แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ไปก็ขอให้อยู่ในอาการสงบ นั่งพัก ณ.ที่ใดที่หนึ่งซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงชัดเจน แล้วจงตั้งอกตั้งใจฟังให้ดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
ดูท้องฟ้าวันนี้ละก็โยมคงจะไม่ค่อยสบายใจเท่าใด เพราะมันครึ้มหน่อยกลัวฝนจะตกลงมา อธิษฐานใจตั้งแต่เช้าว่าอย่าตกเลย วันอาทิตย์นี่ขอสักหน่อย ให้ตกเที่ยงแล้วไป ตอนเช้าถึงเที่ยงนี่ถ้าจะไปตกก็ตกที่อื่น อย่าตกที่วัดชลประทาน เพราะว่าญาติโยมมาวัดจะลำบาก เลยตั้งใจขอ อธิษฐานอย่างนั้น ได้หรือไม่ได้ก็สุดแล้วแต่ธรรมชาติ เพราะอย่างนั้นเราก็ช่วยกันคิดอย่างนั้น คิดพร้อม ๆ กันว่าฝนไม่ตกในการฟังเทศน์และถวายอาหารพระ ตอนบ่ายตกไม่ว่าอะไร นึกในใจอย่างนั้น นึกมาก ๆ มันก็มีฤทธิ์มีเดชเหมือนกัน ช่วยให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปได้ด้วยอำนาจหรือจิตใจของคน เราอย่าไปวิตกกังวลเรื่องจะตก นึกว่าไม่ตกก็แล้วกัน แล้วก็ตั้งใจฟังเรื่องที่จะเป็นสาระเป็นประโยชน์แก่ชีวิตต่อไป
พระผู้มีพระภาคเจ้าของชาวเราทั้งหลายนั้น บางครั้งเราเรียกกันว่าพระสุคต พระสุคตบ้าง เรียกว่าพระตถาคตบ้าง คำว่าตถาคตนี่เป็นคำที่พระองค์ใช้แทนพระองค์ เช่นจะพูดกับใครนี่ พระองค์ก็ตรัสว่าตถาคต พูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ตถาคตอย่างนั้น ตถาคตอย่างนี้ ถ้าพูดแบบชาวบ้านก็เหมือนว่าพูดว่า ฉันชอบอย่างนี้ ฉันทำอย่างนี้ ฉันคิดอย่างนี้ แต่พระองค์ไม่พูดว่าฉันอย่างนั้นแต่พูดว่าตถาคต คำว่าตถาคตนี่เป็นคำบาลี ถ้าอ่านตามตัวบาลีก็ว่าตะถาคะตะ ตะถาคะตะ ถ้าพูดตามแบบพยากรณ์ก็เป็นตะถาคะตู หมายความว่าพระตถาคต
ทำไมจึงได้เรียกว่าพระตถาคต คือ เรียกตามธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย เพราะคำว่าตถาคตแปลว่าเป็นอยู่อย่างนั้น สิ่งทั้งหลายเป็นอยู่อย่างนั้น หรือมาอย่างใดก็เป็นไปอย่างนั้น สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุปัจจัย เครื่องปรุงแต่ง เป็นอยู่ตามธรรมชาติ จะแตกดับก็เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นคำศัพท์ที่ให้คนได้คิด เพื่อจะได้นึกถึงกฎของธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีใครจะไปบังคับธรรมชาติได้
เรื่องของธรรมชาตินี่เราบังคับไม่ได้ เช่น บังคับว่าจงเป็นอย่างนั้น จงเป็นอย่างนี้ มันไม่ได้ ไม่ได้เลย ตัวเราก็ยังบังคับไม่ได้ เช่น ร่างกายของเรานี่เราจะบังคับว่าอย่าแก่ แต่มันก็ไม่ได้ มันแก่ไปตามธรรมชาติ แก่ช้าหรือแก่เร็ว บางคนก็ดูแก่ช้า ที่แก่ช้าก็เพราะว่าส่วนประสมมันสมบูรณ์ มีความต้านทานโรคภัยไข้เจ็บได้ดี โรคน้อย อาพาตน้อย ก็แก่ช้า แต่บางคนดูแก่เร็ว อายุคราวเดียวกันกับคนอื่นแต่ว่าดูบางคนก็แก่มาก ที่แก่มากก็เพราะว่าเครื่องประกอบมันไม่ค่อยจะดี คล้ายกับรถยนต์ที่ทำในญี่ปุ่นกับรถในประเทศเยอรมัน เราจะเห็นว่าแตกต่างกัน รถยนต์ญี่ปุ่นใช้ชำรุดบ่อยแต่รถเยอรมันนั้นชำรุดช้า …… (40.00 เสียงไม่ชัดเจน) ชำรุดไวก็เพราะว่าเหล็กไม่ค่อยดีเท่าใด เครื่องประกอบไม่ค่อยจะดีเท่าใด แต่เหล็กของเยอรมันเขาหนาแข็งแรง ใช้ได้ทนทานกว่า อันนี้ไม่ใช่บอกว่ารถญี่ปุ่นไม่ดี แต่หมายความว่าเป็นตัวอย่างให้เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้น
ร่างกายของคนเรานี้ก็เหมือนกัน บางคนก็ส่วนประกอบดี ดีเพราะว่าพ่อแม่เป็นผู้ทำให้เราดี หรือว่าท่านเป็นคนไม่มีโรคเหมือนกัน ร่างกายแข็งแรง พ่อแม่เป็นคนไม่มีโรค ลูกก็เป็นคนอย่างนั้น ถ้าพ่อแม่เป็นคนมีโรคบางประเภท โรคถ่ายทอดมาตามเส้นสายเลือด เขาเรียกว่าเป็นกรรมพันธุ์ ก็เป็นโรคเหมือนๆกัน ในครอบครัวใดสกุลใดเคยเป็นโรคอย่างใดก็มักจะเป็นโรคอย่างนั้น อันนี้ก็เป็นไปตามธรรมชาติเครื่องปรุงแต่งของร่างกาย เราจะไปห้ามก็ไม่ได้ จะไปทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเราคิดในเรื่องตัวเรา อย่าคิดให้เป็นทุกข์ เวลาอะไรเกิดขึ้นก็ปลอบโยนตัวเองว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้แหล่ะ หรือธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้นเอง เราจะฝืนไม่ได้บังคับไม่ได้ แต่ก็ต้องรักษาไปตามเรื่อง รักษาได้มันก็ดี ถ้ารักษาไม่ได้ก็อย่าไปตกอกตกใจ ให้คิดว่ามันเรื่องของธรรมชาติที่จะเป็นอย่างนั้น
เวลาเราเจ็บหนักใกล้จะสิ้นลมหายใจ เราก็อย่าไปกลัวความตาย เพราะความตายมันก็คู่กับความเกิด เมื่อมีเกิด มันก็ต้องมีตาย ไม่ว่าคน สัตว์ ต้นไม้ วัตถุสิ่งของ ว่ามีการเกิดขึ้นมันก็ต้องมีการแตกดับเป็นธรรมดา ถ้าร่างกายของเราจะแตกดับ ใกล้จะแตกดับก็อย่าไปกังวลอะไร ทำใจให้ว่างจากความวิตกกังวล ใช้ปัญญาพิจารณาโดยธรรมชาติว่าร่างกายนี้มันก็ใช้มาหลายปีแล้ว ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงชำรุดทรุดโทรม เราก็อย่าไปเสียใจกับมัน เพราะเสียใจมันก็ไม่ได้เปลี่ยนมาตามใจของเรา ไม่ใช่มันจะหาย มันจะไม่แก่ ไม่ตาย ไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าเราคิดอย่างนี้ใจเราก็จะสบาย
เรื่องอื่นก็เหมือนกัน เช่นการข้าวของสูญหายอะไรไป ถ้าเราเอากฎธรรมชาติมาพิจารณา เราก็พอจะสอนตัวเองได้ว่า มันมิใช่ของเราอย่างแท้จริง เพียงแต่อาศัยกันชั่วครั้งชั่วคราว แล้วมันก็จากเราไป มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป แม้เราจะมีมันจนกระทั่งเราหมดลมหายใจ เราก็เอามันไปไม่ได้ คนอื่นก็จะต้องแย่งเอาไปจากตัวเรา มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเป็นเช่นนั้น อันนี้เป็นคำที่ควรจะนำมาประเล้าประโลมใจ ทำให้จิตใจเราว่างจากความเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์กับเรื่องอะไรต่าง ๆ จิตใจจะสบาย
พระนามของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่เราเรียกกันว่าตถาคต ก็หมายถึงธรรมชาติธรรมดา ที่เป็นอยู่อย่างไรก็เป็นอยู่อย่างนั้น อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ไหลไปตามอำนาจการปรุงแต่งและก็ดับไปเพราะหมดเครื่องปรุงเครื่องแต่ง มันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติทั้งนั้น อันนี้เอาไปใช้เป็นเครื่องปลอบใจได้คำหนึ่ง
อีกคำหนึ่งที่เราสวดมนต์ว่าสุขโต แปลว่าผู้เสด็จไปดีแล้ว สุขโตแปลว่าไปดีแล้ว เป็นผู้ไปดีแล้ว คือว่าไม่ใช่แต่ไป สุขโตนี่ทั้งไปทั้งมา ที่ในคำภาษาไทยเราพูดว่า “มาดีไปดี” มักจะเขียนไว้ตามที่ต่าง ๆ ว่า “มาดีไปดี” พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสด็จมาดี แล้วก็อยู่ดีด้วย และก็ไปดีด้วย ดีทั้งหมด มาดี อยู่ดี ไปดี เรียกว่าสุขโต อันเป็นพระนามสำคัญบทหนึ่งที่เราสวดกันอยู่ใน ๙ พระนามที่เราสวดทุกวันตอนเช้าตอนเย็น เราระลึกถึงคำเหล่านี้ ที่เรียกว่าสุขโต มาดี อยู่ดี ไปดีนั้น เราก็ลองศึกษาจากประวัติความเป็นมาของพระองค์ ก็จะเห็นว่าเป็นผู้มาดี
เอาตอนที่ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า คือยังไม่ได้ออกบวช ยังเป็นเจ้าชายน้อยๆ ก็เรียกว่ามาดีแก่ครอบครัวของพระองค์ เพราะว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พระนางมายาเทวี พระญาติพระวงศ์ทั้งหลายในเมืองกบิลพัสดุ์ รวมทั้งประชาชนทั้งหลายมีความต้องการที่จะให้มีเจ้าชาย เพราะว่าพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางมายาเทวีอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยามาก็หลายปีแล้ว แต่ยังไม่มีพระโอรสไว้สืบสกุล คนอินเดียเขาถือว่าลูกชายนี่สำคัญมาก ครอบครัวใดไม่มีลูกชายเขาเป็นทุกข์เอาเลยทีเดียว แล้วก็เขาถือว่าตายแล้วจะไปนรก มีนรกขุมหนึ่งเรียกว่าปุตตะนรก นรกเพราะไม่มีบุตรนี่มีอยู่ขุมหนึ่ง คนอินเดียทั่วไปเขากลัวจะตกนรกขุมนี้ เมื่อไม่มีลูกชายเขาก็วิตกกังวล อยากจะมีลูกชาย
มีคนหนึ่งเขารับเหมาสร้างวัดที่พุทธคยา ชื่อนายพัดทาจารย์ (11.40 ไม่ยืนยันตัวสะกด) แกมีลูกหญิง ๗ คน ไม่มีลูกชาย แกก็ไหว้พระสวดมนต์ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้มีลูกชายกับเขาบ้างสักคนหนึ่งอย่างน้อย แล้วแกบอกว่าแกมีลูกชายจะยกให้พระศาสนาไปเลย ถ้ามีลูกชายจะยกให้พระศาสนา แล้วแกก็มาบวชที่ประเทศไทย บวช เวลาบวชก็ถามแกว่า เวลาจะบวชนี่อธิษฐานใจอย่างไร แกบอกว่าด้วยอานิสงค์ของการบวชนี่ อยากจะมีลูกชายกับเขาสักคนหนึ่ง แล้วแกก็บวชอยู่ ๒ - ๓ เดือน ที่เมืองไทยนี่แหล่ะ อยู่วัดนี้บ้าง อยู่วัดจักรวรรดิบ้าง ไปอยู่วัดกระดุงทองอยุธยาบ้าง แล้วแกก็ลาสิกขา ลาสิกขาไปอยู่ไม่เท่าไร แม่บ้านแกตั้งท้อง แกก็ดีใจว่าคราวนี้ต้องเป็นชายแน่ๆ ไปไหว้พระที่ต้นโพธิ์พุทธคยา ที่ไหนก็อธิษฐานใจเรื่องให้มีลูกชาย ก็ได้ลูกชายสมใจ แกก็ดีใจมาก แล้วแกก็นำมาที่ต้นโพธิ์ อธิษฐานยกถวายพระพุทธเจ้า ว่าเด็กคนนี้จะเป็นเด็กของศาสนา จะให้บวชให้เรียนต่อไป พอได้ลูกชายมาปีหนึ่งสองปี อ้าว ออกมาอีกคนหนึ่งเป็นลูกชายอีกเหมือนกัน แกบอกว่าดีแล้ว ได้ลูกชายคนแรกให้ศาสนา คนหลังนี่ต้องให้อยู่บ้านสืบสกุลต่อไป นี่แสดงว่าคนอินเดียปรารถนานักที่จะให้มีลูกชาย เพราะกลัวจะตกนรกนั่นเองไม่ใช่เรื่องอะไร
นรกขุมปุตตะนี่ก็คือความกังวลใจเพราะไม่มีลูกชายนั่นเอง ทำไมเขาถึงกังวลใจนักหนา เพราะว่าลูกชายนี่ต้องสืบสกุล ลูกหญิงสืบสกุลไม่ได้เพราะต้องไปแต่งงาน เมื่อแต่งงานแล้วก็ไปใช้สกุลอื่นไป แต่ลูกชายนั้นยังใช้โคตรใช้สกุลของบิดา จึงชื่อว่าเป็นผู้สืบสกุล มีพระพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า ปุคคาวัตถุมนุษยสานัง บุตรเป็นความหวังของมนุษย์ แปลง่ายๆว่าบุตรเป็นความหวังของมนุษย์ มนุษย์ก็คือพ่อแม่ มีความหวังที่จะได้บุตรชาย ถ้าได้บุตรชายแล้วก็จะสบายใจ ถ้าไม่ได้บุตรชายก็ไม่สบายใจ แล้วคิดต่อไปว่าเมื่อเราตายแล้วใครจะทำบุญอุทิศให้เรา ใครจะบูชาเราเพื่อ (14.40 เสียงไม่ชัดเจน)กุศลให้แก่เรา เขาคิดมากไปถึงขนาดนั้น เลยมีความทุกข์ทางใจ
พระเจ้าสุทโธทนะก็เป็นคนอินเดียเหมือนกัน อยู่ในขนบธรรมเนียมประเพณีของพราหมณ์มาก่อนทุกประการ เมื่อไม่มีลูกชายก็ไม่สบายพระทัย ชาวบ้านชาวเมืองก็ไม่สบายเพราะว่าจะไม่มีทายาทสืบสกุลเป็นกษัตริย์สืบต่อ ก็เดินขบวนไปหาพระเจ้าสุทโธทนะ บอกว่าให้พระองค์รักษาศีลปฏิบัติธรรมเพื่อจะได้มีลูกชาย ชาวบ้านถึงขนาดนั้นนะ ถึงขนาดเดินขบวนทีเดียวเพื่อให้มีลูกชาย
ผลที่สุดก็มีลูกชายสมใจ จึงให้ชื่อว่าสิทธัตถะ แปลว่าสมใจ สมหมาย สมบูรณ์ สมหวัง อย่างนั้นแหล่ะ ชื่อนี้แปลว่าสิทธัตถะ ปรารถนาอะไรก็สำเร็จดังใจ ก็เรียกว่ามาดี มาเกิดให้พ่อแม่สบายใจ ให้พระญาติพระวงศ์สบายใจ ให้ประชาชนสบายใจ แล้วเมื่อดำรงชีวิตเป็นพระกุมารน้อย ก็ทำให้ทุกคนสบายใจ พระนางปชาบดีโคตมีนี่เป็น เป็นน้า แต่ก็เป็นเหมือนมารดาเพราะว่าชุบเลี้ยงเจ้าชายมาด้วยความรักความเอ็นดู ทะนุทนอมอย่างดี ท่านก็สบายใจในการที่ได้เลี้ยงเจ้าชายสิทธัตถะ ทุกคนที่ได้เห็นสบายใจทั้งนั้น
แม้แต่ฤษีอยู่ในป่า เมื่อมาเห็นพระรูปพระโฉมของเจ้าชายสิทธัตถะท่านก็ดีใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ว่าร้องไห้ปนกันไปด้วย ที่ดีใจเพราะเห็นว่าพระกุมารนี้มีลักษณะสมบูรณ์ทุกประการ เรียกว่าบุคลิกลักษณะสมบูรณ์ตามตำราที่เขาแต่งไว้ แล้วก็ถ้าออกบวชจะได้เป็นใหญ่ในศาสนา ถ้าไม่บวชจะเป็นจักรพรรดิในโลก ท่านก็ดีใจ แต่เสียใจว่าแก่แล้ว ไม่ได้อยู่ชมบุญพระกุมาร เสียใจตรงนี้เท่านั้นเอง ความจริงดีใจมากกว่า อันนี้ก็เป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าเสด็จมาอุบัติบังเกิดขึ้นในโลกเพื่อทำให้ใครทุกคนสบายใจ เมื่อเป็นเจ้าชายน้อยขนาดพูดได้เดินได้ทำอะไรได้ ก็ไม่ทำอะไรให้ใครเดือดร้อน มีปนิสัยเมตตาปราณี สงสารคนสงสารสัตว์ พูดจาสุภาพนิ่มนวลกับคนทั่วไป มีอะไรที่จะช่วยใครได้เจ้าชายน้อยก็จะทรงช่วยด้วยความรักด้วยความปรารถนาดี ผู้ใดเข้าใกล้ได้ฟังพระวาจาที่กลั่นออกมาย่อมชื่นใจทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะเป็นทุกข์เมื่อเห็นพระองค์แม้แต่น้อย ไปอยู่ในสำนักอาจารย์ที่มาสอนพิเศษ อาจารย์ก็สบายใจ สบายใจที่ได้สอนเจ้าชาย เพราะเจ้าชายเป็นนักเรียนที่อ่อนน้อมเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ ปฏิบัติงานเรียบร้อยทุกสิ่งทุกประการ ก็เป็นความชื่นอกชื่นใจ
เมื่อจบการศึกษาแล้วก็เสด็จช่วยงานของพระบิดา ให้พระบิดาชื่นใจมากขึ้นไปอีก ไปหาใครที่ไหนใครก็ต้อนรับด้วยความยินดี มีความภูมิใจด้วยกันทั้งนั้น อันนี้ก็เรียกว่าเป็นสุขโตในฐานะเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมาก็ทรงเบื่อหน่ายในการมีชีวิตจำเจอยู่ในวัง ทรงพิจารณาเห็นว่าการเป็นกษัตริย์เขาเป็นกันมากแล้ว เป็นกันแล้วก็ตายไป ตายไปจำนวนมาก ไม่ได้ทำอะไรใหม่ ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ทางด้านจิตวิญญาณมากนัก นอกจากว่าเป็นพระราชาครองเมือง แล้วบางทีก็ใช้อำนาจในทางที่ทำให้ประเทศอื่นรัฐอื่นเกิดความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะความอยากใหญ่อยากโต พระองค์ไม่เคยคิดว่าจะทรงทำเช่นนั้น แล้วทรงคิดลึกต่อไปว่าการเป็นพระราชานี่ช่วยคนได้น้อย สู้เป็นนักบวชไม่ได้ เพราะได้เห็นนักบวช แล้วก็นึกในพระทัยว่าบวชนี้เข้าที เลยผลที่สุดก็เสด็จออกบวช
การออกบวชนั้นก็ไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ประชาชน ไปอยู่ในสำนักอาจารย์ใด เพื่อทำการศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ซึ่งมีอยู่ในสมัยนั้น อาจารย์และศิษย์ที่อยู่ในสำนักนั้นสบายใจทุกทั่วหน้า โดยเฉพาะอาจารย์นี่สบายใจมากเพราะได้ลูกศิษย์ที่ตั้งใจเรียน ตั้งใจปฏิบัติอย่างแท้จริง สนใจในการที่จะไต่ถามเรื่องที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ เมื่อรู้แล้วเข้าใจแล้วก็ปฏิบัติอย่างจริงจัง เป็นตัวอย่างแก่ศิษย์อื่นทั้งหลายทั่วไป สำนักนั้นก็ภูมิใจ เรียกว่ายกธงประกาศว่านักบวชชื่อว่าสิทธัตถะโคตมะได้มาเป็นลูกศิษย์ของเรา เห็นความภูมิใจของอาจารย์ แต่ว่าพระองค์หาได้มัวเมาในความภูมิใจนั้นไม่ ทรงเห็นว่าการเรียนเพียงเท่านี้ การปฏิบัติเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นทางหลุดพ้นอย่างแท้จริง ยังไม่เป็นทางที่จะเป็นสุขอย่างแท้จริง เลยออกจากสำนักนั้นไปสู่สำนักอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่าต่อไป ถ้าไปสู่สำนักไหนครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็อ้าแขนรับด้วยความเต็มใจ ไม่มีใครรังเกียจ รู้สึกว่ามีเกียรติที่ได้รับนักบวชชื่อนี้เข้ามาอยู่ในสำนัก อันนี้ก็เป็นเรื่องของความสบายใจของคนเหล่านั้น
ต่อมาก็เมื่อได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็เป็นยอดแห่งสุขโตอย่างแท้จริง เรียกว่าลำดับชีวิตของพระองค์ที่ผ่านมานั้น ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ผู้อื่นทั้งนั้นตลอดเวลา อันนี้ก็ควรจะเป็นตัวอย่างแก่ชาวเราทั้งหลาย ในฐานะเป็นผู้เดินตามรอยพระบาทของพระองค์ พระองค์เดินเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ผู้อื่น
เราก็มีชีวิตอยู่เพื่อความสุขความสบายแก่ผู้อื่นด้วยเช่นเดียวกัน เช่นเราเป็นพ่อบ้านแม่เรือน เราก็อยู่เพื่อความสบายของคนในครอบครัว พ่อบ้านอยู่เพื่อความสบายของแม่บ้านและลูก ๆ แม่ก็อยู่เพื่อความสบายของพ่อบ้านและลูก ๆ ไม่คิดถึงตัวเอง แต่คิดถึงคนอื่นในครอบครัว ถ้าพ่อบ้านแม่บ้านประพฤติอย่างนี้ ก็เรียกว่าเป็นพ่อสุขโต เป็นแม่สุขตา เรียกว่าพ่อสุขโต แม่สุขตา ผู้หญิงก็เรียกเป็นอา ผู้ชายเป็นโอ อันนี้ภาษาเขาอย่างนั้น เรียกว่าเป็นพ่อสุขโต แม่สุขตา ลูกทุกคนในครอบครัวก็มีแต่ความร่าเริงเบิกบานใจ
เราอยู่กับเพื่อนบ้านเราก็ถือหลักของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าสุขโต เราก็ต้องปฏิบัติตนให้เพื่อนบ้านสบายใจ แต่ว่าการทำให้เพื่อนบ้านสบายใจก็ต้องระวังเหมือนกัน คืออย่าทำให้เขาสบายใจในทางต่ำ ในทางที่จะทำลายจิตใจให้เสียความเป็นมนุษย์ไป ทำให้เขาสบายใจในทางต่ำเช่น เขาชอบดื่มสุราก็ซื้อสุ ราไปเลี้ยงเขา เขาชอบเล่นการพนันก็เปิดบ้านให้เขามาเล่นการพนันกัน เขาชอบสนุกอะไรเราก็ไปส่งเสริมให้เขาสนุก อย่างนั้นมันไม่ใช่ให้ความสบายใจแก่เพื่อนบ้าน แต่ว่าส่งเสริมซ้ำเติมให้เพื่อนบ้านทรุดหนักลงไปทุกที จนกระทั่งจบลงไปในนรกไปเลย อย่างนี้ไม่ได้ ให้สบายอย่างนั้นไม่ได้ เพื่อนฝูงมิตรสหายเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของเรา เราต้องทำให้เขาสบายด้วยการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น อันนี้แหล่ะสำคัญ ช่วยให้เขาได้รู้วิถีทางที่จะยกระดับจิตให้สูงขึ้น เราจะช่วยอย่างไร ดึงเขาเข้าหาธรรมะ ชักชวนให้เขาได้เห็นประโยชน์ของธรรมะ ให้เขาได้ศึกษา ให้เขาได้ปฏิบัติตามแนวทางธรรมะที่เราได้รู้ได้เข้าใจหรือเราได้ปฏิบัติแล้วก็ได้ประโยชน์อยู่บ้างแล้ว ก็ไปโน้มน้อมชักจูงจิตใจคนเหล่านั้นให้หันเข้าหาธรรมะ อันนี้เรียกว่าเป็นการช่วยอย่างแท้จริง ช่วยให้เขายกระดับจิตให้สูงขึ้นนั่นแหล่ะเป็นการช่วยอย่างแท้จริง การช่วยด้วยวัตถุให้เสื้อให้ผ้าให้หยูกให้ยาให้อะไรต่าง ๆ นั้นเป็นการช่วยทางฝ่ายกาย ไม่ได้เป็นการช่วยทางจิตทางวิญญาณ
การช่วยทางจิตนั้นคือช่วยให้เขารู้ทาง รักษาจิตใจให้สูงพ้นจากความชั่วความร้าย หรือพูดง่าย ๆ ว่าช่วยให้เขาเป็นมนุษย์สมบูรณ์ขึ้น ให้เป็นมนุษย์สมบูรณ์ เป็นมนุษย์สมบูรณ์ก็ต้องประพฤติธรรม ถ้าไม่ประพฤติธรรมก็เป็นมนุษย์ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ยังใช้ไม่ได้ ต้องช่วยอย่างนั้น ถ้ามีเพื่อนฝูงมิตรสหายที่เขวอยู่ เดินออกไปนอกลู่นอกทาง พยายามหาอุบายชักจูงโน้มน้อมจิตใจให้เขาเข้าสู่เส้นทางให้ได้ นั่นแหล่ะคือการช่วยอย่างแท้จริง เป็นการช่วยที่ ช่วยให้เขาเป็นมนุษย์สูงขึ้น ให้จิตใจเขาสูงขึ้น นับว่าเป็นการช่วยแท้ เราช่วยกันในรูปนี้น้อย ช่วยกันในเรื่องให้ต่ำนี่มันมาก ช่วยเลี้ยงเหล้า ช่วยทำอะไรในทางเหลวไหล ไม่ใช่วิสัยของพุทธบริษัท พุทธบริษัทต้องช่วยยกระดับจิตใจคนให้สูงขึ้น จนพ้นจากความชั่วความร้ายนั่นแหล่ะเป็นการช่วยอย่างแท้จริง เช่น คนที่เป็นหัวหน้าในสำนักงานต่าง ๆ ในบริษัทองค์การห้างร้านอะไรก็ตามใจ เราต้องสงเคราะห์คนที่ทำงานกับเรา ให้ได้เข้าถึงธรรมะ เพราะถ้าคนที่อยู่ร่วมกับเราประพฤติธรรม งานเราก็ดีขึ้น งานเจริญขึ้น แต่ถ้าคนที่อยู่ร่วมกันไม่ประพฤติธรรม งานมันก็ตกต่ำ เขาไม่รักงาน เขาไม่ขยัน เขาไม่เอาใจใส่ เขาไม่ทำเต็มความสามารถ งานล้ม งานล้มเพราะคนมันไม่ประพฤติธรรม งานนั้นก็อยู่ไม่ได้
ราชการเราก็เหมือนกัน หัวหน้าแผนก หัวหน้ากอง หัวหน้าถึงชั้นอธิบดี รัฐมนตรีอะไรก็ตามใจ ถ้าไปอยู่ในตรงไหนก็ต้องมองดูว่าคนของฉันนี่ประพฤติอย่างไร มีอะไรบกพร่อง มีอะไรเสียหาย ที่จะช่วยโน้มน้อมจิตใจเขาให้เข้าหาธรรมะ ดึงคนใหญ่ก่อน เช่นไปเป็นรัฐมนตรีนี่ดึงอธิบดีมาก่อน เอาอธิบดีมาประพฤติธรรม มาเข้าหาธรรมะกัน แล้วอธิบดีก็จะไปชวนหัวหน้ากอง หัวหน้ากองไปชวน …… (25.50 เสียงไม่ชัดเจน) แล้วก็ไปชวนลูกน้องในกรมกองนั้นทั้งหมดให้พฤติธรรม กระทรวงนั้นก็เป็นกระทวงที่มีพระประจำกระทรวงแท้จริง เพราะคนทุกคนประพฤติธรรม งานมันก็รุดหน้าก้าวหน้า เป็นไปด้วยดี
โดยมากเราไม่ได้ชักจูงกันในรูปอย่างนั้น เราผูกมิตรด้วยการเลี้ยงเหล้า ผูกมิตรด้วยการนำไปเที่ยวสนุกสนานเพลิดเพลิน ผูกมิตรด้วยการให้ทรัพย์สินเงินทองแก่เขา ก็เอาวัตถุมาล่อ เอาเหยื่อมาล่อ เหยื่อหมดเขาก็ไม่เอาเราต่อไปเพราะไม่มีเหยื่อล่อแล้ว อันนี้มันลำบาก เอาธรรมะล่อดีกว่า ให้เขาประพฤติธรรมแล้วเขาก็เป็นตัวของตัวเอง ทำงานทางก้าวหน้าเจริญงอกงามต่อไป อันนี้เป็นเรื่องสำคัญอยู่ คนบางคนก็เคยทำอย่างนั้น งานการเรียบร้อย ทุกคนตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ดีขึ้น สิ่งทั้งหลายมันก็เจริญงอกงาม อันนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่เรียกว่าเราเอาหลักการของพระผู้มีพระภาคมาใช้
พระผู้มีพระภาคเมื่อได้ตรัสรู้ธรรมะแล้วก็ทรงแผ่พระญาณ ไปยังสัตวโลกทั้งหลาย ว่าเราควรจะไปสอนใคร แล้วเมื่อพบใครควรสอนก็ไปสอน ไปชี้แนะชักจูงให้เขาประพฤติธรรม ให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป พระองค์ไปสู่สถานที่ใดก็มีคนต้อนรับ ไม่ขับไล่ ไม่ขับไล่เหมือนกับขับไล่ผีบุญอะไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในบ้านเมือง ไม่อย่างนั้น ทุกคนต้อนรับ พระราชายินดีต้อนรับ เศรษฐียินดีต้อนรับ นักบวชด้วยกันก็ยังยินดีต้อนรับ แม้ความคิดความเห็นจะไม่ตรงกัน แต่เมื่อพระองค์ไปสู่สำนักใด นักบวชในสำนักนั้น ๆ ก็เปิดประตูรับด้วยความเต็มใจ มานั่งสนทนาพาทีกันด้วยความร่าเริงเบิกบานใจ ไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยแก่ใคร ๆ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น อันนี้ก็เพราะว่าน้ำใจของพระองค์นั้นเต็มเปลี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาปราณีต่อคนเหล่านั้น เสด็จไปที่ไหนนี่ทรงตั้งพระทัยว่าไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่คนทั้งหลาย เรียกว่าไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่คนทั้งหลาย ในภาษาบาลีว่าพาหุชะนะหิตายะ พาหุชะนะสุขายะ (30.50 ไม่ยืนยันตัวสะกด) หมายความว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เป็นไปเพื่อความสุขแกคนทั้งหลายเหล่านั้น กระแสจิตที่ซ่านออกไปจากพระองค์นั้นเป็นกระแสจิตที่เต็มไปด้วยความเมตตาปราณี เมื่อมันไปกระทบใครเข้า คนนั้นก็เกิดรักพระองค์เลื่อมใสพระองค์ ต้อนรับพระองค์ด้วยความเต็มใจ ไม่ขับไล่ไสส่ง นี่ก็เพราะมีน้ำพระทัยอย่างนั้น คือเต็มเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา ถ้าไปเพื่อเมตตาปราณี ไปช่วยเขาให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนในทางจิตใจ
อันนี้เป็นหลักสำคัญอันหนึ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติ ทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตรได้ ศัตรูของพระองค์ก็มีบ้าง แต่ว่าไม่สำเร็จสักรายเดียว ผลที่สุดศัตรูก็กลายเป็นมิตรของพระองค์ เคารพพระองค์ต่อไป เช่น พระเทวทัตนี่เรียกว่าเป็นอันตรพาลของโลกคนหนึ่ง ยอดของยอดอันตรพาล ก็ไปรังแกถึงพระพุทธเจ้า ก็เรียกว่าเป็นยอดอันตรพาลคนหนึ่ง แล้วก็ใช้คนให้ไปดักยิงพระพุทธเจ้า เรารู้ว่าเส้นทางนี้คนกำลังดักยิงอยู่ ก็ทรงเดินไปตามเส้นทางนั้น เดินไปด้วยอาการปกติ ไม่มีอะไร แผ่พระเมตตาไปยังคนเหล่านั้น คนเหล่านั้นพอพระองค์เข้ามาใกล้ ก็ยกลูกศรขึ้นประทับทำท่าเล็งเลย จะยิง เราก็เดินเฉย ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวหรืออะไรแม้แต่น้อย พวกนั้นก็จังก้าอยู่นั่น ยืนจังก้าทำท่าจะยิงอยู่นั่นแหล่ะ ยิงไม่ได้ ง้างไม่ได้ ง้างมัน …… (32.55 เสียงไม่ชัดเจน) ยืนเกร็งอยู่อย่างนั้นแหล่ะ เราก็เดินเข้าไป เดินเข้าไป จนใกล้เรียกว่าห่างสัก ๒-๓ เมตรแล้ว ถ้าจะยิงก็มันไม่พลาดเป้าแล้วล่ะ แต่มันง้างไม่ได้ มันหยุดซะเพียงตรงนั้น แขนมันไปแข็งอยู่ตรงนั้นง้างไม่ออก แล้วพระองค์ก็ถามว่า
“ อ้าว...ท่านทำอะไร ”
บอกว่า “ จะยิงพระองค์ ”
“ อ้าว... แล้วทำไมไม่ยิง ”
หรือว่าท่านถามว่า “ ทำอะไร ”
“ จะฆ่าพระองค์ ”
“ ทำไมต้องฆ่าล่ะ ไม่ฆ่าเราก็ตายเหมือนกัน จะต้องฆ่าทำไม ”
“ เขาใช้ให้มาฆ่า ”
“ อ่อ... แล้วทำไมไม่ฆ่า เราเดินมาให้ท่านฆ่าแล้วทำไมไม่ฆ่า ”
พวกนั้นก็ล้มลงตรงนั้น เรียกว่าเหมือนกับล้ม ล้มลงกราบแทบพระบาทว่า “ ข้าพระองค์ทำพระองค์ไม่ได้ ”
นี่เอาชนะด้วยความเมตตา ชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ ชนะความร้อนด้วยความเย็น เอาชนะได้อย่างนั้น คนเหล่านั้นก็กลายเป็นลูกศิษย์ของพระองค์ไป เดินตามพระองค์ไป ไอ้คนดักยิงไม่ใช่คนเดียวนะ คนนี้ยิงเสร็จแล้ว คนนี้ผ่านมาไอ้คนนั้นยิงคนนั้นต่อไป แล้วคนนู้นยิงคนนั้นต่อไป ยิงกันหมดแถวนะ อันนี้เมื่อคนแรกไม่ยิง ไอ้คนที่สองมันก็ยิงไม่ได้ เดินตามหลังพระองค์เป็นแถวไป สะพายธนูเดินตามหลังเป็นแถวไปจนถึงคนสุดท้าย คนสุดท้ายก็ไม่สามารถจะยิงพระองค์ได้ นี่ก็เพราะว่ามีน้ำพระทัยเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา เมตตาที่แรงมาก คือกระแสจิตที่ส่งออกไปจากพระองค์นั้นมันแรงมาก แรงจนคนทำร้ายไม่ได้ ประทุษร้ายต่อพระองค์ไม่ได้
อันนี้เรื่องอำนาจจิตที่สูงส่งด้วยแรงสมาธิอย่างลึกซึ้งเอาชนะคนเหล่านั้นได้ แต่ว่าถ้าปล่อยช้างซึ่งเมามันช้างธนบาล (35.00 ไม่ยืนยันตัวสะกด) เอาเหล้าให้กินก่อน มีช้างตัวเดียวที่กินเหล้าในโลกนี้ แต่ว่ามันมอม เอาไปมอมให้เมา แล้วก็ปล่อยเพื่อให้ไปแทงพระพุทธเจ้า พระองค์เดินไปกับพระอานนท์ พอช้างพุ่งมาพระอานนท์ก็ออกไปเดินขวางหน้า เรียกว่าเสียสละชีวิต ตายแทนพระองค์ แต่ว่าพระอานนท์ก็ไม่ถึงกับต้องเสียสละชีวิตนั่นแหล่ะ พระองค์ยกมือขึ้นอย่างนี้ พอยกมืออย่างนี้ ช้างหมอบกึบลงไปทันที เฟืบลงไปทันทีหมอบนิ่งอยู่เหมือนกับเป็นช้างไม้เชียงใหม่เสียแล้ว หมอบนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่เคลื่อนไหวแล้ว นี่ก็เพราะว่าอำนาจจิตที่แรงมาก แม้ช้างเป็นสัตว์เดียรฉานก็ไม่สามารถทำร้ายพระองค์ได้ ไม่สามารถจะทำร้ายได้ หมอบนิ่งอยู่ตรงนั้นเอง เป็นช้างธรรมดาไป เราเข้าไปใกล้แล้วเอาพระหัตลูบเข้าที่กระหม่อมของช้างนั้น ลูบช้าง โอ้ช้างยกตัวขึ้นทำท่าหัวเราะ ชอบอกชอบใจรักพระพุทธเจ้า เดินตามหลังพระพุทธเจ้าด็อกแด็ก ๆ ไปตามเรื่อง เสร็จแล้วทีนี้ ไม่เป็นอันตราย แต่ว่าเจ็บใจนักแหม กูให้ให้กินเหล้าแล้วยังทำไม่ได้ อะ..เอาใหม่ เลยไปกลิ้งหินอีกอย่างนี้ กลิ้งหินเพื่อให้ชนเลย กำลังเดิน …… (36.35 เสียงไม่ชัดเจน) เขามันเอียงอย่างนี้ ถนนมาอย่างนี้ กลิ้งลงมาก็พอดีแล้วจังหวะเหมาะแล้ว พอเดินมาถึงก็ปุ้งเข้าให้ อ้าวไม่สำเร็จเพราะหินไปชนต้นไม้ แต่สะเก็ดนิดเดียวกะเทาะออกไปแล้วไปถูกพระชงค์คือหน้าแข้ง เลือดซิบ ๆ นิดหน่อยเหมือนหนังพอถลอกอย่างนั้นแหล่ะ เทวทัตนี่เรียกว่าทำบาปหนักทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต เขาเรียกว่าเป็นอนันตริยกรรม
อนันตริยกรรมนี่ก็คือกรรมหนักที่สุดที่คนทำ มีอะไรบ้าง หนึ่ง ฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ทำสงฆ์ให้แตกจากกัน นี่เขาเรียกว่าเป็นกรรมหนัก ฆ่าพระอรหันต์ด้วย ห้าอย่าง ฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ออกพระโลหิต ยุแยงให้สงฆ์แตกกัน คนเหล่านี้เขาเรียกว่าพวกบาปหนาบาปหนัก ตายแล้วก็ไปตกนรกอเวจี นรกอเวจีก็ไม่มีการผุดการเกิดแล้ว เผาอยู่นั่น ร้อนอยู่ตลอด เปลวเพลิงไม่รู้จักดับ ร้อนอยู่ตลอดเวลาเทวทัตเป็นอย่างนั้น ทำร้ายพระพุทธเจ้าอย่างนั้น เสียหายมาก เป็นบาปหนักในพระพุทธศาสนา แต่ว่าไม่สำเร็จ ทำไม่สำเร็จ พระองค์เอาชนะได้ด้วยความเมตตาปราณี เอาตัวรอดได้ แต่นี่พระองค์เสด็จไปแคว้นใด พระราชาของรัฐนั้นพอรู้ข่าวก็เสด็จมาต้อนรับพร้อมด้วยบริวาร ได้ฟังธรรมะชื่นอกชื่อใจ ต้อนรับพระองค์ด้วยดี ชาวบ้านชาวเมืองก็ดีใจว่าพระสมณะโคดมได้เสด็จมาโปรดพวกเราแล้ว มากันต้อนรับกันทั้งบ้านทั้งเมืองดีอกดีใจ กลางคืนก็มาฟังธรรมกันเป็นการใหญ่ พระองค์เสด็จอยู่ที่ไหนคนก็มาฟังธรรมทุกคืน ทุกวัน ใครมีปัญหาก็มาเฝ้ามาปรึกษาพระองค์ เสด็จไปแคว้นใดก็ทำให้แคว้นนั้นสงบมีความสุข เสด็จไปเมืองใดก็เมืองนั้นสงบมีความสุข บ้านช่องเขาก็ดีขึ้น การเป็นอยู่เขาก็ดีขึ้นเพราะเขาช่วยกันประพฤติธรรม มีความสุขความเจริญมีความก้าวหน้าในชีวิต อันนี้คืองานที่พระองค์ทรงกระทำให้คนสบายใจ
งานของพระพุทธเจ้าไม่ใช่งานทางวัตถุแต่เป็นงานทางจิตใจ มีบางคนพูดว่าพระพุทธเจ้าส่งพระไปช่วยสร้างบ้านสร้างเรือน อันนี้มันไม่ดี ไม่ถึงขนาดอย่างนั้น พระไม่ได้ทำอย่างนั้น คือพระไปสอนจิตใจคนให้ดีขึ้น ไปสอนคนให้เกิดความสำนึกในหน้าที่ ให้เกิดความสำนึกในความเป็นมนุษย์ ให้ความสำนึกในเรื่องที่เราจะต้องทำว่า อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ สอนอย่างนั้น คนเหล่านั้นก็ประพฤติดีประพฤติชอบ เศรษฐีฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้เป็นเศรษฐีที่แท้จริงขึ้นมา
เศรษฐีนั้นหมายความว่าอย่างไร ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนมั่งมีอะไรอย่างนั้น แต่ความมั่งมีนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐีเท่านั้น แต่ความเป็นเศรษฐีที่แท้จริงนั้นอยู่ที่มีน้ำใจประเสริฐ เศรษฐีก็แปลว่าประเสริฐ เศรษฐะ เศรษโฐ เศรษฐี แปลว่าประเสริฐ คนมีน้ำใจประเสริฐเรียกว่าเป็นเศรษฐี ถ้ามีเงิน ใจเหี้ยมโหดดุร้าย เป็นนายทุนหน้าเลือด เรียกดอกแพงเหมือนเลือดซิบ ๆ ประมาณนี้เขาเรียกว่าไม่เป็นเศรษฐี เขาเรียกว่าเป็นนายทุนหน้าเลือด อย่างนั้นไม่ใช่เศรษฐี เศรษฐีคือคนใจดีใจงาม ไม่เอาทรัพย์สมบัติแสวงหาความสุขส่วนตัวให้เพื่อนเดือดร้อน แต่ว่าใช้ทรัพย์ที่ตัวมีอยู่นั้นเพื่อให้คนอื่นสบาย ไปไหนก็ไปเพื่อให้คนสบาย ทำอะไรก็ทำให้คนสบายให้มีความสุข นี่เขาเรียกว่าเศรษฐีแท้ เศรษฐีมันต้องเป็นอย่างนั้น เป็นผู้มีคุณธรรมคือความเมตตาปราณีต่อประชาชน ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ไม่ทำมาหากินที่จะให้ใครเดือดร้อนแต่ว่าช่วยให้คนทุกคนสบายใจนั่นแหล่ะคือเศรษฐี พระพุทธเจ้าท่านไปสอนคนมีทรัพย์ให้เป็นเศรษฐี เช่น สอนอนาถบิณฑิก ผู้มั่นคั่งแห่งนครสาวัตถีให้เป็นเศรษฐีอนาถบิณฑิก เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ปลูกโรงทานแจกอาหารคนยากคนจน แจกวัว แจกควาย แจกเสื้อ แจกผ้า แจกที่ดิน ใครไม่มีที่ดินก็มาเอาที่ดิน มาเอาไปส่วนหนึ่งเอาไปกี่ไร่ ทำมาหากินไป ไม่มีวัวเอาวัวไป ไม่มีอะไรก็ให้ไปหมด นี่การสงเคราะห์สังคม ช่วยเหลือสังคมก็ต้องช่วยอย่างนั้น ไอ้เราจะไปช่วยในทางวัตถุนั้น มันนอกเหนือหน้าที่ไป
หน้าที่เราคือไปสอนคนให้รูปจักปรับปรุงตัวเอง ให้พัฒนาตัวเอง เช่นว่าไม่มีสระน้ำ อ้าวไปช่วย ชวนกันมาช่วยขุดสระ ให้ชี้แจ้งให้เข้าเข้าใจว่าเราต้องช่วยกันทำ ช่วยกันสร้างงานขึ้น ช่วยกันขุดสระน้ำ ช่วยกันทำทำนบกั้นน้ำ ช่วยกันทำถนนระหว่างหมู่บ้าน พระไปช่วยชักจูง โน้มน้อมจิตใจ ไปทำอย่างนั้น ไม่ใช่ไปลงมือทำเอง เพราะว่าพระเราทำไม่ได้ แต่ว่าไปสอนให้ทำได้ ชักจูง เป็นจุดรวมของชาวบ้าน ให้ชาวบ้านมารวมกันในที่นี่ แล้วก็บอกให้ทำอะไร เขาก็ทำตาม เช่น เหมือนครูบาศรีวิชัยที่เชียงใหม่ ใครไปเชียงใหม่นั่งรถขึ้นดอยสุเทพก็ต้องนึกถึงครูบาบ้าง ไม่ใช่นั่งเฉยๆ (43.05 เสียงไม่ชัดเจน) ถนนนี้ใครสร้างไว้ ครูบาศรีวิชัยท่านไปสร้างไว้ ท่านไปนั่งอยู่ที่เชิงภูเขาน่ะ ให้คนทำถนน คนก็มาหาท่าน แล้วมันเอาจอบมา เอาเสียมมา เอาข้าวสารมา ไม่ต้องจ่ายอะไร ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างหุงแกงกินกันเอง ทำถนนกัน แบ่งให้ทำคนละเท่านั้นเท่านี้ แบ่งไปแบ่งมาได้คนละศอกเท่านั้นเอง เรียกว่ากว้างศอกหนึ่ง ยาวไปตามแนวถนน ยืนตั้งแต่เชิงเขาจนถึงดอยสุเทพแหน่ะคน ทำถนนเพียงเดินขึ้นกับรถขึ้นไปได้สบาย ๆ นั่นแหล่ะท่านไปทำอย่างนั้น ถ้าเราไปทำอย่างนั้น เวลาหยุดงานก็เอ้ามาสวดมนต์ไหว้พระฟังเทศน์ อบรมบ่มจิตใจไปตามเรื่อง ไปช่วยให้ประชาชนดีขึ้น เรียกว่าไปดีในสถานที่นั้น ๆ
พระผู้มีพระภาคทรงเสด็จไปอย่างนั้น รู้ข่าวว่าพระญาติเดือดร้อน พระองค์ก็เสด็จไปโปรดพระญาติ พระญาติเดือดร้อนเรื่องแม่น้ำ แม่น้ำมันอยู่กั้นเขตระหว่างเทวหะกับกบิลพัสดุ์ เรีกว่าแม่น้ำโรหิณี น้ำไหลมาจากหิมาลัย นี้ รัฐทั้งสองนี้อาชีพหลักคือการเกษตร อาชีพหลักของแคว้นศักยะนี่คือเกษตร ทำนา เพราะอย่างนั้นชื่อพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าสุทโธทนะ พระเจ้าข้าวขาว เราก็มาดัดมาแปลว่าพระเจ้าข้าวขาว สุกโทธนะข้าวสุข สุโท สุทะ ลงทะนะทั้งนั้นนะ สุก็สุโทธะนะ สุโกทะธะ อมิโตทนะ โทโตทะนะ (40.55 ไม่ยืนยันตัวสะกด) ลงเรื่องข้าวทั้งนั้น แสดงว่าอาชีพหลักคือข้าว ทำนามันก็ต้องอาศัยน้ำในแม่น้ำโลหิณี เกิดปีหนึ่งมันฝนแล้งจากน้ำขอดแห้งลงไปถึงก้นแม่น้ำ น้ำไม่พอ ก็เลยทำทำนบแย่งน้ำกัน ไอ้ฝ่ายนู้นก็จะปลูก ฝ่ายนี้ก็จะเอาแย่งกัน คนใช้มันด่ากันก่อน ด่าไปถึงนายมั๊ง ไอ้คนใช้ก็ไปบอกนาย แหมไอ้พวกคนใช้ฝั่งนู้นมันด่านาย นายก็โกรธจะไปเล่นงานคนใช้ ไอ้คนใช้ก็ไปบอกนายมา อ้าวถือดาบมาทั้งสองข้าง จะประหัตประหารกันด้วยเรื่องน้ำ
พระองค์ทรงทราบก็เสด็จมา มาถึงถามว่า “ท่านกำลังทำอะไรกัน จะฆ่าจะแกงกันหรือ ” บอกว่าจะรบกันเรื่องอะไร
“ เรื่องน้ำ ”
“เอ้า... น้ำกับชีวิตของคนอันไหนมีค่ามากกว่ากัน ”
พวกนั้นก็ตอบว่า “ ชีวิตคนมีค่ามากกว่าน้ำ ”
เมื่อชีวิตคนมีค่ามากกว่าน้ำแล้วจะมาฆ่ากันทำไม พูดกันไม่รู้เรื่องนะพี่กับน้องพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วรึ พวกนั้นก็เลยวางดาบ กราบพระพุทธเจ้า แล้วก็ปรึกษาตกลงกันว่าทำทำนบนั้นวันนี้เอาเข้าฝังนู้น พรุ่งนี้เอาเข้าฝั่งนี้ ไม่ต้องทะเลาะกัน แย่งกันทำไม แบ่งกันดีกว่า นี่พระองค์ไปโปรดพระญาติ เขาจึงทำพระพุทธรูปยกมืออย่างนี้ เขาเรียกว่าพระปางสมุทร พวกในเรือรบมีพระปางนี้ทั้งนั้น บอกว่าเอาไว้บูชา ความจริงนั้นเป็นพระห้ามญาติ แต่ว่ามันเรื่องน้ำก็เลยเรียกว่าพระปางสมุทร บัณฑิตมีรูบนโต๊ะทำงานก็มีพระยืนแบบนี้อยู่บนโต๊ะเหมือนกัน พระยืนแบบนี้ก็หมายความว่ามุสลิมกับฮินดูนี่จะฟัดกันทำไม มันก็พวกเดียวกันเชื้อสายเดียวกันแต่ถือศาสนาต่างกันเท่านั้นแหล่ะ ไอ้เรื่องนี้มันยุ่งจริงๆศาสนาต่างกันมันยุ่ง
เมืองไทยต่อไปก็อาจยุ่งได้ เมื่อศาสนาอื่นมีคนมากขึ้นมันจะทำยุ่ง ลำพังชาวพุทธนี่ไม่ยุ่งหรอก ชาวพุทธเรานี่จะไม่ก่อเรื่อง ไม่สร้างปัญหา เรารู้จักให้อภัยกัน แต่ว่าศาสนาอื่นเขาไม่ได้สอนอย่างนั้น เขาจะสอนให้รักพวกรักหมู่อะไรกันและพระเขาก็เล่นการเมืองได้ เขาสมัครผู้แทนได้ เขาไปเป็นนายกรัฐมนตรีได้เหมือนแคว้นไซปรัส หลวงตาบาทหลวงจะเป็นนายกสะเอง แล้วก็ยุ่งกันที่สุดแคว้นไซปรัสนี่เพราะมันมีสองศาสนา เขาไม่ลงกันจนแตกแยกกลายเป็นสองประเทศไป อันนี้เป็นเรื่องที่น่าระวังอยู่เหมือนกัน เราไม่ค่อยคิดถึงการณ์ข้างหน้านึกว่าไม่เป็นไร ไม่ได้คนชาติเดียวกันมันควรจะถือศาสนาเดียวกัน เรียกว่าใจเดียว พอถือศาสนาสองศาสนามันสองใจ ในครอบครัวเราถ้ามีเด็กสักคนหนึ่ง ลูกเราไปถือศาสนาอื่น มันไม่เข้ากับพ่อกับแม่แล้วไอ้เด็กคนนั้นมันไปเชื่อพวกสอนศาสนานู้น มันจะทำอะไรก็โกรกเกรกของมันคนเดียว แม่ก็นั่งตรอมใจ พ่อก็นั่งตรอมใจ เพราะลูกไม่เหมือนพ่อเหมือนแม่ แตกแยกออกไป นี่คือเริ่มการแตกร้าวในครอบครัว แล้วถ้าเป็นเรื่องในชาติมันก็แตกกัน ประเทศเลบานอลฉิบหายหมดประเทศมันเรื่องอะไร เรื่องศาสนา เพราะคนไม่ปฏิบัติธรรม ไม่เข้าถึงเนื้อแท้ของศาสนาเลยรบกัน ศาสนาเดียวกันก็ต่างนิกาย รบกัน แล้วอีกพวกหนึ่งคริสเตียนเก่าแก่ก็รบกับพวกที่ถือมุสลิม มุสลิมสองพวกก็รบกันเองอีกเลยกลายเป็นสามก๊กอยู่ในเวลานี้ รบกันจนนู้นหมดบ้านหมดเมืองจึงจะรู้สึกตัวเหลือแต่กระดูกแล้ว กระดูกก็จะร้องว่ากูแย่แล้ว กูแย่แล้ว มันอย่างนี้เรียกว่ามัน มันโง่ คนที่รบกันนี่คือคนโง่ ไม่ใช่คนฉลาดอะไร ต่อไปข้างหน้ามันอาจจะมีขึ้นในประเทศอื่นบ้านอื่น เมื่อมันเกิดการเรียกว่าสมดุลกันขึ้นระหว่างศาสนา ก็เกิดแย่งผลประโยชน์กันแย่งการเมืองกันอะไรกัน ไอ้นี่ยังไม่หลายศาสนานะ สมัครผู้แทนก็ยังแย่งกัน ยิงกัน ฆ่ากันตาย
เมื่อวานพบอุบาสิกาคนหนึ่งมาจากทุ่งเสรียม จังหวัดสุโขทัย ถามว่าหลวงพ่อว่า “ หลวงพ่ออ่านหนังสือพิมพ์หรือเปล่า ”
“ อ่าน ”
“ อ่านเดลินิวหรือเปล่า ”
“ อ่าน ”
“ แล้วเห็นรูปหนูหรือเปล่า ”
“ จำไม่ได้แล้ว ไม่ได้สังเกต ไม่รู้ว่าใครเป็นใครแต่ได้ข่าวว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งใช้เงินเพียง ๒๒ บาทสมัคร สจ. แล้วก็ได้ด้วย ”
ก็คือแกนั่นเอง แต่ความจริงแกเคยมาที่นี่ แล้วแกก็มา มาอวดคุยไปหน่อยว่า หนูแหล่ะจะเป็นผู้ เป็นสจ.ได้ด้วยเงิน ๒๒บาท โดยไม่ได้จ่ายเงินนะแต่ว่าจ่ายไปทั้งหมด ๒๒ บาท แล้วก็ได้ ได้แกก็เที่ยวไปยิ้มเอาเท่านั้นเอง ไปขอคะแนนก็ยิ้มกับเขาเรื่อยๆไปแล้วแกก็เป็นคนที่ชอบทำอะไรที่เป็นประโยชน์ นี่เขาก็นึกว่าเออเอาคนใจบุญสุนทานดีกว่ามันไม่ยุ่ง เขาก็เลือกแกเข้าไป เลยได้เป็น เรียกว่าเป็นประวัติการว่าใช้เงินน้อยที่สุดก็ได้เป็นได้ แต่ว่าไอ้คนที่มันไม่คิดอย่างนั้นมันก็ทำลาย เพราะอย่างนั้นตายกันบ่อยๆ สจ. นี่ตายบ่อยๆ สท. ก็ตายเหมือนกัน สส. ก็อาจตายเหมือนกันต่อไปข้างหน้า เกิดเฮี้ยนกันขึ้นมา เอ้ย...ไอ้นี่มันขวางคอ ก็ใช้กระสุนกัน คือไม่ใช้ธรรมะ มันก็ยุ่ง ไม่เป็นสุขโตตามหลักของพระพุทธเจ้า ก็เกิดเป็นปัญหา
พระองค์รู้ว่าพระญาติเดือดร้อนก็ต้องไป วิฑูฑภะยกทัพไปจะเผาเมืองกบิลพัสดุ์ฆ่าให้หมดโกรธมากเลย ฆ่าให้หมดเลย พระองค์ก็เสด็จไป เสด็จไปห้ามทัพไม่ให้ไปทำกัน แต่ว่าวิฑูฑภะก็ยังไม่หายแค้น รู้ว่าพระพุทธเจ้าไปไกลแล้ว เรียกว่ามาไม่ทันตอนนี้แล้วไปไกล ระยะทางเดินมันไกล เขารู้ว่าพระองค์ไปไกล ยกทัพมาขยี้พวกศากยะ ฆ่าไม่เลือกหน้าเลย ฆ่าแหลกไปเลยทีเดียว ความโกรธไม่ใช่เรื่องอะไร นี่เขาเรียกว่าโทษะจริตมันเกิดรุนแรง ไม่นึกถึงธรรมะ เป็นเด็กหนุ่ม วิฑูฑภะ
เรื่องมันนิดเดียว เรียกว่าปเสนทิโกศลนี่แกเลี้ยงพระ พระไปฉันบ้าง ไม่ไปฉันบ้างเพราะพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ลงมาดู คนมหาดเล็กมันทำตามชอบใจ ทำไม่เอาใจใส่นี่เหมือนกับนาย ไว้ใจคนใช้ให้ทำอะไรมันก็ทำไปตามเรื่องไม่ค่อยเรียบร้อย พระเข้าไปตามในวังอะไรก็มีแต่คนใช้มันก็ไม่ค่อยเรียบร้อย ทว่าผู้ใหญ่มานั่งอยู่มันก็ทำเรียบร้อย พระท่านก็ไปบ้างไม่ไปบ้าง วันหนึ่งพระเจ้า …… (52.35 เสียงไม่ชัดเจน) นิมนต์พระเยอะแยะทำไมมาถึงองค์เดียวนั่งฉัน ฉันแต่พระอานนท์องค์เดียว นอกนั้นไม่มี ข้าวของเหลือเบ่อบ่ะ เลยก็ถามว่าทำไมพระไม่มา พระท่านบอกว่าพระองค์ไม่เป็นญาติกับพระศาสนา ไม่เป็นญาติกับพระ ท่านเข้าใจผิด เลยนึกว่าเออ...ต้องเป็นญาติกับพระพุทธเจ้าซะหน่อย เลยส่งคนไปขอลูกสาวพวกศักยะ ให้มาแต่งงานกับพระองค์เพราะพระมเหสี(53.05 เสียงไม่ชัดเจน)สวรรคตเสียแล้ว พวกศากยหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก หยิ่งในวรรณะในชาติมาก ไม่ให้ แต่ว่าขอแล้วก็ต้องให้สักคน เอาลูกสาวใช้ให้ มหานามะแกไปยุ่งกับสาวใช้มีลูกออกมาเป็นหญิง บอกมีอยู่คนหนึ่งคนนี้ให้ได้ ก็เลยส่งภาตพะขัติยะ (53.30 ไม่ยืนยันตัวสะกด) ลูกสาวใช้ไปให้ ลูกนางทาสีไปให้ ก็เรียบร้อยเลย อยู่กันเรียบร้อย จนมีลูกคือวิฑูฑภะ
วิฑูฑภะไม่เห็นตาไม่เห็นยายก็ถามแม่ ก็รู้ว่านู้น ตายายอยู่เมืองกบิลพัสดุ์ เลยไปเยี่ยม ไปเยี่ยมมีแต่ไหว้ทั้งนั้นไม่มีใครไหว้แกสักคนเดียว แกก็สงสัย เอ๊... เมืองนี้มีแต่คนแก่ทั้งนั้น ไอ้คนรุ่นเดียวกับเราหรือว่าอ่อนกว่าเราไม่มีสักรายไม่มีใครไหว้เรา เขาไม่ให้ไหว้เขาให้ออกไปเที่ยวให้หมด ให้แกไหว้อยู่คนเดียว เพราะว่าเป็นลูกนางทาสีเขารังเกียจ แกก็เลยรู้เรื่องเพราะลืมดาบทิ้งไว้ อำมาตรคนหนึ่งลืมดาบทิ้งไว้ กลับมาเอาดาบ นางทาสีกำลังเอาน้ำนมราดที่นั่งวิฑูฑภะ ขัดถูล้างด้วยน้ำนม ล้างไปก็บ่นไป
“ ไอ้ลูกอีนางทาสีมานั่งตรงนี้ กูต้องเหน็ดต้องเหนื่อย ”
ไอ้อำมาตรลืมดาบเข้ามา
“ เอะ...ว่าอย่างไง ” ก็บอก
“ อะไร นี่แหล่ะอีลูกนังทาสีมานั่งตรงนี้ กูต้องล้างอยู่นี่เหน็ดเหนื่อยจะตาย ”
“ ใครลูกนางทาสี ”
“ ก็นายของแกนั่นแหล่ะ วิฑูฑภะนั่น แม่มันเป็นลูกนางทาสี ไม่ใช่เชื้อสายศากยะอะไร ”
เอาแล้วเกิดเรื่องใหญ่ ไอ้นั่นไปบอกวิฑูฑภะ วิฑูฑภะก็นึกในใจว่าไอ้พวกนี้ กูจะต้องล้างมันให้หมดโคตรเลย ก็หาเรื่อง พระเจ้าปเสนอยู่ยังไม่มา ก็พ่อตายก็ยกทัพมาเลย มา มาจนถึงพระองค์มาห้ามครั้งแรก ตอนหลังพระองค์ไปไกลแล้ว ก็ยกทัพมาฆ่าวินาศไปเลย แต่ก็บาปทันตาเหมือนกัน ยกทัพกลับไปนอนที่หาดทรายริมแม่น้ำ คืนนั้นฝนมันตกมากข้างบนนู้น น้ำหลากมา วิฑูฑภะกับกองทัพจมน้ำตายหมดทั้งผองเลย ไอ้พวกรอดตายบ้างก็เพราะนอน เฮ้ย มดกัดขึ้นไปบนตลิ่ง ไอ้พวกนอนมดไม่กัดตายหมดเลย ไอ้คนมดกัดนี่บุญมันยังอยู่ไม่ถึงที่ตาย เฮ้ย..นอนไม่ไหวมดกัดต้องขึ้นไปเสีย ไอ้พวกนั้นนอนมดไม่กัดก็หลับไป น้ำมาตรึมทั้งกองทัพ เอาไปหมดเลยเรื่องมันเป็นอย่างนั้น ไม่ได้เรื่องเลย
พระผู้มีพระภาคท่านบางทีก็ไปช่วยได้ บางทีก็ไปช่วยไม่ทัน เพราะไม่มีเรือบินสมัยนั้น ถ้ามีไอพ่นก็จะได้บรู๊ดไปช่วยได้ เห็นไหมไม่มีเรือบิน ลำบาก เมื่อวานก็ ...... (56.00 เสียงไม่ชัดเจน) พระขับจรวดได้ไหม พระท่านตอบว่า ได้ เพราะไม่มีในวินัยว่าอย่างนั้น ไม่มีบัญญัติไว้ว่าไม่ให้พระขับจรวด ในเมื่อไม่มีวินัยห้ามก็ขับได้ แต่ว่าจะไปขับอย่างไรจรวด แล้วถามเรื่องพระขับรถยนต์ ไปเห็นพระที่ไปอยู่อเมริกาขับรถยนต์เองไปรับเพื่อนที่สนามบิน คนเขาไปเห็นเข้า เขาไม่เคยเห็น เพราะเมืองไทยนี่มีคนขับให้ ไอ้ที่นู้นไม่มีคนขับ พระท่านก็เคยขับเป็นมาก่อนท่านก็ขับไปเอง ตำรวจก็ไม่ว่าอะไร ถ้าไม่ผิดกฎหมายก็ขับได้ไม่เป็นอะไร ถ้าผิดกฎหมายมันก็ไม่ได้ มีใบขับขี่ก็ขับได้ ไม่ผิดวินัยเพราะสมัยพุทธกาลไม่มีรถยนต์ มีแต่รถม้า แต่พระสมัยก่อนก็ไม่ขับรถม้า ท่านเดินไป เดี๋ยวนี้ก็ขับรถยนต์ อันนี้มันไม่ผิดวินัยแต่มันไม่เหมาะ ไม่ใช่ว่าไม่มีวินัยแล้วจะทำได้ทุกอย่าง ไม่ได้ เราก็ต้องดูว่าควรหรือไม่ควร เหมาะหรือไม่เหมาะ ไอ้สิ่งใดไม่เหมาะถึงแม้ไม่มีในวินัยก็ต้องถือว่าเป็นข้อห้าม ว่าไม่ควร สิ่งใดควรแม้ไม่อนุญาตไว้ก็ …… (57.30 เสียงไม่ชัดเจน) ว่ามันควรมันถูกต้องมันต้องใช้วิจารณญาณเรื่องอย่างนี้ ไม่ใช่ทำอะไรตามชอบใจ มันไม่ได้
นี่เอามาพูดให้ญาติโยมฟังเรื่องเกี่ยวกับสุขโต ขอให้เราทุกคนเป็นสุขโต สุขตากัน คือไปไหนก็ไปดี ไปด้วยใจเมตตาไปด้วยอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส อย่าไปเพื่อจะฆ่าจะแกงกัน อย่าไปเพื่อจะไปเถียงกัน ไม่ได้ มันต้องเอาให้อยู่ ไม่ได้อย่าไปเลยนั่งซะดีกว่า ถ้าไปแบบนั้นอย่าไป ไปด้วยกิเลสก็อย่าไป ถ้าเราลุกขึ้นด้วยอำนาจโทสะโมหะ โลภะ นั่งลง นั่งลง ทำใจเย็นๆ ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าต้องเย็น ๆ อย่าไป ไหว้พระสวดมนต์เสียก่อน มันไม่มีเรื่องนะ แต่ถ้าเราไปด้วยโทสะพุ่งปั๊บไป ไอ้นู้นมันตั้งท่ารับอยู่แล้วปุ้งเข้าให้หัวแตกเลย จะได้เรื่องอะไร อย่าไปอย่างนั้น ใจเย็น ๆ ใครเขามาบอกอะไรเข้าก็ใจเย็น ๆ เรามันลูกศิษย์พระสุขโต ต้องเป็นพ่อสุขโต แม่สุขตา แล้วมันก็เรียบร้อยมันไม่ยุ่ง
อ้าว ... ถึงเวลาแล้วขอยุติสักที ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ เป็นเวลา ๕ นาที