แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธ ศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านจงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา วันนี้เป็นวันพระกลางเดือนสาม เราเรียกกันโดยชื่อตามภาษาวัดว่า วันเพ็ญมาฆะ วันเพ็ญมาฆะก็คือวันเพ็ญเดือนสาม คำว่ามาฆะนั้นเป็นชื่อของดาวฤกษ์ดวงหนึ่งซึ่งเดินโคจรผ่านดวงจันทร์ในวันเพ็ญเดือนสามพอดี หรือดวงจันทร์เดินผ่านดาวฤกษ์ดวงนี้ในวันเพ็ญพอดีจึงเรียกว่าวันเพ็ญมาฆะ วันเพ็ญมาฆะนี้มีประวัติเกี่ยวเนื่องทางพระพุทธศาสนา เราจึงได้ถือว่าเป็นวันสำคัญเป็นวันแรกในรอบปีที่เรามากระทำการบูชาพระรัตนตรัยกัน พอขึ้นปีใหม่ผ่านพ้นมาก็ถึงเดือนสามหรือเดือนกุมภาพันธ์ เดือนกุมภาพันธ์ก็มีวันสำคัญคือวันเพ็ญเดือนสาม วันเพ็ญเดือนสามเป็นวันมาฆบูชา บูชาหมายความว่าการเคารพ กราบไหว้การระลึกถึงคุณงามความดีของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งพระธรรมและพระอริยสงฆ์สาวกของพระองค์ด้วย เราจึงเรียกว่าวันมาฆบูชา ในวันมาฆบูชานี้ มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาอย่างไร คือว่าในสมัยหนึ่งมีพระอรหันต์ทั้งหมดจำนวน ๑,๒๕๐ รูปอยู่ในที่ต่างๆกัน ต่างรูปต่างคิดถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้เดินทางมา รวมกันที่เมืองราชคฤห์ รวมแล้วนับจำนวนได้ ๑,๒๕๐ องค์ พระอรหันต์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเอหิภิกขุอุปสมบทคือ บวชกับพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งนั้น เรียกตามภาษาง่ายๆว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอุปัชฌาย์ให้บวชคนเหล่านั้น บวชด้วยวิธีเอหิภิกขุ
เอหิภิกขุก็คือคำตรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแก่บุคคลที่ต้องการจะบวช คือพระองค์ตรัสว่า เอหิภิกขุ พรหมะจะริยัง ทุกขหันตัง ปรัตถะซึ่งแปลว่า เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด ผู้นั้นก็ชื่อว่าเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ด้วยการรับรองของพระผู้มีพระภาคเจ้า การบวชอย่างนี้เป็นการบวชในสมัยแรกๆต่อมาก็เปลี่ยนวิธีการไปให้สงฆ์เป็นใหญ่ในการรับคนเข้าหมู่เข้าคณะ ในชั้นแรกพระพุทธเจ้า ทรงเป็นใหญ่ในเรื่องการบวช ทรงกระทำทุกสิ่งทุก (3.30 เสียงไม่ชัดเจน) อย่างด้วยพระองค์เอง ดังนั้นภิกษุ ๑,๒๕๐ องค์จึงเป็นพระภิกษุที่เป็นศิษย์โดยตรงของพระผู้มีพระภาคเจ้าและเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น ได้มาประชุมกันในวันเพ็ญเดือนสามที่เมืองราชคฤห์และพระองค์ก็ได้เสด็จมาสู่ที่ประชุมของพระเหล่านั้นและได้ประทานพระโอวาทปาติโมกข์ขึ้นในท่ามกลางสงฆ์
โอวาทปาติโมกข์คือหลักธรรมอันเป็นเบื้องต้นแห่งการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ทรงตรัสแก่พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้น ความจริงพระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นพ้นแล้วจากการปฏิบัติตนเพื่อความพ้นทุกข์ เพราะท่านพ้นทุกข์แล้ว กิจกรรมสองประการไม่มีต่อไป คือการละก็ไม่มี การเจริญก็ไม่มีเพราะไม่มีอะไรจะละแล้ว ไม่มีอะไรจะเจริญต่อไปอีกแล้ว ท่านเป็นบุคคลเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ตามแบบของพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา เราเรียกว่าบุคคลสมบูรณ์ ดับทุกข์ ดับร้อนได้อย่างสิ้นเชิง ดังคำที่เราสวดว่า เกวะละ ปริปุณณัง ปะริสุทธัง พรหมะจะริยัง ปะกาเสสิ พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ประกาศพรหมจรรย์ให้คนอื่นได้รู้ ได้เข้าใจกันต่อไป พระเหล่านั้นเมื่อบวชกับพระผู้มีพระภาคเสร็จแล้ว ปฏิบัติมรรคผลได้บรรลุแล้วก็เดินทางไปเที่ยวสอนธรรมะตามที่ต่างๆ ตามนโยบายของพระองค์ ว่าไปๆก็คิดถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงกลับมาเยี่ยม เหมือนกับเราคิดถึงพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ก็กลับมาเยี่ยมกัน พระเหล่านั้นก็ต่างองค์ต่างคิดมาตรงกันจำนวนถึง ๑,๒๕๐ รูปจึงได้มา ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่เมืองราชคฤห์ ที่สวนป่าไม้ไผ่ซึ่งเรียกว่าเวฬุวัน ที่พระเจ้าพิมพิสารสร้างถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า สวนนั้นยังอยู่เรียบร้อย สระน้ำก็ยังอยู่ อยู่ในสภาพที่เค้าตกแต่งไว้ดีเป็นอนุสรณ์แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระองค์ได้เสด็จมาสู่ที่ประชุมนั้นแล้วก็ได้ประทานพระโอวาทปาติโมกข์ โอวาทปาติโมกข์ที่พระองค์ประทานนั้นก็เท่ากับว่าให้หลักการในการที่จะไปสอนประชาชนทั่วไปที่ยังไม่ได้เข้า ใจหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ให้สอนตามลำดับขั้นตอน โอวาทปาติโมกข์มี ๑๒ ข้อด้วยกัน คือ
๑. ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา แปลว่าความอดกลั้นทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง
๒. นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวรับรองว่าพระนิพพานเป็นบรมธรรม
๓. น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตีสมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ แปลว่านักบวชผู้ยังทำร้ายผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นนักบวช อันนี้เป็นเครื่องวัดความเป็นนักบวช คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักบวช เป็นพระ เป็นสมณะ หรือเรียกว่าเป็นบรรพชิตอะไรก็ตามใจ ถ้ายังมีการเบียดเบียนสัตว์อื่น ทำร้ายสัตว์อื่นอยู่ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ ได้ทราบว่านักบวชบางประเภทของบางศาสนายังไปเที่ยวยิงนก ตกปลา อย่างนี้ก็เรียกว่ายังไม่เป็นนักบวชที่แท้จริงตามแบบของนักบวชในประเทศอินเดีย เป็นนักบวชแต่เพียงเสื้อคลุมแต่ไม่เป็นนักบวชทางด้านจิตใจ นักบวชทางด้านจิตใจนั้นต้องอยู่ด้วยความเมตตา ปรารถนาความสุข ความเจริญแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่เบียดเบียนสัตว์ใดๆให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน
ข้อ ๔. สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไม่กระทำบาปทั้งปวง
๕. กุสลสฺสูปสมฺปทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม
๖. สจิตฺตปริโยทปนํ การกระทำจิตของตนให้ขาวรอบคือให้สะอาดหมดจด เอตํ พุทฺธานสาสนํฯเหล่านี้เป็นคำสอนของผู้รู้คือพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
๗. อนูปวาโท การไม่เข้าไปกล่าวร้ายกับใครๆ
๘. อนูปฆาโต ไม่เข้าไปล้างผลาญใครๆ
๙. ปาติโมกฺเข จ สํวโร การสำรวมในพระปาติโมกข์ มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ความรู้จักประมาณในภัตตาหา
ข้อที่ ๑๐
ข้อที่๑๑.ปนฺตญฺจ สยนาสนํ การนั่งนอนในเสนาสนะอันสงัด
๑๒. อธิจิตฺเต จ อาโยโค การหมั่นประกอบยกระดับจิตให้สูงขึ้น เอตํพุทฺธานสาสนํฯ เหล่านี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หมายความว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้มีพระองค์เดียวถ้าพระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นในชาติใด ในประเทศใด ก็ตามต้องมาสอนแนวนี้ คือสอนให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรตามแนวที่พระองค์ตรัสไว้นี้ ก็เรียกว่าเป็นผู้รู้ เป็นพุทธะ เราชาวพระพุทธศาสนานี่ รับรองความเป็นพุทธะแม้ของใครๆก็ได้ที่เขาสอนหลักธรรมสอนตรงกันกับที่พระผู้มีพระภาคได้แสดงไว้ ก็เรียกว่าเป็นพุทธะ เป็นผู้รู้ และเราก็ให้เกียรติแก่บุคคลผู้นั้น พระพุทธศาสนาสอนให้เราเป็นคนใจกว้าง ไม่คับแคบ ยอมรับนับถือในคำสอนแม้อยู่ในคัมภีร์อื่นแต่ก็ถูกตรงกันกับหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ถือว่าเป็นการถูกต้องควรจะนำมาปฏิบัติในชีวิต ประจำวันได้ เราชาวพุทธจึงเป็นคนใจกว้าง ไม่รังแกศาสนาใด บุคคลใด แต่ว่าศาสนาอื่นบุคคลอื่น อย่ามารังแกพวกเราผู้นับถือพระพุทธศาสนาเพราะถ้ารังแกแล้วเราก็จะ ต้องตอบโต้ เพื่อให้รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด เราจะไม่นิ่งอย่างวางเฉย จะไม่อดทนต่อสิ่งเหล่านั้นเพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นบาป เป็นอกุศล มาทำลายสัจจธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า เราชาวพุทธก็ต้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมแต่เราจะไม่ต่อสู้ด้วยศาตราอาวุธ เราจะต่อสู้ด้วยธรรมะ การต่อสู้ด้วยธรรมะก็คือพูดแก้ความจริงให้เขาฟังให้รู้ว่าคำกล่าวนั้นเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง เป็นกล่าวเท็จเทียม แม้ในครั้งพระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พวกเดียรถีย์ นิครนถ์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นนักบวชในลัทธิอื่นในประเทศอินเดีย ได้กล่าวขู่ (11.29 เสียงไม่ชัดเจน) พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยประการต่างๆ เมื่อคนมาถามพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ก็กล่าวตอบแก้กับคนเหล่านั้น ให้เขารู้ว่าความจริงมันเป็นอย่างไร อย่างนี้เป็นหลักธรรมดาสำหรับคนที่ถูกประทุษร้ายด้วยวาจา หรือด้วยการกระทำก็ต้องมีการตอบโต้แต่ว่าไม่จองเวรจองกรรมกัน เราตอบโต้ด้วยใจสงบ ไม่ใช่ตอบโต้ด้วยความขึ้งเครียดเกลียดชัง มุ่งร้ายหมายขวัญต่อกันและกัน เพราะพระพุทธศาสนาถือหลัก อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก การไม่เบียดเบียนกันเป็นความสุขในโลก แต่เมื่อคนอื่นมาเบียดเบียนเราด้วยถ้อยคำอันใดที่ไม่เป็นความจริง เป็นการใส่ร้ายป้ายสีแก่สัจจธรรมของพระพุทธเจ้า เราก็ต้องล้างสีนั้นออกตามหน้าที่ของเรา อันนี้เป็นหลักการที่เราปฏิบัติกันอยู่ทั่วๆไป แต่โดยความจริงแล้วเราไม่อยากจะประทุษร้ายใคร เราไม่อยากจะกล่าวร้ายหมายขวัญถึงศาสนาใดๆที่ไม่ใช่พุทธศาสนาเพราะเรามีใจกว้างพอที่จะยอม รับความจริงอันมีอยู่ในคัมภีร์คำสอนศาสนานั้นๆ เพราะเราถือว่าคำสอนเป็นธรรมะ ธรรมะก็คือหลักข้อปฏิบัติอันจะทำคนให้พ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อน เราก็ถือว่าคำสอนของศาสดาทั้งหลายเป็นธรรมะ เราเอาธรรมะมาใช้ แม้จะไม่เอาคนที่เป็นศาสดา แต่เราเอาธรรมะมาใช้ เพราะธรรมะเป็นสากล เป็นของกลางไม่ใช่เป็นของผู้ใดใคร ผู้หนึ่งโดยเฉพาะ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกแต่ไม่รู้ ไม่เข้าใจกัน คนใดรู้คนใดพบก็นำมาประกาศ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายได้ค้นพบธรรมะอย่างลึกซึ้งละเอียดอ่อนจึงได้นำสิ่งนั้นมาประกาศให้ชาวโลกได้รู้ได้เข้าใจให้นำไปปฏิบัติในชีวิต ประจำวัน พระองค์ไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อตามที่พระองค์ได้สอนแต่พระองค์เสนอแนะให้เขาได้เกิดความรู้ความเข้าใจแล้วก็นำไปปฏิบัติเพื่อระงับความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน อันนี้แหละคือหลักการในทางพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าวางหลักการให้เราปฏิบัติเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มแรกด้วย ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ความอดกลั้นทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง เป็นตบะหมายความว่าเป็นเครื่องเผาผลาญสิ่งชั่วร้าย เป็นเกราะป้องกันตนไม่ให้ตกไปอยู่ในที่ชั่วที่ต่ำ ไม่ให้สิ่งที่พอเป็นความชั่วเข้ามากระทบจิตใจเพราะเราอดได้ทนได้ไว้ เรื่องความอดทนนี่เป็นคุณธรรมสำคัญที่เราจะ ต้องปฏิบัติตั้งแต่เริ่มต้น เราจะให้ทาน เราจะรักษาศีล เราเจริญภาวนา เราจะไปฟังธรรมเทศนาหรือว่าเราจะไปสอนธรรมแก่คนอื่น หรือว่าเราจะปฏิบัติในแง่ใด อันเป็นเรื่องบุญ เรื่องกุศล เรื่องความงามความดี ก็ต้องมีความอดทนเป็นพื้นฐานก่อน ถ้าไม่มีความอดทนก็ทำไม่ได้ เช่นการให้ทานก็ต้องมีความอดทนต่อกิเลสที่จะขึ้นมาคัดค้าน กิเลสที่จะขึ้นมาค้านการให้ทานก็คือความตระหนี่ถี่เหนียวซึ่งเรียกตามภาษาพระว่า มัจฉริยะ
มัจฉริยะแปลว่าความตระหนี่ ความเสียดายในสิ่งที่ตนมีตนได้ไว้ ไม่อยากจะเสียสละให้แก่ใคร ไม่อยากจะให้จากตนไป เราจึงต้องอด ต้องทน ในการที่จะไม่ให้กิเลสเหล่านั้นกลุ้มรุมจิตใจ ให้เราได้มีน้ำใจเข้มแข็งเพื่อยอมเสียสละตัดสิ่งนั้นออกจากจิตใจ แล้วให้สิ่งนั้นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่คนอื่นต่อไป ผู้ทำทานก็ต้องมีความอดทนอย่างนี้ ผู้รักษาศีลยิ่งต้องมีความอดทนใหญ่เพราะศีลนั้นเรารักษาคือเราสัญญาว่าจะไม่ฆ่าใคร ไม่เบียดเบียนใคร เราจะไม่ถือเอาสิ่งของ ของใครใคร เราจะไม่ประพฤติผิดในทางกามารมณ์ เราจะไม่พูดคำโกหก คำหยาบ คำเหลวไหล คำเพ้อเจ้อ คำที่ทำคนให้แตกจากกัน เราจะไม่เสพสิ่งเสพติดมึนเมาด้วยประการต่างๆทั้ง ๕ ประการนี้ลองพิจารณาดูให้ดีเถอะ ต้องใช้ความอดทนทั้งนั้น อดทนในการที่จะไม่ไปฆ่าใคร ไม่ไปทำใครให้เดือดร้อนแม้คนอื่นเขาจะมาทำให้เราเดือดร้อน เช่นใครเขามาด่าว่าเรา ทำเราให้กระเทือนน้ำใจถ้าเราไม่มีความอด ความทน ศีลของเราก็จะบกพร่องเราจะไปทำการโต้ตอบกับคนเหล่านั้น เช่นเขาด่าเรา เราไปด่าตอบ ศีลข้อที่สี่มันก็ไม่สมบูรณ์แล้วเพราะคำด่านั้นเป็นคำที่ออกมาจากจิตใจที่ประทุษร้ายอยู่แล้ว จิตใจที่เศร้าหมอง มีกิเลสกลุ้มรุมจิตใจ เราไม่อดไม่ทนก็ต้องไปด่าเขา ถ้าใครมาจะตีเรา เราไม่อดทน เราก็ตีตอบออกไปแต่ถ้าเราอดทนได้ เราก็ไม่ตี เราไม่ฆ่าสัตว์ เราไม่ไปเอาของของใครใคร แม้ของนั้นมันจะยั่วให้เราอยากได้แต่เราก็ไม่เอา เราอดได้ ทนได้ที่จะไม่ไปหยิบเอาของใครๆมาใช้เป็นของส่วนตัว นี้ก็ต้องใช้ความอดทน ในเรื่องกามารมณ์ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะว่ากามารมณ์นี่ มันเป็นสิ่งยั่วยุกิเลส ทำให้เราเกิดความอยาก เราได้เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสถูกต้องอะไร ใจก็จะเกิดราคะ ความกำหนัดยินดีในสิ่งเหล่านั้น ถ้าไม่มีความอดทนก็อยู่ไม่ได้ ต้องไปกระทำความผิดด้วยการละลาบละล้วงต่อสิ่งที่มิใช่ของเรา หรือว่าเราต้องไปเที่ยวในเวลาค่ำคืนเพื่อปล่อยความอยาก เพื่อสนองตัณหาที่มันเกิดขึ้น อันนี้ก็จะทำให้เราเสียผู้เสียคน เพราะไม่มีความอด ความทน ถือศีลข้อที่สามไว้ไม่ได้ ศีลข้อที่สี่ก็เหมือนกัน ปากของเราถ้าไม่อด ไม่ทนแล้วก็จะพูดคำที่ไม่เหมาะไม่ควรอันจะสร้างปัญหาคือความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่คนอื่นได้ง่ายแต่ถ้าเราอดได้ ทนได้ก็ไม่เป็นไร คนที่ติดบุหรี่ ติดน้ำเมาประเภทต่างๆเพราะความอดทนไม่มีในจิตใจเป็นคนมีใจอ่อนแอ ไม่สามารถจะต่อสู้กับความอยากที่เกิดขึ้นหรือความเงี่ยนในสิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้นในใจ ถ้าเราไม่มีความอดทนในการที่จะต่อสู้เราก็พ่ายแพ้ วันหนึ่งวันหนึ่งคนสูบบุหรี่เอาบุหรี่มาเผาดูดควัน พิษเข้าไปในร่างกายประมาณเท่าไร ไม่รู้สักเท่าไร สูญเสียเงินทองไปสักเท่าไรแล้วไม่ได้อะไรตอบแทนนอกจากได้ความเสื่อมโทรมทางร่างกาย ความเสื่อมโทรมทางจิตใจ ความเสื่อมโทรมทางวิญญาณของตัวอันนี้เป็นเรื่องเสียทั้งนั้น เพราะขาดน้ำอดน้ำทน คนที่ชอบดื่มเหล้าประเภทต่างๆ พอถึงเวลามันก็อยาก อยากแล้วก็ต้องไปดื่ม ดื่มแล้วก็เมามาย เป็นเหตุได้เสียหายเพราะไม่มีความอด ความทน
มีคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่าพี่ชายได้เลื่อนฐานะตำแหน่งทางราชการสูงขึ้นแล้วก็ดีใจเลยไปชวนเพื่อนมาอีกคนหนึ่งมาเลี้ยงฉลองกัน ซื้อเหล้ามาขวดหนึ่งกินกันสองคนเท่านั้น กินโดยไม่ต้องเติมโซดา กินแต่เหล้าล้วนๆ เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายต้านทานไม่ไหวผลที่สุดก็ตายต้องย้ายทะเบียนไปอยู่วัดมงกุฎกษัตริย์ อยู่ในหีบน้อยๆอยู่ในศาลาที่พระนั่งพึมพำอยู่ข้างๆต่อไปอันนี้ก็เพราะว่า ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไร ได้เลื่อนตำแหน่งแต่ไม่เลื่อนตัวเองให้สูงขึ้นคนเราถ้าได้เลื่อนชั้น เลื่อนตำแหน่งมันต้องเลื่อนจิตใจของเราให้สูงขึ้นด้วยให้พ้นจากความชั่ว ความร้าย นี่เขาเลื่อนตำแหน่งให้สูงแต่จิตใจเราไม่สูงยังไปขลุกอยู่กับเหล้าไปติดอยู่กับน้ำเมาเลยเอามากินกันเพียงสองคน หนึ่งขวดมันก็ไม่ใช่น้อย กินเพียวๆเข้าไป ผลที่สุดก็ทนไม่ไหวเส้นโลหิตในสมองแตก ถึงแก่ความตาย เพราะฤทธิ์น้ำเมา ตายเพราะเมาแท้ๆ อันนี้เพราะขาดน้ำอดน้ำทน ไม่ว่าเรื่องอะไรถ้าเราไม่มีความอดทนแล้วก็รักษาไว้ไม่ได้ ยิ่งคนถือศีลอุโบสถต้องอดข้าวตอนบ่าย ตอนเย็น ไม่อดไม่ทนก็เดี๋ยวไปกินอะไรเข้า คนถือศีลแปดหรือศีลอุโบสถ ต้องงดเว้นจากการฟ้อน รำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ดีด สี ตี เป่า อดไม่ได้ทนไม่ได้ก็ไปฟ้อน ไปรำ ไปดูเขาฟ้อน เขารำ อดไม่ได้ทนไม่ได้ก็ไปตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ของหอมเครื่องทา เครื่องย้อมต่างๆ ล้วนแต่เป็นเรื่องสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตด้วยกันทั้งนั้น เราจึงต้องมีความอด ความทนไว้ในใจของเราตลอดไป
คนขับรถบนถนน ต้องขับด้วยความอดทนแม้การจราจรจะติดขัด อย่าหงุดหงิดงุ่นง่าน อย่าสร้างอารมณ์เสียให้เกิดขึ้นในใจ อย่าเป็นทุกข์เพราะการจราจรติดขัด การจราจรติดขัดมันมีทั่วโลก ไม่ว่าชาติไหนประเทศไหน ยิ่งชาติที่เจริญก็ยิ่งมีการจราจรติดขัดมากขึ้น เพราะว่ารถมาก คนมาก ในประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี อเมริกาซึ่งเป็นชาติใหญ่ ญี่ปุ่นก็เหมือนกัน เราไปก็จะเห็นว่ามีการติดจราจร ชั่วโมงเช้าและชั่วโมงเย็น คือตอนเช้าคนทุกคนก็รีบจะไปทำงาน ขับรถมากันมากมาย ก็ติดขัดเป็นธรรมดา ตอนเย็นทุกคนจะกลับรังรวงของตน ก็ขับรถออกมาจากที่ทำงานเกิดการติดขัดด้วยเช่นเดียวกันให้ถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เรื่องอะไรพิเศษ เราจึงต้องใจเย็น ใจสงบ คนใจเย็น ใจสงบก็ต้องอยู่บนฐานแห่งความอดทนถ้าไม่มีความอดความทนแล้ว ใจจะเย็นอยู่ไม่ได้ใจจะสงบอยู่ไม่ได้ ประเดี๋ยวก็เกิดพลุ่งพล่านขึ้นมา ขับรถแซงขึ้นไป ฝ่าไฟแดงบ้างก็เกิดอุบัติเหตุ ไม่เกิดอุบัติเหตุ ตำรวจก็หิ้วไปนอนที่โรงพัก เอาไปจับ ไปปรับไหมฐานทำผิดกฎจราจร อันนี้ก็เพราะขาดความอด ความทน จึงได้เกิดเป็นปัญหา โดยเฉพาะเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพอะไรเหล่านี้ รถมันมากเหลือเกิน ตอนเช้าออกไปทำงานก็ต้องเผื่อเวลาไว้บ้าง ตอนเย็นเลิกงาน ไม่เป็นไร ก็กลับบ้านช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรต้องนั่งขับด้วยใจเย็นๆ มีความอด มีความทนไว้
รถทั้งหลายมักจะมีรอยจุดเจิมของหลวงพ่อต่างๆหรือว่ามีอะไร มียันต์บ้าง มีอะไรบ้างติดไว้ข้างรถ ความจริงสิ่งเหล่านั้นพูดไม่ได้ เราควรจะเขียนถ้อยคำไว้ว่า อดทนหน่อยท่านจะปลอดภัย อดทนหน่อยท่านจะปลอดภัย เขียนเป็นคำติดไว้ที่ข้างหน้าคนขับเมื่อใจร้อนขึ้นมาก็จะได้อ่านว่า อดทนหน่อย ค่อยๆไปจะปลอดภัยหรืออดทนหน่อยจะปลอดภัย มันก็จะช่วยให้เราสงบใจ มีความใจเย็นไม่ดุร้าย ไม่วุ่นวาย ไม่สร้างปัญหาแก่ตน แก่ครอบครัวตลอดจนถึงประเทศชาติเพราะเราอาศัยความอดทนเป็นพื้นฐาน ในเรื่องการทำมาหากินในชีวิตประจำวันของเรา เราก็ต้องมีน้ำอด น้ำทนเป็นพิเศษ ชาวนาต้องมีความอดทนเพราะต้องทำงานกลางแดด กลางฝน เวลาแดดออกก็ต้องเอาหลังสู้แดดที่เขาเรียกกันว่าหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินอันนี้มันเป็นอาชีพของเกษตรกร ก็ต้องทำอย่างนั้น ชาวสวนก็ต้องมีความอดทนในการที่จะทำสวน ในการที่จะทนร้อน ทนหนาว ทนลำบากตรากตรำในการปฏิบัติงานเพื่อให้สวนของตนเรียบร้อย เป็นไปด้วยดี ปราศจากความอดทนแล้วก็จะเกิดปัญหา สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนให้แก่ตนด้วยประการต่างๆแม้คนเป็นข้าราชการ เป็นพ่อค้า ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าสบายหน่อย ไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ไม่ต้องให้เหงื่อไหลไคลย้อย แต่ก็ต้องมีน้ำอด น้ำทนเหมือนกัน เพราะงานที่ทำนั้น ไม่สบายตลอดไปบางงานก็มีปัญหา มีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้น ถ้าเราไม่อดทนก็จะเกิดความหงุดหงิดงุ่นง่านแล้วลงโทษตัวเอง หาเรื่องให้ตัวเองเป็นโรคประสาท แต่ถ้าเรามีน้ำอดน้ำทน เราจะไม่มีอะไร เราทนได้ พอทนได้ พระสงฆ์ในสมัยก่อนเวลาท่านไปเจอกัน ท่านก็ถามกันว่า ธัมม มิยงฺ (26.22 เสียงไม่ชัดเจน) แปลว่าพอทนได้อยู่หรือ องค์หนึ่งก็ตอบว่า ธัมม มิยงฺอาวุโสฤ พันเต (26.30 เสียงไม่ชัดเจน) ตามเรื่องคือตอบว่าพอทนได้ หมายความว่าอยู่ได้ อยู่ได้ด้วยความอดความทน
สมัยนี้เศรษฐกิจตกต่ำ ข้าวของค่อน ข้างจะแพงถ้าเราได้ปฏิบัติตามพระโอวาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับความอดทนแล้วเราจะไม่เดือดร้อนในเรื่องการเป็นอยู่ ถ้าเราอดทนที่จะไม่ไปซื้อของกินโดยไม่จำเป็น ไม่ไปซื้อของใช้โดยไม่จำเป็น ไม่ไปเที่ยวนอกบ้านโดยไม่จำเป็น เราตัดความฟุ่มเฟือย ตัดความสุร่าย การที่จะตัดอะไรอะไรออกไปได้นั้น ต้องมีความอดทนเป็นพื้นฐานก็สมัยก่อนนั้นเราเคยตามใจตัวเอง ตามใจความอยากที่มันเกิดขึ้น ไม่มีการควบคุมตัวเอง ไม่มีความมอดทน ไม่มีความเสียสละ คือไม่เอาในสิ่งเหล่านั้น แต่เราเคยมีเคยได้ในสิ่งเหล่านั้นอยู่ตลอดมา เราก็อยากจะมีอยากจะได้ต่อไป โดยไม่คำนึงว่าสถานการณ์ของสังคมของโลกเวลานี้เป็นอย่างไร เวลานี้โลกทั้งโลกมีความตกต่ำทางเศรษฐกิจด้วยกันทั้งนั้นประเทศใหญ่ๆก็ยังมีความตกต่ำ เช่นประเทศอเมริกา นี่เป็นประเทศใหญ่ ประเทศรัสเซียก็เป็นประเทศใหญ่แต่ว่าในประเทศเหล่านั้นก็มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำด้วยเหมือนกัน การงานต่างๆต้องหยุดชะงักลงไป ชาวนา ชาวสวนก็มีปัญหาเพราะผลิตของออกมาแล้วก็ขายไม่ได้ บ้านเราก็เหมือนกัน มีข้าวขายไม่ค่อยออก มีน้ำตาลขายไม่ได้ มันสำปะหลังขายไม่ได้ มีอะไรอะไรก็ขายไม่ค่อยจะได้อันนี้เพราะว่ากำลังซื้อมันไม่ค่อยจะมี คนเขาไม่ต้องการเพราะเขาไม่มีเงินที่จะซื้อ ก็ต้องอด ต้องทนเอาหน่อยถ้าเราไม่มีความอดทนก็จะเกิดความหงุดหงิด งุ่นง่านใจเกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ เพราะเคยชินอย่างนั้น เคยใช้อย่างนั้น เคยเที่ยวอย่างนั้นพอไม่ได้กิน ได้เที่ยว ได้ใช้ก็เกิดความอึดอัดขัดใจอาจจะเป็นโรคทางประสาท เป็นโรคจิตเสื่อม จิตทรามอะไรขึ้นมาก็ได้ถ้าเราไม่อดไม่ทน แต่ถ้าเราอดได้ทนได้ด้วยการพูดปลอบใจตนเองสอนตนเองว่าเวลานี้สถานการณ์ของโลก ของบ้านเมืองมันตกต่ำทั่วไป เราจะเอาอะไรอะไรให้เหมือนที่เราเคยมีเคยได้ดังแต่ก่อนนั้นไม่ได้ เราจะต้องลดความต้องการลงไป บางอย่างไม่จำเป็นแก่ชีวิตเราก็เลิกเสีย เช่นบุหรี่ไม่จำเป็นเราก็เลิกมันเสียเลย เหล้าไม่จำเป็นก็อย่าไปดื่มมันเสียเลย การไปเที่ยวเตร่ ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปเที่ยว อยู่กับบ้านหาความสุขกับครอบครัวดีกว่า เคยเล่นการพนันขันต่อ เล่นเมืองไทยไม่พอต้องไปเล่นถึงมาเก๊า เราก็เลิกซะไม่ไปประเทศนั้นและเมืองไทยก็ไม่เล่น บางคนถูกจับหลายครั้งหลายหนแล้วก็ยังไม่เลิกเล่นกันซักทีเพราะว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ค่อยมีคุณธรรมของตำรวจเข้าไปมีส่วนร่วมดูแลรักษา ตำรวจเข้าไปจะจับ ตำรวจเองนั่น แหละมาต่อ (30.05 เสียงไม่ชัดเจน) ตำรวจแล้วก็ดีดกริ่งกดกริ่งให้คนข้างบนรู้ว่าตำรวจมาแล้ว พวกข้างบนก็จะได้หนีตามทางลับที่เขาได้กระทำไว้ ตำรวจก็เข้าไป ไอ้เจ้านั่นก็ขัดขืนเลยถูกจับคงจะถูกออกจากตำรวจต่อไป อันนี้ก็เพราะว่ามันไม่ประพฤติธรรมเป็นตำรวจแต่ไม่ถือคุณธรรมของตำรวจ ตำรวจมีหน้าที่ปราบคนทำผิดกฎหมายแต่ไปร่วมมือกับคนทำผิดกฎหมายไม่มีวิญญาณของความเป็นตำรวจในจิตใจแล้วก็ไปไม่รอด ต้องเอาไปลงโทษกันตามกบิลเมืองต่อไป อันนี้เรื่องมันมีอยู่ ดังนั้นเราเคยทำอะไรเคยสนุกอย่างไร เคยกินเคยเที่ยวอย่างไร ก็มาปลอบใจตนเองว่าเวลานี้สถานการณ์มันไม่อำนวยให้เราทำเช่นนั้นได้ เราต้องอดต้องทนกันหน่อยอย่าตามใจตัวเองมากเกินไปเราก็สบายใจ
ความอดทนนี่มันลำบากในตอนแรกเพราะเป็นการฝึกฝนตนเองเพื่อให้เกิดความอดทนแต่เมื่อทำไป ทำไปก็เคยชินพอเคยชินแล้วมันก็เป็นนิสัย เราก็สบายใจไม่เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจต่อไป นี่เรื่องชีวิตมันต้องเป็นอย่างนี้ ต้องทนแดด ทนฝน ทนร้อน ทนหนาว ทนกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรา เราก็จะมีความสุข ความสบายไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อนด้วยปัญหาต่างๆ จึงขอให้ท่านทั้งหลายฝึกฝนตนให้เป็นคนมีความอดทนไว้สักหน่อยเวลามีเรื่องอะไรก็อดได้ทนได้ เราก็สบายใจไม่ต้องไปทะเลาะเบาะแว้งกับใครๆ ไม่ต้องสร้างปัญหาวุ่นวายให้เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรา ถ้าเราเป็นผู้มีความอดทนอยู่เป็นหลักฐานประจำจิตใจ อย่างนี้ประการหนึ่ง เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องฝึกฝนอบรมกันตั้งแต่เริ่มต้นของชีวิต พ่อแม่มีลูกมีหลานก็ควรอบรมลูก หลานให้มีน้ำอดน้ำทนเสียบ้าง อย่าปล่อยให้มันมากเกินไปอย่าตามใจเขามากเกินไปเขาอยากจะได้อะไรก็อย่าไปให้ง่ายๆต้องสอบสวนทวนถาม ว่าสิ่งนั้นจำเป็นแก่ชีวิต นักหรือถ้าไม่มีความจำเป็นเราก็ไม่ให้ เราไม่ให้เขามีเขาได้สิ่งนั้น แต่ต้องพูดอธิบายเหตุผลให้เขาเข้าใจว่าทำไมจึงไม่ให้ มันไม่จำเป็นอะไรแก่ชีวิต เราอยู่โดยไม่ต้องมีสิ่งนั้นก็ได้เช่นเรื่องอาหารการกินนี่ก็ต้องให้กินเป็นเวลา อย่าให้กินพร่ำเพื่อ หัดให้เป็นเวลาตั้งแต่เป็นเด็กดูดนมแม่เมื่อยังไม่ถึงเวลากินนมเราก็ไม่ให้กินไม่ให้ดื่ม เมื่อถึงเวลาก็ต้องให้ดื่มให้เป็นเวลา แม้เด็กมันจะร้องก็ช่างหัวมันปล่อยให้ร้องไปก่อน ยังไม่ถึงเวลาจะอาบน้ำ ยังไม่ถึงเวลาจะกินนม ยังไม่ถึงเวลาจะถ่าย เราหัดเด็กให้เป็นเวลามาตั้งแต่น้อยเป็นการฝึกความมีระเบียบให้เกิดขึ้นในชีวิต คนมีระเบียบนั้นคือคนที่มีความอดทนเป็นพื้นฐานถ้าไม่มีความอดทนเป็นพื้นฐาน ความมีระเบียบของสิ่งทั้งหลายก็จะเกิดขึ้นไม่ได้เราจึงต้องฝึก ต้องสอนเขา เด็กนักเรียนที่ไปโรงเรียน ครูต้องหัดสอนเด็กให้เป็นคนมีความอดทนหนักแน่นในการปฏิบัติชีวิตประจำวัน ครูเองก็ต้องมีความอดทนเหมือนกัน ครูโดยมากบางทีก็ไม่มีความอดทน เช่นติดบุหรี่พอสอนเด็กจบ ควักบุหรี่ขึ้นมาสูบบนโต๊ะในห้องเรียน เหมือนจะสูบสอนเด็กไปด้วยในตัวทำให้เด็กเห็นว่า แหมครูนี่สูบบุหรี่แล้วเด็กอาจจะคิดว่าท่าทางครูนี่โก้หรา โก้หราดีเขาก็อยากจะเป็นนักสูบบุหรี่เหมือนครูต่อไป ครูจึงต้องอดทน ไม่สูบบุหรี่ต่อหน้าเด็ก ไม่ไปดื่มเหล้าให้ใครเห็น แล้วไม่ดื่มซะเลยก็ดีกว่า เพราะดื่มแล้วมันทำให้วิญญาณครูหายไปเป็นผีเกิดขึ้นในจิตใจ สร้างปัญหา สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ เห็นคนอื่นเขามั่งมี เขาถูกหวยถูกเบอร์ถ้าเราไม่อด ไม่ทนก็ไปซื้อเข้ามั่งซื้อแล้วมันไม่ถูกก็มีปัญหา เห็นเขาเล่นแชร์ได้ดอกมากๆเราก็ทนไม่ได้ เลยเอาไปลงทุนซื้อกับเขามั่งผลที่สุดเจ้ามือแชร์ล้มหนีไปหรือว่าจับใส่คุกใส่ตารางไป เราก็เกิดปัญหา สร้างความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องยกขบวนไปแช่งเท้าแชร์ มือแชร์ที่หน้าโบสถ์พระแก้ว เป็นการกระทำที่ไม่ได้เรื่องอะไร เป็นการแสดงออกซึ่งความโง่ ความเขลาขาดความอด ความทน จึงได้ไปกระทำในรูปเช่นนั้น จึงใคร่ขอฝากข้อนี้ไว้ กับญาติโยมพุทธบริษัททั้ง หลายว่าต้องอยู่ด้วยความอดทนโดยเฉพาะคนที่เจริญภาวนาต้องอดทนเป็นพิเศษ เวลานั่งฝึกจิตเช่นทำสมาธิในเรื่องอะไรก็ตามต้องอด ต้องทน ต้องไม่เคลื่อนไหวร่างกายบางทีมันเกิดอะไรขึ้นตามร่างกาย ที่แก้มมั่ง ที่หน้าผากมั่ง ที่คอบ้าง ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้างมันเป็นอาการที่เกิดขึ้นทดสอบความอดทนของเราทั้งนั้น เราอย่าไปยุ่งกับมัน คันอย่าไปเกา รู้สึกว่ามีอะไรมาไต่มาตอม เราก็อย่าไปสนใจมันนึกว่ามันไม่ตาย เพราะเรื่องนี้ เราควรนั่งเฉยๆ นั่งสงบจิต สงบใจไว้ อดไว้ ทนไว้ผลที่สุดสิ่งนั้นมันก็หายไปแล้ววันหลังมันจะไม่เกิดขึ้นอีกแต่ถ้าเราเอาใจใส่ พอเกิดอะไรขึ้นก็ไปคลำ เกิดอะไรขึ้นก็ไปเกา ผลที่สุดก็ต้องเกา ต้องคลำกันเรื่อยไปไม่จบไม่สิ้น จิตใจก็อ่อนแอ ปฏิบัติธรรมที่ดีงามก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนที่นั่งกรรมฐาน เมื่อนั่งลงไปแล้วก็ต้องตั้งใจว่า เราจะนั่งให้กายสงบนิ่งเป็นเวลาเท่านั้นนาที เช่น ๓๐ นาที มีอะไรเกิดขึ้นเราก็ไม่เคลื่อนไหวไม่ไปเกาไม่ไปกระทำอะไรทั้งนั้นอดไว้ทนไว้ ผลที่สุดเราก็ชนะ คนนั้นก็กลายเป็นคนอดทน คนบางคนก็นั่งสงบสงบเฉยเป็นเวลาตั้งหลายชั่วโมงเขานั่งได้แสดงว่าเขามีความอดทนมากจึงนั่งได้อย่างนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าสอนให้เรามีความอดทนเป็นพื้นฐานชีวิตเพื่อชนะสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงได้ประการหนึ่งประการต่อไปที่สอนว่า นิพพานัง ปรมังวะทันติ พุทธา อันนี้พูดถึงว่านิพพานคือการดับทุกข์ได้ ดับร้อนได้เป็นเรื่องที่ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นธรรมอย่างยิ่ง เป็นยอดธรรม เป็นจุดหมายปลายทางของการปฏิบัติโดยเฉพาะคำสอนในทางพระพุทธศาสนานั้นมีจุดหมายอยู่ที่นิพพาน นิพพานไม่ใช่ตายบางคนเข้าใจผิดนิพพานหมายถึงตาย ไม่ใช่ตายอย่างนั้น นิพพานหมายถึงว่าดับกิเลสได้ ดับร้อนได้ ดับทุกข์ได้ ใจเย็น ใจสงบ เรียกว่านิพพานแต่บางทีเค้าไปใช้กับบุคลผู้ยิ่งใหญ่เช่นพระผู้มีพระภาคเจ้า เวลาพระองค์ตาย เรียกว่าพระองค์นิพพาน นิพพานหมายความว่าดับทั้งกาย ดับทั้งกิเลส กิเลสนั้นดับก่อนแล้ว ดับตั้งแต่วันเพ็ญเดือนหก ก่อนคริสต์ศก ๔๕ ปีที่ใต้ต้นโพธิ์ พุทธคยา นั้นเรียกว่ากิเลสนิพพานแต่ร่างกายของพระองค์ยังอยู่ยังสอนชาวโลกต่อไป ทำประโยชน์แก่ชาวโลกต่อไปอีก ๔๕ ปีจึงได้ดับกายคือร่างกายนิพพาน หมดลมหายใจเหลือแต่สรีรร่างกายซึ่งนอนนิ่งดุจท่อนไม้ท่อนฟืน แล้วเขาก็เอาไปถวายพระเพลิงที่มกุฎพันธนเจดีย์ อันนี้เราก็ใช้ศัพท์ว่านิพพาน ศัพท์ว่านิพพานนี่เป็นคำที่ใช้ทั่วไปในภาษาของประเทศอินเดียในสมัยโบราณเช่นว่าช้างเชือกใดมันดื้อมันไม่เชื่อฟัง ทีหลังมันเชื่องเขาก็บอกว่าช้างเชือกนี้ นิพพานแล้ว วัวดื้อมันหยุดดื้อก็เรียกว่านิพพานแล้ว เด็กดื้อแล้วไม่ดื้อเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ก็เรียกว่าเด็กนั้นนิพพานแล้ว ข้าวที่ร้อนแล้วมันเย็นลงเขาก็พูดว่าข้าวนิพพานแล้วหมายความว่าหมดร้อน มันก็นิพพานกันเขาใช้ทั่วๆไป พระพุทธเจ้าของเราเห็นว่าคำนี้เป็นคำสามัญที่ชาวโลกเขาใช้กันอยู่แล้ว จึงเอามาใช้เรียกชื่อธรรมะที่พระองค์ได้ค้นพบสูงสุดว่านิพพาน อาจมีศัพท์อื่นใช้ก็มีเหมือนกันแต่ว่าคำนี้แพร่หลายมาก ผู้รู้ทั้งหลายที่เรียกว่าเป็นพุทธะ กล่าวเหมือนกันว่า นิพพานนี่เป็นบรมธรรมเป็นธรรมอย่างยิ่งเป็นธรรมที่เป็นจุดหมายของการปฏิบัติโดยเฉพาะเราพุทธบริษัทมีการปฏิบัติในเรื่องศีล เรื่องภาวนา เรื่องอะไรก็ตามใจจุดหมายสำคัญนั้นก็อยู่ที่การดับทุกข์ได้ เรารักษาศีลเพื่อความดับทุกข์ เราให้ทานเพื่อความดับทุกข์ เราเจริญภาวนาเพื่อความดับทุกข์ เราไปฟังธรรมเพื่อความดับทุกข์ เราไปสอนธรรมะให้แก่คนอื่นก็เพื่อความดับทุกข์ การปฏิบัติในทางธรรมะทุกแง่ ทุกมุมที่เราได้ปฏิบัติกันอยู่ในชีวิตประจำวันนั้น ขอให้เข้าใจว่าเราปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ทั้งนั้น ความดับทุกข์นั้นเรียกว่าเป็นนิพพาน ไม่ใช่เป็นของที่เหลือวิสัยที่ใครๆจะทำไม่ได้ เราทำได้ทุกคนเช่นเราเป็นคนปกติ มีความโกรธ ถ้าเราเห็นโทษของความโกรธเราก็มีสติคอยควบคุมไว้ เราไม่โกรธใครๆ เขาเรียกว่าความโกรธมันก็นิพพานไป เรามีปกติริษยาคนอื่น ไม่ยินดีในความดี ในความสุขของคนอื่นเราก็พยายามปฏิบัติควบคุมจิตใจไม่ให้ความริษยาเกิดขึ้นในใจของเราต่อไป ความริษยานั้นก็หายไปเรียกได้ว่าความริษยามันก็นิพพานไปเหมือนกัน ความชั่วอันใดเคยมีอยู่ในจิตใจของเรา เราเอาชนะมันได้ ความชั่วนั้นดับหายไปก็เรียกว่าสิ่งนั้นนิพพานไป
นี่แหละคือจุดหมายในการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา อย่ากลัวคำว่านิพพาน เพราะคนบางคนกลัว ถ้าใครสอนเรื่องนิพพานก็แหมสูงเกินไป ความจริงไม่ได้สูงเกินไป เป็นเรื่องที่ควรเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ในการเป็นการอยู่ ใช้สำหรับที่จะแก้ปัญหาชีวิต มีอะไรเกิดขึ้น เช่นความโกรธเกิดขึ้น ความเกลียดเกิดขึ้น ความริษยา พยาบาท อาฆาตจองเวรเกิดขึ้นในใจของเรา เราก็พยายามดับมันเสียเมื่อสิ่งนั้นดับได้ ก็เรียกว่าเราได้นิพพานไปส่วนหนึ่งแล้วความโกรธดับหายไป ความพยาบาทดับหายไป ความริษยาดับหายไป ความอาฆาตจองเวรอะไรต่างๆดับหายไปเขาเรียกว่าเราได้นิพพานในส่วนนั้นแล้ว เป็นเรื่องที่จำเป็นแก่ชีวิตหรือไม่ หรือว่าเรามีความทุกข์มีความกลุ้มใจในเรื่องปัญหาต่างๆเราก็อยากจะดับทุกข์ ดับให้มันเด็ดขาดไม่ให้มันเกิดขึ้นต่อไป เราต้องใช้วิธีการของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิธีการที่พระองค์สอนให้เราศึกษาปฏิบัติก็คือว่า เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นเช่นมีความทุกข์เกิดขึ้น เราก็ต้องศึกษาว่า ทุกข์นั้นเกิดจากอะไรเพราะพระองค์ตรัสสอนไว้ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ไม่มีเหตุ ผลจะเกิดขึ้นไม่ได้ ผลจะดับก็ต้องดับเหตุก่อน พระมุนีสัมมาสัมพุทธะ มีปกติสามอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้นในตัวเรา เราจะต้องรับรู้เป็นประการแรกว่า ทุกข์นี้เกิดด้วยตัวเราเองอย่าไปเชื่อสิ่งเหลวไหลว่าสิ่งนั้นดลบันดาลให้เป็นทุกข์ สิ่งนั้นดลบันดาลให้เป็นสุข สิ่งนั้นดลบันดาลให้ถูกหวย ถูกเบอร์ อย่าไปคิดอย่างนั้นแต่ให้คิดว่า มันต้องมีเหตุและเหตุนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหนแต่อยู่ในใจของเราเอง เหตุมันอยู่ในใจของเรา อยู่ในเนื้อในตัวของเรา เราอาจจะคิดผิด เราอาจจะพูดผิด เราอาจจะทำอะไรผิดพลาดเสียหายแล้วก็มันเป็นเหตุให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น เราจึงต้องค้นหาเหตุในตัวเรา อย่าไปค้นหาที่อื่น ค้นหาที่อื่นมันก็ไม่ได้เรื่องอะไรเหมือนเราไปค้นหาหนวดเต่า เขากระต่ายมันคงไม่ได้ดังใจหมาย อันนี้ก็เหมือนกันต้องค้นในตัวเรา ที่ใจของเรามองดู คิดดู พิจารณาดู ว่าเราได้คิดอะไร ได้พูดอะไร ได้ทำอะไร ได้ไปคบหาสมาคมกับใครมันจึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น ค้นไปเถอะ มันก็จะพบด้วยตัวของท่านเอง เพราะสิ่งนั้นไม่ได้อยู่ไกลที่ไหนแต่อยู่ในเนื้อในตัวของท่าน เมื่อท่านค้นไปศึกษาไปประเดี๋ยวก็เจอก็เท่านั้นเอง เมื่อเจอเข้าแล้ว เราพบสาเหตุของเรื่องแล้วเราควรจะทำอะไรกับมัน ก็ตัดมันออกไปเสีย ตัดด้วยความอดทน คือไม่ทำต่อไป ตัดด้วยปัญญาพิจารณาเห็นว่าสิ่งนี้ มันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์อย่างนี้ ให้เกิดความเดือดร้อนใจอย่างนี้ เราก็จะไม่ทำต่อไป ตัดสินใจเด็ดขาด เลิก ละไม่ทำสิ่งนั้น เมื่อไม่ทำสิ่งนั้น สิ่งนั้นมันก็ไม่เกิด เรียกว่ามันดับหายไปหรือนิพพานไปแล้ว ทุกข์นั้นมันนิพพานไปเพราะเราเข้าใจปัญหาของความทุกข์ และเราแก้ทุกข์ถูกหลักการของพระพุทธเจ้าเราก็ได้นิพพานคือความดับทุกข์ได้ เรื่องอะไรอะไรในชีวิตของเราที่มันเกิดมันเป็นอยู่ก็ต้องแก้อย่างนี้ เช่นเรามีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้น เราก็ต้องรีบไปหาหมอเพราะหมอเขารู้ว่าเหตุมันอยู่ที่อะไรจะดับเหตุได้โดยวิธีใด หมอเขาเรียนเขาศึกษามาในเรื่องนี้ เราอย่ารักษาเองอย่าไปซื้อยาเจ๊กตี๋ เจ๊กต๋องมากินเอาตามชอบใจเพราะมันไม่ถูกกับโรค อาจจะทำให้โรคกำเริบ อาจจะให้เป็นพิษเป็นภัยมากขึ้นก็ได้เมื่อรู้สึกว่าร่างกายผิดปกติไม่ค่อยจะเรียบร้อยให้รีบไปหาหมอทันที ไปตรวจ ไปรักษา ตัดไฟหัวลมมันไม่เสียเวลาแล้วก็ไม่เปลืองสตางค์แต่ถ้าเราปล่อยไว้จนโรคมันมากแล้วเราไปรักษามันก็แพง เสียเงินมาก เสียเวลามาก บางทีไม่หาย ต้องย้ายทะเบียนไปอยู่ป่าช้า นี่ก็เพราะเราประมาทนั่นเอง พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า ปะมาโท มัจจุโนปะทัง ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย อัปปะมาโท อะมะตังปะทัง ความไม่ประมาทเป็นทางไม่ตาย เราจึงไม่ควรประมาทในเรื่องเล็กน้อย ว่าเรื่องเล็กน้อยไม่เป็นไร เอาไว้ก่อน นี่แหละตัวประมาททำให้เรื่องเล็กน้อยมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่จะสร้างปัญหาคือความทุกข์ความเดือดร้อนในการต่อไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นจึงรีบแก้ไขเพื่อดับสิ่งนั้นเสีย
หลักการพระนิพพานของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่เราจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องเหลือวิสัย ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าจะไม่สอน สิ่งที่เหลือวิสัยของมนุษย์ เพราะพระองค์ก็เป็นมนุษย์มาก่อน แต่ว่าเป็นมนุษย์ที่ใช้ ปัญญา คิดก้าวหน้าในการที่จะค้นหาทางดับทุกข์ให้แก่มนุษย์ทั้งหลายจึงได้ไปค้นพบสิ่งเหล่านี้แล้วก็นำมาประกาศให้ชาวโลกได้รู้ได้เข้าใจกันต่อไป พระองค์ได้กระทำอย่างนี้ จึงพบสิ่งนี้มีค่าแก่ชีวิต สิ่งที่พระองค์ค้นพบ ค้นพบด้วยวิสัยของมนุษย์ ด้วยความสามารถของมนุษย์ ไม่ใช่มีเทพเจ้าไหน มาดลบันดาลให้รู้ ดลบันดาลให้เข้าใจ เหมือนกับพวกศาสนาอื่นบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ได้รู้ก็เพราะพระเจ้าของเขาสั่งให้รู้นั่นมันพูดแบบโง่ๆเง่าๆแบบความเชื่องมงาย ไม่ใช่พูดด้วยปัญญา พูดดูหมิ่นศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มนุษย์เรานี้มีสิทธิ มีหน้าที่ที่จะปฏิบัติตนเพื่อความพ้นทุกข์ได้โดยไม่ต้องอาศัยเทพเจ้าที่ไหน แต่อาศัยตัวเอง พึ่งตัวเองปฏิบัติตามหลักธรรม หรือแนวทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงค้นพบชี้ให้เราดู เปิดเผยให้เราเข้าใจ เราก็เดินตามทางนั้น เราก็จะได้ไปถึงจุดหมาย พบทางแล้วเดิน เดินไม่หยุดมันก็ไปถึงจุดหมายเองขอให้เราเข้าใจไว้อย่างนี้ อันนี้เป็นเรื่องที่เราทำได้ไม่ใช่เป็นเรื่องเหลือวิสัย เรื่องนิพพานจึงเป็นเรื่องที่จะทำให้เราเป็นความสุขทางใจ พระนิพพานจึงเป็นเรื่องไม่ลำบาก ไม่เหลือวิสัยของเราทุกคนทั้งหญิง ทั้งชาย มีโอกาสเข้าถึงจุดนี้ได้ แม้คนชาติอื่น ศาสนาอื่นก็มีโอกาสเข้าถึงได้ ถ้าไม่ติดในทฤษฎีหลักการมากเกินไป ยอมรับนับถือหลักการอันนี้ แล้วเอาไปปฏิบัติ ท่านก็ไม่ได้เสียหายอะไรแต่ท่านจะได้ประโยชน์จากการปฏิบัตินั้นท่านจะเข้าถึงจุดหมายของการปฏิบัติแล้วเป็นเหตุให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวันได้ นี้ประการหนึ่ง
เพราะฉะนั้นญาติโยมทั้งหลายวันมาฆบูชา ถือว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระ พุทธศาสนาเป็นวันที่เราควรระลึกถึงอะไร ควรระลึกถึงพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายจำนวน ๑,๒๕๐ พร้อมด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยก็เป็น ๑๒๕๑ องค์ เป็นผู้ที่เราควรจะนึกถึง พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายนั้นท่านเป็นผู้ไกลจากกิเลสแล้วเป็นผู้หักกงกรรมแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้ควรแก่การที่จะสอนโลกเพราะได้ทำพระองค์ให้เป็นตัวอย่างด้วยดีแล้ว เป็นผู้ควรแก่การเคารพกราบไหว้บูชาสักการะ เรานึกถึงพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายเหล่านั้น นึกถึงแล้วอย่านึกถึงเฉยๆ อย่านึกถึงแบบคนปัญญาอ่อนแล้วจะขอร้องวิงวอนให้ช่วยตนให้พ้นจากความทุกข์ ด้วยการทำอะไรที่ไม่เข้าเรื่อง เราจะต้องน้อมนำคุณธรรม ของพระอรหันต์เหล่านั้นมาใส่ไว้ในใจของเรา ทำใจเราให้มีธรรมะของพระอรหันต์ขึ้นไปทีละน้อย ทีละน้อย เช่นพระอรหันต์ท่านมีความบริสุทธิ์ เราก็ต้องตั้งฐานไว้ในใจ เราอยู่เพื่อความบริสุทธิ์ เราคิดอะไรคิดให้มันเกิดความบริสุทธิ์ อย่าคิดไปในทางกามาวิตก นึกแต่เรื่องกามารมณ์นึกสนุกในเรื่องเนื้อเรื่องหนังอย่าคิดในเรื่องการเบียดเบียนใครๆ อย่าคิดในเรื่องการจะพยาบาทอาฆาตจองเวรแก่ใครๆ อย่าคิดด้วยความโลภ ด้วยความโกรธ ด้วยความหลง ด้วยความริษยาพยาบาทแต่คิดด้วยการที่จะทำใจของตนให้พ้นจากสิ่งเหล่านั้น ให้มันบริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้น ไป อย่างนี้ก็เรียกว่าเราเดินตามรอยเท้าของพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย และเราเดินตามรอยเท้าของพระอรหันต์ เราก็จะพบพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายเหมือนกันคือ เราบรรลุความเป็นพระอรหัตต์ บรรลุเป็นพระอรหัตต์ก็ได้เป็นพระอรหันต์กันเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยที่ใครๆจะทำไม่ได้ อย่าเข้าใจผิดว่าสมัยนี้พุทธศาสนาล่วงเลยมานานแล้วไม่มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลกแล้ว อย่าเข้าใจอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกับ สุภัททะปริพพาชกว่า สุภัททะเอ๋ยตราบใดที่ชาวโลกยังปฏิบัติตนตามอริยมรรคมีองค์แปด โลกนี้จะไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ อริยมรรคมีองค์แปดมีอยู่คือสัมมาทิฐิความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะความคิดชอบ สัมมาวาจาการพูดชอบ สัมมากัมมันตาการกระทำงานชอบ สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวายามะเพียรชอบ สัมมาสติตั้งใจมั่นระลึกชอบ สัมมาสมาธิตั้งใจมั่นชอบ เป็นอริยมรรคมีองค์แปดประการ เป็นทางยังอยู่ มีอยู่ ทางยังอยู่แต่คนไม่เดินเองแล้วจะไปโทษเส้นทางก็ไม่ได้ดังนั้นเราทั้งหลายเมื่อมาระลึกถึงพระอรหันต์เจ้าในวันมาฆบูชาจงพากันเดินตามเส้นทางที่พระอรหันต์เดินแล้วเดินไปเพื่อความบริสุทธิ์ของจิตใจ เดินไปเพื่อความสว่างทางจิตใจ เดินไปเพื่อความสงบทางจิตใจ ขอให้ทุกคนอย่าประมาทในการดำรงชีวิต อย่าให้วันมาฆะผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไร แต่จงให้วันมาฆะผ่านไปโดยการปฏิบัติในสิ่งถูกต้องดีงามตามหลัก ธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทั่วกันทุกท่านทุกคนเถิด