แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
เมื่อวันที่ 4 นี้ ได้เดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อจะไปเยี่ยมพระ ที่อยู่ที่วัดป่านานาชาติ และก็ต้องการพักผ่อนด้วยกัน แต่ว่าเมื่อไปถึงแล้ว แทนที่จะได้พักผ่อนกลับมีงานเยอะแยะให้ทำ คือคนเขารู้เข้าว่าท่านปัญญานันทะมาอุบลราชธานี ก็เลยมานิมนต์ให้ไปที่นั่นไปที่นี่ วันหนึ่งต้องพูดตั้ง 3-4 ครั้งเลยไม่ได้พักเหมือนกัน แต่ว่าได้ประโยชน์ในการที่จะนำธรรมะไปแจกจ่ายแก่ชาวบ้านแก่ นักเรียน นักศึกษา ครูอาจารย์ ในที่นั้นๆ ทั่วๆ ไป แล้วก็เดินทางไปเยี่ยมวัดซึ่งอยู่ในป่ามีเนื้อที่ตั้ง 2,000 ไร่ เนื้อที่มากยังเป็นป่าอยู่ บางส่วนเรียบร้อย แต่บางส่วนก็คนเข้าไปแย่งตัดต้นไม้ เวลานี้ต้องเอา ตชด.ไปไว้ที่วัด 3 คน ต่อเมื่อได้ยินขวานกับต้นไม้กระทบกัน ตชด. ก็จะได้บุกเข้าไป เอาปืนไปด้วย พวกนั้นก็วิ่งหนี มันเห็นปืนมันกลัว หมูป่ามีมากเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ชาวบ้าน เก็บทีละตัว สองตัว ไปทำหมูหัน แลก็เหลือน้อย อีเก้งก็มี แต่ก็เหลือน้อย ไก่ป่ามีแต่ไม่กล้าขัน เพราะถ้าขันแล้วคนมันรู้ว่าไก่อยู่ตรงไหน มันก็จะไปยิงไก่เหล่านั้น เพราะฉะนั้นไก่ป่าที่นั่นไม่สนุกเลย ไม่ร่าเริงกับเขาเลย ขันไม่ได้ต้องอยู่เงียบๆ และก็มีไก่ เขาเรียกว่าไก่ฟ้า ไก่ฟ้านี่มันสวย มีหงอน มีหาง สวย สีสวย มันก็ยังมีอยู่หลายตัวเหมือนกัน ต้นไม้ก็ต้นใหญ่ๆ ยังมีอยู่มาก และก็อยู่ใกล้อ่างเก็บน้ำใหญ่ เขาเรียกว่าเขื่อนสิรินธรณ์ ถ้าอยู่ที่ขอบอ่างแล้วอากาศดีมาก เหมือนกับนั่งอยู่ริมทะเลเหมือนกัน
เมื่อไปนี่ ไปด้วยรถยนต์ ไปด้วยรถจีป แลนด์โรเวอร์ เพราะถ้ารถอย่างอื่นมันเข้าไม่ได้ ถนนมันมีแหละแต่เป็นถนนธรรมชาติ มีหินตัดอยู่ก้อนโตๆ แต่เราเอารถจีปไปได้ กว่าจะเข้าไปถึงได้ก็ เอี้ยวไปเอี้ยวมา กันหลายที ไปถึงวัดได้ก็สบายใจ รอบบริเวณวัดร่มรื่น มีกุฏิสำหรับพระอยู่หลายหลัง แต่ว่ามีพระอยู่ก็เป็นพระฝรั่งชาวออสเตรเลีย เป็นสมภารชื่อท่านปุริโส ชื่อเดิมท่านชื่อ มิสเตอร์บรูซ ทีนี้ตัวบรูซซึ่งเป็นตัว B คือตัว บ เลยชาวบ้านเรียก มันคล้ายๆ กับภาษาไทย เลยตั้งชื่อบาลีว่าปุริโส แปลว่าพระบุรุษ ปุริโสแปลว่าบุรุษ เลยท่านปุริโส รูปร่างผอมๆ แต่ว่าก็เป็นนักพูดพอสมควร เพราะว่าไปอยู่ที่นั่นสองปีกว่าแล้ว ก่อนนี้อยู่วัดป่านานาชาติ ซึ่งมีพระฝรั่งหลายองค์ เดี๋ยวนี้ท่านไปอยู่นั่น และก็จะมีสามเณรไทย ชาติไทยอยู่ด้วย สามเณรไทยองค์หนึ่งมา เข้ามาใกล้อาตมา อาตมาดูสบงแกแล้วบอก โอ้ย...นี่ สบงนี่มันทำไมหลายผืนเหลือเกิน คือปะรุงรังไปหมด ชิ้นเท่าฝ่ามือบ้าง โตกว่าบ้าง เล็กบ้าง ปะให้เปรอะไปหมดทั้งผืนน่ะแหละ บอกว่า ทำไมปะมากอย่างนั้นล่ะ เณรบอกว่ามันขาดหลวงพ่อ แล้วเอาผ้าที่ไหนมาปะล่ะ เอ้า...ก็ผ้าขี้ริ้วแถวนี้ ตรงไหนมันยังพอตัดได้ก็มาปะๆ มันเข้าไป เห็นแล้วก็นึกว่าน่าสงสารเณรนี้เหลือเกิน นุ่งผ้าปะรุงรังไปหมด ก็นึกว่ากลับมาถึงนี้แล้วอยากจะส่งผ้ากลับไปให้สักกรี (05.17) ให้เณรนั้นนุ่งห่มผ้าให้สมบายใจหน่อย ส่วนพระที่อยู่นั่นก็มีปรกติสุขดี เพราะพอใจในการอยู่ป่า
อาตมาไปเห็นแล้วก็รู้สึกว่าพระที่อยู่ในวัดวนโพธิญาณนี่ แต่ชาวบ้านเรียกว่าวัดเขื่อน เพราะว่าอยู่ใกล้เขื่อน รู้สึกว่าท่านมีความอดทนมาก มีความเพียรมาก แล้วก็อาหารก็ตามมีตามได้ บิณฑบาตนี่ค่อนข้างจะไกลหน่อย คือต้องข้ามเรือก่อน วัดมีเรือสองลำ ลำหนึ่งเป็นเรือเหล็ก ทำดี ท่านปุริโสบอกลำนี้รับรองไม่มีจมน้ำ เพราะว่าทำแบบเหมือนกับว่าเป็นท่อนไม้ คือข้างในมันกลวง ข้างบนก็ปาดเหล็กไว้ ใช้เครื่องยนต์ แต่เครื่องยนต์เก่าเต็มที มันวิ่งชั่วโมงหนึ่ง ไปสักกิโลหนึ่งก็ค่อนข้างยากแล้ว แต่มันก็พาข้ามฝั่งได้ พอพระจะไปก็สตาร์จ (start) เครื่องพาไปขึ้นที่ฟากโน้น แล้วก็จอดเรือทิ้งไว้ที่นั่น เดินไปหาถนนใหญ่ แล้วก็เดินไปตามถนน แล้วไปเลี้ยวเข้านิคม ทั้งไปทั้งกลับนี่ก็ประมาณ 10 กิโลเมตร กว่าจะได้ฉันนี้ก็ ออกกำลังเสียพอแรงนานทีเดียว เพราะว่าคนอยู่ในนิคมก็อยู่บ้านห่างๆ กัน ไม่ได้ติดกันเหมือนในตลาด จากบ้านนี้ไปบ้านโน้น ไปบ้านโน้น เที่ยวบิณฑบาต อาตมาตื่นเช้าปรกติน่ะ แล้วก็ไปเดินรอบๆ บริเวณ แล้วขึ้นมาอ่านหนังสือ คอยว่าเมื่อไหร่พระจะกลับ แล้วก็เดินอยู่ข้างกุฏิจงกรมนาน เห็นพระโผล่มาองค์ แล้วก็มาอีกองค์หนึ่ง เก้าโมงแล้วยังมาไม่ถึงกันหมด กว่าจะได้ฉันนี่ แล้วก็โยมก็มากันเรื่อยๆ หิ้วกับข้าวมาถวายพระ จะได้ฉันกันจริงๆ ก็เกือบสิบโมง ก็เรียกว่านั่งคอยกัน ท้องมันก็บอกว่าถึงเวลานานแล้ว แต่ว่าอาหารไม่มาพระท่านจะฉันอะไร ก็ฉันน้ำไปก่อน รออาหาร เพราะเค้าฉันกันมื้อเดียว อาตมาก็ไปอยู่ก็มื้อเดียวกับท่านด้วย ก็สบายดีนะ ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะว่าที่มันสงบสบาย แต่ว่าอากาศยังไม่หนาว เมืองอุบลยังไม่หนาว ยังร้อน โดยเฉพาะที่วัดเขื่อนนี่กลางคืนร้อน เพราะว่าลมมันติดต้นไม้หมด ไม่ได้เข้ามาถึงที่พระอยู่ มีองค์หนึ่งชื่อนิมมาโร เป็นชาวเยอรมัน แกก็ถามว่าเมื่อคืนนอนไหน บอกว่าไปนอนที่โขดหินริมน้ำ ลมดีว่างั้น ยุงไม่กัดรึ ยุงไม่กัด ไม่มียุงว่างั้น แถวนั้นยุงมันน้อยนอนสบาย นอนบนโขดหินสบาย คือบริเวณวัดนี่มันมีธรรมชาติสวยงาม มีอ่าว มีแหลม แล้วก็มีหัวหินด้วย คนชอบไปเที่ยวหัวหิน ที่นั่นก็มีหัวหินให้เที่ยวเหมือนกัน คือมีหินมันยื่นออกไปเป็นก้อนๆ ออกไป แล้วก็มีหินยื่นวางอยู่บนหินก้อนหนึ่ง ยื่นออกเป็นหลังคา เป็นหลังคาก็ไปนั่งใต้นั้น ก็สบายไม่ถูกฝนนะ แล้วก็นั่งดูน้ำทิ้งเป็นคลื่นน้อยๆ สบายใจไปนั่งแถวนั้น นึกว่าแหมคนกรุงเทพฯนี่ น่าจะไปตากอากาศวัดป่า หรือไปตั้งเตนท์ริมอ่าง สบายมาก ตั้งเตนท์นอนพักสบาย น้ำอาบก็มีน้ำดื่มก็มี ที่วัดนั้นสร้างถังน้ำฝนไว้หลายถัง พอกินพอใช้ แต่ว่าปีนี้ท่านปุริโส บอกว่า ฝนตกน้อยน้ำไม่ล้นถึง ปีก่อนฝนตกมากน้ำล้นถัง ฝนมันมาเทอยู่ที่กรุงเทพ เหมือนกับแกล้งผู้ว่าการอาสา เมฆสวรรค์ เทจักๆ อยู่เนี่ยะ ที่โน่นตกไม่ค่อยเท่าไหร่ ฝนตกไม่มาก ทั้งๆ ที่พายุใต้ฝุ่นแม่เฟรนลี่น่ะทำเอาเมืองญวนยุบยับไป ตายไปตั้ง ๗๐๐ คนไม่มีบ้านอยู่ ๒๐๐,๐๐๐ แต่พอเข้าเมืองไทยใต้ฝุ่นหมดฤทธิ์โดยอานุภาพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เลยไม่เดือดร้อน น้ำมันไม่เต็มถังแต่พอฉัน อยู่ได้สะดวกสบายดี
วันนี้เขาก็ทอดกฐินเหมือนกันที่วัดนั้น คนกรุงเทพก็ไปทอดแรก ขั้นแรกคุณเกศินีว่าจะไป แต่ติดขัดเลยให้ผู้อื่นไปแทน เมื่อคืนวันที่แปด คนที่ไปก็นอนอยู่ที่วัดป่านานาชาติ วัดป่านานาชาติเขาทอดกฐินเมื่อวันที่เก้า อาตมาออกมาเสียก่อนไม่ได้ร่วมกฐินเขา แต่ว่ากลางคืนวันที่แปดก็ได้เทศน์ให้ญาติโยมฟัง ในเรื่องเกี่ยวกับกฐินเรียบร้อยแล้ว ตื่นเช้าหกโมงครึ่งคนก็ไปรับ เอามาฉันอาหารที่บ้านเขาแล้วก็มาส่งขึ้นเรือบิน เดินทางกลับมาวัดชลประทานรังสฤษฏ์
ทำไมจึงไปเยี่ยมวัดป่านานาชาติ เพราะที่วัดนั้นมีพระฝรั่งอยู่ส่วนมาก มีพระญี่ปุ่นอยู่องค์หนึ่ง แล้วก็มีพระไทยอยู่สองรูป นอกนั้นเป็นฝรั่งทั้งนั้น จากหลายชาติหลายภาษาเขามาอยู่รวมกัน แต่การเป็นอยู่น่าดูมาก พระฝรั่งนี่น่าดู คือตีสามนี่เขาก็ลุกขึ้นแล้ว ตีระฆัง หั่ง หั่ง นาฬิกาตีสามนะ โยมกำลังนอนสบายแต่พระลุกขึ้นแล้ว ลุกขึ้นแล้ว ก็มาประชุมกันที่ศาลาไหญ่ เขามีศาลาใหญ่ มาสวดมนต์นั่งสงบใจ ทำกรรมฐาน นั่งกรรมฐานกันแล้ว ก็เดินจงกรม อยู่ในศาลานั้น จนสว่างหกโมง หกโมงเช้าก็ช่วยกันปัดกวาดบริเวณ ศาลาอะไรต่ออะไรพอสมควรก็ไปบิณฑบาตร ท่านบิณฑบาตทุกวัน ออกบิณฑบาตร อาตมาไม่ได้ไปหรอก แต่ว่าเดินรอบๆ วัด ออกกำลังกาย เวลาท่านบิณฑบาตรกลับมาก็ไปขอเปิดบาตรดู ว่ามีอะไรบ้างในบาตรน่ะ มีแต่ข้าวเหนียวเกือบเต็มบาตร พระบอกข้าวเหนียวนี่มันหนักจริง มันหนักกว่าข้าวเจ้า ข้าวเจ้ามันเบานะโยมข้าวเหนียวมันหนักนะ แต่ท่านสะพายเฉลียงบ่ากันไปเลย เดินปุ๊บปั๊บ ปุ๊บปั๊บ กลับมาวัด เอาข้าวเหนียวมาไม่มีกับข้าว คือชาวบ้านแถวนั้นไม่ใส่กับข้าวลงในบาตรแล้วก็ไม่ห่อถุงพลาสติกใส่ ยังไม่เจริญ ที่นั่นเขาไม่ใช้พลาสติกกัน กับข้าวเขาเอามาทีหลัง พระมาก่อน มาถึงก็มาเทลงไปในกะละมังใบใหญ่ กะละมังใบเท่านี้นะ ข้าวเหนียวก้อนรวมกันแล้วโตล้นกะละมังเลย ยกคนเดียวไม่ไหว เดี๋ยวชาวบ้านเขามา เขาก็เอาปิ่นโตมาเอากับข้าวมา เอาใส่หม้อมา มาถึงก็พระก็ลงไปนั่งเป็นแถวในศาลา อาตมาก็ไปนั่งหัวแถว ก็แก่กว่าเพื่อน นั่งอยู่หัวแถว พอถึงเวลาฉันเขาก็ประเคน เอาข้าวใส่กะละมังยกมาประเคน อาตมาก็เอาก้อนหนึ่ง แต่ว่าไม่ใหญ่หรอก ก้อนใหญ่มันไม่ไหว เอาก้อนน้อยๆ ใส่ลงไปแล้วก็มีข้าว แล้วก็มีข้าวเจ้าจานหนึ่งแล้วก็เอานิดหน่อย ข้าวเจ้านิดหน่อยเหนียวนิดหน่อยปนกันเข้าไป แล้วก็มีแกงมาหม้อ มีทัพพีตักแกง เอาทัพพีตักแกงทัพพีหนึ่ง หม้ออื่นก็ตักเอา ตักส่งไป ตักไปๆ เรื่อยไป ไปจนกระทั่งถึงแถวสุด พอแถวสุดพระ เณร เณรแล้วมีแม่ชีฝรั่งอยู่คนหนึ่งก็ไปถึงแม่ชี พ้นแม่ชีแล้วก็โยมเอาไป ของหวานก็มา ก็เป็นแถวแจกอาหารกันฉัน พอแจกอาหารกันเสร็จเรียบร้อย อนุโมทนา ยะถา สัพพี ให้ญาติโยมฟัง ญาติโยมฟังเสร็จแล้วก็ยกกับข้าวไปครัว โยมก็ไปทานกัน พระก็ฉันไปตามเรื่อง ฉันในบาตร อาตมาไปอยู่นั่นก็ฉันกับข้าวเสียเป็นส่วนมาก ข้าวนี่ฉันน้อยๆ มื้อเดียวก็สบายดี ไม่เดือดร้อนอะไร อันนี้ตอนบ่ายนี่ เขาก็มีฉันน้ำชาหรือว่ากาแฟอะไรกัน แต่ว่าไม่ได้ใส่นมหรอก พระที่นั่นเขาไม่ฉันนม เขาฉันแต่น้ำชา น้ำตาล โกโก้บ้าง อะไรบ้าง อาตมาไม่ค่อยชอบน้ำชา กาแฟ เขาก็เอาน้ำส้มคั้นมาให้แก้วหนึ่ง ฉันน้ำส้มคั้น
เวลาตอนเช้าวันที่ห้า ก็เทศน์กับญาติโยมที่มาทำบุญ ก็พอดีว่าเป็นวันพระ คนมาฟังกัน และกลางคืนเทศน์อีกคนมากกว่าตอนกลางวัน เพราะกลางวันคนเกี่ยวข้าวแล้วกลางคืนมามากกว่า เทศน์ให้ญาติโยมฟัง วันที่หกนี่ไปเทศน์ที่โรงเรียน วิทยาลัยครู เทศน์กับครูอาจารย์ ไม่ต้องเทศน์กับนักเรียน ครูดีแล้วอาจารย์มันดีเอง เลยเทศน์กับครูบาอาจารย์ กลางคืนไปเทศน์วัดป่าใหญ่ เขาเรียกว่าวัดมหาวนาราม วัดนั้นมีหลวงพ่อองค์ใหญ่ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นแต่ว่าเป็นของเก่าแก่ ถ้ามีพระเก่าอยู่ที่ไหนคนนับถือมาก ไปกราบไปไหว้ควันโขมงในศาลา เทียนก็จุดสว่าง ปิดทองอร่ามตา คนนั้นเอาทองไปแปะ คนนี้เอาทองไปแปะ ติดกันเต็มไปทั้งหมด เรียกว่าไปไหว้พระ การไปไหว้พระแบบนี้เขาเรียกว่าไปไหว้แบบขอพร ไปไหว้แบบให้สินบนพระพุทธรูป เรียกว่าไปคอรัปชั่นกับพระพุทธเจ้าเสียหน่อย คอรัปชั่นกับพระพุทธรูปเสียหน่อย คอรัปชั่นยังไง จุดธูปจุดเทียนเสียหน่อย แล้วก็บนบานศาลกล่าว ว่าถ้าสำเร็จคราวนี้แล้วหลวงพ่อเอ๊ย จะเอาทองมาปิดสักสิบแผ่น แล้วก็ไปทำมาหากินตามเรื่อง ทำมาหากินมันก็ได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้นึกว่าที่ตัวทำเองได้เองเขาไม่ได้นึกอย่างนั้น แต่เขานึกว่าหลวงพ่อช่วยคราวนี้ ต้องเอาทองไปปิดตามสัญญา เอ้า...เดี๋ยวเอาทองมาปิดตามสัญญา แปะเข้าไป เอ้า ... แปะเข้าไป ทางวัดก็คอยขายทองให้ญาติโยมต่อไป อาตมาก็ไปเทศน์ แต่ว่าไม่ได้โจมตี วัดนั้นน่ะไปเทศน์เรื่องอื่น เทศน์เรื่องเลี้ยงเด็กเรื่องอบรมเด็ก อะไรต่ออะไรไปตามเรื่อง ไอ้จะโจมตีวัดนั้นมันก็ไม่ได้เพราะเพิ่งไปเทศน์ครั้งแรก สมภารแกจะเคืองเราว่าแหม...อุตส่าห์นิมนต์มาเทศน์ มาว่าเราเสียอีกแล้ว แต่ก็เอา เอาไว้ก่อน ๆ ไว้คราวหน้า ค่อยว่าไป แต่ว่าไม่โจมตีที่วัดนั้น แต่ไปโจมตีที่วัดอื่น วันหลังก็ไปเทศน์ที่วัดอื่นเทศน์เหมือนกัน หรือไปเทศน์ต่อหน้าหลวงพ่อที่นั่งอยู่ในวิหารนั่นเกรงใจท่าน เพราะว่าเพิ่งไป แล้วก็สมภารท่านก็มานั่งฟังอยู่ด้วย รองเจ้าคณะจังหวัดก็มานั่งฟัง ของดไว้ก่อนว่าเรื่องอื่นไปก่อน อันนี้ก็วันที่หก
วันที่เจ็ดก็เดินทางไปเขื่อน ที่เขื่อนก็มีเทศน์เหมือนกัน เพราะญาติโยมมาทำบุญแล้วก็เทศน์ให้ฟังหนึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วก็เดินทางกลับมา กลับมาถึงก็ครูเขาไปดัก เอาตัวไปที่โรงเรียนเบญจม มหาราช ไปเทศน์กับเด็กนักเรียนจำนวนหนึ่ง แล้วก็ ๑๗ นาฬิกาวันนั้นก็ไปเทศน์ที่วัดแจ้ง ชื่อวัดแจ้งมันยังดีอยู่วัดแจ้ง วัดอื่นๆ มันไม่แจ้งแล้ว ไม่แจ้งเพราะอะไร …… (18.27) ลูกวัดเข้าไป ไม่ใช่ทุกข์ด้วยการบังคับผลักไสอะไรหรอก สมภารก็เต็มใจให้ลุกด้วยเหมือนกัน คือสร้างตึกรอบวัด เลยวัดกลายเป็นวัดมืดไปหมด ไม่ใช่วัดแจ้ง มีซุ้มประตูอยู่หน่อยพอให้รู้ว่าเป็นวัด พอเข้าไปแล้วอยู่หลังบ้านเขา พระอยู่หลังบ้าน เพราะเห็นแก่ปัจจัยที่จะได้จากร้านแถว เลยให้เขาเช่า แต่วัดแจ้งนั้นยังแจ้งอยู่สมชื่อ เวลาไปเทศน์ก็บอกแหม...ดีใจที่ได้มาเทศน์วัดแจ้ง เพราะวัดนี้มันยังแจ้งสมชื่ออยู่ แล้วก็ขอให้คณะกรรมการวัดช่วยรักษาความแจ้งนี้ไว้ อย่าให้มืดเป็นอันขาด เพราะวัดแจ้งนั้นถนนสี่ทิศรอบวัดเลย เพราะถ้าหากเปิดโอกาสโยมก็ไปสร้างตึกแถวเท่านั้นเอง เลยยังไม่ได้มีอย่างนั้นสมภารยังไม่ให้สร้าง สมภารองค์นี้ไม่ให้สร้าง สมภารองค์ต่อไปอาจจะสร้างก็ได้ เลยต้องบอกญาติโยมว่าช่วยกันรักษาไว้ นั่นก็เทศน์ให้ญาติโยมฟังชั่วโมงหนึ่งแล้วก็กลับไปเทศน์ที่วัดป่านานาชาติต่อไป
จำพวกกฐิน คนมากเต็มศาลา ศาลาเขาใหญ่ เต็มหมด ล้นออกไปข้างนอก เป็นป่าบริเวณสบาย คนก็ฟังกันดีเรียบร้อย รุ่งเช้าก็เดินทางกลับวัดชลประทานรังสฤษฏ์ ได้ไปเยี่ยมพระท่านก็สบายใจ พระฝรั่งทั้งหลายนี่ท่านสบายใจ สบายใจว่าแหม... ขอบคุณหลวงพ่อ ที่อุตส่าห์มาเยี่ยมพวกผม ปีหนึ่งก็ขอให้มาเยี่ยมสักครั้งหนึ่ง จะได้เกิดความอุ่นอกอุ่นใจกัน ก็ตั้งใจอย่างนั้น ออกพรรษาแล้วก็ไปพัก ไปเยี่ยมเนาะ ไปแล้วก็ได้ถือโอกาสไปเทศนาในที่อื่นต่อไปด้วย เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป
พวกพระฝรั่งที่เขามาบวชนี่ มาบวชด้วยความตั้งใจ มีองค์หนึ่งสำเร็จวิชาแพทย์อายุเพียง ๑๙ เขาเรียนเก่ง เป็นชาวนิวซีแลนด์ ได้แต่เป็นสำเร็จแพทย์มาอายุเพียง ๑๙ แล้วก็มาอยู่เวลานี้เป็นสามเณร อายุยังไม่ครบ ๒๐ ยังไม่บวชเป็นพระ บวชเป็นสามเณรอยู่ คุณแม่ให้จดหมายมาบ่อยเหลือเกิน บอกว่าขอให้ลูกกลับบ้านแม่คิดถึงอะไรต่ออะไร คือคุณแม่คิดถึงลูกชายที่เป็นหมอ เพราะว่าเป็นหมอนี่หาเงินคล่อง ก็เลยคิดถึงแต่ว่าลูกชายก็ไม่อยากจะกลับ ก็บอกกับท่านสมภารท่านปสันโนว่าแหม...ไม่อยากจะกลับหรอก เพราะว่าอันนี้มันประเสริฐกว่า มีความสุขกว่า ที่จะไปเป็นหมออยู่ประเทศนิวซีแลนด์ แกก็ยังอยู่ต่อไปเป็นสามเณร พออายุ ๒๐ ก็คงจะได้บวชเป็นพระ แต่ว่าเมื่อบวชนานแล้วอยู่นี่หลายๆ ปี ก็จะกลับไปทำประโยชน์ต่อประเทศนิวซีแลนด์ในฐานะเป็นนายแพทย์ทางใจได้ ที่เรียนมาจากมหาวิทยาลัยนั้นเรียกว่า แพทย์ทางกาย แต่มาอยู่ที่วัดป่านานาชาตินี่เป็นแพทย์ทางใจ เรียนอยู่ถ้าสำเร็จวิชาแพทย์ทางใจแล้ว ก็จะได้นำวิชาแพทย์นี้ไปเผยแผ่ ในประเทศนิวซีแลนด์ต่อไป เพราะว่าประเทศนิวซีแลนด์ในเวลานี้ก็มีพระไปอยู่เหมือนกัน มีพระไปจากประเทศอังกฤษ คือเขาขอไปยังประเทศอังกฤษกับท่านสุเมโธ ท่านสุเมโธก็ส่งพระ ๒ รูปไปไว้ที่นั่นท่านวีระธัมโมกับท่านฐานะระตู องค์หนึ่งเป็นชาวแคนาดา องค์หนึ่งเป็นชาวอิตาเลี่ยน ไปอยู่ด้วยกัน เพื่อทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ คนนิวซีแลนด์นี่ก็มาบวชหลายคนแล้วเหมือนกัน แต่ว่าบวชต่างๆ กันวัดโน้นบ้างวัดนี้บ้าง ที่อยู่วัดป่านี่ก็มีเป็นพระอยู่นี่ก็มี ที่อยู่วัดอื่นก็มีเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่าชาวตะวันตกเวลานี้เขามีความทุกข์ทางใจ เขาไม่สามารถจะแก้ปัญหาทางใจได้ด้วยคำสอนที่เขามีอยู่ก่อนแล้วได้ เขาก็เที่ยวแสวงหา ว่าธรรมะส่วนใดในโลกนี้ที่จะช่วยแก้ปัญหาชีวิตได้อย่างแท้จริง เขาก็มาศึกษาพระพุทธศาสนา เอาไปใช้เป็นหลักปฏิบัติ ปฏิบัติด้วยตนเองได้ผล ดับทุกข์ได้เขาก็พอใจแล้วเขาก็อยู่กับพระพุทธเจ้าต่อไป จนกระทั่งแก่ชรา
เพราะว่าพอใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว แล้วเขาก็บวชต่อไป ทำประโยชน์ต่อไป พระบางองค์เมื่อบวชครบ ๕ พรรษาแล้วก็ออกเดินธุดงค์ เวลานี้ก็ออกเดินธุดงค์อยู่องค์หนึ่งชื่อท่านชยสาโร ท่านชยสาโรนี่เป็นพระจากประเทศอังกฤษ มีความรู้ภาษาอังกฤษดี ดีมาก คือมันดีตรงที่ว่าแกสอบเข้ามหาวิทยาลัยแคมบริดได้ คนอังกฤษที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ก็เยอะเหมือนกัน แต่ถ้าคนไหนสอบเข้าออกฟอร์ดหรือเคมบริดได้นี่ เขาก็ต้องยกนิ้วให้ ยกนิ้วให้ว่าคนนี้เก่งภาษาอังกฤษ เพราะถ้าไม่เก่งสอบไม่ได้ แม้จะเก่งทางฟิสิกส์ เรื่องอะไรต่ออะไร เรื่องวิทยาศาสตร์อะไรก็ตาม แต่ถ้าภาษาอ่อนเขาไม่ให้เรียน เขาไม่รับเขากวดขันเรื่องภาษาของเขา ดังนั้นเมื่อเข้าได้จึงเรียกว่าเก่งทางภาษา แต่ว่าแกไปเรียนอยู่เพียงแค่สองปี แกก็ได้พบเรื่องทางพระพุทธศาสนา สนใจหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เลยเลือกไม่เรียนต่อไปแล้ว ออกมาลาออกแล้วก็มาเมืองไทย เข้ามาบวชเป็นพระอยู่จนห้าพรรษาแล้ว ปีนี้ออกเดินธุดงค์ เดินจากกรุงธนโน้นมาเรื่อยขึ้นไปภาคเหนือไปเชียงใหม่ เรียบชายป่า จากเชียงใหม่อำภอฮอด เดินเรียบภูเขาระหว่างแดนพม่ากับประเทศไทย เวลานี้ไปจำพรรษาอยู่ที่ทองผาภูมิอยู่ในป่าที่อำเภอทองผาภูมิ ไปธุดงค์อยู่ที่นั่น ท่านก็ไปอยู่ได้ชาวบ้านแถวนั้นก็ให้อาหารท่านฉันไปวันละมื้อๆ เขาจะพยายามทำอย่างนั้นเพื่อฝึกเอา เพื่อแสวงหาคุณธรรมที่สูงยิ่งขึ้นไป ปฏิบัติให้จิตใจเกิดความสงบ กับอาจสว่างมากยิ่งขึ้น ยังไม่กลับวัดเดิม ยังท่องเที่ยว ท่านชยสาโรองค์นี้ได้รู้ภาษาไทยดีเป็นลำดับ เพราะว่าอ่านคำเทศนาของท่านพุทธทาส เรื่องแก่นพุทธศาสน์ แก่นพุทธศาสน์นี้เป็นคำเทศน์กับหมอที่โรงพยาบาลศิริราช ท่านเทศน์สามกัน เอาแต่แก่นๆ มาให้หมอกับนางพยาบาลที่ศิริราชได้เรียนได้รู้ แล้วก็พิมพ์ในภาษาไทยหลายครั้งหลายหน คนก็สนใจศึกษาอ่านกันอยู่ นี่ท่านชยสาโรองค์นี้ท่านก็มาอ่าน อ่านแล้วก็เห็น แหม...หนังสือนี้ดีมาก น่าจะแปลเป็นภาษาอังกฤษ ท่านก็เลยพยายามแปล แปลได้บทสองบทแล้ว ไอ้บทที่สามนี่แปลแล้วมันก็มีปัญหาในข้อความบางประการ ในศัพท์ที่จะใช้ ท่านก็เดินทางมาไชยาเมื่อปีก่อน อาตมาไปด้วยไชยากับอุบาสกสองสามคน ไปถึงแล้วท่านก็พักอยู่ที่นั่นเกือบ ๑๕ วันเพื่อจะได้ศึกษาข้อความบางอย่างในรูปภาษาไทย ว่าจะแปลเป็นภาษาอังกฤษอย่างไรจึงจะเหมาะ ทำให้ชาวฝรั่งอ่านแล้วเกิดความรู้ความเข้าใจถูกต้อง ศึกษากับท่านเจ้าคุณซึ่ง เป็นต้นตำรับในเรื่องนี้ แล้วท่านก็แปลสำเร็จเรียบร้อย เวลานี้พิมพ์เป็นเล่มแล้ว พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษในประเทศไทย จะได้ส่งไปต่างประเทศต่อไป นี่ก็เป็นผลงานที่เขามาศึกษา มาปฏิบัติค้นคว้า แล้วก็ทำให้งานของท่านพุทธทาสได้ไปถึงชาวตะวันตกด้วยการแปลของชาวตะวันตกเอง ก็นับว่าเป็นประโยชน์อยู่
คือเขา ฝรั่งนี่เขามีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง เรียกว่าเป็นนิสัยประจำชาติของเขาก็ว่าได้ คือเป็นคนทำอะไรทำจริง ทำอะไรทำจริง ไม่ว่าเขาจับอะไรเขาเอาจริงเอาจัง ความจริงนั้นพระพุทธเจ้าท่านก็สอนไว้ ว่า (26.59 “กะยิราเช กะยิราเถนัง ถ้าจะทำ ทำให้จริงๆ.” … อเมนัง ปรกะเม … )“พึงบากบั่นในสิ่งนั้นให้มั่น” คนไทยเราก็เอามาพูดเป็นคำพังเพยว่า “จับให้มั่น คั้นให้ตาย” อันนี้ก็เอามาจากพระพุทธภาษิตนั่นเอง แต่พูดว่าจับให้มั่น คั้นให้ตาย แต่ว่าคนไทยเรา ขออภัยด้วย อยากจะกล่าวว่า “จับไม่ค่อยมั่น คั้นไม่ค่อยตาย” เมื่อคั้นไม่ตายมันก็ไม่ได้เรื่อง ทำอะไรก็ไม่เอาจริงเอาจัง แต่ชาวตะวันตกนั้น เขามีนิสัยอย่างนั้น นิสัยว่าทำอะไรทำจริง ทำอะไรทำให้มั่น ถ้ายังไม่สำเร็จจะไม่เลิกละจากสิ่งนั้นเป็นอันขาด อันนี้ในหลักธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ของชาวเราทั้งหลาย ได้ จัดไว้มาพลิกมาแพลง เตือนไว้พระบ้าง เตือนญาติโยมชาวบ้านบ้าง ให้เกิดความคิดนึกในการทำงานเพื่อความก้าวหน้า แต่ว่ายังไม่ทำเหมือนกับฝรั่ง ทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้นสาเหตุเพราะอะไร ไม่ใช่เรื่องอะไร เรื่องเมืองไทยนี่มันสบายเกินไป พลเมืองน้อยในสมัยก่อนแล้วก็มีความสบาย แผ่นดินไทยนี้มันอุดมสมบูรณ์ ด้วยทรัพย์ในดินสินในน้ำ ธรรมชาติอากาศก็เรียกว่าพอดีๆ ไม่รุนแรง แม้ภัยธรรมชาติเกิดขึ้น ก็ไม่แรง มันแรงที่อื่นแต่มาถึงเมืองไทยมันก็เบาไป เช่นใต้ฝุ่น หรือว่าดีเปรสชั่นที่เขาเรียกกัน มันขึ้นมาผ่านประเทศญวณ ญวณหนักทุกที แต่พอข้ามภูเขากั้นแดนญวณกับลาวมาคือประเทศไทยก็เบาลงไป เพียงแต่เอาน้ำฝนมาเทไว้ ให้ชาวภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับประโยชน์สบายใจ เมื่อปีก่อนนี้ไปก็เดือนพฤศจิกายนเหมือนกัน แต่ว่าข้าวเขายังเขียวอยู่ยังไม่ออกรวง ยังไม่สุก ปีนี้นั่งรถไปตรงไหนข้าวสุกหมดแล้ว บอกเออ...ปีนี้ข้าวมันสุกไวนี่ ทำไมจึงได้สุกไว เพราะมันแปด ๒ หน เดือนจันทรคติมันแปด ๒ หน พฤศจิกามันก็ล่ามา เขาทำนาได้ผล คุยกันคนญาติโยมบอกว่า แหม... เกือบแย่ ท่านเจ้าคุณ เพราะว่าข้าวมันเริ่มจะออกมันแล้งน้ำจะไม่พอ แม้จะออกรวงแต่มันลีบ เพราะไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง พอดีแม่เจจินมา ทีเดียวเท่านั้นล่ะ ชุ่มชื่นเลย แม่เจจินที่ทำเอาญวนตายไป ๗๐๐ นะ คนไม่มีย้านอยู่ ๒๐๐,๐๐๐ นะ แต่มาเมืองไทยนั้นพรมต้นข้าว ให้ข้าวออกรวงงอกงาม สบายใจ นี่... แผ่นดินไทยมันเป็นอย่างนี้มันอุดมสมบูรณ์ ธรรมชาติเรียบร้อย เพราะฉะนั้นคนไทยเรา นอนตื่นสายก็ยังมีกิน ไปช้าๆ ก็ยังมีกิน ไม่ทำอะไรก็ยังมีกินเลย มันได้กิน ถ้าว่าลำบากนักหนาก็เข้าวัดดีว่า เสียงกลองดังแล้ว ไปวัด ถึงก็ได้กินข้าว ที่พระฉันแล้ว มีกับมีแกงเยอะแยะ ก็ได้กิน มันสบาย คนเราปรกติมันชอบสบาย ถ้าเมื่อมีกินมีใช้แล้ว จะไปวิ่งเต้นขวนขวายทำไม เลยกลายเป็นนิสัยเฉื่อยชา ทำอะไรก็เรื่อยๆ ไม่เอางานเอาการ นี่คือเสีย
เดี๋ยวนี้ประเทศไทยไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทรัพย์ในดินก็น้อยลงไปแล้ว สินในน้ำก็น้อยแล้ว ชาวประมงต้องไปจับปลาในเขตของเขมร มาเลเซีย บังคลาเทศ พม่า ไอ้พวกโน้นก็คอยจ้องอยู่เชียวนะ พอเข้าไปก็จับเลย เคยไประนองแล้วข้ามไปเขาเรียกว่าเกาะสอง ซึ่งเป็นเขตของพม่าเดี๋ยวนี้ ของไทยเดิมมาแล้วแต่ฝรั่งเอาไปแล้วพม่ารับช่วงต่อมา อันนี้ไปถึงเรือกองเลย ในอ่าวเกาะสองนั้นเรือกองเลย เรือไทยทั้งนั้น เลยถามว่า “เรือไทยทำไมมาจอดกองอยู่นี่” “ไม่ได้มาจอด พม่ามันจับ” จับแล้วมากองไว้ที่นั่นล่ะ ให้ผุ ไม่ได้ทำอะไรละ ผุเฉยๆ คนไทยก็ไม่เข็ดไม่หลาบ มึงจับ จับไป พอเผลอ กูย่องเข้าไปจับปลา มึงตามไปเถอะแต่กูเอาปลาไปขายต่อไป เอ้อ... เรียกว่าเล่นเจ้าล่อ เล่นซ่อนหากับทหารเรือพม่า จ้องเข้าไปจับ ได้มาเอาไปขายต่อไป ปล้ำกันอยู่อย่างนั้น แสดงว่า เก่งเหมือนกัน คนไทยเราก็เก่งเหมือนกัน โน่น...ไปถึงบังคลาเทศ เออ...อ่าวบังคลาเทศมันใหญ่ ปลาตัวโตๆ ปลาน้ำลึก ไปจับ เอ้า...กองทัพเรือบังคลาเทศเห็นแต่ไกลวิ่งกวด เครื่องมันใหญ่กว่า ไอ้เรือไทยเราจับปลานี่เครื่องมันเล็ก วิ่งหนีไม่ทัน เอ้าก็รวบตัวไป เอาไปขังคุกไว้ ทูตก็ไปเอาตัว ยังงี้พูดจากันขอร้องให้ปล่อย พูดกันไปตามเรื่อง กว่าจะได้ปล่อยก็หลายวัน ทรมานเสียหน่อย ผลที่สุดก็ได้กลับบ้านกลับช่อง ไปในเขตเขมรปลาทูมันเยอะ ปลาทูนี่มันไปออกไข่ในเขตเขมร ไปออกไข่เสร็จแล้วมันพาลูกเต้ามาอ่าวไทย มาให้คนไทยกิน แต่ว่ามันก็น้อย ยังอยู่โน่นมาก คนไทยก็ตามฝูงปลาทูไปจับในเขตเขมร กองทัพเรือเห็นเข้าก็กวดจับ อ้าวจับไปจับใส่คุกใส่ตารางไป ยิงเรือเสียบ้าง อะไรอย่างนี้ นี่เพราะอะไร เพราะทรัพย์ในน้ำมันน้อยลงไปทุกวัน ทุกเวลา ไม่พอกินแล้วเวลานี้ จึงต้องเลี้ยงปลาบนบกเวลานี้ กรมการประมงต้องส่งเสริมการเลี้ยงปลาบนบกกันเวลานี้
ที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนสิรินธรณ์นี้ เขาปล่อยปลาบึกมาเยอะแล้ว เวเลานี้คนไทยเก่ง คือว่าผสมพันธ์ปลาบึกได้ ผสมเทียม พอได้ปลาบึกมาสองตัว ตัวเมีย ตัวผู้ เอามาผสมเทียม ผสมเทียมก็ออกลูกได้เยอะแยะ แล้วก็เลี้ยงไว้จนโตหน่อย เอาไปปล่อย ในแอ่งน้ำต่างๆ ซึ่งเป็นที่กักน้ำใหญ่ๆ ให้มันเจริญงอกงามต่อไป แล้วก็ห้ามไม่ให้คนจับ บอกว่าขอให้มันใหญ่ก่อน มันจะได้เพาะพันธุ์มากๆ เพื่อจะได้กินกันนานๆ หน่อย แต่ว่าชาวบ้านนั้น ก็จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องอย่างนี้ ก็คิดจะจับท่าเดียว เหมือนในป่าก็เหมือนกัน คนในป่าตามบ้านนี่ ไปถึงเห็นป่ามีต้นไม้ สมมติว่ามีมะขามป้อมต้นหนึ่ง จะกินมัน ต้นมันใหญ่ มันขามป้อมมันสูงเอากินไม่ได้ มันทำยังไง โค่นเลย เอาขวานโค่น พักเดียวล้ม มะขามป้อมตาย กินไม่กี่หน่วยหรอก ได้กินพอแก้อยากน้ำสักสองสามหน่วย แต่ต้นไม้ตาย จับปลาก็เหมือนกันนะ ทำลายปลาหมด ฤดูปลาออกไข่ ความจริงไม่ควรจับ ให้มันออกไข่เรียบร้อย จะได้ปลามากๆ จับปลามากินระหว่างออกไข่ เวลาฉันปลาแล้วเห็นไข่นี่ นึกทุกที บอกว่า แหม...มันทารุณจริงๆ ไปจับมันกำลังไข่ ไอ้เราไม่ฉันก็ไม่เหมาะ ก็มันจับมาแล้ว ก็เลยฉันไข่ทั้งปลาไปแล้ว อันนี้มันจึงทำลาย ทำลายปลาไปเสียหมด มันก็เดือดร้อนกันละนะ เราทำลายสัตว์มันเดือดร้อน เพราะอย่างนั้นในฤดูที่ปลามันออกไข่ ทางกรมการประมงเขาขอร้อง ว่าอย่าไปจับลากันเลย ให้มันออกไข่เสร็จแล้วได้ลูกไว้เราจะได้จับกันต่อไป แต่ชาวประมงก็ไม่ฟังเสียงละ สตางค์มันไม่ค่อยมี เพราะว่าพอขึ้นน้ำได้เงินหน่อยก็เที่ยวสิ ดื่มเหล้ากัน เล่นการพนัน ไปดูหนังไปฟังเพลง เอาตัวไม่รอด ไอ้ที่เขาบอกกัน คนทำการประมงเอาตัวไม่รอด เพราะเรื่องนี้ไง ไม่ใช่เรื่องอะไร คือว่าพอขึ้นบกก็สนุกกัน ดื่มเหล้าเฮฮากัน มีร้านขายเหล้าเยอะแยะ แล้วก็ไปเล่นการพนันกัน นี่นะ สตางค์มันก็ไม่เหลือ แต่ถ้าหากว่ารู้จักเก็บหอมรอมริบ มันเสียส่วนหนึ่งได้อีกหลายส่วน คือว่าไปจับปลาเรียกว่าผิดศีลหน่อย แต่ถ้าเราเอาแต่เพียงว่าผิดศีล แต่เราไม่ให้ผิดธรรมะในเรื่องอบายมุข ไม่เล่นการพนัน ไม่เสพสุราเมรัย ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่สนุกสนานกับเพื่อนชั่วอะไรต่างๆ เงินมันก็เหลือกินเหลือใช้ สร้างบ้านสร้างช่องได้เป็นหลักเป็นฐานต่อไป แต่ว่าคนมันไม่ได้คิดอย่างนั้น คือมันไปในทะเลในว้าเหว่เหลือใจ เห็นแต่น้ำกับฟ้านะ พอขึ้นบกก็อ๊ะ... ต้องฉลองกันหน่อย ก็เปิดขวดกันฉลองกัน ว่ากันเต็มที่ บางทีก็ซื้อให้กินกัน ตาย ไม่ต้องลงเรือกันต่อไป อย่างนี้ก็มี นี่คือความประมาท ไม่ได้ประพฤติธรรมะในเรื่องที่ควรประพฤติ เคยมีพระองค์หนึ่งเป็นเจ้าคณะภาค ภาคตะวันออก ไประยอง สมัยนั้นระยองไม่มีถนนนะต้องไปเรือ ทีนี้ท่านไปเทศน์เรื่องปานาติบาต ศีลข้อหนึ่งน่ะ บอกว่าการทำปานาติบาต ไม่ดีอย่างโน้น ไม่ดีอย่างนี้ ไม่ดีทั้งนั้น เทศน์ไปเทศน์มา ชาวบ้านพวกปากน้ำระยองบอก เอ๊ะ....พระองค์นี้ว่าแต่เราทั้งนั้น เราเอางี้ดีกว่า เราอย่าเอาไปส่ง เรือกลไฟมาเราก็ไม่ไปส่ง เพราะว่าเรือเรานี่เรือปานาติบาต เป็นเรือไม่เป็นมงคล อย่าไปส่ง มันแอนตี้ ( anti) นะ แอนตี้หมด พอเรือ หวูด..... ขอเรือใครก็ไม่ได้ ฮื่อ ... นี่เรือปานาติบาต เรือไม่ดี ไอ้คนมันก็ไม่ได้เรื่อง มันเป็นพวกใจบาป หยาบช้า ฆ่าปูฆ่าปลาทุกวัน จะไปยุ่งกับพระได้อย่างไร มันพร้อมกันเลยไม่เอาเจ้าคุณไปส่ง เจ้าคุณก็พลาดเรือเที่ยวนั้นไป ต้องรอเรือ ต้องรออีกหลายวันจึงได้ลงเรือต่อไป นี่...เขาเรียกว่าเทศน์เกินขอบเขตไป ไอ้เขาทำปานาติบาต เราจะไปเทศน์ทำไมเรื่องนั้น เทศน์เรื่องอื่นเสีย เทศน์ให้รักมนุษย์นะ เรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยว่า ให้รักมนุษย์ ให้ขยันทำมาหากิน อย่าเล่นการพนัน อย่าดื่มเหล้า อย่าเหลวไหลอะไรต่างๆ สิ่งที่จะสอนมีเยอะแยะ ไอ้เรื่องนั้นอย่าไปว่าเขา เขาจะกระดาก พอเห็นพระ กูไม่อยากฟังพระองค์นี้ มาเทศน์ว่ากูอีกแล้ว กูนั่งฟังเทศน์แล้วจับปลาไม่ได้ มันกลัวบาป มันจะหมดอาชีพ อ้าว...ไม่ต้องอย่าไปยุ่งเรื่องนั้น เพราะเขาอยู่ริมทะเล ถ้าไม่จับปลาแล้วจะไปทำอะไร มันต้องจับปลาคนอยู่ริมทะเล อยู่ริมทะเลจะไปปลูกอะไรก็ไม่ได้ ตายทั้งนั้น มันจะต้องจับปลาเป็นชาวประมง เขาแบ่งเขตแล้ว พวกอยู่ริมทะเลจับปลา พวกอยู่บนเขาก็ปลูกพืชไป อยู่ที่ราบก็ปลูกข้าวไป เอ้า...มีข้าวไปแลกปลา มีปลาไปแลกข้าว มันก็อยู่กันได้ด้วยความเรียบร้อย ไอ้เราจะไปสอนให้เลือกก็ไม่ได้
มีพระธุดงค์องค์หนึ่งไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หมู่บ้านนั้นเลี้ยงไหมทั้งนั้น ทอผ้าไหมขาย ได้เงินได้ทองเยอะแยะ เอาแล้ว พระองค์นี้ไปถึงเทศน์ เลี้ยงไหมทำลายสัตว์ น่าสงสารตัวไหมมาก ไม่รู้เนื้อรู้ตัว นอนขดอยู่ในวงสายไหม เราจะไปลวกมัน แล้วไปขโมยสายไหมมา เอามาทอเป็นผืนผ้า เรามานุ่งมันสวยแต่ตัวไหมมันตาย มันเกิดความทุกข์ความเดือดร้อน ไอ้พวกเราเลี้ยงไหม พอตายไปแล้วมันจะไปลงกระทะทองแดงในเมืองนรก จะได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนมากมาย โอ้ย...ชาวบ้านฟังพระเทศน์แล้วตกใจ ตกใจเลิกเลี้ยงไหมหมดเลย เลิกเลี้ยงไหมหมด อ้าว...แล้วจะทำอะไรกินล่ะ ชาวบ้านเขาเลี้ยงไหมปลูกหม่อนนี่ เราไปเทศน์ไอ้เรื่องเลี้ยงมันก็ไม่ได้เรื่องได้ความเลย แล้วพระที่เทศน์ก็ไม่ได้ผ้าไหมมาเย็บจีวรห่มต่อไป เพราะว่าชาวบ้านไม่เลี้ยงไหมแล้ว เอ้า...ทีนี้ทางราชการไปส่งเสริมการเลี้ยงไหม ไปส่งเสริมการเลี้ยงไหม บอกให้ชาวบ้านเลี้ยงไหม ชาวบ้านบอกไม่ได้ บาป พระท่านบอกว่าเลี้ยงไหมนี่ จับตัวไหมมาต้มน้ำ ตายแล้วไปเกิดในนรก ไปลงในกระทะทองแดง ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด เวียนอยู่ในกระทะทองแดง ไม่รู้จักผุดจักเกิด ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว อ้าว...ทำไงล่ะทีนี้ ข้าราชการ นายอำเภอก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะชาวบ้านก็เชื่อพระนี่ อ้าว...ทีหลังก็ต้องหาพระอื่นไปเทศน์ใหม่ เทศน์ใหม่อย่าไปเทศน์เรื่องเลี้ยงไหม แต่ให้เทศน์เรื่องการทำมาหากิน ให้ขยันทำมาหากิน บอกภูมิประเทศมันไม่เหมือนกัน ประเทศโน้นทำนั้นได้ ประเทศนี้ทำนี้ได้ ถ้าภูมิประเทศมันเหมาะแก่การปลูกต้นหม่อน ต้นหม่อนปลูกแล้วคนก็กินไม่ได้ มันต้องให้ไหมกิน เราก็ต้องเลี้ยงไหมอะไรกันต่อไป ไม่เป็นไรหรอกเลี้ยงไหม ไม่เป็นไร เลี้ยงไหมแล้วได้ผ้าไหมเอาไปถวายพระ ทำสบง ทำจีวร แม้จะตกนรกก็ ชายจีวรมันยื่นลงไปในกระทะทองแดง เราได้เห็นชายจีวร ก็จับชายจีวร พระก็ดึงเราขึ้นจากกระทะได้ เพราะว่าเราได้ทำบุญไว้ ชาวบ้าน เอ้อ...อันนี้เข้าทีดี เอ้า...ตั้งต้นเลี้ยงไหมต่อไป เลยก็มีอาชีพเลี้ยงไหมต่อไป นี่ อย่างนี้ เค้าเรียกว่าเทศน์ไม่รู้เรื่อง เทศน์ไปทำให้คนเลิกอาชีพ มันก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาจะกินอาไร สถานที่นั้นมันต้องเหมาะกับการกระทำอย่างนั้น เราจะไปบอกให้เลิกก็ไม่ได้ อันนี้พระนักเทศน์ ควรต้องรู้ว่า ควรจะเทศน์เรื่องอะไร อย่าไปทำลายอาชีพของชาวบ้าน ทำให้ได้เกิดความเสียหา มีเรื่องจะสอนเยอะแยะ อย่างนี้เป็นตัวอย่าง ชาวประมงเขาก็ทำปลากันไปตามเรื่อง เราไปก็อย่าไปยุ่งกะเขาเรื่องพรรณนั้น ไปพูดว่า สอนว่าอย่าดื่มเหล้า อย่าเล่นการพนัน สตางค์ที่ได้มาควรเก็บหอมรอมริบไว้บ้าง เวลาลงทะเลไม่ได้ จะได้กินได้ใช้ เพราะแก่แล้วมันออกทะเลไม่ได้ เรามีเงินฝากออมสินไว้ พอแก่จะได้กินดอกกินผล จะอยู่กันได้ด้วยความสุขความสบาย เวลานี้ยังแข็งแรงจับอวนจับแหได้ ต่อไปอ่อนแอก็จับไม่ได้ เงินทองหมดแล้วจะกินอะไร เพราะฉะนั้น ต้องเก็บหอมรอมริบไว้บ้างนะ เขาฟังเขาก็รู้ เขาก็ได้ประพฤติปฏิบัติ เอาตัวรอดต่อไป ต้องสอนเขาอย่างนั้น มันจึงจะพอไปได้ ไม่งั้นก็เกิดโกรธเคืองกัน เลยไม่ได้เรื่องอะไร งานนี้มันต้องรู้กาลเทศะที่จะพูดที่จะสอนให้คนเข้าใจในเรื่องอะไรต่างๆ แล้วก็ไม่เลือกอาชีพ
เมืองไทยเรามันเป็นเมืองสบาย เพราะฉะนั้นคนเราจะยังไม่ค่อยกระตือรือร้น ในการทำมาหากิน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว พลเมืองมัน ๕๐ ล้านเวลานี้ แผ่นดินก็คับแคบ แต่ก่อนนี้ดินกว้าง ครอบครัวหนึ่ง มีดิน ๒๐ ไร่ ๓๐ ไร่ มีลูก ๑๐ คน พอพ่อแม่ตาย ลูก ๑๐ คนก็ต้องแบ่งนากันแล้ว แบ่งนากันได้คนละ ๒ ไร่ ได้คนละ ๒ ไร่แล้วแต่งงานมีครอบครัว มีลูกออกมาสมมติว่าครอบครัวหนึ่งมีลูก ๓ คน เนื้อที่สองไร่นี่จะพอกินที่ไหน มันก็ไม่พอกินพอใช้ ถ้าจะให้พอกินพอใช้ เรียกว่าในครองครัวเรานี้ ตระกูลเรานี้มีที่ดิน ๒๐ ไร่ แล้วก็มีลูก ๑๐ คน ลูก ๑๐ คนนี่ก็มารวมกันเข้า เป็นหุ้นส่วนเป็นบริษัททำนา ๒๐ ไร่ ทำนา เสร็จจากการทำนา ในส่วนหนึ่งของนาก็ไปขุดบ่อเลี้ยงปลาไว้ แล้วก็บางส่วนปลูกผักได้ เอาน้ำบ่อในบ่อเลี้ยงปลานั่นมารดผักรดพืช ปลูกผักขาย เลี้ยงปลาขายทำนา ได้ข้าวแล้วก็แบ่งกันกินกันใช้ ได้เงินได้ทองก็เอามาแบ่งกัน ทุกคนทำงานคิดค่าจ้างกันให้ ถ้าคนไหนไม่ทำงานเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่เป็นไร เรียกว่าบริษัทเลี้ยง อยู่กันอย่างนี้ มีนา ๒๐ ไร่ ไม่ต้องแบ่ง แต่ว่าช่วยกันจัดช่วยกันทำ ให้เจริญขึ้นให้ก้าวหน้าขึ้น สมัยก่อนนี้พ่อแม่ปลูกอย่างนี้ มาถึงลูกได้รับการศึกษาก็เปลี่ยนการปลูกให้ดีขึ้น ปรับปรุงที่ดินให้ดีขึ้นทำอะไรให้เจริญขึ้น แล้วก็มีเงินเหลือ เอ้า...ค่อยหาที่ดินใหม่ ขยายที่ดินออกไป รวมอยู่ในรูปของบริษัทตระกูลนั้น ครอบครัวนั้น ไม่มีการแตกแยกกัน เงินหรือนานั้นมันก็พอกินพอใช้ ไม่เกิดปัญหาอะไร แต่เดี๋ยวนี้ พี่ๆ น้องๆ ไม่ค่อยรักกัน ไม่สามัคคีกัน พอพ่อแม่ตายแล้วมองหน้ากันไม่ค่อยจะได้ แบ่งแยก แตกแยก แตกร้าวกันก็เกิดความเสียหาย
สกุลใหญ่สกุลหนึ่งทางปักษ์ใต้เขาเรียกสกุล ณ ระนอง เวลาต้นตระกูลคือพระยารัตนเศรษฐี กอซูเจียง ท่านมาจากเมืองฮกเกี้ยน มาทำมาหากินที่จังหวัดพังงา แล้วก็ร่ำรวย แร่มันเยอะสมัยก่อนนี้ ไม่ต้องขุดหรอกไปโกยเอา ขุดลงไปสักเมตรสองเมตรเลย โกย โกยเอาไปขายเอา แล้วก็ไประนองน่ะ แร่มากกว่าที่พังงาอีก ขุดลงไม่มากไม่ลึกเอาไปขายได้รวย จนร่ำรวย จนพระเจ้าแผ่นดินต้องตั้งให้เป็นเจ้าเมือง พ่อค้า เป็นคนจีนพ่อค้า ค้าแร่ร่ำรวยจนในหลวงต้องตั้งให้เป็นเจ้าเมือง ให้เป็นพระยา พระยารัตนเศรษฐี ชีวิตต้นตระกูลหนึ่งไปร่ำรวย ท่านให้เป็นเจ้าเมืองเลย ส่งส่วยภาษีอากรกันไปตามเรื่อง ลูกชายห้าคน ลูกชายห้าคนนี่ เวลาพ่อจะถึงแก่กรรมเรียกลูกชายมาบอกว่า เมื่อพ่อตายแล้วลูกทั้งห้า อย่าแยกบริษัท แต่ให้ทำการค้าขายรวมกันต่อไปอีก ๓๐ ปี เมื่อครบ ๓๐ ปีแล้วจะแยกหุ้น แยกส่วนอะไรกันก็ได้ ไม่ว่าอะไร ลูกชายทั้งห้าก็ทำตามพ่อสั่ง ครบ ๓๐ ปี เมื่อครบ ๓๐ ปีแล้ว คนทั้งห้าก็มาประชุมกัน บอกว่าเราไม่ต้องแยก เรายังเป็นห้างโกวหงวนต่อไป โกวหงวนอยู่ที่เมืองจีน โกวหงวนอยู่ที่ระนอง โกวหงวนอยู่ที่หลังสวน จังหวัดชุมพรเป็นบริษัทเดียวกัน ร่วมทำมาหากินกัน แล้วก็ทุกคนที่เป็นตระกูลนี้จะมีส่วนในบริษัทนี้ทั่วกัน ก็เขาก็ทำกันมาอย่างนั้น ลูกชายคนหนึ่งได้เป็นพระยา เป็นเทศา เรียกว่าสมุหเทศาภิบาล มณฑลภูเก็ต ไม่รู้หนังสือไทยรู้แต่เซ็นต์ชื่อตัวเท่าหม้อแกง แต่ว่าใครอ่านอะไรให้ฟังแกจำได้หมด เช่นคำสั่งของกระทรวงเสมียนอ่านให้ฟัง จำได้หมด จำกระทั่งตัวเลข ใครจะมาพูดยอกย้อนกับท่านไม่ได้นะ ฮื่อ...มันไม่ใช่อย่างนั้น ฉันฟังแล้วฉันรู้ ว่าอย่างนั้น เก่งแกคนเก่ง แล้ววางแผนสร้างบ้านสร้างเมือง ตัดถนนหนทางเมืองภูเก็ตไว้เยอะ คือเดี๋ยวนี้ก็ยังพัฒนาไม่ตลอดทุกสายที่ท่าน วางแผนไว้ ตัดถนนเมืองตรังสวยงาม ใครไปเที่ยวเมืองตรังตลาดทับเที่ยง ว่าเอ๊ะ... ถนนใหญ่ๆ เจ้าคุณยศดาแกทำไว้ ทำถนนจากตรังไปพัทลุง เรียกว่าผ่านเขาพับผ้า ท่านก็ทำไว้ คนแก่ๆ ที่อยู่ในสมัยนั้นเป็นหนุ่ม ตัดถนนว่าเอ๊ะ... ท่านตัดยังไง ท่านเอาคนไปตีกลองอยู่ข้างหน้า ฟังเสียงกลอง แล้วก็ตัดถนนไปหาเสียงกลองนั้น ไม่มีกล้องหรอกสมัยนั้นไม่มีกล้องส่องทางให้เขาไปตีกลองดักไว้ ทางนี้เดินก็ได้ยินเสียงกลอง เอ้า..ทางนั้นตัดไปทางนั้น ใช้จอบเสียมเหล็ก ชะแลง ขุดดิน ฟันดิน ลงมาทำเป็นถนน วิ่งได้อยู่หลายสิบปี เรียกว่าทำ …... (49.14) เดี๋ยวนี้เขาตัดใหม่แล้ว เอารถแทรกเตอร์บุกใหม่ตัดให้มันตรงขึ้น ที่มันอันตรายก็ตัดให้มันตรงขึ้น ทำสะพานใหม่ทันสมัยรถวิ่งไม่ชนกันแล้วเดี๋ยวนี้ เว้นไว้แต่ว่ามันเมาเท่านั้นเอง คนนี้ก็ทำประโยชน์ จนได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ที่จังหวัดตรัง เป็นคนนักพัฒนา เป็นสมุหเทศาภิบาลที่เข้มแข็งมาก ออกตรวจงานบ่อย ๆ เวลาไปตรวจงาน ถือไม้เท้า ไม้เท้าทำเป็นรูปหัวสุนัข ถ้าเดินนั่งรถม้าไป เห็นใครนั่งกอดเข่าอยู่ริมคลองน้ำอะไรอย่างนี้ ตื่นเช้ามานั่งกอดเข่า ท่านหยุดรถม้าลงไปถึงก็ผลักมันลงน้ำไปเลย ผลักมันลงไปอาบน้ำตอนเช้าเลย ก็เพราะมันนั่งเฉื่อยอยู่ ถ้าใครไม่เอาไหนก็เอาไม้เท้าทุบหัวเลย แต่ไม่ทุบถึงกับแตกอะไรนะ เพราะท่านให้คนทำมาหากิน
วันขึ้นค่ำเดือนนั้น ต้องหว่านกล้า ต้องทำรั้ว ต้องอย่างนั้น ทุกบ้านต้องมีแม่ไก่ เลี้ยงไก่ ๕ ตัว ต้องปลูกตะไคร้ ๕ กอ ต้องมีมะเขือ มีพริกขี้หนู มีทุกบ้าน มีสวนครัว ทำสวนครัวทุกบ้านต้องทำสวนครัว เจ้าหน้าที่ต้องไปตรวจ ใครไม่ทำต้องเรียกมาจับปรับสินไหม ลงโทษ ให้มาขุดดินบนถนนบ้าง ทำอะไรให้หลวง ปรับสินไหมลงโทษเอาจริงเอาจัง พัฒนาบ้านเมืองเจริญก้าวหน้า แล้วตระกูลนี้ เดี๋ยวนี้เขาก็ยังแบ่งกันนะ ลูกหลานของสกุลนี้จะชายก็ตามหญิงก็ตาม แตกสาขาออกไปจากตระกูลนี้ ยังมีส่วนได้รับเงินกองกลาง โน่นอยู่ปีนังกองกลางเขาบริหารอยู่ที่โน่น คนบางคนหลายๆ ปีไปเบิกเสียทีหนึ่ง ได้มาสี่ห้าพันเหรียญมาเลเซีย ก็ยิ้มกลับบ้านได้ นานๆ ไปเอาทีก็ลงบัญชีไว้ เช่นนายแก้วนี่ แต่งงานมีลูกกี่คน ก็ลงบัญชีไว้ ลูกนายแก้วมีลูกมีหลานกี่คน เขาเขียนไว้หมดเลย ต้องแจ้งไปให้เขาทราบ แจ้งเขาทราบเขาลงบัญชีไว้ แล้วก็ให้มรดกทุกคน แจกออกไป คนละเล็กละน้อย ปลายแถวมันมากออกไปทุกที ก็แถวมันก็มากออกไป แต่ก็น่าชื่นชมว่า เขายังรักษาสมบัติดั้งเดิมของบรรพบุรุษไว้ได้ ไม้คานทำไว้หาบเร่ของต้นตระกูล เขายังเก็บไว้ เขาปิดทอง กล้องยาเส้นที่ต้นตระกูลสูบนี่ ปิดทองวางไว้บนพาน ที่ในห้องบูชาพระ ไม้คานก็วางไว้ อะไรก็เก็บไว้ ลูกหลานต้องไปกราบไว้ให้เห็นว่า คุณทวด หรือว่าต้นตระกูลสร้างสกุลไว้ด้วยไม้คาน สร้างสกุลด้วยความรักงานด้วยความขยัน ด้วยความเอาใจใส่ จึงสามารถสร้างตัวเป็นหลักเป็นฐาน เจริญงอกงาม ลูกได้เป็นพระยาตั้งหลายคน เป็นคุณพระ คุณหลวง สืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน นี่เขามีธรรมะ เป็นพื้นฐานทางจิตใจ สกุลจึงเจริญก้าวหน้ามั่งคั่ง ผู้สืบสายตระกูลถ้าประพฤติธรรมก็สกุลไม่ล่ม แต่ถ้าไม่ประพฤติธรรม หมดเลย อะไรๆ ที่ปู่ตา ย่ายาย หาไว้ให้มันก็จำนำ จำจอง ไปตามเรื่อง หมดไปกับเรื่องอะไร ไม่รู้จักหาของที่หายแล้ว ไม่ซ่อมแซมของที่คร่ำคร่า ไม่รู้จักประมาณในการจับจ่ายใช้สอย ตั้งคนทุศีลให้เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือจัดการมรดก มันก็กินโกงกันหมด เอาตัวไม่รอด เกิดความเสียหาย สภาพเป็นอย่างนี้
อันนี้คือความเสื่อมในชีวิตของมนุษย์ ก็พอดีหมดเวลาแล้ว ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ก่อนสำหรับวันนี้ อาทิตย์หน้าก็ค่อยมาว่าต่อ มาฟังกันใหม่ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ เป็นเวลาห้านาที นั่งสงบใจนั่งตัวตรง หลับตา แล้วก็กำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หายใจเข้ากำหนดรู้ หายใจออกกำหนดรู้ อย่าให้สติไปคิดเรื่องอื่น หรืออย่าให้ใจเราไปคิดเรื่องอื่น เอาสติมาคุมไว้ อยู่ที่ลมเข้าลมออก ตลอดเวลา ๕ นาที เชิญ