แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ นั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งสามารถได้ยินเสียงชัดเจนและจงตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์แรกของเดือนธันวาคม เมื่อสักครู่นี้ ก็ไปออกโทรทัศน์เป็นเวลา ๓๐ นาทีตามที่เคยทำมา แล้วก็กลับมาวัดทำหน้าที่ที่วัดต่อไป หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะก็คือหน้าที่ จำง่ายๆว่าหน้าที่คือธรรมะที่เราจะต้องปฏิบัติ ใครมีหน้าที่อะไรทำหน้าที่นั้นให้ถูกต้อง ก็เรียกว่าเป็นผู้ประพฤติธรรม ถ้าเราทำหน้าที่ไม่ถูกต้องก็เรียกว่าเราละเลยต่อธรรมะ เมื่อละเลยธรรมะก็มีความทุกข์ความเดือนร้อนใจ จะนักเรียน นักศึกษาก็มีหน้าที่เรียนวิชา โบราณก็พูดว่าเมื่อน้อยเรียนวิชาให้หาศีลเมื่อใหญ่ การหาทรัพย์นั่นก็เมื่อใหญ่ เมื่อเล็กๆให้หาวิชา วิชาเป็นทรัพย์ภายใน เป็นทรัพย์ติดตัว ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ พายุเกย์ก็พัดวิชาเราไปไม่ได้ มันจะอยู่กับเราตลอดเวลา
การเรียนจึงเป็นหน้าที่ นักเรียนคนใดหนีโรงเรียนเกียจคร้านไม่ทำการบ้าน ไม่อ่านหนังสือก็เรียกว่าไม่ประพฤติธรรม เมื่อไม่ประพฤติธรรมก็ได้ผลคือสอบไล่ตก พอสอบไล่ตกก็เสียใจ แล้วก็ไปโทษว่าดวงไม่ดีไอ้ตัวขี้เกียจไม่ว่า จะไปว่าดวงโน่น อย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง เราจึงต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ในฐานะเป็นเด็กนักเรียน อย่าเที่ยวเตร่เถลไถล แต่เมื่อถึงเวลาเรียนต้องเรียน ถึงเวลาทำการบ้านก็ต้องทำโทรทัศน์มันจะมีรายการพิเศษก็ไม่ใช่เวลา ต้องทำงานก่อนต้องนึกไว้ทุกวันๆว่างานก่อนเล่นทีหลัง การเล่นการเที่ยวการสนุกทีหลังงานก่อน งานมาก่อนชีวิตกับงานเป็นของคู่กัน อยู่ด้วยกันงานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุขทำงานให้สนุกเป็นสุขขณะทำงานถ้าใครถืออุดมการณ์อย่างนี้ชีวิตจะมีค่ามีราคาหลวงพ่อถืออุดมการณ์นี้ประจำใจว่างานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุข ทำงานให้สนุกเป็นสุขขณะทำงานไปทำอะไรที่ไหนก็ไปอย่างสนุกเพลิดเพลินทำอย่างสบายใจไม่มีอาการเบื่อหน่ายเพราะเราถือว่าสิ่งนี้คือชีวิตของเรา
ธรรมะคืองานคือชีวิตของเรา เราก็ทำงานให้เต็มที่ให้สอบไล่ได้คะแนนดีให้คุณพ่อคุณแม่ชื่นใจ คุณพ่อคุณแม่จะดีใจมากถ้าลูกก้าวหน้าในการศึกษาประพฤติตนเรียบร้อยแต่จะเสียใจมากเมื่อลูกทำไม่ดี สอบไล่ตกคุณแม่จะเสียใจมากเด็กที่ดีคือเด็กที่ไม่ทำให้พ่อแม่ร้อนอกร้อนใจแต่จะทำแต่เรื่องที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่สบายใจ เราจึงต้องคิดว่าวันนี้จะทำอะไรให้คุณพ่อคุณแม่สบายใจบ้าง แล้วก็ทำสิ่งนั้นทำทุกวันทุกเวลา เราก็ได้ชื่อว่ามาช่วยพ่อแม่ให้ขึ้นสวรรค์ สวรรค์ของพ่อแม่ขึ้นอยู่กับเรื่องลูกนั่นแหละ ถ้าลูกทำดีพ่อแม่ก็ได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าลูกทำชั่วก็ส่งพ่อแม่ลงนรก เราจะส่งคุณพ่อคุณแม่ลงนรกก็ได้ ส่งไปอยู่สวรรค์ก็ได้ แต่ว่าถ้าเรารักพ่อแม่คงจะไม่ส่งพ่อแม่ลงนรก ก็นรกมันร้อน สวรรค์มันเย็นสบาย เราก็ทำดีให้พ่อแม่ได้ขึ้นสวรรค์อย่าทำชั่วให้พ่อแม่ได้ลงนรกอย่างนี้เป็นการถูกต้อง เด็กดีคือเด็กที่รักพ่อแม่ทำอะไรทุกอย่างให้พ่อแม่สบายใจ เท่านี้จำไว้ย่อๆไม่ยาวจำง่ายแล้วถ้าเอาไปใช้จะเกิดประโยชน์แก่ชีวิต เราเกิดมาชาติหนึ่งก็ต้องทำอะไรๆให้ถูกต้องดีงามตลอดไปแม้เราจะตายไปจากโลกนี้ทิ้งความดีไว้กับโลกนี้ต่อไป อย่าไปทิ้งความชั่วไว้ในโลกนี้ให้เข้าใจอย่างนั้น
วันนี้ซึ่งเป็นวันที่ ๓ ธันวาคม พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่ ๔ มะรืนนี้ก็เป็นวันที่ ๕ วันที่ ๕ นี้ก็เป็นวันที่เราคนไทยเบิกบานใจเพราะเป็นวันประสูติ ตรงกับวันประสูติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวของเราประสูติที่เมืองบอสตันในประเทศอเมริกา เพราะเวลานั้นสมเด็จพระราชบิดาและพระราชมารดาไปทำการศึกษาวิชาที่จะนำมาช่วยเมืองไทย ก่อนสมเด็จพระราชบิดาท่านไปเรียนวิชาแพทย์ ก่อนนี้นั้นท่านเรียนวิชาทหาร ทหารเรือที่ประเทศเยอรมัน แต่ต่อมาเมื่อเปลี่ยนการปกครองท่านก็เปลี่ยนแนวว่าต่อไปนี้เจ้านายไม่ได้เป็นทหารแล้วก็ต้องเป็นผู้ที่ทำประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองต่อไปทรงมองเห็นว่าเมืองไทยนี้การสาธารณสุขยังไม่ดีพอ การแพทย์ยังไม่เจริญต้องเรียนแพทย์เพื่อมาช่วยเมืองไทย ท่านก็ไปศึกษาวิชาแพทย์อยู่ที่นั่น แล้วในหลวงเราก็ประสูติที่นั่น สมเด็จพระบิดาเรียนวิชาแพทย์จบแล้วก็กลับมาเมืองไทย มาเป็นหมออยู่ที่ศิริราช แต่ชาวบ้านกลัวหมอเจ้าฟ้าไม่อยากจะไปรักษาไม่กล้าให้พระองค์ตรวจเพราะกลัวเจ้ากลัวนายสมัยก่อน เลยก็ต้องไปเป็นหมออยู่ที่เชียงใหม่ไปอยู่โรงพยาบาลฝรั่งไปอยู่โรงพยาบาลแมคคอร์มิคที่เชียงใหม่ แล้วไปอยู่นั่นก็เกิดไม่สบายเลยกลับมากรุงเทพแล้วไม่ทันไรก็เสด็จสวรรคต ทิ้งลูกทั้งสามคนไว้ให้พระมารดาดูแลต่อไป
พระมารดาของในหลวงเรานั้นเป็นยอดแห่งมารดาเลี้ยงลูกอย่างดีให้มีความรู้ความสามารถความประพฤติเรียบร้อย เป็นเด็กดีที่จะเติบโตขึ้นเป็นคนดีของเมืองไทยต่อไป แล้วก็ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ในหลวงอานันท์เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๘ แต่ว่าได้สิ้นพระชนม์ไปด้วยอุบัติเหตุในหลวงองค์นี้ก็เข้าแบกภาระประเทศไทยต่อไป พระองค์แบกภาระหนัก แต่ก็ไม่เป็นทุกข์เพราะทรงได้ตั้งพระทัยว่าเราจะทำอะไรๆที่เป็นประโยชน์แก่คนในประเทศไทย จึงตรัสในวันเสวยราชย์ว่าจะครองราชย์โดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแด่ประชาชนชาวสยามแม้ว่าทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย พระองค์จะต้องทำให้เขาเป็นสุขมีความสบายทุกประการแล้วก็ทำอย่างจริงใจจริงจังตลอดเวลา
ดังที่เราได้เห็นว่าพระองค์ทำอะไรบ้าง พระองค์ไม่ได้อยู่นิ่งอยู่เฉย ทรงทำงานตลอดเวลาแม้อยู่ในวังก็ทรงงานตลอดเวลา ทรงรู้ว่าประเทศไทยนี้มันมีอะไรตรงไหนบ้าง ลำน้ำลำห้วยเป็นอย่างไรภูมิประเทศเป็นอย่างไรในห้องทรงงานนั้นมีแผนที่แผ่นใหญ่ละเอียด เป็นแผนที่ละเอียดมากมีทุกหนทุกแห่ง มีหนองมีบึงมีภูเขามีเนินเล็กเนินน้อย เขาทำอย่างละเอียดเป็นแผนที่ของทหารใช้ประกอบในเวลาที่มีสงครามถวายในหลวง ท่านก็ทรงตรวจดูทุกที่ทุกทางทรงรู้จักประเทศไทยละเอียดในแผนที่เวลาเสด็จไปที่ไหนก็ไปถามประชาชนห้วยชื่อนั้นอยู่ตรงไหน มันหายไปนานแล้ว ห้วยมันหายไปแล้ว มันตื้นน้ำไม่มีแล้ว ประชาชนก็บอกว่าไม่มี ห้วยชื่อนั้นมันไม่มีแล้วในหลวงว่ามันมีอยู่ แต่ว่าน้ำมันลดไป ก็เที่ยวทรงตรวจดูอ้อมี แล้วก็ดูว่าตรงไหนมันมีที่พอจัดทำที่เก็บน้ำได้ให้เก็บน้ำไว้สำหรับใช้ในหน้าแล้ง
ทรงตรวจภูมิประเทศทุกหนทุกแห่งวางแผนแล้วก็มอบให้เจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติพระองค์สั่งให้ใครทำงานไม่ได้เลยในระบบการปกครองแบบนี้ พระเจ้าแผ่นดินไม่มีอำนาจจะสั่งใคร แต่ว่าทรงแนะให้เขาทำที่ในหลวงทรงแนะนำอันหนักแน่นกว่าใครๆสั่งเสียอีก เพราะว่าข้าราชการทั้งหลายที่ปฏิบัติงานนั้นเมื่อเป็นนโยบายของในหลวงเป็นงานของในหลวงเขาทำด้วยความเต็มใจ เพราะเขามีความจงรักภักดีต่อพระองค์แล้วก็ตั้งใจทำงานให้สำเร็จเรียบร้อยโดยเร็วไม่ชักช้าไม่เหมือนงานที่รัฐบาลสั่งให้ทำบางทีก็ช้าเฉื่อยแฉะ แต่ของในหลวงไม่มีใครเฉื่อยแฉะเพราะเขามีความรักในหลวงอยากจะทำสิ่งที่ในหลวงทรงสั่งให้กระทำเพื่อสนองพระคุณของพระองค์ท่าน ก็ทำด้วยความตั้งใจโครงการต่างๆของในหลวงจึงสำเร็จขึ้นด้วยความเรียบร้อยรวดเร็ว
แล้วพระองค์สั่งให้ทำอะไรแล้วก็เสด็จไปเหมือนกันไปตรวจดูว่าทำถึงไหนแล้ว มีอะไรเป็นข้อขัดข้องมีอะไรเป็นอุปสรรค ทรงเสด็จไปเรื่อยเราจะเห็นภาพในโทรทัศน์ว่าในหลวงเสด็จไปไหนมีกล้องถ่ายรูปห้อยที่พระศอ แล้วก็มีกระดาษปึกใหญ่ใน (11.58 เสียงไม่ชัดเจน) นั่นคือแผนที่ ไปไหนก็หิ้วไปด้วยเอาไปก็กางออกชี้อย่างนั้นอย่างนี้แนะวิธีทำกัน ให้เจ้าหน้าที่ได้วางแผนว่าจะทำอะไรกันต่อไป ตลอดเวลาทรงกระทำเช่นนั้นทุกคนมีความปลื้มใจว่าได้รับคำสั่งจากในหลวงให้ทำอะไร แล้วก็ทำด้วยความเต็มอกเต็มใจคนเราทำอะไรถ้าทำด้วยใจแล้วมันรวดเร็วในธรรมะยังมีหลักแห่งความสำเร็จอยู่ ๔ ประการคือ
ฉันทะ พอใจในการที่จะทำอะไรอะไร
วิระยะ ความเพียรนั้นไม่ทอดทิ้งธุระ
จิตตะ เอาใจใส่ในเรื่องนั้นตลอดเวลา
วิมังสา ใช้ปัญญาคิดค้นเพื่อทำงานให้มันสำเร็จ ลุล่วงไปได้ด้วยดี
สี่ประการนี้มันไม่เกิด ถ้าไม่มีความรัก ความนับถือเป็นพื้นฐาน คนเราถ้ามีความนับถือแล้วมันก็มีความรักต่อบุคคลนั้น เฉพาะองค์ในหลวงนั้นคนนับถือมาตั้งนานแล้วเพราะเมืองไทยเรานี้อยู่กับระบอบพระมหากษัตริย์และพระมหากษัตริย์ของไทยนั้นทรงปฏิบัติพระองค์เพื่อประเทศชาติ ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อประเทศชาติตลอดเวลา แม้ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าเราศึกษาเรื่องรายละเอียดก็จะเห็นว่า ทรงทำทุกอย่างเพื่อชาติ เพื่อประเทศเพื่อความสุขของประชาชน แม้เวลาออกศึกสงครามพระองค์ก็คิดการเพื่อไทยว่าการที่ออกไปรบนี้ก็เพื่อรักษาธรรมะ เพื่อรักษาพระพุทธศาสนา เพื่อให้ประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขนี่ นี่เป็นความตั้งพระทัยไม่ได้ไปรบเพื่อความเหี้ยมโหดดุร้ายเพื่อให้ใครเดือดร้อนแต่มันมีความจำเป็นเพราะมีคนที่ขาดธรรมะมารุกรานประเทศของเรา เราก็ต้องออกไปป้องกันตามหน้าที่ หน้าที่ของพระมหากษัตริย์ก็ต้องป้องกันประเทศชาติไม่ให้ใครรุกราน ป้องกันไม่ให้ประชาชนได้รับความทุกข์เพราะสงครามจึงต้องไปต่อสู้เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาและอาณาประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุขต่อไป
ทหารที่ไปรบก็รบด้วยความเต็มใจและเพราะความรักในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าศึกก็พ่ายแพ้ไป ถ้าพระเจ้าแผ่นดินเป็นที่รักของประชาชนก็ชนะทุกที แต่ถ้าว่าพระเจ้าแผ่นดินประพฤติพระองค์ไม่ค่อยจะเหมาะสมบ้านเมืองก็มักจะตกต่ำเสียหายเราก็พ่ายแพ้แก่ข้าศึก แต่ว่าเมืองไทยนี้มันก็มีบุญอยู่เพราะว่าไม่สิ้นคนดี กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดีหมายความว่าเมืองไทยยังมีคนดีที่จะมากู้ชาติบ้านเมืองต่อไปอะไรเกิดความตกต่ำก็มีคนดีมาช่วย คนดีมันเกิดรออยู่แล้วแต่ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรก็เฉยๆแต่พอมีเหตุการณ์คนดีก็อาสาช่วยทันทีไม่ว่าในเรื่องชาติ เรื่องศาสนา เรื่องอะไร คนดีมีอยู่แต่ยังไม่ถึงเวลาจะทำอะไรก็เฉยๆไปก่อน ดูเหตุการณ์อยู่พอได้เวลาได้จังหวะคนดีก็แสดงตัวและมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น
ในเมืองไทยเรานี้จึงมีคนดีเกิดขึ้นอยู่ตามยุคตามสมัยเช่นว่าคนดีขนาดพระนเรศวรมหาราชเกิดขึ้นเพราะเวลานั้นบ้านเมืองตกอยู่ในความปกครองของพม่าแม้ว่าจะมีหัวหน้าเป็นคนไทยแต่พม่าคอยคุมอยู่ คอยดูแลอยู่ ต้องส่งดอกไม้เงินทองให้เขา ส่งส่วยให้แก่เขาพระนเรศวรก็ถูกจับไปด้วยเอาไปเป็นตัวประกัน เอาไปไว้ที่เมืองพม่า เมืองตองอูหรือหงสาวดี เป็นเวลาตั้ง ๑๕ ปี ทีนี้ก็จะเอาคืนก็ต้องส่งพี่สาวไปแทนแล้วก็เอาลูกชายกลับมา เมื่อกลับมาก็คิดว่าไม่ได้แล้วมันต้องกู้บ้านกู้เมืองเลยไปอยู่ที่พิษณุโลกรวบรวมคนหนุ่มตั้งกองทัพขึ้นฝึกหัดคนหนุ่มให้รู้จักกลวิธีในการรบรู้วางแผนในการที่จะเอาประเทศกลับคืนมาให้ได้ แล้วในที่สุดก็เอากลับคืนมาได้ ชีวิตของพระองค์อยู่ในสนามรบตลอดเวลาไม่ได้มีความสุขสบายเหมือนพระเจ้าแผ่นดินทั้งหลายเลยก็ต้องไปรบกันเรื่อยไป ผลที่สุดก็ไปสิ้นพระชนม์ที่ชายแดนระหว่างไทยกับพม่าที่อำเภอขวางสิ้นพระชนม์ที่นั่นด้วยการเป็นฝี เขาเรียกว่าเป็นพระยอดหรือเป็นฝีมันอักเสบร้ายแรงจนสิ้นพระชนม์ พระเอกาทศรถน้องชายคู่บารมีก็ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติรักษาประเทศชาติบ้านเมืองต่อไป อยู่เย็นเป็นสุขไม่มีข้าศึกมารุกรานเป็นระยะยาวนาน คนไทยเริ่มประมาทเพราะไม่เห็นมีข้าศึกมารุกรานสบายแล้วก็เริ่มประมาท ไม่ค่อยจะเตรียมตัวให้พร้อม พระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อๆมาก็อ่อนแอลงไปเพราะไม่มีใครมาชวนรบชวนสู้กันก็อ่อนแอ
ผลที่สุดก็เสียกรุงอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่นานพระเจ้าตากสินมหาราชเกิดขึ้น ความจริงท่านเกิดอยู่แล้ว ท่านเป็นแม่ทัพเป็นพระยาวชิรปราการก็ไปอยู่เมืองกำแพงเพชร แต่ว่าใครๆก็เรียกว่าพระยาตากเรียกง่ายๆเพราะท่านเป็นเจ้าเมืองตากก็เรียกว่าพระยาตากตลอดมา พอมีเรื่องท่านก็หนีออกจากกรุงแล้วก็ไปกู้บ้านกู้เมือง เพื่อนของพระเจ้าตากคือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและนายบุนนาคเป็นเพื่อนร่วมศิษย์วัดเดียวกัน เรียนหนังสือในวัดด้วยกันอยู่กันอย่างเป็นเพื่อนหยอกล้อกันไปตามเพลงมีเรื่องเล่าว่านายบุนนาคเป็นเด็กซุกซน พระเจ้าตากนอนอยู่ที่ศาลาท่าน้ำแกไว้เปียสมัยก่อนจีนชอบไว้เปียท่านก็ไว้เปียตามอย่างจีน นายบุนนาคก็เอาผมเปียไปผูกไว้กับพื้นศาลาข้างล่างแล้วทำเสียงอึกกะทึกครึกโครมให้ตกใจ นายสินก็ลุกขึ้นกระวีกระวาดลุกขึ้นผมเปียมันดึงไว้นอนหงายลงไปอีกหัวชนพื้นแล้วก็ไล่กวดไปก็ไม่มีอะไรเป็นเด็กก็ทำไปอย่างนั้น ก็ไม่โกรธไม่เคืองอะไรกันเป็นเพื่อนกันแต่ว่าพอเป็นพระเจ้าแผ่นดิน นายบุนนาคไม่อยากพบไม่อยากเข้าเจอหน้าเลยเดี๋ยวนึกถึงความเก่าขึ้นมาเออ ไอ้นี่เคยทำกูเจ็บคราวนั้นเอาไปเฆี่ยนหลัง ไอ้เฆี่ยนน่ะไม่เท่าไหร่พอหลังลายถ้าเกิดอารมณ์เสียขึ้นมาจับไอ้นี่เอาไปประหารตายเท่านั้นเอง พระเจ้าแผ่นดินพูดอะไรขึ้นมามันเป็นกฎหมาย สมัยก่อนนี้พูดอะไรมันเป็นคำสั่งไปหมด เป็นกฎหมายไปหมดเลยไม่กล้าเข้า เที่ยวหลบอยู่ในบ้านของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกคือรัชกาลที่๑ เป็นปีๆไม่ได้พบหน้าพระเจ้าแผ่นดินเลย พระเจ้าแผ่นดินก็ไม่ได้ถามว่าไอ้บุนนาคมันหายไปไหน
จนกระทั่งว่าในหลวงพระเจ้าตากสินสวรรคต ก็เลยออกหน้าออกตา เลยก็ทำงานทำการได้เป็นเจ้าพระยาต้นสกุลบุนนาคอันนี้เป็นคนสำคัญคู่บารมีเหมือนกันแล้วก็ครั้งหนึ่งเจ้าคุณบุนนาคนี้ลาเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกใหม่ๆไปขุดทรัพย์สมบัติที่กรุงศรีอยุธยา ก็ไปขุดได้เรียบร้อยไม่ศูนย์ไม่หายนั่งเรือมาพอถึงแถวนั้นนะกอใหญ่ โจรปล้นเรือสู้กันน้ำน้อยแพ้ไฟสู้กันสู้ไม่ไหว คุณหญิงถึงแก่กรรม นายบุนนาคกระโดดหนีน้ำเปียกปอนเข้ามาในกรุงเทพทรัพย์สมบัติหายหมดไม่ได้อะไรมาเลย ก็อยู่ในบ้านเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกต่อไป น้องสาวแต่ภรรยาเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกนี้ยังไม่ได้แต่งงานก็เลยได้แต่งงานกับนายบุนนาคเพราะฉะนั้นตระกูลบุนนาคกับตระกูลวงค์จักรีก็คล้ายลูกพี่ลูกน้องกันมาเรื่อยๆรักใคร่กันดีช่วยเหลือกันดีตลอดมาเป็นสกุลคู่บารมีเป็นอย่างนั้น
คนดีมันเกิดแล้วในสมัยพระเจ้าตากยังมีคนเก่งอีกคนหนึ่งคือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท นายบุญมาน้องรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๑ชื่อทองด้วง น้องชื่อบุญมาก็เป็นทหารเอกคู่บารมีเขาเรียกว่าทหารเสือพระเจ้าตาก บุกไหนแหลกไปทุกที รบชนะทุกครั้งทุกหนทุกแห่งเมื่อรัชกาลที่๑ ขึ้นเสวยราชย์พม่านึกว่าจะต้องตีประเทศไทยให้แหลกไปเลย ไม่ให้ตั้งตัวติดจึงจัดทัพ ๙ ทัพ บุกเป็นแนวตั้งแต่เชียงใหม่ลงมาโน่นจนปักษ์ใต้ ตะกั่วทุ่งตะกั่วป่านะ กรมพระราชวังบวรก็วางแผนตีทัพพม่าเป็นจุด เป็นจุด เป็นจุดแตกพ่ายไป แต่มารบใหญ่กันที่เมืองกาญจน์เขาเรียกว่าสงครามทุ่งลาดหญ้า สงครามทุ่งลาดหญ้าเดี๋ยวนี้เขาตั้งเป็นค่ายทหารชื่อว่าค่ายสุรสิงหนาท เอาชื่อของพระองค์มาเป็นอนุสรณ์รบกันที่นั้นเรียกว่ารบมีชื่อในสงครามเก้าทัพ
สุนทรภู่เวลาไปเขียนเรื่องพระอภัยมณีก็มีสงคราม ๙ ทัพเหมือนกันเข้าใจไว้ด้วยเรียกว่ากองทัพเรือโจมตีกันเรียกว่า ๙ ทัพเป็นรบใหญ่กันเลย ก็เอาพงศาวดารไปแฝงไว้ พม่าก็แตกกระจายสู้ไม่ไหวแล้วต่อมาก็พม่าก็ซบเซาไปก็ไปเป็นเมืองขึ้นของฝรั่ง ประเทศไทยก็อยู่รอดปลอดภัย และนี่เรียกว่าคนดีของเมืองไทยมันยังมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งไม่ว่าฝ่ายวัด ฝ่ายบ้าน ฝ่ายพระศาสนาก็มีคนดี เช่นว่าในสมัยกรุงเทพนี้ พระจอมเกล้าท่านก็บวชในพระศาสนาก่อนเสวยราชย์สมบัติ บวชแล้วก็ศึกษาพระธรรมวินัยแตกฉานเปลี่ยนรูปภาษาบาลีดีมาก สามารถค้นคว้าความรู้จากพระไตรปิฎกได้เรียบร้อย สามารถแต่งหนังสือเขียนเป็นบาลีแต่ไม่ได้เขียนเป็นร้อยแก้ว ร้อยกรองถ้าพูดว่าเขียนเป็นกลอน เป็นโครง เป็นฉันท์นะ เวลาใกล้จะสวรรคตนี่บอกให้เขียนให้เขียนเป็นคำฉันท์เพื่อให้รู้ว่าแม้ร่างกายจะเจ็บปวดแต่ใจไม่ได้เจ็บปวดสติยังดีอยู่ ถ้าบอกให้เขียนภาษาไทยมันก็ไม่ประหลาดอะไร เพราะมันง่ายแต่ท่านให้เขียนบาลี พระยาศรีสุนทรโวหารเขียนบาลีบอกให้เขียนเป็นคำลาพระสงฆ์ที่กำลังจะทำจิตปาวารณาอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์เพราะวัดนั้นท่านทรงสร้างแล้วก็เขียนเป็นคำลาให้ไปอ่านในท่ามกลางพระสงฆ์ ว่าลาจะสวรรคตแล้วก็เขียนเป็นภาษาบาลีและคำสวดมนต์ที่เราสวดอยู่เช้าๆนี้ของท่าน สวดมนต์เย็นก็ของท่าน ท่านเขียนไพเราะ (25.30 บทสวด) เป็นคำฉันท์ สวดไพเราะเพราะพริ้งแต่ว่าถ้าสวดบาลีมันก็ไม่รู้ ท่านพุทธทาสมาแปลเป็นคำไทย ช่วยให้มันชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นในภาษาไทย
ท่านบวชอยู่ท่านก็มองเห็นว่ามีอะไรควรแก้ไข ควรพัฒนาก็เลยลาอาจารย์บวชที่วัดมหาธาตุ เลยลาพระอาจารย์ว่าทำความสงบที่วัดราชาธิวาสห่างออกมาหน่อย ห่างตัวพระนคร เจ้านายนี่จะออกจากพระนครต้องขออนุญาตจากพระเจ้าแผ่นดินนะ ท่านก็ขออนุญาตรัชกาลที่ ๓ ด้วยว่าอยากจะไปหาความสงบใจนอกเมืองหน่อย เวลานั้นวัดราชามันนอกเมืองคนก็ไม่ค่อยมีก็อยู่สงบศึกษาค้นคว้าฟื้นฟูโครงการปฏิบัติมีการทำอะไรต่ออะไรหลายอย่างที่เป็นไปในทางส่งเสริมกิจการพระศาสนาเจริญขึ้น แล้วก็คนมาบวชเป็นลูกศิษย์เยอะ เมื่อออกไปเสวยราชย์ก็เลยมีคณะธรรมยุติเกิดขึ้น ไม่ได้ตั้งขึ้นเพื่อความแตกแยกแตกร้าวแต่ตั้งขึ้นเพื่อการพัฒนา แต่ทีหลังเกิดแตกนั้นเป็นกิเลสของคนรุ่นหลังไม่ใช่เจตจำนงของพระองค์ท่าน พระองค์ท่านมีเจตจำนงแน่วแน่ว่าจะแก้ไขความเสื่อมโทรมของพระศาสนาจะพัฒนาคน พัฒนาพระสงฆ์ให้มีความก้าวหน้าในการศึกษาในการปฏิบัตินี่เป็นกุศลเจตนา แล้วก็เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา
และในขณะที่บวชนั้นท่านมีโอกาสมากที่เรียนอะไรๆ เรียนบาลีเก่งแล้วเลยเรียนภาษาอังกฤษ เรียนภาษาลาตินจากหมอสอนศาสนาชาวอเมริกันมาสอนที่วัด ท่านก็ได้เรียนภาษาอังกฤษรู้ดีเวลาทูตต่างประเทศมาก็ไม่ต้องใช้ล่าม สามารถจะคุยกันได้ทรงเขียนจดหมายถึง ควีนวิคตอเรียของประเทศอังกฤษใช้ถ้อยคำไพเราะเพราะพริ้งลายมือสวย ลายมือสมัยนั้นเค้าเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ใครไปดูก็ได้ลายพระหัถต์นั้น เขียนไปติดต่ออะไรต่างๆ สุนทรภู่จึงเอาเหตุนี้ไปเขียนพระอภัยมณี นางละเวงในเรื่องพระอภัยมณี แล้วก็พระอภัยมณีเป็นตัวพระเอกก็เอาไปจากแนวคิดนี้ คิดในหลวงรัชกาลที่๔ นี้เป็นพระอภัยมณี แล้วควีนวิคตอเรียก็เป็นนางละเวงไป แล้วไปเกิดสัมพันธ์อะไรกันขึ้นเหมือนคนฉลาดเอาเรื่องไปผูกเป็นเรื่องราวอ่านกันไม่หวาดไม่ไหว ก็ไปจากเรื่องอย่างนี้เหมือนกัน
นี้ว่าท่านออกมาเสวยราชย์แทนต่อรัชกาลที่ ๓ พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่๓ นี้คนไม่ค่อยจะพูดถึงความจริงท่านดีมาก เพราะว่าท่านกู้ฐานะทางเศรษฐกิจของเมืองไทย เพราะว่าพระเจ้าแผ่นดินในสมัยนั้นมีเวลาแต่เรื่องรบ ไม่มีเรื่องแสวงหาทรัพย์เข้าคลังได้เก็บภาษีอากรมันก็น้อย รัชกาลที่ ๓ท่านยังไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นพระองค์เจ้าทับ ชื่อทับ แล้วเป็นกรมหลวงเจษฎาบดินทร์ ท่านคิดว่าไม่ได้มันต้องหาเงินแล้ว ทำไงค้าขายจัดเรือสำเภาไปค้าถึงเมืองจีนเอาของเมืองไทยไปขายแล้วก็ไปซื้อของเมืองจีนกลับมาขายเมืองไทย ไอ้ตุ๊กตาหินอะไรต่างๆที่ยืนอยู่ตามในวังในโบสถ์วัดต่างๆมาในรัชกาลที่ ๓ ทั้งนั้น บรรทุกมาอัดเรือให้มันหนักๆมาหน่อยเอามาวางไว้โดยเฉพาะวัดราชโอรสที่บางขุนเทียน วัดนั้นท่านสร้างเองชื่อวัดราชโอรสสร้างขึ้นแล้วก็มีตุ๊กตาหินงามงามมากแต่ขโมยไปหลายแล้ว ทั้งๆที่วัดก็ป้องกันเต็มที่นะ ขโมยมันยังแอบเอาไปได้ลักไปหลายตัว ที่นี้เอามาไว้แล้วท่านก็หาเงินเข้าพระคลัง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าตรัสว่า โอ้ เรื่องเงินเรื่องทองนี่ต้องไปถามเจ้าสัวทับ เพราะว่าเป็นคนค้าขายมีหัวทางเศรษฐกิจ แล้วเมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็ยังทรงทำต่อไป เงินที่ได้นั้นเอามาใส่ถุงแดงถุงผ้าแดงเขาเรียกว่าเงินถุงแดง
ไอ้เงินถุงแดงนี่แหละเป็นเหตุเริ่มต้นของพระคลังข้างที่ ที่ว่าสมบัติส่วนพระมหากษัตริย์มันเกิดตรงนี้ ส่วนเงินถุงแดงนี้ แล้วก็เงินถุงแดงนี้เวลาท่านจะสวรรคตท่านบอกว่าเงินนี้เอาไว้ใช้เมื่อประเทศ ประเทศชาติคับขัน อย่าเอาไปใช้เล่น ใช้เมื่อประเทศชาติคับขันแต่ใครมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็ตามที ก็ขอสักนิด ขอจำนวนหนึ่งขอเอาไปก่อวัดที่สร้างไว้ให้สำเร็จเรียบร้อย คือที่ท่านสร้างไว้เป็นเครื่องหมายของประเทศไทยคือพระปรางค์วัดอรุณนั่นแหละ นั่นแหละที่รัชกาลที่ ๓ เป็นคนสร้าง สร้างในรัชสมัยของท่าน สร้างสวยงามเรียบร้อยเป็นสัญลักษณ์ของเมืองไทย ภาพโฆษณาชวนให้คนมาเที่ยวเมืองไทยก็คือภาพวัดอรุณเป็นที่รู้จักของชาวโลกทั่วไป พอเห็นภาพนี้เขารู้ว่าบางกอกไทยแลนด์ เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย นั่นแหละฝีมือของท่านรัชกาลที่ ๓ แล้วก็คิดจะสร้างให้ใหญ่กว่านั้นอีกก็ไปสร้างที่วัดสระเกศ ภูเขาทอง ฐานมันใหญ่โตไม่สำเร็จเสด็จสวรรคตเสียก่อน ถ้าสำเร็จใหญ่กว่าพระปรางค์วัดอรุณอีก ตั้งตระหง่านอันนี้รัชกาลต่อมาเห็นว่าไม่สำเร็จก็ทำเป็นดีๆเสียเลย แล้วก็เรียกว่าภูเขาทองมาจนบัดนี้ เรียกว่าฐานของรัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างไว้เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนรุ่นหลัง
แล้วถ้าเราไปวัดโพธิ์นี่ จะเห็นหินจารึกเรื่องตำราหมอนวด ตำรายา แล้วก็โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เรื่องวรรณคดีไทย เขียนไว้ในแผ่นหินหมด ติดไว้ตามเสา ตามฝาทั่วไป หอสมุดสาธารณะเป็นหอสมุดที่ปลวกไม่กิน ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้เพราะเป็นหินอ่อน ใครไปแล้วเดินอ่านดูบ้างนะ โดยมากไปดูกันเฉยๆไม่รู้ว่าอะไรมันมีบ้างในวัดนั้น มันของมีค่าเหลือเกิน ห้างขายยาตราใบโพธิ์ที่ร่ำรวยแล้วเอาเงินไปสร้างโรงเรียนประชาบาลหลายจังหวัดนะ รวยเพราะอะไรก็รวยเพราะเอาตำรายานี้มาทำ แล้วก็ตั้งชื่อห้างว่าห้างขายยาตราใบโพธิ์ ยาทุกขนานก็มีใบโพธิ์เป็นเครื่องหมายได้เงินนี้แกก็นึกถึงบุญคุณของวัดโพธิ์ แล้วก็นึกถึงบุญคุณพระศาสนา แกก็บริจาคทำบุญสุนทาน สร้างโรงเรียน สร้างอะไร มัธยมตั้งตรงจิตร สร้างโรงพยาบาลก็มีนายประยงค์ ตั้งตรงจิตแกทำอย่างนั้นเพราะอาศัยตำรานั้น
วัดโพธิ์นั้นเป็นหอสมุดสาธารณะ เป็นที่น่าดูน่าชมแต่ว่าคนไม่ค่อยจะรู้จักดูเท่าไหร่ไม่รู้คุณค่าของสิ่งนั้น นั่นแหละเป็นฝีมือของรัชกาลที่ ๓ พระมารดาของรัชกาลที่ ๓ นั้นเป็นชาวเมืองนนทบุรีดังนั้นท่านจึงได้สร้างวัดเฉลิมพระเกียรติ วัดเฉลิมพระเกียรตินั้นท่านสร้างเพื่ออุทิศแก่คุณแม่ของท่าน ชื่อว่าวัดเฉลิมพระเกียรติ ก็คุณแม่เป็นชาวสวนที่นี่ ท่านจึงได้สร้างวัดที่นั้นขึ้นเพื่อเจ้าจอมเรียม แม่ของท่านชื่อเจ้าจอมมารดาเรียม ต่อมาก็เป็นสมเด็จพระศรีสุราลัย ในรัชกาลที่ ๓ ทำประโยชน์ไว้เยอะ ก็เลยสร้างพระปรางค์ไว้อันชื่อพระปรางค์พระนั่งเกล้าเพื่อเป็นที่ระลึกแก่รัชกาลที่ ๓ ท่านทำประโยชน์พอสมควรมากทีเดียว
มารัชกาลที่ ๔ ก็ปกครองบ้านเมืองโดยธรรมในยุคสมัยที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อฝรั่งกำลังจะมาเอาเมืองไทยเป็นเมืองขึ้นแล้วก็เอาประเทศมาเลเซียไป เอาพม่าไป เอาญวนไป เอาเขมรไป เอาลาวไป เอาทีละน้อยๆ เผลอๆเอาจนหมดนั่นแหละ เมืองไทยเขาก็มองด้วยตาที่เป็นมันอยู่ น้ำลายไหลฝรั่งน้ำลายไหลอยากได้ประเทศไทยไป แต่อังกฤษก็จะเอา ฝรั่งเศสก็จะเอาเหมือนกัน เอ้า มันจะแบ่งกันแล้วเอาเส้นน้ำเจ้าพระยา เป็นศูนย์กลางเป็นเส้นเขตแดนแบ่งคนละซีก แต่ว่าพระเจ้าแผ่นดินของเราฉลาดรู้จักผ่อนผันสั้นยาว ฝรั่งจะมาเมืองไทยเหรอ เอ้ามาทำอะไร มาค้าขายเชิญตามสบาย อันนี้เป็นน้ำใจจากธรรมะของพระพุทธศาสนาที่สอนว่าให้รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้เวลา รู้บุคคล รู้ประชุมชน เขาเรียกว่า สัปปุริสธรรม ๗ ธรรมะของคนดีมันมี ๗ อย่าง รู้เหตุ รู้ผล รู้ตนคือรู้จักตัวเอง รู้ประมาณ รู้เวลา รู้บุคคล รู้ประชุมชน ในหลวงท่านเอาไปใช้ ท่านรู้ว่าตัวเองคือประทีปไทยมีฐานะอย่างไร การเงินเป็นอย่างไร ประชาชนเป็นอย่างไร ทหารมีสักเท่าไหร่ อาวุธยุทธโทปกรณ์มีสักเท่าไหร่ แล้วฝรั่งนี่เขามีปืนสมัยใหม่แล้ว แล้วเขาเก่งกว่าเรา แต่เราจะไปสู้รบปรบมือแข็งข้อกับเขาก็ไม่ได้เรื่องอะไร ก็เอาลักษณะคนใจช้าง เป็นธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับให้อยู่กินตามมีตามเกิด เพลินเพลิดกายากว่าจะกลับ ใช่ไหม หลักของคนไทย ยิ้มรับฝรั่งเข้ามาโอ้ต้อนรับได้ดี ต้องการอะไร ต้องการมาค้าขาย เชิญตามสบาย ใครใคร่ค้าช้างค้า ใครใคร่ค้าม้าค้า ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงจารึกไว้ในแผ่นหิน แล้วก็ไม่เอาภาษี เอาเหมือนกันเอานิดหน่อย ร้อยชักสามไม่มากมายอะไร ไม่ถึงกับเดือดร้อน ฝรั่งก็สบาย
ผิดกับประเทศพม่าบ้านใกล้เรือนเคียงของเรา พม่าเขามีความผยองพอสมควร เออะ ฉันเก่ง รบชนะไทยเก่ง นึกว่าเก่งฝรั่งมานึกว่าจะสู้กับฝรั่ง มวยคนละชั้นเลยก็ถูกยึดเป็นทีละซุ้ม ทีละซุ้ม ทีละซุ้มยึดเข้าไปเรื่อยๆ ก็หมดถึงเมืองมัณฑะเลย์ เอาทั้งประเทศขจัดธีบอกับพระนางสุภายาลัดองค์สุดท้ายครองเมืองมัณฑะเลย์ อังกฤษก็ต่อเรือลำหนึ่งสวยงามเรียบร้อยเอาไปจอดท่าน้ำหน้าเมืองมัณฑะเลย์ เชิญพระเจ้าแผ่นดินและพระนางสุภายาลัดล่องเรือไปเที่ยวพาเลยไปถึงอินเดียและไม่ให้กลับบ้านเลย เรียบร้อย หลอกให้ไปเที่ยวแล้วเอาไปกักไม่ได้กลับบ้านกลับเมืองต่อไป หมดวงค์กษัตริย์ พม่าไม่มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นปัญหามาก ดูเหตุการณ์เมื่อเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้นักศึกษาเรียกร้องรัฐธรรมนูญแบบเมืองไทย แต่ว่าพม่าไม่มีใครพูด คนที่ประชาชนเคารพไม่มีที่พูดแล้วมันหยุดน่ะ มันไม่มี ประธานาธิบดีคนไม่ชอบแล้วจะไปพูดได้อย่างไร พระสงฆ์องค์เจ้าก็พูดไม่ได้ บ้างก็ไปร่วมวงกับเขาด้วย จีวรปลิวไปเหมือนกัน เลยไม่มีใครจะพูดได้ก็ฉิบหายไปหมด มันเสียหายเอามาเปรียบกับเมืองไทย เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นในหลวงออกโทรทัศน์ สมเด็จพระราชชนนีออกโทรทัศน์ หยุดสงบเรียบร้อยไม่มีปัญหา นิดๆหน่อยๆ ความคะนองของเด็กๆทุบกระจก จราจรบ้างอะไรบ้าง เดินเจออะไรก็ทุบไปเล่นๆ คะนองนิดๆหน่อยๆ ไม่ถึงกับเสียหายมากมาย นี่เพราะอะไรวันมหาวิปโยคกลายเป็นวันมหาปิติ เป็นวันแห่งความสบายใจเพราะในหลวงองค์เดียว พระวาจาที่พูดออกมาทางโทรทัศน์นั้นเหมือนกับน้ำเย็นที่ไหลลงมาความร้อนหายไป ความวุ่นวายหายไปเกิดความเย็นเกิดความสงบขึ้นทันทีนี่คือผลของการมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นประมุขไป
ในการเปลี่ยนการปกครองนี่ คณะราษฎร ๒๔ มิถุนาเขาคิดมากกว่านั้น คิดว่าจะเป็นรีพับพิค เป็นประชาธิปไตยแบบฝรั่งเศสไม่มีพระมหากษัตริย์ เป็นไปไม่ได้พวกปรีดีบอกไม่ได้ต้องปกครองแบบอังกฤษ มีพระมหากษัตริย์ ก็เลยมีไว้ ดีนักหนาที่มีไว้ ถ้าไม่มียุ่งกันใหญ่ เจดีย์ไม่มียอด คนไม่มีหัว มีตัวแต่หัวไม่มีจะอยู่ได้อย่างไรพระเจ้าแผ่นดินเป็นศรีศักดิ์ เป็นยอดเจดีย์ เป็นฉัตรเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของบ้านเมืองที่ทำให้เราอยู่เย็นเป็นสุข นี่แหละเป็นสิ่งที่น่าคิด คนสมัยใหม่บางทีก็คิดเฉยๆมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมานั่งคุยๆก็ว่าเมืองไทยไม่มีพระเจ้าแผ่นดินก็ได้นะ ทำไมเธอคิดอย่างนั้นละทำไมเธอคิดอย่างนั้น ก็ผมคิดอย่างนั้น พวกเด็กหนุ่มๆเขาคิดอย่างนั้น บอกว่าเธอรู้ไหมว่าพระเจ้าแผ่นดินทำอะไรบ้าง เล่าให้ฟังมันพูดแต่ว่าในหลวงไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ไม่เห็นทำอะไร อ้าว ไม่ได้ไปเที่ยว ในหลวงไม่ได้ไปเที่ยว ในหลวงไปไหนไม่ได้ไปเที่ยว ไปเชียงใหม่ไม่ได้ไปเที่ยว ท่านไปดูว่าชาวเขาที่มันทำอะไร อยู่กันอย่างไรมันทำให้บ้านเมืองเสียหายอย่างไรจะแก้ไขอย่างไร เลยไปพัฒนาชาวเขาเพื่อชาวเรา ชาวเขามันอยู่ในที่สูง มันก็ทำอะไรมันก็ไหลมาหาเราทั้งนั้นแหละ น้ำแห้งน้ำท่วมก็เพราะพวกนี้แหละ แล้วถ้าไม่ไปจัดการกับพวกนี้แล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร
ในหลวงท่านก็ไปคลุกคลีกับชาวเขาทำให้ชาวเขารักพระองค์ มารักพระองค์แล้วจะขอร้องให้ทำอะไรมันก็ง่ายคนเรารักกันพูดกันง่ายถ้ามันเกลียดกันแล้วพูดจนตายมันก็ไม่ยอมทำกัน ต้องทำให้รักก่อนผูกไมตรี ในหลวงก็ไปผูกไมตรีกับคนเหล่านั้นเอาของไปให้ไปเยี่ยมไปเยือน อีกครั้งหนึ่งไปเยี่ยมไปที่แม่จันแล้วก็ขึ้นไปบนดอย ไปบ้านพวกอีก้อขึ้นไปนั่งบนบ้านเขา เขาก็คุยเนี่ยในหลวงมานั่งตรงนี้ ไหนเก้าอี้เตี้ยๆตัวนี้ นั่งตรงนี้ นั่งซดน้ำชาถ้วยนี้ในหลวงเคยดื่มน้ำชา ซดน้ำชา เคยกินน้ำชาแล้วในหลวงไหนล่ะ แกล้งถาม ในหลวงบางกอก บ่รู้จักก่ะ มันหาว่าเราไม่รู้จักในหลวงเสียอีก ไอ้คนเจ้าของบอกบ่รู้จักในหลวงหรือ รู้จักสิในหลวงบางกอก นึกว่าในหลวงอื่น โห แล้วนี่วัวใคร วัวไผ เว้าว่าวัวในหลวง เว้าว่าทำไมเอามาฮื้อหมู่เฮา …… (42.43 เสียงไม่ชัดเจน) ให้ช่วยเลี้ยงวัวพวกนี้ตุ้ยๆทั้งนั้น สมบูรณ์ตัวอ้วนๆ พวกนั้นช่วยกันรักษาดูแลของในหลวง พวกนั้นมันรักในหลวงก็เป็นเกราะป้องกันภัย ใครจะมาจูงไปไหนมันไม่ไป มันรักในหลวงไปไม่ได้ แล้วก็ไปทำให้พวกนั้นไม่ต้องถางป่า ทำไร่เลื่อนลอย ให้ปลูกพืชเป็นหลักเป็นแหล่ง เอาพืชเมืองหนาวมาให้ปลูก
ที่สถานีการบินเชียงใหม่นะ มีสินค้าจากพวกชาวเขามีอะไรหลายอย่างเอามาขาย ส่งมาขายถึงกรุงเทพฝีมือของในหลวง ราชการทำไม่ได้ไปพัฒนาแบบนั้นไม่ได้ ในหลวงทรงทำได้ทรงไปพักอยู่เชียงใหม่ที่ภูพิงค์ไม่ได้ไปพักนอนสบาย ออกทุกวันไปเขานั้นไปเขานี้ไปเรื่อย ไปเดินขึ้นเขาลงห้วยเห็นภาพไหม สมเด็จพระเทพตามหลังพระราชบิดาต้อยๆต้อยๆไปด้วยกันไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากลับมาค่ำทุกวันๆ ทรงทำงาน ไปภาคอีสานก็ไปทำงาน ไปภาคใต้ก็ไปทำงานพวกปัตตานี ยะลา นราธิวาสเขาเรียกในหลวงอย่างไรมาก่อน เขาเรียกว่ารายอซะแย แปลว่าพระเจ้าแผ่นดินสยามเรียกว่าพระเจ้าแผ่นดินสยามไม่ใช่ของพวกเขา แต่ในหลวงไปช่วยไปทำให้เขารักแล้วที่นี้เขาเปลี่ยนแล้วเขาเรียกว่ารายอกีตอ แปลว่าพระเจ้าแผ่นดินของเราแทน แปลว่าพระเจ้าแผ่นดินของเรา
เหมือนกับวัดวาอารามนี้ถ้าใครว่าวัดเราแล้วมันค่อยชื่นใจหน่อย แต่ว่าพอพูดไม่มีใครพูดว่าวัดเราสักคนเดียวเลยชาวบ้านยังไม่เสื่อมใส นี่โยมมาวัดชลประทานก็เรียกว่าวัดชลประทานว่าวัดเรา ชลประทานมันวัดเราค่อยชื่นใจหน่อย วัดเราเราก็เชื่อได้เต็มที่ (44.43 เสียงไม่ชัดเจน) แต่อย่างนี้ในหลวงของเรา พระเจ้าแผ่นดินของเราเปลี่ยนไปเพราะอะไรก็ทรงไปคุ้นเคยกับเขาให้ พอเสวยอาหารกลางวันเสร็จไม่บอกใครว่าจะไปไหน ในหลวงไม่บอกไปเลย ขับรถทีไปโน่น เลี้ยวโน่นเลี้ยวนี่ ผ่านบ้านไหนก็แวะขึ้นไปคุยบนบ้าน พวกนั้นตกใจไม่ให้รักในหลวงอย่างไรแล้วในหลวงพูดกับเขาไม่รู้เรื่องโอ้ไม่ได้ต้องเรียนรู้หนังสือไทยแล้วไว้คุยกับในหลวง พวกนั้นเรียนกันใหญ่ เรียนหนังสือไทยไว้คุยกับในหลวง แล้วในหลวงสั่งให้ทำอะไรก็ทำ พระราชินีก็ให้ปลูกต้นลิเภา เพื่อเอาเถามันมาทำกระเป๋าขายฝรั่งก็ปลูกทั่วทุกหนทุกแห่งข้าราชการสั่งมันไม่ทำ ย่านลิเภากระเป๋าลิเภา ในหลวงสมเด็จสั่งให้ทำแล้วในหลวงบอกให้ทำอะไรมันทำ อย่างนั้นนะคนมันรักนะ แล้วก็เสด็จไปทุกหนทุกแห่ง ที่ไหนที่ไหนไปเรื่อยไป ถ้าไปเห็นสวนใครที่ไหนสะอาดแวะเข้าไปเลยไปคุยกับเจ้าของสวนเขาก็ชื่นใจเป็นอย่านั้น ทรงเป็นกันเองกับประชาชน เข้าถึงคนคนก็สบายใจไม่ว่าที่ไหนก็ไปไม่ได้พักผ่อน
อยู่ไปหัวหินไม่ได้ไปเดินเล่นชายหาดเหมือนคนอื่นเขา ท่านไปอยู่หัวหินก็เข้าไปในป่าจังหวัดเพชรบุรี จังหวัดกาญจนบุรีไปพบกับพวกกระเหรี่ยง กระเหรี่ยงนี่เป็นปัญหานะเพราะกระเหรี่ยงเมืองพม่าแข็งข้อต่อรัฐบาลพม่ามันก็พูดกับกระเหรี่ยงเมืองไทยได้ มันมายุมาแหย่แล้วมันได้เรื่องยุ่งละ แล้วในหลวงป้องกันไม่ให้กระเหรี่ยงเป็นพิษกับประเทศไทยก็ไปผูกมิตรกับคนเหล่านั้นไปช่วยเหลือเอาข้าวไปแจก เอายาไปแจก ไปพบกันบ่อยๆพวกหัวหน้ามันก็รักในหลวง ไอ้หัวหน้ารักลูกน้องมันก็รักด้วยนะ แล้วใครจะมาพูดว่าไม่ได้ๆเราอยู่กับในหลวงเขาไปไม่ได้มันก็ป้องกัน ทรงป้องกันประเทศชาติบ้านเมืองโดยธรรม ประพฤติธรรมแล้วก็อะไรก็สำเร็จเรียบร้อยทำแบบนิ่มนวล
ในหลวงท่านทำแบบนุ่มนวลไปไหนก็ไป ในหลวงไปพระราชินีไป สมเด็จพระเทพไปเอาไปคนละด้านคนละมุม สมเด็จพระเทพนะทำไปด้านหนึ่ง เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ก็มุ่งไปรื่องวิทยาศาสตร์คิดค้นเรื่องหยวกเรื่องยาที่จะสร้างตึกใหญ่ นั่งรถไปเห็นเลยสถานีหลักสี่ไปหน่อย ตึก๕ ชั้น ห้าแล้วคงจะต่อไปอีกคงจะสูง ท่านว่าสถาบันจุฬาภรณ์ท่านไปติดต่อกับต่างประเทศแล้วก็สร้างสถาบันขึ้นเอาฝรั่งมาคิดช่วยคิดช่วยค้นทำหยูกทำยารักษาโรคเมืองไทย ช่วยป้องกันโรคเอสด์ด้วยหลายเรื่องหลายอย่างนะ ทางโน้นไปทางนั้นทำงานไปอย่างหนึ่งเจ้าฟ้าหญิงก็ทำไป เจ้าฟ้าชายก็ทำไปเดี๋ยวนี้เจ้าฟ้าชายก็น่ารักขึ้นโขแล้ว แล้วก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน ทรงทำอะไรมากมายหลายเรื่องหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ขึ้นมันดีขึ้น คนเรามันมีลูกมีเต้าแล้วมันก็คิดได้เอง ไม่เหมือนหนุ่มๆหนุ่มคะนองไม่ค่อยคิดอะไร เดี๋ยวนี้เป็นผู้ใหญ่แล้วมีลูกมีเต้าก็คิดอะไรๆโดยรู้อะไรดีขึ้นก็เข้าถึงประชาชนไปทำไร่ทำนาเกี่ยวข้าว หว่านข้าวเมืองสุพรรณอะไรต่ออะไรทำไปเรื่อยดีทั้งนั้นที่เป็นประโยชน์
เรามีมงกุฏไว้สวมหัวมันดีหน่อยดีกว่าหัวโล้นๆในหลวงเป็นเหมือนมงกุฏเพชรที่สวมอยู่บนหัวของพวกเราทั้งหลาย เราจึงได้อยู่สุขสบายอันนี้วันที่ ๕ นี่เป็นวันสำคัญของในหลวงก็เป็นวันสำคัญของชาติเราควรจะทำอะไรวันที่ ๕ ควรจะได้ทำอะไรเป็นพิเศษเช่นว่าถือศีลงดเว้นความชั่ว ความร้าย ญาติโยมที่มาวัดนี่ไม่มีอะไรแล้วดีอยู่แล้ว แต่ว่ามีอะไรที่เราจะทำให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ในวันนั้นทำเท่าที่สามารถจะกระทำได้ ตามสมควรแก่ความสามารถของเราโดยจะมาวัด มาฟังธรรม มารักษาศีล มาเจริญภาวนาอะไรก็ได้ ถ้าวันที่ ๕ นี้ก็มาที่วัดนี้ก็ได้ มาก็ฟังธรรมกันตามปกติตอนเช้า แล้วก็อยู่วัดเจริญภาวนาอะไรไปตามเรื่อง จะได้ช่วยกันพระธรรมกายในวันที่ ๕ เขาไม่ฉันอาหารเรียกว่าถวายแด่ในหลวงมาบิณฑบาตเหมือนกันแต่ว่าไม่ฉัน บิณฑบาตได้แล้วก็ให้รถมารับแจกพวกเด็กง่อยเด็กตาบอดเด็กพิการ บอกเอาไปเลยพระไม่ฉันในวันนั้นไม่ฉัน โยมมาใส่บาตรก็ได้ไม่ว่าอะไรก็ไม่ฉันเอายกไปให้เขา ทำบุญพระไม่มีอะไรจะทำ ก็ทำบุญด้วยสิ่งที่โยมให้ คือไม่ฉันอาหารเสียหนึ่งวันเป็นการอุทิศต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อเป็นการทำดีตอบแทนพระองค์ท่าน วันอื่นก็ฉันปกติคือฉันวันละมื้อต่อไปแล้วก็วันที่ ๕ นี่ก็เป็นวันสุดท้ายของการปฏิบัติเข้ากรรมฐานสิบวันนี่จบพอดี
ตอนนั้นก็ไปศึกษาวิชาการตอนเช้าตอนบ่ายกลางคืนว่างก็ไปจนกว่าจะครบหนึ่งเดือนแล้วก็เดินทางไปอุบลราชธานีเพื่อไปอบรม ไปสอนคนทดสอบเรียนมาแล้วก็ไปปฏิบัติ ไปสอนกันต่อไปทำมาอย่างนี้ ๘ ปีนี่ปีที่ ๙ ทำมาเป็นปีที่ ๙ แล้วก็จะทำต่อไปเรื่อยๆช่วยปลุกพระให้ตื่นให้ลุกขึ้น ให้ออกไปนอกวัด ช่วยทำงานตามหน้าที่ของพระต่อไปจะเป็นประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมืองต่อไป ตามที่ได้กล่าวมาในวันนี้ก็เหมือนกับว่าการกล่าวสุดดีพระคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทั้งหลายเพราะว่าเป็นผู้ที่เรารัก เราเคารพ เราบูชา เป็นที่พึ่งของคนไทยทุกทั่วหน้าก็พอสมควรแก่เวลา
ในที่สุดนี้ก็ขออำนาจบุญกุศลที่เราทั้งหลายได้ปฏิบัติบูชาในเรื่องอะไรต่างๆ เรื่องทานเรื่องศีล เรื่องภาวนา หรือกุศลใดๆขอบุญกุศลนี้จงคุ้มครองรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงมีพลานามัยสมบูรณ์ปราศจากโรคา พยาธิ มีพระชนม์มายุยืนนานเพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่ชาวไทยต่อไปตลอดกาลนานเทิญ (เสียงรับ สาธุ) อ้าว ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที อ้าวหนูทุกคนนั่งสงบใจ นั่งตัวตรง นั่งตัวตรง ทุกคนนั่งตัวตรงเอามือวางบนตักหลับตา ตั้งใจว่า ๕ นาทีนี้จะไม่เคลื่อนไหว นั่งนิ่งหลับตาเสีย อย่าดูใครดูตัวเอง ดูลมหายใจเข้าออกกำหนดลมหายใจเข้า หายใจเข้ากำหนดรู้ หายใจออกกำหนดรู้ ให้จิตอยู่ที่ลมเข้าลมออกฝึกสมาธิ ๕ นาทีทุกคนนั่งนิ่ง อย่าโยกเยกอย่าเที่ยวมองคนนั้นคนนี้นั่งเรียบร้อย เริ่มได้