แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรม อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ นั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงได้ชัดเจน แล้วจงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัด และฟังธรรมตามสมควรแก่เวลา
วันนี้อากาศดีกว่าเมื่อวานเพราะว่าฝนหยุดไป เวลาฝนตกวันเสาร์นี้ไม่ค่อยสบายใจ เพราะนึกว่ามันจะตกวันอาทิตย์อีก แต่ว่าพอถึงวันอาทิตย์ก็เรียกว่าบุญช่วยให้พวกเราทั้งหลายสบาย มาฟังธรรมได้สะดวก ฝนตกวันอาทิตย์แล้วทีไรขลุกขลักทุกที จึงไม่อยากให้ตกในวันอาทิตย์ตอนเช้า ตอนบ่าย ตกกลางคืนไม่ว่าอะไร แต่ว่าเรื่องธรรมชาติเราจะไปบังคับ ขอร้องทำอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น เพราะเขาเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น แต่ว่านึกๆ ไว้ในใจว่าถ้ามันไม่ตกแล้วก็ดี ทีนี้ถ้าไม่ตกก็สบายใจ สบายใจเพราะว่าได้สิ่งที่เราต้องการ ทุกข์ก็เพราะว่าไม่ได้สิ่งที่เราต้องการ มันเป็นอย่างนี้ จิตใจคนมันก็เป็นอย่างนี้
เมื่อ ๒-๓ วันนี้มีข่าวกระเทือนโลกข่าวหนึ่ง คือข่าวว่าท่านดาไลลามะแห่งทิเบตได้รับรางวัลโนเบิล รางวัลโนเบิลนี่เป็นรางวัลของโลก มิสเตอร์โนเบิล เป็นชาวสวีเดน แกคิดเรื่องระเบิด คิดระเบิดอย่างแรงขึ้นมาได้ แล้วก็ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ก็ใช้กัน แกก็ได้เงินเยอะแยะจากการขายดินระเบิด ลูกระเบิดอย่างนี้ แต่แกมาสลดใจขึ้นในภายหลัง ว่าแหม! ไอ้เรามันใช้สมองในทางที่ทำโลกเรานี้เดือนร้อนวุ่นวาย เขาเอาไปใช้ฆ่าคนกันตายกันเป็นจำนวนมากๆ ไม่สบายใจ เลยก็คิดว่าเงินที่เรามากๆ นี้ก็ควรจะเอาไปใช้เป็นประโยชน์ในทางส่งเสริมสันติภาพ คือส่งเสริมในเรื่องต่างๆ ที่จะให้เกิดสันติภาพขึ้นในโลก ก็ตั้งไว้เรียกว่า รางวัลโนเบิล กรรมการอยู่ที่เมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์ เขาจะพิจารณาทุกรอบปี ว่าปีนี้ใครได้ทำอะไรเพื่อสันติภาพบ้าง แล้วเขาให้รางวัลกัน
คนเอเชียเรานี้ที่ได้รับรางวัลคนแรกคือ ท่านเซอร์รพินทรนาถ ฐากูร ท่านเซอร์รพินทรนาถ ฐากูรนี้เป็นนักปราชญ์ของอินเดีย เป็นชาวเบงกาลี อยู่ที่เมืองเบงกอล เวลานี้ เมืองกัลกัตตา รัฐเบงกอล ท่านได้รางวัลเรื่องนี้ท่านแต่งหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “คีตาญชลี” เป็นหนังสือบทเพลง แต่ว่าเป็นไปเพื่อให้คนรักกัน สามัคคีกัน สร้างสรรค์สันติภาพ ตามวิสัยของคนอินเดีย เพราะคนอินเดียนั้นมีจิตใจฝักใฝ่ในเรื่องสันติภาพ เพราะว่าศาสนาของอินเดียนั้นสอนให้คนรักสันติ เชิดชูสันติ ท่านก็ได้รับรางวัล เมื่อได้รับรางวัลก็ได้เงินก้อนใหญ่ ท่านก็คิดว่าเงินนี้ควรใช้เป็นประโยชน์ ท่านก็ไปหาที่แห่งหนึ่งห่างจากเมืองกัลกัตตาประมาณ ๑๐๐ ไมล์ เรียกว่า “ศานตินิเกตัน” แล้วท่านไปอยู่ที่นั่น อยู่ๆ ก็คนมาอยู่ร่วมกันหลายคน มีความรู้เก่งๆ ทั้งนั้น ท่านเลยคิดว่าเรามาอยู่กันอย่างนี้มันก็ตายเปล่า ควรจะถ่ายทอดความรู้ให้แก่อนุชนรุ่นน้อยต่อไป เลยเอาเด็กมาสอน แบบฤาษีสอนศิษย์ ไม่มีโรงเรียน สอนกันใต้ต้นไม้ สอนกันแต่ ๖ โมงเช้า จน ๑๐ โมงครึ่งก็หยุดกันไป อาจารย์นั่งใต้ต้นไม้ นั่งแล้วลูกศิษย์นั่งแวดล้อมเป็นวงพระจันทร์ครึ่งซีก แล้วก็สอนกันทุกวันๆ สอนมากเข้าๆ มันกลายเป็นมหาวิทยาลัยใหญ่ เรียกว่า “วิศวภารตี” อันเป็นมหาวิทยาลัยใหญ่ที่มีชื่อในการศึกษาเรื่องอินเดีย เขาเรียกว่า “อินโดโลยี” (Indology) ใครอยากจะศึกษาก็ไปเรียนกันที่นั่น เรียนภาษา เรียนบาลี เรียนสันสกฤต เรียนวัฒนธรรม เรียนฟ้อนรำ เรียนอะไรของอินเดียก็ไปเรียนกันที่นั่น ท่านต้องการเชื่อมเอเชีย-ยุโรปให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีจุดหมายเพื่อให้เกิดสันติภาพเหมือนกัน ท่านก็ได้รับรางวัลนี้ นับว่าเป็นการมีเกียรติอย่างยิ่ง
แล้วเมื่อ ๒ -๓ วันมานี้ท่านดาไลลามะ ประมุขศาสนาของทิเบต ก็ได้รับรางวัลขึ้นมาด้วย เพราะท่านฝักใฝ่ในเรื่องสันติภาพ บ้านเมืองของท่านถูกจีนแดงเข้าไปยึดครอง ท่านก็หนีออกมาได้ หนีก็เพราะปลอมตัว ปลอมตัวเป็นทหารจีน ก็รูปร่างท่านก็จีนนั่นเอง ความจริงท่านเป็นคนจีน คือเกิดในประเทศจีน แต่ว่ามันใกล้แดนทิเบต แต่ว่าพวกผู้มีความเชี่ยวชาญในด้านจากสมาธิอะไรนี้ เขานั่งสมาธิเขามองเห็นว่า ดาไลลามะ องค์ที่ ๑๓ ที่ตาย ไปเกิดอยู่ที่หมู่บ้านนั้น ก็ไปกัน เขาก็ไปกันหลายคนน่ะ ไปหาเด็กคนนั้น ไปถึงก็เจอท่านดาไลลามะน้อย แล้วก็มีการทดสอบ คือเอาลูกประคำของดาไลลามะองค์ก่อนไปด้วย แล้วไปปนกับลูกประคำอื่น ของอื่น เด็กน้อยนั้นก็ไปหยิบเอาลูกประคำพวกนั้นมาถือไว้ พวกอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญบอก “นี่อันนี้ นี่แล วิญญาณของท่านดาไลลามะมาเกิดที่นี่” แล้วก็มีครอบครัว ๗ คนพี่น้อง ก็ต้องขนไปหมดทั้งครอบครัว เอาไปเมืองลาซา กรุงลาซาซึ่งเป็นเมืองหลวงของทิเบต เอาไปอบรมให้เป็นทิเบต แล้วก็อบรมจิตใจให้เป็นผู้นำทางศาสนา ท่านก็ไปอยู่ที่นั่น เติบโตในรูปของทิเบต ความจริงท่านเป็นคนจีน แต่ไปเติบโตในวัฒนธรรม ประเพณี ภาษา ศาสนาของทิเบต ท่านก็เป็นทิเบตเต็มตัว ได้เป็นประมุขของประเทศทิเบต
อันประเทศทิเบตนั้นเป็นประเทศที่เรียกว่าลึกลับอยู่ในโลก สมัยก่อนเป็นประเทศลึกลับ เพราะว่าสมัยก่อนการคมนาคมไปมาไม่ค่อยสะดวกเท่าใด ต้องเดินทางฝ่าภูเขาหิมะ กว่าจะไปถึงกรุงลาซาได้นี้ก็ลำบาก ถ้าไม่ตั้งใจจริงแล้วก็ไม่มีใครไปถึง คนในประเทศนั้นเป็นนักศาสนา มีจิตใจสงบตลอดเวลา สวดมนต์ตลอดวัน เขามีที่ถือป็นรูป (08.37 เสียงไม่ชัดเจน) มี …… โตออกมาหน่อยแล้วก็เหวี่ยงได้ แกว่งได้ แกว่งแล้วก็สวดมนต์ “โอม มณี ปัทเม ฮุม.... โอม มณี ปัทเมฮุมๆๆ” หุงข้าวก็สวดมนต์ จะสูบๆ ให้ไฟลุกก็สวมมนต์ อาบน้ำก็สวดมนต์ กอดลูกก็สวมมนต์ ทำอะไรก็สวดมนต์อยู่ตลอดเวลา เดินบนถนนก็สวดมนต์ ก้องไปทั้งบ้านทั้งเมือง จิตใจเขาอยู่กับอย่างนั้น อยู่ด้วยความสงบ บ้านเมืองเขาไม่มีอาชญากร แต่ว่าหากมีคนบางคนกระทำความผิดเล็กๆ น้อยๆ เขาไม่มีคุกขัง แต่ว่าเขาเอากำไรเหล็กสวมไว้ที่แข้งข้างหนึ่ง ไปไหนไปได้ ไปบ้านใครก็ได้ แล้วเขาก็ให้อาหารเลี้ยงดู เพราะว่าคนๆ นี้เป็นผู้ที่กระทำความผิดเลยติดกำไรเหล็กไว้ เขามีสภาพอย่างนั้นแล้วก็อยู่กันเรียบร้อย ไม่มีอะไร ไม่มีการเบียดเบียนข่มเหงกัน เป็นสวรรค์ของเขาก็ว่าได้ แล้วบ้านเมืองเขามันสูงที่สุดในโลก เรียกว่าหลังคาโลก เมืองทิเบตเป็นหลังคาโลก สูงมาก อากาศเย็นตลอดปี ไม่มีหน้าร้อน คนทิเบตมาอินเดีย มานมัสการสังเวชนียสถาน ที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ปฐมเทศนา เขาอาบน้ำวันละ ๔ ครั้ง เขาบ่นว่าร้อน พวกเราคนไทยนี้อาบครั้งเดียวก็ไม่ไหว มันหนาวนะเวลาเราไปนี้มันหนาว แต่ทิเบตอาบน้ำวันละ ๔ ครั้ง แล้วเขาเดินทางมาไกล จาริกมาไหว้พระ มาอยู่ก็หลายเดือน มาอยู่ตั้งเต้นท์ กางเต้นท์กันอยู่ เป็นฤดูที่นมัสการแล้วทิเบตเต็มหมด ที่พุทธคยา แล้วเอาของทิเบตมาขาย เอาเสื้อเอาผ้าขนสัตว์ เอาเครื่องบูชาสักการะมา ที่คยาก็มีวัดทิเบต เขาสร้างกันเองน่ะ สร้างก่อตึกแข็งแรง แล้วพอเย็นลงเขาก็ไปสวดมนต์ที่พุทธคยา ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้น่ะ เขาไปก็นั่งกันเป็นแถวแล้วก็มีเครื่องประกอบ คล้ายกับปี่นะ แต่ว่ามันยาวเหลือเกิน ปี่นั้นมันยาว คนยืนเป่า ไปออกเสียงคล้ายกับแตรฮอนอย่างนั้นแล ยาวๆ สวดแล้วก็ดีดคล้ายกับเปียโน ไม่ใช่คล้ายกับพิณ กีตาร์น่ะ แต่ของทิเบตมันพิเศษ สวดมนต์ดีดพิณ ร้องเพลงกันอยู่นั่น นั่งสงบจิตสงบใจ
ทว่าไหว้ เช้าๆ เย็นๆ นี่มีคนไปไหว้ ท่าไหว้ของเขาก็เหงื่อไหลไคลย้อย เพราะว่าบ้านเมืองเขามันหนาว เพราะฉะนั้นเวลาไหว้ต้องออกกำลังหน่อย คือไหว้ยกมือประนมขึ้นอย่างนี้แล้วก็กราบลงไป ไหว้ตั้งเท่าไร ๕๐๐ ครั้ง เช้าๆ นี่ กราบ-ลุกขึ้น กราบ-ลุกขึ้น อีก ๕๐๐ ครั้ง เหงื่อโทรมเลย ทั้งๆ ที่หนาวก็เหงื่อโทรม เขาคิดแบบไหว้เป็นการออกกำลังกายไปในตัว ที่เมืองคยา ที่พุทธคยานี้เขามีแผ่นกระดานยาวๆ ขนาดเท่าตัวนี้ ลื่นเลย ถ้ามานั่งนี้แมลงวันเกาะล่วงเลย ลื่น มันถูกันทุกวันๆ ว่าอย่างนั้น ไม่สนใจ ใครจะเดินไปเดินมา เขาไม่สนใจ จิตเขาเป็นสมาธิ อยู่กับการไหว้พระตลอดเวลา แม้พวกผู้หญิงก็มาไหว้ เดินชักลูกประคำ แล้วเดินหมุนอยู่อย่างนั้นไป ที่วัดทิเบตเขามีระฆังใหญ่ ใบโตขนาดนี้ (12.30 เสียงไม่ชัดเจน) …… กว้างสักหนึ่งวา เขียนหนังสือแล้วใครอยากจะได้บุญก็ไปหมุนระฆังนั้น หมุน ... มันเรื่องออกกำลังทั้งนั้น คือความหนาวมันต้องให้เคลื่อนไหวอยู่ อันนี้ไปหมุนระฆัง เดินตามไป เดินตามไป เดินตามไปสวดมนต์ไป เดินตามไป เป็นกลุ่มเลย มันออกกำลังไปในตัว สวดมนต์ไปด้วยในตัว เขาคิดแบบอย่างนั้นให้เกิดความสะดวกสบาย เวลาเขาสนทนาธรรมกันนี้ เขาต้องลุกขึ้น ลุกขึ้นแล้วทำท่า ทำทาง ยกไม้ยกมือ ทำท่า เช่นจะถามว่า “พี่เอ๊ย....เป็นยังไง?” ต้องทำท่าให้ดูด้วยนะ ไอ้คนตอบก็ต้องลุกขึ้นอีกน่ะ “พี่เอ๊ย...เป็นยังไง? อย่างนี้ไม่ใช่นะ ...” ต้องแอ๊คท่าตลอดเวลา มันหนาวนะ ไม่ใช่เรื่องอะไร มันต้องมีแอ๊คท่าเพื่อให้เกิดความอบอุ่นทางร่างกาย เสื้อผ้าที่สวมก็หนา ผ้าขนสัตว์สี สีแดงๆ ไม่ใช่แดงแจ๊ดนะ คือแดงเรือๆ ท่านสวมอย่างนั้น ทั่วๆ ไปเขาสวมกันอย่างนั้น ชีวิตของเขาเป็นอย่างนั้น
การต้อนรับชาวต่างประเทศที่เข้ามาในเมืองเขาสบายมาก ไม่ต้องเสียอะไร ถ้าถึงทิเบตแล้วไม่ต้องเสียอะไร มีคนชาวออสเตรียคนหนึ่ง แกเป็นเชลยศึก เพราะว่าออสเตรียถูกฮิตเลอร์ยึดไว้ในสมัยนั้น คนออสเตรียก็ถูกจับไป จับเอาไปขังไว้ที่อินเดียตอนเหนือ เขาเรียกว่าเมืองเดียรดูน เมืองเดียรดูนนี้มันแห้งแล้ง เป็นทะเลทราย เขาก็ไปกักไว้ที่นั่น แกก็คิดว่าต้องหนี หนีไปไหนล่ะ? แกก็คิดว่าต้องหนีไปทิเบต แกไม่อยากอยู่ในทะเลทรายต้องหนีไปทิเบต แกก็พยายามหนี หนี ๒ ครั้งถูกจับได้ ครั้งที่ ๓ แกปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่โทรศัพท์ ไปแต่งสายโทรศัพท์ แกก็หนีลุกไปได้จากอินเดีย เข้าเขตทิเบตไปถึงด่านทิเบตเขาก็กักตัวไว้เดือนหนึ่ง คือต้องถามไปก่อนว่าจะให้เข้าหรือไม่ให้เข้า เพราะว่าเป็นคนแปลกเข้ามา แกก็กลางวันเขาก็กักตัวไว้ ไม่ใช่ว่าไปขังไว้อะไร เขาก็ปล่อยให้เที่ยวตามสบาย แกก็เที่ยวสำรวจรอบๆ บริเวณนั้น ว่าถ้าถึงกำหนดนี้เขาไม่ให้ไป จะไปทางไหน เขาเอาไปปล่อยแล้วจะเข้าทางไหนอีก หลบด่านไปให้ได้ แกก็หลบด่าน ๑ ไปได้ หลบด่าน ๒ ด่าน ๓ ไปได้จนถึงเมืองลาซา เดินเข้าไปนี่ ก็ไปจนถึงสถานกงสุลอังกฤษน่ะ คนที่นั่นบอกจะแวะที่หอนี้หรือ....เขาบอก “แวะไม่ได้ นี่แวะไม่ได้ นี้มันกงสุลอังกฤษแวะไม่ได้” แล้วก็ไป ไปถึงบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของทิเบต แกก็เข้าไปนั่งเฉยอยู่ในบ้านนะ เจ้าของบ้านออกมาเฉย โอ๊ย...แสดงความต้อนรับแขก ขอโทษขอโพยที่ออกมาต้อนรับช้าไปหน่อย ... แสดงความเอื้อเฟื้อ แล้วให้อยู่ ให้กิน หาเครื่องแต่งตัวให้ใหม่ แต่รองเท้านี่หลายวันถึงจะได้ เพราะว่าฝรั่งตัวมันโตเท้ามันใหญ่ กว่าจะได้รองเท้าก็ ๓-๔ วัน ได้มาถึงก็ขอโทษขอโพยว่าท่านไม่มีรองเท้าสวมลำบาก ไปไหนเพราะว่าเท้ามันใหญ่ หาช้าไปหน่อยเพราะว่าเท้ามันใหญ่ เอามาให้ด้วยความเรียบร้อย แล้วผลที่สุดแกก็ได้เข้าใกล้ ลามะ องค์ปัจจุบันนี้ แล้วไปสอนภาษาอังกฤษให้ ไปช่วยทำเขื่อนกั้นน้ำ พัฒนาอะไรหลายเรื่อง แกอยู่ตั้ง ๗ ปี กว่าสงครามจะจบ แล้วเมื่อออกมาก็แกเขียนหนังสือไว้ว่า “๗ ปีในทิเบต” นี่เล่มเท่านี้ ก็น่าอ่านถึงการท่องเที่ยว แกไปทำอะไร พอดาไล ลามะหนี กองทัพจีนแดงมาอยู่กันเยอะ แกอยู่ออสเตรียแกบินมาทันที มาเยี่ยมดาไล ลามะแล้วก็บอกว่าขอเชิญไปอยู่ประเทศออสเตรีย ที่นั่นอากาศสบาย อากาศคล้ายกับทิเบต แต่ดาไล ลามะบอกว่า “ฉันไปไม่ได้ บริวารเยอะแยะ” เวลาหนีออกนี่ บริวารตั้ง มากันตั้งมากมายมาอยู่ที่เขาเรียกว่า “ธรรมศาลา”
ธรรมศาลาน่ะเป็นชื่อตำบลบ้าน อยู่ใกล้ภูเขาหิมาลัย ท่านก็มาหา (17.08 ฟัเสียงไม่ชัดเจน) …… อินเดียให้อยู่ที่นั่น พวกผู้รู้ชั้นปัญญาชนไปกองอยู่ที่นั่นทั้งหมดของทิเบต มาอยู่กับท่านดาไล ลามะ เขาก็ช่วยเหลือ แต่ว่าการหนีครั้งที่ ๒ นี้ท่านไม่ได้เอาอะไรมา แต่ว่าท่านเตรียมพร้อม หนีครั้งแรกนี่ ครั้งแรกหนีนี้เอาของมา เอาพวกเพชรนิลจินดา ทองคำอะไรบรรทุก เขาเรียกว่าพวกอะไรหลัง มันคล้ายกับคล้ายตัวมันใหญ่กว่า พวกจั๊ก พวกจั๊กอะไรนี่ ตัวมันใหญ่ บรรทุกมา เอามาฝากไว้ที่เมืองกัลกัตตา ฝากธนาคาร (07.58 เสียงไม่ชัดเจน) มิดแลนด์เม้นท์ ไว้ที่นั่น ข้าวของมากมาย สมบัติเอามาหมด ไม่ทิ้งไว้ให้จีนแดงใช้ แต่มาครั้งที่ ๒ นี้เกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่หนีออกมาได้ด้วยบุญกุศลแท้ๆ รัฐบาลอินเดียก็ต้อนรับขับสู้ ให้ความช่วยเหลืออย่างดี สมัยนั้นบัณฑิตเนห์รู เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วท่านก็วิ่งเต้นอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ทิเบตหลุดจากอุ้งมือของจีน แต่ท่านไม่ส่งเสริมการใช้อาวุธ ไม่ส่งเสริมการทำร้ายเบียดเบียนกัน ต่อสู้ในทางสันติภาพอยู่ตลอดเวลา ท่านไปประเทศอเมริกาปีละครั้ง ไปเยี่ยมเยียนชาวทิเบต และคนที่สนใจพุทธศาสนาแบบทิเบต ไปประเทศอังกฤษ ไปนิวยอร์ค ได้เข้าไปในสหประชาชาติ องค์การสหประชาชาติก็ให้เกียรติถือว่าท่านเป็นประมุขของชาติคนหนึ่ง แล้วก็ให้เข้าไปพูดไปจากับสมาคมของสหประชาติ ทำให้คนรู้จักท่าน หนังสือพิมพ์ก็สัมภาษณ์ความต้องการว่า ต้องการอะไร ท่านก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “เราไม่ต้องการอะไร แต่ต้องการให้ทิเบตเป็นทิเบต ได้อยู่อย่างคนทิเบต มีวัฒนธรรม มีศาสนา มีอะไรอย่างทิเบต ไม่ใช่อยู่อย่างที่เป็นอยู่ในบัดนี้” ประชาชนเขาก็ไม่ชอบอะไรนะ ท่านก็บอกให้คนเข้าใจ คนทิเบตก็ต้องหนีออกจากประเทศทิเบต โดยเฉพาะพวกพระนี่ หนีไปอยู่ประเทศต่างๆ ไปอยู่อังกฤษ ไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์ ไปอยู่อเมริกา ไปอยู่ออสเตรีย หลายที่หลายแห่ง ทางใต้นี้ก็มีไปอยู่ที่ออสเตรเลียก็มี ไปอยู่นิวซีแลนด์ก็มี เขาไปอยู่ เวลาหลวงพ่อไป ก็มักจะไปเยี่ยมสำนักของทิเบตด้วยเสมอ คืออยากจะไปดูว่าเขาอยู่กันอย่างไร มีการปฏิบัติอะไรบ้าง
ที่เมืองอังกฤษนี้มีอยู่ ๒ แห่ง ทางเหนืออยู่ในทางเหนือ เขาก็ทำงานเข้มแข็งดี พระทิเบตนี้ก็ทำงานเข้มแข็ง ดึงฝรั่งเข้าไปช่วยงาน แต่ด้านจัดการนี้เป็นคนฝรั่งทั้งนั้น แต่ในด้านนำทางวิญญาณนี้พระทิเบตนี้เขาสอน ให้คนปฏิบัติ มีอยู่แห่งหนึ่งนั้นเขาซื้อบ้านเก่าแก่ หลังใหญ่มาก เรียกว่าเป็นปราสาท ปราสาทหลังใหญ่มีห้องตั้งสอง สามร้อยห้อง ใหญ่โตมหึมาเลย แต่ว่าซ่อมกันใหญ่เลย เดี๋ยวนี้ก็ยังซ่อมไม่เสร็จ เสร็จแต่บางส่วน ไปวันนั้นก็ไปเยี่ยม พอดีไปก่อนเพล เขาก็เลี้ยงอาหารเพล เลี้ยงข้าว ข้าวก็เหลืองๆ นะ เขาเรียก (20.52 ไม่ยืนยันตัวสะกด) “ข้าวอุลรมา” อุลรมาน่ะ แต่ไม่มีเนื้อสัตว์เท่านั้นเอง เอาผัดกับเนยเป็นเหลืองๆ คล้ายกับสีขมิ้น ก็อร่อยดีเหมือนกัน ทานอาหารแล้วก็ดูอะไรต่ออะไร สนทนากัน ก็เห็นว่าฝรั่งมาปฏิบัติกันมาก ท่านก็อยู่ได้สบาย ที่ออสเตรเลียก็เหมือนกัน เอ้อ...ที่นิวซีแลนด์ องค์เดียวไปอยู่ มาจาก ไปจาก คยา ประเทศอินเดีย ไปอยู่ที่นั่น ท่านก็อยู่ ท่านสร้างวัดของท่านเอง กำลังสร้าง เนื้อที่เป็นภูเขาน่ะ ที่รัฐบาลให้ประมาณสัก ๖ – ๗๐๐ เอเคอร์ เขาลูกนี้ ลูกนั้น ลูก...แกชี้นิ้ว หลายยอด ท่านก็ไปสร้างเจดีย์เล็กๆ ไว้ตามยอดเขาเหล่านั้น เพื่อเป็นเครื่องหมายไว้ก่อน แล้วก็สร้างวัด ฝรั่งเขาไปช่วย ช่วยท่านสร้างๆ เวลาเราไปนี่ท่านออกมาต้อนรับ มีผ้าขาว ผ้าไหม ยาวประมาณ ๒-๓ เมตร มาถึงก็เอามาสวมคอให้ เป็นการ เรียกว่าสวมพวงมาลัย แต่แทนที่จะเป็นดอกไม้ เป็นผ้าไหมขาวๆ เอามาสวมคอให้แสดงความเคารพ เชิญให้นั่ง เลี้ยงน้ำร้อน น้ำชา เขาสนใจดี เขาต้อนรับดี
ที่นี้ธรรมะที่พวกชาวทิเบตไปสอนนี่ก็คือ การฝึกจิต นั่นเอง แต่ว่าคนสนใจเรื่องทิเบตมาก เวลาหนัง ... เวลานี้หนังสือภาษาอังกฤษเกี่ยวกับทิเบตมีขายทุกประเทศ มีมากมายด้วย เรื่องเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ เรื่องการปฏิบัติ ตำนานของลามะองค์เก่งๆ ที่มีชื่อมีเสียง เช่น บทเพลงของมิลาเรปะ ตั้งพันบท ของมิลาเรปะ เขาก็พิมพ์ให้คนฝรั่งได้อ่าน ได้ศึกษา แนวทางปฏิบัติอะไรต่างๆ คนก็สนใจมาก ท่านดาไล ลามะท่านมีความรู้ มีความเข้าใจ เคยมาเมืองไทย ๒ ครั้ง มาครั้งแรกไม่ได้ไปไชยา แต่มาครั้งที่ ๒ ท่านมาสวนโมกข์ ไปนอนคืนหนึ่ง ที่ได้ไปไชยาก็เพราะว่า ลูกศิษย์ของท่านเป็นพระ ทิเบตนี่แล ไปอยู่ที่ไชยาองค์หนึ่ง ไปศึกษาอะไรอยู่ที่นั่น แล้วท่านก็มาสนทนากับท่านเจ้าคุณพุทธทาส เป็นเวลาวันกับคืนหนึ่งน่ะ นั่งคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วท่านก็กลับไป
เมื่อไปเที่ยวอินเดียนี้ได้พบท่าน ที่มาที่พุทธคยา มาไหว้พระโอ๊ย ... ท่านไหว้นานเหลือเกิน นาน พวกๆ ที่ติดตาม รักษาความปลอดภัย ยืนดูกันท่านไหว้ แล้วก็ออกจากนั้นมาวัดไทย ก็มาไหว้พระในโบสถ์วัดไทย ท่านก็ไหว้นานๆ ไม่ใช่ไหว้ประเดี๋ยวประด๋าวเหมือนเรา กราบพระว่ากันนาน แล้วก็ไปที่กุฏิ ดูทุกห้องทุกหับน่ะ ดูห้องพระ แล้วท่านบอก “ทำไมของมันมากมายเหลือเกิน” ดูกุฏิสมภารท่านเจ้าคุณธรรมมหา (24.16 เสียงไม่ชัดเจน) …… เดี๋ยวนี้มาอยู่วัดมหาธาตุ ท่านบอกของมาก ท่านว่าของมาก คือว่าของเครื่องใช้ไม้สอย อะไรต่ออะไรมากองอยู่ในห้องนั้นนะ ไว้ข้างนอกก็ไม่ได้นะ เดี๋ยวแขกฉกเอาไปเลย เลยก็ต้องบอกว่า “ของมาก” ท่านพูดคำเดียว แล้วก็ไปๆ มาๆ ท่านจะมาอีก มาประเทศไทยครั้งหลังจะมาอีก แต่ว่ารัฐบาลไทยไม่อนุญาติ ที่ไม่อนุญาติก็เพราะว่า เกรงใจท่านเติ้งเสี่ยวผิงนั่นเอง เพราะว่าท่านดาไล ลามะนี้ชาวจีนเขาถือว่าเป็นปฏิปักษ์กับประเทศจีน เพราะขนขวายในการที่จะแยกทิเบตไปจากจีน เราก็เรียกว่า (25.00 เสียงไม่ชัดเจน) …… จีนหน่อยก็เลยไม่ให้มา ความจริงนั้นควรให้มา เพราะไม่มีอะไร ท่านมาก็เรื่องศาสนา ทว่าชีวิตของท่านนั้นอยู่กับการเมืองด้วย เพราะในฐานะที่เป็นหัวหน้าของประเทศ เป็นประมุขในทางศาสนา แล้วเขายกย่องว่าเป็นประมุขของชาติ
คนทิเบตเป็นนักศาสนา เป็นการเมืองปนศาสนา แต่ว่ามันไม่เหมือนประเทศอื่นน่ะ ไม่เหมือนประเทศอิหร่าน ซึ่งพวกนักการเมืองก็เป็นนักศาสนา แต่ว่าชอบรบราฆ่าฟัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน มากมายจนกระทั่งตายไป แต่ว่าท่านดาไล ลามะนี่ท่านไม่ได้อย่างนั้น ท่านไม่ส่งเสริมการวิวาท ไม่ส่งเสริมการรบราฆ่าฟัน ท่านมีจิตใจเป็นสันติภาพจริงๆ มีความสงบในตัวท่าน แล้วอยากให้โลกสงบ ท่านไปไหนท่านพูดแต่เรื่องความสงบ ไม่พูดเรื่องความวุ่นวาย ไม่ส่งเสริมความวุ่นวาย ไม่ส่งเสริมความแตกแยก แตกร้าว ถึงท่านมาท่านก็ไม่มีอะไร เวลานั้นเขาไปประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์ ท่านอยากจะมา มาแสดงตัวแต่ว่ามาไม่ได้ ก็เลยไม่ได้มา ครั้งก่อนมาได้ คนละสมัย คนละรัฐบาล ทีหลังมาไม่ได้ ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้เสียอกเสียใจอะไร ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านต่อไป ท่านขณะนี้ท่านอยู่ในอเมริกา อยู่แถวแคลิฟอร์เนีย ก็ไปเยี่ยมเยียนสถานที่ที่เขาไปตั้งสอนธรรมะอยู่ในสถานที่นั้นๆ เป็นบุคคลผู้รักความสงบ ไม่สร้างปัญหา ไม่สร้างความวุ่นวาย แต่ปัญหาเกิดจากคนหนึ่ง ไม่ได้เกิดจากตัวท่าน แต่ท่านพยายามสะสางปัญหาอยู่ด้วยการปฏิบัติในทางสันติ ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า คณะกรรมการโนเบิลจึงเห็นว่า ท่านดาไล ลามะนี้เป็นผู้ส่งเสริมสันติภาพ จึงควรได้รับรางวัล เขาก็ให้สมความตั้งใจของคณะกรรมการ ท่านก็ได้รับรางวัลนี้ขึ้นมา นี่มันเป็นอย่างนี้
ทีนี้พระพุทธศาสนาในทิเบตนั้น เขาเรียกว่า พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ของเรานี้เขาเรียกว่า เถรวาท แต่พวกมหายานเรียกเราว่า หีนยาน แปลว่า ยานเล็กๆ เหมือนกับเรือเข็น พายเล่นในคลองในสวนอะไรอย่างนั้นล่ะ ของเขามันยานใหญ่ เรือใหญ่ที่จะขนสรรพสัตว์ไปได้มาก เขาคุยโตไว้อย่างนั้น ก็ไม่เป็นไร ไม่เสียหาย เราก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา ไม่โกรธไม่เคืองอะไร แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าศึกษาเหมือนกันว่าคนทิเบตนี้รักศาสนา บูชาศาสนาเสมอยิ่งกว่าชีวิตของตนก็ว่าได้ ในบ้านในเรือนเขาอยู่กันสงบเรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีเรื่องยุ่งยาก เพราะจิตใจอยู่กับพระตลอดเวลา ไหว้พระสวดมนต์ ของเขามี “พระโพธิสัตว์” มากมายหลายองค์ด้วยกัน
พระโพธิสัตว์ ก็คือ บุคคลผู้เสียสละชีวิตเลือดเนื้อเพื่อทำกิจอันเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์นั่นเอง ไม่ใช่อะไรที่ไหน เขาเรียกว่า พระโพธิสัตว์ เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์และความสุขส่วนรวม มีความคิดมุ่งมั่นไปทางโพธิ คือด้านปัญญา ด้านหลุดพ้น แต่ว่าก่อนที่จะถึงความหลุดพ้นนั้นยังอยากจะช่วยชาวโลกก่อน ถ้าชาวโลกยังไม่หลุดพ้นกัน ก็ยังไม่ไปถึงที่สุดคือยังไม่เข้านิพพาน ตามหลักการเขาอย่างนั้น แต่ว่าจะต้องอยู่ช่วยโลกต่อไป เกิดแล้วเกิดอีก เพื่อมาช่วยโลกต่อไป อุดมการณ์ของเขาเป็นอย่างนั้น แล้วมีพระโพธิสัตว์ในรูปต่างๆ ชื่อต่างๆ ก็มีความหมายไปในทางที่ว่า ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในรูปอย่างนั้น ในทางหยูกทางยา ในทางโรคภัยไข้เจ็บ ในทางด้านสังคมสงเคราะห์ ในด้านฟื้นฟูจิตใจ คล้ายๆ กับว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์ ที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชน พลเมือง ให้มีความสุขสบาย พระโพธิสัตว์ก็มีหน้าที่อย่างนั้น คอยช่วยเหลือคนที่มีความทุกข์ยากลำบาก เดือดร้อน ด้วยประการต่างๆ ก็เข้าไปช่วยเหลือทางด้านจิตใจ คนก็เข้าไปกราบไหว้ ขอศีล ขอพร จากพระโพธิสัตว์เหล่านั้น การเข้าไปขอพรก็ในขณะเข้าไปขอพรใจก็สงบ ไม่นึกถึงเรื่องอื่น นึกแต่ชื่อของพระโพธิสัตว์ นึกถึงบารมีของพระโพธิสัตว์ จิตใจก็ย่อมจะผ่องใส มีความอิ่มใจ สบายใจ ว่าเรานี้อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของพระโพธิสัตว์องค์นั้น พระโพธิสัตว์องค์นี้ จิตใจก็สบาย ตามสมควรแก่ฐานะ
ทีนี้ในเรื่องการศึกษาค้นคว้าด้านธรรมะ คัมภีร์ของเขานั้นเขาแปลหมด แปลหมดจากภาษาเดิมคือว่า คัมภีร์ฝ่ายมหายานนี้เรียกว่าเป็นภาษาสันสกฤต ภาษาบาลีเป็นของพวกเรา ในอินเดียนั้นมันมีภาษาโบราณอยู่ ๒ ภาษา คือภาษาบาลีกับภาษาสันสกฤต ภาษาสันสกฤตนี้เป็นภาษาสำหรับปัญญาชน คนที่จะรู้จะเข้าใจนั้นต้องเป็นผู้มีความรู้ มีการศึกษา บาลีนั้นเป็นภาษาชาวบ้านทั่วๆ ไป พระพุทธเจ้าท่านไม่พูดภาษาสันสกฤต เพราะว่าถ้าพูดภาษาสันสกฤตประโยชน์มันน้อย คนฟังไม่กี่คน เข้าใจไม่กี่คน ท่านจึงพูดบาลี พูดกับชาวนาก็ได้ ชาวสวนก็ได้ กรรมกรก็ได้ ใครก็ได้ ภาษานี้คนฟังรู้เรื่องเข้าใจความหมาย ต้องการให้คำสอนแพร่หลาย พูดภาษาตลาด ไม่พูดราชาศัพท์หรือศัพท์สูงๆ ให้คนฟังงุนงง ฟังแล้วก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจความหมาย ภาษานี้จึงเป็นภาษาง่ายๆ แต่ว่าในฝ่ายมหายานนี้เขาใช้ภาษาสันสกฤต แต่ว่าภาษาสันสกฤตก็ไม่ได้ใช้ เขาแปลหมด แปลเป็นภาษาทิเบต คัมภีร์ทิเบตมีมากมาย คัมภีร์บางอย่างในอินเดียไม่มี แต่มีอยู่ในทิเบต เคยมีพราหมณ์หนุ่มชาวอินเดียชื่อ (32.06 ไม่ยืนยันตัวสะกด) ราหุละ สันสกฤตญายนะ เป็นนักปราชญ์ทางภาษา แกเดินข้ามภูเขาหิมาลัย เข้าไปในทิเบต ไปศึกษาค้นคว้าเอาคัมภีร์เก่าๆ ที่มันสูญหายไปจากอินเดีย ไปคัดไปลอกเอามาไว้ในอินเดียตามเดิมต่อไป แล้วก็เขียนหนังสือเรื่องเกี่ยวกับทิเบตไว้มากมายก่ายกอง เพราะได้ทำการศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียด ไปอยู่เป็นเวลาหลายปี เข้าไปคลุกคลีกับคนทิเบต ได้รู้อะไรมากๆ เขาจึงได้มีความเข้าใจลึกซึ้งในข้อธรรมะ พระของเขาเขียนหนังสือไว้ให้โลกอ่านเหมือนกัน เพราะเขาคลุกคลีอยู่กับตำรา ศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง แต่ว่าชาวโลกไม่ค่อยได้อ่าน เพราะไม่แพร่หลาย แต่ต่อมาฝรั่งเขาบุกเข้าไปทิเบต เมื่อไปศึกษาค้นคว้าเข้า เขาก็ได้ความรู้ ได้ความเข้าใจ ทำให้คนเหล่านั้นได้เรียนได้รู้ แปลออกเป็นภาษาต่างประเทศ คนก็สนใจ แล้วก็มีชาวทิเบตเองที่ได้มาศึกษาภาษาอังกฤษ คนทิเบตมักจะมาศึกษาที่เมืองอินเดีย ถ้าเป็นลูกคนที่มั่งคั่ง มาเรียนโรงเรียนกินนอนเลย มาเรียนกินนอนที่ประเทศอินเดีย
เคยพบชาวทิเบตมานมัสการสังเวชนียสถาน พ่อนี่พูดอังกฤษก็ไม่ได้ พูดฮินดีก็ไม่ได้ ลูกชายเป็นล่าม ลูกชายอายุประมาณ ๑๕ – ๑๖ ปีเป็นล่ามให้พ่อตลอดเวลา เพราะมาเรียนอยู่ที่ดาร์จีลิ่งในโรงเรียนกินนอนของฝรั่ง มีความรู้ ได้พบกันที่เมืองพาราณสี ได้พบกันแล้วก็แกบอกให้เรานั่ง ทำสมาธิ เราก็นั่งทำสมาธิ ทำสมาธิเดี๋ยวก็เอาเงินรูปี ๒๐ รูปีมาใส่ในมือที่กำลังนั่งสมาธิทุกองค์ ๒ องค์ไม่มากอะไร ถวายปัจจัย แล้วก็มากราบลงบนตัก แล้วก็ไป ขอพรอะไรอย่างนั้น ก็น่าดูอยู่เหมือนกัน จิตใจเขาเป็นอย่างนั้น เขาจึงเป็นที่สนใจของชาวตะวันตก คือ พวกฝรั่งที่มาศึกษาค้นคว้า มีตำรับตำรา เดี๋ยวนี้แพร่หลาย เขาแปลออกไปเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาของชาติที่เจริญจากภาษาทิเบต ก็แพร่หลายออกไป คนสนใจมาก สมมติว่าพระไทยเรานี่ไปอยู่ในต่างประเทศกับพระทิเบต คนจะไปหาพระทิเบตมากกว่า มากกว่าพระไทย เพราะว่าคนสนใจเรื่องทิเบตมาก แล้วเขาก็ไปศึกษาธรรมะจากทิเบต พระฝรั่งที่มาบวชสำนักท่านสุเมโธ บางรูปก็เคยไปอยู่กับพระทิเบตเหมือนกัน แต่ทีหลังเมื่อมาอยู่กับท่านสุเมโธก็เลยมาบวชในสำนักนี้ต่อไป อันนี้เอามาเล่าให้ฟังว่าความสนใจของชาวตะวันตกนั้นเป็นอย่างนั้น เพราะทิเบตมีอะไรดีๆ มีเพชร เรียกว่ามีเพชรซ่อนไว้ในหิน แต่คนไม่ได้ไปขุดค้น ฝรั่งเขาใช้เครื่องมือสมัยใหม่ทางด้านปัญญา ไปขุดค้นเพชรเหล่านั้นออกมาเอามาใช้เป็นประโยชน์ เป็นคุณเป็นค่าต่อชาวโลกต่อไป นี่มันเป็นอย่างนี้
ความจริงก็หลักธรรมในทางมหายานกับเรานั้น ส่วนลึกไม่ได้แตกต่างอะไรกันหรอก! มันแตกต่างเรื่องผิวเผิน สำหรับคนที่ปัญญาน้อยๆ มีพิธีรีตรอง มีอะไรมากมายก่ายกอง เพื่อให้คนนั้นเข้าถึง ไอ้เราได้ไปวัดมังกรกมลาวาส วัดเล่งเน่ยยี่ ที่ถนนเยาวราชก็ได้ว่ามีสภาพอย่างไร แล้วพวกอาเจ้ อาซิ้มทั้งหลายไปไหว้พระอย่างไร เขาก็ไปไหว้กันตามแบบประเพณีพิธีรีตรอง ไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม ไปนั่งประนมมือกันไปตามเรื่อง ขอศีล ขอพรให้ช่วยลูกช้างทีเถิด ให้ค้าขายร่ำๆ รวยๆ เสียหน่อย! แล้วบางทีก็ไปสวดมนต์ แต่ว่าเปิดหนังสือสวดเปิ๊บๆๆๆ สวด ถามว่า “สวดอะไร?” โอ๊ย..หนังสือที่สวดน่ะไม่ใช่เรื่องต่ำต้อย วัด (37.00 เสียงไม่ชัดเจน) …… สูตร มันสูตรลึกซึ้ง พูดอย่างลึกซึ้งในด้านปัญญา แต่เขาสวดไวๆ สวดไปๆ ก็ไม่รู้เรื่องอะไร ก็สวดกันไปอย่างนั้น อยู่ในรูปของประเพณี แต่ไม่อยู่ในรูปของปัญญา แต่ว่าผู้ที่ก้าวหน้าไปสู่ด้านปัญญา มันก็มีเหมือนกัน เมื่อมีแล้วเขาก็ปฏิบัติเอาจริงเอาจัง นั่งสงบใจ เขาเล่าว่าคนทิเบตนี้ไปนั่งสมาธิอยู่ท่ามกลางหิมะได้ โดยไม่หนาวนะ เขาทำได้ ร่างกายไม่หนาวเพราะในขณะนั้นเขาไม่รู้สึกตัว เขามีสมาธิมั่นคง อยู่ในฌาณอันละเอียดอ่อน จึงไม่รู้สึกว่าหนาวอะไร เขาก็ทำได้เพราะว่าเขาฝึกจริงจัง ทำจริง คือเขาไม่มีปัญหาเศรษฐกิจ ไม่มีปัญหาการเมือง ไม่มีปัญหาอะไรให้ยุ่งยากใจ เขากินอยู่ตามพอดีๆ ไม่ก้าวหน้า ทว่าเรียกว่าไม่เจริญตามแบบใหม่ก็ได้ แต่ว่าเขาอยู่เป็นสุขตามสภาพของเขา เขามีกิน เขามีใช้ เขามีเวลาที่จะไปนั่งหาความสงบใจ ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับปัญหาเงินเฟ้อ หรือปัญหาดอกเบี้ยตกต่ำ หรือปัญหาขาดทุนสูญกำไรอะไร เขาก็ไม่มีเรื่องอย่างนั้น เขาอยู่กันเหมือนๆ กันสะดวกสบาย ทอผ้าใช้ เลี้ยงสัตว์ประเภทที่จะให้นมแก่เขา แล้วเขากินนม กินอะไรไป เลี้ยงแกะก็ตัดขนมาทำผ้าขนสัตว์ เขาก็อยู่ได้ตามสภาพของเขา ไม่มีอะไร
แต่นี่แล เมื่อพวกจีนแดงเขาอยากจะไปพัฒนา เขาบอกว่าทิเบตไม่เจริญ แต่เอาจะไปทำให้เจริญ อ้าว.... เอาความทุกข์ไปให้เขาเสียแล้ว ไปทำให้เขาเจริญน่ะคือเอาความทุกข์ไปให้เขา เพราะว่าเขา เขาอยู่กันอย่างนั้นก็ดีแล้ว ความจริงน่าจะปล่อย ให้เขาอยู่กันไปเถิด เขาอยู่กันตามสภาพของเขา เขาก็มีความสุขตามสภาพ มันไม่ใช่เรื่องไปทำให้เจริญ แต่เรื่องต้องการทรัพยากรในแผ่นดิน เพราะในแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นมันมีอะไรเยอะแยะ ที่ยังไม่ได้สำรวจตรวจสอบ เขาก็อยากได้ และอีกอย่างหนึ่ง ว่าตีไปว่ารัสเซียอาจจะเข้ามาก็ได้ เลยเข้าไปเสียก่อน แย่งผลประโยชน์กัน ก็เกิดปัญหา เกิดความทุกข์แก่ประชาชนชาวทิเบต เพราะอาศัยกิเลสคือ โลภ โกรธ หลงนั่นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร เขาอยู่กันสบายๆ ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เราก็ไปทำให้เขาเกิดปัญหาขึ้นมา โลกมันก็วุ่นวายตรงนี้แล ถ้าปล่อยให้เขาอยู่ตามเรื่อง เราไปทำมาค้าขาย หรือว่าจะไปเอาอะไรก็ไปติดต่อเขา มันก็ไม่มีอะไร
เหมือนบ้านเมืองไทยเราในสมัยที่ชาวตะวันตกมาแสวงหาเมืองขึ้น เราก็รู้จักรักษาตัวรอด ในหลวงท่านฉลาด ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ มาน่ะ เรียกว่าฉลาดมาโดยลำดับ ต่อสู้กับปัญหา แต่ปัญหามันมามากขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ ที่ ๕ แต่ว่าเป็นบุญของประเทศไทย เพราะว่ารัชกาลที่ ๔ ท่านบวชหลายปี แล้วก็มีการเตรียมตัวมาก ได้เรียนภาษาบาลี ภาษาลาติน ภาษาอังกฤษสามารถใช้ได้ ไม่ต้องใช้ล่าม พูดกันกับฝรั่งมาติดต่อกันได้ เขียนจดหมายไปถึงพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษได้เรียบร้อย เมื่อเขามาก็พอรู้ พูดจากันได้ ท่านต้องการอะไร ต้องการมาค้าขาย โอ....ใครใคร่ค้าๆ ใครใคร่ขายๆ เอาภาษีนิดหน่อย ไม่มากมายอะไร เพื่อรักษาประเทศชาติไว้ นั่นเราก็อยู่รอดปลอดภัย ด้วยนโยบายนิ่มนวล ไม่แข็งกร้าว ไม่ให้เกิดปัญหา ประเทศอื่นไม่ใช้นโยบายนิ่มนวล ชอบแข็งกร้าว แล้วก็จะไปท้าชกกับนักมวยคนละชั้น ฝรั่งมันมวยชั้นใหญ่ ไอ้เรามันมวยชั้นเล็กๆ จะไปชกกับเขาไหวหรือ? มันก็แพ้เขา เลยเป็นเมืองขึ้นเขาตั้งหลายสิบปี เกือบร้อยปีน่ะแต่เราไม่เป็นไร อันนี้เป็นนโยบายชาญฉลาดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โดยเฉพาะรัชกาลที่ ๔ ที่ ๕ พาประเทศชาติปลอดภัยเป็นสิ่งที่เราควรจะระลึกถึงพระองค์ท่าน โดยเฉพาะเดือนนี้ก็เป็นเดือนของพระปิยะมหาราชเจ้า เพราะวันที่ ๒๓ ตุลาคม เป็นวันที่เราทั้งหลายควรจะสงบจิต สงบใจ น้อมระลึกถึงพระคุณของพระองค์ท่าน ที่ได้ทำให้ชาติบ้านเมืองเรา ได้อยู่เย็นเป็นสุข พ้นจากการครอบครองของนักแสวงหาเมืองขึ้นทั้งหลายได้ เราก็ต้องน้อมระลึกถึง เมื่อระลึกถึงแล้วเราก็ควรจะทำอย่างไร ถามตัวเราเองทุกคนว่า เราควรจะทำอะไรเพื่อเป็นการตอบบุญคุณของพระองค์ท่าน คำตอบก็มีว่า เราควรอยู่ในความประพฤติดี ประพฤติชอบ ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ให้สมบูรณ์ ให้เรียบร้อย ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่นั้นให้สมบูรณ์ ให้เรียบร้อย อย่าให้ขาดตกบกพร่องด้วยประการใด ก็เรียกว่าแสดงความกตัญญูกตเวที เพียงแต่เอาดอกไม้ไปวางนั้น เป็นพิธีการแต่ว่าหลังจากนั้นจะต้องสำนึกว่า มีอะไรที่เราจะต้องทำ ให้ดีขึ้นไป ให้เลิศขึ้นไปกว่านี้เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม คือประเทศชาติเราก็ทำสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นในชาติในบ้านเมือง สืบต่อเจตนาที่เป็นบุญเป็นกุศลที่พระองค์ท่านได้ทรงกระทำไว้ ไม่ให้มันขาดตอน เพื่อชาติ เพื่อประเทศของเราต่อไป อันนี้เป็นเรื่องที่เราควรจะกระทำได้
ส่วนคนในทิเบตนั้น เขาก็ดีอยู่ แต่ว่ามีคนอื่นเข้าไปแทรกแทรง มันก็เกิดปัญหา เกิดการต่อสู้กันบ้าง ทั้งๆ ที่เขาไม่เต็มใจที่จะทำการต่อสู้ แต่ว่าเมื่อคนมารังแกถึงประตูบ้าน ใครจะนั่งอยู่ในบ้านเฉยๆ นั่งสวดมนต์ให้เขาทุบหัวได้อย่างไร นิสัยของคนมันก็ต้องต่อสู้ตามหน้าที่ อย่างนี้น่ะ แต่ท่านดาไล ลามะท่านไม่ทำอย่างนั้น ท่านพูดจาส่งเสริมในความสงบอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นเรื่องเตือนใจพวกเราทั้งหลายเหมือนกัน พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าอย่างไร พระองค์สอนว่า “สนฺติมคฺเมว พรูหย” แปลว่า “สูเจ้าจงสร้างทางแห่งสันติภาพ” ตรัสว่า
“สนฺติมคฺเมว พรูหย” - “สูเจ้าจงสร้างทางแห่งสันติภาพ” แล้วก็ตรัสต่อไปถึงผลของสันติว่า
“นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ” สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี
อันนี้เป็นหลักในทางพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าของชาวเราทั้งหลายนั้น เป็นผู้ส่งเสริมสันติตลอดเวลา ไม่ส่งเสริมความแตกแยก แตกร้าว ถ้ารู้ว่าใครจะแตกกันก็ไปประสาน ไม่ให้เกิดแตกแยก เช่นว่าพระญาติจะรบกันด้วยเรื่องแย่งน้ำ สำหรับทำการเพาะปลูก แม่น้ำมันสายเดียว ฝั่งหนึ่งเป็นพวกโกลิยะ คือฝ่ายพระมารดา ฝ่ายหนึ่งเป็นพวกศากยะ เป็นฝ่ายพระบิดา คนทั้งสองฝ่ายทำนากัน แล้วน้ำมันแล้งปีนั้น เลยมาแย่งน้ำกัน พระองค์ทรงทราบก็เสด็จมาที่นั่น มาถึงถามว่า
“พวกเรานี่ กำลังจะทำอะไร”
“จะรบกัน”
“อ้าว...ทำไมจะต้องรบกันด้วยล่ะ รบกันเรื่องอะไร”
“รบกันด้วยเรื่องน้ำ”
“ไอ้ชีวิตคนกับน้ำนี้อันไหนมีค่ามากกว่ากัน” พระองค์ถามอย่างนั้น
เขาตอบว่า “ชีวิตคนมีค่ามากกว่าน้ำ”
“แล้วจะไปฆ่าไปแกงกันทำไม นี่ฝั่งโน้นคือใคร ฝั่งนี้คือใคร ดูหน้ากันหน่อยสิ ว่าใครมาอย่างไร” .... โกลิยวงศ์กับศากยวงศ์นั้นพัวพันกันตลอดเวลา ในทางเรียกว่า แต่งงาน เจ้าชายฝ่ายโน้นมาได้เจ้าหญิงฝ่ายนี้ เจ้าหญิงฝ่ายนี้ไปได้ฝ่ายโน้น พระเจ้าสุทโธทนะอยู่ฝ่ายศากยะ พระนางมายาก็ฝ่ายโกลิยะ มาแต่งงานกัน เจ้าชายสิทธัตถะก็ไปแต่งงานกับพระนางพิมพา ฝ่ายโกลิยะมันสัมพันธ์กันอยู่เป็นพี่น้องกัน
เหมือนไทยกับลาวนั่นแล ไอ้เนื้อแท้มันก็คื้อกั๋นน่ะ (46.21 ภาษาอีสาน) เป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่มันมาแตกตอนปลาย คนถือหางนะ สมัยฝรั่งเศส คนฝรั่งเศสถือหาง เหมือนถือหางไก่ชนน่ะ ถือหาง ตีกันให้แตกแยก เขาจะได้ปกครองสบาย เอ้าต่อมาก็ได้พวกเวียดนาม เข้ามาถือหางของประเทศลาวอยู่ รัฐบาลลาวก็อยู่ในกำมือของพวกเวียดนาม คอยยุ คอยแหย่ให้แตกแยกกัน แต่เดี๋ยวนี้ค่อยสดใสขึ้นหน่อย เพราะว่าคนลาวก็มีความสำนึกว่า เอ้อ...ไอ้ไทยกับลาวนี่สนิทกันมากกว่า ลาวกับแกว สนิทกันมากกว่า แล้วหันมาทางนี้ดีกว่า แม่น้ำโขงมันก็กว้างแค่นิดเดียว ถ้าไปถึงโน่น ไซ่ง่อน ไปฮานอยมันไกลข้ามภูเขาไปกว่าจะถึงมันก็ลำบาก ไอ้นี่ปี๊ด... มันก็มาแล้ว ขัดข้อง อะไรก็มาบอกมาทางกรุงเทพฯ ขึ้นรถไฟประเดี๋ยวเดียวก็มาถึงแล้ว ข้ามมาหนองคายโทรศัพท์มาถึงนายกฯ ก็ได้ ไม่ลำบากอะไร ค่อยรู้สึกตัวขึ้น แล้วหันมาประนีประนอมกัน ระหว่างไทยกับลาว ไปมาหาสู่ทำมาค้าขายกัน เรียกว่าเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ไม่ได้ต่างกันอะไร ไปไหนก็ไม่ต้องใช้ล่าม หลวงพ่อไปเวียงจันทน์นี่ไม่ต้องใช้ล่าม ที่ไหน? (47.50 เสียงไม่ชัดเจน) …… เขาก็ฟังกันแบบนี้... (พูดออกสำเนียงภาษาลาว) เข้าใจความหมาย แล้วเวลาเขาถามอะไรเขาถามเป็นภาษาเวียงจันทน์ หลวงพ่อก็เข้าใจคำถาม ตอบ...เป็นภาษาไทย เขาก็เข้าใจกัน แล้วก็เหมือนว่าไปเวียงจันทน์นี้เหมือนกับไปหนองคาย มันต่างนิด มันต้องลงแม่โขงไป ข้ามไปแล้วบรรยากาศมันก็เหมือนหนองคาย เป็นอุดรฯ เป็นอะไรทางภาคนี้ทั้งนั้น ไม่มีความรู้สึกว่าแตกต่างอะไรกัน อาหารการขบฉัน น้ำจิตน้ำใจ ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยกันอย่างสนิทสนม มันเป็นอันเดียวกัน นโยบายที่ควรจะได้เข้ากัน สร้างสันติดีกว่าสร้างความแตกแยก มันไม่มีความทุกข์ ความสุขอะไร ถ้าอยู่กันด้วยความแตกแยก ควรหันหน้าเข้าหากัน
พระพุทธเจ้าท่านจึงเห็นว่าญาติสองฝ่ายไม่ควรจะรบกัน แต่ไปพูดถามปัญหา พวกนั้นก็เข้าใจ แล้วพระองค์บอกว่า “มาทำทำนบกั้นเข้าสิ ... ช่วยกันทำ ทำทำนบกั้นเข้า แล้วก็น้ำมันเอ่อ พอเอ่อแล้ว วันนี้เปิดฝั่งขวา พรุ่งนี้เปิดฝั่งซ้าย ผลัดกันคนละวัน แล้วก็ไม่ต้องตีกันแล้ว ไม่ดีหรือ?”
“โอ้....กราบขอบพระคุณพ่ะย่ะคะ” อ้าว...เพิ่งนึกได้ ไอ้เมื่อก่อนทำไมนึกไม่ได้ “เลือดเข้าตา...” ก็ว่าอย่างนั้น เลือดเข้าตา คิดไม่ออก จิตมันถูกโมหะครอบงำ ถูกความโกรธครอบงำ ถูกความโลภครอบงำจิตใจ ลืมไปหมดเลย กิเลสครอบงำใจแล้วมันมองอะไรไม่เห็น วันท้องฟ้ามีเมฆไม่เห็นแสงอาทิตย์ ฉันใดก็ฉันนั้น แต่ว่าพอมีใครมาเขี่ยเข้าหน่อย พระพุทธเจ้ามาเขี่ยนิดเดียว เกิดความสำนึกรู้สึกตัวว่า “โอ้...เรานี่โง่ไปแล้ว” มาฉลาดกันเสียดีกว่า เลยหันหน้าเข้าหากัน นี่เรียกว่าสร้างเสริมสันติภาพ ไม่ต้องการให้รบราฆ่าฟันกัน พระเจ้าอชาตศัตรูนี่อยากได้เมืองเวสาลีของพวกกษัตริย์ลิจฉวี แต่ว่าพวกกษัตริย์ลิจฉวีเขาประพฤติธรรม เขาพร้อมเพรียงกันถ้าปฏิบัติหน้าที่ เวลาประชุมพร้อมเพรียงกันประชุม เวลาเลิกประชุมพร้อมเพรียงกันเลิก พร้อมเพรียงกันทำกิจที่หมู่คณะจะต้องจัดต้องทำ ผู้ใดเป็นหัวหน้าเขาเคารพหัวหน้า เมื่อตกลงกันในที่ประชุมว่าจะเอาอย่างไร ทุกคนต้องเอาอย่างนั้น แม้ไม่เห็นด้วยก็ไม่ไปเที่ยวโพนทะนานอกบอร์ด ว่าฉันไม่เห็นด้วยเรื่องนี้ อ่ะ..โฆษณาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ให้มันวุ่นวายไปหมด อย่างนั้นไม่ได้ ไม่ได้เรื่องอะไร สร้างความแตกแยก แตกร้าว แต่ว่าพวกกษัตริย์ลิจฉวีเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาอยู่ในสภาพเรียบร้อย แล้วเขาเคารพสตรี ไม่เอาสตรีมาเป็นเครื่องเล่น
เดี๋ยวนี้นะ....ขออภัย เอาสตรีมาเป็นเครื่องเล่น ประกวดนางงาม นั่นนี่ เดี๋ยวนี้เอานักเรียนไปประกวดกันแล้ว ชักจะเลอะกันไปทุกวันแล้ว เอาไปเป็นเครื่องเล่น เอาของขวัญมาล่อ เอาเกียรติมาล่อ ส่งเสริมให้คนมันวุ่นวาย สร้างปัญหา เรามีลูกสาว หลานสาว ถ้ามันอยากจะประกวด “ไม่ต้องหนูเอ๊ย...อย่าไปกวดเลย มันยุ่ง ไม่เข้าเรื่องอะไร เรียนหนังสือดีกว่า จะได้มีวิชาความรู้ไปทำมาหากินต่อไป ไม่ต้องไปเดินประกวดให้มันวุ่นวาย จิตใจฟุ้งซ่าน” พอเขาบอกว่า “เป็นคนงาม” โอ๊ย...จิตใจมันฟุ่ง มันหยิ่ง เกิดมีอัตตาตัวใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกน่ะ “กูสวยกว่าเพื่อน” เดินไปไหนก็เดินชูคอไป มันก็ยุ่งน่ะ สภาพจิตใจมันเปลี่ยนแปลง เสียหาย แล้วอาจจะเสียคนได้ง่าย ถูกคนป้อยอหลอกไม่ต้มไปยำที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้เรื่องอะไร
กษัตริย์ลิจฉวีเขาไม่ทำอย่างนั้น ทีนี้ก็พวกพระเจ้าอชาตศัตรูต้องการตีให้แตก ส่งพราหมณ์ ๘ คน ปลอมตัวเป็นนักบวชนะ ไปสืบเหตุการณ์เมืองลิจฉวี เมืองเวสาลี แล้วเวลาเดินทางกลับผ่าน ส่วนที่ประทับของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ว่า “นักบวชพวกนั้นน่ะ ไม่ใช่นักบวชจริง เธอรู้ไหม? เป็นใคร เป็นจารบุรุษ มาจากเมือง ราชคฤห์ จะไปสืบข้อความ เดี๋ยวเขามาที่นี่ ตถาคตจะพูดให้เขาฟัง เดี๋ยวเขาก็มาแวะเยี่ยมเยียนพระพุทธเจ้า มาเยี่ยมเยียนพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทำเหมือนไม่รู้ แต่พูดเหมือนกับรู้ พูดว่า
“เมืองเวสาลีเขามั่นคง เขามั่นคงเหมือนกับปราสาทดิน แห้งทึบ ไม่มีใครจะตีได้ เพราะอะไร เพราะกษัตริย์ลิจฉวีเขาอยู่ในธรรมะ ดังที่ว่าเมื่อตะกี้นี้ พวกนั้นได้ฟังแล้วก็ “โอย....พระพุทธเจ้ารู้น่ะว่าเราเป็นจารบุรุษ” เลยก็สารภาพน่ะ สารภาพว่าไม่ได้เป็นนักบวชจริงจังอะไรนะ เป็นพระปลอม ก็ไปเล่นการเมืองว่าอย่างนั้นเถิด พระองค์ก็บอกว่า “อย่าคิดให้วุ่นวาย กษัตริย์ลิจฉวีเขาอยู่กันสะดวกสบายดีแล้ว ไปบอกพระเจ้าอชาตศัตรูว่าอย่าไปรังแกเขาเลย ให้อยู่ด้วยความสงบดีกว่า” เขาก็คงไปบอกน่ะ แต่ว่าพระเจ้าอชาตศัตรูแกก็ไม่ค่อยฟัง แกดื้อ เพราะว่าแกเป็นลูกศิษย์เทวทัต ตอนนั้นแกยังดื้ออยู่ เลยแกก็หาวิธีว่า ต้องกระทำให้พวกลิจฉวีแตกแยก เลยใช้ เขาเรียกว่า อุบาย วัสสการพราหมณ์ วัสสการพราหมณ์เป็นคนผู้เฒ่า ทำราชการมาตั้งแต่ยุคพระเจ้าพิมพิสารเสด็จพ่อ แล้วก็อยู่ต่อมา เรียกตัวมาแล้วก็เฆี่ยนซะเลย เฆี่ยนหลังลาย เลือดโทรมมาเลย เหมือนสิงค์โปร์เฆี่ยนกรรมกรเมืองไทยอย่างนั้น เฆี่ยนให้มันหลังลายไปเลย แล้วไล่ออกจากเมือง ก็เดินทาง ใครจะอ่านละเอียด ไปอ่านสามัคคีเภทคำฉันท์ ของนายชิต บุรทัต เดินทางไป...ไป..ไป เข้าไปหาพวกกษัตริย์ลิจฉวีทั้งน้ำมูก น้ำตา บอกว่า “ข้าพเจ้านี่เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงของพระเจ้าพิมพิสาร พอมาชั้นลูกไม่รู้จักความดีของข้าพเจ้า ลงโทษดูสิ...เฆี่ยนหลังลายไปเลย” เปิดหลังให้ดูด้วยนะ พวกนั้นก็ตกหลุมพราง สงสาร และก็รับไว้ เพราะเป็นพราหมณ์มีความรู้เพื่อให้สอนลูกๆ หลานๆ สอนลูกก็ยุให้แตกกันน่ะ แตก พอลูก แตกกัน ลูกก็ไปบอกพ่อ พ่อแตกกัน พอแตกกันหมดก็ส่งข่าวมาตีได้แล้ว เวลานี้แตกกันแล้ว เขาเรียกว่า อุบายวัสสการพราหมณ์ เขาใช้กันอยู่เหมือนกันนะ ในสมัยนี้นักการเมืองเอามาใช้ ระหว่างประเทศทำให้แตกให้แยกกัน นี่เป็นอย่างนั้น ผลที่สุดเลยตีแตกเหมือนกัน พระพุทธเจ้าช่วยไว้ได้ แต่ไม่สำเร็จ เพราะคนดื้อช่วยไม่ได้ เรื่องเป็นอย่างนั้น
นี่สันติมันอยู่ในใจของเรา ให้มีความสงบใจ การรักษาศีลก็เพื่อให้เกิดสันติในใจ เจริญสมาธิก็เพื่อให้เกิดสันติขึ้นในใจ เจริญภาวนาเกิดปัญญา ที่มาฟังธรรมก็เพื่อมีความรู้ความเข้าใจ แล้วเอาไปแก้ไขปัญหาให้ตัวเราสงบ จิตที่สงบนั้นคือจิตที่ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ในสิ่งที่มากระทบ อะไรมากระทบก็มีปัญญารู้ทัน รู้เท่าต่อสิ่งนั้น ไม่ไปหลงยึดติดในสิ่งนั้นด้วยอำนาจความเข้าใจผิด ก็จิตใจสงบ ควรจะอยู่ด้วยความสงบ คนเราถ้าจิตใจสงบ กายมันก็สงบ วาจาก็สงบ อะไรก็สงบหมด แล้วเป็นความสุขทางใจ สุขภาพกายดีขึ้น สุขภาพจิตก็ดีขึ้น มีความเจริญ มีความก้าวหน้าในชีวิต ใครที่ทำงานเพื่อสังคมนี่ต้องมีจุดหมายแน่วแน่ ว่าเราจะสร้างสันติสุข สันติภาพให้เกิดขึ้นในสังคม ทำทุกวิธีเพื่อให้เกิดความสุขสงบในสังคม อย่าทำอะไรที่จะให้เกิดความแตกแยก ก็อยู่กันด้วยคุณธรรม คือเมตตา ปรานีต่อกัน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ได้ ทำอะไรก็เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ผู้อื่น ให้คนอื่นเป็นสุขเราก็ได้ความสุข ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์เราก็ได้ความทุกข์ ความเดือดร้อน เป็นหลักการง่ายๆ ที่จะให้เกิดความสุข เกิดความสงบขึ้นในสังคม ไปไหนทำอะไรก็ต้องตั้งใจว่า เราไปเพื่อความสงบ ไปเพื่อสร้างทางแห่งความสงบ จะไม่ไปสร้างความแตกแยก ถ้าเราไปด้วยความโลภ มันก็สร้างความแตกแยก ไปด้วยความโกรธก็สร้างความแตกแยก ไปด้วยความหลงก็สร้างความแตกร้าว เราไม่ไปอย่างนั้น แต่ไปด้วยสติ ปัญญา มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ประจำจิตใจอยู่ตลอดเวลา อะไรก็จะเรียบร้อย เป็นไปด้วยดี เรื่องนี้จึงเอามาสนทนากันเสียหน่อย …… ความจริงวิทยุเขาจะมาสัมภาษณ์ แต่ว่าติดธุระเลยไม่ได้มา ก็เราพูดไปแล้วได้เรื่อง ได้ราวดี พูดมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้