แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านที่มีโอกาสรับเข้ามาฟัง จงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา เมื่อเช้านี้ เวลา ๘ โมงไปออกโทรทัศน์รายการธรรมสมโภช ฉลองอายุ ๘๐ ปี ท่านเจ้าคุณพุทธทาส ก็เป็นรายการที่เขานิมนต์ไปเป็นพิเศษเพื่อไปพูดให้ญาติโยมทั้งหลาย ที่เลื่อมใสในผลงานของท่านเจ้าคุณ ได้รับรู้รับทราบว่าเราจะทำอะไรกันบ้างในงานฉลองอายุ หรือธรรมสมโภชในรอบปีนี้ ก็ได้พูดไป เสร็จแล้วก็รีบกลับมา เพื่อมาพูดจากับญาติโยมทั้งหลายต่อไป
วันอาทิตย์ พวกเราทั้งหลายก็ได้มากันเป็นประจำ มารับอาหารทางใจเพราะอาหารใจนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิต ชีวิตที่ขาดอาหารใจจะเป็นชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ ชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ก็คือว่าสร้างปัญหาแก่ตัว แก่ครอบครัว ตลอดจนถึงส่วนรวมคือประเทศ ชาติมากขึ้น อันเป็นเรื่องก่อให้เกิดความทุกข์ในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าเรามีธรรมะเป็นอาหารหล่อเลี้ยงใจ สภาพจิตใจเราก็จะดีขึ้น จิตใจที่ดีขึ้นก็คือใจที่มีความสะอาด ปราศจากกิเลส สว่าง ไม่มีความมืด มัวเมาในเรื่องอะไรต่างๆ สงบ ไม่มีอะไรรบกวน ก็จะเป็นจิตใจที่เหมาะแก่ความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์อยู่ที่ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ ถ้าใจเราสกปรก ถ้ามืดมัวเร่าร้อน ก็เรียกว่ายังไม่เป็นมนุษย์สมบูรณ์ เพื่อความเป็นมนุษย์สมบูรณ์เราจึงต้องมารับธรรมะ เพื่อเอาไปใช้ ในชีวิตประจำวันจะได้มีความสุข
ท่านทั้งหลายเห็นประโยชน์ของธรรมะ จึงได้ชักชวนกันมาฟังธรรมเป็นประจำ ฟังแล้วต้องเอาไปใช้ด้วยอย่าฟังสักแต่ว่าฟังเฉยๆ คล้ายกับเรามารับยาจากหมอมันต้องเอาไปกินเข้าไปตามที่หมอสั่งหรือว่ารับแจกอาหารก็ต้องเอาไปรับประทาน อาหารนั้น จึงจะเป็นประโยชน์ ยานั้นจะแก้โรคได้ก็ตรงที่เรากินเข้าไป ธรรมะนี่ก็เหมือนกันจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราก็ด้วยการปฏิบัติ การปฏิบัติเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้เราได้เข้าถึงธรรมะ ให้ธรรมะเข้าถึงเรา ให้เราได้รับประโยชน์จากธรรมะเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ฉะนั้นเมื่อรู้แล้วก็ต้องเอาไปใช้ในชีวิตของเรา แล้วการใช้นั้น ใช้อย่างไร คือรู้ว่าอะไรดี อะไรถูก อะไรไม่ดี ไม่ถูก เราก็เอาความรู้นั้นไปเป็นกระจกส่องที่ตัวเรา ส่องดูที่การคิดของเรา ที่การพูด การกระทำของเรา เพื่อให้รู้ว่าเรามีความพกพร่องอะไร มีความไม่ดี ไม่งามอยู่ที่ตรงไหนบ้าง จะได้ปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ใช้หลักการปฏิบัติที่เรียกว่าพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเอง เพื่อทำตัวเราให้ดีขึ้น ด้วยการพิจารณาให้รู้ เมื่อรู้ว่าเราพกพร่องเรื่องใด ไม่ดีไม่งามในข้อใด ก็ควรจะเลิกจากเรื่องนั้น หันมาประพฤติแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงามต่อไป
เมื่อใจเราออกจากความผิดมาอยู่กับความถูกต้อง ออกจากความมืดมาอยู่กับความสว่าง ออกจากเสียงขาด (05.07) อยู่กับปัญญา เราจะเห็นว่ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในชีวิตของเรา สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นเราก็เห็นได้ง่าย คือว่าเราดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน สภาพจิตใจดีขึ้น การงานดีขึ้น ความสุขส่วนตัวและครอบครัว ตลอดจนถึงวงงานมันดีขึ้น มันดีขึ้นหมดทุกอย่าง เหมือนกับเราอาบน้ำ พอรดลงไปขันหนึ่งมันก็ได้ผลแล้ว เพราะว่าชุ่มขึ้นมาหน่อย หายร้อนลงไปหน่อย รดอีกหลายขันมันก็ชุ่มโชกไปทั้งตัว เอาสบู่มาถูเสียหน่อย แล้วก็ล้างเสียอีกทีหนึ่งร่างกายก็สะอาด ปราศจากสิ่งโสโครก ไปนั่งใกล้ใครเขาก็ไม่สะอิดสะเอียน ตัวเราเองก็สบายใจเพราะว่าร่างกายสะอาดฉันใด สภาพชีวิตจิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน
เมื่อเราประพฤติปฏิบัติธรรม เราก็ได้ผลจากการปฏิบัตินั้น คือได้ทันที ได้ไปเรื่อยๆ คือได้ไปเรื่อยๆตราบใดที่เรายังปฏิบัติอยู่ เราก็ได้ผลเรื่อยๆ เกิดขึ้นแก่เราเรื่อยๆ ตามกำลังที่เราทำลงไป เราไม่หยุดจากการกระทำนั้น ผลมันก็มากเพิ่มขึ้นในจิตใจของเรา ทำให้เราเปลี่ยนสภาพชีวิต จากผิดมาสู่ความถูก จากโง่มาสู่ความฉลาด จากความมืดมาสู่ความสว่าง มันได้ผลด้วยตัวเราเอง เราต้องพิจารณาที่ตัวเราว่าผลมันเกิดขึ้นอย่างไร อย่าไปให้คนอื่นดู ว่าผลมันเป็นอย่างไรตั้งแต่ปฏิบัติธรรมขึ้นมาแล้ว มันเป็นอย่างไร ไม่ต้องให้ใครดูให้เพราะมันเป็นเรื่องสันทิฎฐิโก
สันทิฎฐิโก หมายความว่า เห็นได้ด้วยตนเอง ผู้ศึกษาผู้ปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง รู้ได้ด้วยตนเองว่าเราได้รับผลอย่างไร คนอื่นเขาไม่รู้เรื่องของเรา ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาไม่รู้ หากจะรู้ก็เพียงแต่ประมาณเอา คาดคะเนเอาว่าเป็นอย่างนั้น ว่าเป็นอย่างนี้ แต่ว่าเรื่องในใจของใครก็เป็นของใคร เรารู้ได้ด้วยตนเองว่าเราร้อนหรือเย็น เราสงบหรือวุ่นวาย เราเป็นสุขหรือว่าเราเป็นทุกข์ เรารู้ได้เอง รู้ได้ด้วยตนเอง ถ้าเราพิจารณาเอาใจใส่ในตัวเรา เราก็รู้ว่ามันเป็นอย่างไร เมื่อรู้แล้วว่ามันดีขึ้น ต้องทำให้ดียิ่งๆขึ้นไป ให้มากขึ้นไปกว่านี้ เพราะมันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องทำอย่างนั้น
การจะทำผิดทำเสียไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่เรื่องของความถูกต้อง แต่ว่าเราไปทำเพราะความหลงผิด เมื่อเราทำลงไปเพราะความหลงผิด เราก็ได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ทีหลังเรามารู้มาเข้าใจเพราะได้ฟังธรรมของพระ หรือได้อ่านหนังสือธรรมะ เราก็เกิดปัญญาขึ้นมา แล้วก็ส่องปัญญานั้นเข้าที่ตัวเรา เราเห็นตัวเราชัดเจนว่ามีอะไรอยู่บ้าง เราก็จัดการแก้ไข การแก้ไขความบกพร่องให้สมบูรณ์ขึ้นนั่นแหละ เรียกว่าเราปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว
ถ้าเราพยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเราก็เรียกว่าเราปฏิบัติธรรม เมื่อเราปฏิบัติธรรม ผลก็จะเกิดขึ้นแก่ตัวเรา เรามีความสุขเพิ่มขึ้น มีความสงบเพิ่มขึ้น มีความสะอาดทางใจเพิ่มมากขึ้น เป็นผลของการปฏิบัติ สมควรที่จะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันให้ดีขึ้น คนบางคนก็มาวัดอยู่นั่นแหละ ฟังธรรมอยู่นั่นแหละ แต่ว่าไม่ค่อยได้เอาไปใช้ก็มีเหมือนกัน มาฟังพอสบายใจเรียกว่าฟังเอาบุญ ไม่ฟังเพื่อให้เกิดกุศลขึ้นในใจ อย่างนี้ยังไม่ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย การมาฟังก็คือมาศึกษาหาความรู้ ความเข้าใจ รู้แล้วเข้าใจแล้ว ทำอะไรต่อไป เราก็ต้องเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันของเรา เพื่อปรับตัวเราให้ดีขึ้นให้เจริญขึ้นตามแนวทางธรรมะนั้นๆ การปฏิบัติช่วยให้พระศาสนาอยู่ในตัวของเรา เจริญอยู่ในตัวของเรา ความเจริญของพระศาสนานั้น ไม่ใช่เจริญที่ด้านวัตถุ วัตถุเป็นแต่เครื่องประกอบเท่านั้น แต่เนื้อแท้ของความเจริญนั้นอยู่ที่จิตใจของเรา ผู้ประพฤติธรรม เมื่อเราประพฤติธรรม จิตใจเราก็เจริญขึ้น คือมันสะอาด สว่าง สงบขึ้น นั่นแหละเป็นความเจริญ นั่นแหละเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนถาวรต่อไป
เรื่องอื่นๆนั้นยังไม่เกิดอย่างแท้จริง แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรมะ ก็เรียกว่าเราสืบศาสนาให้ศาสนาอยู่ในโลกต่อไป ทุกคนต้องช่วยกันสืบอายุพระศาสนา ด้วยการปฏิบัติตนให้ดีให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป อะไรที่พระพุทธเจ้าบอกว่าละเสียเถิด เราก็ละสิ่งนั้น สิ่งใดพระพุทธเจ้าบอกว่าเจริญให้มันยิ่งขึ้นไป เราก็ทำให้มันเจริญขึ้นในชีวิตจิตใจของเรา อย่างนี้เรียกว่าเราปฏิบัติธรรม คือทำจิตละ แล้วก็ทำจิตเจริญ ละส่วนที่ควรละ เจริญสิ่งที่ควรเจริญ ในภาษาธรรมะเรียกว่า ปหานะและภาวนา ปหานะก็คือการละเรื่องชั่ว เรื่องร้าย เรื่องไม่ดี ไม่งามด้วยประการต่างๆให้หมดไปจากใจของเรา เมื่อเราเอาสิ่งชั่วร้ายออกแล้ว เราก็ต้องทำสิ่งดีเพิ่มขึ้น เรียกว่าภาวนา จิตสองอย่างนี้เป็นจิตที่เราจะต้องทำติดต่อทุกวัน ทุกเวลา ทุกวินาที ของชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งชั่วร้ายวกกลับมาหาเราอีกต่อไป จึงคอยกีดกันไว้ แต่เรียกว่าละ นั่นก็ต้องระวังนั่นเอง
ความจริงมันไม่มีอะไรอยู่ในใจของเรา แต่เราไปสร้างมันขึ้นมา เราสร้างความโลภ เราสร้างความโกรธ เราสร้างความหลง เราสร้างความริษยาพยาบาทให้เกิดขึ้นในใจของเรา อะไรๆที่ไม่ดี เราสร้างมันขึ้นทั้งนั้น ทำไมเราจึงไปสร้างสิ่งนั้นขึ้น เพราะเรายังไม่รู้ไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรถูกต้อง เราก็ไปสร้างสิ่งเหล่านั้น ไปทำสิ่งนั้นๆ เมื่อเราทำมันก็ค้างอยู่ในใจของเรา ทำบ่อยๆ มันก็ยิ่งค้างมากขึ้นๆ จนกลายเป็นคนมีสภาพเช่นนั้นไป คนเราที่เป็นคนเสียไม่ว่าเรื่องอะไร เป็นคนโลภจัด เป็นคนโกรธจัด เป็นคนหลงจัด หรือเป็นคนที่มีความรู้สึกในเรื่องอะไรมากมายนั้นก็เพราะว่าเราคิดในเรื่องนั้นบ่อยๆ เราทำในเรื่องนั้นบ่อยๆ จิตใจมันก็ไหลไปกับความคิดนึกนั้นๆ อันนี้เรียกว่าเราสร้างมันขึ้นมา สร้างสิ่งไม่ถูกต้องขึ้นมาในใจของเรา เราก็มีแต่สิ่งที่ไม่ถูกต้องเพิ่มพูนมากขึ้น
อันนี้เมื่อมันมีมากขึ้นท่านก็สอนว่าให้ละมันเสีย ละไอ้สิ่งที่เราเอามาไว้ด้วยความหลงผิด ไม่ให้เกาะจับอยู่ในใจของเราต่อไป เรียกว่าเป็นการละ คล้ายๆกับเรา ซักผ้า ทำไมเราจึงต้องซักผ้าเพราะว่ามันเปื้อน ไม่เปื้อนอย่างอื่นก็มันเปื้อนเหงื่อของเราเอง เพราะว่าเรามีเหงื่อออกอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเป็นฤดูร้อนอย่างนี้ด้วยแล้ว เหงื่อไหลไคลย้อย ซึมออกมาเรื่อย ผ้าเปื้อนเลย เปื้อนเหงื่อ แล้วก็ติดอยู่ที่กลิ่นผ้า เอามาดมดูก็รู้สึกรังเกียจ ความจริงมันของเราเองนั่นแหละ แต่ว่าเราไม่รู้ว่ามันมีสภาพอย่างไร พอดมเข้าก็รู้สึกไม่ชอบ เมื่อไม่ชอบก็ส่งเขาลงอ่างแช่น้ำ เอาแฟบใส่ลงไป เสื้อผ้านั้นก็ถูกฟอก มันก็สะอาด
เมื่อสะอาดก็เรียกว่าเราละสิ่งโสโครกออกจากเสื้อผ้าด้วยการซักฟอก ซักฟอกเสร็จแล้วเอาไปผึ่งแดด ผึ่งแดดแล้วเอามาใช้ได้ทันทีไหม ไม่ได้ มันยู่ยี่ ยุบยับ ไม่ค่อยจะเรียบร้อย ถ้าขืนสวมใส่ไป คนก็จะมองว่า ไอ้นี่คนมาจากบ้านนอก ไม่รู้จักรีดเสื้อรีดผ้า ไม่เรียบร้อย เราก็ต้องเอาไปรีด ลงแป้ง เพื่อให้มันได้รูปได้ทรงอะไรสักหน่อย แล้วเราก็สวมใส่ไปสู่ที่ชุมนุมจนได้ฉันใดในเรื่องตัวเราก็เหมือนกัน
เรามีสิ่งที่เผลอ (15.16) ประมาท ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นในใจของเรา แล้วเราหลงผิดว่าเราเป็นคนเก่งในเรื่องนั้นๆ เป็นคนที่มีความชำนาญในเรื่องนั้นเรื่องนี้ โดยไม่รู้ว่านั่นเป็นความพกพร่องในชีวิต เราก็ทำเรื่อยไป หนาขึ้นๆ ทีหลังมารู้สึกว่า (15.40) เอ๊ะ ไม่ได้การแล้ว ไอ้เรื่องนี้มันสร้างความยุ่ง สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆ เป็นเรื่องที่ไม่ควรเสียแล้ว
ทีนี้เราคิดละ ละก็คือว่าระวังใจ ไม่ให้คิดในเรื่องนั้น ระวังปาก ไม่ให้พูดในเรื่องนั้น ระวังการกระทำ ไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น เรื่องความระวังทั้งหลายทั้งปวงนั้น จุดมันอยู่ตรงไหน ก็มันอยู่ที่ใจนั่นแหละ เพราะใจเรานี้เป็นต้นเรื่องของอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง ใจเราเริ่มคิดก่อน จึงเริ่มพูดเริ่มทำ เริ่มเคลื่อนไหวร่างกาย วาจาอะไรขึ้นมา มันอยู่ที่ใจ ระวังก็คือระวังที่ใจของเรา ระวังความคิดของเรานั่นแหละ พูดง่ายๆว่าระวังความคิด ไม่ปล่อยให้คิดในเรื่องที่มันไม่เหมาะไม่ควร ระวังไม่ให้เกิดความคิดที่เขาเรียกว่าวิตก
วิตกมันมี ๓ อย่าง เรียกว่า กามวิตก คือคิดครุ่นไปในเรื่องกามารมณ์ วิหิงสาวิตก คิดในเรื่องเบียดเบียนคน เคียดแค้น พยาบาท ริษยา นี่พวกเดียวกัน อยู่ในเรื่องวิหิงสาคือคิดในเรื่องที่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน อีกเรื่องหนึ่งก็เรียกว่า พยาบาทวิตก คิดในเรื่องพยาบาท เรื่องโกรธ เรื่องแค้น เหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ดี วิตกอย่างนี้ไม่ดี กามวิตก วิหิงสาวิตก พยาบาทวิตก เป็นเรื่องไม่ดี
กามวิตกคือคิดในเรื่องกามารมณ์หมายความว่า ชอบมอง ชอบดูสิ่งสวยสิ่งงาม รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เขาเรียกว่ากามคุณ กามคุณแปลว่าสิ่งที่น่าใคร่ น่าพอใจของคนที่ยังขาดปัญญา ที่มีปัญญานั้น เขารู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร รู้ตามสภาพที่เป็นจริง เขาไม่ไปคิดหลงใหล มัวเมาในสิ่งเหล่านั้น ไม่เพลิดเพลินในสิ่งเหล่านั้น ถ้าเราไม่มีปัญญาเราก็ชอบมองสิ่งสวยสิ่งงาม ชอบดูดอกไม้สวยๆ งามๆ ไอ้ดูดอกไม้นี่ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ว่ามันก็เป็นปัจจัยให้เราไปติดความสวยความงาม แต่ว่าไปดูคนนี่ คนที่สวยๆ งามๆแม้ไม่สวยไม่งามเราก็อยากดู เพราะว่าการดูนั้นมันเป็นความสุขใจ สุขใจเพราะได้ดูรูปสวยๆงามๆ ได้ฟังเสียงเพราะๆ ได้กลิ่นหอมๆ ได้อาหารที่เราถูกปาก ได้สิ่งสัมผัสที่เราถูกใจ อันนี้ก็เรียกว่าทำให้เกิดความพอใจ
ความพอใจนี้ภาษาธรรมะเรียกว่าราคะ แปลว่าความกำหนัดยินดี เพลิดเพลินอยู่ในสิ่งนั้นๆเป็นราคะจริต คนที่มีราคะจริต ก็ชอบสวยชอบงาม ชอบตกแต่งอะไรต่างๆ แล้วถ้าว่าได้เห็นอะไร ก็ดูสิ่งนั้นไม่ได้ดูเพียงสักว่าผ่านไป แต่ว่าจ้องมองด้วยความพอใจ ใจที่จ้องมองนั้นก็หมายความว่ามันมีแต่ความรู้สึกเกิดขึ้นในใจของเรา เรียกว่ามีความราคะเกิดขึ้น พอใจในรูปนั้น คอยจ้อง คอยดูๆ ดูจนลับตา เรียกว่าเขาดู ไปไหนก็ดู เรื่อยไปจนกระทั่งเขาลับตาเราไปจึงจะหยุดดู แล้วก็หาอาหารใหม่ต่อไป คนมากๆก็มีให้ดูเยอะแยะ ดูมันเรื่อยไป ดูด้วยความตั้งอกตั้งใจ
อย่างนี้ก็เรียกว่า เราปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ ตามสิ่งแวดล้อมอันตรายๆเหมือนกวางที่มันลืมตัว ลืมว่านายพรานจ้องจะยิงอยู่ แล้วก็ติดตามตัวเมียเพลินไป ตูมเข้าให้ โดนยิงปรดๆๆ (20.09) แล้วก็ถึงแก่ความตาย กวางนั้นที่ตายก็เพราะว่าหลงตัวเมียแล้วก็ไม่ดูข้างทาง ไม่ระหวาดระแวงว่าจะมีนายพรานมาจ้องยิงตัว ก็เลยตาย
คนเรานี้ก็เหมือนกันถ้าเราหลงใหลเพลิดเพลินในรูป ในวัตถุอะไร เราดูเพลินไปใจเรามันก็ฉ่ำไปอยู่กับสิ่งนั้น ไปติดอยู่ในรูปนั้น ติดอยู่ในเสียง ติดอยู่ในกลิ่น ติดอยู่ในรส ในสัมผัสที่เราพอใจ ก็ทำให้เกิดความกังวลใจ เราลองคิดดูในสมัยคนหนุ่มๆ แก่แล้วไม่ค่อยเป็นไร มันพ้นมาแล้ว สมัยหนุ่มๆนี่ถ้าเราติดใจอะไร ใจก็ไปจดจ่ออยู่กับเรื่องนั้น อยู่บ้านก็คิดถึงไอ้สิ่งที่เราต้องการ จะดู จะฟัง ต้องการ สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์ใช้ เมื่อใจอยากก็ต้องไป เดินไป ไม่มีจักรยานก็เดินไป กลางคืนเดือนมืดก็เดินไป เดินไปถึงรั้วบ้าน ถึงรั้วบ้านแล้วไปทำเสียง เฮอะฮะ อะไรต่างๆ ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ยินเสียหน่อยแล้วเขาก็โผล่หน้ามา โผล่หน้ามาก็เห็นหน้ากันแล้ว พอแล้วจะได้กลับไปนอนได้ เขาเรียกว่าไม่เห็นหน้าเจ้ากินข้าวไม่ลง พอเห็นหน้าเจ้ากินข้าวหมดหม้อเลย
อันนี้มันนิสัยของคนหนุ่มที่กำลังเพลิดเพลินอยู่ในสิ่งนั้นๆ ไม่ว่าจะเพลินในรูป เพลินในเสียง เพลินในกลิ่น เพลินในรส ในสัมผัสอะไรก็ตาม มันก็ไหลไปตามอารมณ์เหล่านั้น ติดใจในสิ่งนั้น มัวเมาอยู่ในสิ่งนั้น ถูกมัดไว้ด้วยสิ่งนั้น ก็จะเป็นทาสของสิ่งนั้น ถ้าเราไปติดอยู่มันก็เป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น ครั้นต่อมาเมื่อเติบโตขึ้น อายุอานามค่อยมากขึ้น ชีวิตมันก็เปลี่ยนไป แต่ว่าบางคนก็ไม่ค่อยเปลี่ยน แก่แล้วก็ยังไม่เปลี่ยน ดังนั้นเราจึงเห็นว่าคนแก่ยังไปอาบ อบ นวดอยู่ ทำไมถึงต้องไปนอนในอ่างให้พวก อีหนูคราวลูกคนสุดท้องอาบให้ ดูมันสบายใจ ได้ให้เขาจับตรงนั้น จับตรงนี้ ช่วยนวด ช่วยอะไร ตัวก็เก็บเล็กเก็บน้อย นิดๆหน่อยๆไปตามเรื่อง เป็นความสบายใจแล้วก็อยู่นานเสียด้วยล่ะ
วันหนึ่งคราวหนึ่งไปนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพญาไท ไอ้ตึกที่เขาให้นอนมันอยู่สูง แล้วไอ้ตรงกัน มองตามหน้าต่างก็เห็นอาคารหลังหนึ่ง ไม่มีหน้าต่าง มีแต่ประตูเข้า นั่นเอ๊ะมันอะไรกัน ไอ้โรงหนังหรือโรงอะไร แต่ก็ดูว่า กลางวันไม่ค่อยมีคน แต่พอหัวค่ำค่อยๆมาๆๆ จอดเป็นแถวอัดแน่น ล้นมากข้างนอก แล้วจอดนานนะ ตี ๒ ก่อนถึงจะค่อยทยอย ออกไปๆ เรียกว่าจอดแล้วก็เข้าไปนาน เลยถามหมอว่าบ้านนี้เขาทำอะไร อาชีพอะไร หมอก็บอกว่านี่แหละโรงอาบอบนวด ว่าอย่างนั้น ทั้งอาบทั้งนวด อ้าวนั่นนะสิ เห็นคนมากันมากหนักหนา พวกขี้เมื่อยกันทั้งนั้นไม่ได้เรื่องอะไร มันไม่ใช่เมื่อยร่างกาย แต่ใจมันเมื่อย มันปวดใจก็ต้องไปให้ใครนวดเสียหน่อย ความจริงคนที่บ้านก็นวดได้ แต่ว่ามันไม่ดี ต้องไปหาคนอื่นนวดให้ เพราะคนที่บ้านมันอยู่กันนาน ชินหูชินตาเป็นยายแก่ไปแล้วก็นวดไม่ไหวแล้ว ก็เลยไปหาคนนวดใหม่มันเป็นอย่างนั้นแหละ
อันนี้เขาเรียกว่า ยังเป็นเด็ก เขาเรียกว่าคนแก่เป็นเด็ก เขาเรียกว่าเพลย์บอย ภาษาใหม่เขาเรียกว่าเพลย์บอย หรือเรียกว่าผู้ใหญ่ฮาร์ดเขาเรียกกัน เด็กฮาร์ดก็มี ผู้ใหญ่ฮาร์ดก็มีเหมือนกัน หมายความว่าจิตใจมันตกต่ำลงไป ก็ต้องไปหาความสนุกเพลิดเพลินแล้วก็จะถูกปอกกระเป๋า ถูกล้วงมากมาย พวกเด็กๆมันก็รู้นะว่าคนแก่มีสภาพจิตใจเป็นอย่างไร แล้วก็ขอนั่นขอนี่ ไม่ให้ก็ไม่ได้ มันเสียเหลี่ยมคนแก่ ก็ให้ก็จ่ายเงินมาก ทำให้เงินทองสิ้นเปลือง เกิดเป็นปัญหาต่อไปอีกหลายเรื่องหลายประการ เรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความหลงในรูป หลงในรส ในกลิ่น ในสัมผัสอะไรต่างๆ คนเราพอมีการครองเรือน มีลูกมีเต้าพอแล้ว ก็ควรจะนึกปลงๆวางๆไปเสีย ทำให้จิตใจว่างๆจากอารมณ์เหล่านั้น
ท่านมหาตมะคานธี นี่ เรียกว่าเป็นบุคคลตัวอย่าง ตัวท่านแต่งงาน ความจริงท่านแต่งงานเมื่อเด็ก คือธรรมเนียมอินเดียเขาอย่างนั้น เขากลัวอิสลามจะมาฉุดสาวเขาไป เพราะอิสลามนี่เขาชอบฉุดเด็กสาวเอาไปเพื่อให้เป็นสมาชิกของเขา แต่ว่าถ้าแต่งงานแล้วเขาไม่เอา คนอินเดียก็เลยหาวิธีป้องกัน แต่งงานตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ ๙ ขวบ ทำพิธีใหญ่โตเหมือนกัน ทำพิธีแต่งงาน ถ้าแต่งงานแล้ว พวกมุสลิมก็ยังเคารพกติกาอยู่หน่อย คือไม่ฉุด ไม่ฆ่าแล้ว ไม่ลักแล้ว แต่งงานแล้ว ก็เลยแต่งกันตั้งแต่เด็กๆ เรื่อยมา คานทีแกก็แต่งงานเมื่อเด็กๆ แต่งแล้วก็พ่อ แม่ เอามาเลี้ยงไว้ในบ้าน ไม่ได้ยุ่งอะไรกันหรอก มันไม่ประสีประสาอะไร
จนกระทั่งอายุบรรลุนิติภาวะก็อีกทีหนึ่ง แต่งงานอีกทีหนึ่ง แล้วก็จดทะเบียนอะไรกันเรียบร้อย คู่ครองอยู่กัน ก็มีลูกมีเต้า ๒-๓ คน พอมีลูก ๒-๓ คน ท่านก็บอกแม่บ้านว่าต่อไปนี้นะ เราอยู่กันฉันท์เพื่อนฉันท์พี่น้อง จะไม่ยุ่งในเรื่องกามารมณ์กันอีกต่อไป ฉันจะพระพฤติพรหมจรรย์แต่ว่าอยู่ในบ้าน ไม่ออกไปเป็นฤๅษีชีเปลือยที่ไหน เพราะฉันอยากทำงานเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองของฉัน แม่บ้านก็ยินยอมพร้อมใจตกลงกันเพราะว่าเขามีความเชื่อตรงกัน มีศีลตรงกัน มีปัญญาเท่าเทียมกัน มีความเสียสละเหมือนกัน ก็ตกลงกันอยู่อย่างนั้น ท่านก็อยู่อย่างผู้ประพฤติพรหมจรรย์ตลอดเวลา ทำหน้าที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ ต่อสู้เพื่อให้อินเดียได้รับอิสรภาพจนกระทั่งถึงแก่กรรมไป
นี่ก็เป็นชีวิตตัวอย่างที่ประพฤติอย่างนั้น คนในสมัยโบราณนี่เขาก็พยายามประพฤติตนในเรื่องที่ว่าไม่คลุกคลีกับเรื่องอย่างนี้มากเกินไป เขามีกติกาหลายเรื่อง งดเว้นหลายวัน วันพระ วันครู วันเกิดตัว วันเกิดภรรยา วันเกิด ตาย พ่อแม่ วันตายคนนั้น อู้ย เรื่องมาก เอามามัดตัวทั้งนั้น มัดตัวไม่ให้ไหลไปในทางกามารมณ์หรือความอยาก ความปรารถนา คนโบราณนี่เขาใส่บังเหียนตัวเอง เพื่อบังคับตัวเองให้จิตใจมันสูงขึ้นประณีตขึ้น เขาจึงทำอย่างนั้น แต่คนเราสมัยปัจจุบันนี้ กลับปลดเอาบังเหียนออกจากตัว ให้มันอิสระ จะได้เป็นทาส (27.56) โดยไม่มีอะไรขัดคอ จะได้ไหลไปง่ายๆ มันเปลี่ยนไปในสภาพอย่างนั้น ปัญหาในสังคมจึงเกิดขึ้นมาก ทำให้มีปัญหากันด้วยประการต่างๆ
เมื่อไม่กี่วันมานี้ พ่อบ้านมาคนหนึ่ง มาถึงก็นั่งเลยผมแย่แล้วหลวงพ่อ ช่วยผมหน่อย อย่าให้ผมเป็นบ้าเสียเลย อ้าว อะไร เรื่องอะไรค่อยพูดค่อยจา อย่าเป็นบ้าก่อน นั่งให้เรียบร้อย คุยกันก่อนๆ แล้วมันเป็นเวลาที่กำลังจะออกไปเสียด้วย เลยบอกว่าย่อๆก่อน มีเรื่องอะไร บอกว่าผมมีปัญหายืดยาว แต่ว่าจะเล่าสั้นๆ คือว่าปัญหาในครอบครัว แม่บ้านของผมนี่เขาทิ้งผมไป ทิ้งไปแล้ว ไปอยู่กับคนอื่น ผมก็ไม่ว่าอะไรเขา มีลูกผมก็เลี้ยงมันอย่างดี เอาใจใส่เลี้ยงดูลูก จนกระทั่งลูกก็เติบโตเขาจบการศึกษา ได้ทำงานทำการก็อยู่กันด้วยความสุข เวลารับประทานอาหารก็รับประทานพร้อมกัน ลูกๆก็คุยกับคุณพ่อ ก็จ๋อแจ๋กันไปตามเรื่อง มีความสุขมากในครอบครัว ผมก็ทำงานทำการไปตามหน้าที่ในฐานะเป็นพ่อว่าวิ่งเต้น ค้าขาย มีความสบายทุกอย่าง
แล้วมันอะไรเกิดขึ้นไม่สบาย คือว่าแม่บ้านของผมมันกลับมาอีก มันกลับมา ไอ้ผมจะไม่รับก็ดูจะเป็นคนใจจืดเกินไป รับให้เขามาอยู่ ไม่ได้รังเกียจรังงอน ไม่พูดเรื่องเก่าเรื่องแก่อะไรทั้งหมด ให้มาอยู่ เพราะเห็นแก่ลูก ลูกจะได้สบายใจว่ามีคุณแม่มาอยู่ด้วย ความจริงนั้น แม่นี่ไม่ค่อยมาหาลูกเลย พ่อทำหน้าที่เลี้ยงคนเดียว แม่ไม่เคยมาเอาใจใส่ ไม่เคยมาเยี่ยมมาถามอะไรแม้แต่น้อย แต่พอถึงคราวที่ตกอับ ก็อย่างนั้นนะ กลับมาหาสามีเก่า แกก็รับไว้ให้อยู่ในบ้านอย่างเรียบร้อย พอมาอยู่ในบ้านเข้า อ้าว ชักจะเกิดเรื่องแล้ว ลูกๆนี่กลับห่างแก เวลากินข้าวก็ไม่กินพร้อมกัน ถ้ากินพร้อมกันก็ไม่คุยด้วยกับคุณพ่อ นั่งกินเฉย เงียบเฉย อะไรต่างๆนาๆ เรียกว่ามันเป็นปัญหาเสียแล้ว แล้วก็ผมจะไปทำงานก็ไม่ได้ ลูกไม่ยอมให้ไปทำงาน ผมอายุเพียง ๔๙ เท่านั้น มันยังแข็งแรง ยังทำงานได้ ถ้าให้ผมนั่งอยู่ในบ้านผมจะเป็นบ้าตาย เพราะว่าผมทำงานแล้วมันสบายใจ เขาไม่ยอมให้ไปทำงาน ถ้าไปทำงานแล้วเขาจะไม่อยู่บ้านนี้ จะไปเช่าทาวน์เฮ้าอยู่ ปล่อยให้พ่ออยู่คนเดียว เอ๊ะ ไอ้อย่างนั้นผมก็รักลูกไม่อยากให้ลูกต้องลำบาก แต่ว่าถ้าผมไม่ทำงาน ผมก็กลุ้มใจอีกเหมือนกัน สภาพจิตใจมันก็เสื่อมโทรมแล้วจะทำอย่างไรดีหลวงพ่อ
เลยบอกว่า เอ๊ะ ปัญหานี้คงจะเกิดจากแม่บ้าน เพราะว่าแม่บ้านนี่ไปเสียนาน ทีนี้เมื่อไปเสียนานกลับมาก็จ้องหาเรื่องให้ลูกรักตัว ทีนี้การจะหาเรื่องให้ลูกรักตัว ก็ให้เกลียดอีกคนหนึ่งเสีย จะได้มารักตัว ก็เป่าหู พูดจากับลูกอย่างนั้น อย่างนี้ พ่อเจ้าเป็นอย่างนั้น พ่อเจ้าเป็นอย่างนี้ ยุแยงตะแคงรั่ว เรียกว่ายุแยงตะแคงรั่วให้ลูกเกิดความลำเอียงทางจิตใจ แล้วหันมาเห็นว่าพ่อนี่ไม่ดี เอ๊ะไม่เคยทำอะไร บอกผมไม่เคยทำความเสียหายในชีวิต ผมเลี้ยงลูกมาอย่างดี รักลูกเพราะไม่มีแม่ก็ต้องเลี้ยงเขาด้วยความตั้งอกตั้งใจ เดี๋ยวนี้เขาดึงลูกไป แล้วแบบทำให้ผมไม่สบาย อันนี้บอกว่า ผมไปทำงานก็ไปไม่ได้ เพราะอะไร เงินเบิกไม่ได้ อ้าวทำไม ผมไปบอกธนาคารไว้เซ็น ๒ คนไว้ อ้าวบอกทำไม มันไม่สมควร เราทำไมเสียท่าเขาอย่างนั้น เขาบอกว่ามาอยู่ด้วยกันแล้วก็จะร่วมกินร่วมใช้กันต่อไป มันก็ต้องเซ็นอะไรร่วมกัน อ้าว เช็คเซ็น เช็คจ่ายต้อง ๒ คน ทีนี้แกจะไปเบิกคนเดียวก็ไม่ได้ แล้วแกจะเบิก แม่บ้านก็ไม่ยอมให้ไปเบิก ขัดข้องอย่างนั้น หลบไปเสียบ้าง อะไรไปเสียบ้าง เรียกว่าทำสงครามจิตวิทยากับแกตลอดเวลา ทำให้เกิดความรำคาญใจ
เลยบอกว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องไปทำงาน มาอยู่วัดเลยก็แล้วกัน มาอยู่วัด เอ๊ะ ผมมาอยู่วัดได้อย่างไร อ่าวเป็นอะไรไป มาอยู่ได้ มานอนวัดนี่ แล้วให้ผมทำอะไรบ้าง กวาดขยะก็ได้ ใบไม้เยอะแยะเลย เดี๋ยวคนที่เขาทำงานอยู่ก่อน ก็จะหาว่าผมมาแย่งงานเขาอีก เขาไม่ว่า เพราะไม่มีเงินเดือน ให้ทำฟรี เรียกว่าทำด้วยความเสียสละ ไม้กวาดมีก็ลุกขึ้นกวาดขยะไป อะไรไป ถ้าเหนื่อยแล้วก็นั่งตามใต้ต้นไผ่ สงบจิตสงบใจ มาอยู่วัด ลูกมันจะได้มา ถ้าลูกมาแล้ว มาหาหลวงพ่อ พามาด้วย จะได้ไปสอนลูกให้รู้จักพระคุณของพ่อ แล้วก็ให้รักพ่อให้มากเพราะพ่อรักลูกมาก ให้รักพ่อให้มากขึ้น อย่าทำให้พ่อลำบากเดือดร้อน อย่าไปคิดเอาชนะพ่อ ถ้าเราทำอย่างนั้นกลายเป็นลูกอกตัญญู ไม่รู้จักบุญคุณของพ่อ มันก็จะเสื่อม ชีวิตก็จะตกต่ำ ไม่เจริญ
บอกว่าพาลูกมาได้ไหม โอย เขาไม่มา เรื่องมาวัด เขาก็ไหว้พระทุกคืนนะ แต่ก็ไหว้จุดธูป จุดเทียนตามธรรมเนียม ไหว้แต่เขาก็ไม่ค่อยสนใจอะไร ธรรมะธัมโมก็ไม่ค่อยสนใจ บอกเอาหนังสือไปให้เขาอ่านบ้างไม่ได้หรือ เขาคงไม่อ่านกระมัง เขามีแต่ไหว้ นี่เข้าแบบที่เขาเขียนไว้ที่โรงหนังไชยา
คนทุกวันนี้ดีแต่ไหว้ พอบอกให้ประพฤติธรรมมือกำหูไม่เอาแล้ว มือกำหูเสียนี่ พอพูดธรรมะเอามือปิดหูปิดตาไม่เอาด้วย เอาแต่จะไหว้อย่างเดียว เป็นอย่างนั้น ไหว้เพื่ออะไร ไหว้ขอพร ขอให้ร่ำให้รวย ถูกหวย ถูกเบอร์ ให้ได้ลาภ ได้ผลอะไรต่างๆ ไปไหว้อย่างนั้น ไม่ได้ไหว้เพื่อทำใจให้สงบ ไม่ได้ไหว้เพราะรู้จักพระถูกต้อง แต่ไปไหว้นึกว่าพระนี่จะดลบันดาลให้ตนได้อะไรต่างๆนาๆ ซึ่งมันไม่ถูกต้องนะ พูดตรงไป ตรงมาว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ก็เข้าถึงในรูปอย่างนั้น ก็เข้าถึงเปลือกนอกของพระไม่เข้าถึงเนื้อแท้ของพระ จึงทำให้เกิดเป็นปัญหาในเรื่องอย่างนี้อยู่ อันนี้มีบ่อย
ครอบครัวต่างๆมักจะมีปัญหาคือความบกพร่องนั่นแหละ คือไม่ประพฤติธรรมกันก็เกิดเป็นปัญหาขึ้น พ่อบ้านมีปัญหาบ้าง แม่บ้านมีปัญหา ลูกมีปัญหา บางทีก็เอา เดือดร้อนเรื่องลูกว่าไม่นอน สอนไม่ฟัง ไม่เชื่อ ไม่ฟัง ไม่ทำตาม ก็จะเอาแต่ใจตัว อันนี้ไม่ใช่พ่อ แม่ เออ ไม่ใช่ลูกผิด แต่พ่อ แม่ผิด เพราะตามใจเด็กเสียจนเหลิง จนกระทั่งมันได้ใจ เป็นความผิดมาตั้งแต่เริ่มต้น ที่เราไม่สอน ก็ไม่ประพฤติธรรมนั่นแหละ ไม่เอาหลักธรรมไปใช้ในการเป็นพ่อเป็นแม่ แต่ว่าเอากิเลสเข้าไปใช้ เอาความรักที่มันล้นเข้าไปใช้ เลยทำให้เกิดปัญหาด้วยประการต่างๆ นี่คือตัวอย่างชีวิตที่ทำให้เราเห็นว่าอะไรมันเป็นอะไรขึ้น ในสภาพอย่างนี้จึงเกิดเป็นปัญหา
เมื่อวานนี้ก็ไปแสดงธรรมมาสดๆ ก่อนแสดงธรรมเขาเอาหนังสือมาให้อ่าน อ่านคำอะไร อ่านอะไรต่ออะไรนี่อาตมา มันตื้นตันใจ เวลาอ่านไปแล้วใจมันตื้นตัน ตื้นตันใจเพราะว่าเขาเขียนแต่ละคำพูด ที่เขียนลงไปในคำไว้อาลัย เป็นคำพูดมันออกมาจากใจเขาจริงๆ อ่านแล้วมันไม่ค่อย ไม่ค่อยสบายใจ ตื้นตัน อาตมานี่มันเป็นอย่างนี้ (36.16) ถ้าพูดถึงเรื่องความดีอะไรของคนอื่นแล้วพูดไม่ค่อยได้ พูดๆไปแล้วมันแน่นหน้าอกขึ้นมา ตันๆ ใจจะต้องหยุดหายใจเสียหน่อยแล้วค่อยพูดต่อไป เป็นอย่างนี้ ไอ้โรคนี้มันเป็นของมันเองตามธรรมชาติไปอย่างนั้น ความรู้สึกมันเป็นอย่างนี้
คือไปงานเผาศพคุณหมอคนหนึ่งชื่อหมอพีร์ คำทอน เป็นหมอที่ดีมาก รักประชาชน รักหน้าที่ ซื่อสัตย์ สุจริต พอเรียนจบการแพทย์แล้วก็ไปนู่น เขาส่งไปอยู่จังหวัดสุรินทร์ เป็นแพทย์ที่นั่น แกก็ทำหน้าที่อย่างดี แกเป็นพวกสูตินารีเวช ทำหน้าที่ไป แต่บางทีมันก็ต้องมีผ่าตัดบ้าง แกไม่ได้เรียนทางศัลยกรรม ก็เลยต้องไปอาศัยแพทย์รุ่นพี่ แกก็เอ่ยชื่อแพทย์รุ่นพี่ไว้ว่าคนใดช่วยเหลือแกบ้าง แกก็ไปศึกษา สนใจหาความรู้เพิ่มเติม จากการปฏิบัติ จากการร่วมงานกับเพื่อนแพทย์ด้วยกัน จนสามารถช่วยตัวเองได้ เมื่อมีปัญหาในการสูตินารีเวชขึ้นมา แกก็ช่วยตัวเองได้ ทำงานด้วยความตั้งใจ ถ้าจบงานที่โรงพยาบาลแล้วก็เอารถจิ๊บคันน้อย ควบปุเรงๆไปในทุ่งในนา ไปเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ไปถามสารทุกข์สุกดิบช่วยเหลือเขา เรียกว่าทำหน้าที่แพทย์ชนบทอย่างดี คนรักคนชอบใจ แล้วก็ไม่ค่อยเห็นแก่ปัจจัย ลาภผลอะไร เห็นแก่งาน ไม่เห็นแก่เงิน เข้าหลักว่างานคือชีวิต ชีวิตคืองานอย่างแท้จริงก็ว่าได้ ก็ทำหน้าที่อยู่นั่น
ต่อมาก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านโป่ง เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านโป่ง มาอยู่นั่นก็สร้างความเจริญให้เกิดขึ้น ชาวบ้านได้ไปเห็น ก็พบหมอก็สบายใจ เพราะเป็นหมอที่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เอ็นดูคนไข้ เห็นคนไข้ก็เหมือนกัน ไม่ว่าคนไข้มั่งมี คนไข้ยากจน คนไข้อะไรแกก็ถือว่าเป็นคนไข้ แล้วก็ปฏิบัติต่อคนไข้เหล่านั้นด้วยความเป็นธรรม ไม่ปฏิบัติแบบมีอคติ คนนี้มั่งมีต้องให้ก่อน คนนี้ยากจนต้องให้ทีหลัง คนมั่งมีต้องเอาใจหน่อย คนยากจนทำชุ่ยๆ ไปก็ได้ ไม่อย่างนั้น ทำดีจริงๆ เอาใจใส่ในหน้าที่จริงๆ จนเป็นที่พอใจของทุกคน คนงานในโรงพยาบาล นางพยาบาลอะไรก็สบายใจ ได้ (39.01) แล้วก็สบายใจ เรียกว่าอาจารย์กันทั้งหมด คือทำตนที่เป็นอาจารย์ เป็นครู เป็นผู้เลี้ยงแก่คนเหล่านั้น ทุกคนก็สบายใจ มีปัญหาอะไรไปถามก็ได้รับคำอธิบายอย่างยืดยาวทำความเข้าใจแจ่มแจ้งให้ ไม่เบื่อหน่ายในการที่จะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ เป็นความสุขแก่คนอื่น นี่น้ำใจเป็นอย่างนั้น
ก็อยู่มาถึง ๑๔ ปี สร้างกิจการบ้านโป่งให้เจริญก้าวหน้าพอสมควรตามหน้าที่ แล้วก็เป็นผู้ค้นพบโรคชนิดใหม่ ที่เกิดจากฝุ่นอ้อย ฝุ่นอ้อยตอนนั้นมันมีโรงงานหีบอ้อยเยอะแยะ ทีนี้คนมันเป็นโรค เป็นโรคมาให้รักษา แกก็ศึกษาค้นคว้า เรียกว่าเป็นหมอคนแรกที่ค้นพบโรคนี้ขึ้นที่เกิดจากละอองอ้อยนี่ ละอองโรงงานอะไรต่างๆนี่ แล้วก็เป็นแล้วตาย เป็นกันตาย แกก็เอ๊ะ มันตายไปหลายคนแล้ว เลยต้องศึกษาค้นคว้า วิจัย ประสบพบว่าอ้อ มีโรคชนิดนี้ ตั้งชื่อใหม่ แพทย์ทั้งหลายก็ได้รู้ได้เข้าใจ
ต่อมาก็ทางกระทรวงสาธารณะสุขเห็นว่าโรงพยาบาลร้อยเอ็ดมีปัญหามาก คือมีการคอรัปชั่น เรื่องหลายเรื่องหลายประการ สะสมมานานแล้ว ไม่มีใครจะไปกวาดไปล้างกันเสียทีหนึ่ง ก็เลยส่งหมอใจซื่อมือสะอาดคนนี้ไป ก็เหมือนกับว่าส่งให้ไปตาย เพราะว่าไปอยู่ที่นั่นไม่ถึง ๑๐ เดือน แกก็ไปเพื่อทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไอ้คนที่เคยทุจริต มันก็ไม่ชอบ เพราะมันเสียประโยชน์ที่ตนจะพึงมีพึงได้ จากเรื่องคนไข้ จากเรื่องหยูกเรื่องยา จากอะไรต่าง มันมีการโกงกันอะไรกัน กินกันไปเรื่อยๆ หลายเรื่องหลายประการ ไนโรงพยาบาลนี่ก็เรียกว่ามีหลายเรื่องที่จะกินได้ ค่าอาหาร ค่านู้น ค่านี้มันได้ทั้งนั้นแหละ แกก็ไปอยู่ ก็กวดขัน ความจริงไม่ต้องการจะไปรื้อเรื่องเก่าเขาหรอก ใครทำชั่ว ทำสกปรกไว้ตรงไหนก็อย่าไปยุ่ง (41.19) จัดใหม่ให้มันก้าวหน้าต่อไปในเรื่องใหม่ แกก็ทำเรื่องสะอาด อะไรต่ออะไรมากขึ้น ทุกสิ่งทุกประการดีขึ้น
คนที่เคยทำผิด เสียวสันหลัง คนทำผิดนี่มันกลัวคนทำถูก คนสกปรกนี่มันกลัวความสะอาด สัตว์อันใดชอบที่มืดมันก็ไม่ชอบแสงสว่าง อันนี่เป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็เห็นว่าหมอพีร์ นี่มันขวางเสียแล้ว มาอยู่นี่ขวางเสียแล้ว ขวางให้เราไม่สะดวกในการที่จะกิน จะโกงอะไรกัน เลยจัดการอย่างไร ก็ยิงทิ้งเสียเท่านั้นเอง หมอคนนี้ก็ตายไปโดยไม่ได้เรื่องราวอะไร ตายไปแล้ว แต่ว่าตำรวจเขาก็จับคนยิงได้เหมือนกัน ซักทอดว่าเขาจ้างมา อ้าว ไอ้คนจ้างมันก็หายตัวไปเสียแล้ว ยังตามไม่เจอ ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน นี่มันเป็นอย่างนี้
หมอก็เลยตายไป ตายไปแล้วก็ต้องเอามาทำศพกันไปตามเรื่อง เผาเมื่อวานนี้ คนก็ไปกันมาก เขาก็ต้องการให้อาตมาไปเทศน์ ความจริงอาตมาเทศน์ ๓๐ นาทีแต่ไปถึงก่อนเวลา พอไปถึงนั่ง ก็มีคนหนึ่งขึ้นไปเปิดให้ปาฐกถา ก็ปาถาเป็นเวลา ๔๕ นาที ก็พูดยกย่องชีวิตของท่านผู้นี้ ว่าเป็นคนดี คนเรียบร้อยอย่างไร กระทรวงนี่เขาต้องการให้คนดีไปล้างของสกปรก แต่ว่าไม่ช่วยเหลือในเรื่องอื่น ไม่ป้องกันคนดี ไม่ให้อะไรที่จะทำให้คนดีมีโอกาสทำงานได้ ส่งไปแล้วก็แล้วไป เลยต้องถูกชำระ ถึงแก่กรรมไป
โรงพยาบาลนั้นก็ยังไม่ก้าวหน้า ครอบครัวหมอพีร์ก็ต้องเดือดร้อน เพราะขาดพ่อบ้าน กระทรวงสาธารณะสุขขาดหมอดีไป ประเทศชาติก็ขาดหมอที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน เพราะเป็นหมอชนบทที่รักงานอย่างแท้จริง สูญเสียไป หลายสิ่งหลายประการที่ต้องสูญเสียไปมากมาย เป็นเรื่องที่เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง แก่วงการแพทย์ก็ว่าได้ แล้วก็เมื่อวานนี้มีรัฐมนตรีช่วยฯสาธารณะสุขคุณอะไร ไชยนันทน์ มาคนหนึ่ง คุณหมอเสม พริ้งพวงแก้วกับท่านปลัดกระทรวงก็นั่งฟังอยู่ ก็เลยบอกว่าที่กระทรวงสาธารณะสุขนี่ไม่ค่อยนิมนต์พระไปแสดงธรรม สมัยหมอเสมอยู่นี่แกนิมนต์บ่อยๆ นิมนต์ไปฟังแล้วแกไปฟังด้วย สมัยคุณพระ (44.03) อยู่นี่ก็นิมนต์พระไปเทศน์บ่อยๆ คุณพระแกก็ฟังด้วย
อันนี้คนได้ยินธรรมะไว้บ้าง พอจะเป็นเครื่องสะกิด สะเกาให้เกิดความละอายบาป กลัวบาป เดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยได้เข้าใกล้พระ ไม่ได้ฟังเสียงพระ จึงยุ่งขึ้นมามากมาย ควรจะคิดแก้ปัญหานี้ ด้วยการทำคนที่เป็นแพทย์ เป็นหมอให้เข้าถึงธรรมะไว้ด้วย อย่าเป็นหมอรักษาคนไข้อย่างเดียว แต่ว่าเป็นหมอรักษาตัวเองด้วย อย่าให้จิตใจตกต่ำไปติดอยู่วัตถุมากเกินไปจะเกิดเป็นปัญหา
หมอแกก็เขียนไว้ดีเหมือนกัน แกว่าในโรงเรียนแพทย์นี่อาจารย์บางคนนี่กระทำสิ่งที่ไม่เหมาะเป็นตัวอย่างแก่นายแพทย์ที่ (44.55) แล้วเอาไปใช้ต่อไป คือทำตัวอย่างในทางไม่ดีก็คือว่า มีเรื่องอะไรต่ออะไรกัน เรื่องเงิน เรื่องทองอะไรต่ออะไรกัน ก็ทำเป็นตัวอย่างแก่ลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็จำแบบไปใช้ ทำให้เกิดความเสียหาย แกบันทึกไว้ ในบันทึกประจำวันก็เรียกว่า ขุดคุ้ยสิ่งที่มันไม่สะอาดเป็นคนรักความสะอาด รักความเป็นระเบียบ รักงานอย่างแท้จริง ตายไปก็เสียดาย เสียดายคนคนนี้
อาตมาอ่านประวัติแล้วน่าเสียดายมาก ควรจะอยู่ต่อไปอีกสักหน่อย ๕๔ ปีเท่านั้นตาย ควรจะอยู่ได้อีก ๖ ปี ถ้าจะต่อได้ก็ต่ออีกสัก ๒ ปีได้ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเป็นคนดีมีคุณค่า ต่อให้ได้ แต่ว่าต่อไม่ได้เพราะมัจจุราชมาแย่งเราไปเสียก่อน เอาไปเป็นแพทย์ในยมโลกเสียแล้ว ในมนุษย์ก็ขาดแพทย์ที่ดีไป เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เอามาเล่าให้ญาติโยมฟังไว้ด้วย นี่ก็ต้องไปอัดเสียงอีกสักชั่วโมงหนึ่ง แต่หมอๆเขาขอว่าให้หลวงพ่อเทศน์ใหม่ เทศน์สักชั่วโมงให้เต็มเทปแล้วจะเอาเทปนี่ไปขายกับหมอเพื่อเอาเงินมาช่วยครอบครัว หมอต่อไป เพราะว่าหมอนี่มีลูก ๓ คน หญิง ๒ ชาย ๑ ลูกชายคนเล็กอายุ ๑๔ ปี นอกนั้น ๒๐ กับ ๑๙ อะไรอย่างนั้น เรียกว่า (46.23) แล้วก็ครอบครัวก็คงจะลำบาก เพราะว่าหมอไม่ใช่หาเงินหาทองไว้ ทำแต่งานทำหน้าที่
เมื่ออยู่บ้างโป่งนั้นแกได้รับรางวัลเป็นเงินก้อนหนึ่ง เมื่อได้รับรางวัลมาแล้ว แกก็ไม่เอามาใช้ มอบให้แกโรงพยาบาลตั้งเป็นทุนไว้สำหรับสงเคราะห์คนงานในโรง พยาบาลที่เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือว่ามีปัญหาทางครอบครัวจะได้เอาเงินนี้ไปช่วยแบ่ง เบาภาระความทุกข์ ความเดือดร้อน พวกคณะแพทย์ นางพยาบาล (46.59) ตั้งชื่อพีร์มูลนิธิเป็นชื่อได้ไหม ไม่ได้ๆ อย่าไปตั้งชื่อฉัน ฉันไม่อยากนำชื่อฉันไปใช้ในเรื่องอย่างนั้น ให้มันเป็นทุนไว้ก็แล้วกัน ทุนโรงพยาบาลบ้านโป่งอะไรก็ว่าไปตามเรื่อง ไม่ต้องเป็นทุนของฉัน ฉันไม่ได้ต้องการชื่อเสียงอย่างนั้นอะไร ฉันต้องการให้เงินนี้มันเป็นประโยชน์แก่พวกท่านทั้งหลาย เอาไว้ใช้กันก็แล้วกัน พอเขาย้ายแกไปร้อยเอ็ดพวกนั้นก็เอาชื่อตั้งจนได้ เรียกว่าพีร์มูลนิธิ ตั้งให้เป็นชื่อไว้ ก็เป็นอนุสรณ์ พอแกไปร้อยเอ็ดแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก ก็เลยตั้งไว้เป็นที่ระลึกในรูปอย่างนั้น
ระหว่างนี้พอเทศน์จบแล้วได้ยินเสียงเขาประกาศว่ากระทรวงการสาธารณะสุขได้ให้เงินช่วยเหลือเจ้าภาพ ๑๕๐,๐๐๐ บาท อาตมาได้ยินแล้วก็นึกว่ามันน้อยไป เงินที่ให้นั่นมันน้อยไป กระทรวงสาธารณะสุขควรจะเข้าไปช่วยเหลือครอบครัว ในเรื่องอื่น เช่นช่วยให้ทุนการศึกษาแก่ลูกจนกระทั่งจบการศึกษา ถ้าเด็กมันศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยก็ช่วยมันต่อไป ให้เข้ามหาวิทยาลัย ถ้าจะเรียนแพทย์ก็ช่วยให้ได้เรียนแพทย์ เพื่อทำหน้าที่แพทย์แทนพ่อต่อไป ช่วยให้มันลึกซึ้งกว่านั้น ไม่ใช่ช่วยในงานศพเพียงเท่านั้น ช่วยแล้วก็ละลายหายสูญไป ต้องช่วยอย่างชนิดถาวร จึงจะเกิดประโยชน์
แต่ว่าพวกแพทย์ชนบททั้งหลายเขาก็คิดกันจะตั้งมูลนิธิขึ้นไว้ เพื่อเอาเงินช่วย เหลือเด็กที่เป็นลูกหมอต่อไป อันนี้เป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนาในน้ำใจของแพทย์ชนบททั้งหลายที่ออกไป คนเราเรียนหมอนี่ ที่จะไปในชนบทมันก็น้อย อยากอยู่เมืองใหญ่ๆ เมืองใหญ่นี้มันมีทางที่จะหาเงินได้คล่อง จะได้ร่ำรวยไวๆ แต่มีหมอไม่น้อยเหมือนกันที่มีน้ำใจเสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของคนเจ็บไข้ได้ป่วยโดยเฉพาะในชนบท พอเรียนจบแล้วก็ขออาสาไปอยู่ในชนบท ไปอยู่ตามโรงพยาบาลอำเภอตามที่ต่างๆ ไม่มีโอกาสที่จะหารายได้อะไรหรอก แต่เขาไปด้วยน้ำใจ เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์แล้วหมอที่ไปอย่างนี้ไม่ต้องกลัวอันตราย แม้ไปอยู่ที่ถิ่นที่เรียกว่าพื้นที่สีชมพู สีแดง ไม่มีใครทำร้ายหมอ หมออย่างนี้ไม่มีใครทำร้าย
มีคนหนึ่งนามสกุล ณ ระนอง หมอธราดล ณ ระนอง เอามาเผาที่นี่ เผาพอออกแล้ว เขาบอกว่าไอ้ที่โรงพยาบาลที่อำเภอ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอนี้มันอยู่ในป่าในดงแล้วก็มีพวกผู้ก่อการร้าย หมอก็บอกว่าผมอาสาที่จะไปอยู่ที่อำเภอนั้นเอง เพราะผมมันเป็นชาวใต้ ผมไปอยู่ได้ เขาก็ส่งไปอยู่ แกก็ทำหน้าที่หมออย่างดี ช่วยเหลือความเจ็บไข้ได้ป่วยของประชาชน ประชาชนรักใคร่ไม่อยากให้หมอไปไหนเสียแล้ว แล้วก็อยู่กันด้วยความสุขความสบาย หมอไปไหนก็ไปคนเดียว หิ้วกระเป๋ายาไป ไม่ต้องพกปืน ไม่มีตำรวจต้องตามหลัง ความดีมันคุ้มครองมากกว่าปืนเสียด้วยซ้ำไป ไอ้คนพกปืนแสดงว่าไม่ไว้ใจคุณธรรม แต่ถ้ามีคุณธรรมล่ะ เอาธรรมะไปดีกว่า คนมันไม่ทำร้ายหรอก แกก็ไปได้มาได้ แต่ว่าคนไม่ทำร้าย โรคทำร้าย ทำร้ายหมอคนนี้ โรคร้ายแรงเสียด้วย คือเป็นมะเร็งในโลหิต มันเป็นโรค (50.58) แล้วก็ส่งไปโรงพยาบาลสุราษฯก็ไม่มีทางจะช่วยเหลือได้ แล้วก็ผลสุดส่งมาโรงพยาบาลศิริราช ก็ไม่มีทางที่จะช่วยเหลือ โรคมันหนักแรง หมอก็เลยถึงแก่กรรมไป
นี่เขาเรียกว่าไม่ถูกมนุษย์ทำร้ายแต่ถูกโรคทำร้าย ก็เสียดายเหมือนกันว่าหมอที่มีความตั้งใจอย่างนี้ และอยู่เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ประชาชน ต้องมาถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนถึงแก่กรรมไป เมื่อวานนี้คุณพ่อของหมอธราดลก็มา เผาศพหมอพีร์ด้วยเหมือนกัน เมื่อวานนี้ มาด้วยเหมือนกัน แล้วแกบอกว่าหมอพีร์นี่ ลูกผมเคยทำงานร่วมกันหมอพีร์ แล้วคงถ่ายทอดวิญญาณหมอพีร์มาใส่ไว้ในใจมันจึงไปอยู่ในป่าได้ ไปช่วยเหลือคนที่ลำบากจากโรคภัยไข้เจ็บได้
คนมีธรรมะ ไปอยู่ที่ไหนไม่เป็นไร คนมีธรรมะเขาก็ชอบ แต่คนร้าย ธรรมะมันไม่ชอบ นี่มันขัดกันตรงนี้แหละ พวกไม่มีธรรมะมันไม่ชอบคนมีธรรมะ เพราะคนไม่มีธรรมะนั้นเขาเห็นประโยชน์มากกว่าคุณธรรม ถ้าใครขัดประโยชน์ต้องทำลาย เพราะ ฉะนั้นจึงยิงกันมากในบ้านเมืองของเราในสมัยปัจจุบันนี้ ยิงกันเรื่องขัดประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องอะไร อยู่ดีๆ แล้วจะไปยิงกันทำไมมันไม่มี แต่ยิงเพราะว่าคนนี้มันขัดประโยชน์ของกู ต้องทำลาย แล้วบุคคลที่มีอาชีพยิงคนนี่มันก็มาก เดี๋ยวนี้ ต่อไปต้องจดทะเบียนด้วย อาชีพอะไร รับจ้างยิงคน เขียนไว้เลยจะได้รู้ว่าใครที่มีอาชีพปลิดชีพคน เวลาเกิดยิงจะได้เรียกมา เอ้าใครทำหน้าที่นี้จะได้รางวัล แล้วก็ให้รางวัลไปสิบปี ยี่สิบปี ตลอดชีวิตก็ไปตามเรื่อง แล้วก็เป็นไปอย่างนั้น
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ โลกมันขาดธรรมะจึงได้เกิดปัญหากันด้วยประการต่างๆ เราเห็นทุกข์เห็นโทษของการไม่มีธรรมะแล้วหรือยัง ญาติโยมทั้งหลายลองคิด ถ้าเห็นแล้วเราจะทำกันอย่างไร เราต้องช่วยกันหันหน้าเข้าหาธรรมะ หันหน้าเข้ามาศึกษา หันหน้าเข้ามาปฏิบัติ แล้วอย่าทำผู้เดียวพยายามดึงเพื่อนมาหาธรรมะ มาวัดนี่พยายามเอาเพื่อนมาด้วยเพื่อนคนใดที่เรารักเราชอบใจ ชวนให้มา ให้เขาได้มาชิมรสพระธรรมเสียบ้าง แล้วเขาจะได้หันหน้าเข้าหาธรรมะต่อไป การดึงเพื่อนเข้าหาธรรมะคือการช่วยเพื่อน
แต่การช่วยเพื่อนในเรื่องอื่นไม่ได้ช่วยอะไร ชวนเพื่อนไปดื่มเหล้าไม่ได้ช่วยอะไร ชวนเพื่อนไปบ่อนการพนันไม่ได้ช่วยอะไร ชวนเพื่อนให้ประพฤติสิ่งเหลวไหลไม่ได้ช่วยเพื่อนอะไรแต่เป็นการทำลายเพื่อน เราอย่าทำลายเพื่อนของเรา อย่าทำลายตัวเรา แต่เราช่วยกันยกระดับจิตใจของเพื่อนพร้อมๆกับยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น ถ้าเราช่วยกันทำอย่างนี้ธรรมะก็จะแผ่กว้างออกไป ความวุ่นวายก็ค่อยลดลงไปอาชญา กรรมมันก็ลดลงไป
เพราะอาศัยธรรมะ น้ำสะอาดมาน้ำขุ่นมันก็หนีไปเท่านั้นเอง เมื่อธรรมะเข้ามาอธรรมมันก็หายไป จึงเป็นหน้าที่ของชาวเราทุกคนที่ได้เข้าวัดฟังธรรมอยู่แล้ว จงชักชวนเพื่อนฝูง มิตรสหาย ให้ได้เข้าวัด ให้ได้ฟังธรรม เอาธรรมะไปฝากเขาก็ได้ เอาหนังสือไปฝาก รู้ว่าวันเกิด เอ้า หนังสือไปให้เป็นของขวัญ เอาเทปไปให้เป็นของขวัญ แล้วก็ให้เขาเปิดฟัง เปิดฟังแล้วเขาติดอกติดใจก็จะได้มารับต่อไป นั่นแหละคือการช่วยกันรักษาพระศาสนา ให้เจริญอยู่ในประเทศไทยของเราต่อไป ดังที่ได้แสดงมาก็พอสมควรแก่กาลเวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้