แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา เมื่อวันที่ ๑ นี้ได้เดินทางไปจังหวัดเพชรบูรณ์ คือต้องการจะไปเยี่ยมสถานที่แห่งหนึ่ง ที่เขาเรียกว่าแคมป์สน แต่ว่าต้นสนมันเหลือน้อยเต็มที คนตัดไปเสียหมด แต่ว่าชื่อก็ยังชื่ออย่างนั้น ชื่ออย่างนั้นก็เพราะว่า สมัยเขาสร้างทาง ษณุโลกหล่มสัก เขาไปตั้งแคมป์ทำทางที่นั่น แล้วก็ให้ชื่อว่าแคมป์สน ชื่อก็ติดอยู่
แต่ว่ามีคนๆ หนึ่งคือคุณมหาพรนี่ แกเป็นเปรียญวัดมหาธาตุ เป็นผู้ที่สนใจในเรื่องธรรมะอยู่มาก แล้วคิดจะเผยแพร่ธรรมะในรูปของคฤหัสถ์ เมื่อก่อนแกก็เป็นพระอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่ แต่ต่อมาลาสิกขาบอกว่าจะออกไปเผยแพร่แบบคฤหัสถ์ แล้วแกก็ทำมาเรื่อยๆ ทำมาอย่างเอาจริงเอาจัง เป็นคนที่เข้าใจธรรมะดีพอสมควร แล้วเราพูด พูดดีเรื่องธรรมะ พูดดีทีเดียว ก็เวลานี้ก็ไปอยู่ที่นั่น สถานที่นั่น ตั้งชื่อว่าศูนย์พัฒนาศาสนามหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ถามว่าใครตั้งชื่อให้ แกบอกว่าพระนเรศวรบอกให้ชื่ออย่างนั้น พระนเรศวรบอกให้ตั้งชื่ออย่างนั้น แล้วก็สร้างเจดีย์เรียกว่าอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมือง พระนเรศวรนั่นแหล่ะของพระนเรศวร บอกเจดีย์ที่มาสร้างตรงนี้ ก็พระนเรศวรบอกให้สร้าง ให้ทำรูปอย่างนี้ แล้วก็ทำรูปอย่างนั้น
คุยกันไปคุยมาบอกว่า ที่สำนักนี้มีเทวดาเป็นกรรมการทั้งนั้น ไม่ใช่คนเป็นกรรมการ มีเทวดาทั้งนั้น ทำอะไรนี่ทำตามคำสั่งของเทวดาทั้งนั้น ก็เลยไปเยี่ยม ก็สร้างหอประชุมไว้ พระนักศึกษามหาจุฬานี่ต้องไปทุกปี เพื่อไปรับการอบรมทำภาวนาที่นั่น แกก็ตั้งใจดี ทำงานที่เป็นประโยชน์อยู่ แล้วก็คืนนั้นก็มีคนมาฟังเทศน์สัก ๗๐ กว่าคน เพราะว่ามาลำบากต้องมีรถยนต์ ก็เทศน์ให้ฟัง จบแล้วก็คุยสนทนาธรรมอะไรกัน นี่ก็นั่งๆ คุยกันก็มีกระดาษจดหมาย เขียนในแผ่นกระดาษ คือคุณศรีเพ็ญ เพ็ญศรี แกติดต่อกับเทวดาอยู่ตลอดเวลา เลยบอกว่าเทวดาในสถานที่นี้ มีความพอใจในความเมตตาของหลวงพ่อที่ได้มาเยี่ยม ว่าอ้อเทวดาก็พอใจ มนุษย์ก็พอใจ ก็ใช้ได้
แล้วก็วันไปนี่ออกสายหน่อย เพราะว่าไปบิณฑบาตอยู่ที่เซ็นทรัล ก็นึกว่าไปฉันกลางทาง ชั้นแรกจะไปฉันที่ลำนารายณ์ แต่ไม่ทันก็แวะที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่ง หลวงพ่อบอกว่าเดี๋ยวเขาไม่เอาสตางค์อีก เราเข้าไปฉันหลายๆ องค์อย่างนี้ ไปกันตั้ง ๗ องค์นี้ เลยฉันเสร็จเขาก็ไม่เอาสตางค์จริงๆ แล้วเข้าไปถามที่เขาขายมะพร้าวเผา ถามว่ากี่ลูกบาท เขาบอกว่าลูกละ ๕ บาท โอ้ทำไมขายลูกละ ๕ บาท นึกว่า ๕ ลูกต่อบาท เลยเขาเอามาถวาย ถวายแล้วเขาก็ยังใส่ถุงให้อีก บอกว่าเอาไปฉันวันต่อไป ก็ไม่คิดสตางค์อีกเหมือนกัน มันเป็นอย่างนั้น แล้วก็เทศน์เสร็จแล้ว กลับมาเทศน์ในหล่มสักอีกกัณฑ์หนึ่ง ไปฉันอาหารที่ปั้มน้ำมัน เขาก็ไม่เอาสตางค์ เพราะเขานิมนต์ไปฉัน แสดงธรรมที่หล่มสักแล้วก็เดินทางกลับมา
ก็เล่าให้โยมฟังว่า มันมีสถานที่ที่เหมาะเหมือนกัน ที่นั่นเหมาะแก่การพักผ่อน ไปสงบจิตสงบใจ แต่ระยะทางมันไกลไปหน่อย คนที่ไปพักผ่อนสุดสัปดาห์นี่ก็พอไปได้ ขับรถจากกรุงเทพก็ราวสัก ๓ ชั่วโมง ก็ไปถึงแคมป์สน มีที่พักสะดวกสบาย มีไฟมีน้ำ มีศาลาพักผ่อนสบายพอสมควร แล้วก็จะไปเขาค้อหน่อย แต่ว่ามันไม่มีเวลา นึกว่าจะไปเยี่ยมบริเวณเขาค้อ ไม่มีเวลาก็เลยไม่ได้ไป แต่ไปดูไร่ เรียกว่า ไร่บีเอ็ม ไร่ของนายบรรเจิด คุ้มวงษ์ ลูกของโยมจุล คุ้มวงษ์ สมัยก่อนมีชื่อทางสวนส้ม แต่เดี๋ยวนี้ทำไร่ส่งผักเข้ากรุงเทพวันเว้นวัน ผักประเภทต่างๆ ผลไม้ ปลูกทันสมัย ทำงานอย่างดี ในสวนเข้าไปปลูกไผ่เต็มไปหมด ร่มรื่นสบายใจ คนไปเที่ยววันเสาร์วันอาทิตย์ ไปเที่ยวเยอะ ไปดูสวนแล้วก็ซื้อข้าวซื้อของเล็กๆ น้อยๆ อันนี้เป็นรายการทัศนาจร เอามาเล่าให้โยมฟังนิดหน่อย
เมื่อเช้านี่ก็ออกไป ออกโทรทัศน์ บอกเรื่องบอกราวให้ญาติโยมทราบว่า เวลานี้ปัจจัยที่จะสร้างตึกพยาบาลนั้นได้ ๓๑ ล้าน ๓ แสนกว่าแล้ว ก็ใกล้เข้าไปแล้ว ใกล้ไปแล้ว แล้วก็บอกไปทางโทรทัศน์ว่าโยมที่ตั้งใจจะให้น่ะ ให้ไปให้ได้แล้ว เพราะว่ามันใกล้เข้าไปแล้ว จะได้สร้างเสียไวๆ จะได้เสร็จไวๆ อาตมาก็จะได้เบาใจไป ไม่ต้องมาสนใจอยู่กับเรื่องนี้ จะได้ทำงานอื่นต่อไป บอกให้ทราบกัน ก็มากันเรื่อยๆ ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ก็มากันเรื่อยๆ มีคนมาช่วยกันเรื่อยๆ เดือนกุมภาพันธ์นี้ต้องลงมือแน่ๆ ต้องตอกเข็มกันละ เร่งสถาปนิก วิศวกร บอกให้คิดเร็วๆ เพราะจะได้ลงมือเดือนกุมภาพันธ์
ตั้งใจไว้ว่าวันเพ็ญกลางเดือนเป็นวันมาฆบูชา จะเอาวันนั้นแหล่ะเป็นวันที่สำคัญ วันตอกเข็มเสาแรก จะเอาวันนั้น เพราะเป็นวันดี ไม่ต้องไปถามหมอไหน เพราะว่ามันดีอยู่แล้ว วันนั้นวันดีอยู่แล้ว วันเพ็ญเดือนสามวันดีอยู่แล้ว เป็นวันประชุมสาวก ๑,๒๕๐ องค์ พระพุทธเจ้าประทานโอวาทปาฏิโมกข์ วันมันดีเหลือเกิน ถ้าไปถามหมอเดี๋ยวหมอบอกไม่เอาอีกลำบาก เป็นหมอเสียเองดีกว่า เพราะว่ามันเสร็จไม่เสร็จมันอยู่ที่เงินเท่านั้นเอง ถ้าเงินพอแล้วมันก็เสร็จไว เงินไม่พอมันก็เสร็จช้า แต่นี่มันก็ได้เข้ามาขนาดนี้แล้วก็ไม่เป็นไร ยังอีก ๑๙ ล้านนิดหน่อย ก็คงจะได้มาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นลงมือทำได้ ตอกเข็มโครมๆ แล้วโยมได้ยินเสียงเข็มแล้วรำคาญหู ก็จะได้มาบริจาคกันต่อไป มันเป็นอย่างนั้น
วันนี้เรามา วันนี้วันอาทิตย์ต้นเดือน เดือนนี้เป็นเดือน ๑๒ หรือเดือนพฤศจิกายน เป็นเดือนที่มีพิธีอันหนึ่งเขาเรียกว่าลอยกระทง ลอยกระทงนี่มันก็เป็นเรื่องของอินเดียเขาเหมือนกัน เคยไปอินเดียตรงกับวันเพ็ญเดือน ๑๒ ในแม่น้ำคงคาเขาทำเป็นกระทงน้อยๆ ลอยกันมากเหมือนกัน เขาเรียกว่าทิวาราตรี วันของพระศิวะ เขาบูชาพระศิวะในแม่น้ำคงคา เพราะแม่น้ำคงคามาจากมวยผมพระศิวะ บนยอดเขาไกรลาศ หรือเขาหิมาลัย พอถึงวันเพ็ญเดือนหงาย เขาก็ไปกันลอยกระทงกันเหมือนกัน
แต่ว่าชาวพุทธเราไม่ได้บูชาพระศิวะ เราบูชาพระบาทของพระพุทธเจ้าที่เหยียบไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที แม่น้ำนี้อยู่ตรงไหนก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ว่าอยู่ในประเทศอินเดีย แต่โลกมันก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มันไม่แตกต่างอะไร มันผืนเดียวกัน แต่มีมหาสมุทรขั้น เราทำตรงไหนก็ได้ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วก็เป็นอันใช้ได้ หรืออีกอย่างหนึ่งเป็นเรื่องของพวกชาว พวกเกษตร พวกหากินทางทำนาทำไร่ อาศัยน้ำ อันนี้เดือน ๑๒ นี้น้ำมันเต็มทุ่ง ต้นข้าวเขียวชอุ่มใกล้จะออกรวง ชาวนาชาวไร่ก็ดีใจ ดีใจก็จะขอบคุณพระแม่คงคาที่ทำให้ต้นข้าวเขียวชอุ่ม ออกผลออกรวงดี ก็เลยไปบูชาพระแม่คงคา คือบูชาน้ำ เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อสิ่งที่ให้ประโยชน์แก่ชีวิตของเรา ก็เป็นการปฏิบัติธรรมะแบบหนึ่งเหมือนกัน
ในสมัยสุโขทัยนี้ พอวันเพ็ญเดือน ๑๒ ก็มีการเรียกว่าเล่นไฟ จุดไฟสว่างไสวไปทั้งแม่น้ำทั้งบริเวณ ประชาชนก็ได้ไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ก็เป็นอุบายที่จะให้ประชาชนได้เข้าใกล้พระเจ้าแผ่นดินในพิธีการต่างๆ เขาจึงมีพิธีทุกเดือน เรียกว่าพิธีพระราชพิธี ๑๒ เดือน มีกันทุกเดือน เป็นอุบายที่จะให้คนเข้าใกล้องค์พระมหากษัตริย์ จะได้รับความชื่นอกชื่นใจ อันนี้ก็เป็นแบบหนึ่ง การลอยกระทงของชาวบ้าน เขาก็ไม่ใหญ่โตอะไร ทำกระทงเล็กๆ ด้วยใบตอง แล้วก็เอาเทียนเล็กๆ ใส่ลงไป ตัดเล็บ ตัดผมใส่ลงไปเหมือนกับว่าสะเดาะเคราะห์ แล้วก็ไปริมแม่น้ำยกกระทงขึ้นเหนือศีรษะ อธิฐานใจแล้วก็ลอยไปอย่างนั้น ไม่ใหญ่ไม่โต
แต่ว่าต่อมาราชการส่งเสริม อะไรที่ราชการส่งเสริมนี่มักจะฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย ไอ้ที่เขาทำอยู่ก็ดีแล้ว แต่พอไปส่งเสริมขึ้นมันเป็นสนุกไป เช่น เชียงใหม่นี่เขาลอยกันคือวันเพ็ญ ลอยกระทงเล็กๆ เต็มแม่น้ำไป ดูแล้วมันก็สวยดีเหมือนกัน แต่ว่าราชการไปส่งเสริมนี่กลายเป็นไม่ใช่ลอยกระทงแล้ว ลอยแพ ต้องเอาแพมาทำเป็นแพเข้า แล้วก็เอาพรมอะไรปูไว้บนนั้น แล้วก็ติดไฟฟ้าให้เป็นแสงแว๊บๆ วับๆ แล้วก็ผู้หญิงสวยๆ ไปนั่งบนดอกบัว ร้องเพลงมีดนตรีแข่งกันทีนี้ ทำกันใหญ่ๆ มีการประกวดประขัน แทนที่จะเป็นการทำลายกิเลส กลับเพิ่มกิเลสของกูของมึงขึ้นมา ใครใหญ่กว่ากัน ใครสวยกว่ากัน แล้วมีการประกวดนางนพมาศน่ะ ผู้หญิงมาประกวด คนเขาไปเที่ยวกัน ๓ วัน ๓ คืน หนวกหูเต็มเมืองเลย
เชียงใหม่ฤดูลอยกระทงหนวกหูที่สุดเลย หนวกหูเข้าไปถึงวัดอุโมงค์ที่อยู่ริมภูเขา เสียงดังก้องไปหมด แล้วคนจังหวัดอื่นก็ไปกันใหญ่จนไม่มีที่พัก เลยไปพักโรงแรมคุณพระเต็มไปหมดทุกวัดทุกวา เรียกว่าโรงแรมคุณพระ พักกันเต็มไป แล้วก็ไปเที่ยวทัศนาจร เพราะอากาศหน้าหนาวก็ไปเที่ยวกันใหญ่ อันนี้เป็นเรื่องของประเพณีที่ทำกัน ชั้นแรกมันก็ไม่ใหญ่ไม่โตทำตามธรรมเนียม แต่ว่าราชการเข้าไปส่งเสริมก็เลยใหญ่ขึ้น สนุกกันเต็มที่ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวไปด้วยในตัว ประชาชนก็ได้ไปเที่ยวกันเป็นการใหญ่ แล้วก็ทำทั่วไป บางแห่งเขียนประกาศเสร็จว่าลอยกระทง แต่ว่าวัดนั้นไม่มีน้ำสักหน่อย เช่น เมื่อผ่านมาจากเพชรบูรณ์นี่ วัดนั้นชื่อว่าวัดบรรพตธารา มีภูเขาไม่มีน้ำ แต่เขียนว่าวันลอยกระทงของวัดบรรพตธารา ไม่รู้จะมีหนองทิ้งกระทงหรือเปล่า ก็ทำกันตามสนุกตามเรื่อง มีโอกาสจะได้ปัจจัยบ้างจากคนมาประชุมกันมากๆ ก็ทำกันอย่างนั้น
เราทำให้ถูกต้องก็ต้องมุ่งระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ถ้าจะบูชาพระพุทธเจ้าก็นึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า แต่ว่าที่ทำกันนั้นมันเป็นพิธี พิธีนี่มันอุ้มอะไรไว้ อะไรที่ไม่เป็นพิธีมันอยู่ไม่ค่อยนาน เพราะฉะนั้นต้องมีพิธีวางไว้ เอาขนบธรรมเนียมประเพณีมาใส่ไว้ในพิธีการ แล้วก็กลายเป็นเรื่องสนุกสนาน ฝากไว้กับประชาชนเป็นระบบหนึ่งของประเทศชาติบ้านเมืองไป แล้วก็ทำกันเป็นการใหญ่ คนไทยไปอยู่ประเทศอังกฤษจะไปลอยกระทงในแม่น้ำ ที่ประเทศอังกฤษเขาไม่ยอม เขาบอกว่าทำให้เกิดสิ่งสกปรกเกิดมลพิษ (pollution) ขึ้นในแม่น้ำไปลอยไม่ได้ แต่ว่าที่วัดพุทธประทีปมันมีหนองใหญ่อยู่ในวัดหนองธรรมชาติ ก็เลยนัดกันมาลอยที่นั่น กลางคืนก็ลอยกันเต็ม เสร็จแล้วพระก็ต้องโกยไปทิ้งอีก เพราะว่าถ้าทิ้งไว้ในนั้น เจ้าหน้าที่มาเห็นเข้า เขาก็ต่อว่าต่อขานว่าทำไมทำน้ำให้สกปรก ไม่ได้ เลยต้องกวาดกันเป็นกันใหญ่ กวาดกระทงทิ้ง ชาวบ้านกลับแล้ว พระก็ทำความสะอาดกันต่อไป เพราะไม่มีที่จะลอย
สิ่งที่เราควรจะลอยนั้นคืออะไร คือลอยกิเลส ลอยบาป ในศาสนาพราหมณ์เขาก็มีลอยบาป แต่ว่ามันลอยทางวัตถุ เพราะว่าคนไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคาเรียกว่าลอยบาป น้ำนั้นล้างบาปได้ แต่ว่าบาปมันไม่ได้อยู่ที่ผิวกาย เพียงแต่อาบน้ำก็ล้างขี้ฝุ่นเท่านั้นเอง ไม่ได้ล้างเนื้อแท้ของบาป บาปเนื้อแท้บุญเนื้อแท้ไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย แต่ว่าอยู่ที่ใจของเรา ใจเรานี้เป็นที่ตั้งแห่งบุญแห่งบาป มันมีอยู่ในใจ นี้ถ้าจะล้างบาปมันต้องล้างที่ใจ พระพุทธเจ้าเคยไปสนทนากับคนอินเดียในสมัยนั้น เพราะเห็นมากันมากๆ มันหลายๆ ปี คนจะมามากกันทีน่ะ คือพวกโหรเขาบอกว่าปีนี้ฤกษ์ดีมาก ทุกคนต้องไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคา เพราะเป็นวันสำคัญ คนก็แห่กันมา
เมื่อหลายปีมาแล้ว หนังสือพิมพ์ลงข่าวคนเหยียบกันตายไปถึง ๕,๐๐๐ คน เพราะว่ามากันมากแล้วก็ลงไปแม่น้ำ อันนี้คนบางคนนั้นไม่เดิน ยืนยกมือไหว้ขึ้นสูงแล้วก็กราบราบลงไปบนพื้นดิน ไอ้คนเดินมันก็เหยียบไปเลย เหยียบไปงั้น เด็กบ้าง คนบ้าง เหยียบกันตาย มากมายสิ้นชีวิตไปตั้ง ๕,๐๐๐ สังเวยวันบุญของเขา พระพุทธเจ้าเคยพบคนประเภทนี้ แล้วก็ถามว่ามาทำอะไรกันมากมายอย่างนี้ พวกนั้นก็บอกว่ามาล้างบาป ล้างอย่างไร ล้างบาปด้วยการลงไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคา ถ้าอย่างนั้นกุ้งปลาเต่าหอยที่มันเกิดในแม่คงคานี่ตายแล้วก็ไปสวรรค์ด้วยซิ พวกนั้นบอกว่าไม่ได้ สัตว์เดรัชฉานจะไปเกิดสรรค์ได้อย่างไร มันจะเท่าเทียมคนไปเสียแล้ว มันจะมากไป ก็เลยบอกไปไม่ได้
พระองค์บอกว่ามันเกิดในน้ำอยู่ในน้ำตายในน้ำยังไปไม่ได้ แล้วท่านมาอาบประเดี๋ยวประด๋าวจะไปได้อย่างไร บาปไม่ได้อยู่ที่ผิวกาย แต่ว่าอยู่ที่ใจ การล้างบาปมันต้องล้างที่ใจ ไม่ใช่ล้างที่ร่างกาย การไปอาบน้ำไม่ได้ชื่อว่าล้างบาป แต่ว่าต้องเอาน้ำอีกชนิดหนึ่งมาล้าง น้ำนั้นก็คือน้ำพระธรรม เอาน้ำพระธรรมมาชำระกาย วาจา ใจ ให้สะอาดปราศจาคสิ่งเศร้าหมองใจ อย่างนั้นจึงจะชื่อว่าเป็นการล้างบาป คนสมัยนั้นก็ฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง เดี๋ยวนี้ก็ยังคงไปล้างกันอยู่ ไปอาบกันอยู่ แม้อากาศจะหนาวสักเท่าใด คนก็ไปอาบน้ำกัน
คือ ผู้บัญญัติศาสนานี้ต้องการให้คนอินเดียวอาบน้ำ เพราะคนอินเดียไม่ค่อยอาบน้ำ สกปรก เลยบัญญัติไว้ในศาสนาว่าตื่นเช้าต้องอาบน้ำแล้วจึงจะไปไหว้พระได้ ไปกินอาหารได้ ถ้าไม่อาบน้ำไหว้พระไม่ได้ กินอาหารไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องอาบ แม้หน้าหนาวเราไปอินเดียมันหนาวอาบไม่ไหว แต่แขกอินเดียอาบสบายๆ เพราะเขาเคยกับสิ่งเหล่านั้น ถือเป็นบัญญัตในทางศาสนาว่าต้องอาบน้ำทุกเช้า ทุกคนต้องอาบน้ำเป็นบัญญัติหมด ถ้าไม่เป็นบัญญัติศาสนาคนก็จะไม่ทำ เลยก็ตั้งเป็นบัญญัติไว้อย่างนั้น เขาจึงได้ไปอาบกัน แล้วก็ถือว่าเป็นการล้างบาป บาปมันเป็นแต่เพียงสิ่งสกปรกภายนอกที่เขาเข้าใจ แต่บาปเนื้อแท้มันอยู่ที่ใจของเรา
ความโลภอยากได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ความโกรธคิดประทุษร้ายผู้อื่น ความหลงไม่รู้เท่าทันตามสภาพที่เป็นจริง หรือความริษยาไม่อยากให้ใครได้ดิบได้ดีบ้างมีศรีสุข พยาบาทอาฆาตจองเวร มานะถือตัวแข่งดี ร้อยแปด มีชื่อต่างๆ รวมความแล้วเขาว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทำใจให้เศร้าหมอง สิ่งนั้นเรียกว่าเป็นบาป บาปเมื่อเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับหายไป แต่ว่ามันเกิดบ่อยๆ เพราะเราไม่รู้ ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นบาปก็ปล่อยให้เกิดบ่อยๆ เมื่อเกิดบ่อยๆ มันก็ติดเป็นนิสัย เป็นสันดาน เราจึงเห็นคนมีนิสัยต่างๆ
นิสัยดั้งเดิมมันไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อเกิดมาใหม่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ว่าสะสมบ่อยๆ ในเรื่องอย่างนั้นเลยกลายเป็นคนอย่างนั้น เป็นคนมักโกรธ มักริษยา เป็นคนอะไรๆ ต่างๆ ที่เราเห็นเขาเป็นอยู่นั้น นึกว่ามันไม่ใช่ของเดิมของเขา แต่เป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นด้วยความหลงผิด แล้วมันติดอยู่ในสิ่งนั้น เพราะทำบ่อยๆ เมื่อทำบ่อยๆ ก็เกิดความเคยชิน เคยชินก็กลายเป็นนิสัย หมักดองอยู่ในจิตใจเอาไม่ออก เพราะไม่รู้ว่ามันไม่ดี แล้วไม่รู้ว่าเป็นของเอาออกได้
บางคนก็เข้าใจผิดว่าสิ่งนี้มันติดมาแต่ชาติก่อน ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่ได้ติดมาแต่ชาติก่อนชาติไหนอะไรหรอก มันเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นในชาตินี้ ในปัจจุบันนี้ สร้างมาตั้งแต่เป็นเด็กๆ เด็กเกิดในครอบครัวอย่างใด สภาพสิ่งแวดล้อมอย่างไร สิ่งเหล่านั้นมันก็เข้าไปเกาะจับอยู่ในใจของเด็กเหล่านั้น เด็กเหล่านั้นก็เป็นไปตามสภาพสิ่งแวดล้อม เช่น เกิดในแหล่งที่ไม่ค่อยสะอาด แล้วก็เห็นแต่สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม เด็กก็ติดสิ่งเหล่านั้น จะเอาไปอบรมไปฝึกไปหัดมันก็ไม่ค่อยจะได้
กรมประชาสงเคราะห์พยายามเอาไป เจ้าหน้าที่ก็เด็กในสลัมเอาไปให้ฝึกหัดอบรมอะไรต่ออะไร มันยิ่งหนักเข้าไปอีก ไอ้ที่ตรงนั้นเมื่อก่อนมันดี พอเอาเด็กพวกนี้ไปอยู่กลายลุกลามไป ทำให้คนอื่นพลอยเสียหายไปด้วย มันเคยขายผงขาวมันเอาไปขายที่นั่นออกไป เคยดูดผง เอาไปดูดกันที่นั่น เด็กในที่นั้นก็พลอยติดเข้าไปด้วย เลยบอกโอ้ไม่ไหวแล้วต้องส่งคืน อย่างนี้เอาไปไว้ที่เดิมก่อน มันไปไม่รอด เพราะมันเคยอย่างนั้น ยังขูดไม่ไหว ต้องเอาไปอบรมกันอย่างแท้จริง ขูดเกลาตั้งระเบียบวินัย ควบคุมให้มันชินไปกับสิ่งใหม่ๆ ชีวิตก็จะดีขึ้น
บาปมันเกาะจับอย่างนี้ เกาะจับเพราะเราเผลอเราประมาท เราไม่ศึกษาเรื่องชีวิตให้ถูกต้อง ตัวบาปก็มาเกาะจิตใจเลยกลายเป็นนิสัยเป็นสันดานไป ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น ที่บางคนพูดว่านิสัยแก้ไม่ได้ สันดานแก้ไม่ได้ ขุดสันดอนขุดได้ แต่สันดานขุดไม่ได้ นั่นพูดไม่ถูก สันดอนขุดได้ด้วยเลือกขุด สันดานก็ขุดได้ด้วยการอบรมบ่มนิสัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีที่งามขึ้น ถ้าหากว่าแก้ไม่ได้ คนที่ชั่วช้ามามากๆ เช่น องคุลีมาลโจรนี่ฆ่าคนมาตั้งเกือบพันคนแล้ว แต่ว่าเมื่อมาพบพระพุทธเจ้าทำไมเปลี่ยนได้ เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจมาเป็นคนใหม่ เข้ามาบวชในพระศาสนาแล้วก็ได้เป็นพระอรหันต์ไปได้
พวกโจรที่เคยเป็นผู้ร้ายนี่กลับจิตกลับใจมา แล้วก็เป็นคนดีก็มีมากหลายเหมือนกัน ที่มาบวชเป็นพระนี่ก็มี บวชแล้วเป็นพระที่คนเคารพนับถือ เป็นพระที่ทำประโยชน์อะไรได้อย่างกว้างขวาง เพราะนิสัยท่านเป็นคนใจกว้างมา แต่ว่ามาบวชเข้าก็ถูกธรรมะขัดเกลา เลยกลายเป็นพระที่เรียบร้อย คนเคารพนับถือมาก สร้างอะไรได้ใหญ่โตมโหราฬ เพราะอาศัยธรรมะช่วยเหลือ ก็เปลี่ยนไปได้ คนทุกคนเปลี่ยนได้ถ้าตั้งใจจะเปลี่ยน หรือว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ช่วยให้เกิดความคิดใหม่ การกระทำในรูปใหม่ขึ้น อันนี้มันต้องรวมกันเข้าแล้วก็ช่วยกันแก้ไข คนเหล่านั้นก็จะดีขึ้นได้
แต่ถ้าเอาคนที่มีนิสัยเหมือนๆ กันมากๆ ไปอยู่ ไอ้คนแก้มันน้อยคน มันไปไม่รอด พวกนั้นมันมากกว่า เหมือนกับน้ำ น้ำสกปรกมากกว่าน้ำสะอาด เอาไปปนกันเข้า น้ำสะอาดก็จะกลายเป็นน้ำสกปรกไป ถ้าเราจะทำน้ำสกปรกให้เป็นน้ำสะอาด ต้องเอาน้ำสะอาดมากกว่านั้นหลายเท่ามาใส่ลงไป น้ำสกปรกก็กลายเป็นน้ำสะอาดไป สภาพชีวิตคนนี่ก็เหมือนกัน ถ้าไปอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่ามากกว่า คนนั้นก็เปลี่ยนนิสัยไปได้ เปลี่ยนจิตใจได้ กลายเป็นคนดีคนเจริญไปได้เหมือนกัน รวมความว่าแก้ได้ ถ้าทำกันอย่างจริงจัง แล้วก็ทำสิ่งแวดล้อมให้มันดีขึ้นก็แก้ได้
คนที่จะไปแก้คนอย่างนั้นต้องขยันหน่อย ต้องเอาใจใส่คอยดูคอยแลคอยบอกคอยเตือนอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ต้องมีความรักมีความเอ็นดู ไม่ได้ใช้การบังคับขู่เข็ญ เพราะการบังคับขู่เข็ญนี้พวกนั้นไม่ชอบ มันเคยอยู่อย่างเสรี อยู่ตามสบาย พอไปบังคับหนักเข้าเขาก็ไม่ชอบ นี้ต้องให้เหตุให้ผล พูดจาอ่อนหวานสมานใจ แสดงความรักความปราณีให้เขาเห็น เขาอาจจะไม่เคยพบสิ่งเหล่านั้นมาก่อน แต่เมื่อมาพบเข้าจิตใจก็ค่อยโน้มเอียงไปในทางที่ดีงามขึ้นได้ ต้องเลือกคนไปอบรม ต้องเป็นคนที่อบรมตนดีแล้ว จึงไปอบรมคนอื่นได้ ฝึกฝนตนดีแล้วจึงไปฝึกคนอื่นได้ ถ้าคนประเภทที่ฝึกฝนตนเองยังไม่พอก็ไม่ได้
เหมือนคนเป็นครู ถ้าตนยังไม่ดีไปเป็นครู ก็เป็นอย่างนั้น จึงมีข่าวว่าครูเหลวไหลมากขึ้นในสมัยนี้ ก็เพราะว่าเราไม่ได้อบรมให้เป็นครูอย่างแท้จริง ให้แต่วิชาความรู้ ในวิทยาลัยครูให้แต่วิชาความรู้ แต่ไม่ให้คุณธรรมแก่เขามากเท่าใด ไม่ได้สอนคุณธรรมให้แก่เขา ไม่รู้ธรรมะ ไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า เลยไม่ได้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน อันนี้สิ่งแวดล้อมมันยั่วยวนชวนใจ ทำให้เกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นในจิตใจ แล้วไหลไปตามอารมณ์นั้นก็เกิดความเสียหาย แต่ถ้าได้อบรมบ่มนิสัยให้ได้รับธรรมะอย่างแท้จริง ให้มีพระอยู่ในใจอย่างแท้จริงแล้ว อะไรๆ ก็จะแก้ได้ ดีขึ้นนะ
นี่มันขึ้นอยู่กับวิธีการ การอบรมบ่มนิสัย ทำให้เป็นคนดีขึ้นได้ เรื่องมันใหญ่โตพอสมควร ถ้าหากว่าจะทำให้ดีก็ทำได้ ไม่ลำบากยากเข็ญอะไร เพราะถ้าทำไม่ได้ ธรรมะก็คงจะไม่เป็นประโยชน์ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ทั้งหมดเป็นข้อปฏิบัติที่จะเกิดประโยชน์เสมอเมื่อคนนั้นทำ จึงมีคำกล่าวว่า อกาลิโก พระธรรมเป็นอกาลิโก หมายความว่าให้ผลไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดอะไรทั้งนั้น ทำเมื่อใดก็จะได้ผลเมื่อนั้น และทำมากก็ได้ผลมาก ทำน้อยก็ได้ผลน้อย พระธรรมนี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยเราได้ ถ้าเราเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ความจริงที่เราอยู่มาสะดวกสบายนี่ก็โดยอาศัยธรรมะมาทั้งนั้น เรารู้หรือไม่รู้ถ้าทำถูกมันก็เกิดประโยชน์ ถ้าทำผิดมันก็เสียประโยชน์ ที่เราอยู่ได้มาสบายตั้งเนื้อตั้งตัวได้มีเงินมีทองใช้ไม่ฝืดเคือง นี่ก็อาศัยการประพฤติธรรมมาแล้ว แต่เราไม่รู้ชื่อเท่านั้นเอง ว่าธรรมะนั้นคืออะไร ชื่ออะไร แต่ว่ามันปฏิบัติถูกเข้า พอถูกเข้าก็ได้ผลน่ะ แต่ถ้าผิดก็เสียผล การไม่รู้มันก็ลำบาก คือต้องเสี่ยง แต่ถ้าเรารู้มันง่าย รู้ว่าอย่างนี้ถูกต้องเราก็ทำทันที ไม่ต้องเสี่ยงต่อการผิดพลาดเสียหาย จึงต้องเรียนต้องศึกษาให้เกิดความรู้ความเข้าใจ จะได้นำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไป เหมือนญาติโยมมาวัดนี่ คือมาเรียนนั่นเอง มาศึกษาธรรมะ พระท่านก็เป็นครูคอยสอนคอยบอกให้ เอาไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไป อะไรก็จะดีขึ้น
พระพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายนั้น ท่านทรงทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณเป็นค่าแก่ชาวโลกตลอดเวลา เราลองมาศึกษาสักเล็กน้อย คือนั่งพิจารณา เรียกว่าเจริญพุทธานุสติ พุทธานุสติคือการระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ระลึกมันก็มี ๒ แบบเหมือน ภาวนาเอาบทใดบทหนึ่งมาภาวนาก็ได้ เช่นว่า บางสำนักสอนให้ภาวนาว่า พุทโธๆ ทุกลมหายใจเข้าออก ให้จิตมันไปอยู่กับคำว่า พุทโธๆ อยู่ตลอดเวลา อันนั้นก็ได้ เป็นเครื่องผูกใจทำให้เกิดสมาธิอยู่กับเรื่องนั้นก็ได้ แต่ว่าไม่เกิดปัญญา ไม่เกิดความรู้ความเข้าใจที่มากไปกว่านั้น เพียงแต่เอาคำศัพท์มาท่องว่าพุทโธๆ เท่านั้นเอง หรือจะเอาคำอื่นมาท่องก็ได้ แต่ว่ามันไม่ศักดิ์สิทธิ์ว่างั้น เลยเอาคำนี้มาใช้
หรือท่องว่าอะระหัง หรือท่องว่าสัมมาสัมพุทโธ แต่ว่าสัมมาสัมพุทโธยาวไปหน่อย พุทโธมันสั้นดี เลยสำนักต่างๆ ก็สอนให้คนภาวนา ว่าอย่างนั้น คนทิเบตเขาก็ภาวนา มีอะไรถืออันหนึ่ง แล้วก็แกว่ง เดินแกว่งไป แล้วก็ภาวนา โอม มณี ปัทเม หุม โอม มณี ปัทเม หุม เขาก็ท่องกันทุกคน ทุกบ้านทุกช่อง เสียงก้องไปหมดกระหึ่ม เขาก็อยู่กันสงบสบาย ไม่มีเรื่องไม่มีปัญหาอะไร ชีวิตเรียบร้อย แต่ว่าพอจีนเข้าไปนี่มันก็ยุ่งละทีนี้ เข้าไปทำให้ยุ่งเรื่องมันก็พลอยยุ่ง เขาอยู่กันดีแล้วอยู่กันด้วยความสงบ อยู่กับพระตลอดเวลา นั่นก็เป็นแบบหนึ่ง
นี้อีกแบบหนึ่งนั้นการระลึกถึงพระพุทธเจ้า คือระลึกถึงพระคุณของพระองค์ท่าน หรือพูดง่ายๆ ว่านึกถึงความงามความดีที่มีอยู่ในองค์พระพุทธเจ้า เรามานั่งนึกมานั่งคิดพิจารณา คิดนึกไปตามเรื่องที่เราเคยอ่านเคยศึกษา เช่น เคยอ่านพุทธประวัติก็เอามานั่งนึกในเวลาว่างๆ เราก็คิดเรื่องนั้น คิดไปใจมันก็สบาย ได้เห็นพระคุณของพระพุทธเจ้าด้วยน้ำใจ ถือว่าเห็นองค์พระพุทธเจ้าในแง่ความงามความดีของพระองค์
เหมือนกับเรานึกถึงพ่อแม่ ว่างๆ เรานั่งนึกถึงคุณแม่ดีต่อเราอย่างไร คุณพ่อดีต่อเราอย่างไร อะไรที่เรามีเราได้ ได้มาจากใคร คลำดูที่เนื้อที่ตัวของเรา เนื้อตัวของเรานี้มาจากไหน ก็ตอบว่ามาจากคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่ให้เลือดให้เนื้อให้ชีวิต ให้การศึกษาเล่าเรียน ให้ทรัพย์สมบัติ ให้ตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ถ้าเราไปทำอะไรผิดพลาดขาดทุน กลับมาบอกท่านก็ช่วยอีกละ ให้ด้วยความเต็มใจ นั่งนึกถึง นึกถึงบ่อยๆ เมื่อเรานึกถึงก็จะเกิดความตื้นตันใจ บางทีน้ำตาจะไหลออกมา เพราะซาบซึ้งในพระคุณของท่าน แล้วคนที่นึกถึงอย่างนั้นบ่อยๆ ก็จะเกิดความเคารพรักในพ่อแม่ ในครอบครัว ในวงสกุล จะไม่กระทำอะไรที่เป็นความชั่วความเสียหาย เพราะเกรงว่าจะเกิดความเสื่อมแก่วงตระกูลของเรา มันช่วยให้ดีขึ้น
หรือเรานึกถึงครูบาอาจารย์ที่เคยสั่งสอน เคยเฆี่ยนเคยตีเรามา มานึกเมื่อเป็นผู้ใหญ่นี่มันซาบซึ้ง เห็นคุณค่าของครูบาอาจารย์ที่เคยเฆี่ยนเคยตีเรามา ถ้าท่านไม่เฆี่ยนไม่ตีไม่สั่งไม่สอน เราจะดีได้อย่างไร นั่นก็เป็นการระลึกถึงพระคุณเหมือนกัน เรานึกถึงสิ่งที่เราอาศัย นึกถึงบ้านถึงเรือน ว่าเราได้อยู่ในบ้านหลังนี้ อยู่มากี่ปีแล้ว ซื้อมาด้วยเงินเท่าไหร่ แล้วก็สิ่งแวดล้อมที่เราสร้างขึ้นปลูกต้นไม้ร่มรื่น มีรั้วรอบขอบชิด ได้รับความสะดวกสบาย เราก็จะรักบ้านกัน และจะรักต้นไม้ที่เราได้อาศัยร่มเงา รักทุกสิ่งทุกอย่าง รักเพราะเห็นว่ามันเป็นประโยชน์
ถ้าเราไม่เป็นคุณค่าอะไรที่เป็นประโยชน์ รักไม่ มันไม่รักน่ะ ไม่ชอบน่ะ คนก็เหมือนกัน ที่เรารักเราชอบเพราะว่าเห็นคุณค่าของเขา เห็นความงามความดี สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า ก็เพราะต่างคนต่างเห็นความดีกัน แก่ชราแล้วก็อยู่กันอย่างนั้น ไม่มีอะไรแล้ว ไม่เหมือนสมัยหนุ่มๆ สาวๆ มีความอยากในเรื่องกามอารมณ์ เรื่องเนื้อเรื่องหนัง แต่พอแก่แล้วมันก็ไม่มีอะไร แต่อยู่กันด้วยความเห็นอกเห็นใจกัน เห็นอกเห็นใจกันว่า อยู่กันมานาน จะเอาใจกันมีความงามความดีต่อกัน เลยก็อยู่กันไม่ไปไหน เวลาจากไปก็เสียดาย เสียใจในสิ่งที่จากไปนั้น นี่ก็เพราะว่ามีความดีทั้งสองฝ่าย
แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งดี แต่ฝ่ายหนึ่งไม่ดี ก็ไม่อยากจะอยู่ด้วยกัน เพราะไม่ดี เป็นทุกข์ แต่ว่าจะทิ้งขว้างไปก็มันไม่ได้ ก็ต้องทนอยู่ไปด้วยความทุกข์ทรมานใจ เพื่อให้ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเกิดขึ้น มันก็เป็นเรื่องของความสำนึกในจิตใจ ที่เราอยู่อาศัยกันมานาน วัตถุที่เราใช้ เช่น รถยนต์ที่เราใช้ บางคันก็ใช้มาตั้งสิบปี ยังเรียบร้อย เราก็รักมันไม่อยากจะขาย เคยถามคนโหนี่เก่าเต็มทีแล้ว ซื้อใหม่ได้แล้ว มันใช้มานานคือไม่อยากจะขายมัน เพราะว่ามันยังให้ประโยชน์ดีอยู่ ยังรักมันอยู่ ถ้าไม่รักไม่ชอบประเดี๋ยวเอาไปโละทิ้งกันเท่านั้นเอง นี่มันเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นอะไรที่เราพิจารณาเห็นว่ามันดีมันมีประโยชน์นี่ ช่วยให้เรารู้คุณค่าของสิ่งนั้น แล้วเราก็จะถนอมสิ่งนั้นไว้ เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขต่อไป แผ่นดินที่เราอยู่อาศัยถ้าเราคิดมันก็เห็นคุณค่า เราอยู่กับอะไร เราอยู่กับแผ่นดิน สร้างบ้านลงตรงไหน ก็สร้างบนแผ่นดิน ได้น้ำจากไหนได้จากแผ่นดิน ได้อาหารจากแผ่นดิน ได้เสื้อผ้ามาจากแผ่นดิน ได้ไม้สร้างบ้านเรือนจากแผ่นดิน ได้ยาแก้ไข้จากแผ่นดิน แล้วเราเที่ยวเดินได้รับความสะดวกสบายก็แผ่นดิน มันรัก รักแผ่นดิน รักประเทศ เดี๋ยวบอกว่าให้รักประเทศจะรักอย่างไร ถ้าไม่รู้ว่าประเทศนี้มันดีอย่างไร มันจะรักได้อย่างไร มันต้องรู้ว่าประเทศนี้ให้อะไรแก่เรา เป็นประโยชน์อะไรแก่เรา เราก็รักสิ่งนั้น
ครูก็สอนเด็กว่าให้รักประเทศ รักชาติ มันไม่รู้จะรักอย่างไร เพราะไม่ได้ถามเด็กให้เข้าใจว่า นี่เราอยู่ที่ไหน บ้านเรือนเราอยู่กับอะไร เราได้อะไรมาดื่ม ได้อะไรมากิน ได้อะไรมานุ่งมาห่ม แล้วได้มาจากไหน ถ้าไม่มีสิ่งนี้ เราจะอยู่กันอย่างไร พอพูดเด็กเข้าใจเด็กก็จะมองเห็น โอ้นี่แม่พระธรณีมีประโยชน์แก่เรามาก ถ้าเด็กไปนั่งใต้ต้นไม้ ก็บอกนั่งในต้นไม้กับนั่งกลางแจ้งผิดกันไหม นั่งใต้ต้นไม้เป็นไงเย็น ถ้าไปนั่งกลางแจ้งไม่มีต้นไม้เป็นไง แดดร้อน ต้นไม้มันให้ความร่มเย็นแก่เรา เราก็ควรจะรักต้นไม้ สอนให้รักป่า รักธรรมชาติ เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์
ถ้าสอนว่าให้ช่วยกันรักธรรมชาติ มันไม่รู้ว่าจะรักอย่างไร เพราะไม่รู้ว่ามันให้ประโยชน์อะไร ป่าให้อะไร ต้นไม้ให้อะไร เขาไม่รู้แล้วจะไปรักได้อย่างไร ไม่เห็นคุณค่าจะรักได้อย่างไร คนก็เหมือนกันที่เรารักเพราะเราเห็นความงามความดีของเขา ชั้นแรกก็เห็นรูปร่างน่ารัก ต่อไปคุ้นเคยก็เห็นวาจาน่ารัก นิสัยน่ารัก แล้วก็เลยอยู่ร่วมกันด้วยความสุขความสบาย เพราะต่างคนต่างเห็นความดีแก่กันและกัน นี่เป็นเรื่องคิดง่ายๆ มันเกิดประโยชน์แก่ชีวิตแก่ความเป็นอยู่ไม่ใช่น้อย
โดยเฉพาะแม้องค์พระมหากษัตริย์นี่ ในหลวงนี่ที่คนรัก รักเพราะอะไร เพราะว่าท่านปฏิบัติงานเหลือเกิน ทรงทำงานตลอดเวลา ไม่หยุดไม่ยั้ง ทำงานหนักกว่าใครๆ ในหลวงน่ะหนักว่าข้าราชการทั้งหลายทั้งปวง แล้วข้าราชการนี่ทำแล้วขึ้นเงินเดือนเลื่อนชั้นน่ะ ในหลวงท่านไม่ได้เลื่อนอะไร ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นมากี่สิบปีแล้ว เป็นตั้งแต่พระชนมายุน้อย เป็นจนพระชนมายุ ๖๐ แล้วก็ยังเป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่นั่นแหล่ะ ไม่ใช่เป็นพระเจ้าแผ่นดินชั้น ๑ ชั้น ๒ ชั้นพิเศษ ไม่ได้มีอะไรเลื่อน มันอยู่ตรงนั้น อยู่ประจำอยู่ตรงนั้น ไม่มีอะไร
เงินเดือนท่านก็ไม่ได้ขึ้นอะไร เขาขึ้นกัน สภาผู้แทนก็ขึ้นเงินเดือนตัวเอง ขึ้นรัฐมนตรี แล้วในหลวงได้ขึ้นหรือเปล่า ไม่มีปรากฎว่าในหลวงขอขึ้นเงินเดือนเลย เขาให้เท่าใดท่านก็ใช้อยู่เท่านั้น ท่านไม่ได้ขอขึ้นเงินเดือนกับใคร ไม่มีเงินขึ้นท่านก็ทำงาน ทำงานอย่างชนิดเรียกว่าทุ่มตัว ทุ่มตัวจริงๆ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ประชาชน ไปที่นั่น ไปที่นี่ ไปเพื่อให้เขาดีทั้งนั้น ไปช่วยให้เขาดี ให้เขาเจริญ ให้เขาก้าวหน้า คนจึงรักใคร่เคารพบูชา รักใคร่เคารพบูชาเพราะท่านมีความดี
ถ้าสมมติว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์ใด เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่เฉยๆ อยู่ในวังใครจะรักนักหนา เหมือนพระเจ้ามหาชีวิตประเทศลาวที่เขาปลดทิ้งง่ายๆ ก็คนไม่ค่อยรักเท่าใด แต่ก่อนถือว่าเป็นเจ้าตามธรรมเนียม แต่คนก็ไม่รักไม่ชอบอะไร เพราะท่านไม่ค่อยไปไหน ไม่รู้ว่าใครอดใครหิวใครลำบากใครอะไรก็ไม่ค่อยมี ท่านไม่เคยออกไปในที่ต่างๆ ไม่ไปช่วยใคร อยู่แต่ในตำหนักในวังเท่านั้น ถ้านี้มีคนมายุให้เกลียด คนมันก็เกลียดง่ายเพราะมันไม่เห็นความดี
แต่ขนาดพระเจ้าแผ่นดินของเราคนยุให้เกลียดก็เกลียดไม่ลง พราะท่านน่ารักน่าเคารพอยู่ตลอดเวลา ทรงปฏิบัติหน้าที่ยิ่งกว่าข้าราชการทั้งหลาย เหน็ดเหนื่อยกว่าจะได้หลับได้นอน เที่ยงคืนดึกดื่นถึงจะหลับนอนเพราะมีงานเยอะ ในห้องนั้นงานเต็มไปหมด งานทั้งประเทศ ในหลวงท่านมองเห็นทะลุปรุโปร่ง ที่ไหนมีน้ำ มีห้วย มีภูเขา มีทุ่งนา ที่ไหนควรจะทำอะไร ท่านก็มองเห็นหมดหลับตาเห็นภาพ แล้วก็บอกให้ไปทำที่นั่นไปทำที่นี่ ท่านมองเห็น ท่านไปเยี่ยมประชาชน ไปถามว่าห้วยนั้นอยู่ตรงไหน ประชาชนบอกห้วยไม่มีแถวนี้ ห้วยมันแห้งหมดแล้ว แต่มันอยู่ในแผนที่ ท่านทรงเห็นมีอยู่ในแผนที่ แต่ห้วยมันแห้ง น้ำมันตื้นไปแล้ว เปลี่ยนสภาพไปแล้ว แต่ในแผนที่มันยังอยู่
ท่านก็ไปถามเขาเรื่องนั้นเรื่องนี้ ประชาชนก็งงเหมือนกัน แต่ก็นึกได้ โอ้ในหลวงท่านรู้ทุกอย่าง เพราะท่านศึกษา ท่านพิจารณาอยู่ตลอดเวลา ทรงรักหน้าที่ ทำหน้าที่อย่างแท้จริง นี่แหล่ะเขาเรียกว่ารักธรรมะ ในหลวงนี่ท่านรักธรรมะ เป็นธรรมมิกราชา พระราชาผู้ประพฤติธรรม รักธรรมะ เทิดทูลธรรมะ เอาธรรมะมาปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาทั้งส่วนพระองค์ ทั้งส่วนรวม ทรงทำอย่างนั้นเราก็รัก ในหลวงองค์ก่อนๆ ที่สิ้นพระชนม์ไป เช่น พระปิยะมหาราชเจ้า คนรักทั้งบ้านทั้งเมือง คิดถึงอยู่ พอวันที่ ๒๓ ตุลาคม ก็ต้องไปกราบไปไหว้ ไม่ใช่วันนั้นขับรถผ่านตรงนั้น คนเขายกมือไหว้ ไหว้ม้าหรือ ไหว้รูปที่ไหว้บนหลังม้าหรือ ไม่ใช่ เขาไหว้คุณงามความดีของท่านที่ทำประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมือง เขาก็ไหว้ท่าน
ถ้าเป็นรูปคนที่ไม่มีความดี เช่น รูปโจรนี่ ถ้าหล่อไว้ใครจะไปไหว้ เพราะไม่มีความดีให้ไหว้ ไหว้ความงามความดี แต่ความงามความดีนั้นเป็นตัวธรรมะ เป็นตัวไม่ตาย เป็นสิ่งที่จะอยู่กับโลกต่อไป ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น คนเราจึงต้องนึกถึงอย่างนั้น เมื่อเรานึกถึงพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เรานึกถึงความดีของท่าน นึกมาตั้งแต่ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า ตั้งแต่เป็นเจ้าชายน้อยๆ จนกระทั่งเป็นเจ้าชายหนุ่ม เป็นเจ้าฟ้าชาย เป็นมกุฏราชกุมาร ท่านมีการเป็นอยู่อย่างไร ท่านมีความสุขอย่างไร มีความสะดวกสบายอย่างไร
แล้วทำไมจึงออกจากวังไปอยู่ในป่า ทำไมไปนั่งอดแห้งอดแล้วอยู่ใต้ต้นไม้ ทำไมไปทรมานร่างกายจนผ่ายผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทำเพื่ออะไร ท่านทำเพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อพระองค์เอง เพื่อไปหาสิ่งที่จะช่วยให้คนไม่เป็นทุกข์ ก็ไปหาไปศึกษาเพื่อหามาสอนคนให้ได้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน ลงทุนไม่ใช่น้อย ลงทุนตั้ง ๖ ปี ไม่ตายเสียด้วยโรคมาเลเรียในอินเดียก็บุญถมไปแล้ว ในสมัยนั้นป่าทั้งนั้น ป่าดึกดำบรรพ์นี่ไปนั่งอยู่ในป่าเงียบไม่ได้ยินเสียงอะไร นกมันเกาะกิ่งไม้แล้วก็หล่นมันยังได้เห็น ใบไม้หล่นยังได้ยินในความเงียบเหล่านั้น แล้วก็มีความกลัวเกิดขึ้นในบางครั้ง เวลามีความกลัวเกิดขึ้น พระองค์ทำอย่างไร
พระองค์ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลายสมัยที่เรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ยังแสวงหาสิ่งที่เป็นกุศลอยู่ เราไปอยู่ในป่าที่เงียบ ไม่มีคนเลย ไม่ได้ยินอะไรเลย เงียบจริงๆ ใบไม้หล่นยังได้ยิน ถึงไม่ร่วงก็ยังได้ยิน เงียบ เกิดความกลัว กลัวความเงียบ เวลาเกิดความกลัวก็ทำอย่างไร เกิดความกลัวขณะยืน ยืนพิจารณาจนหายกลัว เกิดความกลัวในขณะนั่ง นั่งพิจารณาจนหายกลัว เกิดความกลัวในขณะนอน ก็พิจารณาจนหายกลัว ถ้าเกิดความกลัวในขณะเดิน หยุดแล้วก็พิจารณาด้วยปัญญาว่าอะไร อะไรเกิดขึ้นในใจของเรา เกิดความกลัว กลัวอะไร พิจารณาจนหายกลัว นี่เป็นวิธีการปราบความกลัว
เราท่านๆ ทั้งหลายนี่กลัวกันอยู่ เช่น กลัวผีเป็นต้น กลัวผีนี่เคยคิดไหมว่า ผีคืออะไร เคยเห็นไหมผี เคยเห็นตัวมันไหม แล้วผีนี่มันดุร้ายไหม มันถือหอกถือดาบไหม หน้าตาถมึงทึงจะกินเลือดกินเนื้อเราหรือไม่ ก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยปรากฎแก่สายตา กลัวด้วยอุปทานที่ยึดถือไว้ตั้งแต่เด็กๆ เพราะว่าเด็กๆ เขาหลอกให้เรากลัว เด็กมันซนก็บอกว่าอย่าเข้าไปตรงนั้น ผีหลอก ตรงนั้นผีหลอก หลอกเด็กให้กลัว ฝากนิสัยไม่ดีไว้ให้กับเด็ก ขี้ขลาดมาจนกระทั่งแก่ชรา กลัวอยู่นั่นแหล่ะ สร้างผีไว้ในใจเด็ก เด็กก็กลัวเรื่อยมา
ไอ้ตัวจริงๆ เราก็ไม่เคยเห็น ไปอยู่ในป่าช้าก็ไม่เคยเห็นผี เพราะว่าผีอยู่ในป่าช้า ไปนอนในป่าช้าก็ไม่เห็น นอนที่เชิงตะกอน มันก็ไม่ได้มาต่อว่าอะไร สมัยเดินทางไปจากรุงเทพถึงย่างกุ้ง ก็บางแห่งก็ไปนอนในป่าช้า นอนในที่เชิงตะกอนที่เขาเผาแล้วสบายดี เพราะมันมีสองข้างหัวท้ายเปิด บังได้ดีแล้วอุ่นด้วยนะ เพราะเขาเผาบ่อยๆ ก็อุ่น นอนสบาย แล้วก็เวลาจะนอนก็ว่า เอาละผีเอ๋ยถ้าหากว่าจะต่อว่าต่อขานก็มาบอกก็แล้วกัน ฉันจะได้ลุกขึ้นไปจากที่ตรงนี้ ก็ไม่เห็นมาอะไร หลับปุ๊ดปุ๋ย เพราะอากาศมันเย็นด้วย นอนหลับสบาย ตื่นขึ้นก็ไม่มีอะไร มีบ้างก็มดเท่านั้นเอง มากัดเล่นนิดหน่อย เพราะว่าเราไปนอนที่เขา เขาก็กัดให้ มันเลยมีผี ผีที่เราว่ามีนั้นมันไม่มี แต่ว่าเราไม่เคยคิดว่ามันไม่มี จะคิดว่ามันมี
ไปดูหนังนางนาคพระโขนง นึกถึงภาพผีนางนาค ไอ้นั้นมันไม่ใช่ผี เขาทำขึ้นหลอกเราน่ะ ทำคน ทำคนสมมติขึ้นหลอกตัวเรา มันหลอกทั้งนั้น ไอ้ผีจริงมันไม่มี แต่เราไปสร้างภาพมันไว้ในใจ ไม่เคยคิดทำลาย ไม่เคยเอาออกจากใจ ไม่ได้ถามว่าผีคืออะไร รูปร่างมันเป็นอย่างไร แล้วมันเคยมาเตะคน ต่อยคนบ้างหรือไม่ มันไม่มี แต่คนขี้เมานี่เตะคนต่อยคนได้ หรือนักเลงหัวไม้นี่มาเที่ยวปล้นคนได้ ผีไม่เคยปล้นใคร ไม่เคยทำให้เสียหาย แล้วเรากลัวอะไร กลัวไม่เข้าเรื่อง คิดไปคิดมาไม่น่ากลัว
ลองไปเดินกลางคืนซะบ้าง ว่างๆ ไปเดินกลางคืนที่มืดๆ ซะหน่อย เข้าไปในห้องมืดๆ แล้วก็ไปนั่งเงียบๆ ความกลัวอาจจะเกิดขึ้น แล้วเราถามว่ากลัวอะไร ตอบว่ากลัวผี ผีมีที่ไหน เปิดไฟดูดิ ผีไม่มี มันไม่ใช่กลัวผี มันกลัวความมืด ที่ไหนมืดแล้วก็กลัว สมมติผีขึ้นหลอกตัวเอง เดินไปไหนมืดก็กลัว แจ้งไม่กลัว กลางวันนี้ไม่มีอะไร ไปในป่าช้าก็เดินได้ ป่าช้าไทยมันน่ากลัว มันรกไม่มีใครไปตกไปแต่ง แต่ป้าช้าฝรั่งเขาสะอาด ปลูกต้นไม้ ดอกไม้สวยๆ งามๆ มีดอกไม้เยอะแยะ
มีเด็กไทยไปเรียนอยู่ที่ซีเอ็ดเปิ้ล (48.22 เสียงไม่ชัดเจน) พักอยู่ที่ป้าช้าฝรั่ง อันนี้เช้าๆ คนซื้อดอกไม้มาใส่แจกันมาวางที่หลุมศพ ไอ้เจ้านี่เอาทุกวัน เอาไปฝากนักเรียนหญิงที่วิทยาลัยที่เขาเรียนไปทุกวัน นักเรียนหญิงนึกไอ้นี่มันพ่อเป็นเศรษฐีมันซื้อดอกไม้แพงๆ มาเป็นของขวัญทุกวัน วันหนึ่งเพื่อนถามเอ๊ะเอ็งเอาดอกไม้ที่ไหนมาให้ผู้หญิงทุกวัน เยอะแยะดอกไม้ ที่ไหน ป่าช้า กูมาโรงเรียนกูผ่านป่าช้าทุกวัน เลยพอเจ้าของว่าผมกูก็ไปเอามาเลย เอามาให้ผู้หญิง ผู้หญิงก็นึกว่านี่ไปซื้อมา ความจริงเปล่า มันก็เป็นผีเหมือนกัน เพราะไปเอาดอกไม้ผี แล้วมาหลอกผู้หญิงว่าเป็นดอกไม้ที่ไปซื้อมา
ผู้หญิงเข้าใจอย่างนั้นว่าไปซื้อมา มันก็หากินอยู่ได้ ลูกไม้ไทยมันเยอะแยะ ไปอยู่เมืองนอกเมืองนาเขามีวิธีหลอกคนได้เหมือนกัน ความคิดมันแปลกๆ สมองมันพิกลๆ แต่ก็เรียนจนสำเร็จนั่นแหล่ะได้ปริญญาเหมือนกัน แต่ว่ามันก็ทำอะไรแปลกๆ อย่างนี้เป็นตัวอย่าง มันไม่มีอะไรที่น่ากลัว เรานึกให้ดีแล้วก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัว แต่ว่าเรามันนึกไม่ถูกจึงเกิดความกลัวขึ้น นี้ถ้าเรานึกถึงสิ่งที่สบายใจเราก็สบายใจ เช่น นึกถึงพระพุทธเจ้า เราก็นึกถึงว่า พระองค์ดีอย่างไร พระองค์ทำอะไร เป็นประโยชน์อะไรแก่ชาวโลก แล้วก็วิธีการที่พระองค์กระทำนั้น ทำด้วยความรัก ความเมตตา ปรารถนาความสุขแก่คนทั่วไป คนทุกคนไปหาพระพุทธเจ้าได้ จะเป็นพระราชา เป็นเศรษฐี เป็นคนชาวนาชาวสวน คนเข็ญใจทาสีเข้าไปได้ เข้าไปหาได้
มีนางทาสีคนหนึ่ง เขาทำงานเหน็ดเหนื่อย เหนื่อยมาก แล้วเขาก็นึกว่าพระคุณเจ้าทั้งหลายนี่ก็คงจะทำงานเหมือนกัน เพราะว่ากลางคืนนี่พระท่านเดินจากตรงนี้ไปตรงนั้น ก็เดินตามไฟไปให้มันสว่างไป พระเดินไปเดินมา แม่หญิงคนนั้นก็นึกว่าพระทำงานเหมือนกัน ความจริงท่านเดินไปหากัน ไปปฏิบัติธรรมในที่ที่มันเงียบๆ ดับไฟ อันนี้พระพุทธเจ้าทรงทราบถึงน้ำใจของผู้หญิงคนนั้น ว่ามีความทุกข์โทมนัสอยู่ในเรื่องงานในหน้าที่ ก็เสด็จมาที่นั่น เสด็จมาเพื่อให้เขาได้ใส่บาตร แม่หญิงคนนั้นพอเห็นพระพุทธเจ้ามาก็เอาของไปใส่ ของมันเลวๆ คนใช้กินน่ะไม่ได้ดีวิเศษอะไร ไปใส่แล้ว
พอใส่แล้วนึกในใจท่านคงไม่ฉันน่ะ แต่คงจะเอาไปทิ้งแถวใดแถวหนึ่ง พระองค์รู้ รู้น้ำใจว่าคิดอะไร เพราะว่ามีน้ำใจพิเศษ เรียกว่าญาณพิเศษสำหรับพระองค์ พระองค์หยุดทันที หยุดนั่งตรงนั้นแล้วก็ฉัน ฉันด้วยความตั้งอกตั้งใจ ฉันจนหมด แม่หญิงคนนั้นก็เข้าไปกราบพระองค์ แสดงความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธา แล้วก็ว่าดิฉันนี่มันเป็นคนใช้เขา ต้องทำงานทุกสิ่งทุกอย่างมีความทุกข์ พระองค์ก็บอกว่า งานทุกอย่างมันก็ต้องทำกันทั้งนั้นไม่ว่าใคร เศรษฐีก็ทำงานแบบเศรษฐี คนจนก็ทำงานแบบคนจน เศรษฐีทำงานแบบเศรษฐีก็มีความทุกข์ คนจนก็มีความทุกข์เหมือนกัน
แต่ถ้าจะไม่เป็นทุกข์ก็ได้ คือว่าอย่าไปคิดว่ามันเป็นทุกข์ คิดแต่เพียงว่ามันเป็นหน้าที่ที่ฉันจะต้องทำ แล้วก็ทำหน้าที่นั้นด้วยความเต็มใจ ด้วยความสบายใจ ถ้าเราทำอย่างนั้น ความทุกข์มันก็ไม่มี อันนี้เรื่องง่ายๆ เรื่องง่ายๆ ที่เราแก้ไขได้ ทุกข์เพราะไม่พอใจ ไม่สมใจ ตามที่เราต้องการ เราก็เป็นทุกข์ แล้วถ้าเราถามตนเองว่า แล้วอะไรๆ ในโลกนี้ มันเป็น เป็นที่พอใจไปหมดทุกอย่างหรือเปล่า เราบังคับอะไรได้บ้างในโลกนี้ บังคับตัวเราได้ไหม ไม่ให้แก่ได้ไหม ไม่ให้เจ็บไข้ได้ไหม ไม่ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ไหม แม้ตัวของเราก็ยังบังคับไม่ได้ แล้วเราจะไปบังคับคนอื่นได้อย่างไร
บังคับสิ่งอื่นให้มันเป็นดังที่ต้องการได้อย่างไร ฝนไม่ตกบอกตกสักหน่อย มันก็ไม่ได้ ตกหนักบอกหยุดได้แล้ว น้ำท่วมบ้านท่วมเมืองมันก็ไม่ได้ เหมือนกับปักษ์ใต้ตอนนี้ พายุมันขึ้นตั้งแต่ประจวบไปเรื่อยชุมพรไปนู้น น้ำมันก็ท่วม เสียหายเยอะ แล้วจะไปวิงวอนได้อย่างไร ว่าพอแล้วหยุดที มันก็หยุดไม่ได้ เพราะมันไม่อยู่ในอำนาจของใคร มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่มันเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น เราก็ต้องอย่าไปเป็นทุกข์กับมัน นึกว่าเออถ้าอะไรพังไปบ้างนิดหน่อยไม่เป็นไรค่อยซ่อมกันต่อไป เพื่อนเขาแผ่นดินไหวหนักกว่าเรา ตายมากกว่าเรา ประเทศรัสเซียแผ่นดินไหวตายมากกว่าเราเป็นไหนๆ เราน้ำท่วมนิดหน่อยตายมาก
คนที่ตายมากก็พวกดื้อ ดื้ออย่างไร เขาประกาศว่าคลื่นลมแรงเรือเล็กเรือน้อยอย่าออกจากฝั่ง ไอ้อยากจะจับปลามันแรงกว่าเลยออกไป เลยจมเลย อย่าว่าแต่เรือเล็กเลย เรือเจาะน้ำมันยังพังเลย ถ้าฐานเจาะน้ำมันอยู่ในทะเลยังพัง ยังหลุดไปจากทุ่นเลย พังจมน้ำไป แล้วคนปฏิบัติงานก็เกิดตายกันขึ้น เพราะคลื่นมันแรง ไอ้ทะเลถ้ามันบ้าแล้วมันเหลือเกินนะ มันแรงจริงๆ คลื่นมันใหญ่จริงๆ มากมาย ทำให้เกิดความเสียหาย มัน เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่โชคร้ายของใคร ไม่ใช่เคราะห์ร้ายของใคร มันเกิดขึ้น ณ ที่ใดก็ได้ใครจะไปรู้ อาจจะเกิดที่กรุงเทพ อาจจะเกิดขึ้นที่สมุทรปราการ ที่ชลบุรี ที่ไหนก็ได้ เรื่องธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น เราก็อย่าไปทุกข์ไปร้อน ถ้าของหายตัวอยู่ก็ยังดี ตัวยังอยู่จะได้หาใหม่ต่อไป
แต่ถ้ามันไปหมด ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว เพราะมันไม่มีร่างกายจะคิดแล้วนี่ ไม่มีใจจะคิดแล้วมันจะเป็นทุกข์อะไร มันหมดไปเลย หมดไป ก็ดีเหมือนกัน เรียบร้อย แต่ไม่มีเวลาจะคิดแล้ว มันหมดแล้ว ไม่ต้องคิดแล้ว แต่ถ้าเหลืออยู่ก็คิดในแง่ว่า ยังดียังเหลืออยู่บ้าง ก็คงไม่เป็นไร เช่น พ่อแม่ตายลูกอยู่ ก็ไม่เป็นไร ราชการเขาเลี้ยงเอามาเลี้ยงไว้ ทุ่งมหาเมฆ หลวงพ่อไปเทศน์บ่อยๆ พอไปแล้วมันพูดปักษ์ใต้ทุกคน พ่อหลวงมาแล้ว พ่อหลวงมาแล้ว พูดปักษ์ใต้กัน มันไม่สบายใจที่จะพูดภาษากรุงเทพ มีโอกาสจะพูดปักษ์ใต้ได้มันก็ต้องพูดกัน ไปอบรมไปสั่งสอนได้เล่าได้เรียน
ถ้าอยู่กับพ่อแม่ พ่อแม่ไม่ตายไม่ได้มาเรียนกรุงเทพ นี่มันบุญนะมันได้มาเรียนกรุงเทพ เพราะว่าได้มาเรียนรัฐบาลเลี้ยงอุปถัมภ์ค้ำชู เช้าจ่ายสตางค์ให้ทุกคนไปโรงเรียน เย็นกลับมามีแม่บ้านพ่อบ้านดูแล บ้านหลังหนึ่งอยู่กันสิบคน มีหลายหลังแล้วก็ไปเรียน บางคนเรียนดีได้เข้ามหาวิทยาลัย ได้ปริญญาไป บางคนเรียนไม่ค่อย สมองไม่ค่อยเก่ง เอ้า ปวช. พอเรียนจบก็ทางการก็หางานให้ ก็ได้ทำงานทำการ มันก็ดี เหมือนกับพวกลาวเขมรอพยพ หลวงพ่อไปก็ถามว่านี่ถ้าอยู่เมืองลาวมีรถยนต์นั่งไหม ลูกได้เรียนหนังสือไหม ได้อยู่บ้านหลังใหญ่อย่างนี้ไหม ไม่มีทาง ควรขอบใจคอมมิวนิสต์ที่มันส่งให้เราสบาย ถ้าไม่มีคอมมิวนิสต์เราจะมาได้อย่างไร ควรขอบใจเขาอย่าไปแช่งชักหักกระดูกเขา ควรจะแผ่ส่วนบุญให้เขา ให้คอมมิวนิสต์บ่อยๆ เพราะเราได้สบาย
คิดในแง่ดีแล้วมันก็สบาย อันนี้คนเรามันไม่คิดในแง่ดี มองอะไรก็มองด้านเดียว ไอ้ด้านร้ายๆ ก็มองอยู่ตรงนั้น ไอ้ตรงที่ดีไม่มอง ดูคนก็ดูแต่ความชั่วเขา แต่ไม่ดูความดีของเขามันก็นั่งกลุ้มใจตาย มองความดีเขาเสียบ้าง เพราะมันมีเหลี่ยม เหลี่ยมนี้ไม่ดี เหลี่ยมนั้นมันดี หน้าต่างด้านนั้นสกปรกด้านนี้มันสะอาด แล้วไปเปิดอยู่ทำไมด้านสกปรกปิดเสีย ไปดูด้านสะอาดดีกว่า คิดเรื่องดีๆ ใจก็สบาย ไม่มีปัญหาอะไรเกินไป อย่างนี้ก็สบายใจ พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้นให้เรามองในแง่ดี ในแง่ความจริงไม่ใช่แง่ดีแง่ชั่ว ในแง่ว่าจริงน่ะมันเป็นอย่างไร คิดในแง่ความจริง แล้วเราจะเห็นความจริง เมื่อเห็นความจริงเราก็ถึงบางอ้อ แล้วไม่เป็นทุกข์ต่อไป ให้เข้าใจอย่างนี้ เอาละวันนี้พูดมาก็สมควรแก่เวลาขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
- ปาถกฐาธรรมประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๒