แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา วันนี้เมื่อโยมเข้ามาในวัดก็จะเห็นว่ามีพระมาก นั่งเต็มอาสนะที่ลานไผ่ พระที่มากนั้นเป็นพระที่มาจากต่างจังหวัดเหมือนทุกปีที่เคยกระทำมา เพราะว่าหลายปีมาแล้ว ๘ ปีมาแล้วได้ทำงานชนิดหนึ่งขึ้น คือการอบรมพระธรรมทายาท เพื่อให้ตื่นตัวก้าวหน้าทำงานแก่พระศาสนากันอย่างจริงจัง พระทั้งหลายที่อยู่ต่างจังหวัดท่านไม่ค่อยได้ไปไหน ไม่ได้พบเห็นอะไร คนเราเกิดที่ใดอยู่ที่นั่นก็ไม่ค่อยจะมีความคิดก้าวหน้าอะไร แต่ถ้าได้ไปที่อื่นเสียบ้างได้เห็นอะไรต่างๆนานา มันก็เกิดความคิด เกิดความริเริ่มในการกระทำอะไรต่างๆ เหมือนเมืองไทยเรานี้ ถ้าสมมุติว่านายหลวงรัชกาลที่ ๕ ไม่ได้เสด็จไปต่างประเทศก็คงจะไม่มีการริเริ่มพัฒนาบ้านเมือง แต่เพราะนายหลวงได้ไปที่ยุโรป ๒ ครั้ง ไปครั้งแรกก็ได้เห็นว่า โอ้เขามีความก้าวหน้าอย่างไร ทรงมองเห็นลึกลงไปว่าพื้นฐานแห่งความก้าวหน้าอยู่ที่อะไร อยู่ที่การศึกษาเล่าเรียน กลับมาถึงเมืองไทยก็ทรงเริ่มต้นส่งเสริมการศึกษาในโรงเรียนขึ้นทันที นี่เป็นเรื่องของการพัฒนาเพราะได้ไปเห็นต่างประเทศ
คนที่ไม่เคยได้ไปไหนเช่น อยู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน แล้วไม่เคยไปไหนเลยมันก็เท่านั้น อยู่แต่ในภูเขา เห็นแต่ภูเขา เห็นแต่ป่า ความคิดมันก็จำกัดเพราะไม่ได้เห็นอะไร สมัยนี้ดีขึ้นหน่อยเพราะว่าการไปมาสะดวก คนได้ไปเที่ยวไปเห็นอะไรต่างๆ ในบทพระพุทธคุณมีอยู่บทหนึ่งว่า โลกวิฑรู แปลว่า “ผู้รู้จักโลกอย่างถูกต้อง” พระพุทธเจ้าของเราเป็นผู้รู้โลกอย่างถูกต้อง พระองค์เข้าเรื่องภูมิศาสตร์ เรื่องคน เรื่องอะไรต่ออะไรถูกต้องแล้วก็สอนให้เหมาะแก่คนในท้องถิ่นนั้นๆ ก็เพราะพระองค์ได้เสด็จท่องเที่ยวไป ในที่ต่างๆไม่ได้อยู่แต่ในแคว้นศักยะ จึงมีความรู้ในเรื่องอะไร หลายเรื่อง อะไรหลายอย่าง เพื่อจะให้พระท่านได้มีความรู้อะไรขึ้นบ้าง แม้จะเรียนจบนักธรรมตรี โท เอกแล้วแต่ความรู้ก็ยังจำกัด ไม่มีความคิดในทางที่จะก้าวหน้าทำอะไร เลยเรียกมาอบรมกัน
ไม่ได้เป็นทางราชการอะไร แต่ว่าเป็นงานของวัดที่จัดขึ้น ไม่ได้ขอความคุ้ม อุปถัมภ์ค้ำชูจากกรมการศาสนา ในเรื่องปัจจัยเงินทอง ปีก่อนๆก็ไม่ได้ขอแต่ว่ามาปีนี้เป็นปีที่ ๙ แล้วลองขอหน่อย เลยทำหนังสือขอไป ก็ได้รับคำตอบว่าไม่มีเงินจะให้ เพราะว่ากรมก็ทำอยู่แล้ว ทางกรมทำอยู่แล้ว ก็จริง แต่ว่าทำแบบไม่กี่วัน ๔- ๕ วันแล้วก็ปล่อยไป คือที่ทำนั้นก็ไม่ใช่อะไรงบประมาณมันเหลืออยู่ จ่ายไม่หมดไปทำเอาเดือนกันยาโน้นแหละ ก็เพราะงบประมาณมันเหลือ อันนี้ถ้าส่งคืนไป แหมให้ไปแล้วไม่ใช้ ทีหลังไม่ให้มันก็ไม่ได้ เลยรีบใช้ให้หมด ใช้ให้หมดก็เลยนิมนต์พระมาประชุมกัน ๔-๕ วัน จ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าอาหาร ค่าเจ้าหน้าที่ เดินทางไปพักโรงแรม อะไร ต่อ อะไร ก็อ้าว หมดเงินไปก้อนหนึ่ง แล้วมันก็เรียบร้อยไป ทำอย่างนั้น
ไอ้เราไม่ได้ทำอย่างนั้น ทำตั้งเดือน เอามาอบรมนี้ตั้งเดือนหนึ่ง ให้อยู่ที่นี้ตั้งเดือน ๑๐ วันแรกอยู่กรรมฐานอย่างเคร่งครัด อย่างจริงจัง ๑๐ วัน อีก ๒๐ วันนั้นเป็นเรื่องให้วิชาการ ตอนเช้าให้วิชา ตอนบ่ายหัดพูดหัดสนทนาธรรมะกัน หัดปาฐกถาพอจบหนึ่งเดือนแล้วออกไปปฏิบัติงานต่างจังหวัด ปีนี้จะไปจังหวัดอุบลราชธานี เอาไปส่งที่นั่นแล้วก็ออกไปทุกอำเภอไปเที่ยวเทศน์สอนประชาชนเสร็จแล้วจึงจะกลับมารวมกันอีกทีหนึ่งที่จังหวัดนั้น แล้วก็ไปปัจฉิมนิเทศพูดจากันอีกครั้งหนึ่งแล้วก็ปล่อยกลับบ้าน เพื่อให้ไปอยู่ทำงานต่อไป ได้อบรมมา ๘ ชุดนี่นับว่าได้ผลพอสมควรเพราะว่าพระท่านตื่นตัวขึ้น แล้วก็ทำงานทำการพัฒนาสิ่งต่างๆตามแนวที่เราได้ตั้งใจไว้ให้ดีขึ้น ถึงปีนี้ต้องมาประชุมกันอีกแต่พระเก่าก็มาเหมือนกัน พระรุ่นก่อนก็มาด้วย มาประชุมกันเพื่อจะได้แถลงการณ์ได้ทำอะไรบ้างทำอย่างไร มีอะไรเป็นอุปสรรค มีอะไรขัดข้องก็จะได้ช่วยกันหาทางปัดเป่าแก้ไขกันต่อไป ก็เป็นงานที่สร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมการศึกษาการปฏิบัติและการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้แพร่หลาย เพราะงานเผยแผ่นี้เป็นงานสำคัญที่เราจะต้องทำ
เรามักจะเข้าใจผิดกันอยู่ว่าคนไทยเป็นพุทธบริษัทแล้ว แล้วก็ไม่ไปชักจูงให้เป็นพุทธบริษัทยิ่งยิ่งขึ้นไป นึกว่าเป็นแล้วนี่ แต่ว่าเป็นแล้วไม่ได้เรื่องอะไรเป็นตามประเพณีที่เคยเป็นมา เป็นตามพ่อตามแม่ แต่ไม่ค่อยรู้เรื่องธรรมะเรื่องศาสนา เวลาทางราชการสอบคนเข้าไปทำราชการ เขาลองสัมภาษณ์ถามว่าศีล ๕ มีกี่ข้อ เขาตอบไม่เรียงตามแบบของพระพุทธเจ้า เรียงเสียใหม่ตามชอบใจ แสดงว่าจำไม่ได้ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ๕ ข้อนี่ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักทรัพย์ ห้ามประพฤติผิดในกาม ห้ามพูดมุสา ห้ามดื่มสุรานี่ เขาเรียงใหม่หมด บางทีก็เอาข้อสุราขึ้นต้นแล้วเอาข้อ ๔ มาไว้ตรงข้อ ๒ เอาข้อ ๓ มาไว้ตรงข้อตรงนั้นตรงนี้มันยุ่งไปหมด นี่แสดงว่าไม่ได้เรียนพูดตามเขามาเพราะขาดการศึกษา ถ้าถามไปเรื่องอื่นอีกก็ยิ่งไม่ได้เรื่องใหญ่ มันบกพร่องกันอยู่ แล้วพุทธบริษัทในเมืองไทยเรานั้นให้ดูให้ดี จะเห็นว่ามีความเชื่อเหลวไหลเยอะ เชื่อไสยศาสตร์เชื่ออะไรต่ออะไรที่ไม่เข้าเรื่อง ซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนามีมากมาย แต่พระเราก็ส่งเสริมในเรื่องอย่างนั้น เห็นชาวบ้านชอบก็เลยทำไปตามเขาชอบ ไม่แก้เขา ไม่ขัดเกลาเขา เลยก็ทำให้พุทธศาสนามัวๆมืดๆอยู่ ไม่แจ่มแจ้งเพราะไม่พูดสิ่งถูกต้องให้เขาเข้าใจ
เอาพระมาอบรมนี่ก็แนะนำว่าหัดพูดสิ่งถูกต้องกันเสียที ให้กล้าหาญในการที่จะพูดสิ่งถูกต้องกันเสียที ให้เดินตามรอยเท้าพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เกรงคนนั้นคนนี้ เพราะถ้าเกรงใครๆ ก็สอนธรรมะไม่ได้ เช่น เกรงพวกพราหมณ์ ผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งมีความเชื่อแบบพราหมณ์นั้น พุทธศาสนาก็เกิดไม่ได้ แต่พระองค์ไม่ได้เกรงกลัวคนเหล่านั้น พูดไปตามความจริงในสิ่งถูกต้อง ให้คนได้รู้ได้เข้าใจ แล้วงานหลักของพระพุทธเจ้าคือ งานเผยแผ่ธรรมะ ให้เราสังเกตดูว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนี่ทรงทำอะไร พระองค์ก็ได้พิจารณาถึงธรรมะที่ได้ตรัสรู้ว่าเป็นของละเอียดอ่อนลึกซึ้งยากที่คนธรรมดาสามัญจะเข้าใจได้ ครั้งแรก็ทรงนึกว่าเอ ถ้าจะไปพูดสอนใครนี่คงจะไม่ได้ผล คนเขาจะไม่รู้เรื่องเพราะไม่ใช่เรื่องที่เคยพูดกันมาก่อน คนคงไม่เข้าใจ แต่ว่าเมื่อพิจารณามองลงไปในสระน้ำซึ่งอยู่ใกล้บริเวณนั้น ปลูกบัวไว้ ก็เห็นว่าดอกบัวนี่มี ๔ ประเภท ดอกบัวที่เสมอน้ำพร้อมจะบานเมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงลงมา ดอกบัวอยู่ใต้น้ำที่จะบานในวันต่อไป ดอกบัวที่จะบานได้และดอกบัวที่บานไม่ได้ เน่า เป็นเหยื่อเต่าเหยื่อปลาไป ดอกบัวมี ๔ เหล่า พระองค์ก็นึกว่าคนนี่ก็มีเหมือนดอกบัวเหมือนกัน พวกมีปัญญาแก่กล้าพูดปุ๊บก็เข้าใจปั๊บนั้นมันก็มีอยู่ ที่จะต้องสอนกันนานนาน จึงจะเข้าใจมีอยู่ พวกที่จะพอจูงไปได้เรียกว่า เวไนย เรียกว่า เวไนยสัตว์ หมายความว่าสัตว์ที่พอจูงไป มีอยู่ พวกที่ปัญญาอ่อนสมองเฉื่อยชาไม่ยอมรับอะไรนั้นก็มีอยู่ ก็ต้องปล่อยไปตามเรื่อง พวกที่สอนได้มี จะต้องสอน
พระองค์จึงต้องอธิษฐานพระทัยว่าจะมีชีวิตอยู่ตราบเท่าธรรมะตั้งมั่นในโลกนี้ ถ้าธรรมะยังไม่ตั้งมั่นในโลกนี้จะยังไม่ปรินิพพาน อ่าตั้งพระทัยอย่างนั้น ก็ตั้งพระทัยว่าจะทำงานนั้นแหละ ทำงานสอนคนให้ธรรมะตั้งมั่นอยู่ในโลก ถ้าธรรมะที่พระองค์ได้ค้นพบนั้นยังไม่ตั้งมั่นอยู่ในโลกจะไม่เสด็จปรินิพานก่อน เป็นเจตนาที่เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ชาวโลกทั้งหลาย แล้วพระองค์ก็คิดต่อไปว่าจะไปสอนใคร ปัญหามีต่อไป สอนใคร ใครที่ควรรับคำสอนมีอินทรีย์แก่กล้าพอที่จะรับคำสอนนี้ได้เป็นผู้ใด ก็นึกไปถึงฤๅษี ๒ ท่านที่เคยไปศึกษาวิชาการมาก่อนคือ อาฬารดาบสและอุทกดาบส ท่านทั้งสองนั้นมีความรู้มาก มีสติปัญญาแต่ไปติดอะไรอยู่บางอย่าง ถ้าไปเอาไอ้สิ่งที่ติดนั้นออกไป ก็คงจะถึงความจริงได้ คล้ายกับน้ำมันคั่งอยู่เพราะมีขยะมูลฝอยไปอัดอยู่ เขี่ยขยะออกน้ำก็ไหลพร่องไปทันที แต่ว่านึกท่านสองคนนั้นก็ โอ้ ตายเสียแล้ว เป็นผู้ขาดประโยชน์ที่จะพึงมีพึงได้ไป เพราะสิ้นบุญไปเสียแล้ว
ก็นึกต่อไปว่าปัญจวัคคีย์ทั้งห้านี้เคยมาอยู่ด้วยกัน ทำความเพียรร่วมกันทุกข์ร่วมกันมาเป็นเวลานาน แต่ครั้นเห็นพระองค์เปลี่ยนแนวคิดการกระทำมาเป็นผู้เสวยอาหารบำรุงร่างกายให้แข็งแรง การที่ทำเช่นนั้นเพราะพระองค์เห็นว่าถ้าเราร่างกายอ่อนแอจิตใจจะแข็งแรงได้อย่างไร จิตใจเข้มแข็งต้องอยู่ในร่างกายที่เข้มแข็ง เลยเปลี่ยนไม่ทรมานร่างกายต่อไป แต่เสวยอาหารบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ฤๅษีทั้งห้า นั้นคิดว่าไม่ไหวแล้ว พระสมณโคดมนี่คลายความเพียรเวียนมาเพื่อความสุขความสบายแล้ว เราอยู่ร่วมกันไปก็คงจะไม่ได้ประโยชน์อะไร ไปกันเถอะเลยหนีไปกันหมดทั้งห้าท่าน หนีไปอยู่เมืองพาราณสี พระองค์ทรงทราบว่าหนีไปอยู่ที่นั่น ก็คิดว่าต้องไปสอนเพราะท่านเหล่านี้มีปัญญาพอสมควรแล้ว ก็ออกเดินทางไปเพื่อสอนธรรมะ เริ่มงานแล้วเริ่มงาน แต่ว่าเป็นงานทดสอบก่อนไม่ใช่เอาจริงเอาจัง ทดสอบว่า จะได้ผลหรือไม่ ก็ไปพบปัญจวัคคีย์แล้วก็สอนกันจนได้เรื่องได้ราวเข้าใจความหมายได้บวชในพระพุทธศาสนา แล้วในพรรษานั้นก็มีศิษยานุศิษย์ (13.50) จำนวน ๖๐ รูปบรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์หมด ทรงเห็นว่ามีกำลังคนที่จะช่วยปฏิบัติงานได้ต่อไปแล้ว ก็เลยประชุมสาวกเหล่านั้น ณ ที่แห่งหนึ่ง พระองค์ประทับยืนแล้วก็ประกาศแก่สาวกเหล่านั้นว่า “เธอทั้งหลายพ้นแล้วจากบ่วงเป็นทิพย์ พ้นแล้วจากบ่วงของมนุษย์” คำว่าบ่วงหมายความว่า “สิ่งผูกพันจิตใจ” พระอรหันต์นั้นท่านตัดบ่วงหมดแล้ว พวกเราชาวบ้านนี้ยังบ่วงผูกพันอยู่ บ่วงบุตรผูกคอ บ่วงภรรยาผูกมือ บ่วงทรัพย์ผูกเท้าอะไรนี่ เหมือนโคลงโลกนิติว่า “มีบุตรบ่วงหนึ่งเกี้ยวพันคอ ทรัพย์ผูกบาทาคลอ หน่วงไว้ภรรยาเยี่ยงบ่วง ปอ รึงรัด มือนา สามบ่วงนี้ใคร พ้นได้ ก็พ้น สงสาร” ไอ้สามบ่วงนี้ใครมีกันทั้งนั้นแหละ จะมาวัดสักประเดี๋ยวประด๋าว หุ้ย เป็นห่วง ห่วงบ้าน ห่วงช่อง ห่วงนั่น ห่วงนี้ นั่งฟังธรรมก็ไม่สบายใจ นี่มัน ติดบ่วง บ่วงของมนุษย์นี้ อันนี้บ่วงทิพย์คือว่าความสุขในสวรรค์ ความสุขที่ยิ่งขึ้นไป แต่หลีกไม่พ้นจากเรื่องกามอารมณ์ อันก็ยังอยู่ในบ่วงแต่พระอรหันต์พ้นแล้วจากบ่วงเหล่านี้
พระองค์ก็บอกว่าเธอพ้นแล้วจากบ่วงที่เป็นของมนุษย์และของทิพย์ เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่มหาชน จงประกาศพรหมจรรย์อันไพเราะเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดแก่เขา คนที่มีไฝ ฝ้า บังดวงตาน้อยๆมีอยู่แต่เพราะไม่ได้ยินได้ฟังเขาจึงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เธอจงไปทำให้เขารู้ ไปพูดให้เขาฟังอย่าไปทางเดียวกันสองรูป ไปทางทีละรูป ต่างคนต่างไปเพราะคนน้อย จะได้ทำงานมากหน่อย และพระองค์เองก็จะไปเหมือนกันนี่คืองานเริ่มต้นของพระพุทธเจ้า
งานเผยแผ่ธรรมะเป็นงานสำคัญของพระผู้มีพระภาค และสาวกทั้งหลาย ตลอด ๔๕ ปีของพระชนม์ชีพของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำงานเผยแผ่อย่างเดียวไม่มีงานอื่น สอนธรรมะอย่างเดียว งานอื่นไม่มี อันนี้เป็นเรื่องน่าคิด แล้วอีกประการหนึ่งพระองค์อยากจะให้ภิกษุทั้งหลายรับธรรมทายาท ไม่รับอามิสทายาท แล้วได้ตรัสไว้ในพระสูตรธรรมทายาทสูตร “บอกว่าภิกษุทั้งหลายเธออย่ารับอามิสของเราเลย แต่จงรับธรรมะของเราเถิด” อามิสคือสิ่งของวัตถุเป็นอามิสเป็น อามิสทายาท เป็นผู้รับมรดกทางวัตถุ พระองค์ไม่ต้องการให้รับทางวัตถุ แต่ให้รับมรดกธรรมะคือหลักคำสอน เอาไปปฏิบัติเอาไปเผยแผ่ให้แพร่หลายต่อไป ทรงสอนอย่างนั้น ให้ภิกษุได้กระทำกิจอย่างนั้น
ลาภผลสักการะเกิดมากในพุทธศาสนา บางครั้งบางคราวเกิดมาเหลือเกิน เช่นยุคพระเจ้าอโศกมหาราชนี้ลาภผลเกิดมาก จนมีนักบวชในลัทธิอื่นเข้ามาปลอมบวชในพระพุทธศาสนา ตัวบวช บวชกายแต่ว่าใจไม่ได้บวช แล้วก็ไปสอนลัทธิที่ผิดจากคำสอนของพระพุทธเจ้า คนทั้งหลายได้ยินได้ฟังก็โพนทะนากันว่า “โอ้ พระพวกนี้ไม่ได้สอนคำสอนของพระพุทธเจ้า” แต่สอนลัทธินั้นลัทธินี้ มันมากมายก่ายกองเข้ามาบวชก็เพื่อลาภสักการะ เพื่ออาหาร เครื่องนุ่งห่ม เพื่ออะไรต่ออะไร พระเจ้าอโศกมหาราชทรงทราบข่าวนี้ ก็จัดการเด็ดขาดเผด็จการเหมือนกัน จัดการประชุมใหญ่ แล้วก็ให้พระมหาเถระที่มีความรู้ความเข้าใจพุทธศาสนาถูกต้องเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นแหละ ให้เรียกมาถามทีละรูป ทีละรูป ถ้าตอบถูกต้องออกประตูนี้ ถ้าตอบไม่ถูกไปประตูโน้น ไอ้ประตูที่ไม่ถูกนี่ไล่ออกไปเลย ไล่เสร็จเลย ศึกซะเป็นจำนวนมากมาย เพราะว่ามาทำลายพุทธศาสนา เลยขจัดเสี้ยนหนามของพระพุทธศาสนาออกไปได้ อันนี้เกิดมาก็เพราะลาภสักการะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สักการูป ปริหัง หันติ” สักการะฆ่าคน สักการะนี้มันฆ่าคน ลาภผลนี้ฆ่าคน ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านเป็นชาววัด ถ้าหลงใหลมัวเมาในลาภผลแล้วถูกฆ่าตายเลย ไม่ได้ตายทางร่างกายแต่ว่าใจตายจากคุณงามความดี พอไปติดลาภติดสักการะแล้ว มันก็ทิ้งความงามความดี เอาแต่เรื่องลาภทางใดได้ลาภเอาทั้งนั้น ก็เลยทำสิ่งเลอะเทอะในทางพุทธศาสนาเพื่อเอาลาภเอาผล ทำให้เกิดความเสื่อมแก่พระศาสนา ก็เลยต้องทำสังคยานา การทำสังคยานาแต่ละครั้งนั้นเป็นการชำระสะสางเสี้ยนหนามของพระพุทธศาสนาออกไปให้เหลือแต่ผู้บริสุทธิ์ที่เข้าใจพระพุทธศาสนาถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง สอนถูกต้อง เรื่องมันเป็นมาอย่างนั้นจึงได้กระทำกันอยู่
พระพุทธเจ้าท่านทรงทราบดีในเรื่องนี้ ว่าในการต่อไปในข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น มีอยู่ในพระสูตรแห่งหนึ่งพระองค์ตรัสว่าสิ่งนี้ยังไม่เกิดในบัดนี้ แต่จะเกิดขึ้นในกาลต่อไปข้างหน้า และก็เหมือนที่พระองค์ตรัสไว้ เหตุการณ์ทั้งหลายมันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วพระองค์บอกว่าเมื่อเกิดขึ้นให้ทำอย่างไร ทรงแนะวิธีแก้ไขไว้เรียบร้อยว่าต้องทำอย่างไร หรือว่าจะมีธรรมะแปลกปลอมเข้ามาในพระพุทธศาสนา พระองค์ก็ทรงทราบว่าต่อไปจะมีอะไรแปลกปลอมเข้ามา ก็ให้หลักตัดสินธรรมะวินัยไว้ เช่นให้หลักไว้ว่า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ เป็นไปเพื่อการสะสมของกิเลส เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ เป็นไปเพื่ออะไรอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ธรรมวินัยของตถาคต อันนี้อะไรมันมาก็เอาหลักนี้เข้าไปจับได้ จับในทางธรรมะก็ได้ในทางวินัยก็ได้ ก็ทรงวางหลักไว้เรียบร้อยสำหรับเป็นเครื่องกลั่นกรองว่าอะไรเป็นธรรม อะไรเป็นวินัย อะไรไม่เป็นธรรมะ อะไรไม่เป็นวินัย ก็จะได้แก้ไขปรับปรุงกันให้ดีขึ้น พระองค์มุ่งอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงบอกกับพระทั้งหลายว่าอย่าเป็นอามิสทายาท อย่าเอาแต่วัตถุเอาธรรมะให้มากหน่อย
แต่ว่าต่อๆมามันก็ก็เปลี่ยนไป เพราะว่าการสนใจธรรมะลดน้อยลง ไปติดวัตถุกันเหมือนกัน คือพระเรานี่มาสร้างวัดสู่กันมาก สร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างเจดีย์ สร้างพระพุทธรูป แล้วก็ชอบสร้างใหญ่ๆ เมื่อสร้างใหญ่เงินมันก็ไม่พอ เมื่อไม่พอก็ต้องหาวิธีการหาเงิน คนชอบอะไรก็ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องเหลวไหลก็เกิดขึ้นมากมาย ในวงการของพระสงฆ์องค์เจ้าเรา เพราะเรื่องการก่อสร้างนี่เอง แล้วทางการก็ส่งเสริมเรื่องการก่อสร้าง เช่นพระจะได้เลื่อมสมณศักดิ์ นี่จะต้องรายงานว่าสร้างอะไรบ้าง สร้างสิ้นเงินเท่าไหร่ ถ้าในกรุงเทพฯนี่จะต้องสิ้นเงินประมาณ ๓ ล้านจึงจะได้เลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์ ถ้าหัวเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี่สักแสนสองแสน ภาคใต้ก็เพิ่มไปอีกหน่อยเพราะการเงินดี ความจริงพระนี่ไม่มีการเงินดีอะไรหรอก แต่ตั้งฐานไว้อย่างนั้น
เมื่อก่อนก็ไม่รู้เพราะไม่มีโอกาสได้เข้าไปร่วมการบริหาร ไม่ได้เป็นอะไรกับเขา แต่ต่อมาก็ได้เป็นรองภาคนิดหน่อย รองภาค ๑๘ เจ้าคุณเจ้าคณะภาคท่านอยู่พัทลุง เวลาประชุมอะไรที่กรุงเทพฯท่านก็ไม่มา ท่านบอกว่า เอ๊า ประชุมกับเขาหน่อยก็ไปประชุมทุกครั้งโดยเฉพาเวลาพิจารณาเลื่อนสมณศักดิ์ ก็ไปประชุมเขาตั้งแบบไว้ให้ ว่าต้องอย่างงี้อย่างงั้น พอไปดูแบบที่ตั้งไว้ก็สังเวชขึ้นมาทันที ว่าโอ้โห้อย่างนี้มันจึงไม่ก้าวหน้า เพราะไปเอาวัตถุทั้งนั้น วัดไหนสร้างเท่าไหร่จึงจะได้ สร้างกุฏิ สร้างโบสถ์ สร้างเจดีย์ สร้างพระ สร้างอะไรต่ออะไรรายงานเป็นไปอย่างนั้น พระที่อยากได้เลื่อนสมณศักดิ์ก็เลยสร้างกันใหญ่ เพื่อให้มันจำนวนเงินมากๆ เลยละเลยธรรมะยุ่งกับเรื่องการก่อสร้าง การก่อสร้างนี่มันเป็น เป็นอุปสรรคแก่การศึกษาปฏิบัติธรรมะ เพราะเมื่อสร้างแล้วมันก็ยุ่งไม่ได้ศึกษาอะไรหรอก ยุ่งกับวางแผนว่าจะหาเงินอย่างไร จะแจกฎีกาอย่างไรจะทำโดยวิธีใด จะจัดงานวัด เอาดนตรีวงไหนมาแสดงให้คนมันมามากมากหน่อยคนจะได้เงินมากมาก แต่ได้เงินมาก กรรมการเอาไปเสียครึ่งหนึ่ง วัดได้ครึ่งเดียวเท่านั้นเอง เขาจึงร้องเพลงว่ากรรมการครึ่งหนึ่งวัดครึ่งหนึ่งอย่างนี้ มันก็ไม่ค่อยได้อะไร แต่ว่าความนิยมเป็นอย่างนั้น เลยละเลยต่อการศึกษาพระไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือ ไม่มีเวลานั่งคิดค้นในเรื่องธรรมะ เพราะยุ่งแต่เรื่องการก่อสร้าง นี่มันเสียหาย
อาตมาเลยเห็นว่ามันต้องเปลี่ยนแนว เปลี่ยนแนวไม่ก่อสร้าง แต่ว่าเราจะต้องเผยแพร่ธรรมะก่อน อาตมาก็คิดมาตั้งแต่ นานแล้ว ตั้งแต่หนุ่มๆคิดว่าเราจะต้องเทศน์สอนคน เพื่อวัตถุเอาไว้ทีหลัง แล้วก็เริ่มเทศน์มาเรื่อย ไปอยู่ที่ไหนก็เทศน์ ก็เทศน์เรื่อย มีสภาพอย่างใดก็เทศน์อย่างนั้น ศาลาอย่างไรก็เทศน์ไปอย่างนั้น ไม่มีศาลาตรงไหนก็นั่งฟังเทศน์กันได้ เอ้าเทศน์กันไป คนมันค่อยฟังมากขึ้น มากขึ้น เขารำคาญในการที่ต้องมานั่งในที่อย่างนั้น แล้วเขาก็สร้างของเขาเอง เราไม่ต้องยุ่งอะไรนั่งดูเขาเฉยๆ เขามาหาเงิน เขาสร้างหาช่างมาทำกันไป เราคอยแต่จะเทศน์จะสอนมันทำอย่างนั้น ไปอยู่ที่สงขลาก็ทำอย่างนั้น วัดที่อยู่นั้นไม่ค่อยเจริญเท่าไหร่ แต่ว่าก็เทศน์มันทุกวันพระ เทศน์ทุกคืน ก็มีคนมาฟัง ก็เทศน์เทศน์เรื่อยๆไป คนค่อยเพิ่มมากขึ้น มาฟังมากขึ้น หลังคารั่วหน้าฝนฤดูนี้ลมมันแรง ตามตะเกียงก็เดี๋ยวดับ เดี๋ยวดับ แต่ไม่ต้อง ไม่ต้องมีแสงก็ได้ หูมันไม่ต้องการแสงตามก็เท่านั้น ดับก็ดับไป บอกว่าดับไปอย่าไปหรอกโยมฟังได้ หูได้ยินก็แล้วกัน ไม่ต้องดูหน้าพระพูดเทศน์ก็ได้เพราะรู้จักอยู่แล้วว่าหน้าตาเป็นยังไง เป็นไป เขาก็รำคาญแล้วก็เอาไฟฟ้าเข้ามา ไฟฟ้าเข้ามา คราวนี้ฝนตกหลังคามันรั่ว ไอ้คนนั่งฟังเทศน์ก็เปียกปอนไปตามตามกัน พระไม่เป็นไรเพราะพระธรรมมาสน์ มีหลังคาอีกที่หนึ่ง เลยนั่งเทศน์เฉย ไม่รู้ไม่ชี้ โยมเปียกก็เปียกไป คราวนี้วันรุ่งขึ้นโยมก็มาดู อ้าวแล้วกันหลังคารั่ว เขาก็มาช่วยกันซ่อม เพราะว่าเขาต้องการจะมานั่งฟังธรรมเขาก็ซ่อมต่อไป เราก็ไม่ต้องลำบากอะไร ทำนโยบายเรื่องเทศน์อย่างเดียว คิดว่าจะเทศน์จะสอน
ไปอยู่ไหนก็ทำอย่างนั้นแหละ ไปอยู่เชียงใหม่ก็เหมือนกันไปเทศน์พักเดียว เทศน์จนกระทั่งว่าเขาสร้างอะไรต่ออะไรให้ตามเรื่องของเขา มาอยู่วัดนี้ก็ไม่ได้มาสร้างอะไรก่อน มาเทศน์ก่อน ถ้าโยมเคยมาวัดนี้ตั้งแต่แรก อาตมาไม่ได้สร้างอะไร เทศน์ก่อนเทศน์ เทศน์ เทศน์ เทศน์วิทยุ เทศน์อะไรต่ออะไรเรื่อย เรื่อย คนมันค่อยมากขึ้น คนมากขึ้นก็ศาลาข้างหน้ามันไม่สะดวก ก็ต้องมาสร้างหลังนี้ เพราะคนเพิ่มขึ้น วางแผนว่าต้องทำบริเวณให้ร่มรื่นเป็นสวนตามที่เราเห็นอยู่ ไอ้ความจริงที่ตรงนี้มันไม่มีอะไร มีทุ่ง ทุ่งนาแม้แต่ไม้สักต้นก็ไม่มี ก็มีแต่หญ้าเท่านั้นเอง พวกอนุรักษ์ธรรมชาติเขามาช่วยปลูกทีหนึ่งตายเกลี้ยง ก็เอาเด็กมาปลูกเด็กเคลียร์ เคลียร์ดินแล้วก็ปลูกทิ้งทิ้งไว้ อาตมาไปเดินดูบอกว่า ไอ้อย่างนี้มันก็เรียบร้อย ตายเรียบร้อย มันปลูกอย่างนั้นไม่ได้ ก็เลยปรึกษากันกับพระว่าต้อง ต้องหาวิธีปลูกใหม่ไปขอพรรณไม้เอามาเลี้ยงไว้ก่อนให้มันโตสักครึ่งเมตร แล้วก็เตรียมหลุม เตรียมสถานที่แล้วก็ปลูก ปลูกจนกระทั่งร่มรื่นนี่แหละ ก็ทำไป อันนี้ไม่ต้องลำบากไม่ต้องเรี่ยไร่เงินจากโยม เพราะเราปลูกเองได้ แต่เมื่อคนมากขึ้นก็ต้องมีสถานที่ก็เลยสร้างศาลานี้ขึ้น แล้วต่อมาคนมาบวชมากขึ้นกุฏิมันก็ไม่พอ ก็เลยต้องสร้างไอ้ที่สี่เหลี่ยมให้พระได้อยู่มากขึ้น แต่ก็มาเรื่อย เรื่อย สร้างขึ้นเรื่อยเรื่อย โรงเรียนวันอาทิตย์มันอยู่นอกวัดไม่สะดวกก็สร้างโรงเรียนวันอาทิตย์ขึ้น มันเป็นไปอย่างนั้น
ไม่มีปัญหาอะไร เพราะญาติโยมเขาเห็นประโยชน์ในธรรมะแล้ว เขาก็บริจาคเงินช่วยกันก่อสร้าง แม้จะสร้างตึกโรงพยาบาลนี่ก็ใช่ว่าจะเดือดร้อนเสียเวลาอะไร เพราะว่าไม่ต้องไปวิ่งไปหาเงินที่ไหนโยมเอามาให้เอง เอามาให้ทุกวัน วันเสาร์วันอาทิตย์เอามามากหน่อย วันอื่นก็มา อย่างนี้ถ้านั่งอยู่กุฏิเขาเรียกว่าเปิดที่ทำงานธนาคารวัดทุกวัน คอยรับเท่านั้นเอง มากันเรื่อยเรื่อยนะ ก็ไม่ต้องลำบากยากเข็ญอะไร ไม่ต้องไปปลุกเสกอะไรขาย หรือไม่ต้องล่อว่าทำอย่างนั้นจะให้อย่างนี้ ไม่มี ไม่ลำบาก อาศัยธรรมะอย่างเดียว เทศน์อย่างเดียว สอนอย่างเดียว อันนี้อบรมพระก็แนะแนวอย่างนั้น บอกให้พวกเราไปสอนคนอย่าไปคิดถึงวัตถุ อย่าไปคิดว่าจะสร้างอะไรจะทำอะไรสอนก่อน สอนไป สอนไป สอนไป คนมันค่อยรู้เข้าใจธรรมะ เห็นประโยชน์ธรรมะ เมื่อเขาเห็นประโยชน์ธรรมะเขารับธรรมะ เขาก็อยากบำรุงผู้ให้ธรรมะ อยากบำรุงสถานที่ที่เขามาใช้เพื่อธรรมะต่อไป เขาทำของเขาเองไม่ลำบากอะไรนี่ ในศาลานี้เมื่อก่อนไม่มีพัดลมสักตัว คนมาฟังนี่ก็ฟังไปสิ อาตมาก็ยืนเทศน์ไปอย่างนี้แหละ ไม่ ก็ไม่ได้ร้อนอะไรอาตมาก็ไม่ได้ร้อน แต่โยมจรูญ เนียมสกุลนี่เป็นพี่คุณประหยัด เนียมสกุลที่มานั่งอยู่นี่ มาเห็นก็ “โอ้หลวงพ่อ คนมากมาก มันร้อนนะผมจะติดพัดลมให้” อ่าก็มาติดสิ ไอ้คนติดติดพัดแล้วก็ไม่ได้มานั่งฟังนะ คือตายไปเสียก่อน เลยไม่ได้มาฟัง นี่ติดพัดลมให้ติดแนวกลางก่อน แล้วต่อมาคนเห็นโฮ้ ก็ข้างข้างควรติดด้วยไป บางตัวมันเสียแล้วแต่ไม่ได้เปลี่ยน อาตมาก็ยังไม่เปลี่ยน เพราะว่าโยมเห็นเขาเปลี่ยนของโยมเองแหละ เพราะโยมอยากเย็นนี่ อาตมาไม่ได้ร้อนนี่ ก็เทศน์ไปตามเรื่อง แล้วก็มาเรื่อยเรื่อยแหละอาตมาเห็นมาเอง คือว่าเขาเห็นว่ามันเป็นโยชน์ก็เอามาให้ เขามาทำ ก็มาด้วยธรรมะทั้งนั้น ฉะนั้นต้องการให้พระเราเปลี่ยนแนว แนวคิดการกระทำ คือว่า อย่าไปยุ่งกับวัตถุก่อนให้ยุ่งกับธรรมะ
ถือหลักสอนธรรมะไว้ เอาอย่างพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถ้าเป็นหน้าฝนต้องอยู่จำพรรษา ก็สร้างกระต๊อบเล็กเล็ก มุงบังด้วยใบไม้พออยู่ได้เท่านั้นเอง อยู่ชั่วคราว ๓ เดือน พอพ้น ๓ เดือนพระไปแล้วมันก็พังไปตามสภาพของธรรมชาติไม่ได้สร้างใหญ่โตอะไร เราไปอินเดียไปเห็นสร้างวิหารใหญ่ๆ อันนี้มันมาทีหลังไม่ใช่ของยุคพระพุทธเจ้า มันยุคหลัง ยุคพระเจ้าอโศกมหาราช คือยุคอโศกนี้มีการสร้างอะไรด้วยอิฐทำแข็งแรง เขาก็สร้างกันเช่นไปสร้างวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ไปเห็นซากที่สารนาถเมืองราชคฤห์ มาทีหลังทั้งนั้น พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วตั้งเป็นร้อยกว่าปี สิ่งเหล่านั้นจึงเกิดขึ้นเป็นของใหญ่ๆโตๆ แต่ยุคพระพุทธเจ้านั้น ท่านนั่งเทศน์ตามใต้ต้นไม้ ตามทุ่งตามป่า คนก็ไปฟังกัน ไปบ้านไหนก็ไปเทศน์กันใต้ร่มไม้ ร่มไม้อินเดียมันก็เยอะแยะ ไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้คนมาคนสองคนเดี๋ยวก็มากันใหญ่ พระองค์ก็เทศน์ให้ฟังเทศน์อย่างนั้น พักสักคืนหนึ่ง สองคืน ถ้าหมู่บ้านใหญ่ก็พักสองคืน แล้วก็เดินทางต่อไป คล้ายกับพระธุดงค์ แต่ไม่มีกลดพระพุทธเจ้าท่านเดินไปเบาๆมีจีวรสามผืน มีบาตรใบหนึ่งแล้วก็ไปเรื่อยๆไป ท่านทำงานอย่างนั้น
อันนี้สมัยนี้เรานั้นอยู่เป็นวัดภาระในวัดเยอะ ยิ่งเป็นสมภารแล้วก็เรื่องมาก เพราะต้องบริหารหมู่บริหารคณะไม่ค่อยมีเวลาไปไหน เป็นห่วงวัดวาอาราม เลยไปไม่ได้ อย่างนั้นมันก็ติดแจอยู่ มีสายโซ่ผูกมัดเท้าเอาไว้กับกุฏิ กุศาลาอะไรต่ออะไรอย่างนั้นล่ะ มันไปไม่ได้ มันเลยไม่ได้ไปไหนไม่ได้ไปสอนคน แล้วอีกอย่างหนึ่งก็เพราะคิดว่าที่นั่นก็มีวัดที่นี้ก็มีวัด ไม่ต้องไปสอนก็ได้ แต่ว่าวัดมีแต่เสียงธรรมะไม่มีก็เยอะ พระมีแต่ว่าพูดธรรมะไม่เป็นก็มากเหมือนกันมันเป็นปัญหา คนพุทธบริษัทก็ไม่รู้สิ่งเหล่านั้น สมัยก่อนไม่เป็นไร สมัยก่อนไม่เป็นไร เพราะอะไรคนมีความเชื่อในทางศาสนา ไม่มีสิ่งอื่นมาดึงออกไป แต่เดี๋ยวนี้ความเจริญในทางด้านวัตถุมีมาก โรงหนังโรงละคร สถานยั่วยุให้คนทำชั่วมีมากมาย อันนี้ก็ ความเชื่ออย่างเดียวมันไม่พอแล้ว ก็คนก็ถูกดึงไป ดึงไปดูหนังไปฟังเพลง ไปอะไรต่ออะไรจากเรื่องต่างๆที่มันเกิดขึ้น อันนี้ธรรมะไม่มีในใจของคนเหล่านั้นเมื่อเขาไม่สมใจไม่สมหวังในเรื่องอะไร ก็เกิด โทสะขึ้นมาก็ฆ่ากันตาย แล้วอาวุธที่จะใช้มันก็มากไม่เหมือนเมื่อก่อน สมัยก่อนโกรธกันก็ไม้พู่ๆทุบหัวกันทีหนึ่งพอให้เลือดออกซิบๆ เออะสบายใจแหละกูได้เอาเลือดมันออกแล้วมันก็เท่านั้นล่ะ เดี๋ยวนี้ความโกรธมันเหมือนเดิม แต่อาวุธมันร้ายแรง เปรี้ยวเดียวเรียบร้อย ตายกันไปเป็นแถวนี่ ความเจริญทางวัตถุ ธรรมะวิ่งไม่ทันเพราะเราไม่ตื่นตัวไม่คิดก้าวหน้า อยู่แต่ในวัดไม่ออกไปนอกวัดเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในทางด้านจิตใจ ทำให้คนมองว่าพระนี้ไม่ทำอะไร
คนสมัยใหม่พวกนักเศรษฐกิจบางคนเขาบอกว่าพระนี่ไม่ทำอะไร ไม่ ไม่ ไม่ได้ผิดอะไรเพราะเราไม่ได้ทำอะไรจริงเหมือนกัน เขาจึงมองอย่างนั้นเพื่อแก้ภาพพจน์ของพระเราก็ต้องเอามาพูดให้เข้าใจ ว่าหน้าที่ของเราคืออะไรเราควรทำอะไร เป็นขั้นเป็นตอนไปบวชเข้ามาแล้วก็ต้องศึกษาเล่าเรียนให้มีความรู้ พอจะสอนคนได้ พอมีความรู้สอนคนได้แล้วปฏิบัติให้มันเป็นตัวอย่างแก่ชาวบ้าน แล้วก็ต้องไปสอนเขา มีโอกาสพบชาวบ้านเมื่อไรก็ต้องไปสอนเขา อย่าไปสวดอยู่เสมอไปให้สอนชาวบ้าน เช่นว่า นิมนต์ไปที่บ้านไปสวดมนต์เขาฟังไม่รู้เรื่อง ไอ้สิ่งที่สวดเป็นเรื่องดีทั้งนั้น มงคลสูตรนี่วิเศษเหลือเกิน พวกปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ถ้าใครรู้ความหมายเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ชีวิตเป็นมงคลตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้ไม่เข้าใจความหมาย ถ้าเราไม่สอนเขาก็ไปสวดก็คนก็ไม่เข้าใจ งานศพก็เหมือนกัน ไม่สอน เอาแต่สวด สวดหลายครั้ง ๓ ครั้ง ๔ ครั้งเสร็จแล้วก็ คนก็กินข้าวต้มกัน บางคนก็เอาเหล้ามาปนน้ำชา พระไม่เห็น กินแล้วชักจะเอะอ่ะมะเทิ่งขึ้นมา อ้าวมันเมาแล้ว กินน้ำชาเมาเข้าไปแล้วไม่ได้ช่วยแก้ไข มีงานศพเอาการพนันมาเล่นรอบศาลาเต็มไปหมด อาตมาไปที่วัดที่ปักษ์ใต้แถวหาดใหญ่ ไป รู้จักกัน สมภารคุ้นกันมาก เลยเข้าไปก็ไม่ได้ที่สมภาร แต่ไปเดินดูก่อนบริเวณศาลา เปิด เล่นโอปั่น โอ๊ะ หลายวงเล่นกัน โอ๊ะตายแล้วสมภารวัดนี้อยู่อย่างไร เลยต้องไปบอกว่า
นี่ นี่ นี่ ท่านสมภารนี่อยู่กันยังไงนี่ เอาหูไปนาเอาตาไปสวนไว้ที่ไหน ไม่ดูข้างศาลามั่งเขาทำอะไรกัน
รู้แล้ว เห็นแล้ว
แล้วทำไมไม่พูด
ไม่ได้พูดกับมันไม่ได้ เดี๋ยวมันเอาระเบิดมาขว้างกุฏิ
มันนักเลงเต็มเมืองแล้ว เพราะเราละเลยการสอนมาเสียนาน นักเลงเลยเต็มเมือง
บอกว่ามันก็ต้องค่อยพูดค่อยจากันไปสิ ให้มันรู้เรื่อง ตั้งเป็นกฎกติกาขึ้น ใครจะมาทำศพวัดนี้ต้องอย่างงั้น อย่างงั้น แล้วค่อยคุมค่อยว่าไป
เอ่อ ยังไม่ได้ทำ คิดอยู่
คิดอยู่จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นทำเสียที แก่แล้วสมภารนี่แก่แล้ว เข้าโรงพยาบาลแล้วก็ยังไม่ได้ทำสักทีอย่างนั้น อันนี้ก็ต้องเอาคนหนุ่มหนุ่มมากระตุ้นใหม่ มาฉีดยาใหม่ให้มีกำลังใจที่จะทำอะไรกันต่อไปเรื่องมันเป็นอย่างนี้ จึงต้องทำงานอย่างนี้ขึ้น แล้วผู้ที่ออกไปแล้วเขาก็พัฒนา บางรูปเอางานมาก ไปถึงก็เปลี่ยนทีอะไรในหมู่บ้าน ทำอะไรต่ออะไรดีขึ้น ไปสอนคนให้เลิกดื่มเหล้าให้เลิกขายเสียด้วยนะ เลิกขายเป็นทั้งอำเภอเลย เลิกหมดทั้งตำบลทั้งอำเภอ จนชาวบ้าน เอ่อนายอำเภอ สรรพสามิตอำเภอถูกต่อว่าจากเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ ว่าอะไรไม่ดูแล เหล้าเถื่อนคงจะเต็มอำเภอแล้ว ขายของหลวงไม่ค่อยได้ ขาย ขายเหล้าโรงไม่ได้เพราะเหล้าเถื่อนคงจะมาก ไม่ใช่อย่างนั้นคือคนมันไม่ดื่มจึงขายไม่ออก ไม่ใช่มีเหล้าเถื่อน คนมันไม่ดื่ม เพราะท่านเทศน์ไม่ให้ดื่ม เทศน์บ่อยๆคนไทยเรานั้นไม่ใช่พวกกระด้าง ไม่ใช่บัวใต้น้ำ บัวปริ่มน้ำแต่มันไม่มีแสงธรรมะส่องลงไป ก็เลยไม่บานหุบอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา หุบกันจนเน่า เข้าโลงไปนั่นแหละ เพราะไม่มีแสงธรรมไปส่อง อันนี้กระตุ้นให้เอาธรรมะไปส่องไปพูดไปจาพูดบ่อยๆ สอนบ่อยๆเขาก็เกิดละอายขึ้นบ้าง เพราะไปเทศน์บ่อยๆ ที่พัทลุงนี่ท่านเจ้าคุณ เจ้าคณะภาค ท่านส่งพระไปคุยกับนักโทษทุกวันในเรือนจำ ไม่ได้ไปเทศน์ไปคุย เอามาสัก ๑๐ คนมานั่งใต้ต้นมะขามในเรือนจำ คุยกัน คุยกัน ทุกวัน ทุกวัน จนนักโทษเวลาออกไปแล้วบอก กูไม่ ไม่ทำชั่วให้เข้าคุกอีกต่อไป ถามเพราะอะไร พระไปด่าทุกวันทุกวันกูรำคาญ มันหาว่าอย่างนั้น คือว่าพระไปสอนทุกวัน มันบอก พระไปด่ามากูทุกวัน ทุกวัน กูรำคาญกูจะไม่ติดคุกต่อไป อ่า มันก็ดีเหมือนกันแหละ อย่างนั้น ก็เพราะว่าไปสอนนั่นเอง ไปสอน ไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่เรือนจำ เจ้าหน้าที่ก็ดี ว่ามาเลยครับ ท่านเจ้าคุณส่งพระมาก็ไปสอนทุกวันแหละจนมันรำคาญ แต่มันเลิกไง แต่นี่มันพูดเป็นเชิงตลก บอก กูรำคาญ พระมาด่าทุกวันกูไม่อยากขโมยแล้วโว้ย แล้วมันก็เรียบร้อยเหมือนกัน ก็ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ
คนเราถ้าได้ยินอะไรบ่อยๆมันก็ดีขึ้น อันนี้ต้องแนะวิธีว่าควรจะสอนอย่างไร สอนเด็กอย่างไร สอนหนุ่มสาว สอนผู้ใหญ่ จะอะไรอย่างไร หมู่บ้านไหนควรจะสอนอะไรมันต้องมีเทคนิคในการเทศน์การสอน อันนี้มันต้องให้ ต้องบอกเขาจึงได้มาทำอย่างนี้ มาอบรมกันเป็นเวลาดังที่กล่าวแล้ว เพื่อให้สิ่งทั้งหลายดีขึ้น เวลานี้เรามันต้องตื่น พุทธบริษัทนี่ต้องตื่นตัว ต้องถือหลักว่าตื่นตัว ว่องไว และก้าวหน้า ถ้าไม่ตื่นมันก็จะไปไม่รอด นึกถึงคำพูดของท่านธรรมปาละอุบาสกชาวลังกา คนคนนี้เป็นลูกคนร่ำรวยเป็นลูกหัวปีแต่ว่าในขณะท่านเกิดนั้น พุทธศาสนาในลังกาถูกบีบคั้นมากจากฝรั่งที่มาปกครองบ้านเมือง มีหลายเรื่องหลายอย่างท่านเป็นคนที่เป็นเด็ก เมื่อเป็นเด็กก็ไปเรียนโรงเรียนของพวกสอนศาสนา แต่ว่าไม่เป็นที่ประทับใจ เพราะว่าเวลาไปเรียนนี้นั่งอ่านหนังสือพุทธศาสนาก็ไม่ได้ พวกบาทหลวงมาถึง
เธออ่านอะไร
หนังสือเรื่องอริยสัจ
ไหนมาดูสิ
มาถึงดูแล้วก็ทำลายหมดเป็นเศษกระดาษไปเลย แกก็ร้องให้กลับบ้านมาถึงคุณพ่อก็บอกว่า “ลาออกไม่เรียนโรงเรียนนี้ไปเรียนโรงเรียนอื่นต่อไป” ไปเรียนโรงเรียนอื่นก็ค่อยดีหน่อย แต่ว่าท่านบาทหลวงก็บอกตรงๆว่า “เรามาตั้งโรงเรียนเพื่อกลับใจพวกสิงหลให้เป็นคริต์ศาสนิกชน ไม่ได้ต้องการสอนเธอ ให้กลับใจ” แต่ว่านายธรรมปาละก็ตอบอย่างห้าวหาญเหมือนกัน แกตอบว่า “แม้ผมจะชอบคัมภีร์ใหม่ แต่คัมภีร์เก่าผมไม่ชอบ ไม่น่าเลื่อมใสเลย” อ่าแก ก็ตอบเขาอย่างนั้น แล้วต่อมาแกก็โตขึ้นเรียนจบชั้นของโรงเรียนเขาเรียกว่าชั้น แมทริกคูเลชั่น แล้วจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ได้ แต่แกก็ไม่ไป เข้าไปทำงานในกระทรวงศึกษา พอดีกับฝรั่งสองคนเข้ามา ฝรั่งสองคนนี้มาช่วยพุทธศาสนาในลังกา แกก็รับอาสาไปกับพันเอกโอลคอตต์ไปเป็นล่าม เดินทางด้วยเกวียน กลางคืนหยุดเกวียนนอน ฝรั่งนอนบนเกวียนแกนอนใต้เกวียน แล้วหัวผู้ไว้ข้างๆติดไฟ ก่อไฟไว้ กันยุง แกก็ไปอย่างนั้น เป็นล่ามให้ฝรั่งแล้วเกิดความคิดต่อมาก็บวชเข้าไปทำงานเผยแผ่พุทธศาสนา ในยุโรปในอเมริกา เขามีอะไรแกก็ไปไปประชุมสันนิบาตศาสนา มีชื่อมีเสียง เวลาแกเจ็บหนักใกล้จะตายแกพูดคำหนึ่งว่า “พี่น้องพุทธบริษัทชาวเอเชียทั้งหลาย จงตื่นจากความหลับใหลมัวเมาเถิด จงดูความขวนขวายของศาสนิกอื่นบ้างว่าเขาทำงานอย่างไร ขอให้พวกเราลุกขึ้นสะบัดขี้ฝุ่นที่เสื้อผ้าแล้วก็ไปทำงานเยี่ยงเขาบ้าง” ท่านพูดไว้อย่างนั้น แล้วก็มีคำพูดอีกคำหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าเจ็บปวดเหลือเกินแล้ว” ท่านเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ นั่งรถเข็น “ข้าพเจ้าเจ็บปวดเหลือเกินแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าตายไวไวเถอะ และข้าพเจ้าขอเกิดอีก ๒๕ ครั้ง เพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนา” คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่กินใจอ่านแล้วมันกินใจ กระเทือนใจ ทำให้เกิดความคิดเหมือนกัน อาตมาอ่านคำพูดนี้ตั้งแต่พรรษา พรรษา 1 เมื่อพรรษา 1 ได้อ่านพระคุณธรรมทาส น้องเจ้าคุณพุทธทาสแปลหนังสือ อ่านแล้วก็ร้องโอ้ เขาพูดคมมากแล้วเกิดความคิดเหมือนกัน เกิดความคิดว่าเราจะต้องทำงานอย่างที่ท่านผู้นี้กระทำ ก็เลยตั้งใจทำงานให้แก่พระศาสนามาจนกระทั่งบัดนี้ เพราะมีเครื่องกระตุ้นเตือน เพราะอ่านหนังสือ
อันนี้ตามวัดตามบ้านนอกไม่ค่อยมีหนังสืออ่าน ไม่มีหอสมุด เวลาเทศน์ที่ไหนอาตมาก็ไปเดินดู ดูทุกตัวทั่วทุกแห่งว่ามีอะไรบ้าง ไม่มีหนังสือสำหรับอ่านเลย มีแต่คัมภีร์ใบลานของธรรมสอน ธรรมภักดี ซื้อมาอย่างไรมันอยู่อย่างนั้น ยังไม่ได้ ยังไม่ร้อยเชือกร้อยยังอยู่ในห่อกระดาษสีมัวมัว เอาไว้ใส่ตู้ไว้เรียบร้อย มาไว้หน้าพระขี้ฝุ่นจับเกรอะกรัง ไม่ได้อ่านไม่ได้ศึกษา แล้วปัญญามันจะเกิดอย่างไร แล้วจะไปสอนคนได้อย่างไร ถ้าเราไม่เรียนไม่รู้ก็ไปสอนไม่ได้ แล้วทำไมจึงไม่นึก คือไม่มีตัวอย่าง คนเราไม่มีตัวอย่าง แล้วมันไม่เกิดความกระตือรือร้นอะไร เหมือนชาวบ้านธรรมดาเขาอยู่กันอย่างนั้น เขาเหมือนกันทุกบ้านไม่มีใครปลูกผักไม่มีใครปลูกต้นไม้ หญ้าคา งอกไปจนเกือบใต้ถุนบ้าน เหมือนกันทุกบ้าน คือก็บ้านไหนก็เหมือนกับเราเหมือนกันเกือบหมด คือไม่มีตัวอย่าง ไม่มีใครไปทำตัวอย่างให้เห็นว่า ควรจะพัฒนาบ้านอย่างไร ควรปลูกพืชอะไรควรทำอะไรบ้างไม่มี ตัวอย่างมันไม่มี แล้วก็เลยไม่ลุกขึ้นทำอะไรนี่ มันเป็นอย่างนั้นอยู่
ฉะนั้นต้องสร้างตัวอย่าง ภาพตัวอย่างขึ้น ให้มีวัดเป็นตัวอย่างมีพระเป็นตัวอย่างแล้วก็คนที่ได้พบได้เห็นเขาจะเกิดความกระตือรือร้น เกิดคิดถามตัวเองว่าคนนั้นเขาทำได้ แล้วทำไมเราทำไม่ได้ เรากับเขามันต่างกันตรงไหนรูปร่างหน้าตามันต่างกันตรงไหน อาหารการกินมันต่างกันตรงไหน แล้วทำไมเขาทำได้ทำไมเราทำไม่ได้ เรามันขาดอะไรจึงไม่ได้ทำอย่างเขาทำ จะได้มองดูตัวเองขึ้นบ้าง แล้วจะได้พิจารณาตัวเองบ้าง พระสงฆ์องค์เจ้าที่เป็นหัวหน้าปกครองหมู่ ปกครองคณะก็จะได้ตื่นตัวกันขึ้นบ้าง ในบ้างจังหวัดนี่ก็เรียกว่าอับเหลือเกินไม่ค่อยมีแสงอะไร อ้ามีพระไปอยู่ ไปอยู่ช่วยให้มีแสงมีสีขึ้น เพราะไปตั้งสำนักเรียนส่งเสริมการเรียนการเทศน์การสอน มีชื่อขึ้นกันมาบ้าง ถ้าไม่มีองค์ไปมันก็ไม่มีอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ เคยสังเกตมาตั้งนานแล้วจังหวัดนั้นไม่มีอะไร หลายจังหวัด จังหวัดที่ไม่ได้เรื่องอะไร อยู่กันอย่างนั้นแหละ แต่ว่ามีพระไปอยู่ก็ตื่นตัวกันขึ้นมา แต่ว่าบางทีผู้ที่ไปอยู่ปลุกให้ตื่นนั้นกลับไม่เป็นที่พอใจของเจ้าของบ้าน หาว่ามาขัดประโยชน์เขา มาแย่งประโยชน์เขา มาสอนให้คนไม่ทำบุญกับเขาอะไรอย่างนี้แหละ คือให้ทำบุญทำนั้นทำนี้แบบงมงาย เขาได้รับผลประโยชน์อยู่ พอไปสอนให้ไม่ทำก็ชักจะไม่พอใจ แต่ไม่เป็นไร เพราะประชาชนเลื่อมใส อันนี้ก็ต้องเป็นนโยบายเหมือนกัน คือต้องไปดึงคนไว้ก่อน ดึงคนให้อยู่ใน ใน ในมือของเราไว้ สอนคนไว้ ดึงพวกไว้ อันนี้ถ้าหากว่านักบวชไม่ชอบไม่กล้า เพราะชาวบ้านชอบ ชาวบ้านเลื่อมใสจะไปพูดก็เดี๋ยวชาวบ้านจะเล่นงานเอา เลยไม่กล้า เอาตัวรอดได้ เพราะต้องมีนโยบาย
ทำอะไรมันต้องมีแผน มีหลักการว่าควรจะทำอย่างไร ดึงใครมาก่อน เอามาไว้เป็นพรรคเป็นพวก พวกชาวบ้าน พวกหนังสือพิมพ์ เอกสารต่างๆที่ออกในเมืองนั้นเราต้องผูกมิตรกับเขา เขียนให้เขาบ้าง ช่วยเขาบ้าง อะไรพวกนี้ถ้าเขาเขียนโจมตี เขาก็ไม่ยอมลงให้ เพราะมันขัดกับสิ่งถูกต้อง เมื่อไปอยู่เชียงใหม่ก็มีพระบางองค์เป็นมหา เขียนโจมตีหาว่าทำลายประเพณี อะไร ต่อ อะไร ของพื้นบ้าน พื้นเมือง มันไม่ใช่หมู่เฮามาจากที่อื่น ส่งไปลงหนังสือพิมพ์ชาวเหนือ แต่บรรณาธิการนั้นคุ้นเคยกัน แกไม่ลง เอามาให้อ่าน อาตมาอ่านแล้วบอก “คุณจะลงก็ได้ ไม่เป็นไร อาตมาไม่กลัวไอ้เรื่องอย่างนี้ ยอมให้เสรีภาพเขา คุณจะลงก็ได้” แต่บรรณาธิการคนนั้น แกบอก “ผมไม่ลงหรอก เพราะลงแล้วมันก็ไม่ได้สาระอะไร” เราก็ชนะไป คนคนนั้นก็ไม่ เวลาพบกันก็หน้าเจื่อน เจื่อน ความจริง แกคงไม่รู้ว่าหลวงพ่อได้อ่านของแก พบแล้วแกทำหน้าไม่สบาย คนเราทำอะไรผิดแล้วมันรู้สึกผิดด้วยตนเอง พบอะไรเข้ามันก็กระดาก กระดาก ไม่ค่อยชื่นบาน เป็นธรรมดาอย่างนั้น ก็ผลที่สุดนั้นก็ไม่มีอะไร เอาชนะได้ เพราะทำงานตามแผนที่ได้ตั้งไว้ ไอ้เรื่องอย่างนี้มีประสบการณ์ที่จะพูดให้พระเข้าใจ พูดให้เข้าใจแล้วให้ไปทำงาน วางแผนไห้ แนะแนวให้ ให้ได้ไปช่วยกันจัดช่วยกันทำ
เดี๋ยวนี้เขามีระบบแนะแนว แนะแนวนักเรียนนักศึกษา ว่าเรียนแล้วควรจะไปเรียนอะไรเขาแนะแนวกันทุกปี พระเราไม่ค่อยมีเรื่องแนะแนว ไม่แนะแนวก็เลยไม่มีแนวจะเดิน เลยเดินเปะปะเข้าไปตามเรื่อง แล้วอีกอย่างหนึ่งต่างคนต่างเดินไปกันอย่างนี้ มันไม่รวมตัวกัน ต่างคนต่างไปต่างคนต่างทำไม่รวมพวกรวมหมู่กัน อันนี้ก็เอามาอยู่กันมากมาก หลายจังหวัดเอามารวมตัวกัน มันก็เลยเป็นพวกเดียวกัน ทำกินนอนร่วมกันทำงานร่วมกันปรึกษาหารือกัน เวลาออกไปแล้วมันก็สัมพันธ์กันทางจิตใจ เช่นว่าภาคไหนมันก็รวมตัวกันเป็นภาคนั้น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือกี่จังหวัดมาพบกัน เวลาออกไปทำงานเขาก็รวมตัวกัน ภาคใต้มาพบกันที่นี้ก็ไปร่วมตัวกัน มันเกิดเป็นกลุ่มเป็นก้อน มีกำลังในการปฏิบัติงานงานมันก็ดีขึ้น แล้วไปปรึกษาหารือกันมีปัญหาอะไรกันในจังหวัดนี้ ก็ระดมจังหวัดโน้นมาช่วยกันหน่อย มาช่วยกันทำงานก็จะได้ช่วยกัน มีหัวหน้า มีสำนักงานที่จะช่วยกัน มันกลายเป็นองค์กรขึ้น แต่ว่าไม่ได้จดทะเบียนอะไรหรอก ไม่ต้องจำเป็นอะไรหรอกเรื่องทะบงทะเบียนไม่จำเป็น แต่ว่าทำงานกิจการมันค่อยกว้างขวางออกไป
ในแปดชุดที่อบรมแล้วเขารวมพวกรวมหมู่ทำงานทำการขยันขันแข็ง เอางานเอาการ ที่เฉื่อยก็ยังมีเหมือนกันแต่ว่าเพื่อนก็ลากกันไปทำให้มันก้าวหน้าขึ้น นี่คือประโยชน์ที่ได้รับจากงานที่มาอบรมกันสถานที่นี้ ได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ว่าเบื้องบนยังไม่ค่อยจะเห็นประโยชน์เท่าใด ยังไม่ค่อยสนับสนุนเท่าใดในเรื่องนี้ ก็พยายามนิมนต์ท่านมาบ้าง ให้มาพูดมาจาให้ได้เห็นว่าเขาทำอะไร นี่ก็เชิญอธิบดีกรมการศาสนาเหมือนกัน รัฐมนตรีก็เชิญ ถ้ามาได้ก็มา ถ้ามาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแต่ว่าเชิญให้รู้ว่าเราทำอะไร เชิญมาให้รู้บ้าง โฆษณาบ้าง เชิญคนนั้นคนนี้มาให้ความรู้แก่พระ แนะแนวในการพูดการจาอะไรต่างๆ ฝึกกันทุกวัน ทุกเวลา โยมจึงเห็นว่ามีพระมาอยู่กันมากมาก ก็เรียกว่าทำไปตามฐานะที่จะทำได้ ทำแบบพระ ไม่ฟุ่มเฟือยไม่สุรุยสุร่ายในการเป็นการอยู่ นี่ต่อไปนี้ก็จะลงนอนพื้นดินกันละ เย็นบ่ายนี้ก็ต้องนอนพื้นดิน นอนกลด นอนกลดไม่ให้นอนบนกุฏิ ๑๐ วันอยู่กับกรรมฐานอย่างเคร่งครัดเป็นเวลา ๑๐ วัน พ้นจากนั้นจึงจะขึ้นบนกุฏิ แต่ว่าไม่ขึ้นก็ได้นอนกลดก็สบายดีแล้ว ก็นอนกลดต่อไปจนกว่าจะจบเรื่อง ถ้าโยมมาอาทิตย์ต่อไปพระอะไรมาปักกลดเต็มวัดกันละ ก็อย่าไปสงสัยเกรงใจ พระมาอบรมดังนั้นก็มาทำบริเวณไว้ ก็จะเอาเชือกพลาสติกขึงไว้ ห้ามเข้าในบริเวณนั้นอย่าไปลุกล้ำของท่าน ให้ท่านได้อยู่ ข้าวของท่านก็กองกองไว้ แต่ไม่มีอะไรหรอกที่เด็กจะมาเอาก็มีสมุดอะไรนิดๆหน่อยๆสำหรับใช้ในการอบรมบ่มนิสัย เรื่องนี้เอามาพูดทำความเข้าใจให้โยมรู้ว่า อะไรคืออะไร ทำอะไร เพื่อประโยชน์อะไร จะได้รู้ไว้ พูดมาก็พอสมควรแก่การเวลาขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
- ปาฐกถาธรรมประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๒