แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พี่น้องชาวไทยที่รักทั้งหลาย เมื่อใกล้จะสิ้นปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เราได้กระทำกิจอย่างหนึ่งเป็นประจำ คือการส่งความสุขปีใหม่ให้แก่กันและกัน เรียกว่า ส.ค.ส. เรื่องการส่งความสุขปีใหม่ให้แก่กันและกันนี้ มีการกระทำกันทั่วโลก เพราะฉะนั้นบริษัทการค้าต่าง ๆ จึงมักจะพิมพ์บัตร ส.ค.ส. ไว้ล่วงหน้า สวย ๆ งาม ๆ ราคาก็มีขนาดตามลำดับของภาพเหล่านั้น บางภาพก็มีราคาถึงสามร้อยก็มี ส่งมาจากต่างประเทศ คนไทยเราได้เคยส่งบัตร ส.ค.ส. แก่กันและกัน ในบัตร ส.ค.ส. ที่เราส่งให้แก่กันและกันนั้น ก็มีข้อความไม่มากมายอะไร เช่นว่า ในวาระดิถีปีใหม่ ขอคุณอำนาจพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงดลบันดาลให้ท่านมีความสุข ความเจริญตลอดปี เซ็นชื่อ แล้วก็ส่งไปให้คนที่เรารู้จัก คนที่รู้จักก็ได้รับ ส.ค.ส. อ่านแล้วก็มีความปลื้มใจนิดหน่อย คือปลื้มใจว่าคนนั้นยังคิดถึงเราอยู่ เขาไม่ละเลยในการที่จะส่งความสุขมาให้แก่กันและกัน แต่ก็มีปัญหาว่าความสุขที่เพื่อนส่งมาให้นั้น มันจะเป็นความสุขถาวร หรือว่าเป็นความสุขเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว คือได้รับแล้วก็สบายใจ สบายใจเพียงนิดหน่อย ต่อจากนั้นก็ไม่มีอะไร แล้วก็ส่งต่อไปให้แก่คนนั้นบ้าง คนที่หนักที่สุดในเวลาใกล้ปีใหม่นี้ก็คือ บุรุษไปรษณีย์ เพราะบุรุษไปรษณีย์ต้องทำงานหนักในการส่ง ส.ค.ส. ให้แก่กันและกัน แทนที่จะมีความสบายใจ กลับมีความทุกข์ ต้อง (02.22 เสียงขาดหายไป) เป็นภาระใหญ่ คนส่งสบายใจ คนรับก็สบายใจ สบายใจเพียงนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง
องค์การสหประชาชาติ ซึ่งเป็นองค์การของโลก ก็ได้ดำริทำ ส.ค.ส. เหมือนกัน โดยเฉพาะองค์การ (02.35 ไม่ยืนยันคำย่อ) หรือว่าองค์การสงเคราะห์แม่และเด็ก เขาก็ทำ ส.ค.ส. โฆษณาให้คนซื้อ ส.ค.ส. อย่างนั้น เพื่อเอาเงินไปช่วยเหลือแม่และเด็กต่อ ในโลกทั่ว ๆ ไป อันนี้เป็นการกระทำที่ชอบที่ควร เป็นการถูกต้อง เพราะว่าเราได้เสียสละปัจจัยเพื่อเอาไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ด้วยการซื้อบัตร ส.ค.ส. เอาไปส่งให้แก่กันและกัน แต่บัตร ส.ค.ส. นั้นก็ไม่มีข้อความอะไรพิสดาร เหมือน ๆ กับที่เขาพิมพ์ไว้ทั่ว ๆ ไป ถ้าในรูปภาษาไทยก็แต่งเป็นฉันท์ เป็นโคลง เป็นกลอน อะไรต่าง ๆ รวมความก็อ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ช่วยดลบันดาลให้ท่านมีความสุขความสบาย เรามาลองคิดดูกันสักเล็กน้อย ว่าคำอ้างนั้นจะทำให้เราสุขสบายจริงหรือไม่ เช่น อ้างว่าขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงดลบันดาลให้ท่านมีความสุขตลอดปี แล้วเราจะมีความสุขขึ้นได้อย่างไร เพียงสักแต่ว่าคำขอร้องอย่างนั้น เพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร ๆ ในโลกนี้ที่มีอยู่ทั้งหมดนั้น ไม่สามารถจะทำให้ใครเป็นอะไรได้ ไม่สามารถจะทำให้ใครเป็นทุกข์หรือทำให้ใครเป็นสุข หรือทำให้ใครยากจน หรือทำให้ใครมั่งมีขึ้นมาได้ สิ่งที่จะทำให้เราเป็นนั้นคืออะไร นี่เป็นเรื่องที่ควรจะได้พิจารณาศึกษา
ในวาระสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คือเราต้องมาศึกษาเรื่องที่ถูกต้องตามความเป็นจริง เรื่องที่ถูกต้องตามความเป็นจริงนั้น มีปรากฎอยู่ในพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราทั้งหลายที่นับถือพระพุทธศาสนาควรศึกษาเรื่องนี้ และทำความเข้าใจให้เป็นการถูกต้อง ว่าความสุข ความทุกข์ ความเสื่อม ความเจริญที่จะเกิดขึ้นแก่ชีวิตของใครนั้น มันเกิดมาจากอะไร เกิดจากอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้เป็นอย่างนั้นหรือ ถ้าหากว่าเรามีความเชื่ออย่างนั้น คนเราก็ไม่ต้องทำอะไร เพียงแต่ว่าตื่นแต่เช้าก็จุดธูปจุดเทียนบูชาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย แล้วเราก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เมื่อขอเสร็จแล้วก็มานอนอยู่ที่บ้าน นอนรอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะนำมาให้ แล้วมันจะได้ไหม ลองคิดดูสักหน่อย ถ้าคิดแล้วก็จะเห็นว่ามันไม่ได้อะไร เพราะว่าไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนจะนำอะไรมาให้แก่ใครได้ สิ่งทั้งหลายจะเกิดขึ้นแก่ใครได้นั้น ก็ต้องเกิดขึ้นจากการกระทำของตนเอง กระทำด้วยการคิด ด้วยการพูด ด้วยการทำทางกายในเรื่องอะไรต่าง ๆ เช่น เราอยากได้ทรัพย์สมบัติ แล้วเราไปขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเรานี้ เราจะได้อย่างไร เราต้องทำงานเพื่อหาเงิน เมื่อทำงานก็ได้มีปัจจัยเครื่องตอบแทน คือเงิน เมื่อได้เงินมาแล้วเราก็เอาเงินนั้นไปจับจ่ายใช้สอยในเรื่องอะไร ๆ ต่าง ๆ กันต่อไป ความสุขมันก็เกิดขึ้นเพราะได้ปัจจัยเครื่องยังชีพ สิ่งที่เราได้นั้นมาจากอะไร ก็มาจากการกระทำของเรา พระพุทธศาสนาสอนให้เราเชื่อเรื่องการกระทำ เรียกตามภาษาเทคนิคธรรมะ ว่าเชื่อ “กรรม” นั่นเอง คำว่า กรรม แปลว่า การกระทำ ถ้าเราทำนั้นต้องทำเพราะ ๓ อย่าง คือ ด้วยการคิด ด้วยการพูด ด้วยการกระทำ การคิดมีเป็นฐานเบื้องต้น แล้วก็พูด แล้วก็ทำ ถ้าพูด ทำ โดยไม่มีจิตเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือไม่มีความคิดเข้าไปเกี่ยวข้อง เรียกตามภาษาธรรมะว่าไม่มีเจตนา เมื่อไม่มีเจตนาก็ไม่เป็นกรรม เมื่อไม่เป็นกรรม ก็ไม่มีผลแห่งกรรม เพราะผลแห่งกรรมจะเกิดขึ้นก็เพราะมีเจตนา แล้วทำกรรม เมื่อทำกรรมก็เกิดวิบาก คือผลขึ้นมา จึงเป็นวงกลมได้ว่ากิเลส ซึ่งเกิดขึ้นในใจคือความอยากที่จะทำ แล้วเราก็ทำกรรม แล้วมีผลแห่งกรรม กิเลส กรรม วิบาก กิเลส กรรม วิบาก มันเป็นวงกลมอยู่ตลอดเวลาครบวงจร เพราะฉะนั้น อะไร ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราแต่ละคนนั้น มันต้องเกิดขึ้นจากการกระทำของเราเอง ความสุขก็เกิดขึ้นเพราะเราคิด พุด ทำ ให้เป็นสุข ความทุกข์เกิดก็เพราะเราคิด พูด ทำ ให้มันเป็นความทุกข์ ความยากจนก็เพราะคิด พูด ทำ ให้ยากจน ความมั่งมีก็เพราะว่าเราคิด พูด ทำ ให้เกิดความมั่งมี เราเป็นที่รักเป็นที่พอใจของคนอื่น ก็เพราะเราคิด พูด ทำ ให้เขารัก เราเป็นที่เกลียดชังของคนอื่น ก็เพราะเราคิด พูด ทำ ให้เขาเกลียด อะไร ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น มันเกิดขึ้นจากการกระทำของตนเอง ไม่มีใครจะดลบันดาลให้เราเป็นอะไรได้
คำว่า “ดลบันดาล” นี้เราไม่มีใช้ในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้เราเข้าใจว่าอะไรทุกอย่างเกิดขึ้นจากกรรมที่ตนได้กระทำไว้ ทำในเวลาที่ล่วงแล้วบ้าง ในปัจจุบันบ้าง หรือเราจะทำต่อไปในอนาคตบ้าง กรรมก่อให้เกิดผลเป็นดีบ้าง ชั่วบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ปนกันไป มันขึ้นอยู่กับการกระทำ เมื่อขึ้นอยู่กับการกระทำเช่นนี้ การส่ง ส.ค.ส. ให้แก่กันและกันนั้น ควรจะได้มีการพัฒนา คือทำให้เป็นประโยชน์มากขึ้น การกระทำให้เป็นประโยชน์มากขึ้นนั้นก็คือการส่งสิ่งซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจให้เขาได้คิด ได้พูด ได้ทำ ในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วเขาก็คิด พูด ทำด้วยตัวของเขาเอง หนังสือที่เราส่งไปเป็น ส.ค.ส. นั่นแหละ เป็นการกระทำที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่เมื่อเราส่งไปแล้วเขาได้อ่าน ได้ศึกษา ได้ทำความเข้าใจ แล้วเขาก็มีการปฏิบัติ ตามสิ่งที่เขาเข้าใจนั้น ตัวการปฏิบัตินั่นแหละจะก่อให้เกิดอะไรขึ้นแก่บุคคลนั้น หนังสือที่เราส่งไปให้แบบ ส.ค.ส. ของวัดชลประทานรังสฤษฏ์นี้ เป็นหนังสือชี้แนะแนวทางชีวิตให้คนได้คิดถูกต้อง ได้พูดถูกต้อง ได้กระทำถูกต้อง ได้คบหาสมาคมที่ถูกต้อง ได้ไปสู่สถานที่ที่มันถูกต้อง แล้วความสุขก็เกิดตามมา เรื่องนี้จะรู้ได้จากหนังสือที่ส่งเป็น ส.ค.ส. การทำหนังสือธรรมะ ส่งเป็น ส.ค.ส. นี้ได้ทำมาก็หลายปีแล้ว ปีแรก ๆ ก็พิมพ์น้อย ๆ แล้วต่อมาก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น เพราะมีคนนิยมมากขึ้น เวลานี้พิมพ์ขึ้นไปถึงสองแสนเล่ม เพราะมีคนต้องการมาก บางปีก็ช้าไปหน่อย แต่ว่าปีนี้จะไม่ช้า เพราะรีบพูดอัดเสียงเพื่อให้ออกมาเป็นข้อความ แล้วก็ถอดออกมาเป็นตัวหนังสือพิมพ์แจกแก่ท่านทั้งหลาย ทำหน้าปกให้ สวย ๆ งาม ๆ หน่อย ให้เป็นเครื่องล่อใจภายนอก เหมือนกับแต่งหน้าต่างร้านให้มันสวย ๆ คนอยากจะเข้าไปดูในร้าน แต่ว่าที่สำคัญมันอยู่ในเล่มของหนังสือที่เราจะต้องอ่าน ต้องศึกษา
เรามีเพื่อนฝูงมิตรสหายส่งหนังสือไปให้เขา ส่งธรรมะไปให้เขา พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัพพะ ทานัง ธัมมะ ทานัง ชินาติ การให้ทานธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง ให้อะไร ๆ ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะ เพราะฉะนั้นในวาระดิถีปีใหม่นี้ เราควรจะได้ส่งธรรมะไปให้แก่เขา คนที่ได้รับหนังสือธรรมะก็มีความชื่นใจ ชื่นใจเพียงเห็นหน้าปกก็ชื่นใจแล้ว ถ้าเปิดอ่านก็จะชื่นใจมากขึ้น และเมื่อนำไปปฏิบัติก็จะมีความชื่นใจมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น เราจึงควรส่งสิ่งอันจะเป็นเหตุให้เขามีความสุขนาน ๆ อย่าส่งสิ่งที่ให้เขามีความสุขประเดี๋ยวประด๋าวแล้วมันก็หายไป เป็นความสุขที่ไม่ถาวร ความสุขที่ถาวรนั้นคือความสุขที่เกิดขึ้นอย่างการปฏิบัติธรรมะ การปฏิบัติธรรมะนั่นแหละจะทำให้เราเป็นสุขถาวรอย่างแท้จริง แต่ว่าตัวการปฏิบัติจะไม่เป็นไปด้วยดี ถ้าเราไม่ได้รับการศึกษา เพราะฉะนั้นเราควรจะศึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะด้วยวิธีไปฟังที่วัดก็ได้ อ่านหนังสือก็ได้ ฟังเทปธรรมะก็ได้ สุดแล้วแต่สะดวก สำหรับหนังสือ ส.ค.ส. นั้นก็เป็นธรรมทูตที่จะมาถึงบ้านของท่านทั้งหลาย ส่งมาถึงบ้าน เอาความสุขมาให้แก่ท่านทั้งหลาย ท่านได้รับแล้วก็อย่าเมินเฉย จงอ่านให้เข้าใจ อ่านให้เข้าใจแล้วลงมือปฏิบัติ เมื่อเราปฏิบัติ ผลก็จะเกิดขึ้นแก่เราผู้ปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติเป็นเหตุให้เกิดความสุข ความสงบอันเกิดขึ้นจากตัวธรรมะ พระพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายนั้น ท่านเป็นผู้ชี้ทางไว้ให้แก่เรา แล้วพระองค์ก็บอกตรงไปตรงมาว่า ตถาคต เป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้ การเดินทางเป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลาย อันนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าการปฏิบัติเป็นหน้าที่ของเราเอง พระทั้งหลาย หนังสือทั้งหลาย สิ่งที่ก่อให้เกิดความรู้สึกนึกคิดในธรรมะทั้งหลายนั้น เป็นเครื่องชี้ทางทั้งนั้น เช่น เสียงก็เป็นเครื่องชี้ทาง อ่านหนังสือธรรมะก็อ่านเรื่องทางที่เราจะเดินต่อไป พระพุทธเจ้าท่านสอนสิ่งเหล่านี้ไว้ก็เหมือนว่าบอกทางไว้ให้เราเดิน เหยียบรอยไว้ให้เราเห็น ว่าทางนี้ควรเดิน เดินแล้วปลอดภัย มีความสุข มีความเจริญ เราได้เห็นทางแล้ว เราอย่าได้ชักช้า รีบก้าวเดินไป ตามเส้นทางที่เรารู้เราเห็นนั้น เดินอย่าหยุด เดินตลอดเวลา เดินให้มันสม่ำเสมอ ไม่ใช่เดินเป็นครั้ง ๆ คราว ๆ หรือว่าเดือนหนึ่งเดินเพียงสี่ครั้ง คือในวันพระ มันไม่พอ เราต้องเดินทุกวัน เอาธรรมะมาเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราทุกวันทุกเวลา ทุกนาทีของชีวิต เราก็จะมีความสุข มีความสงบในทางจิตใจได้ ขอให้ญาติโยมได้เข้าใจอย่างนี้
อันการที่จะทำให้เกิดความสุขนั้นมันมีหลายแบบหลายอย่าง โดยเฉพาะในปี ๒๕๓๓ นี้ ใคร่ที่จะชี้ทางให้ท่านมีความสุขด้วยการรักสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกต้อง คือด้วยความรักที่ถูกต้อง คำว่าความรัก เมื่อพูดในภาษาไทยแล้ว คนก็อาจจะตีความหมายไปในทางที่เป็นกิเลสไปก็ได้ เพราะถ้าพูดถึงความรัก เช่นว่า ถ้าผู้ชายรักผู้หญิง ผู้หญิงรักผู้ชาย มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับกามารมณ์ เป็นความรักที่เจือปนด้วยกิเลส เป็นความรักที่มีความเห็นแก่ตัว เช่น ชายหนุ่มรักหญิงสาวก็รักแบบเห็นแก่ตัว คืออยากจะเอามาไว้กับตัว ไว้ดม ไว้ชม ไม่อยากให้หายไปไหน ผู้หญิงรักผู้ชายก็เหมือนกัน รักเพราะเห็นแก่ตัว อยากมีอยากได้ ถ้าไม่ได้ไม่มีก็มันยุ่งกันใหญ่ จิตใจปั่นป่วนรวนเร ไม่มีความสงบสุข อันนั้นมิใช่ความรักที่ถูกต้อง ไม่ใช่ความรักที่จะพูดใน ส.ค.ส. ฉบับนี้ แต่ความรักที่จะพูดถึงในที่นี้ หมายถึง ตัวเมตตา พูดในภาษาบาลีเรียกว่า เมตตา กรุณา เมตตาคือปรารถนาความสุขแก่ผู้อื่น กรุณาคือช่วยให้คนอื่นพ้นไปจากความทุกข์ความเดือดร้อน ตามปกติคนเราก็มีเมตตาประจำใจอยู่ ตัวเหี้ยมโหดดุร้ายมันเกิดมาเป็นครั้งคราว ไม่ได้เกิดบ่อย ๆ แต่ว่าตัวเมตตานั้นมีอยู่เป็นประจำในใจของเรา เราจึงไม่ฆ่าใคร ไม่ทำร้ายใคร ไม่ลักของใคร ไม่ประพฤติผิดในทางกามารมณ์เพื่อทำให้คนอื่นได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ไม่พูดคำโกหก คำหยาบ คำเหลวไหล หรือคำที่ทำคนให้แตกจากกัน เราไม่เสพสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท แล้วมันทำให้เสียสติ เสียสตางค์ด้วย เสียสติด้วย แล้วเมื่อเมาแล้วก็สร้างปัญหาให้แก่ครอบครัว พ่อบ้านเมาก็สร้างปัญหาให้แก่แม่บ้านและลูก แม่บ้านเมาก็สร้างปัญหาให้แก่พ่อบ้านและลูกเช่นเดียวกัน สิ่งที่เป็นความเมานั้นมันเกิดเพราะใจขาดเมตตา ไม่ปรารถนาดีต่อผู้ที่อยู่ร่วมกัน เช่น พ่อบ้านเมาก็ไม่ปรารถนาดีต่อแม่บ้านและลูก แม่เมาก็ไม่ปรารถนาดีต่อพ่อบ้านและลูก ไม่ปรารถนาดีต่อเพื่อนบ้าน เป็นผู้ไร้เมตตาธรรม ไม่มีจิตประกอบด้วยความเมตตา และที่ร้ายที่สุดก็คือว่าไม่เมตตาตัวเองเสียบ้าง ไม่คิดถึงร่างกาย สังขาร ที่เราได้รับมาจากคุณพ่อ คุณแม่
คุณพ่อ คุณแม่ให้กำเนิดแก่เรา ท่านให้กำเนิดแก่เราเพื่ออะไร ไม่ใช่ให้กำเนิดแก่เราเพื่อให้เรามากระทำสิ่งชั่วร้าย มาคิด (17.46 เสียงขาดหายไป) มาพูดสิ่งชั่ว มาทำสิ่งชั่ว มาคบเพื่อนชั่ว มาทำสิ่งที่เป็นความชั่วต่าง ๆ ท่านไม่ประสงค์อย่างนั้น โดยเฉพาะคุณแม่เวลาตั้งท้อง ท่านก็ไหว้พระ สวดมนต์ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ลูกที่อยู่ในท้องออกมาเรียบร้อย ร่างกายสมบูรณ์บริบูรณ์ทุกอย่าง เช่น ตาไม่บอด หูไม่หนวก ปากไม่แหว่ง มือ เท้า ไม่พิกลพิการ ให้ร่างกายสมบูรณ์ แล้วก็ยังคิดว่าขอให้จิตใจสมบูรณ์ด้วย มีสุขภาพจิตดี มีสุขภาพกายดี อันนี้เป็นความปรารถนาของคุณแม่ คุณพ่อก็ปรารถนาอย่างนั้น แต่ว่าคุณแม่มีความปรารถนาแรงกล้า เพราะลูกอยู่ในท้องของท่าน แล้วก็ตั้งใจอย่างนั้น จะทำอะไรก็นึกถึงลูกเสมอ กลัวลูกจะเดือดร้อน จะทานอาหารอะไรก็นึกว่าจะเดือดร้อนแก่ลูกในท้องหรือไม่ จะดื่มอะไรก็นึกว่ากลัวจะเดือดร้อนแก่ลูกในท้องหรือไม่ จะไปไหนก็จะเป็นปัญหาให้เด็กในท้องเป็นอย่างไรหรือไม่ ท่านจึงเป็นผู้ระวังเนื้อระวังตัว คล้ายกับบุคคลถือขันน้ำที่น้ำเต็มขัน ก็ระวังอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้น้ำกระฉอกไปเปื้อนสถานที่ เปื้อนมือ เปื้อนเท้า เดินด้วยความระมัดระวัง คุณแม่ที่ตั้งท้องก็มีความระมัดระวังเช่นนั้น เป็นความเหนื่อยยากไม่ใช่น้อย แต่ต้องแสดงความอดทนอย่างเต็มที่ เราจึงได้เกิดมาเรียบร้อย ได้ร่างกายสมบูรณ์ บริบูรณ์ตามอัตภาพ
เมื่อเราเป็นผู้มีร่างกายดีอย่างนี้ เราก็ต้องคิดว่าร่างกายที่ดี ๆ อย่างนี้ เรามีไว้สำหรับทำอะไร ถามตัวเองว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร เราอยู่เพื่ออะไร เราควรทำอะไร และทำอะไรโดยวิธีใดที่จะให้เป็นประโยชน์ เป็นความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย นี่เป็นเรื่องที่เราต้องคิด คิดแล้วเราก็รักนวลสงวนตัว ไม่เอากายเอาใจของเราไปเกลือกกลั้วกับสิ่งชั่วสิ่งร้าย เราคิดอะไรก็ต้องคิดด้วยความปรารถนาดีต่อเพื่อนบ้าน ต่อคนในครอบครัว เอาในวงแคบก่อน คือในวงครอบครัว เช่น พ่อบ้านมีความปรารถนาดีต่อแม่บ้านและลูก แม่บ้านก็มีความปรารถนาดีต่อพ่อบ้านและลูกรวมทั้งคนใช้ที่อยู่ในบ้านด้วย เมื่อทำในบ้านเรียบร้อยแล้ว แผ่วงกว้างออกไปสู่บ้านใกล้เรือนเคียง บ้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ เราก็ต้องแผ่เมตตาไป เราก็ต้องแผ่เมตตาไปยังคนเหล่านั้น เพื่อให้คนเหล่านั้นได้มีความสุขความสบาย อันนี้แหละเราเป็นสุข เมื่อเราคิดให้คนอื่นเป็นสุข เราก็เป็นสุข เราพูดให้คนอื่นเป็นสุข เราก็เป็นสุข ทำอะไรเพื่อให้คนอื่นเป็นสุข เราก็เป็นสุข เราจะไปในที่ใดก็ต้องคิดไว้ว่า ไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย อย่าไปเพื่อสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ใคร ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขออภัย คนที่เป็นข้าราชการนั้นถูกย้ายกันบ่อย ๆ สับเปลี่ยนไปเมืองนั้น ไปเมืองนี้ เวลาเราย้ายไปไหนควรจะตั้งจิตอธิษฐานว่า เราไปสู่สถานที่นั้นเพื่อรับใช้ประชาชน เพื่อทำกิจทุกอย่างให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข เราไม่คิดจะไปหาอะไรที่เป็นประโยชน์ส่วนตัว แต่เราไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ถ้าคิดอย่างนั้นเรียกว่าไปกับธรรมะ มีพระเดินนำไปข้างหน้า มีพระอยู่ข้างขวา ข้างซ้าย ข้างหลังของเรา เราปลอดภัย เพราะเราคิดแต่เรื่องไปทำประโยชน์แก่คนในท้องถิ่นนั้น แต่ถ้าตรงกันข้าม เราคิดว่าไปที่นั้นจะได้อะไร จะมีอะไร ในบ้านนั้นเมืองนั้นมีอะไรเป็นพิเศษที่เราจะหากินนอกออกไปจากเงินเดือนที่เราทำได้บ้าง ถ้าเราไปอย่างนั้นเรียกว่าเราไปด้วยกิเลสเป็นพื้นฐาน ด้วยความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐาน อันคนที่ไปที่ไหนมีความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐานนั้น ผู้นั้นมีความทุกข์ตั้งแต่เบื้องต้น ทุกข์ในท่ามกลาง ทุกข์ในที่สุด ชีวิตจะไม่มีความสุขเลย เพราะคิดแต่เรื่องที่จะเอาอยู่คลอดเวลา
คนเราเมื่อคิดจะเอาอะไรมันเป็นทุกข์ แต่ถ้าเราคิดจะให้นี่มีความสบายใจ ลองทำดูก็ได้ ญาติโยมอ่านหนังสือนี้แล้วลองทำดูก็ได้ เวลาใดเราคิดจะให้อะไรใจสบาย เช่น คิดว่าจะเอาปัจจัยไปช่วยสร้างตึก ๘๐ ปี ท่านปัญญานันทะ นี่ใจสบายแล้ว แล้วคิดทุกวันว่าจะไปแต่ยังไม่มีเวลา ก็เลยไปยังไม่ได้ พอได้ไปนี่ก็ใจสบาย ไปบริจาคแล้วสบายใจ กลับมาบ้านแล้วก็สบายใจ หรือว่าเราจะไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์ เช่น ไปช่วยมูลนิธิสายใจไทย หรือว่าไปทำอะไรแล้วอุทิศปัจจัยถวายแก่ในหลวงอันเป็นที่เคารพรักของชาวเราทั้งหลายเราก็สบายใจ สบายใจไปนานทีเดียว นึกขึ้นทีไรใจก็สบาย สุขภาพจิตดีขึ้น สุขภาพกายดีขึ้น เพราะเราคิดเมตตา ปรารถนาความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ขอให้จำไว้ว่าพระพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายนั้น ท่านมีความเมตตา ปรานีอย่างเหลือเกิน ท่านมีความเมตตา ปรานีแก่ชาวโลกทั่วไป ไม่เฉพาะคนแต่รวมไปถึงสัตว์เดรัจฉานด้วย ทรงมีพระเมตตาปรานีอย่างล้นพ้น จึงได้เสียสละความสุขส่วนพระองค์ที่จะพึงได้รับในพระราชวัง ทิ้งมันทั้งหมดแล้วก็ไปอยู่ในป่า นอนบนดิน กินบนทราย นอนใต้ต้นไม้ไม่มีหลังคา นุ่งผ้าเก่า ๆ หยาบ ๆ ที่เก็บมาจากกองขยะมูลฝอย ที่เรียกว่าผ้าบังสุกุล ท่านทรงกระทำเช่นนั้นเพื่ออะไร เพื่อค้นหาทางแห่งความดับทุกข์ หาทางที่จะให้ดับทุกข์ได้เด็ดขาด และพบทางนั้นแล้วจะได้เอาทางนั้นมาประกาศแก่ชาวโลกทั้งหลายต่อไป พระองค์ทรงมีความเพียรมั่น มีความตั้งพระทัยมั่น มุ่งจุดหมายที่แท้จริงที่ได้ตั้งไว้ ไม่หย่อนยาน ไม่เปลี่ยนแปลง ทรงปฏิบัติไปจนถึงจุดนั้นสมความปรารถนา เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ใต้ต้นโพธิ์เมื่อวันวิสาขบูชา สองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว และเมื่อได้ตรัสรู้แล้วพระองค์ทำอะไร ก็ทรงปฏิบัติพระองค์เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ชาวโลกทั้งหลาย ตื่นแต่เช้า เช้ามืด ตื่นขนาดตั้งแต่ตีสี่ แล้วก็ทรงพิจารณาว่า วันนี้จะไปสอนใคร ไปทำประโยชน์แก่ใคร ใครมีความทุกข์ ใครมีความเดือดร้อน อกไหม้ไส้ขมอยู่บ้าง ต้องไปช่วยเขา เช็ดน้ำตาให้เขา ซับน้ำตาให้เขา เหมือนเราซับน้ำตาชาวใต้ที่ทำกันอยู่ก่อนเมื่อปี ๒๕๓๒ นี่แหละ อันนี้แหละคือพระพุทธเจ้าท่านทรงกระทำอย่างนั้น เสด็จไปปลอบโยนเขา พูดให้เขาเข้าใจ บรรเทาทุกข์ทางใจ พระองค์ไม่มีวัตถุจะไปช่วย แต่พระองค์มีธรรมะไปช่วย ช่วยทางธรรมะประเสริฐกว่าทางวัตถุ วัตถุกินแล้วก็ถ่ายหมดไป แต่ธรรมะเข้าไปอยู่นาน ๆ อยู่ในใจ ทำให้เกิดสิ่งถูกต้องขึ้นในใจ พระองค์ทรงกระทำอย่างนั้น แล้วเมื่อพระองค์มีสาวกมากขึ้น ก็ส่งไป ด้วยพระวาจาว่า เธอทั้งหลายจงเที่ยวไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มหาชนทั้งหลาย จงประกาศพรหมจรรย์อันไพเราะเบื้องต้น ที่สุดแก่เขา คนที่มีไฝ ฝ้า บังดวงตาน้อย ๆ มีอยู่ เพราะไม่ได้ยินได้ฟัง เธอจงไปสอนเขาให้เขาเข้าใจ ทำให้เขาดู พูดให้เขาฟัง ตถาคตก็จะไปเหมือนกัน พระเมตตาปรานีแก่คนทั้งหลาย ถ้าเราอ่านประวัติของพระพุทธเจ้า จะพบแต่เรื่องความเมตตาปรานีทั่วไปทุกหนทุกแห่ง อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ เราก็ควรคิดอย่างนั้น
ในเวลาสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ควรคิดตั้งใจอย่างนั้น เช่น คิดตั้งใจว่าปีใหม่นี้ ข้าพเจ้าจะอยู่ด้วยความรักเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะคิดแต่เรื่องให้คนอื่นเป็นสุข พูดแต่เรื่องให้คนอื่นเป็นสุข ทำแต่เรื่องที่จะให้คนอื่นเป็นสุข แม้จะประกอบกิจการงานอะไร ก็จะประกอบกิจการงานประเภทสร้างความสุขขึ้นในสังคม ไม่ประกอบกิจการงานที่ทำลายความสงบสุขของสังคม เช่นว่า ตั้งบ่อนการพนัน ตั้งซ่องค้าหญิงและเด็กทางประเวณี ตั้งสำนักงานค้าของเถื่อนประเภทต่าง ๆ ทำสินค้าปลอม ทำยาปลอม เพื่อให้คนเอาไปกินแล้วเราได้สตางค์แต่โรคมันไม่หายคนก็จะตายกันมากมาย อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เป็นอาชีพที่ไม่ถูกต้อง อาชีพใดที่มันผิด ทำให้คนอื่นได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่สมควร เราไม่ทำ เพราะเราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เราจะทำแต่เรื่องดี ๆ มีประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย อาชีพดี ๆ มีประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายมีมากมายเราทำได้ โดยไม่ต้องทำอะไรที่เบียดเบียนคนอื่น ทำให้คนอื่นมีความทุกข์ความเดือดร้อน ให้ตั้งใจอย่างนั้น แล้วก็รักษาสัจจะความจริงใจของเราไว้ คนเราเมื่อตั้งใจว่าจะทำอะไรแล้วก็ต้องทำอย่างนั้น เรียกว่าเป็นผู้รู้จักคำมั่นสัญญาที่เราให้ไว้กับตัวเอง เหมือนสมัยเด็ก ๆ เป็นลูกเสือ ถ้าเวลากล่าวคำปฏิญาณตน เขาว่าเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าคำมั่นสัญญาคืออะไร ก็ตอบว่าข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่าคำมั่นสัญญา คือเมื่อตั้งใจจะทำอะไรที่ถูกที่ชอบที่ควรแล้ว ก็จะทำสิ่งนั้นไม่ละเลยเพิกเฉย เรารักษาคำมั่นสัญญา เราสัญญากับตัวเองว่าอย่างไร จงรักษาคำสัญญานั้นไว้ ไม่เปลี่ยนแปลง สัญญากับเพื่อนที่ดีที่งามอย่างไร ก็รักษาสัญญาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เราสัญญากับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ว่าอย่างไร เราสัญญาว่าจะถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ถึงพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ถึงเป็นที่พึ่งถึงอย่างไร คือถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เอาพระคุณเหล่านั้นมาใส่ไว้ที่เนื้อที่ตัวของเรา ที่กายของเรา ที่วาจาของเรา ที่ใจของเรา คิดอะไรก็ให้ถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พูดอะไรก็ให้ถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำอะไรก็ให้ถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เรียกว่าเราถือสัจจะ สัญญาว่าจะทำอย่างใดก็ต้องทำอย่างนั้น แล้วคอยควบคุมตัวเอง บังคับตัวเองให้เป็นไปตามสัญญา มันมีสิ่งยั่วยุอยู่ในโลกนี้อาจจะทำให้เราเอนเอียงไปในทางที่จะผิดสัญญาเมื่อใดก็ได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องประพฤติธรรมะคืออดทนสักหน่อย อดทน อดกลั้นต่อสิ่งเหล่านั้น อย่ามองให้เห็นว่ามันเป็นความสุข สนุกสบาย แต่มองให้เห็นว่าสิ่งนั้นมันให้โทษอะไรแก่เราบ้าง มันจะทำให้เราเดือดเนื้อร้อนใจในเรื่องอะไรบ้าง หรือว่าจะทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจอย่างไรบ้าง ถ้าเราไม่ร้อนใจแต่คนอื่นร้อนใจมันก็ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าอะไรที่เราทำนั้น ต้องทำเพื่อให้เป็นสุขทุกฝ่าย ให้เราเป็นสุขด้วย ให้ผู้อื่นเป็นสุขด้วย หลักความดีนั้นมันมี ๓ อย่าง
ขอฝากให้ญาติโยมทั้งหลายจำไว้ว่าความดีนั้น ๑ เป็นประโยชน์ตน ๒ เป็นประโยชน์ผู้อื่น ๓ วิญญูชนทั้งหลายรับรองว่าดี เป็นประโยชน์ตนอย่างเดียวยังไม่ดี เป็นประโยชน์ผู้อื่นด้วยจึงจะดี แต่ว่าเป็นประโยชน์ตน เป็นประโยชน์ผู้อื่นแต่วิญญูชนไม่ยอมรับในความดีนั้นก็ไม่ได้ วิญญูชนในที่นี้ไม่ใช่คนธรรมดา แต่หมายถึงพระพุทธเจ้าที่เราเคารพบูชา ถ้าพระพุทธเจ้าว่าดีลูกเอ๋ยทำเลยไม่ต้องชักช้า แต่ถ้าพระองค์บอกว่าไม่ดี อย่าทำเด็ดขาด เราก็ต้องหยุด เราเชื่อฟังพระพุทธเจ้า เราก็หยุด ไม่กระทำสิ่งนั้น อันนี้แหละเรียกว่าเป็นการถูกต้อง เราทำถูกต้อง เพราะเราเชื่อฟังพระพุทธเจ้า เราซื่อตรงต่อพระพุทธเจ้า เราซื่อตรงต่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เราซื่อตรงต่อพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เราเป็นทาสรับใช้พระพุทธเจ้า เราเป็นทาสรับใช้พระธรรม เราเป็นทาสรับใช้พระสงฆ์ เราถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือเรา พระธรรมเป็นนายมีอิสระเหนือเรา พระสงฆ์เป็นนายมีอิสระเหนือเรา เรามอบกายถวายชีวิตแด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่ไปทำสิ่งใดที่ไม่ใช่พุทธประสงค์ ไม่ใช่หลักการของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เรียกว่าเราเป็นคนซื่อสัตย์ต่อพระรัตนตรัย เดินตามพระอย่าเดินตามผี อย่าเดินตามมาร เดินตามพระเป็นลูกศิษย์พระ ถ้าเดินตามผีก็เป็นลูกศิษย์ผี ลูกศิษย์พระมีความสุขมีความเจริญ ลูกศิษย์ผีมีความทุกข์มีความเดือดร้อนทั้งกายทั้งใจ สูญเสียทรัพย์สมบัติเกียรติยศชื่อเสียงด้วยประการต่าง ๆ เพราะเราไปเดินตามผี
เพราะฉะนั้นในปีใหม่เราจะไม่เดินตามผี สิ่งใดที่เป็นผีเราตัดทิ้งไป เป็นของเก่า เป็นของเน่าของบูด เราไม่เอาไปไว้ในปีใหม่ ทิ้งไปกับปีเก่าเลยโยมนะ อะไรบ้างที่เป็นผี ความชั่วต่าง ๆ เป็นผีทั้งนั้น การพนันเป็นผีร้าย ทำลายชาติบ้านเมือง สิ่งเสพติดเป็นผีร้ายทำลายสุขภาพกาย สุขภาพใจ การเที่ยวกลางคืนเป็นผีร้ายทำให้เสียสุขภาพเหมือนกัน แล้วล่อแหลมต่อการที่จะเป็นโรคเอดส์ได้ง่าย เราไปคบเพื่อนชั่ว เพื่อนชั่วมันก็จูงเราไปในทางชั่วต่าง ๆ เพื่อนชั่วเป็นคนปัญญาอ่อน มันก็จูงเราไปในทางที่ชั่ว จูงให้ไปเล่นการพนัน จูงให้ไปเสพสิ่งเสพติด จูงให้ไปหาโรคเอดส์เข้าตัว จูงไปเที่ยวสิ่งที่ชั่วที่ร้าย จูงให้เกียจคร้านการงาน จูงให้สุรุ่ยสุร่าย ชีวิตตกต่ำลงไปทุกวันทุกเวลา พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนนักสอนหนาว่าอย่าคบคนพาล คบคนเช่นใดก็จะเป็นเช่นคนนั้น เช่นว่า คบคนขี้เมาเราก็ต้องเป็นคนขี้เมาไป คบนักการพนันก็กลายเป็นนักการพนันไป คบคนเที่ยวซ่องก็กลายเป็นคนเที่ยวซ่องไป คบคนสุรุ่ยสุร่ายก็จ่ายเติบกินเติบหมดเนื้อหมดตัว คบคนเกียจคร้านการงานก็ไม่เจริญก้าวหน้า มีแต่ความตกต่ำลงไปทุกวัน ทุกเวลา นี่คือความเสียหาย เป็นผีที่เราจะต้องตัดทิ้งไปเลย อย่าเอาไว้ในชีวิตของเราต่อไป ผีทั้งหลายทั้งปวงกวาดทิ้ง เอาไปทิ้งเสียที่ป่าช้า เอาไปเผาเสีย เอาไปทำลายเสีย อย่าให้มันเกาะจับอยู่กับเราต่อไป ถือหลักของท่านเจ้าคุณพุทธทาส ที่ท่านพูดถึงเรื่อง “อตัมมยตา” อตัมมยตา หมายความว่า จะไม่ไปเป็นอย่างนั้นอีกต่อไป จะไม่ทำสิ่งนั้นอีกต่อไป อะไรที่ไม่ดี ไม่ถูก ไม่ชอบ เราก็พูดกับตัวเองว่า ฉันไม่เอาแล้ว ฉันไม่ทำแล้ว ฉันเลิกแล้วจากสิ่งนั้นเพราะมันนำความทุกข์มาให้แก่ฉัน นำความทุกข์มาให้แก่ครอบครัว นำความทุกข์มาให้แก่ประเทศชาติบ้านเมืองของฉัน ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อทำลาย แต่ฉันเกิดมาเพื่อสร้างสรรค์ ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อความล้าหลังใคร แต่ฉันเกิดมาเพื่อความก้าวหน้า
เราเป็นพุทธบริษัท ต้องเป็นผู้รู้ ต้องเป็นผู้ตื่น ต้องเป็นผู้มีความเบิกบานแจ่มใสในธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า อย่างนี้ ชีวิตก็จะเรียบร้อยเป็นไปด้วยดี เรียกว่าเรารักพระธรรม เรารักพระธรรมก็รักอะไรหมดทุกอย่าง แต่ถ้าเราเกลียดธรรมะก็สูญหายทุกอย่างทุกประการ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ธมฺมกาโม ภวํ โหติ ผู้ใคร่ธรรมเป็นผู้เจริญ ธมฺมเทสฺสี ปรา ภโว ผู้ชังธรรมเป็นผู้เสื่อม คนเกลียดวัด เกลียดธรรมะ เกลียดพระ นี่เสื่อมทุกคนเอาตัวไม่รอด เวลามีปัญหาก็ไม่รู้จะให้ใครช่วย ก็เพราะไม่มีพี่เลี้ยง คนมาวัดนี่มาหาพี่เลี้ยง มาหาแสงสว่าง มาหาแว่นตาสำหรับมองดูอะไรให้มันเห็นชัดให้ถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง เราจึงต้องเพิ่มพูนสิ่งเหล่านี้ รับสิ่งเหล่านี้ไว้เป็นหลักประจำจิตใจ อย่าทำคนเดียว ทำคนเดียวมันสุขไม่ได้ มันสุขน้อย คนเดียวมันสุขน้อย ต้องทำกันทุกคนในครอบครัว พ่อบ้านทำดี ชวนแม่บ้านทำดีด้วย แม่บ้านทำดี ชวนพ่อบ้านทำดีด้วย พ่อแม่ทำดีแล้วชวนลูกให้ทำดีด้วย คือต้องสอนต้องเตือนลูก ต้องทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้ถูกต้อง พ่อแม่ที่ดีนั้นสอนลูกอย่างไร ห้ามลูกไม่ให้กระทำความชั่วแนะนำให้ลูกกระทำความดี ส่งเสริมการศึกษาเล่าเรียนของลูก คอยแนะนำคอยตักเตือน คอยยุให้เกิดอารมณ์รักการเรียนขยันในการเรียน เอาใจใส่ในการเรียน ใช้สติปัญญาคิดค้นในเรื่องจะเรียนเขียนอ่าน พ่อแม่หมั่นเตือนหมั่นสอน แล้วเมื่อจบการศึกษาแล้ว หางานให้เขาทำ เมื่อมีงานทำแล้วก็แนะนำให้เขารู้จักเก็บเงิน รู้จักใช้เงิน รู้จักทำเงินให้เป็นประโยชน์ต่อไป ชี้ให้เขาเข้าใจว่าเงินทองของหายาก ใช้มากก็จะเดือดร้อน ให้ใช้แต่พอควร ใช้เท่าที่จำเป็น ต่อไปนี้ต้องรู้จักช่วยตัวเอง ต้องพึ่งตัวเอง พ่อแม่แก่แล้วทำงานอะไรไม่ได้ ลูกก็ต้องเป็นผู้ทำงานเอง ช่วยตัวเอง พึ่งตัวเองต่อไป เราสอนเขา เตือนเขาให้เข้าใจในทางธรรมะ
ถ้าเรามีคนร่วมงาน เช่น เป็นกรรมกร เป็นคนใช้ทำงานกับเรา สมัยนี้เรียกว่าเป็นกรรมกร ผู้ที่เป็นเจ้าของงานเขาเรียกว่าเป็นนายทุน คือนายที่มีทุน มีทุนทรัพย์อย่างเดียวมันไม่พอ ต้องมีทุนความงาม ความดีด้วย มีแต่เงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีพระประจำจิตใจด้วย แล้วเราก็ต้องช่วยกรรมกรในบริษัทของเรานั้นได้เข้าถึงธรรมะเสียบ้าง ให้เขาได้รู้จักธรรมะ ให้รู้จักคุณค่าของชีวิต ให้รู้จักสิ่งที่เขาทำว่าสิ่งนี้มาจากใคร เขาก็จะได้มีความสำนึกในความกตัญญูกตเวทีต่อบุคคลที่ช่วยให้เขามีงาน ไม่ต้อง สไตร้ค์ ไม่ต้องหยุดงาน ไม่ต้องด่านายจ้างด้วยคำพูดที่ไม่น่าฟัง ของนายจ้างที่ไม่ให้คนงานเข้าหาพระ ไม่ให้ฟังเสียงพระ ทางที่ดีนั้นควรจะนิมนต์พระไปพูดกับคนงานบ้าง มันไม่เสียเวลาอะไรมากนัก ในอาทิตย์หนึ่งเอาสักครั้งหนึ่ง เดือนหนึ่งสักครั้งสองครั้งก็ยังดี เอาเวลาที่เหมาะ ๆ ผลัดเปลี่ยนกันมาฟัง แล้วก็ให้เขาได้รู้ได้เข้าใจ เพราะเขานับถือพระอยู่แล้ว อย่านับถือพระเพียงแต่มีพระห้อยคอ หรือเพียงแต่มีพระไว้บนหิ้งแล้วเรากราบไหว้ ขอหวยขอเบอร์ อย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง ให้เขาได้มีพระธรรมะอยู่ในใจ มีความงามความดีประจำจิตใจ เราเป็นนายจ้างก็ต้องให้เขา ให้เขาได้รู้ได้เข้าใจ มานำพระไปให้พบกับเขา นำเขาให้พบกับพระ นายจ้างก็เป็นผู้ประสาน เป็นผู้ประสานงาน นิมนต์พระไปพบกับลูกจ้าง ลูกจ้างก็ได้มาพบพระ เพราะนายจ้างนิมนต์พระไป แล้วเขาจะได้ยินได้ฟัง บริษัทใดห้างร้านใดเอาคนฟังธรรมบ่อย ๆ บริษัทนั้นไม่ค่อยยุ่ง เพราะคนมันรู้เรื่องธรรมะ รู้จักบาป รู้จักบุญ รู้จักคุณ รู้จักโทษ รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ แล้วเขารู้ว่าสิ่งที่เขาได้รับนี้มาจากใคร ผู้ที่ทำอะไรให้แก่เขาได้มีงานทำนั้น เขาถือว่าเป็นผู้มีบุญคุณแก่เขา เขาสำนึกในเรื่องนี้ มีความกตัญญูกตเวที เพราะความกตัญญูกตเวทีนั้นเป็นเครื่องหมายของคนดี แต่เราไม่ช่วยให้เขาดี เขาก็รู้เรื่องนี้ไม่ได้ จึงควรจะทำอย่างนั้น ว่าง ๆ เอามาให้พระได้ไปเทศน์ให้ฟังบ้าง ก่อนเข้าทำงานก็ได้ ตอนไหนก็ได้ ไม่เสียหายอะไรมากนัก เวลาก็ไม่เสีย แต่มันดีขึ้นเพราะคนเราดีขึ้น ทำงานทำการถ้าคนดีแล้วมันก็เป็นของดี ทำสินค้ามีคุณภาพ แต่ถ้าคนไม่ดีมันทำชุ่ย ๆ มันผลิตของไม่มีคุณภาพ ส่งไปอวดในตลาดโลกไม่ได้ เพราะคุณภาพต่ำ เขาก็ไม่ซื้อ โรงงานก็ล้มกันเท่านั้นเอง โรงงานล้มเพราะอะไร เพราะเจ้าของงานไม่รู้จักธรรมะ ไม่เอาพระเข้าไปช่วยเหลือในกิจการของโรงงาน อย่างนี้แหละต้องแก้ไข ปรับปรุงใหม่ ปีใหม่ต้องเข้าถึงพระ นำพระไปมอบให้แก่คนงาน ไม่ใช่นำพระเครื่องไปแจก แต่ต้องนำพระธรรมเป็นของแจก ธรรมะนั่นแหละเป็นพระถาวรที่อยู่ในใจของใครแล้วช่วยให้คนนั้นเป็นสุข เราก็ควรนำเขาไป หรือว่าถ้าเราได้คนงานมาใหม่ ควรจะมีการอบรม อบรม ๓ วัน ๔ วัน อะไรก็ได้ ให้มาอยู่ค่ายอบรม เช่น ส่งไปที่ศูนย์แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ที่อำเภอเสนา เรามีศูนย์อยู่ที่นั่น ส่งไปอบรม เมื่อวันก่อนนี้มีบริษัทญี่ปุ่นที่ไปตั้งอยู่แถวนั้น เขาส่งคนงานไปตั้งร้อย เพราะคนงานเข้าใหม่ เอาไปอบรมเสียก่อน เอาไปพูดจาให้เขาเข้าใจ ว่าเขาไปทำอะไร ทำกับใคร เขาจะได้อะไร แล้วควรทำอย่างไร คนมันเข้าใจ รู้เรื่อง แล้วก็ทำงานด้วยความเรียบร้อย มีความสุขทุกฝ่าย เพราะเรามีเมตตาต่อเขา ช่วยให้เขาได้สิ่งดี สิ่งถูกไว้ในใจ ให้ของอื่นมันไม่ดีเท่าใด แต่ถ้าให้ธรรมะแล้ววิเศษที่สุด ประเสริฐที่สุดแก่คนเหล่านั้น เราจึงควรจะทำอย่างนั้น อันนี้ก็เป็นการแสดงความเมตตาปรานีต่อคนเหล่านั้นอย่างถูกต้อง
นอกจากเมตตาปรานีต่อคนแล้ว เราไม่ได้อยู่แต่พวกคนอย่างเดียว เราอยู่กับธรรมชาติ ธรรมชาติมีภูเขา มีต้นไม้ มีลำคลอง หนอง บึง ด้วยประการต่าง ๆ ธรรมชาติให้อะไรแก่เรา พูดง่าย ๆ ว่าแผ่นดินนี้ให้อะไรแก่เรา เราอยู่กับแผ่นดิน แผ่นดินให้อะไรแก่เรา แผ่นดินให้น้ำแก่เราดื่ม อาบ แผ่นดินให้อาหารแก่เรารับประทาน แผ่นดินให้บ้านเราอยู่อาศัย แผ่นดินให้เสื้อให้ผ้าแก่เรา เจ็บไข้ได้ป่วยแผ่นดินก็ให้หยูกให้ยา เพราะยาที่เรากินเอามาจากแผ่นดินทั้งนั้น เอามาจากพืช ต้นไม้ เอารากมาบ้าง เอาเปลือกมาบ้าง (44.28 เสียงไม่ชัดเจน) เอาใบ เอาดอกมันมา มาปรุง มาแต่งให้เป็นตัวยาขึ้น สมัยใหม่ แล้วคนกินก็หายจากโรค สิ่งนี้ก็มาจากแผ่นดิน แล้วเราเดินอยู่บนแผ่นดิน สร้างบ้านเรือนอยู่บนแผ่นดิน คนโบราณเขาถือว่าแผ่นดินนี้เป็นเหมือนคุณแม่ เรียกว่าเป็นแม่ใหญ่ เราก็ต้องรักแม่ใหญ่ของเรา คือแม่ธรณี แม่ธรณีก็คือรักแผ่นดินนั่นเอง คนที่จะรักชาติ รักประเทศ มันก็ต้องรักแผ่นดินที่ตนอยู่ เช่น คนอยู่ในประเทศไทยก็ต้องรักแผ่นดินไทย ถ้าไม่รักแผ่นดินไทยก็เป็นคนไม่ประเสริฐเลย ชีวิตตกต่ำก็ว่าได้ จิตใจไม่สูงส่ง เพราะไม่รู้จักรักสิ่งที่ตนได้รับประโยชน์ เราจึงควรทำใจให้รักแผ่นดิน คอยถามตัวเองบ่อย ๆ ว่าเราอยู่กับอะไร เราอยู่กับแผ่นดิน แผ่นดินให้น้ำ แผ่นดินให้อาหาร แผ่นดินให้เสื้อผ้า แผ่นดินให้บ้านให้เรือนที่อยู่อาศัย แผ่นดินให้หยูกยาแก้ไข้ ถ้าเราไม่มีแผ่นดินอยู่ ชีวิตจะอยู่ได้อย่างไร ถามอย่างนั้น แล้วเราก็จะนึกรักแผ่นดินขึ้น เพราะแผ่นดินให้อะไร ๆ แก่เราทุกอย่าง แล้วสอนลูกให้รักแผ่นดิน
สอนลูกให้รักแผ่นดิน คือ หัดให้ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ให้ปลูกพืช ปลูกผัก ให้เขารู้จักรดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน แล้วพืชมันก็โตขึ้น โตขึ้นแล้วให้เขาเก็บเอาไปขาย ขายได้สตางค์แล้ว คุณแม่ช่วยรักษาไว้ให้ ใส่กระป๋อง ใส่ถุงไว้ เอาไปฝากออมสินไว้ในนามของเขาก็ได้ มันเป็นส่วนที่เขาทำมาหาได้ เวลาเขาต้องการอะไรเอาไปซื้อ ซื้อมาใช้เขาภูมิใจ ภูมิใจว่าเขาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขาเอง เขาทำงาน เขาได้สิ่งนี้มา เขารู้จักคุณค่าของงาน รู้จักของแผ่นดินที่เขาได้อาศัยทำงาน แล้วเขาก็จะรักแผ่นดิน เพราะแผ่นดินให้อะไรแก่เขา คนรักแผ่นดินมันก็ไม่ทรยศต่อแผ่นดิน ไม่ทิ้งแผ่นดินนี้ไปอยู่ที่แผ่นดินอื่น เพราะมันไม่สะดวกที่นี่ แต่ก็คิดว่าแผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินไทยที่เราต้องจงรักภักดี แล้วเราก็รักแผ่นดินไทย อยู่กับแผ่นดินไทยจนกว่าจะหมดลมหายใจ แม้จะไปที่อื่นก็เรียกว่าไปชั่วครั้งชั่วคราว ไปหาเงินหาทอง แล้วเอามาอยู่ที่แผ่นดินของเราต่อไป ถ้าเราเป็นคนทำอย่างนี้เขาเรียกว่าเรารู้จักรักแผ่นดินที่เราอยู่อาศัย บนแผ่นดินนั้นมีต้นไม้ ต้นไม้ให้ประโยชน์แก่เรามาก ให้ร่ม ให้ความเย็น ให้ออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไป แล้วต้นไม้ช่วยดูดคาร์บอน ซึ่งเราหายใจออกมา สิ่งมลพิษต่าง ๆ ต้นไม้ดูดเอาไปไว้ แล้วคายมาเป็นออกซิเจนให้แก่เรา ต้นไม้ก็เหมือนโรงงานใหญ่ที่อยู่รอบบ้านเรา กลั่นออกซิเจนให้แก่เราได้ใช้ ให้ดอกงาม ๆ เราดู ให้ผลเรากิน ให้อะไรทุกอย่าง แต่คนไม่ค่อยรักป่าไม้ ไม่รักต้นไม้ ชวนกันทำลายป่าไม้ จนเกิดเสียหาย เสียดุลธรรมชาติ แล้วก็เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนกันด้วยประการต่าง ๆ เช่น เกิดฝนแล้ง เกิดน้ำท่วม เกิดลมพายุร้ายขึ้นมา อันนี้ไม่ใช่ฝีมือของใคร มันเป็นฝีมือของมนุษย์ทั้งนั้นแหละที่ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้น จึงเกิดเป็นปัญหาสร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนด้วยประการต่าง ๆ เพราะคนไม่รู้จักรักแผ่นดิน ทำลายต้นหมากรากไม้ จนเสียหาย แห้งแล้งกันไปตาม ๆ กัน เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ นี้ ขอให้เรารู้จักรักต้นไม้ รักธรรมชาติ รักภูเขาที่มันเป็นต้นเหตุให้เกิดน้ำ เกิดความชุ่มความเย็น เกิดปุ๋ยสำหรับใส่ในนาข้าว สิ่งต่าง ๆ เกิดมากมายจากสิ่งเหล่านั้น เราจึงควรจะถนอมมันไว้ อย่าทำลาย ช่วยสร้างป่าให้เกิดขึ้นมาก ๆ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เราควรจะรักต้นไม้ได้แล้ว โครงการรัฐบาลเรียกว่า อีสานเขียว ทำกันใหญ่ ฝ่ายกองทัพบก ทำกันเต็มที่ ท่านผู้บัญชาการทหารบกเอาใจใส่ในเรื่องนี้มาก เพราะสงสารคนที่ลำบากยากแค้น ต้องการให้เกิดเขียวชอุ่ม ให้ฝนตกตามฤดูกาล ให้เกิดความชุ่มชื่นต่อไป สิ่งทั้งหลายทั้งปวง มันเกิดจากฝีมือของมนุษย์ทั้งนั้นแหละ ไม่ได้เกิดจากใครที่ไหน มนุษย์เป็นผู้สร้าง เป็นผู้ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้น เราก็ต้องช่วยกันแก้ไข เราผิดไปแล้วต้องขอโทษธรรมชาติหน่อย แล้วเราก็แก้ไขต่อไป ช่วยกันสร้างต่อไป แม้จะไม่สำเร็จในอายุของเรา แต่เราก็จะทำไว้เพื่อลูกเพื่อหลาน คนเรามันเกิดมามีอายุจำกัด ไม่เกินร้อยปี แต่ความจริงที่อยู่ทำประโยชน์ได้ก็ ๖๐ ๗๐ ปีเท่านั้นแหละ เกิน ๘๐ แล้วก็ง่อนแง่นเต็มที ทำอะไรก็ไม่ค่อยจะได้ เราจึงควรสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นประโยชน์แก่คนรุ่นหลังต่อไป เกิดมาชาติหนึ่งอยู่ในแผ่นดินนี้ ควรทำอะไรตอบแทนแผ่นดินที่เราอยู่อาศัยบ้าง ถ้าเราไม่ทำอะไรตอบแทนเสียเลย ก็ถูกประณามว่าเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคน
คนอกตัญญูนี้เสียหาย พระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่า ไม้ลอยน้ำ ดีกว่าคนอกตัญญู ไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู เพราะไม้ลอยน้ำนั้นเอาไปทำประโยชน์ได้ เอามาผึ่งแดดแห้ง เอาทำไม้ฟืนก็ได้ รองนั่งก็ได้ รองเหยียบก็ได้ เป็นหมอนหนุนก็ยังได้ เอามานอนวางเป็นหมอนข้างก็ยังได้อุ่นอกอุ่นใจได้เหมือนกัน มันให้ประโยชน์ แต่คนอกตัญญูนี้จะไปไว้ที่ไหนโยม ไว้ใกล้เงิน เงินหาย ไว้ใกล้ข้าวสาร ข้าวสารหาย ไว้ใกล้ลูกสาว ลูกสาวพลอยหายไปด้วย มันใช้ไม่ได้ คนอกตัญญูนี่ใช้ไม่ได้ แม้จะให้อะไรมากมาย มันก็สำนึกอะไรไม่ค่อยจะได้ เสียหายมาก เราจึงควรช่วยกันสร้างคุณธรรม คือความกตัญญูกตเวทีต่อแผ่นดิน แผ่นฟ้าที่เราได้อยู่อาศัย กตัญญูกตเวทีต่อต้นหมากรากไม้ ต่อภูเขา ต่อแม่น้ำ ต่อลำคลองที่มันไหลผ่านไปผ่านมา อย่าทำให้สิ่งเหล่านั้นสกปรก เรื่องนี้ก็สำคัญเหมือนกัน
ในปี ๒๕๓๓ นี้ เราอย่าเพิ่มความสกปรกในแม่น้ำที่เราได้อาศัย อย่าเพิ่มความสกปรกลงในคลองน้ำที่เราได้อยู่อาศัย อย่าเพิ่มความสกปรกลงบนถนนที่เราอยู่อาศัย หรืออย่าเพิ่มความสกปรกลงในแผ่นดินที่เราอยู่อาศัย เราต้องมีกรรมวิธีในการกำจัดขยะมูลฝอย กำจัดสิ่งสกปรก ไม่เที่ยวทิ้งอะไรให้เพ่นพ่านให้เกิดสกปรกขึ้นในบ้านในเมืองของเรา บ้านเมืองไทยต้องเป็นเมืองสะอาดปราศจากสิ่งโสโครก ถนนหนทางในเมืองไทยก็ต้องสะอาด วัดวาอารามก็ต้องสะอาด ที่ไหน ๆ ก็ต้องสะอาด พระพุทธเจ้าสรรเสริญความสะอาดทั้งภายนอกทั้งภายใน สะอาดภายนอกคือวัตถุรอบ ๆ ตัวเรา สะอาดภายใน (52.31 เสียงขาดหายไป) ปราศจาก ในปี ๒๕๓๓
อีกประการหนึ่งให้เราเสียสละกันหน่อย เสียสละเพื่ออะไร เสียสละเพื่อชาติ เพื่อประเทศของเรา ในปี ๒๕๓๓ นี้ ขอให้เรามาตั้งจิตอธิษฐานกันว่า เราจะไม่เห็นแก่ตัว จะไม่เอารัดเอาเปรียบประเทศชาติและสังคม แต่เราจะเป็นผู้เสียสละประโยชน์ความสุขส่วนตัว เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ส่วนรวม เราจะทำหน้าที่เพื่อให้แก่แผ่นดินของเรา เอาประโยชน์แต่น้อย แต่ให้มาก ๆ ประโยชน์มันได้อยู่แล้ว เราทำอะไรมันก็ได้ แต่ว่าให้ได้ในทางซื่อสัตย์สุจริต อย่าเอาประโยชน์ในทางคดโกงเอารัดเอาเปรียบใคร พูดกันง่าย ๆ ว่า ปี ๒๕๓๓ นี้ เรามาเลิกโกงกันเสียสักปีหนึ่งเถอะ เพราะโกงกันมาหลายปีแล้ว โกงกันมานานแล้ว ประเทศชาติบ้านเมืองจะล่มจมกันอยู่แล้ว เรามาตั้งอกตั้งใจเลิกโกงกันเสียที ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๓ เรื่อยไป เรียกว่าเลิกโกงกันสักปี เอาเป็นทุนไว้ก่อน แล้วเราจะเห็นเองว่าชีวิตเราดีขึ้น การงานดีขึ้น ประเทศชาติสงบสุขขึ้น การเบียดเบียนข่มเหงกันก็ไม่มี เพราะเราเลิกโกง เลิกชั่ว เลิกคิดชั่ว เลิกคิดเรื่องชั่ว เลิกพูดเรื่องชั่ว เลิกทำเรื่องชั่ว ๆ เลิกไปสู่สถานที่ชั่ว ๆ เลิกคบกับคนชั่ว คนร้าย มันก็ดีขึ้น ให้ปีใหม่ ๒๕๓๓ เป็นปีแห่งความสะอาด เป็นปีแห่งความสงบ เป็นปีแห่งความสว่าง เป็นปีแห่งความรักความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน ให้ทุกคนรักตัว ทำตัวให้ถูกต้อง ประคับประคองตัวให้เรียบร้อย รักครอบครัว รักประเทศชาติ รักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินีนาถ รักพระพุทธเจ้า รักพระธรรม รักพระสงฆ์ อยู่ด้วยความงามความดี ให้มีจิตใจซื่อสัตย์ มีความบังคับตัวเองได้ มีความอดทนเข้มแข็ง มีความเสียสละเพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้ายออกจากจิตใจ อย่าทำผู้เดียว รู้จักเพื่อนฝูงมิตรสหาย ให้ช่วยกันจัดช่วยกันทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ความสุขมันจะเกิดเองโดยธรรมชาติ เพราะเราช่วยกันทำสิ่งให้ถูกต้องให้เกิดเป็นความสุขแก่ตน แก่บุคคลอื่น ชีวิตจะมีค่า มีราคาสมความหมาย แม้จะไม่ให้พรว่าขอให้ท่านเป็นสุข ตลอดปี ๒๕๓๓ แต่ถ้าท่านทำเหตุให้เกิดความสุข ท่านก็เป็นสุขด้วยตัวของท่านเอง พรที่ถูกต้องคือว่า ขอให้ทุกคนได้ตั้งตนอยู่ในศีลในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีสัมมาทิฏฐิประจำจิตใจ มีความเห็นถูก เห็นชอบ เห็นควร กระทำแต่สิ่งที่ถูกต้องทุกวันทุกเวลานาทีของชีวิต ตื่นขึ้นแต่เช้าให้ตั้งจิตอธิษฐานว่าปีนี้ข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะทำอะไรด้วยความเสียสละ ข้าพเจ้าจะไม่เห็นแก่ตัว ข้าพเจ้าจะเห็นแก่ส่วนรวมคือประเทศชาติบ้านเมือง และจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เกิดความสุข ความสงบในสังคม โดยการปฏิบัติตนตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จงทั่วกันทุกท่านทุกคนเทอญ
- ส.ค.ส. ๒๕๓๓ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๒