะต่อไปข้างหน้า สังคมอาจจะเปลี่ยนแปลงไป เป็นสังคมอุตสาหกรรม แทนที่จะเป็นสังคมเกษตร สถาพชีวิต การเป็นอยู่ เปลี่ยนแปลงมาก ก็ต้องมีอะไรที่ใหม่ ๆ เข้ามาคอยรับความเป็นอยู่ของคนเหล่านั้น เพื่อให้คนเหล่านั้นดีขึ้น
จะสมาคมอะไร จะทำอะไร ก็ต้องมีธรรมะ เป็นหลัก คือความเสียสละต่อกันนั่นแหล่ะ ถ้าไม่มีความเสียสละต่อกันแล้ว มันก็ไปไม่รอด อยู่กันไม่ได้ ทุกคนจึงต้องเสียสละแก่กัน สิ่งทั้งหลายก็จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย นี่วันนี้ ก็พูดกันเรื่องอย่างนี้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ญาติโยมทั้งหลาย ก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
(54.42) ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ เป็นเวลา ห้านาที อ๋อ..เวลานี้มีฝรั่งเข้ามา สิบห้าคน มาเข้ากรรมฐาน พระฝรั่ง สองรูป สันติกะโร กับ สุมะโน มาช่วยสอน เย็นนี้เขาก็กลับบ้าน มาวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เมื่อคนนี้ก็ไปคุยกันนิดหน่อย เราก็ควรจะคิดว่า เออ..ฝรั่งยังมานั่งภาวนา มาฝึกจิต เราชาวพุทธก็ต้องฝึกกันมากยิ่งขึ้นไป ต่อนี้ไปขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที