แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ได้เวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
ความจริงเมื่อกลับมาจากต่างประเทศก็ควรจะได้แสดงปาฐกถาให้ญาติโยมทั้งหลายฟังเมื่อวันอาทิตย์ก่อน แต่ว่าวันอาทิตย์ก่อนนี้ เกิดไม่สบายเลยพูดไม่ได้ ความจริงเมื่อไปอยู่ที่ต่างประเทศนั้นเป็นปกติ ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยอะไร แล้วก็ทำงานปาฐกถาให้ญาติโยมฟังอยู่เป็นประจำเกือบทุกวันก็ว่าได้ พอขึ้นเรือบินจะกลับประเทศไทย ก็รู้สึกไม่สบายในเรือบิน แล้วก็เป็นหวัด ไอ ตลอดคืนไม่ได้หลับได้นอน ความจริงโดยสารเรือชึ้นหนึ่งก็นอนสบาย แต่ว่ามันกลับไม่สบายเพราะว่าเป็นหวัด ไอด้วย เกรงใจฝรั่งที่นอนอยู่ข้างๆว่าน่าจะรำคาญ แต่เขาก็ไม่แสดงอาการอะไร เมื่อกลับมาถึงวัดแล้ว ตั้งใจว่าจะปาฐกถาในวันอาทิตย์ที่ ๖ อ้อ ที่ ๗ แต่ก็พูดไม่ไหวเพราะว่ายังอ่อนเพลียละเหี่ยใจอยู่ จึงต้องพัก
ได้พักมาหลายวันก็ยังไม่ค่อยจะเรียบร้อย แต่ว่าพอพูดได้ ปากคอยังแห้งๆ ยังมีอาการอ่อนเพลียอยู่บ้างพอสมควร ความจริงมันก็อยากจะฉันนั่นฉันนี่ แต่ว่าพอเห็นแล้วก็ฉันไม่ค่อยได้ ร่างกายมันยังไม่ต้องการ จึงต้องปล่อยไปตามเรื่องของเขา ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น คนเรามีร่างกายก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง เจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง ยิ่งคนอายุขนาดเจ็ดสิบห้าปี ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับตามสภาพของสังขาร แต่ว่า จิตใจนั้นก็ยังเข้มแข็งอยู่ ยังคิดจะทำนั่นทำนี่ได้อยู่ แต่ร่างกายมันไม่ยอม มันประท้วง ก็ต้องเชื่อเขาบ้าง อย่าไปขัดขืนอะไรเขามากเกินไป วันนี้ พอจะมาพูดกับญาติโยมได้ ก็จะมาพูดสู่กันฟังในเรื่องที่จะเล่าให้ฟังถึงเรื่องการเดินทางไปต่างประเทศ
ในการเดินทางไปคราวนี้ก็เพราะทางฝ่ายพระสงฆ์อันมีท่านสุเมโธเป็นหัวหน้า ซึ่งได้ไปตั้งสำนักปฏิบัติธรรมเผยแพร่ธรรมะอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ที่วัดป่าจิตตวิเวก ในเมืองเวสต์ ซัสเซกซ์ (West Sussex) อยู่ที่นั่น สถานที่มันคับแคบ ความจริงที่มันกว้าง เป็นทุ่งกว้าง แต่ว่าจะสร้างอะไรลงไปในทุ่งนั้นก็ไม่ได้ เพราะเขาควบคุม คือเมืองฝรั่งเขาไม่เหมือนกับบ้านเรา เขาแบ่งที่ออกเป็นส่วนๆ ส่วนไหนเป็นที่อยู่อาศัยใครจะไปสร้างอะไรที่ไม่ใช่ที่อยู่ไม่ได้ ส่วนไหนเป็นสถานที่ตั้งโรงงาน ก็ให้เป็นที่โรงงานโดยเฉพาะ ส่วนไหนเป็นป่า เขาก็สงวนเป็นป่าไว้ ไม่เหมือนบ้านเรา ใครจะทำอะไรก็ตามชอบใจ ในสถานที่อยู่ มีคนไปตั้งโรงงานซ่อมรถยนต์ตามห้องแถว จอดรถบนถนนสาธารณะเต็มไปหมด ก็ไม่ว่าอะไร เมืองฝรั่งเขาไม่ได้ ประชาชนเขาช่วยกันดูแลรักษา อะไรที่เขาตั้งเป็นกติกากันไว้ ก็ต้องทำตามกติกา ใครไปทำอะไรฝืน ประชาชนมันก็โวยวาย ร้องต่อราชการ ราชการก็ต้องเอาใจใส่ในเรื่องที่ประชาชนโวยวายขึ้น บ้านเรานั้นคนมีความอดทนดี ไม่โวยวายอะไรจะหนวกหูอะไรก็ได้จะรำคาญอะไรก็ได้ไม่มีใครเอะอะ แต่เมืองฝรั่งนั้น เขาไม่ยอม นิดหน่อยก็ไม่ยอม มีคนที่คอยเอะอะโวยวายต่อทางราชการ เพราะฉะนั้นใครจะไปทำอะไรตามชอบใจหาได้ไม่ ที่นั้นจึงต้องใช้เฉพาะเป็นที่อยู่ อาคารหลังเดียวไม่พอใช้ สร้างเพิ่มขึ้น เวลานี้พระฝรั่งมีจำนวนถึงยี่สิบเจ็ดรูป เพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อน และยังจะบวชเพิ่มอีกในปีนี้
อีกประการหนึ่ง ญาติโยมที่มีศรัทธา อยากจะไปอยู่ปฏิบัติ ฝรั่งเขาไปปฏิบัติไม่ใช่มาปฏิบัติเพียงชั่ววันหนึ่งคืนหนึ่ง แต่เขาจะไปอยู่ปฏิบัติเจ็ดวันบ้าง สิบวันบ้าง สิบห้าวันบ้าง เวลาเขามีเวลาว่าง เราไม่มีที่พอให้เขาเหล่านั้นมาอยู่ปฏิบัติ ก็เป็นการไม่สะดวก จึงต้องมองหาที่ใหม่เพื่อจะได้ให้สะดวกแก่คนผู้สนใจในธรรมะ ก็ได้ไปได้ที่ขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ที่ตำบลเฮเมน แฮมสเตท (Hemel Hempstead) อยู่ใกล้กรุงลอนดอนเข้าไปประมาณสักยี่สิบไมล์ วัดเก่านั้นอยู่ไกลกรุงลอนดอนประมาณห้าสิบไมล์ ไปมาก็ไม่สะดวก เพราะไกลมาก แต่ที่นี่อยู่ใกล้ คนไปมาสะดวกทั้งทางรถยนต์และรถไฟ ถนนใหญ่ ไปมาสะดวกมาก เป็นสถานที่เก่าที่เขาใช้เป็นโรงเรียนเด็กปัญญาอ่อน มีอาคารสิบกว่าหลัง เป็นห้องพัก เป็นโรงครัว บ้านพักครู บ้านพักภารโรง เป็นที่เด็กพัก มันมีสมบูรณ์หลายหลัง แต่ก็เป็นเรือนไม้ส่วนมาก ที่นู่นโรงไม้มันก็ปลอดภัย เพราะเมืองฝรั่ง ไม่มีปลวกเหมือนบ้านเรา บ้านเราปลวกมาก ถ้าเอาไม้ไปวางไว้บนดินคืนเดียว มันกินเข้าไปตั้งมากมาย ที่โน่นไม่มีปลวก ตั้งบนดินก็ได้ เป็นโรงยาวๆ มีหกหลังสำหรับเป็นที่พัก แต่ว่าต้องซื้อเขาในจำนวนเงินสองแสนกว่าปอนด์ ทางมูลนิธิ ซึ่งเรียกว่าสังฆมูลนิธิ ก็ได้ไปกู้เงินธนาคารมาซื้อบริเวณนั้น เนื้อที่ทั้งหมดแปดสิบกว่าไร่ เป็นสนามหญ้ากว้างขวาง เหมาะแก่การที่จะให้คนมาศึกษามาปฏิบัติ
เมื่อได้ซี้อแล้วเมื่อปีกลาย พระก็ไปอยู่ไปจำที่นั่น แบ่งไปบางส่วนไปอยู่ที่นั่น แม่ชีก็แบ่งไปอยู่ที่นั้นบ้าง เพราะมีบ้านพักสะดวก เมื่ออยู่ครบมาหนึ่งปี ก็จะทำการฉลองกัน ทำพิธีเปิดวัด กำหนดวันที่ ๒๔-๒๕-๒๖ พฤษภาคม เขาก็ส่งจดหมายนิมนต์ให้อาตมาไปร่วมด้วย ก็เขาถือว่า อาตมานี่เป็นผู้อุปถัมภ์ในกิจกรรมการเผยแผ่พุทธศาสนาที่นั่นด้วย คือเป็นกรรมการอุปถัมภ์เขา เพราะว่าได้ไปช่วยเขาเกือบทุกปี เขาก็เห็นอกเห็นใจในความเมตตาปราณี ความจริงอาตมาไปช่วย ก็คือโยมนั่นแหละ เพราะว่าไปทีไรก็บอกญาติโยมล่วงหน้าทางโทรทัศน์ ญาติโยมก็เอาปัจจัยมาร่วมทำบุญ รวบรวมได้แล้วก็เอาไปมอบเขา เขาก็นิมนต์มาให้ไป ความจริงนิมนต์ให้ไปอยู่นาน คือตั้งเดือน แต่ว่าติดขัด เพราะว่าไปฉลองศาลาที่ไปตั้งไว้ที่พัทลุงไปที่ระลึก เป็นอนุสรณ์ว่าเราเกิดที่นั่น ควรทำอะไรเป็นหลักฐานไว้สักชิ้นหนึ่ง ฉลองเสร็จแล้วก็เลยเดินทางไป
วันที่ ๑๕ ออกเดินทาง ไปถึงโน่นก็วันที่ ๑๖ แล้วก็พักอยู่ที่นั่น ในขณะพักอยู่ที่วัด ชื่อใหม่นี่ก็ชื่ออมราวดี แปลว่า สถานที่ไม่ตาย เป็นสถานที่ทำใจให้ไม่ตาย ร่างกายนั้นมันต้องตายตามสภาพ แต่ว่าใจนี่ไม่ตายได้ ใจที่ไม่ตายก็คือใจที่ไม่ตื่น เพราะเกิดเป็นเหตุให้ตาย ไม่เกิดนั้นหมายความว่าไม่เกิดความยึดถือในเรื่องอะไรต่างๆ ไม่มีกิเลสเกิดขึ้นรบกวนใจ ใจคงที่มีสภาพเป็นปกติ ก็เรียกว่าเป็นใจที่ไม่ตาย เป็นอมตะ พระพุทธเจ้าสอนให้บุคคลเข้าถึงอมตะ คือเป็นนิพพาน
นิพพานนั้นหมายความว่าดับกิเลสได้ ไม่ใช่ตาย แต่ว่าเอามาใช้เป็นศัพท์กับพระพุทธเจ้าเมื่อพระองค์หมดลมหายใจว่านิพพาน แต่เนื้อแท้ของคำว่านิพพานนั้นหมายถึงดับกิเลสได้ ดับทุกข์ดับโลกได้ ไม่เกิดกิเลสมันก็หมดความทุกข์ไป สถานที่นั้นเป็นที่มุ่งเพื่ออย่างนั้น จึงให้ชื่อว่าอมราวดี เมื่อได้เตรียมฉลองกัน ขณะไปอยู่นั้นก็จะเห็นว่า พระภิกษุและแม่ชี รวมทั้งพ่อขาว พ่อขาวคือคนที่เตรียมตัวจะบวช ฝรั่งที่อยากจะบวชนี่มาถึงเขาไม่บวชให้ง่ายๆ แต่ให้อยู่ทดสอบสองปี ถือศีลอุโบสถสองปี เมื่อครบสองปีจึงจะให้บวช เป็นการทดสอบกำลังใจกันเสียก่อน เพราะที่นั่นเขาไม่ได้ให้บวชตามธรรมเนียมไม่เหมือนบ้านเรา อยากจะให้ลูกบวชเจ็ดวันบ้าง สิบวันบ้าง บวชทำอะไรก็ไม่รู้ ขอให้ได้บวชก็แล้วกัน นี่คือการไม่เข้าใจจุดหมายของการบวช
การบวชนั้นเขาบวชเพื่อศึกษา บวชเพื่อปฏิบัติขัดเกลาจิตใจ ถ้าเราไม่สามารถจะบวชนานๆได้ มาอยู่ถือศีลที่วัดก็เพียงพอแล้ว แค่มาอยู่ถือศีลสักสิบวัน ปฏิบัติตนควบคุมจิตใจเอาชนะความชั่ว อย่างนี้ลงทุนน้อยกว่า ไม่ต้องซื้อผ้าไตรจีวร ไม่ต้องทำอะไรให้มันสิ้นเปลืองเงินทอง แต่ว่าพูดให้ฟังเท่าไร โยมก็ไม่เข้าใจ ยังยึดถือในเรื่องนุ่งเหลืองห่มเหลือง ยังยึดถือในการโกนหัวบวช บวชแล้วไม่ทำอะไรก็ไม่ว่า ขอให้ได้คลุมผ้าเหลืองก็แล้วกัน อันนี้เรียกว่า ติดในรูปแบบมากไปหน่อย ไม่ได้เข้าใจถึงเนื้อแท้ของการบวชว่าเราบวชเพื่ออะไร
เราบวชเพื่อการศึกษา เพื่อการปฏิบัติ เวลามันน้อยเกินไป จะไปบวชแบบนั้นทำไม มาอยู่วัดถือศีล งดเสพบุหรี่ ยาเมา งดความชั่วมันก็ใช้ได้แล้ว ทำเพียงเท่านั้นมันก็ใช้ได้ ไม่จำเป็นจะต้องบวชกันมากมายดังที่เราทำกันอยู่ เว้นไว้แต่มีเวลาพอ จะบวชสักสามเดือนในฤดูกาลเข้าพรรษา จะได้มีเวลาฝึกฝนอบรมจิตใจกันนานหน่อย จึงจะได้ประโยชน์คุ้มค่า แต่บวชเจ็ดวันมันไม่ได้ทำอะไร นุ่งห่มก็ยังไม่เป็น แล้วก็สึกไปแล้ว ลงทุนตั้งหลายพันบาท สิ้นเปลืองเงินทองโดยไม่จำเป็น อันนี้มาอยู่วัดถือศีลซะมันก็พอสบาย จะได้รู้จักควบคุมตัวเอง บังคับตัวเอง ได้ใกล้พระ ได้ฟังคำสอนของพระ จะเป็นประโยชน์มากกว่า
อธิบายให้ฟังหลายคน แต่ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ เพราะว่าติดอยู่ในรูปแบบ แล้วก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนจึงรับไม่ค่อยได้ จึงขอทำความเข้าใจไว้ในวันนี้เสียด้วย ว่าการบวชนั้นถ้าไม่มีเวลาจะบวชนาน เจ็ดวัน สิบวันนั้นอย่าบวชเลย มาถือศีลอยู่วัดพอแล้ว มาอยู่วัด นั่นก็คือบวชอยู่แล้ว เพราะการบวชก็คือการตั้งใจงดเว้นจากความชั่ว เมื่อมาอยู่วัดก็งดเว้นความชั่วที่ตัวเคยจะทำ มันก็ได้ประโยชน์ได้อานิสงส์จากการบวชในรูปอย่างนั้นลงทุนน้อย ฝรั่งนั้นจะบวชถาวร เพราะฉะนั้น มาทดสอบบวชกันเสียก่อน มานุ่งขาวห่มขาวสองปี จึงจะให้บวชได้ เวลานี้มีคนสำรองจะบวชอยู่อีกตั้งเกือบยี่สิบคน ทั้งผู้ชาย ผู้หญิงก็มี เขามาบวชเป็นแม่ชีกัน เขาตั้งใจศึกษา เพราะเขาเห็นประโยชน์ของพระพุทธศาสนา เขาเห็นว่าศาสนานี้จะช่วยให้เขาเกิดความสงบใจ ช่วยให้เกิดมีความสุข เขาเรียนเอาแต่ธรรมะ เขาไม่ไปเที่ยวรับสิ่งที่ไม่ใช่พุทธศาสนามาไว้มารกสมอง เราคนไทยนับถือพุทธศาสนามาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ไม่เรียนไม่ศึกษาให้เข้าใจว่า อะไรเป็นเนื้อแท้ อะไรไม่ใช่เนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา รับมันไว้ทั้งนั้น ฟางก็เอา ใบไม้แห้งก็เอา ไม้ผุก็เอา ใส่เข้ามาจนหนักหัวหนักสมอง จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วก็ถูกหลอกถูกต้มกันมากมาย หลอกเมืองไทยไม่พอ ตามไปหลอกจนถึงเมืองนอก เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าไปหลอกกันยังไง
นี่ก็เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจว่า อะไรเป็นพุทธศาสนาอะไรไม่ใช่ ไม่ศึกษา พระก็ไม่ค่อยสอนให้คนเกิดความรู้ความเข้าใจ โยมจะทำอะไรก็ทำให้ ต้องการอะไรก็ทำให้ตามที่โยมต้องการ โยมโง่ก็ปล่อยให้โง่อยู่อย่างนั้น ไม่สอนให้ฉลาด มันก็โง่กันทั้งพระทั้งชาวบ้าน ไม่มีทางก้าวหน้า อันนี้เรามาช่วยกันศึกษาให้เกิดปัญญา ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ฝรั่งเขานับถือพุทธศาสนา เขาเอาแต่แกนของพุทธศาสนา พวกกระพี้ พวกเปลือกอะไรเขาไม่เอา เขาถึงไม่ยุ่ง เขาเข้าถึงธรรมะอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า เขาถึงมีความสุขมากกว่าเรา ที่เที่ยวหอบฟางอยู่ตลอดเวลา อันนี้ต้องขอให้เข้าใจอย่างนี้ด้วย อันนี้ในงานที่เขาทำการฉลองกันตั้งแต่วันที่ ๒๔-๒๕-๒๖ ก็มีคนมาร่วมงานมาก ส่วนมากเป็นฝรั่ง คนไทยมีน้อย เพราะว่าคนไทยที่ไปอยู่เมืองอังกฤษนั่นเขาไปทำมาหากิน ไปหาอะไรกันอยู่ และไปวัดก็ชอบไปสนุก ไม่ได้ไปเพื่อศึกษาไปปฏิบัติ ไปวัดทีไรก็ต้องไปเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวกันมั่ง อะไรต่ออะไรกันให้มันครึกครื้น หัวเราะหัวให้ เฮฮากันตามประสาคนไทย จนฝรั่งเขารำคาญตามๆกัน ทำให้เป็นปัญหาในบางประเทศ ก็ไปสนุกกันนี่แหละ ไม่ใช่เรื่องอะไร นอกจากคนที่สนใจธรรมะจริงๆซึ่งมีจำนวนน้อย แล้วก็มีชาวเขมร ชาวลังกา ก็มาร่วมงานกัน แต่ว่าส่วนมากนั้นเป็นคนฝรั่งที่เขาเลื่อมใสในพุทธศาสนา เขามาในวัน ๒๔ มาปฏิบัติธรรมกัน บางคนมาไกลก็มานอนสามวันสามคืน บางคนก็เอาเต๊นท์มากางนอนในบริเวณที่เขาทำไว้ นอนในเต๊นท์เล็กๆ บางคนก็ขึ้นไปนอนในสถานที่ที่เขาจัดไว้ให้ เอารถยนต์มาจอดทิ้งไว้ อยู่มันสามวันสามคืนแล้วจึงจะกลับบ้าน ได้เห็นแล้วก็น่าสบายใจในความตั้งใจของเขาที่จะมาศึกษาธรรมะกันอย่างจริงจัง
ตอนกลางวันก็ไปนั่งสงบจิตสงบใจกัน หลังอาหารเพลแล้วก็พักนิดหน่อย แล้วก็เข้าห้องประชุมฟังธรรมะ นั่งสงบใจ สนทนาธรรมะไต่ถามปัญญากับท่านอาจารย์ซึ่งไปนั่งเป็นประธานในที่ประชุมนั้น กลางคืนก็มีการสวดมนต์ คืนแรกสวดอาทิตตปริยายสูตร พระสูตรนี้ว่าด้วยของร้อน เมืองฝรั่งมันหนาว เลยสวดสูตรร้อนๆให้ฟังกันหน่อย จะได้อุ่นใจ สวดมนต์เสร็จแล้วก็มีการแสดงธรรม จบการแสดงธรรมก็มีการภาวนา นั่งชั่วโมง เสร็จแล้วจึงจะไปพักผ่อน ก็ทำแบบเดียวกันทั้งสามวันสามคืน แต่คืนที่สองสวดอนัตตลักขณสูตร คืนที่สามสวดธรรมจักร พระฝรั่งสวดมนต์เก่งกันทุกองค์ เพราะเขาเรียนกัน เขาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการท่องหนังสือ โดยเฉพาะวันที่ ๒๖นี่มีการปลูกต้นไม้ ในสนามยี่สิบแปดต้น เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตยี่สิบแปดพระองค์ แล้วก็มีการสวดเอ่ยพระนามของพระพุทธเจ้ายี่สิบแปดองค์ ทั้งพระทั้งแม่ชี ทั้งอุบาสกสวดได้ทุกรูป สวดพร้อมๆกันที่กลางแจ้งแล้วก็ปลูกต้นไม้
เมื่อคราวกลับมาจากอเมริกา จะไปเยี่ยมที่วัด ก็ไปไม่ได้ รถมันชนกัน ติดไปไม่ได้ พระก็มาเล่าให้ฟังว่า กวางแอบมากินต้นไม้ตั้งหลายต้น กวางที่ไหน กวางในบริเวณป่าแถวนั้น เลยต้องลงทุนทำรั้วคั่นบริเวณไม่ให้กวางเข้ามากินต้นไม้ เพื่อรักษาให้ถาวรต่อไป แล้วในงานฉลองนี่ เขาสร้างเจดีย์เล็กๆขึ้นองค์หนึ่ง สร้างวัตถุง่ายๆคือเอาใยแก้วมาหล่อเป็นรูปขึ้นไป มียอดประดับ ทาสีสรรเรียบร้อย ภายในก็บรรจุพระธาตุไว้ คนได้ไปไหว้ไปนมัสการไม่ลงทุนมากเท่าไร ทำด้วยวัตถุเบาๆง่ายๆ ทำไว้ชั่วคราว ต่อไปข้างหน้ามีทุนมีรอน ก็จะสร้างให้ใหญ่โต แต่ว่าข้างในใช้เป็นห้องประชุม แต่ข้างนอกเป็นรูปเจดีย์แบบศานติ จะเป็นประโยชน์ในการฝึกฝนในด้านภาวนา ศึกษาด้านพุทธศาสนาต่อไป สถานที่นั้นมีหวังว่าจะเจริญก้าวหน้าต่อไป
ในวันที่ ๒๗ เขามีการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ คฤหัสถ์ และพระมาประชุมกัน ประชุมกันหลายชั่วโมง อาตมาก็เข้าไปนั่งประชุมด้วย เพื่อพิจารณาถึงโครงการต่างๆที่จะต้องจัด ต้องทำต่อไป ที่สำคัญก็คือ เรื่องงบประมาณสำหรับใช้สอย ในปี ๑๙๘๕-๙๖ เขาตั้งงบประมาณไว้ใช้จ่ายถึงกว่าแสนปอนด์ จ่ายทุกเรื่อง เรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าประกันอาคาร ค่าพาหนะไปมา ค่าพระเจ็บไข้ได้ป่วย ค่าภัตตาหารอะไรต่างๆ รายละเอียด เขาทำบัญชีเรียบร้อยมาก เอามาเสนอในที่ประชุม ให้รับรู้รับทราบ จะได้ช่วยกันหาทางหาทุน เพื่อมาสนับสนุนกิจการประเภทนี้ต่อไป
เขาทำอะไรก็ทำอย่างมีระเบียบ ไม่ใช่ทำอย่างชนิดที่ว่า นอนๆแล้วก็ลุกขึ้นทำ เขาทำอย่างมีการวางแผนเป็นระเบียบ แล้วก็ทำตามระเบียบที่ได้ตั้งไว้ ฝรั่งเขาทำอย่างนั้น เพราะเขาเป็นคนที่เจริญด้วยระเบียบด้วยแผนการ จึงทำอะไรก้าวหน้าดีกว่าปกติ อาตมาพักอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ก็ออกเดินทางต่อไปประเทศอเมริกา ตามคำนิมนต์ของพวกญาติโยมที่โน่น ครั้งแรกก็ไปที่นิวยอร์ก เดินทางผู้เดียว ครั้งแรก ท่านศีลานันทะ จะไปด้วย แต่ว่าไปติดนิมนต์ไว้ที่ประเทศเยอรมัน อาตมาก็บอกว่า ไปคนเดียวก็ได้ ขึ้นเรือบินแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร นั่งไปเฉยๆ ไปถึงปลายทางเขาก็มารับ อาตมาก็ไปพักอยู่ที่วัดที่นิวยอร์ก วัดที่นิวยอร์กที่เมื่อก่อนอยู่ที่ยอร์ก ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่ดี ที่ไม่ดีนั่นเพราะว่ามีคนดำอยู่มาก
คนดำในประเทศอเมริกานี่ อยู่ตรงไหนที่ราคาตก เพราะว่าเป็นคนที่ไม่สร้างความเจริญให้แก่ตน ทำแต่เรื่องเสียหาย ทำแต่เรื่องเสื่อมอยู่ตลอดเวลา บ้านช่องถ้าพวกนี้อยู่แล้วก็ ราคาตกวูบลงไปเลย แล้วก็รุงรังสกปรกเต็มไปหมด วัดไปตั้งอยู่ในบริเวณนั้น ญาติโยมไม่กล้าไปวัด ไม่สะดวกในการไป เพราะว่าเอารถยนต์ไปจอดไว้ บางทีล้อหายไปทั้งสี่ล้อ แต่มันยังดีที่เอาอะไรมารองไว้ไม่ให้ตกลงไป เราก็ต้องไปหาล้อใหม่มาใส่อะไรอย่างนี้ ชอบเบียดเบียนคนอื่นให้เดือดร้อน น้ำบนถนน ประปาน่ะ ท่อมันไปถึงเปิดให้เป็นน้ำพุไปเลย ไหลเพ่นพ่านเต็มถนน เจ้าหน้าที่ก็ต้องมาปิด พอเจ้าหน้าที่ไปมันก็เปิดต่ออะไรอย่างนั้น ซุกซน รถใต้ดินเอามาจอดไว้ มันเอาสีไปเขียนรถหมดทั้งคัน ไปลบแล้วมันก็เขียนต่อ เจ้าหน้าที่เลยบอกว่า อย่าลบดีกว่า มันเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเหมือนกัน แล้วก็ปล่อยให้มันสกปรกอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นอยู่ไม่สะดวก ก็คิดจะย้ายที่ เลยย้ายที่มาอยู่ เรียกว่า เมานต์เวอร์นอน (Mount Vernon) ภูเขาเวอร์นอน เป็นบ้านผู้ดี คนที่อยู่ที่นั่น เป็นพวกผู้ดี มีมรรยาททั้งนั้น ก็มาซื้อบ้านเก่า ก็เนื้อที่ก็กว้างขวางพอสมควร ประมาณสามเอเคอร์ หกไร่ คิดเป็นเมืองไทย ราวๆ หกไร่ แล้วอาคารก็หลังใหญ่ ยาวกว่าโรงเรียนนี้ ซื้อได้เรียบร้อย แต่ว่ามีปัญหาเหมือนกัน คือคนไทยเรานี่มีปัญหา ที่ไหนไม่มีวัด ไม่ค่อยมีปัญหา พอมีวัดกลับมีปัญหา คนไทยอยู่ไม่มีวัดนี่รักใคร่กันดี แต่พอเกิดมาวัดแล้ว ไม่รักไม่ใคร่ แทนที่จะเข้าถึงธรรมะ กลับห่างธรรมะออกไป คือเรื่องเกี่ยงกันเอาหน้า ไม่ใช่เรื่องอะไร คนนั้นจะเอาหน้า คนนี้ก็เอาหน้า ถ้าคนหนึ่งเสนอว่าจะทำอะไร อีกคนหนึ่งไม่เห็นด้วย ถ้าหากว่าขืนทำไป พวกไม่เห็นด้วย ก็เที่ยวโจมตี เที่ยวโพนทะนา สร้างความแตกแยกแตกร้าวให้เกิดขึ้นในหมู่คนไทยกันเอง
อันนี้เป็นตัวปัญหาทั่วๆไปที่มีอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกา อาตมาไปนี่ ก็เรียนรู้ปัญหาไปทุกอย่าง เพราะก่อนไป ก็พบคนฝรั่งที่เป็นพระในพุทธศาสนา ท่านก็มาเล่าให้ฟัง ว่าที่เมืองนิวยอร์กมีสภาพอย่างไร ประชาชนชาวบ้านแตกแยกกันอย่างไร เพราะซื้อที่วัดใหม่ คือพวกหนึ่งไม่อยากซื้อ แต่พวกหนึ่งอยากซื้อ พวกไม่อยากซื้อก็ไม่อยากซื้อตลอดไป ไปเสนอที่ไหนก็ไม่ชอบทั้งนั้น ที่ที่เขาเสนอหลายแห่ง เขาพาไปดู ดีทั้งนั้น อยู่ห่างตัวเมือง สถานที่กว้างขวาง อาคารก็ใหญ่ สงบเงียบ อ้าว อีกฝ่ายหนึ่งไม่เอา ไม่ยอมให้ซื้อ ไม่ยอมให้ซื้อก็เลยซื้อไม่ได้ ทั้งสามแห่ง ที่เสนอให้ซื้อซื้อไม่ได้ เมื่อมาได้ที่ตรงนี้ พวกที่จะซื้อก็เลยบอกว่า อย่าบอกดีกว่า เพราะถ้าขืนบอก พวกนั้นก็ขัดคอไม่ให้ซื้ออีก เลยก็ตกลงซื้อกัน จ่ายเงินไป เขาก็โพนทะนาบอกว่า ไม่บอกเขา เขาเป็นผู้หาเงินมาไว้ แล้วเวลาจ่ายไม่บอก เลยไม่มาวัดต่อไป ถ้าพวกนี้ยังอยู่ก็จะไม่มา พระพวกนี้อยู่ก็จะไม่มา กลายเป็นเรื่องไม่มาวัดกันเสียต่อไป แตกแยกกัน แล้วก็อาตมาไป คณะที่ไม่มาวัด ก็นิมนต์อาตมาไปเหมือนกัน ไปพูดให้ฟัง คือโจมตีด้วยประการต่างๆ อาตมาก็พูดเป็นกลาง บอกว่า เรื่องมันจบไปแล้ว ซื้อแล้วเรียบร้อยแล้ว เรามาช่วยกันดีกว่า ช่วยกันสร้างเสริมเติมต่อ ให้กิจการมันเจริญก้าวหน้าเป็นประโยชน์ต่อไป ถ้าเรามานั่งเกี่ยงงอนกันอยู่อย่างนี้ คอยโจมตีกันอยู่ในรูปอย่างนี้ อะไรมันจะเกิดขึ้น มีแต่ความแตกแยกแตกร้าว จิตใจที่แตกร้าว เป็นจิตใจที่ไม่เข้าถึงธรรมะ ไม่เคารพธรรมะของพระพุทธเจ้า มันก็มีแต่ความร้อนอกร้อนใจ มีแต่เรื่องมานะถือตัวกัน ไม่ยอมกันมันก็ยุ่ง พูดเท่าไร เท่าไร ก็ไม่ยอมรับฟัง ไม่ยอมไป อาตมาก็เลยบอกว่า ก็สุดแล้วแต่เถอะ อาตมามาพูดทำความเข้าใจแล้ว เมื่อไม่ยอมรับ อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร สมควรเวลาแล้ว ขอกลับก่อน
เขาก็บอกว่า วันหลังท่านเจ้าคุณมาก็บอกให้ทราบด้วย จะได้ร่วมทำบุญบ้าง อาตมาผ่านมารอบสองก็ไม่ได้บอก เพราะว่าบอกไปก็ไม่ได้เรื่องอะไร เขาถวายปัจจัย แต่คนมันก็ไม่ดีขึ้น ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร จิตใจคนสำคัญกว่าปัจจัย เราไม่ได้มุ่งไปหาปัจจัย ไม่ได้ไปเที่ยวเพื่อลาภเพื่อสักการะ ไปเพื่อแจกธรรมะแก่ประชาชน ถ้าเขาเต็มใจรับ เราก็ไป แต่ถ้าไม่เต็มใจรับ ไปมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ก็เลยไม่ไป
อยู่ที่วัดที่นิวยอร์คเขาก็จัดให้มีการแสดงธรรม มีคนมาฟัง ที่ติดกับวัดน่ะ มีโบสถ์ฝรั่งชาวคริสต์ แต่มันเป็นโบสถ์ร้าง อยู่ในสภาพดี คนที่เป็นเจ้าของเขาซื้อ เพื่อจะไปสร้างเป็นอาคารคอนโดมิเนียม แต่สร้างไม่ได้ เพราะชาวบ้านแถวนั้นไม่ยอมให้สร้าง แกก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อวัดไปอยู่ติดกัน แกก็มาบอกว่า เมื่อใดวัดต้องการใช้ บอกแกให้ใช้ ดังนั้น เวลาไปประชุมเพื่อฟังธรรม ก็ไปเทศน์ในโบสถ์นั้น ในโบสถ์คริสต์น่ะ กว้างขวางดี เขาก็ไม่คิดอะไร เขาให้ใช้เปล่าๆ วันวิสาขะ อยู่ที่นั่นก็นัดประชุมกันที่นั่น แล้วก็แสดงธรรมกัน ใช้โบสถ์ฝรั่งเป็นที่แสดงธรรม เวียนเทียนกันรอบโบสถ์ฝรั่งนั่น เวียนไม้กางเขนไปด้วยในตัว ก็ไม่เป็นอะไร มันก็สะดวกสบาย อยู่ที่นครนิวยอร์กนี่ก็ได้แสดงปาฐกถาหลายครั้ง กับญาติโยมชาวบ้านที่มีความสนใจ เราจะเอาคนมามากๆทีเดียวมันก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่หยุดงาน คนไหนหยุดงานกันวันไหน ก็มาฟังกันวันไหน เพราะฉะนั้น กลางคืนคนว่าง ก็มาแสดงธรรมให้ฟัง พูดเรื่องธรรมะจริงแท้ๆ ให้คนได้เกิดความรู้ความเข้าใจ อย่าไปเชื่อสิ่งเหลวไหล อย่าไปเชื่อของขลังโชคลางอะไรต่างๆ เพราะถ้าไปเชื่ออย่างนั้นจะถูกหลอกถูกต้มมากมาย ปีหนึ่งๆ อาจารย์ประเภทขลังๆเนี่ย อุตส่าห์บินไปถึงเมืองอเมริกา แล้วก็ไปแจกข้าวแจกของเครื่องรางของขลัง ขนเงินกลับบ้านบ่อยๆ ชาวบ้านไม่รู้ก็หลงใหลมัวเมากันด้วยประการต่างๆ จะเล่าตัวอย่างให้ฟัง ว่าพระองค์หนึ่งเนี่ย อ้างตนว่าเป็นหมอ แล้วอ้างใหญ่เรียกว่าโกหกคำโต คืออ้างว่า เป็นโอรสพระองค์เจ้าบวรเดชแล้วก็เป็นนักเรียนแพทย์รุ่นแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบแล้วไปเรียนต่อประเทศฝรั่งเศส แล้วก็กลับมาอยู่ในกองทหารเป็นนายพล แล้วก็ลาออกไม่สนใจใยดีกับยศถาบรรดาศักดิ์มาเป็นหมอช่วยชาวบ้านอยู่ที่ภาชี ทำตนเป็นหมอ แต่ว่าเป็นหมอที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องหมอเท่าไร เพราะว่าเมื่อมีคนไปถามเรื่องหมอ แกก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ให้ยาแก่คนเหล่านั้น ในยาก็เป็นยาสมุนไพร มีหัวขิง หัวข่า กานพลู ดีปรี ซึ่งของเหล่านั้นมันหาไม่ได้ในต่างประเทศ บอกว่าให้เอาไปต้มกินแล้วจะหายโรคหายภัย แล้วก็ทำล๊อกเก็ตอันเล็กๆไว้ ห้อยตุ่งติ่งๆ พวกนางพยาบาลเอาไปแขวนคอกันอยู่หลายคน วันนั้นไปที่บ้านหมอคนหนึ่ง นางพยาบาลห้อยนี้หลายคน หลวงพ่อเลยถามว่า เอ๊ะ ห้อยเหมือนๆกัน เอามาจากไหน บอกว่า หลวงปู่ให้ หลวงปู่อะไร ชื่อหลวงปู่ไว เอามาให้ ให้เฉยๆ หรือว่าซื้อล่ะ บอกว่า อันละ ห้าสิบเหรียญ ห้าสิบเหรียญคิดเป็นเงินไทยก็พันสามร้อยกว่าบาท ไอ้ของตุ่งติ่งอันนั้น จากเมืองไทย ราคาไม่ถึงร้อยบาท อาจจะเก้าสิบเก้าบาท ตามที่เขาชอบขายกันอย่างนั้น แต่ว่าไปขายอเมริกาได้ถึงพันสามร้อยบาท แล้วบอกว่าจะเอาเงินไปซ่อมวัดที่เมืองลังกา เพราะว่าสมเด็จพ่อได้ไปสร้างวัดไว้ที่นั่น อันนี้ก็โกหกอีกเหมือนกัน เพราะว่า พระองค์เจ้าบวรเดชไม่เคยไปสร้างวัดที่ลังกา ที่ไปสร้างวัดที่ลังกาคือพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ พวกตระกูลชุมสาย ท่านเป็นเอนจิเนียร์ สำเร็จจากอังกฤษ มาทำราชการแล้วเกิดขัดใจกับรัชกาลที่ห้า เลยหนีไปบวชที่เมืองลังกา ชื่อ ชินวรวงศ์ บวชแล้วท่านก็พักอยู่ที่วัดทีปทุตตมาราม สร้างเจดีย์ไว้องค์หนึ่ง ทีนี้หลวงตาองค์นี้ก็เลยไปบอกว่าพ่อไปสร้างไว้ สมัยนั้นพ่อชื่อปฤษฎางค์ มนุษย์อะไรมันหลายชื่ออย่างนั้น เรียกว่า เป็นเพื่อนกับคำโกหกพกลมทั้งนั้น แล้วก็วันหนึ่ง หมอคนหนึ่งถามว่าหลวงปู่จะไปจำวัดที่บ้านหนูไหม หลวงปู่โกหกอีกหน่อยว่า เดี๋ยวก่อน ไอ้หลานชายมันเป็นทูตอยู่วอชิงตัน ถ้ามันโทรศัพท์มาให้ไป ก็ต้องไปกับมันหน่อย ก็หลายสิบปีแล้วไม่ได้พบกัน ทูตนั้นเป็นชื่อหม่อมราชวงศ์เกษมศรี สโมสร ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแกหรอก แต่ว่าพูดให้มันเขื่องไว้หน่อย ให้พวกนั้นเห็นว่าเป็นคนสำคัญ ที่นี้พระที่วัดชิคาโกก็สงสัย เลยโทรมาถามที่จังหวัดสระบุรี เจ้าคณะสระบุรีก็เลยบอกว่า จับสึกเสียเลย เพราะว่าไปต้มมนุษย์อย่างนั้น จับสึกเสียเลย แต่เมืองโน้นจับสึกกันไม่ได้ สืบต่อมาว่า เมื่อไปที่วัดปากน้ำ เจ้าคุณวัดปากน้ำเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ เป็นพระหลวงตาเราดีดีนี่เอง ไม่ใช่เป็นพระวิเศษวิโสอะไร แต่ว่าวิเศษในหมู่คนโง่ๆบ้านนอกเท่านั้นเอง ไปหลอกไปต้ม
นางพยาบาลคนหนึ่งคนลำพูน ยื่นมือเข้าไปให้หลวงปู่ดูลายมือให้ พอดูแล้วก็ อือ อือ อือ มันเข้าไปแล้วก็ให้มันออกตามปกติ อย่าไปเที่ยวฝืนมันนะ นางพยาบาลแกก็ฟังไม่รู้เรื่อง ว่าอะไรมันเข้าไปแล้วอะไรมันจะออกมา ก็เลยถามว่า อะไรหลวงปู่ อะไรมันเข้าไป อือม์ พูดยาก ต่อหน้าคนมากๆ มันก็ไม่ค่อยเหมาะ เลยบอกว่า หนูเนี่ยจะมีเด็ก นางพยาบาลก็ละอาย ก็แกยังไม่ได้แต่งงาน แกไม่มีผัวแล้วจะมีเด็กได้อย่างไร ก็ขายหน้าเพื่อนฝูง ก็แกดูอย่างนั้น เลยถอยออกไป ก็หมดความนับถือ เพราะว่าดูลายมือแล้วบอกว่าจะมีเด็ก ก็คนไม่มีสามี ไม่มีสมสู่กับผู้ชาย มันจะมีได้อย่างไร ก็เลยเห็นว่า ไม่เข้าเรื่อง
ที่นี้อีกคนหนึ่ง ก็เดินเข้าไปให้ดูอีก แกก็บอกว่า หนูนี่เป็นโรคอย่างหนึ่ง โรคอยู่ไฟไม่ได้ ว่างั้น คนไม่มีลูกจะไปอยู่ไฟได้อย่างไร แล้วคนสมัยนี้ เขาเกิดลูกใครเขาอยู่ไฟกัน เขาไม่อยู่ไฟกันแล้ว เวลานี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนเกิดลูกก็ต้องนอนผิงไฟอยู่ในห้อง สามวันสามคืน เขาเรียกว่าอยู่ไฟ ให้มดลูกมันหดตัว เดี๋ยวนี้ใครเขาอยู่ไฟบ้าง เขากินยามดลูกหดก็กลับบ้านได้ แกก็บอกว่า เป็นโรคอยู่ไฟไม่ได้ แล้วหนูคนนั้นแกก็ยังไม่แต่งงาน ลูกยังไม่เกิดสักหน่อย จะไปอยู่ไฟอย่างไร พูดไปพูดมาเลอะเทอะไม่ค่อยได้เรื่อง แต่ว่าก็ได้เงินมาหลายเหมือนกัน เพราะว่าหลอกมาได้โดยวิธีการอย่างนั้น
พวกนางพยาบาลหลงใหลมัวเมากัน น่าสงสาร เพราะว่า อยู่เมืองไทยก็ไม่ค่อยได้เข้าวัด สมัยก่อนไปอยู่เมืองโน้น ก็ไม่ได้พบพระที่สอนธรรมะ พบแต่พระอาจารย์ขลังๆ ที่ไปหลอกชาวบ้านด้วยประการต่างๆ ปีหนึ่งไปกันหลายองค์ บางองค์ก็ไม่ไปนอนวัด เพราะว่าอยู่วัดทำอะไรไม่สะดวก เลยต้องนอนตามบ้าน คนมาหามาสู่ ทำอะไรต่ออะไร ปลุกเสกลงเลขลงยันต์ กันไปตามเรื่อง ปีหนึ่งก็หลายองค์ที่ไปกัน เวลาจะไปก็โฆษณาไปล่วงหน้า ว่าเก่งทางนั้นทางนี้ เรียกว่ามีแผนการหลอกมนุษย์ไปตั้งแต่เมืองไทยแล้วก็ไปอยู่ อย่างนั้นก็มี
บางองค์ก็ไปในรูปอื่นอวดวิเศษ เพื่อว่าทำตนไม่ให้เหมือนกับพระที่เขาอยู่ที่นั่น ไม่ไปวัด แล้วก็ไปนอนตามบ้าน ก็เหมือนกัน แล้วก็บอกว่า ฉันนี่ไม่เอาสตางค์ แต่ใครถวายให้โยมเก็บ ที่นี้โยมเก็บไว้มากๆแกเอามาใช้หมดซะเลย พอใช้หมดแล้ว แกเขียนเช็คให้ใบหนึ่ง มาถืงเมืองไทยไปเบิกก็ไม่ได้ แกก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ไปใหม่ ไปต่อว่า ไอ้คนนั้นมันก็หายตัวไปเสียแล้ว ไอ้นี้ไม่ถือสตางค์ให้คนอื่นถือให้มันก็ไม่ได้ เราไปต่างประเทศไปเที่ยวไว้ใจคนอื่นก็ไม่ได้ เดี๋ยวมันเอาไปหมดก็ตกเรือบินเท่านั้นเอง ก็เดือดร้อน ถือไว้เองดีกว่า มันไม่เสียหายอะไร ไม่ใช่บาปเวรตกนรกเพราะจับสตางค์ จับมาใช้ให้เป็นประโยชน์มันก็ไม่มีเรื่องอะไร
บางคนก็เป็นอาจารย์นิติสอนธรรมศาสตร์ สอนประเดี๋ยวเดียวถึงนิพพานแล้ว เวลานี้คนที่เมืองลอสแองเจลลิส เมืองเดนเวอร์ เมื่องชิคาโกนี่ บรรลุนิพพานหลายร้อย เขามีบัญชีไว้ลงในสมุดโฆษณา ที่เมืองเดนเวอร์เท่านั้นคน เมืองชิคาโกเท่านั้น เมืองลอสแองเจลลิสเท่านั้น ถึงนิพพานทั้งนั้น นั่งประเดี๋ยวเดียวถึงนิพพานแล้ว เด็กน้อยๆก็ได้นิพพาน วันหนึ่งแม่พามาบอกว่า ลูกได้นิพพานแล้วนะ บอกว่า ถึงนิพพานแล้ว ไม่รู้เรื่องว่านิพพานคืออะไร ไม่รู้ว่านิพพานได้อย่างไร อาจารย์ก็เลยบอกว่า ถึงนิพพานแล้ว คนก็ดีใจ เคารพในอาจารย์องค์นั้นมาก ถวายปัจจัยมากมาย แล้วไปซื้อลูกแก้วกลมๆ ซื้อมากมาย เอากลับมาเมืองไทย บอกว่า เอาไปเสกก่อน ปีหน้ามาใหม่ ค่อยเอามาแจกกันต่อไป เรียกว่าวางแผนหลอกข้ามปี ไม่ใช่หลอกเพียงปีเดียว ให้พวกนั้นคอยเฝ้ารับลูกแก้วกันต่อไป เรียกว่าโกหกคำโตๆ แล้วก็อาจารย์องค์นี้ไปเยี่ยมท่านสุเมโธ ไปเยี่ยมเสร็จแล้ว เวลาขากลับออกมา คุยกับลูกศิษย์บอกว่า เนี่ยล่ะ เขาไปอยู่กับพ่อถึงสิบเอ็ดปี เขาเอามาได้มาก เขาทำประโยชน์ได้กว้างขวาง เพราะไปรับคำสอนมาจากพ่อ เขาอยู่กับพ่อนานถึงสิบเอ็ดปี ความจริงท่านสุเมโธไม่เคยไปอยู่กับพระองค์นี้เลย ไม่รู้จักในเมืองไทยด้วยซ้ำไป แต่แกไปเยี่ยมกับบริวาร พาลูกศิษย์ไปเยี่ยม ไปเยี่ยมก็แล้วก็ เลยคุยให้ลูกศิษย์ฟังว่า เขาไปอยู่กับฉันถึงสิบเอ็ดปี เขารับมามาก เขามาทำได้ประโยชน์มาก
อาตมาอ่านแล้ว มันจะอาเจียนออกมาให้ได้ เพราะว่าพระมีชื่อมีเสียงโกหกได้อย่างชนิดอย่างนี้ โกหกคำโตๆ อันนี้เขาถือหลักเกิบเบิล เกิบเบิลเป็นโฆษกรัฐบาลฮิตเลอร์ เกิบเบิลบอกว่าโกหกบ่อยๆคนเชื่อ โกหกใหญ่ๆ คนถึงจะเชื่อ แต่โกหกเล็กๆ คนไม่เชื่อ อันนี้โกหกให้ใหญ่เลยคนเชื่อ เหมือนกับหลวงปู่นั้น แกบอกว่า แกมาเพราะเบื้องบนสั่งให้มา หมายความว่า มาจากสำนักวังหลวง เบื้องบนสั่งให้มา อ้างตัวว่าคุ้นเคยกับผู้นั้น คุ้นเคยกับผู้นี้ ไม่รู้จะไปอ้างทำไม อำนาจของพระพุทธเจ้าก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเที่ยวอ้างอะไร แต่ว่าของเก๊มันก็ต้องพูดอย่างนั้น ของไม่แท้มันก็ต้องพูดอย่างนั้น อาตมาก็รำคาญ เขาเล่าให้ฟังแล้วก็รำคาญ
ดังนั้น เวลาอยู่ที่นี่ ก็ต้องเทศน์ทุกวัน ทุกคืนเลย ถ้าวันเสาร์นี่ต้องเทศน์สองครั้ง ตอนบ่ายและกลางคืน วันอาทิตย์ก็เทศน์สองครั้ง เทศน์ให้รู้ว่า อะไรเป็นอะไร ให้เชื่อถูกทาง อย่าเชื่อสิ่งเหลวไหล อย่าเชื่อพระหลอกลวงที่มาหลอกมาต้มญาติโยมด้วยประการต่างๆ ให้รู้จักช่วยตัวเอง ให้รู้จักพึ่งตัวเอง ด้วยการประพฤติธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อันนี้ได้พูดอัดเทปกันไว้ เพื่อจะได้เอาไปเปิดฟังต่อๆไป แล้วก็กัณฑ์สุดท้ายเทศน์เรื่องภาวนา ให้รู้ความจริงว่าภาวนามันคืออะไร จะเดินภาวนาทำอย่างไร ทำแบบไหน จุดหมายมันเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าทำปุ๊ปแล้วก็ถึงนิพพานกันไปตามๆกัน ถ้าอย่างนั้นมันก็ง่ายเกินไป ใครๆก็ถึงได้ ถึงนิพพานง่าย
ทีนี้ลองศึกษาจากนิเวทนันทะ ที่พระอาจารย์ชื่อดังไปพักอยู่กับแกด้วย เลยถามว่า สอนอย่างไร ได้นิพพานไวๆ คือพูดจูงใจ ให้หลับตาแล้วพูดจูงใจ ตามฉันมา บอกเห็นนั่นไม๊ เห็นนี่ไม๊ มาโดยลำดับ พูดจูงใจไป สะกดจิตไปให้มองไปเป็นภาพไปเรื่อยๆ ขึ้นบันไดนะ เห็นบันไดไหม บันไดนะ บันไดแก้วนะ แล้วก็เดินมา ถนนแก้วนะ คนมันก็นึกตามไป ถนนแก้ว หลับตาแล้วก็บอกอะไรมันก็นึกตามไปๆ วิมานใหญ่นะ เห็นไหมนี่วิมานนะ เห็น สูงไหม สูง ก็ว่าไปก็ว่าไปตามเรื่องนะ วิมานสูงใหญ่ เห็นแก้วประดับไหม แก้วกี่สี หลายสี วับๆ วาวๆ เอ้า นึกเข้าไป เห็นใครนั่งอยู่ในปราสาท เห็นไหม เห็นพระพุทธเจ้าไหม พระพุทธเจ้านั่งอยู่ในปราสาท คนนั้นก็ว่าเห็น เห็นพระพุทธเจ้า รูปร่างเป็นไง สวยงาม แวววาวหมดทั้งเนื้อทั้งตัว จูงไปอย่างนั้น จูงไป จูงไป จนให้เห็นไปตามลำดับ เขาเรียกว่าแบบจูงใจสะกดจิตให้มองเห็นไปในรูปอย่างนั้น คนมันไม่เคยรู้อะไร เราจูงไปทางไหนก็ได้
จูงไปในนรกก็เหมือนกัน เอ้า ฉันจะพาไปนรกนะ หลับตานะ อย่าคิดเรื่องอะไร เดินตามฉันนะ เอ้าลงไป ลงไป ลงไปในนรกนะ เอ้าเห็นอะไรไหม มันก็ว่าเห็นต้นงิ้ว ก็ว่าไปตามเรื่อง เห็นต้นงิ้ว เห็นกระทะทองแดง เห็นนายยมบาล เห็นคนนั้นคนนี้ บางคนว่าเห็นคุณปู่ อ้าว ปู่ตกนรกไปแล้ว เรียกว่าพูดจูงใจ ใช้อุบายจูงใจ ที่นี้คนที่ไม่ซาบซึ้งในธรรมะ ไม่เข้าใจก็เลยเชื่อตามไปแล้วก็พลอยเป็น ถึงนิพพานแล้ว เออ เธอได้นิพพานแล้ว มันก็ได้ไปแล้ว นิพพานไม่ได้เรื่องนะ มันก็ได้กันไปอย่างนั้น วิธีอย่างนี้เขาก็สอนกันอยู่เหมือนกัน ทำให้คนหลงใหลมัวเมาไปในรูปอะไรอะไรต่างๆ ในเรื่องของขลังเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ อำนาจภายนอกที่จะมาช่วยตนให้พ้นภัยอะไรต่างๆ ซึ่งมันไม่ได้เรื่องทั้งนั้น ไม่ถูกหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าพระที่ไปอยู่ที่นั่น ก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องธรรมะเหมือนกัน ไม่สอนญาติสอนโยมให้เกิดความรู้ความเข้าใจ มุ่งแต่จะหาปัจจัยมาสร้างวัด โดยไม่ได้นึกว่าเราสร้างวัดทำไม สร้างเพื่ออะไร
การสร้างวัดนี่มันไม่ใช่เรื่องลำบาก แต่มันต้องสร้างคนก่อน สร้างคนให้เกิดปัญญาให้เกิดความรู้ความเข้าใจ อันนี้เราส่งพระไปประกาศธรรมะในต่างประเทศ ส่งไปอย่างไม่มีแผน คือไม่ได้วางแผนว่าควรไปทำอะไร ควรไปดำเนินงานอย่างไร ส่งไป ส่งไป ตกกระไดพลอยโจนกันไปตามๆกัน บางองค์ก็ไม่ใช่ได้เรื่องได้ราวอะไร ความรู้ก็ไม่มี เป็นเปรียญสูงๆก็มี แต่ก็ไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะเรียนแต่ภาษา ไม่ได้เรียนธรรมะให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ก็เลยไม่สามารถจะพูดจากับญาติโยมได้ และอีกอย่างหนึ่งก็เกรงใจ ไม่กล้าพูดไม่กล้าสอนในสิ่งที่ถูกต้อง กลัวโยมจะไม่มาวัด นี่คือความหลงผิด ความเข้าใจผิด
ถ้าเราทำคนให้ฉลาด เขาจะมาหาเรา แต่ถ้าเราทำให้เขาโง่ ให้เขามาอย่างหลับหูหลับตา ไม่ได้เจริญก้าวหน้าในทางปัญญา อันนี้ไม่เข้าใจในเรื่องนี้ เลยก็ไม่ทำอะไรในการที่ทำให้โยมฉลาดขึ้น กลับส่งเสริมสิ่งที่ไม่ฉลาด เช่นที่วัดชิคาโก เอารูปการ์ตูนไปไว้ในวัดด้วย อาตมาไปเห็นเข้า แล้วเขียนไว้ว่า ...... (48.39 เสียงไม่ชัดเจน) แปลว่าห้องประเสริฐ ห้องเทพเจ้า อาตมาบอกว่า ควรจะเขียนใหม่ ควรเขียนว่า ...... (48.50 เสียงไม่ชัดเจน) ภาษาอังกฤษก็เขียนว่า ...... หมายความว่า ห้องความงมงาย ความเหลวใหล
แล้วคืนวันหนึ่งก็เทศน์เอาเหมือนกัน บอกว่ามาถึงเมืองชิคาโกแล้ว ยังอุตส่าห์บันทึกความโง่เก็บมาด้วยทำไม เช่นเอารูปพระพรหม เอามาทำไม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา แล้วก็เดินไปหลังกุฎิอาคารน่ะ ใกล้หีบลังหลายใบ เป็นเครื่องศาลของพระพรหม ถามว่าอะไร ตอบว่าศาลพระพรหมส่งมาจากเมืองไทย เสียเงินเข้าไปเท่าไร พระบอกว่า สามแสนบาท ยังโง่กันอยู่ เอาเงินสามแสนมายาหลังคาไม่ให้รั่วยังดีกว่าที่ว่าศาลพระพรหมมาจากเมืองไทย เอามาทำอะไร ทีนี้พอเทศน์เข้าท่านสมภารก็ร้อนใจ เลยลุกขึ้นแก้ข่าว บอกว่า ความจริงก็ไม่อยากจะได้หรอก แต่ว่าคนเขามาถวายก็รับมา ก็ถวายแล้วของมันไม่ดีแล้วจะรับมาทำไม รับความโง่นี่รับมาทำไม เอามาตั้ง แล้วคนมาถวายก็บอกว่าให้เอาไปตั้งไว้กลางแจ้ง ตั้งไว้กลางแจ้งมันก็ไม่เหมาะ เดี๋ยวใครจะมาลักเอาไปซะนี่ บอกว่ามีทางเดียวทำตามผมว่าแล้วสบาย ทำยังไง เอาไปให้พิพิธภัณฑ์ซะเลย พิพิธภัณฑ์เขาใหญ่โต เขาอยากได้ของเก่าๆ เราก็ยกไปให้เลย เขาก็ไปตั้งในพิพิธภัณฑ์ให้คนได้ไปดูไปชมกัน อย่าตั้งไว้ที่วัดให้เป็นความ ในห้องพระพรหมน่ะมีทุกอย่าง มีทั้งพรหมรูปพระนารายณ์ รูปพระสยามเทวาธิราช รูปอะไรต่ออะไรไม่รู้ เป็นห้องเต็มไปด้วยความรู้ และพระที่นั่งอยู่ในห้องนั้นก็เป็นเปรียญเก้าประโยคชื่อพรหมา เออ บอกว่า ชื่อเหมือนพระพรหมเลย นอนกับพระพรหมอย่างนี้แหละ ไม่ต้องยุ่งอะไร มันเป็นซะอย่างนั้น
ไม่ได้สอนให้คนฉลาด คนมันก็ยังโง่ อันนี้เมื่อโง่ก็ถูกหลอกได้ แต่ถ้าเราสอนให้คนฉลาดใครจะมาหลอก ญาติโยมมาวัดชลประทานใครจะมาหลอกได้ เพราะว่าฟังเทศน์อาตมามายี่สิบห้าปีแล้ว ไม่มีใครมาหลอกให้ไปเชื่อสิ่งเหลวไหล เกิดน้ำศักดิ์สิทธิ์เราก็ไม่ต้องไปเอาแล้ว เกิดอาจารย์วิเศษที่ไหนเราก็ไม่ต้องไปหา เพราะเรารู้ว่าความวิเศษมันอยู่ในตัวเรา เราสร้างมันขี้นได้เราทำมันขึ้นได้ ไม่ใช่สำเร็จจากสิ่งภายนอก ความสุขความทุกข์ความเสื่อมความเจริญมันเกิดที่ตัวเราเอง เราทำเอาเอง คนอื่นช่วยไม่ได้ ช่วยได้เพียงแต่บอกทางให้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรอะไรไม่ควรเท่านั้น แต่มาช่วยดลบันดาลให้ใครเป็นอะไรก็ไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้น ก็ต้องพูดทำความเข้าใจ
เขาก็พอใจ เลยบอกว่าปีหน้านิมนต์หลวงพ่อมาอยู่นานๆหน่อย จะได้มาทำให้คนสว่างสักหน่อย อาตมาบอกว่ามันต้องดูก่อน ไอ้เรื่องปีต่อไป มันสุดแล้วแต่โอกาส ถ้ามีเวลาก็ได้ ไม่มีเวลาก็ไปไม่ได้ เวลามันก็จำกัด แต่ว่าก็พูดกับพระไว้บ้างเหมือนกัน ว่าเราควรจะตั้งต้นใหม่กันซะที มาอยู่ต่างประเทศแล้ว ปรับจิตใจพุทธบริษัทให้เข้าถึงเนื้อแท้พระพุทธเจ้า พูดให้เขาเข้าใจ ให้กล้าพูดบ้าง อย่าขี้ขลาดในการที่จะสอนความจริงแก่ประชาชน คนมันจะได้ฉลาด และเราจะได้ไม่ต้องลำบากในเรื่องอะไรต่อไป เพราะคนฉลาดเขาทำอะไรก็ทำอย่างคนฉลาด แต่ถ้าไม่ฉลาดมันก็ทำแบบโง่ๆอยู่ตลอดเวลา เราจะดีขึ้นไม่ได้
เหมือนที่ลอสแองแจลลิสมักจะมีปัญหามาก เพราะว่าหาเงินด้วยการจัดตลาดนัด จัดบ่อยๆชอบเปิดเครื่องขยายเสียงเหมือนเมืองไทย ฝรั่งก็รำคาญ และคนมานอนตั้งแต่กลางคืน ที่ขับที่ถ่ายมันก็ไม่พอ ไปเที่ยวถ่ายไว้ตามถนน ทิ้งขยะมูลฝอยไว้เพ่นพ่าน พอเลิกงานก็ทิ้งไว้ ฝรั่งมันก็เหม็น ก็เลยโวยวาย เขาก็สั่งปิดวัด ปิดวัดเรื่องไปถึงโรงถึงศาล ทางศาลก็บังคับให้วัดทำกำแพงรอบวัดสูงสี่เมตรไม่มีประตูเข้า เวลาจะเข้าวัดก็ต้องปีนกำแพงเข้า เป็นปัญหาใหญ่ เพราะเรื่องไม่สำรวมไม่ระมัดระวัง นึกว่าจะเหมือนอยู่วัดที่กรุงเทพ ทำอะไรก็เหมือนวัด ที่โน่นมันไม่ได้แล้ว
เราไปอยู่เมืองฝรั่งมันต้องเปลี่ยนหมด ความจริงได้ไปครั้งก่อนได้เคยพูดเตือนไว้ บอกว่า เรามาอยู่เมืองฝรั่งเขาเจริญ เราอย่าเอาความโง่ของเมืองไทยมาใช้ ต้องเอาแต่ของฉลาดมาอวดฝรั่ง แต่ทีนี้เอาของที่มันไม่จำเป็นไป หาเงินสร้างวัดจัดตลาดนัด มันไม่จำเป็นอะไร ถ้าเราหมั่นสอนคนแล้ว เงินทองมันก็มาเอง คนมันดีขึ้นฉลาดขึ้นมันก็นึกถึงผู้สอน ต้องการอะไรก็คงจะให้ แต่ไม่มีนโยบายอย่างนั้น เลยยุ่ง เวลานี้เป็นปัญหา
เพราะฉะนั้นพระไทยเราจะไปสร้างวัดตรงไหนมีปัญหาทั้งนั้น ฝรั่งชักจะรังเกียจ เพราะการกระทำที่มันไม่เหมาะไม่ควร ด้วยประการต่างๆ ไปอยู่อเมริกามาตั้งนานแล้ว ยังไม่มีฝรั่งซักคนเข้ามาบวชมาศึกษา คือเขามาดูแล้ว เขาก็ไม่เลื่อมใสศรัทธา เพราะว่าเราไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องดีงามอวดเขา เขาก็ไม่เลื่อมใส ฝรั่งอเมริกันมาบวชถึงเมืองไทย บวชแล้วอยู่นานๆ ไปสอนศาสนาอยู่อังกฤษ อเมริกาทั้งนั้น เรียกว่า พระที่เป็นชั้นหัวหน้าเป็นคนอเมริกันทั้งนั้น พวกเหล่านี้ยังไม่อยากจะไปอยู่พระเราที่อยู่ในอเมริกา เพราะว่าอยู่กันก็เข้ากันไม่ค่อยสะดวก เขาทำอีกแบบหนึ่ง
อันนี้เรามันต้องปรับปรุงแก้ไขให้มันดีขึ้น จะส่งพระไปก็คณะสงฆ์ต้องอบรมบ่มนิสัยให้มีความรู้มีความสามารถ แล้วก็มีหลักการแผนการว่าจะไปสอนอะไรทำอะไร ไม่ใช่ไปอยู่เหมือนไปอยู่วัดในกรุงเทพฯ เรียกว่าอยู่กรุงเทพฯอย่างใดไปอยู่เมืองนอกอย่างนั้น เผยแผ่ศาสนาไม่ได้ ทำกับพวกคนไทยเท่านั้น คนไทยก็มาอย่างนั้น มารดน้ำมนต์บ้าง มาสะเดาะเคราะห์บ้าง มาถ่ายดวงชะตาบ้าง พระก็สวดมนต์นับไม่ขีดไฟไปตามเรื่อง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เรื่องการเผยแผ่ธรรมะอะไรนอกจากทำคนเหล่านั้นให้โง่อย่างเดิม ไม่ให้ฉลาดขึ้น
อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด แล้วก็สะกิดกันไว้ สะกิดในปาฐกถา ฟังแล้วก็ไม่ค่อยชอบใจกันเท่าใด แต่ว่าถึงไม่ชอบก็ต้องพูด ถ้าไม่พูดก็ไม่ค่อยรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ต้องพูดให้เกิดความรู้ความเข้าใจเสียบ้าง เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไขต่อไป แต่ชาวบ้านก็ชอบอยากให้ไปอีก บอกว่าหลวงพ่อช่วยทำให้คนหูตาสว่างขึ้น องค์อื่นๆที่มาแล้วมีแต่ที่มาหลอกทั้งนั้น จะมาเอาทั้งนั้น อาตมาไม่เอาอะไร ไปเทศน์ชิคาโกทุกคืน ทุกคืน ได้เงินกัณฑ์เทศน์สองพันกว่าเหรียญ ไม่เอามาเลย บอกว่าไม่เอา เอาไว้บำรุงกิจการของวัดต่อไป บอกผมไม่ได้มาหาสตางค์ แต่ก็มีได้บ้าง คนเขาถวายพิเศษ คนนั้นถวายสิบเหรียญ ยี่สิบเหรียญเอามาใช้จ่ายที่เป็นประโยชน์ต่อไป ไม่ได้มุ่งมั่นที่จะมาหาสตางค์จึงไม่ได้เตรียมของไปแจก
ไอ้พวกไปหาสตางค์หอบของไปเป็นกระเป๋าๆ เหรียญบ้าง แหวนบ้าง ด้ายบ้าง ลูกแก้วบ้าง อะไรต่ออะไร ไปขายไง ไปหาเงินกันทั้งนั้น ไปให้มันขายขี้หน้าพระเมืองไทย ความจริงควรจะควบคุมไม่ให้พระ พวกหลวงตาขลังๆทั้งหลายไป ทำให้เกิดปัญหา ไม่เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา คือเป็นอย่างนี้ พูดมาก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอจบไว้เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที