แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านนั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงนี้ได้ แล้วจงตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา เมื่อเช้านี้ไปออกโทรทัศน์ช่อง ๕ ตามที่เคยทำมาทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน ก็ได้พูดเรื่องบางอย่างให้ญาติโยมฟัง
วันนี้ก็จะมาพูดต่ออีกนิดหน่อยเรื่องพูดเมื่อสักครู่นี้ คือว่าชีวิตของคนเรานี้มีอุปสรรคมีข้อขัดข้องในชีวิตอยู่ตลอดเวลา การเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันก็คือการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ต่อสู้ในทางภายนอกบ้าง ต่อสู้กับเรื่องภายในบ้าง เราจึงต้องต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา เรื่องภายนอกไม่ลำบากเท่าใด เพราะมองเห็นง่าย เห็นด้วยตาได้ยินด้วยหู มือจับต้องได้ เราพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่เรื่องภายในนั้นสู้ยากเพราะไม่มีรูปร่างปรากฏ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในใจ เพราะอาศัยสิ่งภายนอกที่มากระทบ เขาเรียกว่าอารมณ์ อารมณ์ที่มากระทบนั้นมาในรูปต่างๆ ทำให้เราต้องตกอยู่ในอำนาจของมันแล้วก็ต้องต่อสู้เพื่อให้หลุดพ้นจากสิ่งนั้น การต่อสู้อย่างนี้ก็มีเป็นประจำในชีวิต เว้นว่าแต่เราจะยอมแพ้ไม่สู้ ถ้ายอมแพ้ก็หมดเรื่องไป แต่ว่าเรื่องมันไม่หมด เพราะมันจะเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ต่อไป เราจึงต้องต่อสู้เพื่อไม่ให้เกิดความทุกข์ทางใจ การต่อสู้ก็ต้องมีวิธีการในการต่อสู้ ถ้าเราไม่มีวิธีการที่จะต่อสู้ก็พ่ายแพ้ พูดตามสมัยนี้เรียกว่ามีเทคนิคในการต่อสู้ จึงจะเอาชนะสิ่งนั้นได้ ถ้าไม่มีความรู้ทางด้านเทคนิคเพียงพอ เราก็พ่ายแพ้สิ่งนั้น ทำให้เกิดปัญหาคือความทุกข์ความเดือดร้อนใจ ชีวิตจึงลำบากบ้างสบายบ้าง ขึ้นบ้างลงบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้างปะปนกันไปตลอดเวลา แต่ถ้าเราได้ปฏิบัติธรรมะ ชีวิตดีขึ้น
การต่อสู้อีกอย่างหนึ่ง ที่เราจะต้องต่อสู้คือโรคภัยไข้เจ็บในร่างกาย ร่างกายของคนเรานั้นมันมีโรคอยู่ตลอดเวลา โรคที่ประจำก็คือโรคชรา โรคชรานี้เป็นโรคประจำตัวเกิดแก่ทุกคน ทำไมจึงเรียกว่าเป็นโรค เพราะมันเสียดแทง ทำให้เกิดความทุกข์ และเราก็ไม่ชอบ ไม่มีใครสักคนหนึ่งที่ชอบความชราหรือว่าความแก่ ใครๆก็ไม่ชอบ เพราะไม่ชอบมันจึงเสียดแทงจิตใจ ทำให้เกิดเป็นปัญหา แล้วก็อาจจะเกิดอะไรต่ออะไร ต่อไปอีกมากมาย
โรคอื่นๆที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรานั้นก็มีนานาประการ ดูเหมือนว่าบ้านเมืองยิ่งเจริญ ยิ่งก้าวหน้า โรคภัยไข้เจ็บก็พลอยเจริญตามไปด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่เจริญแต่ทางวัตถุแต่โรคมันก็เจริญด้วย ทำไมโรคจึงได้เจริญขึ้นก็เพราะมนุษย์เรานั้นประมาท รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แล้วก็ช่วยสร้างสิ่งที่เป็นมลพิษขึ้นในโลกนี้ แล้วสิ่งที่เป็นมลพิษนั่นล่ะคือบ่อเกิดแห่งเชื้อโรคนานาประการในชีวิตของเราต่อไป ถ้าหากว่าเราไม่ระมัดระวัง มันก็เป็นปัญหามากขึ้น เช่นมีรถยนต์วิ่งเต็มบ้านเต็มเมือง มันก็เพิ่มอะไรขึ้นแล้ว เพิ่มควันพิษขึ้นในอากาศมากขึ้นๆ แล้วก็สิ่งนั้นเป็นเหตุให้เกิดเชื้อโรคในคนได้หรือความเจริญในทางอุตสาหกรรม มีโรงงานเพิ่มขึ้น เมื่อมีโรงงานเพิ่มขึ้นของเสียก็เพิ่มขึ้น แล้วของเสียเหล่านั้นสะสมกันมากๆก็เป็นเหตุให้เกิดเชื้อโรค ในเมืองใดที่มีอุตสาหกรรมมาก เมืองนั้นก็เต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่ามลพิษเพิ่มขึ้น
ในประเทศตะวันตกเมืองใหญ่ๆที่เป็นเมืองอุตสาหกรรม คนเขาไม่อยากจะอยู่ เพราะอยู่แล้วมันมีแต่ทำให้ไม่สบาย ทั้งกายทั้งใจ เขาจึงหนีออกไปอยู่ไกลๆ ห่างจากผู้คนออกไป จะได้ไม่เกิดเป็นปัญหา ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ความเจริญทางอุตสาหกรรมก็เป็นเหตุให้เกิดโรค การอยู่กันอย่างแออัดยัดเยียดตามแหล่งสลัมต่างๆ ก็เป็นบ่อเกิดของโรคเหมือนกัน เพราะว่าคนที่อยู่กันมากต้องถ่ายสิ่งต่างๆออกจากตัว ถ่ายอากาศเป็นพิษออกมาทางจมูก ถ่ายอาหาร ทิ้งเศษอาหารไว้ ปฏิกูลเต็มไปหมดก็เป็นบ่อเกิดของเชื้อโรคนี้เป็นความบกพร่องของคนที่ไม่รู้จักระวังรักษา โรคภัยไข้เจ็บก็เกิดมากขึ้น
โรคบางอย่างก็เป็นโรคใหม่ โรคแปลกซึ่งไม่เคยมีมาก่อนเช่นไวรัส เชื้อไวรัสที่มันละเอียดเหลือเกิน อาจมีโอกาสเข้าไปในร่างกายเราเมื่อใดก็ได้ แล้วเราอาจจะพ่ายแพ้เพราะภูมิต้านทานไม่พอ แม้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งอยู่ในที่สะอาดพอสมควร แต่ก็ยังมีโรคเชื้อไวรัสเข้าไปในพระองค์ เพราะว่าพระองค์เสด็จไปเยี่ยมเยียนประชาชนคลุกคลีกับชาวบ้าน คนป่าคนชาวเขาอะไรต่างๆ ก็มีเชื้อติดมา ต้องรักษากันเกือบปีจึงจะหายเป็นปกติ ถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงสู้ไม่ไหว แต่ว่าในหลวงท่านมาบารมีมาก คนรักทั้งประเทศ ไม่อยากให้พระองค์สิ้นพระชนม์ นายแพทย์ก็ตั้งใจดูแลรักษาเต็มที่เอาชนะโรคได้ นี่มันเป็นอย่างนี้
โรคภัยไข้เจ็บจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตเหมือนกัน ไม่เฉพาะแต่คน สัตว์เดรัจฉานก็เป็นโรคเหมือนกัน สุนัขก็เป็นโรค โรคสุนัขนี่แรงมาก เขาเรียกว่าสุนัขบ้ามันเป็นโรคชนิดหนึ่ง ไปกัดใครเข้าคนนั้นก็จะพลอยเป็นบ้าไปด้วย ได้เห็นพระองค์หนึ่งท่านถูกสุนัขกัดมาตั้ง ๒ เดือนแล้ว แต่เพิ่งกำเริบเสิบสานขึ้น พอเกิดเป็นโรคนี้ขึ้นแล้วกลัว เอาน้ำไปให้ฉันนี่ทำเสียง ...(ทำเสียงประกาอบ) ทำอย่างนั้นน่ะ หายใจเข้าน่ะ ถอยหลัง …… (ทำเสียงประกอบ) ไม่อยากเห็นน้ำ โรคกลัวน้ำ แล้วก็ดิ้นรนกระวนกระวาย ต้องมัดเลย เสยโซ่มัด ล่ามไว้กับเสา เพราะสมัยนั้นการแพทย์ยังไม่เจริญ ไม่รู้จะรักษาอย่างไร แล้วก็เป็นผื่นดำไปทั้งตัว ไม่กี่วันน่ะมรณภาพ ถึงแก่กรรมไป อาตมาเป็นเด็กอยู่ในสมัยนั้นได้เห็นแล้ว เขาก็บอกว่านี่ล่ะโรคสุนัขบ้า มันกัดท่านแล้วก็ไม่ได้รักษาอะไร นึกว่าหมาธรรมดากัด เลยก็เป็นโรครุนแรง ดิ้นรน เจ็บปวด อยู่ไม่สุขเลยตลอดเวลา ตายด้วยความทรมาน เป็นโรคที่น่ากลัว เกิดจากพิษของสัตว์ สัตว์อื่นๆก็มีเชื้อโรค
ทางการแพทย์เขาจึงวินิจฉัยให้คนรู้ว่าสัตว์อะไรจะนำโรคมาให้แก่เราบ้าง เช่นหนู แต่ว่าในเมืองที่ (09.43) …… ไม่ค่อยมีหนู ไม่เห็นหนูเลย แต่ว่าในบางแห่ง โอ้โห ตัวโตๆ แมวกลัว แมวเห็นหนูแมววิ่งหนี เพราะตัวมันโตเหลือเกิน กลางคืนออกเพ่นพ่าน ที่จังหวัดสงขลานี่หนูเยอะ ตามบ้านตามช่อง กลางคืนแล้วมันออก คลานมาบนถนนก็มี ข้ามไปบ้านนั้นบ้านนี้ หนูเหล่านี้ก็นำเชื้อโรคมาให้แก่คนด้วยเหมือนกัน ตัวสัตว์เล็กๆเช่นตัวเห็บ ตัวไร ตัวเลือด มันก็นำเชื้อโรคได้เหมือนกัน เยอะแยะที่จะทำให้คนเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยมีมากมาย ถ้าเราไม่รู้จักรักษาก็จะเกิดอันตรายได้
แต่ว่ามีโรคก็ต้องมียา ธรรมชาติมันมีเครื่องแก้เครื่องรักษากัน แก้กันได้ทันท่วงทีก็มี เคยอ่านหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการเรื่องอินเดีย ท่านไปเที่ยวเมืองมิซูรีบนภูเขาของประเทศอินเดีย ลูกชายท่านเดินเข้าไปในป่า ถูกต้นไม้ชนิดหนึ่งคันเป็นผื่นแดงขึ้นมาทันที คันมากเจ็บปวด คนขับรถมาเห็นบอก ไม่ต้องตกใจๆ เดี๋ยวๆๆๆ เขาก็ไปหาต้นไม้อีกชนิดหนึ่งซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นล่ะ เอามาถึงก็เอาอะไรมาทิ่มๆตำๆให้มันแหลกๆ เอามาโปะปุ๊บ เย็นเยือกเลย แล้วหาย มันมีของแก้กันอยู่ในบริเวณนั้น มีพิษอยู่ตรงนั้นมีของแก้พิษอยู่ที่ตรงนั้น
ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น สร้างอะไรๆเกิดขึ้นเป็นพิษเป็นภัย ก็มีสิ่งแก้กัน เหมือนกับชายทะเล โยมเคยไปเที่ยวชายทะเลไหม แล้วก็เห็นตัวกระพรุนที่เหมือนกับวุ้นลอยอยู่ในน้ำ เขาเรียกว่ากระพรุนไฟ ใครถูกเข้าแล้วต้องปวดแสบปวดร้อนเหมือนกันกระพรุนไฟนี่ ก็ไม่รู้จะรักษาอย่างไร แต่มีคนชายทะเลคนหนึ่งแกถูกกระพรุนไฟเจ็บปวดมาก แกก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ไปนอนกลิ้งที่บนชายหาดตรงนั้นมันมีผักบุ้งไม่ใช่ผักบุ้งที่เราจิ้มน้ำพริกนะ ผักบุ้งทะเลดอกมันบานเหมือนดอกลำโพง สีชมพูเยอะแยะ แกกลิ้งไปกลิ้งมาผักบุ้งมันก็ขาดมียางมาถูกแผลที่แกเจ็บปวดหาย เรียกว่าบังเอิญ ค้นพบยาวิเศษโดยบังเอิญ มันอยู่ที่นั่นล่ะ อยู่ใกล้ทะเลนั่นล่ะ แมงกระพรุนก็อยู่ในทะเลนั่นล่ะ ยาก็อยู่บนฝั่งนั่นล่ะ คอยรักษากัน แต่คนไม่รู้ก็เอามาช่วยไม่ได้ คราวนี้ชาวบ้านก็รู้ว่าผักบุ้งทะเลนี่มันเอามาแก้พิษกระพรุนไฟได้ ถ้าใครถูกกระพรุนไฟก็ไปถอนออกมา มาถึงใส่ครกโขลก ตำให้ละเอียด ให้ช้ำๆ เอาไปโปะที่แผลนั้นเย็นเยือกเลย หายเหมือนกัน ว่านหางจระเข้ (12.59) ที่เขาสนใจกันอยู่พักหนึ่ง เวลาเราถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ตัดเอามาปลอกเอาเยื่อนอกออก เอาแต่เยื่อในแปะลงไปที่น้ำร้อยลวก หายทันที เย็นเยือกเลย หายทันที เย็นเหมือนกับน้ำแข็งน่ะ หาย อาตมาเคยถูก แล้วก็เด็กเขาไปเอานี่มาถึงแปะให้ เย็นเยือกแล้วหาย มันมีสิ่งแก้ ไม่ว่าอะไร ต้นหมากรากไม้ทั้งหลายทั้งปวงนี่เป็นยาทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นในเรื่องเกี่ยวกับหมอชีวกโกมารภัจจ์ แกไปเรียน เล่าเรื่องหมอชีวกให้ฟังหน่อย คือหมอชีวกแกเป็นลูกผู้หญิงบริการในสมัยโน้นเรียกว่าโสเภณี พอเกิดก็เอาไปทิ้งเสียเลย เอาไปทิ้งไว้ที่กองขยะ เจ้าชายองค์หนึ่งเสด็จเดินเช้าๆ มาเห็นโอ้โห ฝูงกาไปล้อมอยู่ตรงนั้นล่ะ เด็กมันร้องอยู่ กาก็ไปล้อมอยู่ไม่จิกลูกตานี่ก็ดีถมไป แกก็ไป อ้าวเด็กนี่ น่ารักน่าเอ็นดูเลยอุ้มพาเข้าวังเอาไปเลี้ยงจนกระทั่งเติบโตขึ้น ส่งไปเรียนหนังสือที่สำนักตักศิลา เมืองตักศิลาเวลานี้อยู่ในเขตปากีสถาน อินเดียตอนเหนือ สมัยก่อนนี้เขาเรียกว่าเป็นสำนักทิศาปาโมกข์ อาจารย์ใหญ่ สำนักใหญ่ การเรียน การศึกษาอยู่ที่นั้นทั้งนั้นน่ะ หมอนี่ก็ไปเรียนที่นั่น
เรียนกับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เรียนวิชาเวชศาสตร์ เรื่องยา เรียนจนจบความรู้ที่อาจารย์ให้ อาจารย์ก็บอกว่าเธอเดินไปทิศตะวันออก โยชน์หนึ่ง เดินไป เอาเป็นว่าสัก ๑๐ กิโลว่าอย่างนั้นเถอะ เก็บต้นไม้ที่ไม่เป็นยามาให้ฉันสักต้นเถอะ แกก็เดินไปๆ ไม่มี กลับมาบอกไม่มีครับอาจารย์ เอ้า เดินไปทิศตะวันตก หาต้นไม้ที่ใช้เป็นยาไม่ได้มาสักต้นหนึ่งไม่ได้ไม่มี ทิศเหนือทิศใต้ไม่มี เป็นยาทั้งนั้น อาจารย์ว่าเธอจบแล้ว ได้ปริญญาแพทย์แล้ว สมัยนี้ก็เรียกว่าได้ปริญญาแพทย์ เพราะเห็นต้นไม้ทุกต้นเป็นหมด หญ้าทุกเส้นเป็นยาไปทั้งหมด ใช้ได้แล้ว กลับบ้านได้ ก็เลยกลับบ้าน
เดินทางกลับบ้าน ก็เดินไป ไปพบเศรษฐีนีคนหนึ่งปวดหัวมาหลายปี ปวดหัวมาก หมอก็ไปตรวจแล้วบอกว่ารักษาได้ รักษาหายๆ หมอก็รักษา ทีนี้น้ำมันเนยน่ะ มันหกมันราดแม่บ้านนั้นก็บอกคนใช้ว่าเอาสำลีมาเช็ดไว้ๆ หมอมองเห็นหมอบอก โอ้ เศรษฐีนีคนนี้คงจะขี้เหนียวมาก น้ำมันเนยหกนิดหน่อยก็เอาสำลีเช็ดเก็บไว้ แกก็นึกในใจว่า เรารักษานี้คงจะไม่ได้ค่ารักษาล่ะ ทำท่าสงสัยน่ะ เศรษฐีนีคนนั้นมองอาการรู้ว่าหมอคิดอย่างไร บอกว่าหมอไม่ต้องวิตกหรอกเรื่องการรักษาน่ะ ที่ฉันให้ทำอย่างนี้ก็เพราะว่าไม่ฟุ่มเฟือยในสิ่งที่ควรจะประหยัด อะไรควรประหยัดได้ก็ต้องประหยัด คนที่ร่ำรวยได้มันร่ำรวยด้วยการประหยัดนะโยมนะ พวกฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายไม่มีทางจะร่ำรวยกับใครหรอก คนประหยัดทั้งนั้นล่ะที่เขาร่ำรวย เขาประหยัดในการใช้การสอย อะไรไม่ควรเสียก็ไม่ให้เสีย เลยหมอก็รักษาหายเป็นปกติ
เดินทางมาจนถึงเมืองราชคฤห์ ก็เลยรับตำแหน่งเป็นแพทย์ประจำพระองค์พระเจ้าพิมพิสาร แล้วก็ชื่อเสียงก็โด่งดัง เที่ยวไปรักษากษัตริย์เมืองนั้นกษัตริย์เมืองนี้หลายที่หลายแห่ง จนกระทั่งพระเจ้าจัณฑปัชโชติ เมืองอุชเชนี ทรงประชวรมานานแล้ว ไม่หายเสียที อำมาตย์ข้าราชการก็บอกว่าต้องไปเชิญหมอโกมารภัจจ์มารักษา ก็เชิญมา หมอตรวจอาการเรียบร้อย รับรองว่าหาย แต่ว่าพระเจ้าจัณฑปัชโชตินี่เกลียดสิ่งหนึ่งคือนมแพะ ไม่เสวยนมแพะเป็นอันขาด เกลียด ยาที่ต้องเสวยนี่มันเข้านมแพะ หมอจะทำอย่างไรหมอก็เลยขอพร หนึ่งขอบัตรพิเศษเปิดประตูเมืองเวลาไหนก็ได้ ออกเวลาไหนก็ได้เพื่อไปเก็บยาสดๆมาทำยาให้เสวย สองต้องการพาหนะที่เดินเร็วที่สุด ก็ได้ช้างเชือกหนึ่งเป็นพาหนะพร้อมด้วยควาญเตรียมพร้อม หมอก็ผสมยาใส่ยาอื่นกลบกลิ่นนมเสีย ไม่ให้รู้เวลาดื่ม ดื่มเข้าไปแล้วมันก็ไปอยู่ในท้อง ไม่เป็นไร แต่พอดื่มแล้วหมอก็ขึ้นช้างหนีทันที รอสัก ๑ ชั่วโมงก็ต้องเรอ พอเรอก็รู้ว่า อ๋อ นี่คือนมแพะ โกรธสิ พอเรอขึ้นมาก็โกรธจริงๆ บอกว่าหมอนี่หลอกให้ฉันกินของที่ฉันไม่ชอบ ไปตามตัวมา เขาบอกว่าไปแล้ว ขึ้นช้างที่เดินเร็วไปแล้ว ไปตามตัวมาให้ได้ คงจะไปหยุดพักอยู่กลางป่า เอาตัวมาให้ได้
สั่งคนใช้ชื่อนายกากะ กากะนี่เรียกว่านักเดินเร็ว ถ้าเอามาแข่งเอเชี่ยนเกมส์ก็คงจะได้เหรียญทองแน่ๆ แต่ก็เดินทัน หมอนั่งพักเช้าๆอยู่ใต้ต้นมะขามป้อม นี่ไปถึงบอกพระเจ้าแผ่นดินขอเชิญท่านกลับ เดินเหนื่อยๆนั่งก่อนๆ เดี๋ยวกินมะขามป้อมแก้คอแห้งหน่อย เอามะขามป้อมมาถึงผ่า มีจานหนึ่งทายาไว้จานหนึ่งไม่มี ผ่า ไอ้ที่ติดยาน่ะให้นายกากะกิน พอกินเข้าไปประเดี๋ยวเดียวท้องร้อง โครก ก็นอนถ่ายอยู่ตรงนั้น กินยาถ่ายเข้าไปแล้ว ถ่ายอยู่ตรงนั้นล่ะ หมอบอกไม่ต้องตกใจยานี้ถ่ายโรคของท่านหมด ท้องไส้เป็นปกติแล้วก็กลับไปเถอะ จะกินข้าวได้นอนหลับ อายุมั่นขวัญยืน ทูลพระเจ้าแผ่นดินด้วยว่าภาระที่จะรักษาไม่มีแล้ว ขอกราบทูลลาไปเมืองราชคฤห์ แกก็ไปเมือง พระเจ้าแผ่นดินหายเป็นปกติ โอ้ดีใจ ก็เลยนึกว่าหมอรักษาเราหายจะต้องตอบแทน ก็เลยประทานผ้าแพรอย่างดี เขาเรียกว่าผ้ากัมพล คือผ้าไหมจากเมืองพาราณสีนี่ ๓๐ พับ นุ่งกันไม่ไหว
หมอนั่งดูผ้า อุ๊ยมากไป นุ่งกันจนตายก็ไม่หมด มันมากเกินไป แต่พระไม่ค่อยมีผ้านุ่ง เพราะว่าพระนี่ไม่ได้รับผ้าจากชาวบ้าน หมอก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าขอพร บอกว่าขอพรสักข้อ ถ้ามีเหตุผลตถาคตก็อนุญาต ก็เลยขอพรว่าให้พระรับผ้าที่ชาวบ้านถวายได้ ก่อนนี้รับไม่ได้ให้ไปเก็บจากกองขยะมูลฝอย จากซากศพมาทำจีวร พระองค์ก็ถามว่ามีเหตุเป็นอย่างใด ก็เล่าให้ทรงทราบ อนุญาต ตั้งแต่นั้นมาพระก็รับผ้าจากชาวบ้านได้ นี่เรื่องหมอชีวกโกมารภัจจ์ เรื่องแกยาวแต่เอาเพียงเท่านั้น เป็นหมอที่มีความชำนาญในการรักษาโรคมีชื่อมีเสียง หมอในปัจจุบันก็มักจะทำรูปไว้กราบไหว้ หนักไปกว่านั้นเชิญวิญญาณหมอเข้าสิงด้วย อุ๊ย มันเก่าแก่เต็มทีละ อายุมันตั้ง ๒๕๐๐ ปี จะไปเชิญอย่างไรไหว หมอไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ เชิญกันไปตามเรื่องพวก ป้ำๆเป๋อๆ ก็ไปอย่างนั้น ๆ เราอย่าไปเชื่อเลย วิญญาณนั้นน่ะ แต่รู้ว่าหมอนี้เป็นต้นตำรับเครื่องสมุนไพร
สมัยเด็กๆก็เคยกินยาสมุนไพรเมื่อเป็นไข้ ก็ไม่ไข้อะไร ไข้มาลาเรียอะไรอย่างนี้ เป็นไข้ตัวร้อน สะบัดร้อนสะบัดหนาว ไข้วันหนึ่ง เว้นวันหนึ่ง เขาเรียกว่าไข้เว้น เพราะวันนี้ไข้พรุ่งนี้ไม่ไข้ ไปอย่างนั้นล่ะ เขาก็ต้มยาหม้อใหญ่ กินแล้วโอ๊ยขมที่สุดเลย เอียนด้วยจะอาเจียนให้ได้ เวลากินต้องบีบจมูกก่อนไม่ให้กลิ่นเข้าจมูกแล้วก็กิน กินตั้งชามน่ะ ไม่ใช่กินน้อยๆเมื่อไหร่ ยามันต้มให้กินทีละชาม เช้าชาม เที่ยงชาม เย็นชาม กินโรคหายเหมือนกัน หายแล้วก็ไม่มีโรคอย่างนั้นอีก ก็ศักดิ์สิทธิ์ดีเหมือนกัน ยาของเขาไปหารากไม้ต้นไม้
หลวงลุงท่านเป็นหมอ รักษาโรค เวลาอยู่บางทีนะกลางวันก็พาลูกศิษย์เดิน เอ้า หักกิ่งไม้นี้ หักกิ่งไม้นั้น หักกิ่งไม้โน้น เราก็นึกว่าเอ๊ะเรื่องอะไร มาหักกิ่งไม้แบกกลับวัดนี่มันเรื่องอะไร ท่านก็ไม่บอกว่าเอาไปทำอะไร เอาไปถึงบอก เอ้า รูดเอาใบออก แล้วก็ก้านมันมีเอามีดมาสับๆๆๆ ให้ละเอียด ใส่เอาเสื่อมาปู ผึ่งแดด ผึ่งแดดแห้ง แล้วก็ตำผง ไม่มีเครื่องบด ตำ ตำด้วยครก เอา พวกเราก็ออกกำลังกัน ตำกันใหญ่ (23.03) …… กรองให้ละเอียดใส่อ่างไว้ อ่างใหญ่ เรียกว่ายาเขียวใหญ่ ยาเขียวใหญ่สีเขียว ใครมาขอยาก็เอาไป แก้ร้อนละลายด้วยนั้น แก้ปวดละลายนั้น แก้นั่นละลายนั่น กระสายเยอะ เอาไปคนละห่อๆ ไปแจก ทำไว้แจกชาวบ้าน ไม่คิดอะไร แจกฟรีทำอย่างนั้น ถ้ามีใครเจ็บไข้ได้ป่วย ก็มาหาท่าน บอกว่าคุณแม่ไม่สบาย เออ กี่วันแล้ว ๓ วันแล้ว เอ๊า ทำไมมึงไม่มาบอกกูให้ตายก่อน ท่านก็ว่า ท่านดุบอกว่า มาบอกให้ตายก่อนสิ ตั้ง ๓ วันแล้วจึงจะมาบอกท่านก็ไปทันที ดุแต่ใจดี ไปทันที ไปถึงก็ตรวจอาการดู ถามความเป็นอยู่อะไรต่ออะไร สั่งต้มยาทันที เอาไปหา จดๆๆ เครื่องนั้นมาต้ม ต้มให้กิน กินแล้วนั่งดูอาการ ถ้าไม่ดีขึ้นเปลี่ยนยาต้มใหม่ บางทีต้มวันเดียวตั้ง ๓ หม้อ ว่าอาการไม่ดีขึ้น แล้วก็นั่งเฝ้า ถ้ากลางคืนนี่ท่านนั่งเฝ้าจนสว่าง ดูจนสว่างไม่กลับวัด กลับวัดก็สว่าง มาถึงวัดก็ฉันอาหารเสร็จแล้วก็จำวัดเลย ใครอย่ามายุ่งนะ จำวัดแล้วอย่าไปยุ่ง ไม่ได้ ถ้าใครมีธุระก็มาได้ ท่านทำอย่างนั้น ช่วยเหลือประชาชน
สมัยก่อนนี้หยูกยามันอยู่ที่วัดทั้งนั้นล่ะ สมภารบางวัดก็เป็นหมอใหญ่อีก มีโรงเก็บยา รากไม้ แก่นไม้ ใบไม้ ดอกไม้กอง ถ้าคนสมัยนี้ไปเห็นก็ โอ๊ย ขยะมากจริงๆเดี๋ยวกวาดไปทิ้งหมด เอามากองไว้ ถ้าใครมาก็ไปหยิบอันนั้นมาสับๆ ใส่เข้าไป มาสับๆใส่เข้าไป เอาไปต้มกิน บางองค์เก่งมาก มีชื่อ พระที่ใกล้บ้านที่อาตมาอยู่นี่ ชื่อท่านไจ้ ท่านรักษาเก่งมาก คนตามป่าท้องโต เป็นไข้มาลาเรีย ท้องโต มีท้องไม่รู้จักเกิดสักที ม้ามมันโต ท้องโต พุงเขียว มารักษา มานอนวัด ก็สร้างโรงยาว ให้คนนอน หุงข้าวต้มแกงเลี้ยง รักษาดูแล
มีคนๆ หนึ่ง เขาเป็นโรคขาลีบ ฉีดยาเท่าใดๆก็ไม่หาย ท่านไปเยี่ยม ร้องไห้ร้องห่ม บอกว่าผมหมดอาลัยตายอยากในชีวิตแล้ว เพราะขาเดินไม่ได้จะไปทำงานอะไรได้ แกก็ปลอบว่าอย่าเป็นทุกข์มากเกินไป บุญมาวาสนาช่วยมันอาจจะหายก็ได้ ฉันจะลองรักษาดูนะ ต้มยาไปให้กิน ๓ หม้อ แข้งขาแข็งแรงเดินได้เรียบร้อยทำงานได้ อยู่มาอีกตั้ง ๒๐ กว่าปีจึงตาย ไอ้ยา ๓ หม้อของหลวงพ่อองค์นั้นน่ะ หายเลย
แต่ท่านประมาทไปหน่อย คนเป็นวัณโรคมาอยู่กับท่าน ท่านก็คลุกคลีกับเขา อะไรต่ออะไร ไม่รู้ว่ามันติดต่อกันได้ ท่านเลยกลายเป็นวัณโรค อาเจียนออกมาเป็นโลหิตเลย อาตมาไปเยี่ยม อาเจียนออกมาเป็นโลหิตตั้งครึ่งกระโถน บอกโอ้ ท่าน หลวงน้าเป็นวัณโรคแล้วนะ เออฉันรู้ ฉันมันประมาทมากไปหน่อย คิดแต่รักษาคนอื่น แต่ไม่ป้องกันตัวเอง มันถึงเวลาแล้ว ไม่เป็นไร แล้วไม่เท่าใดท่านก็สิ้นบุญไป เป็นอย่างนั้น เป็นหมอรักษาแต่คนอื่น แต่ไม่รู้จักรักษาตัวเอง นี้ก็อันตรายอยู่เหมือนกัน เลยตายไป มีอย่างนั้น
พระบางองค์ก็เป็นหมอต่อกระดูก แข้งหัก มือหักมาแล้ว (27.24) …… เหมือนกัน บางองค์ก็รักษาโรคนั้นโรคนี้เชี่ยวชาญ ไม่มีความรู้ทางการแพทย์ แต่ว่ารักษาได้ รักษาหายด้วย แต่สมัยนี้มีน้อยแล้ว เพราะว่าทางการเขามีโรงพยาบาล คนก็ไปโรงพยาบาลกันมากขึ้น หมอประจำบ้านแบบนั้นก็กลายหายไป แต่ยังมีอยู่ ห่างๆความเจริญพระท่านยังเป็นหมออยู่ ยังช่วยชาวบ้านอยู่ ก็เป็นที่พึ่งทางใจ รักษากายด้วย รักษาใจด้วย ให้ชาวบ้านมีความสุขมีความสบายขึ้น บ้านเมืองของเรามันก็อยู่กันมาอย่างนั้น รักษากันอย่างนั้นก็หายกันมาโดยปกติ
อาตมานี่เมื่อเด็กๆเป็นโรคอย่างหนึ่ง เป็นโรคลมชัก ชักเวลาอื่นไม่น่าเกลียดเลย ชักเวลากินข้าว เขานั่งกินอยู่ ปุ๊บ น้ำมูก น้ำลายออกมา ฟุบลงไปในถาดอาหาร เพื่อนบอกว่า ไอ้นี่ตะกละ ลงไปนอนน้ำลายฟูมปากเลย เป็นบ่อยๆ ก็โยมผู้ชายไปหาหลวงลุงองค์ที่ว่าเมื่อสักครู่ ไปขอยา บอกว่าเด็กมันไม่สบาย มันชักบ่อยๆ เด็กอะไร ท่านถามว่า ลูกผมเอง เออ เอามากูรักษา ก็เป็นหลานนี่ ท่านว่าเอามากูรักษาเอง ก็เอาไปถวายท่านให้รักษา ยาที่ให้กินเป็นยาผง ชงน้ำร้อนขมที่สุดในโลก เวลาเอายามาให้กินเอาน้ำตาลแว่นมาวางไว้ด้วย พอขมแล้วกินยากินไอ้นี่กินน้ำตาลแว่น น้ำตาลโตนดน่ะ เอา ก็กินยาไป ปุ๊บ เคี้ยวน้ำตาล แล้วละลายน้ำกินเข้าไป กินยานั้นเข้าไปทุกวันๆ มันไม่ชักแต่ว่าไปอยู่สงขลานี่ชักครั้งหนึ่ง ๘ พรรษาชักทีเดียว แล้วก็หายตั้งแต่นั้นมา โรคนั้นหายไป ก็นับว่าเป็นบุญหนักหนาแล้ว โรคนั้นมันหายไปได้นี่ ถ้าไม่หาย เดินๆไปชักแล้ว เดี๋ยวก็ได้ขนศพกลับวัดก็เท่านั้นเอง เออ นึกในใจว่า โอ้ เรานี่มันบุญหนักหนา หลวงลุงได้รักษาหาย ยานี้ เอาไปรักษาคนอื่นก็มี แต่ก็ไม่หาย มันไปชักในน้ำ เวลาไปในทุ่งในนาไปชักในน้ำ คนโรคลมชักถ้าชักในน้ำตาย น้ำเข้าปากตาย แต่ว่าอาตมาหาย เป็นบุญเหมือนกัน นี่ยาอย่างนั้น มีคนถามบ่อย รู้ตำรายานั้นไหม บอกโอ๊ย เมื่อสมัยเด็กมันไม่ได้คิดจดเจิดอะไรไว้หรอก แล้วก็หลวงลุงก็มาสิ้นบุญที่นี่ล่ะ เผาที่นี่ ก็ไม่ได้ถาม ไม่ได้จดยาอะไรไว้ สมัยนี้เขามียาแผนใหม่ ไม่ต้องกินยาโบราณแล้วก็เลยไม่มีเรื่องอะไร ก็ไม่ได้อยากจดยาท่านไว้
ท่านก็มียาอีกอย่างหนึ่ง ยาแก้พิษงูกัด เขากวางนี่ปลายเขาเอามาผสม แช่ยาแล้วก็เผา ใส่หม้อ ใส่หม้อนึ่ง ใส่หม้อแล้วก็จุดไฟเผา แล้วเขากวางก็ไหม้เหมือนกับหมกไก่ ไก่อบฟางน่ะ ทำแบบไก่อบฟาง แต่ใส่หม้อดิน แล้วก็ปิดฝาหม้อเอาดินยา แล้วก็เผา ทั้งหม้อเผา แล้วเขากวางก็ดำ ดำแล้วก็ถ้าคนถูกงูพิษกัดนี่เอามาฝนกับหิน ใช้น้ำมะนาวบีบแล้วก็ฝนนิดหน่อย แล้วเอาไปแปะ แปะที่แผลมันดูดพิษออกจากร่างกายของคนนั้น แปะแล้วก็ต้องเอาผ้าห่อกดไว้หน่อย แล้วมันติดอยู่นั่นน่ะมันดูด พอดูด หายแล้วเอานี่ไปใส่ในน้ำนมสด เอาน้ำนมสดแล้วเอายาไปแช่ เอาเขากวางนั้นไปแช่ดังชี่เลย พิษมันอยู่ในเขากวาง มันออกมาที่น้ำนม น้ำนมนั้นกินไม่ได้ เอาไปทิ้ง เขากวางนั้นเก็บไว้รักษาคนอื่นต่อไป เขามียา เรียกว่ายาเขากวางอ่อน แก้พิษงูกัดได้ ทำแล้วก็แจกชาวบ้านไปตามเรื่องตามราว สมัยนี้ไม่ต้องแล้วช้า ฉีดยาไวกว่า ใครเป็นพิษงูก็รีบไปโรงพยาบาลก็มียาเซรุ่มแก้กันได้ สบายไป นี่เป็นเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของคนในสมัยก่อน แต่มาในสมัยนี้เรามีโรงพยาบาล
โรงพยาบาลในเมืองไทยนี่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพราะท่านดำริว่าลูกเจ้าก็ตาย ลูกไพร่ก็ตายไม่มีหยูกยารักษาก็จะลำบากหมอสมัยก่อนก็มีชื่อมีเสียงเหมือนกันเช่นในสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ ๔ ก็มีหมอที่สำคัญๆคอยรักษาพระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่ ๓ท่านทรงพระประชวรรุนแรงมาก คือว่านอนไม่ได้เจ็บปวด เจ็บปวดข้างในโครงสันหลังนี่ ปวดมากกระวนกระวายทีเดียว แต่ว่าพระมหากษัตริย์มีน้ำพระทัยเข้มแข็ง ไม่แสดงอาการอ่อนแอ ก็นอนกัดฟันเจ็บปวดเฉยๆ แล้วค่อยลุกขึ้นนั่ง แล้วก็บอกคนที่นั่งเฝ้าพวกเสนาบดี ข้าราชการบอกว่า การป่วยครั้งนี้หนักมาก เห็นจะไปไม่รอดแล้วเพราะหมอก็รักษาเต็มที่ก็ไม่หาย ปวดเหลือเกินจะนอนก็ไม่ได้ จะนั่งก็ไม่ได้ เจ็บปวดมาก เออ ไม่เท่าใดฉันก็คงสวรรคต พวกแกทั้งหลายนี่ช่วยกันพิจารณานะ ผู้ใดมีความรู้มีความสามารถ พอจะรักษาบ้านรักษาเมืองได้ ก็ช่วยกันยกท่านผู้นั้นให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนฉันต่อไป ท่านสั่งอย่างนั้น แล้วก็สั่งอีกอย่างว่าเงินที่ฉันหาไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ใส่ถุงแดงไว้ เขาเรียกว่าเงินถุงแดง เมื่อฉันตายไปแล้วก็ขอสักกี่ชั่ง จำนวนไม่แน่นอน ไปสร้างซ่อมวัดที่ฉันทำค้างๆไว้ให้เรียบร้อยด้วยนะ ใครมาเป็นเจ้าแผ่นดินก็กราบทูลเขาด้วย ว่าช่วยสร้างต่อให้สำเร็จให้เรียบร้อย เพราะว่าท่านสร้างสิ่งสำคัญไว้ในบ้านในเมือง พระปรางค์วัดอรุณ รัชกาลที่ ๓ เป็นผู้สร้าง สร้างอย่างดีเป็นเอกลักษณ์ของกรุงเทพฯ แล้วจะไปสร้างที่ภูเขาทองให้ใหญ่กว่านั้น ไม่สำเร็จสิ้นพระชนม์เสียก่อน รัชกาลที่ ๔ ก็เลยทำเป็นภูเขาทองไปเลย ทำเป็นภูเขาไปเสียเลย ไม่ทำเป็นพระปรางค์
เงินในถุงแดงนั้นน่ะ เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพราะฝรั่งเศสเข้ามาบีบคั้นรุกราน มันออกแต่มันไม่ออกมือเปล่า มันหยิบอะไรไปบ้าง แล้วก็เสียค่าปรับเป็นเงินมากมายก็เอาเงินถุงแดงน่ะไปใช้จ่าย รัชกาลที่ ๓ ท่านช่วยกู้ชาติกู้บ้านเมืองไว้ ได้เงินนั้นล่ะไปใช้ ท่านประชารหนักมาก มีหมอคนหนึ่งเขียนเรื่องรัชกาลที่ ๓ บอกว่าอาการที่เป็นนั้นคือมะเร็งนั่นเอง ท่านเป็นมะเร็งในช่วงอกช่วงท้องเลยเจ็บปวดจนนอนไม่ได้ หมอก็ไม่มีทางรักษาเพราะไม่มีเครื่องมือในสมัยนั้น ก็เลยสิ้นพระชนม์ไป เพราะโรคนั้น
มาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ก็ท่านเป็นโรคมาลาเรีย เพราะไปดูสุริยุปราคาที่บ้านหว้ากอ ปราณบุรี ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงพระเยาว์ไปด้วย ป่วยไม่รู้สึกพระองค์เลย เวลารัชกาลที่ ๔ สวรรคตนี่ เขาพยุงมา ให้มารดน้ำ ไม่รู้สึกพระองค์ มาลาเรียหนักขึ้นสมอง แต่ว่ามีหมอรักษาไว้ได้ ไม่เป็นไร ได้อยู่ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติต่อไป
เมื่อรัชกาลที่ ๕ ขึ้นเสวยราชท่านก็เห็นว่ามันต้องมีที่รักษาโรคภัยไข้เจ็บ พอเสด็จประพาสยุโรปก็เห็นว่าเขามีโรงพยาบาล มีหมอ มีนางพยาบาล ของเรามันไม่มี ก็ดำริสร้างโรงพยาบาล ก็สร้างโรงพยาบาล ๒ แห่งคือจุฬาลงกรณ์กับศิริราช ศิริราชนี่เพราะว่าพระองค์เจ้าพระโอรสของท่าน พระธิดาของท่าน ถึงแก่กรรม ทรงเศร้าพระทัย ในเรื่องการรักษาพยาบาลก็ดำริว่าต้องสร้างโรงพยาบาล ก็เลยสร้างศิริราช สร้างตึกเล็กๆ ไม่ใหญ่โตอะไร คนไม่ค่อยไปรักษา ตึกหลังนั้นน่ะ ยังอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ สร้างไว้ แต่คนไม่ค่อยไปรักษา แล้วหมอก็เป็นเจ้าเป็นนาย คนไม่อยากเข้าใกล้กลัว กลัวหมอไม่อยากไปรักษา ต้องไปเที่ยวหาคนให้มารักษาให้มานอนโรงพยาบาล เขาเล่าว่าที่เชียงใหม่พวกฝรั่งมิชชันนารีไปตั้งโรงพยาบาลต้องแจกเงินแก่คนที่มารักษาโรคภัยไข้เจ็บ มารักษาผ่อนความไข้แล้วก็ให้ ๑๐ สตางค์ ให้ ๑ สลึง เงินสมัยก่อนมันก็เยอะนะ ๑ สลึงนี่มันก็เยอะแจก แจกเงินแก่คนที่มารักษา เดี๋ยวนี้คนมารักษาไม่ได้รับแจกเงินแล้ว แต่ถูกเรียกค่ารักษา ถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชนก็หนักหน่อย ถ้าของหลวงก็เบาๆหน่อย สมัยก่อนมันเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครมารักษา ก็สร้างโรงพยาบาลขึ้นไว้เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ประชาชน เจ็บไข้ได้ป่วยก็จะได้รักษา
สมเด็จพระราชบิดาก่อนนี้ท่านก็เรียนวิชาทหาร ไปเรียนอยู่ประเทศเยอรมัน กลับมาเมื่อเปลี่ยนการปกครองแล้ว ท่านก็เปลี่ยนเข็มมา ฉันไม่เป็นทหารแล้ว เพราะว่าเจ้านายจะไปเป็นทหารอย่างไรในระบอบใหม่นี้ ท่านก็เปลี่ยนเข็มไปเรียนหมอ เพราะท่านเห็นว่าโรคภัยไข้เจ็บในเมืองไทยยังไม่มีการดูแลเพียงพอ การสาธารณสุขก็ยังไม่ดีพอต้องไปเรียนหมอ เลยไปเรียนหมอที่เมืองบอสตัน ทั้งครอบครัวไปเรียนที่นั่น
เรียนจนสำเร็จเป็นนายแพทย์ได้ปริญญาแพทย์ มาอยู่ที่ศิริราช คนไม่กล้ารักษา ไม่กล้าให้ท่านตรวจ โอ๊ย ไม่ไหว เราเรียนมาจะช่วยคนแต่คนไม่ให้ช่วย ทำยังไง ไปเชียงใหม่ไปอยู่โรงพยาบาลฝรั่งแมคคอมิค ไปเป็นหมอ เป็นหมอธรรมดาๆ ตรวจโรคตรวจอะไรอยู่ที่นั่น ทำไปทำมาเกิดไม่สบาย เลยกลับกรุงเทพฯ แล้วก็ทรงพระประชวรสวรรคตไป แต่ว่าพระองค์ได้ทำประโยชน์แก่การแพทย์มาก เพราะในขณะที่เป็นนักศึกษาอยู่นั้น ท่านไปติดต่อกับร็อกกี้เฟลเลอร์มูลนิธิ ให้ช่วยประเทศไทยในกิจการสาธารณะสุข เขาก็เอาเงินมาช่วยเหลือในการสร้างโรงพยาบาล ส่งแพทย์ไปเรียน ส่งแพทย์ไปหลายคน แพทย์ที่ส่งไปรุ่นนั้นก็ไปปรโลกเกือบหมดแล้ว ไม่มีแล้วก็ได้สร้างลูกศิษย์ต่อมา เป็นการวิ่งเต้นช่วยเหลือมากของพระองค์
เพราะฉะนั้นเขาจึงหล่อรูปไว้ที่โรงพยาลาบศิริราช วันที่ ๒๔ กันยายน เป็นวันสวรรคต คนก็ไปกราบไหว้บูชาสักการะ ในพระคุณคือเมตตากรุณาต่อประชาราชที่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้น ก็เป็นบุญกุศลของประเทศไทย ที่มีคนเช่นนั้นมาเกิดเหมาะแก่กาลแก่เวลา แล้วทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองของเรา
ตามต่างจังหวัดการสาธารณสุขยังไม่ดีสมัยนั้น ก็มีหมอไปประจำจังหวัดต่างๆ ที่พัทลุงในสมัยนั้นก็เป็นคุณหลวงนรินทร์ปรสาทเวชช์ (40.56) …… เคยจำได้ไปโรงเรียนเห็นท่านมาอยู่ใกล้โรงเรียนจังหวัด ท่านเดินไปเดินมา หลวงนรินทร์ คนจันทบุรี ไปเป็นหมอประจำจังหวัด อยู่อย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้รักษาคนเรื่องๆ (41.13) …… เป็นอนามัยจังหวัดดูแลความเจ็บไข้ได้ป่วยโรคระบาดอะไรอย่างนั้น ไม่มีหมอรักษา เจ็บไข้ได้ป่วยก็ยังต้องพึ่งวัดกันอยู่ตามปกติ ยังไม่มีโรงพยาบาล
โรงพยาบาลตามต่างจังหวัดนี่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี่ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามได้สร้างโรงพยาบาลตามจังหวัดต่างๆ มีตึกอะไรขึ้นแต่ก็ไม่พอ เพราะเดี๋ยวนี้คนชอบไปโรงพยาบาล ไม่เหมือนเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ชอบ พอไข้นิดไปโรงพยาบาล แล้วไปถึงโรงพยาบาล พอพบหมอ หมอๆช่วยฉีดยาหน่อยไม่สบาย เป็นหมอเสียเองทุกคน ไปถึงก็สั่งหมอให้ช่วยฉีดยา ถ้าหมอไม่ฉีดก็โกรธอีกน่ะ บอกแหมหมอนี่ไม่ไหว ขอให้ฉีดยาก็ไม่ฉีด โรคบางอย่างไม่ต้องฉีดก็ได้ เอายาไปกินก็ได้ แต่ก็อยากฉีดอยู่นั้นล่ะ ก็เลยมีคนหากินทางฉีดยา พวกหมอเชลยศักดิ์อะไรอย่างนั้น พวกนายสิบเสนารักษ์หิ้วกระเป๋ายามีเข็มมียา ไปไหนก็ฉีดดะไปเลย คนชอบ ชอบฉีด เมื่อยตัวฉีด เป็นอย่างนั้นก็ฉีด ฉีดกันใหญ่
คราวหนึ่งไปที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ญาติโยมก็มาบอกท่านช่วยเทศน์หน่อย เรื่องอะไรโยม โอ๊ยชาวบ้านแถวนี้ติดยาฉีด ไม่ฉีดอยู่ไม่ได้ กระวนกระวาย อ้าวแล้วกัน หมอเอายาเสพติดไปฉีดให้ชาวบ้าน ถ้าไม่ได้ฉีดแล้วอารมณ์เสียยุ่งยากเป็นปัญหาใหญ่ ติดกันงอมแงม ไม่เฉพาะชาวบ้านพระก็ติดเหมือนกันหลวงพ่อ อ้าว บอกว่าพระบางองค์จะขึ้นเทศน์นี่ต้องฉีดยาก่อน ถ้าไม่ฉีดยาแล้วไม่มีเรี่ยวแรงจะเทศน์ เอาเลอะเทอะใหญ่แล้ว เขาเรียกยาอะไร เฟสตามินอะไรต่ออะไรก็ไม่รู้ พวกยาอย่างนั้นล่ะ เอาไปฉีดติดกัน อาตมาไปเทศน์ทั่วทุกอำเภอ ก็เลยบอกว่ามันให้โทษ ไม่ได้อย่าไปฉีดยาอย่างนั้น แล้วก็อย่าไปฉีดบ่อยๆ ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องฉีดยา หมอก็ตรวจแล้วกินยาสัก ๕-๖ เม็ดก็หาย กิน ๓ วันก็หาย เขาก็ให้ยามาให้กินวันละ ๒ เม็ด เช้า กลางวัน เย็น ๓ วัน เขาให้มาเท่านั้น ๖ เม็ด ๙ เม็ดเป็นชุดๆไป กินตามหมอสั่งไม่ต้องฉีด ฉีดมันแพง ไม่จำเป็น คนที่จะต้องฉีดยาคือโรคมันรุนแรง ต้องฉีดทันท่วงที เรามันไม่แรงยังเดินไปโรงพยาบาลได้ ยังเดินกลับบ้านได้ ไม่ฉีดก็ได้ ไปเทศน์ให้ฟังเพื่อจะให้เข้าใจเรื่อง ช่วยดูแลเขา แนะนำเขาไปตามเรื่องตามราวเพราะชาวบ้านบางทีใช้ยาไม่เป็น กินไม่เป็นไม่อ่าน หมอบอกว่าให้กินก็กินเข้าไปเรื่อย กินเกินก็ชักดิ้นชักงอไปก็มีเหมือนกันเพราะไม่อ่าน บางคนอ่านหนังสือไม่ออก หมอสั่งก็ลืมเสีย เขาให้กินมื่อละ ๒ เม็ด เช้า กลางวัน เย็น ไปกินทีละ ๓ เม็ดบ้าง ๔ เม็ดบ้าง กินให้มันหายเร็ว เลยไม่หายกลับนอนชักดิ้นชักงอไปเพราะยาสมัยใหม่มันรุนแรง เป็นอย่างนั้นก็ต้องการคำแนะนำ
เวลานี้ตามวัดต่างๆมักจะมีตู้ยาไว้ ยาตำราหลวงเป็นยาสามัญประจำบ้านใช้ง่าย เขาก็เอาไปใช้กัน พระก็ต้องแนะนำให้ใช้ มีพระองค์หนึ่งสมัยหนึ่งท่านทำยาเขียวแต่ท่านเอาควินินผงผสมเข้าไปด้วย ชะงัดดีรักษาโรคหายไวมีชื่อมีเสียงเหมือนกันพระองค์นั้น เพราะใช้ยาสมัยใหม่ผสมเข้าไปในยาเขียว คนมันเป็นไข้ก็กินควินินนั่นล่ะ แค่ว่ามันผสมยาเขียว ทำให้กินง่ายอะไรขึ้น รักษาโรคภัยไข้เจ็บพัฒนาดีขึ้นหน่อย เป็นอย่างนี้ เรื่องรักษาโรคภัยไข้เจ็บ มันมีกันอยู่ทั่วๆไป
เดี๋ยวนี้โรงพยาบาลทั่วทุกจังหวัด ตามอำเภอก็มีแล้วเขาเรียกว่าโรงพยาบาลยุพราช สมัยที่เจ้าฟ้าชายของเราแต่ง อภิเษกสมรส รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียรสมัยนั้นก็เรี่ยไรทุนจากชาวบ้านไปสร้างโรงพยาบาลยุพราช อาตมาพอได้ยินโทรทัศน์ออกไปเองเลย เอาเงินไป ๑ หมื่น ไปโมทนา ไปที่นู่นน่ะพระที่นั่งอะไร ที่ทำเนียบรัฐบาล พอถึงคุณสมัครกำลังเป็นโฆษกอยู่ พอเห็นก็หลวงพ่อเจ้าคุณปัญญามาแล้วนิมนต์มาพูดวิทยุหน่อย อ้าวเลยไปพูดวิทยุ ให้คนได้ยินได้ฟัง แล้วก็มอบปัจจัย ๑ หมื่น เพื่อสร้างโรงพยาบาลยุพราชกับเขาด้วยเป็นความชื่นใจ ในการที่เจ้าฟ้าชายที่รักของเราได้ทรงอภิเษกสมรส แต่ว่าตอนหลังมาก็ไม่เหมือนใจ ก็ต้องเทศน์เสียหน่อย เจ้าชายหัสตินาปุระเสียหน่อย ก็เป็นอย่างนั้น เรียกว่ามีการช่วยเหลือกันเดี๋ยวนี้โรงพยาบาลเอกชนก็เยอะ มีมากมายทั่วๆไป ตามต่างจังหวัดก็มี หมอนี่ทำงานโรงพยาบาลหลวง เย็นก็มาทำโรงพยาบาลเอกชน ก่อนไปโรงพยาบาลหลวงก็เปิดเอกชนก่อน แล้วไปโรงพยาบาลหลวง เรียกว่าแสดงกันไปเรื่อย เพราะหมอยังน้อยไม่มากเท่าใด ยังไม่พอ ผลิตแพทย์ยังไม่พอกับประชาชนพลเมือง
ในต่างประเทศเขาควบคุมเรื่องหยูกเรื่องยา เราจะไปซื้อยากินเองไม่ได้ เช่นปวดหัวไปซื้อ เอฟฟู การ์ดาน แอสไพรินกินไม่ได้เขาไม่ให้ซื้อ เขาไม่ขายๆ ยาที่กินเข้าไปภายในเขาไม่ขาย ขายได้แต่น้ำมันมะกอก น้ำมันปาล์ม ทาเนื้อทาตัว กับผิวหนังอันนี้เขาขายได้ แต่ว่ากินข้างในเขาไม่ขาย ขายแล้วเดี๋ยวผิด คนตายขึ้นก็ผิดนะ ที่โน่นไม่ได้เขาฟ้องบ่อย ไปกินยาแล้วมันเกิดอะไรก็ไปฟ้องร้านขายยา เพราะฉะนั้นร้านขายยาก็ไม่กล้าขายให้ กลัวจะเสียหาย จะเกิดโทษเกิดภัย จึงต้องไปปรึกษาหมอ ต้องมีคำสั่งหมอจึงจะไปซื้อยาได้ ถ้าไม่มีคำสั่งซื้อยาไม่ได้
เวลาไปต่างประเทศก็ไม่ต้องตกใจหมอไทยเยอะแยะ บอกว่าไม่ค่อยสบายเดี๋ยวหมอก็มาตรวจก็ให้ยากิน ไม่ต้องไปลำบากอะไนหมอไทยเราเยอะ ตามวัดตามวาหมอก็มาคอยดูแลพระ พระไปอยู่นู่นก็ต้องมีการประกันชีวิต ประกันโรคภัยไข้เจ็บ เพราะเวลาไปโรงพยาบาลนี่เขาถามนะ มีประกันชีวิตไหม มีประกันไหม ไม่มี อ้าว นอนป่วยไปก่อน ร้องไป เจ็บปวดไป ครางไปก็ไม่ ก็ไม่เป็นไรเขาไม่สนใจ ไม่มีประกัน ไม่มีเงิน ไม่ต้องรักษามีสิทธิ์ที่จะตายได้ง่าย ต้องมีประกันไว้ พอบอกมีประกันหมอก็กุลีกุจอรักษาให้ มันเป็นอย่างนั้น
ที่โน้นเขาหายใจเป็นเงิน เป็นดอลลาร์ตลอดเวลา แล้วคิดละเอียดสำลีเช็ดแผล น้ำยา เขาลงไว้ในบัญชีหมด คิดหมดทุกสิ่งทุกอย่าง นางพยาบาลไทยบอกอยู่กับฝรั่งมาหลายปี ฝรั่งนี่เอาทั้งนั้น เครื่องมือมีกี่อย่าง ไข้นิดหน่อยก็ใช้หมด ต้องไปเอ็กซ์เรย์ ต้องไปดูนั่นใช้เครื่องมือ เพราะจะได้เรียกเงินแพงๆ ความจริงไม่ต้องเอ็กซ์เรย์ก็ได้ ไม่ต้องใช้เครื่องมือนั้นก็ได้แต่ต้องใช้หมด ทำมันทุกข้อ พิสูจน์หมด ตามจริงแต่ตรวจแล้วให้ยากินก็หาย แต่ไม่ได้ มันไม่ได้เงิน ต้องเรียกเงินให้มากขึ้น ใช้เครื่องมือหมดทุกอย่าง ทดสอบเจาะเลือด เอาไปเข้าห้องทดสอบ คิดสตางค์ทั้งนั้น เรียกสตางค์ทั้งนั้นเป็นเงินเป็นทอง ประเทศอเมริกานี่ ป่วยไม่ได้ อย่าไปป่วยเข้า พระที่ไปอยู่อังกฤษชื่อสีลานันทะก็ป็นโรคนิ่ว ถ้ามาผ่าตัดที่จุฬาหายไปแล้ว แต่ยังไม่หายดี มันยังมีอยู่อีกน่ะ ไม่เรียบร้อยต้องไปรักษากับหมอที่อังกฤษ
โรงพยาบาลอังกฤษของรัฐบาลนี่ไม่เอาอะไรเลย รักษาเปล่าๆทุกอย่างไม่คิดสตางค์เลยสักนิดเดียว พระป่วยไปนอนตั้งเดือน ไม่ต้องเสียอะไร มันคนละแบบกับอังกฤษ หมอสั่งท่านสีลา ไปอเมริกาพาไปด้วยว่าท่านอย่าไปป่วยเมืองอเมริกัน มันแพง ถ้าป่วยแล้วขึ้นเรือบินกลับเที่ยวแรก โทรศัพท์มาบอกผมจะเอารถไปรับที่สนามบินเลย หมอก็ใจดี เป็นหมอแขกอินเดียแต่ไปอยู่อังกฤษ บอกว่าจะไปรับถึงสนามบินเอามารักษา เป็นอย่างนั้น เพราะที่นั่นมันแพง ใครไปอเมริกาอย่าไปเที่ยวป่วยนะโยมนะ ใครจะไปเที่ยวไปอะไรอย่าป่วย ป่วยแล้วก็เก็บอย่างแพง ไม่มีประกันด้วย เงินเอาไปเท่าไหร่หมดเสียหมดเลย ค่ารักษาหมด ไม่ได้กลับบ้าน ตกเรือบินด้วย ลำบาก เป็นอย่างนั้น
การพยาบาลรักษาบางแห่งเขาดี เขาเรียกว่าสังคมสวัสดิการ ประเทศอังกฤษนี่เป็นสังคมสวัสดิการ แต่โยมอย่านึกว่าสบาย เขาไม่เอาอะไร เขาเอาไว้แล้ว ภาษีถี่ยิบเลย เมืองอังกฤษนี่จะเก็บภาษีถี่ยิบเอาภาษีมาก แล้วก็เอาไว้ใช้รักษาคนต่อไป เขาเอาแล้วก็ให้คืน แก่พวกเราต่อไป คนแก่ไม่มีฟันให้ฟันได้ ไม่มีแว่นให้แว่น อาตมาไปเขาพาไปตรวจหมอ เอ้า ใส่แว่น ไปซื้อแว่น ได้แต่แว่นมากรอบไม่มี เอ๊า แล้วจะได้ยังไง ให้แว่นแต่ไม่ให้กรอบน่ะ เขาให้แต่แว่น สวัสดิการให้แว่น กรอบต้องไปซื้อ กรอบอันหนึ่งตั้ง ๑๐ กว่าปอนด์ ๒๐ปอนด์แพงกว่าแว่นเป็นไหนๆ เลยต้องไปซื้อ แต่ว่าฟันนี่เขาให้พร้อม ไม่ใช่ให้แต่ฟันมาเหงือกไม่ให้ ให้ครบใช้ได้ แต่แว่นนี่เขาให้แต่แว่นไม่มีกรอบ สวัสดิการเขาให้ทุกอย่าง
ใครไม่สบายคนแก่ๆไปเขาให้ ให้นั้นให้นี้ แล้วก็มีเงินเบี้ยเลี้ยง คนแก่สบาย เมืองไทยอยากให้เป็นเช่นนั้นบ้างก็ได้ แต่ว่าโยมต้องเตรียมเงินไว้เยอะๆ เสียภาษี เพราะเขาให้เราเท่าใด เขาเอาจากเราก่อน แล้วเอามาให้เรา เหมือนกับหลักการบำนาญ เขาก็เอาไว้แล้ว เก็บไว้ก่อน แล้วเวลาแก่ลงเขาก็ให้ มีสวัสดิการ มีบ้านให้อยู่ มีอะไรต่ออะไร บ้านคนแก่ เขาก็เอา บ้านคนแก่ก็มีหลายประเภท ไม่ต้องเสียอะไรเลยก็มี เรียกว่าคนแก่ที่มีฐานะไปอยู่ แต่ต้องเสียค่าเช่าค่าออน (52.22) …… มีหมอมีนางพยาบาลดูแล เสียไว้ก่อนเสียไว้ก่อน คือก่อนแก่หง่อม ก่อนออกบำนาญก็เสียไว้ก่อน ฝากไว้พอแก่ เอาไปอยู่ได้เลยสบาย
เมืองไทยก็ท่านกิตติวุฑโฒแกจะทำแล้วเหมือนกัน คอนโดมิเนียมธรรมะ สร้างบ้านให้คนแก่อยู่ อันนี้หนังสือพิมพ์ก็เขียนล้อ คอนโดมิเนียมธรรมะ สถานเต้นรำธรรมะ อะไรธรรมะหนังสือพิมพ์ล้อท่านกิตติวุฑโฒ ก็ดีเหมือนกันท่านคิดทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน แต่ว่าใหญ่โต เป็นตึก ๙ ชั้นนะ คนแกนี่ไปอยู่วิมาร ๙ ชั้นนี่ลำบากตอนขึ้นตอนลง ถ้าไม่มีลิฟท์มันก็เดือดร้อนนะโยมนะ เกิดลิฟท์เสียนี่ปวดหัวเข่าเดินขึ้นลงปวดหัวเขา ไปอยู่ แต่ว่ามันอยู่ชายทะเล ไม่ควรจะสูงอย่างนั้น เขาเตี้ยๆ เมืองนอกบ้านคนแก่ก็ไม่สูง เขาทำ ๒ ชั้นอย่างมาก คนแก่ขึ้นลงลำบาก เป็นขององค์การศาสนา เขาช่วยดูแลให้คนได้รับความสะดวกสบายตามสมควรแก่ฐานะ
นี่เรื่องเกี่ยวกับสวัสดิการ เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ พูดสู่กันฟังเสียหน่อย แล้วก็การที่จะสร้างโรงพยาบาลก็เพราะปรารภเหตุอย่างนี้ เพื่อช่วยเหลือญาติโยมชาวบ้านทั่วๆไป ไม่เฉพาะผู้ใดใครผู้หนึ่ง เวลานี้ก็ได้ปัจจัย ๑๓ ล้าน ๒ แสนแล้ว ยังขาดอีก ไม่ป็นไร ก็ว่ากันไปเรื่อยๆ ได้มาเรื่อยๆ พูดมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้