แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันนี้ดูอากาศทำให้คนไม่สบายใจ คือมันครึ้มๆทำท่าจะตกแต่ว่าคงไม่ตกหรอกที่วัดชลประทานในวันอาทิตย์ตอนเช้า ไปตกที่อื่น เพราะว่าที่นี่คนจะทำบุญกัน จะประพฤติธรรมกัน ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ฝนมาก็ขอให้ไปตกที่หลักสี่ ที่อะไรไปก่อนโน่น ที่ดอนเมืองก็ได้ ที่ดอนเมืองไม่เป็นไร วัดชลประทานไม่ตกก่อน ให้เขาได้ทำบุญสะดวกสบาย เมื่อคืนนี้เดินทางกลับมาจากพัทลุงมาถึงก็สองทุ่มถึงวัด ได้ไปทำการฉลองศาลาห้องสมุดที่ได้ไปสร้างไว้ ศาลามีความกว้าง ๔ เมตร ยาว ๒๘ เมตร ๒ ชั้น สิ้นเงินไปทั้งหมดหนึ่งล้านเจ็ดแสนหกหมื่นสี่พันกว่าบาท เรียบร้อย ปัจจัยนี้ไม่ได้บอกบุญกับญาติโยมในศาลา ในวัด เพราะว่าบอกบุญเรื่องอื่นอยู่แล้ว เป็นปัจจัยที่ตั้งใจเก็บไว้เพื่อสร้างสิ่งนี้โดยเฉพาะ หลายปี เก็บหลายปี ได้มาก็ฝากธนาคารไว้ ไม่ใช่ไปเรี่ยไรได้มา
แต่ว่าไปเทศน์ที่ไหนเขาติดกัณฑ์เทศน์ นั่งอุปัชฌาย์ก็ถวาย สวดมนต์น้อย เทศน์มาก แล้วก็รวบรวมไว้หลายปี ได้เงินก้อนหนึ่งราวหนึ่งล้านหกแสนกว่าบาท ก็ไปบอกเจ้าคุณ เจ้าอาวาสที่วัดคูหาสวรรค์ เพราะว่าวัดนี้เมื่อเด็กๆเคยอยู่ อยู่กับหลวงลุง หลวงลุงเป็นพระอยู่ในวัดแล้วก็ไปอยู่ตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ชอบหนีไปเที่ยว ที่ได้หนีไปเที่ยวก็เพราะว่าหลวงลุงแกนั่งขรึมๆตลอดเวลา นั่งอยู่ตรงนั้น นั่งอยู่แต่เช้าถึงเที่ยง ตั้งแต่เที่ยงถึงเย็น นั่งพับเพียบเรียบร้อย ไม่ค่อยพูดค่อยจา เด็กๆมันต้องการความร่าเริงบ้าง และจะให้ไปนั่งขรึมกับท่านด้วยมันก็ไม่ได้ เลยหนีไปเที่ยว ไปเที่ยวแล้วก็ไถลไปกับเพื่อนกับฝูง กลับวัดมาก็ถูกเฆี่ยน เฆี่ยนน้อยล่ะครั้งแรก ทีหลังไปเที่ยวอีกกลับมาเฆี่ยนใหญ่ มัดมือโยงกับเขากวาง แล้วก็เฆี่ยนๆๆๆๆ เฆี่ยนจนท่านเหนื่อยเองแล้วก็ไปนั่ง แล้วก็ยกนั้นเฆี่ยนสามร้อยครั้ง สามร้อยที เฆี่ยนด้วยหวายจนขาลาย ยังเป็นแผลอยู่จนบัดนี้ และที่สะโพกนี่เป็นแผลลึกลงไปขนาดข้อมือ ต้องใส่ยา ยาสมัยนั้นไม่มียาอะไร น้ำเท่านั้นเองแต่ว่าเป็นน้ำมนต์ ความจริงน้ำมันรักษาแผลไม่ให้สกปรก เอาผ้าขาวซับไว้ หยอดน้ำหยอดๆๆๆ แผลมันก็ค่อยตื้นขึ้นๆๆจนหาย มารู้ทีหลังว่าน้ำนี่รักษาแผลได้ ทำให้หายได้
แล้วก็พบหนังสือแจกงานศพท่านผู้หนึ่ง แกตัดทางรถไฟ ไปสายใต้แล้วเกิดขาบวม บวมก็ไป แกลงไปแช่น้ำ แช่น้ำอยู่สามชั่วโมงขายุบไปเลย เลยรู้ว่าน้ำนี่ก็เป็นคุณค่าเหมือนกัน รักษาอย่างนั้นจนหาย หายแล้วไม่ไปอยู่กับหลวงลุงต่อไป แต่ว่าวัดนั้นเราเคยอยู่ก็นึกถึงว่า ควรจะไปตอบแทนวัดเสียหน่อย เพราะว่าเป็นวัดที่ควรตอบแทน คือถ้ามีโรงเรียนบาลีนักธรรม โรงเรียนวันอาทิตย์ ถ้าเรียนบาลีที่วัดนั้น สามเณรขณะนี้มี ๖๐ ที่เป็นนักเรียน แล้วก็พระประมาณ ๒๐ รูป เด็กโรงเรียนวันอาทิตย์นี่ มีจำนวนขาดตั้งแปดร้อยทุกปีถ้าช่วยกันก่อน เด็กในตลาดพัทลุงนี่มาเรียนหมด ไม่มีเหลือมากันหมดเลย ลูกคนค้าขายในตลาด มาเรียนกันหมดเลย สอนกันเป็นการใหญ่ ไปเห็นแล้วบอกเออเป็นประโยชน์มาก เราควรจะสนับสนุนต่อไป
พอดีกับว่าโรงครัวของวัดที่ใช้เลี้ยงพระน่ะมันจะพังมิพังแหล่ แล้วอยู่หน้าวัด ใครไปใครมาวัดนี่ภูมิประเทศสวยงามมีถ้ำเก่าแก่คนชอบไปดูถ้ำ แต่พอเข้าประตูวัดเห็นครัวแล้วมันไม่น่าพิสมัยเลย ก็เลยบอกท่านเจ้าคุณว่ารื้อ ไอ้ตัวนี้ขายหน้ามานานแล้ว ท่านถามว่ารื้อแล้วมีสตางค์สร้างหรือ บอกว่าก็พอมี ให้เขาเขียนแปลนให้ ช่างเทศบาลเขียนให้ เมื่อวานนี้ช่างก็มาถามว่าเป็นไงหลวงพ่อ แปลนใช้ได้ไหม บอกว่ามั่นคงดีแต่หลังคาเบี้ยวไปหน่อย บอกว่ามันไม่เป็นไทยมันเป็นหลังคาพวกอินโดนีเซียไป คือมันเตี้ยไป มันควรจะสูงสักหน่อย เขาบอกว่าส่วนมันอย่างนั้นก็ตามใจ ก็ถ้าใช้ได้แล้วทำไมเป็นอย่างนั้น ก็เลยช่างเสร็จเรียบร้อย เป็นหอสมุดชั่วห้องหนึ่ง เป็นหอสมุด แล้วนอกนั้นก็เป็นที่ฉันข้างล่าง ข้างบนก็เป็นที่อ่านหนังสือได้ ถ้าเณรอ่านหนังสือสบายถ้ามีห้องพัก แล้วก็ครูอาจารย์ที่เป็นครูก็จะอยู่หลังนั้น มีสามสี่ห้าหกห้อง อยู่ได้สบายมีห้องน้ำห้องท่าเสร็จเรียบร้อย ท่านก็สร้างเร็วปีเดียวก็เสร็จ แล้วก็วัดซื้อวัสดุก่อสร้างเอง ไม่แพง แล้วก็ช่างก็เป็นคนพื้นบ้าน จ้างเป็นตอนๆเหมาเป็นตอนๆ กันเหมาแรงงาน
เงินหนึ่งล้านหกแสนนี่สร้างได้พอเรียบร้อย แต่ว่ามีคนอื่นสบทบด้วย มีคนสมทบรายละหมื่นบ้าง รวมทั้งหมดมีคนสมทบนึ่งแสนบาท เศษเล็กน้อย ก็เมื่อเสร็จแล้วก็ไปทำพิธี พอดีก็เป็นวันเกิดเมื่อวาน ก็เรียกว่าทำบุญวันเกิดไปด้วยในตัว ทีนี้คนเขาก็มาร่วมบุญกัน ตั้งโต๊ะรับเงินไว้ปรากฏว่าได้เงินสามหมื่นกว่าบาท ก็บอกว่าเงินนี้ให้ใช้จ่ายเรื่องงานฉลอง เลี้ยงคนเลี้ยงอะไรต่ออะไร ค่าน้ำค่าไฟใช้ไป ไม่ต้องหักอะไรไม่ต้องเอาไปไหน วัดใช้ แล้วอาตมาก็ตั้งทุนให้อีกก้อนหนึ่ง ออกทุนให้อีกก้อนหนึ่ง หนึ่งแสนสองหมื่นห้าพันบาทเป็นทุนไว้สำรองเพื่อจัดหนังสือหนังหาอะไรขึ้น แล้วก็มีคนบริจาคตู้หนังสือไว้ตู้หนึ่งเต็มฝาผนัง ขอหนังสือไปทางไชยา ท่านเจ้าคุณก็เลือกคัดเลือกห่อให้ส่งไปให้กับคณะที่ไป แล้วเอาหนังสือไปจากกรุงเทพฯ ก็ยังจะสะสมหนังสือไปไว้เรื่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น โต๊ะเก้าอี้สำหรับอ่านหนังสือมีผู้ช่วยบริจาค เรียบร้อย ญาติโยมมาฉลองก็สบายอกสบายใจกันถ้วนหน้า
พอได้เห็นอาคารใหญ่โตสวยงามเป็นประโยชน์ ในสถานที่นั้นอาตมาก็ได้สบายใจว่าได้ตอบแทนแผ่นดินที่เราเคยเหยียบเคยย่างเคยอยู่เคยอาศัย ให้เป็นประโยชน์แล้วก็สบายใจ เพราะตั้งใจมาหลายปี คืออธิษฐานใจมาหลายปีว่าจะสร้างอะไรสักอย่างหนึ่ง ในบ้านเกิดหรือในวัดที่เราเคยอยู่ มีคนเขาประท้วงว่า วัดนางลาดนี่เป็นวัดที่บวชอยู่ใกล้บ้าน ห่างจากบ้านเพียงสามร้อยเมตร สมัยเด็กๆพระตีระฆังฉันข้าวได้ยินทุกวัน ทำไมไม่ไปช่วยวัดนั้น บอกว่าวัดนั้นยังไม่ช่วยเพราะว่ามีพระอยู่สามองค์เท่านั้น พออยู่แล้วก็เมื่อวานก็ไปดู โบสถ์ก็กำลังจะเสียหาย โบสถ์เก่าแก่แล้ว บอกว่าให้มันพังไปก่อนค่อยไปแก้ไขมันทีหลัง เพราะว่าเคยซ่อมมาทีหนึ่งแล้ว เพดานของเก่าเขาทำด้วยไม้ไผ่สาน เอาปูนโบกไว้ ทำเหมือนของฝรั่งเลย ฝรั่งอังกฤษมันเพดานมันก็ไม้ ไม้สานแล้วก็ปูนโบกเหมือนกัน ของไทยก็เป็นอย่างนั้น ต่อไปถ้าเห็นไม้ไผ่ก็อ้าวนี่มันปูนกับไม้ไผ่นี่ แล้วก็มีปลวกขึ้นต้องแก้ปัญหาเรื่องปลวกต่อไป
แล้วก็เรียบร้อยเสร็จก็กลับเมื่อวาน มาถึงก็สองทุ่มพอดี เช้าวันนี้ก็ได้พบกับญาติโยมทั้งหลายต่อไป เพื่อจะได้พูดจาธรรมะสู่กันฟังต่อไป เมื่อวันก่อนนี้ก็ได้พูดแนะนำในการดำเนินชีวิตประจำวันว่าเราควรจะอยู่อย่างไร จึงจะมีความสุขในชีวิตประจำวัน เพราะว่าความสุขนี่ใครก็ต้องการ แต่ว่าไม่ค่อยจะได้รับความสุขสมใจ แม้เราจะมีอะไรพร้อมบริบูรณ์แต่ว่าจิตใจก็ยังไม่เป็นสุข ยังมีปัญหามีเรื่องทำให้วิตกกังวลด้วยประการต่างๆ จึงเป็นเครื่องที่เป็นปัญหาชีวิต ในทางพระพุทธศาสนาของเรานั้น ดังที่เคยกล่าวให้ญาติโยมฟังบ่อยๆว่าจุดหมายสำคัญของพระพุทธศาสนาอยู่ที่การดับทุกข์ได้ อยู่ที่การรู้ว่าความทุกข์คืออะไร แล้วเราก็ดับทุกข์นั้นได้ด้วยปัญญา การแก้ไขปัญหาเราจะต้องทำด้วยตัวของเราเอง คือต้องแก้ด้วยตัวเอง แก้ด้วยปัญญาที่เราศึกษาจากธรรมะ เพราะฉะนั้นการเรียนธรรมะก็คือการเรียนเพื่อให้เกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญาแล้วเราก็นำปัญญานี้ไปใช้ในการแก้ปัญหาชีวิตของเรา คือใช้ทุกประการ ใช้ในเรื่องอะไรก็ได้ แต่ว่าเราต้องศึกษาให้รู้ว่าอะไรเป็นเหตุของเรื่องนั้นๆ
เพราะตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนไว้ว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ไม่มีเหตุ ผลจะปรากฏขึ้นไม่ได้ ไม่ว่าอะไรต้องมีเหตุทั้งนั้น แล้วเหตุนั้นอยู่ในตัวของเรา เกิดจากความคิดของเรา จากการพูด จากการกระทำของเรา แม้จะมีสิ่งอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง แต่ก็มิใช่เรื่องสลักสำคัญ เรื่องสำคัญนั้นอยู่ที่ตัวของเราเองว่าเราได้คิดในเรื่องนั้นอย่างไร เข้าไปเกี่ยวข้องกับในเรื่องนั้นอย่างไร ถ้าเราคิดถูกคิดชอบ ปัญญาก็จะเกิดขึ้นแล้วก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรถูกต้อง ความทุกข์ความเดือดร้อนค่อยหายไป แต่ถ้าเราคิดไม่ถูก คิดไม่เห็นชัดในเรื่องนั้นๆความทุกข์ก็เกิดมีต่อไป ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆเช่นเรื่องของความตาย ซึ่งบางครอบครัวก็ได้พบกับปัญหาคือความตาย คนตายโดยเราไม่นึกว่าจะตาย หรือว่าตายเพราะยังไม่ถึงเวลาที่ควรจะตาย เราคิดเอาเอง คิดว่ายังไม่ถึงเวลา คือยังไม่แก่ไม่เฒ่าแล้วก็มาตายไป ตายด้วยอุบัติเหตุก็มี ตายด้วยโรคภัยเกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วนก็มี พอเกิดอย่างนี้ขึ้นเราก็นึกเสียใจเสียดายในชีวิตของคนๆนั้นว่าเร็วเกินไป ตายเร็วเกินไปมันยังไม่ควรจะตาย เราคิดอย่างนี้
การคิดอย่างนี้เรียกว่าคิดถูกหรือคิดผิด ถ้าเราคิดในแง่ธรรมะก็จะตอบว่าคิดผิด ไม่ตรงตามเรื่องที่เป็นจริง เพราะความจริงนั้น ความตายไม่เลือกเวลาไม่เลือกบุคคล ไม่เลือกอะไรทั้งนั้น คนเราอาจจะตายด้วยอะไรก็ได้ ไม่ได้จำกัดเรื่องว่าต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการตายของคนจึงเป็นไปในรูปต่างๆกัน โดยเฉพาะในสมัยนี้ มีเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุบ่อยๆ เกิดขึ้นแล้วก็ทำให้คนตาย เช่นรถชนกันบ้าง เรือบินตกบ้าง อุบัติเหตุทางน้ำบ้าง ทางรถไฟบ้าง อะไรต่างๆเป็นเรื่องอุบัติเหตุ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นแก่ใครเมื่อใดก็ได้ เมื่อเกิดขึ้นผู้ที่อยู่ข้างหลังก็มีความเสียอกเสียใจ ว่าไม่น่าจะเกิดอย่างนั้นไม่น่าจะเกิดอย่างนี้ เรานึกอย่างนั้น การนึกอย่างนั้นเรียกว่านึก เพราะเรานึกเอาเอง ไม่ได้คิดเหตุผลว่าอะไรมันเป็นอะไรถูกต้อง จึงได้เกิดความทุกข์เดือดร้อนใจ เป็นปัญหามากมายแก่ชีวิต
ทีนี้เราลองคิดดูว่าเวลาที่เราเป็นทุกข์นี่เรารู้สึกอย่างไร สภาพร่างกายเป็นอย่างไร จิตใจเป็นอย่างไร อารมณ์ของเราเป็นอย่างไร หน้าตาของเราเป็นอย่างไร มันเริ่มตกลงไปทั้งนั้นอะไรๆก็เป็นไปในทางที่ไม่เจริญ จิตใจไม่เจริญ หน้าตาก็ไม่ผ่องใส อารมณ์ก็ไม่ดี ใครมาพูดอะไรขวางหูขวางตาก็ไม่ค่อยจะชอบใจ หงุดหงิดงุ่นง่านด้วยความทุกข์อันนั้น อันนี้มีอยู่แก่คนทั่วๆไป เป็นปัญหาของคนทั่วไป เช่นเมื่อเร็วๆนี้ที่เรือบินไปตกที่ภูเก็ต ก็มีพ่อแม่พี่น้องของผู้ที่ถึงแก่กรรมนั้น มีความเศร้าโศก มีความเสียใจ จากเรื่องนั้นมากมาย คือเสียใจว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่เรานึกเอาอย่างนั้นเอง ว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น หรือว่ายังไม่ถึงเวลา เราก็นึกเอาเองอีก เป็นการนึกในทางที่จะทำคือความให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ
พระพุทธศาสนาสอนเราไม่ให้นึกในเรื่องที่จะเป็นทุกข์ ให้นึกในเรื่องที่จะไม่เป็นทุกข์ การนึกอย่างไรมันจะไม่เป็นทุกข์ นึกอย่างไรจิตใจจะได้สบาย จะไม่ได้เกิดเป็นปัญหาคือความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ อันนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องใช้หลักธรรมะ เป็นเครื่องพิจารณาเพื่อจะได้แก้ปัญหา คือความทุกข์ความเดือดร้อนใจด้วยประการต่างๆ การคิดแก้ปัญหาก็ควรใช้คำธรรมดา ง่ายๆตามหลักพระบาลีที่มีอยู่ คำพูดคำนี้เป็นคำง่ายๆ คือให้นึกว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ไอ้ที่ว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่า เอาตามชอบใจ แต่ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในชีวิตของเรานี่ มันเป็นเป็นอย่างนั้น มันไม่เที่ยง นี่อันแรกเมื่อเห็นได้ง่ายว่าไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แล้วมันเป็นทุกข์โดยสภาพคือไม่คงทนถาวร ไม่มีเนื้อแท้ในตัวของมันเอง มันเป็นของผสมปรุงแต่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ตามธรรมชาติ เมื่อถึงที่สุดก็แตกดับไปตามธรรมชาติของสิ่งนั้น
หรือว่าเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เราก็นึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมี เพราะทำไมจึงต้องมี เพราะว่าคนเรานั้นไม่มีญาณหยั่งรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราหยั่งรู้เราก็ไม่ไป เช่นว่าเรือบินจะตก เรารู้เราก็ไม่ไปเรือบินลำนั้น แต่นี่ใครจะรู้บ้างว่ามันจะเกิด สิ่งที่มันเกิดก็เกิดไปตามเรื่องของสรรพสิ่งที่ปรุงแต่ง สิ่งปรุงแต่งนั้นมันไม่ถาวรเช่นเครื่องยนต์ ที่มันไม่ถาวร อาจจะดีก็ได้ อาจจะไม่ดีก็ได้
เมื่อวานนี้รถทัวร์ที่ไปสามคัน ก็ออกมาตั้งแต่บ่ายสอง แต่ว่ารถคันหลังออกบ่ายสี่ รถทัวร์ธรรมดาของเขามาถึงเห็นรถสามคันยังจอดนิ่งอยู่ที่ทางจะถึงทุ่งสง ตรงนั้นมันก็เปลี่ยวหน่อย แต่ว่ารถตำรวจสองคันก็นำหน้าตามหลังอยู่ ไม่เป็นไร แสดงว่ารถคันใดคันหนึ่งเกิดเสียขึ้นแล้ว เมื่อเสียสักคันไอ้สองคันก็ไปไม่ได้ เพราะไปด้วยกันมาด้วยกัน ต้องคอยกันให้ไปพร้อมๆกัน มีอะไรก็จะได้ช่วยเหลือกัน นี่ไม่มีใครนึกว่ามันจะเป็น คนรถก็ได้ถามว่า รถเรียบร้อย เดินทางไปไกลนะ โอ๊ยเช็คเรียบร้อยหลวงพ่อ มันก็ว่าอย่างนั้นนะ เช็คหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะคนไทยเรามักจะประมาท ไม่ค่อยเช็คให้เรียบร้อย เคยพบบ่อยๆ แต่เขาบอกว่าโอ๊ยเรียบร้อยหลวงพ่อ ก็อุ่นใจไว้มันพูดหลอกให้ชื่นใจ แต่ว่าเวลาไปเข้าจริงๆมันก็มีการเสี่ยงเกิดปัญหาขึ้น แต่ว่าในรถก็มีพระไปด้วยก็จะได้ช่วยปลอบโยนญาติโยมไปให้เห็นว่ามันเรื่องธรรมดา การเดินทางไกลมันก็ต้องมีขลุกขลักบ้าง
ไม่เรื่องนั้นก็เรื่องนี้ ถ้าปลงไปเสียก็สบายใจ แต่ถ้าปลงไม่ลงก็นั่งกลุ้มใจ การนั่งกลุ้มใจกับปลงแล้วไม่กลุ้มใจ เราลองคิดว่าอันไหนดีกว่ากัน เราลองคิดง่ายๆว่าอันไหนดีกว่ากัน ปลงแล้วคิดแล้วไม่กลุ้มใจมันดีกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าคิดแล้วทุกข์นี่มันก็ไม่ดี แต่ว่าคนเราชอบคิดให้เป็นทุกข์ ไอ้เรื่องคิดให้เบาใจ โปร่งใจ สบายใจ ไม่มีใครค่อยคิด ชอบหาเรื่องให้เป็นทุกข์ตลอดเวลา เอามาคิดให้เกิดความทุกข์ทางใจ ถ้าเราคิดแล้วเป็นทุกข์แสดงว่าไม่ได้ใช้ปัญญา เป็นเครื่องประกอบการคิด หรือพูดในอีกแง่หนึ่งว่าไม่ได้ใช้ธรรมะเป็นเครื่องประกอบการคิด เมื่อไม่ได้ใช้ธรรมะเราก็ไม่เข้าใจสิ่งนั้นตามสภาพที่เป็นจริง เมื่อไม่เข้าใจตามสภาพที่เป็นจริงก็มีความทุกข์ทางใจเกิดขึ้น แล้วก็นั่งกลุ้มใจต่อไป นี่เพราะคิดไม่เป็น แต่ถ้าหากว่าเราคิดเป็นเราก็คิดว่าเออธรรมดา พออะไรเกิดขึ้นก็ต้องคิดก่อนว่าธรรมดามันจะต้องเป็นอย่างนี้ เรื่องธรรมดามันเป็นอย่างนี้
ตานี้ธรรมดา ธรรมนิยม ธรรมฐิติ อะไรที่พระท่านว่าไว้ ก็คือเรื่องไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง มันก็ต้องเป็นอะไรบ้าง สิ่งทั้งหลายมันก็ต้องเกิดอาการเช่นนี้บ้าง เพราะสิ่งทั้งหลายไม่มีเนื้อแท้ในตัวของมันเอง มันมีเรื่องมาปรุงกันเข้า อะไรที่ปรุงกันเข้ามันก็จะเรียบร้อย เมื่อส่วนปรุงแต่งพร้อมเพรียง แต่ถ้าที่เข้าไปปรุงแต่งเกิดไม่พร้อมมันก็เกิดความเสียหาย มันเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าคิดเป็นแล้วมันก็คลายลงไป คลายลงไปด้วยนึกได้ว่าเออธรรมดา นี่อันหนึ่ง
หรือจะคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันเกิดเฉพาะของเรารึ เกิดเฉพาะในครอบครัวของเรารึ หรือว่าเกิดเฉพาะแต่พวกเรา ต้องคิดให้กว้าง ถ้าคิดอย่างนี้คำตอบก็มีว่ามันไม่ได้จำกัดอย่างนั้น เพราะว่าเคยเกิดขึ้นแก่ใครๆมาเยอะแยะ มากมายก่ายกอง เช่นการตายด้วยอุบัติเหตุนี่ ตายกันบ่อยๆ ข่าวลงบ่อยๆ ในต่างประเทศก็เคยมี ตายกันมากมาย เรือบินเกาหลีถูกยิงตกตายกันไปเยอะแยะ มากมายก่ายกอง รถยนต์ชนกันก็ตายกันบ่อยๆ อันนี้เป็นเรื่องที่ให้เห็นว่าไม่ได้เป็นแต่เรา แต่เป็นกับคนทั่วไป ไม่จำกัดชาติ ศาสนา ผิวพรรณ อายุ เวลา สถานที่อะไรทั้งนั้น ลองคิดไปไกลๆขนาดนั้นเราก็สบายใจ พอปลงตกได้ว่าไม่ใช่เรานี่นะ ไม่ใช่เป็นแค่เรา คนอื่นก็เป็นเหมือนกัน อย่างนี้มันก็พอจะได้สบายใจขึ้นมาสักหน่อยในเรื่องประเภทอย่างนี้
คราวนี้เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องปัญหาการค้าการขาย การทำงานอะไรต่างๆ เราจะหวังกำไรตลอดไปไม่ได้ มันต้องมีได้มีเสียมีกำไรบ้างมีการขาดทุนบ้างเป็นธรรมดา เช่นในระยะนี้เป็นระยะที่เขาเรียกว่าเศรษฐกิจตกต่ำ เศรษฐกิจตกต่ำก็หมายความว่าซื้อไม่ง่ายขายไม่คล่อง อะไรๆมันก็เป็นปัญหาไปหมด คล้ายกับเข็นเรือบนบกมันไม่ค่อยคล่อง ไม่เหมือนกับเข็นในน้ำ ในน้ำไม่ต้องเข็นนะ พอเรือมันลอยน้ำเอาไม้ค้ำนิดหน่อยมันก็ไหลจู๊ดไปเลย แต่ว่าเข็นเรือบนโคลนแห้งนี่มันลำบาก เวลานี้สภาพมันเป็นอย่างนั้น และเราผู้ทำการค้าขายทำมาหากินหรือไม่ใช่คนค้าขาย ชาวนาก็ฝืด ชาวสวนก็ฝืด ฝืดทั้งนั้น อาตมาออกไปตามชนบทไปที่ไหนก็มักจะคุยกับญาติโยม ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ ก็ถามว่าเป็นยังไงการทำนาในท้องถิ่นนี้เป็นอย่างไร ข้าวดีไหม เขาบอกข้าวดี เออสบายใจโยมนะ เรามันทำนาถ้าข้าวดีเก็บเกี่ยวผลได้มากก็สบายใจ โยมก็บอกว่ามันสบายใจตรงข้าวงาม แต่มันไม่ค่อยสบายใจเพราะราคามันถูก มันไปทุกข์อยู่ตรงนั้นอีกน่ะ เพราะราคามันถูก เวลานี้ทำงานไม่เหมือนเมื่อก่อน สมัยก่อนทำนานี่ไม่ต้องลงทุนอะไร ไม่ต้องใส่ปุ๋ย ไม่ต้องมียาปราบศัตรูพืช เพียงแต่ว่าไปไถดะปักดำเดี๋ยวก็ได้กินแล้ว งามเรียบร้อย มันเป็นอย่างนั้น
สมัยก่อนอาตมาอยู่บ้านก็เรียกว่าโยมนี่ก็ทำนา ก็ได้เห็นว่าไปไถพลิกดินขึ้นแล้วก็คราด คราดแล้วก็บางแห่งก็ไถอีกทีหนึ่ง แล้วก็คราดอีกทีหนึ่ง ดินมันแข็งอะไรแบบนั้น แต่ถ้าเป็นดินร่วนดีพอไถแล้วก็คราด ดำได้เลย แล้วไม่เห็นใส่ปุ๋ย ไม่ต้องไปซื้อปุ๋ยจากร้านตลาด ไม่ต้องไปหาอะไร มันก็งามโดยธรรมชาติ ข้าวเขียวใบเกือบดำไปเลยทีเดียว พอโตๆออกรวงเต็มต้นไปเลย เก็บกันหนักแล้วงาน เขาเป็นอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ทุกหนทุกแห่งในประเทศไทย ทำนาโดยไม่ใส่ปุ๋ยแล้วจะไม่ได้กินข้าว ต้องเพิ่มปุ๋ย ทำไมจะต้องเพิ่มปุ๋ยก็ทำมาทุกปีๆ ของในดินมันก็หมด อาหารมันก็หมดไป ข้าวก็ไม่มีอาหารกินมันก็ไม่เติบโตงอกงาม ต้องเพิ่มปุ๋ยให้แก่มัน เราต้องลงทุนซื้อปุ๋ย สมัยก่อนไถกับวัวควาย ก็ไม่ต้องซื้อหญ้าให้กินหรอกเพราะว่าหญ้ามันมีเยอะแยะ แต่เดี๋ยวนี้ใช้ควายเหล็ก ไอ้ควายเหล็กนี่มันกินน้ำมัน น้ำมันมันก็ขึ้นลงตามราคาตลาด ชาวบ้านก็ลำบากกับเรื่องควายเหล็กต่อไป เป็นทุกข์ การทำนาก็ลงทุนมาก ข้าวขายถูก เลยก็ไม่รู้จะปลอบอย่างไร ก็บอกว่ามันอย่างนี้แหละโยม ไม่ใช่ถูกเฉพาะบ้านเรา บ้านอื่นเมืองอื่นมันก็ของมันอย่างนี้ มันขายไม่ค่อยออก คนทำนาทำการเกษตรนี่ มันเป็นอย่างนี้ล่ะมันไม่เหมือนทำเรื่องอื่น ราคามันก็ตกต่ำ เอาเท่าที่ได้นะโยมนะ ได้เท่าใดก็เอาเท่านั้น ขายได้เท่าใดก็เอาเท่านั้น แล้วก็จำกัดความต้องการให้น้อยลงไป
คือ ความต้องการของคนเรานี่มันมาก มากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมมันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีการคิดสร้างอะไรใหม่ๆขึ้น พอสร้างอะไรใหม่ๆขึ้นก็เกิดความอยากได้สิ่งเหล่านั้น อยากได้มันก็ต้องซื้อ ตานี้เมื่อสตางค์จะไปซื้อไม่มีก็นั่งเป็นทุกข์กลุ้มใจ เลยบอกให้ลดลงไปสักหน่อย ลดความต้องการลงไป เอาเท่าที่จำเป็น เดี๋ยวนี้ญาติโยมชาวบ้านนอก ทุ่งไร่ทุ่งนา ความต้องการเพิ่มขึ้นเพราะเจริญ ไฟฟ้าเข้าไป ไฟฟ้าไม่มีแต่ว่าอุตส่าห์ไปติดต่อขอให้ไฟฟ้าเข้ามา เดินเสาไฟฟ้าเข้าไปในหมู่บ้านในราคาตั้งสองสามแสน ไม่ใช่รัฐบาลออกให้ไม่ใช่การไฟฟ้าออกให้ แต่ว่านโยบายของรัฐบาลน่ะพูดบ่อยๆให้ทุกตำบลมีไฟฟ้าใช้ แต่ว่ารัฐบาลไม่ได้เดินสายเข้าไปให้หรอก ไม่เหมือนกับพ่อค้า พ่อค้าเขาขายของนี่เขาเอาของไปขายถึงบ้าน เขาเอารถบรรทุกของไปขาย ไปฉายหนังให้คนมาซื้อของก็ยังได้ แต่ว่าของราชการนี่นั่งขายอยู่ในสำนักงาน ใครอยากจะซื้อก็ต้องมาติดต่อ แล้วติดต่อก็ไม่ใช่ติดต่อง่ายๆนะ ต้องไปง้อให้ไปช่วยหน่อย แล้วการไปช่วยเดินให้ก็แพง เสาก็ต้องซื้อสายก็ต้องซื้อ ซื้อทุกอย่าง พอเดินเสาเสร็จแล้วไม่ใช่ว่าจะได้ใช้เปล่านะๆ ต้องเสียค่าใช้ทุกเดือน แห่งหนึ่งเสียเงินมากมาย หลายแสนกว่าจะไปถึงได้เสาต้นใหญ่ๆ ของการไฟฟ้าไปปักเสาเข้าไปเอ้าได้ใช้
ส่วนมากก็วัดแหละช่วยให้มีไฟตามบ้าน เพราะว่าพระไปติดต่อเอง แล้วก็เรี่ยไรเงินจากญาติโยมชาวบ้าน เป็นคนกลางน่ะพระนี่เป็นคนกลาง บำเพ็ญชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่สังคม ช่วยไปติดต่อเดินเรื่องชาวบ้านไม่มีเวลา พระก็ไปเดินทุกอย่าง จนกระทั่งว่าได้เงิน เอาไปชำระค่าเสาค่าสายแล้วขาก็มาเดินให้ เดินแล้วบางทีก็มีแต่เสาแต่สาย ชาวบ้านก็นั่งดูน้ำลายสออยู่นั่นล่ะเมื่อไรไฟมันจะมาสักที พระก็ต้องไปเดินอีกแล้ว ไปเดินว่าเสาก็ไปแล้วสายก็ไปแล้วชาวบ้านก็เดินสายในบ้านแล้วแต่ว่าของหลวงยังไม่ไปถึง เขาว่าเอ้ารออีกหน่อยครับ ก็หายไปเดือนสองเดือนพระก็ไปทวงอีกแล้ว เขาบอกว่าพร้อมแล้วครับอีกสักไม่กี่วัน ไม่กี่วันน่ะเดือนหนึ่่ง หรือเดือนกว่าแล้วเขาไปเดินสายต่อสายให้ชาวบ้านใช้กันต่อไป ติดหม้อเสร็จเปิดปั๊บเครื่องเดินเสียสตางค์ พอมีไฟฟ้าใช้ สบายแล้วไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เมื่อก่อนนี้ตามตะเกียง สมัยอาตมาเด็กๆ ตามไต้ เปลือกไม้ชิ้นหนึ่งแล้วก็ไม้เสม็ด ไปเจาะยางป่ายางเยอะแยะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมียางให้เจาะ โค่นหมดแล้ว(ฟังไม่ชัดเจน 31:09.8) เจาะยางได้น้ำมันเอามาคลุกกับเปลือกเสม็ด แล้วเอาห่อด้วยใบเตย ห่อยาวๆขออภัยได้แค่นี้มัดๆแล้วก็จุดไต้ อ่านหนังสือทำอะไรก็จุดไต้ ไปที่ไหนก็ถือคบไต้ไป ถ้ามีงานใหญ่ๆตามวัดตามอะไรไต้ ลำใหญ่ๆขนาดอย่างนี้ ติดเข้ากลางวัดสี่อันห้าอันไฟสว่างเป็นอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ใช้แล้วพอดียางไม่มีแล้วก็เลิกใช้กันไป ใช้ไฟทั้งนั้นพอมีไฟฟ้าใช้ เออไอ้คนขายของไปแล้ว ไปขายอะไรบ้าง หม้อไฟฟ้า โฆษณาบอกว่าหุงข้าวด้วยฟืนหม้อดำลำบาก ไอ้นี่ใส่ข้าวใส่น้ำเสียบปลั๊กปุ๊บไปไหนก็ได้ มันก็เดือดเองไม่ต้องมาดูไม่ต้องรินน้ำทิ้งอะไรต่ออะไร เอ้าเอาไปใช้ก่อน ไม่ใช่ว่าให้หม้อแล้วเอาเงินทั้งหมดนะ ผ่อนส่งไม่เป็นไร เรียกว่าไปให้ชาวบ้านเป็นหนี้ทั่วกัน ผ่อนส่ง บ้านนี้ก็ผ่อนหม้อ บ้านนั้นมาเห็นเห็นเอ๊ะหุงข้าวใช้อะไร หม้อไฟฟ้าโอ๊ยดีสบาย เดี๋ยวนี้หุงกับหม้อไฟฟ้าสบาย บ้านนี้มี บ้านนั้นก็มี บ้านนั้นก็มี อ้าพวกนั้นก็ไปเก็บเงินค่าผ่อนส่งหม้อไฟฟ้า อ้าวต่อไปก็มีวิทยุ สมัยก่อนใช้ถ่าน ถ่านหมดแล้วก็ต้องไปซื้อ มีไฟแล้วก็ไม่ต้องไปซื้อถ่านเลย มีวิทยุเสียบปลั๊กนี้เข้าไปเสียงก็ดังอู้เข้าไปเลย มีวิทยุกันทุกบ้าน มีไว้เปิดฟังลิเก ฟังเพลงอะไรต่างๆ นานๆก็เทศน์ท่านปัญญาซะที อันนี้ก็รู้ว่าฟังเทศน์ อ๋อเคยฟัง วันอาทิตย์ต้นเดือนเคยฟังทุกที ท่านเทศน์นะเทศน์สนุก บอกว่าไม่ใช่เทศน์ให้สนุก เทศน์ให้รู้เรื่องให้เอาไปใช้ด้วย แล้วเราเอาไปใช้กันอยู่หรือเปล่า ก็ใช้อยู่
เวลานี้ก็ได้ฟังธรรมะแล้วก็ค่อยสบายใจอยู่ มีวิทยุต่อไปก็มีตู้เย็น ตู้เย็นก็ไม่มีอะไร ไปตามบ้านบ้านเปิดดูเอาน้ำใส่ขวดใส่ตู้ไว้กิน บอกว่านี่ซื้อตู้เย็นมาแช่ขวดน้ำกิน บอกเอาซื้อหม้อดินมาใส่ขวดน้ำกินยังเย็นกว่าในตู้อีก สมัยก่อนเมืองเชียงใหม่เขาเรียกว่าน้ำต้น ใส่น้ำให้เย็นตามธรรมชาติ น้ำในตู้เย็นมันเย็นเกินไป กินแล้วคอไม่สบาย น้ำในน้ำต้นเย็นพอดีๆ เดี๋ยวนี้อย่างเมืองเหนือเขายังใช้น้ำต้นกันอยู่ แต่ว่าที่อื่นเอาน้ำใส่ขวดๆ ใส่ตู้เย็น ธนาคารเขาก็เก่งเหมือนกัน สั่งไอ้ขวดพลาสติกกลมๆแล้วก็ติดเบอร์ธนาคารนั้น ธนาคารนี้ ใครไปฝากเงินแจก แจกไอ้หม้อใบนั้น พวกนั้นก็เอาไปใส่น้ำใส่ตู้ไว้ เวลาไปที่ไหนก็มีน้ำมีตู้เย็นให้ฉัน เออเจริญขึ้น แล้วต่อไปก็มีเครื่องรีดผ้า เออจิปาถะของที่เกี่ยวกับไฟฟ้านี่ แล้วบ่นว่าแหมใช้ไฟเปลือง อ้าวก็ใช้มากเรื่องมันก็เปลืองน่ะสิ ไอ้โน่นไอ้นี่มันก็เปลือง
การหาเงินไม่พอกับการจ่าย เพราะการทำงานเท่าเดิมไม่ได้เพิ่ม เกิดเป็นปัญหา ความเจริญนี่ทำคนเป็นทุกข์เหมือนกัน ในเรื่องนี้ ไปเห็นแล้วก็นี่เพราะเราไม่จำกัดการใช้ จึงได้เกิดเป็นปัญหา พี่้น้องในกรุงนี่มันก็เหมือนกันแหละมันก็มีปัญหาเยอะ เรื่องไฟฟ้าตัวเดียวนี่ มันมีอะไรหลายอย่างที่จะต้องใช้ นี่ถ้าไม่มีไฟฟ้าก็เทศน์ไม่สะดวกอ้าวไม่มีพัดลมให้โยมเปิดพัด นั่งมากๆมันก็ร้อนไม่เหมือนสมัยก่อนนั่งใต้ต้นไม้ ความต้องการมันเพิ่มขึ้น แต่การแสวงหาไม่เพิ่มอ้าวเกิดเป็นปัญหาขึ้นมาแล้ว ชาวไร่ชาวนาก็มีความทุกข์ด้วยเรื่องอย่างนี้ เอ้าคนค้าขาย นี่เหมือนกับคุณบุญยงมานั่งอยู่นี่ เป็นจะเรียกว่าทำงานอุตสาหกรรมยา ทำยาขาย โรงงานยาใหญ่โต เมื่อชาวนาชาวสวนไม่มีเงินยาก็ขายไม่ออก อะไรก็ขายไม่ออก ผ้าก็ขายไม่ออก อะไรก็ไม่ออกเพราะชาวนาไม่มีเงิน เขาพูดตามภาษาใหม่ว่ากำลังซื้อมันไม่มี ก็การขายก็เดือดร้อน กระทบกระเทือนไปถึงห้างร้านต่างๆ ที่ขายของเพราะฉะนั้นกิจการในโรงงานต่างๆก็เกิดเสียหาย ล้มเพราะว่าเงินได้ไม่พอจะให้คนงาน ก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นมาสร้างความทุกข์ความเดือดร้อน แล้วตามโรงงานต่างๆนี่ไม่ได้อบรมคนให้รู้จักประหยัดอดออม คือไม่ให้ธรรมะแก่เขา แต่ของคุณบุญยงนี่แกมีที่ประชุม กว้างแล้วก็เวลาเที่ยงนี่ก็ให้คนไปพักฟังธรรมเสียบ้าง นิมนต์พระไปเทศน์บ้างอะไรต่ออะไรบ้าง อันนี้ ช่วยระบบทางจิตใจให้ดีขึ้น จิตใจสบายร่างกายสบายงานก็สบาย แล้วก็พูดกันง่าย เห็นอกเห็นใจมันก็ไม่เดือดร้อน นี่ถ้าเราไม่ให้อะไรทางจิตใจเขามันก็เกิดเป็นปัญหา แต่ทำไมจึงไม่ให้ เพราะไม่เห็นประโยชน์จึงได้เกิดปัญหา
วันนั้น (37.01 เสียงไม่ชัดเจน) คนที่เขามาบวชนี่เขาลาสิกขา เขาเป็นเศรษฐศาสตร์บัณฑิต มาลาก็เลยพูดแนะนำแนวทางชีวิตอะไรต่ออะไร แล้วก็ถามเขาว่าทำงานกับใคร ทำงานกับบริษัทญี่ปุ่น แล้วก็บอกว่าญี่ปุ่นนี่มันไม่ถือศาสนาแต่ว่ามันทำงานเก่ง มันร่ำรวยก็นั่นแหละศาสนาแล้ว ก็ถามญี่ปุ่นแล้วเขาไม่มีศาสนา แปลว่าญี่ปุ่นนี่ก็ไม่รู้ว่าศาสนาคืออะไร เหมือนกัน แต่ว่ามันทำงานเก่ง ทำงานขยัน ขยันคือตัวธรรมะอยู่แล้ว แต่มันไม่รู้ว่าเป็นธรรมะและไม่รู้ว่าเป็นตัวศาสนา มันก็เป็นปัญหาเพราะเขาไม่รู้ ทั้งๆที่มีใช้แต่ไม่รู้ ว่าอะไรเป็นอะไร เคยมีฝรั่งหน่วย(37.57 เสียงไม่ชัดเจน) เขาก็ชอบไปตามวัดเหมือนกัน แล้วก็ไปที่ไชยา ไปหาท่านพุทธทาส ท่านก็ถามว่าพวกท่านนี่นับถือศาสนาอะไร เขายิ้มแล้วก็ตอบว่าไม่มีศาสนา ตอบหน้าเฉยและหน้าตายิ้มแย้มว่าไม่มีศาสนา แล้วท่านถามว่าแล้วมาทำไม มาที่นี่มาทำไม มาต้องการศึกษาว่าทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ ไอ้นี่มันตัวศาสนาอยู่แล้ว ไอ้ความรู้ว่าจะทำอย่างไรไม่เป็นทุกข์ก็คือตัวศาสนาอยู่แล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าศาสนาคืออะไร เขารู้ศาสนาในรูปพิธีการ ในรูปแบบต่างๆที่มีอยู่ทั่วๆ ไป แล้วเขาก็ไม่เลื่อมใสศาสนา เพราะมองในแง่วัตถุแต่ไม่เข้าใจธรรมะของศาสนา เลยมองว่าไม่มีศาสนาก็ได้
คนไม่มีศาสนานี่อยู่ไม่ได้ เพราะว่าไม่มีศาสนาก็หมายความว่าไม่มีธรรมะ ไม่มีธรรมะก็เหมือนกับไม่มีดวงไฟส่องทาง ถ้าเราเดินกลางคืนมันต้องมีไฟฉาย มีไต้มีตะเกียงมีอะไรสักอย่างหรือว่าถ้าเดือนหงายก็อาศัยแสงจันทร์ก็มีแสงสว่างนำทาง เรามีชีวิตอยู่นี่เหมือนกับอยู่ในความมืด ธรรมะเป็นแสงส่องมาให้เราได้เห็นด้วยใจ ได้รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรควรอะไรไม่ควร แสงมันส่อง ที่เราสวดมนต์ว่า ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน พระธรรมของพระศาสดารุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป เป็นดวงประทีปส่องทางชีวิต ให้เราได้เห็นแสงและเราเดินไปตามแสงนั้น ธรรมะส่องให้เรารู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ สอนให้คิดเป็นให้เราพูดเป็นให้เราทำเป็น มีชีวิตอย่างมีศิลปะก็ไม่มีความทุกข์ทางใจ ท่านสอนอย่างนั้น แต่เขาไม่รู้
แล้วพ่อหนุ่มคนนั้น บอกว่าญี่ปุ่นมันไม่มีศาสนาแต่มันเจริญ บอกว่านั้นแหละเขามีศาสนา แล้วเขาปฏิบัติศาสนายิ่งกว่าเราเสียอีกด้วยซ้ำไป เช่นในด้านเศรษฐกิจนี่ญี่ปุ่นเขาใช้ศาสนา เขาให้ความขยัน พระพุทธเจ้าสอนว่าให้ขยัน ให้อดทนให้รู้จักเก็บทรัพย์ทำทรัพย์ให้เจริญงอกงาม ให้คบคนดีไว้เป็นที่ปรึกษา ให้เลี้ยงชีพพอสมควร ชีวิตญี่ปุ่นเขาเป็นทั้งนั้น เขาใช้เรื่องเขาเอาจริง ทำจริงๆไม่ใช่ทำเล่นๆ ทำงานอย่างรักงาน เอาใจใส่ ใช้สติปัญญาคิดค้น เพื่อให้งานเจริญก้าวหน้าต่อไป เขาจึงผลิตอะไรออกมาใหม่ๆ เพราะมีเจ้าหน้าที่คิดค้นโดยเฉพาะในเรื่องนี้ ว่าจะทำอะไรให้มันใหม่ขึ้นให้มันแปลกขึ้นให้มันดีขึ้น ฝรั่งทำขนาดนี้ญี่ปุ่นต้องสูงขึ้นไปกว่านี้ เขาเรียกว่ากองวิจัยในเรื่องอะไรต่างๆ นั่นก็คือการคิดค้นทำให้เจริญนั่นเอง ซึ่งพระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าให้พอใจให้ขยันให้เอาใจใส่ ให้คิดค้น ญี่ปุ่นใช้ครบ มันรักงานมันขยันเอาใจใส่ แล้วคิดค้น ชาติญี่ปุ่นจึงเจริญก้าวหน้า เขามีธรรมะเป็นศาสนาประจำจิตใจ แต่ญี่ปุ่นเองก็ไม่รู้ มีญี่ปุ่นมานอนที่ท่านเจ้าคุณพุทธทาสเหมือนกัน ท่านถามว่าถือศาสนาอะไร เจ้าหนุ่มญี่ปุ่นก็บอกว่าถือศาสนาฮิตาชิ ไอ้ฮิตาชินี่มันไม่ใช่หลักธรรมหรือหลักปัญญาอะไร บริษัทไฟฟ้าฮิตาชิ มันทำงานกับฮิตาชิแล้วมันบอกว่าถือศาสนาฮิตาชิ เวลานี้ คืออยู่กับศาสนาฮิตาชิ มันพูดเฉยๆพูดไปยังฉะนั้น ท่านก็นึกขำในใจว่าไอ้หนุ่มนี่ไม่รู้ความ ไม่เอาไหน ความจริงนั้นเขาถือมาจนเป็นนิสัยประจำชาติ ถือมาจนเป็นเลือดเป็นเนื้อเป็นชีวิตจิตใจ จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรในเรื่องศาสนา แต่ว่าถือจนเป็นอย่างนั้น
คนของเขามีความขยันเหมือนกันหมด มีความรักงานเหมือนกันหมด เอาใจใส่ในหน้าที่เหมือนกันหมด รู้จักคิดรู้จักค้นเหมือนกันหมด กลายเป็นศาสนาประจำตัวประจำใจประจำชาติไปอย่างนั้น เป็นนิสัยเสียแล้ว เป็นนิสัยของชาติไปเสียแล้ว เขาเป็นอย่างนั้น แต่ของเรานั้นยังไม่ถึงขนาดนั้น คือยังไม่เป็นนิสัย ความขยันไม่เป็นนิสัย ความรักไม่เป็นนิสัย ความเอาใจใส่ไม่ค่อยจะเป็นนิสัย ทำอะไรก็ยังไม่ค่อยก้าวหน้า ถ้าเราไปติดต่องานการอะไร ต้องสองสามวันถึงจะได้ ไม่รวดเร็วไม่ทันใจ เป็นชาวพุทธที่ไม่ตื่นตัวไม่ว่องไวไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติงานในหน้าที่ เพราะฉะนั้นงานจึงไม่ดี ญี่ปุ่นเขาทำงานโดยมีศาสนา แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นตัวศาสนา เขานึกว่าศาสนาคือรูปแบบอะไรต่างๆ คนสมัยใหม่ไม่ค่อยเอาอย่างนั้น แต่ว่าได้เอาสิ่งนั้นไปใช้ตามๆกันมาจนเป็นกิจวัตรประจำวัน เขาก็เจริญด้วยธรรมะนั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องอะไร ด้วยศาสนาหรือธรรมะนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีสิ่งนี้ไว้เป็นเครื่องส่องทาง ถ้าเราปฏิบัติธรรมะเราก็เจริญ
คนบางคนเกิดมาในตระกูลมั่งคั่ง แต่ว่าไม่ประพฤติธรรม เมื่อไม่ประพฤติธรรมใช้แต่สตางค์ที่พ่อแม่หาไว้ให้ ใช้ๆจนกระทั่งหมดกลายเป็นคนไม่มีอะไร ยากจนเข็ญใจ ทรัพย์สมบัติไปอยู่กับคนอื่นหมด แสดงว่าเขาไม่ได้ใช้หลักธรรมะในการปฏิบัติจิตในชีวิตประจำวัน ไม่แสวงหาสิ่งที่หายแล้ว ไม่ซ่อมแซมของเก่า ไม่รู้จักประมาณในการใช้ทรัพย์สมบัติ ตั้งคนไม่มีศีลธรรมให้เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือผู้จัดการห้างร้านบริษัทไม่มีหวัง ล้ม เอาตัวไม่รอด กิจการอย่างนี้เอาตัวไม่รอด แล้วจะเอาเงินส่วนรวมไปกินไปเล่น ไปสนุกกันต่อไป ผลที่สุดก็ล่มจมไป ความล่มจมเกิดเพราะไม่มีธรรมะ ไม่มีศาสนาเป็นหลักครองใจ
ในครอบครัวใดที่พ่อแม่ปู่ตาย่ายาย ประพฤติธรรม สร้างเนื้อสร้างตัวมาดี แล้วก็สอนลูกให้เดินตามทางของพ่อแม่ ตระกูลนั้นครอบครัวนั้นจะไม่ล่มจม แต่ถ้าหากว่าพอมีความสุขความเจริญในทางทรัพย์สมบัติ แล้วหาความสุขทางกายทางเนื้อทางหนัง หาความสุขด้วยการดื่ม ด้วยการเที่ยวด้วยการสนุก มีสโมสรบ่อนการพนัน ทุกคนก็ไปเล่นการพนันไปกินไปดื่ม ครอบครัวนั้นจะไปไม่รอด เพราะขาดศีลธรรมเป็นเครื่องหุ้มห่อจิตใจ ไม่มีหลังคาบ้านแล้ว เปิดหมดแล้ว ใครจะเอาอะไรก็เอาไปได้ ผลที่สุดก็ล่มจมไปตามๆกัน นี่คือมีตัวอย่างอยู่ถมไปในเรื่องอย่างนี้ เพราะขาดธรรมะนั่นเองไม่ใช่เรื่องอะไร
การมีธรรมะ การใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ จึงเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต ที่เราจะได้รู้ว่ามีคุณค่าอย่างไร ญาติโยมที่ได้มาวัดอยู่บ้างบ่อยๆ แล้วเอาไปใช้ ก็สังเกตว่า ดีขึ้น ชีวิตดีขั้น เศรษฐกิจก็ดีขึ้น เรียกว่าพอสมดุล รายรับรายจ่ายพอสมดุล พออยู่ได้เพราะเราใช้ธรรมะเป็นเครื่องประกอบในการดำเนินชีวิต ก็เป็นอยู่รอด หลักการอย่างนี้เอาธรรมะไปใช้ไม่ว่าในกรณีใดๆ ได้ทั้งนั้น ในการค้าการขาย ทำไร่ไถนา เป็นการอยู่การคบหาสมาคมใช้ได้ทั้งนั้น แม้ในทางการเมืองก็ใช้ได้ นี่วันนี้ส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯก็ไปเลือกตั้งกัน ถ้าไปเลือกด้วยใจเป็นธรรมก็ได้คนดี ถ้าไปเลือกด้วยใจไม่เป็นธรรมเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง ก็ได้คนที่มาจ้างเราไป มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร แล้วถ้าเรามีธรรมะเราก็ต้องใช้ธรรมะตามหน้าที่ ของการไปเลือกไปหาเอาคนดีมาอยู่ในกลุ่มของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สภาก็ดี แต่ถ้าเราเลือกไม่ดีสภาก็ไม่ดี
สมาชิกสภาหรือผู้แทนราษฎรเป็นเครื่องบ่งชี้ศีลธรรมของสังคม ว่าสังคมนั้นมีศีลธรรมขนาดไหน มีความเจริญทางจิตใจขนาดไหน เราดูผู้แทนก็แล้วกัน ผู้แทนเมืองไหนมีสภาพเป็นอย่างไรก็แสดงว่าคนเมืองนั้นเป็นอย่างนั้น เช่นว่าผู้แทนคนไหนเป็นนักการพนันก็แสดงว่าคนที่เลือกนั้นพวกผีการพนันทั้งนั้น จึงเลือกเจ้าของบ่อนการพนันเข้าไปในสภา ก็ไปเล่นการพนันกันต่อไป เลือกคนอย่างนั้นเข้าไป ถ้าหากว่าผู้แทนเมืองไหนเป็นคนขี้เมาหยำเป ก็แสดงว่าคนเมืองนั้นเป็นนักดื่มกัน อย่างน้อยก็ค่อนเมืองไป จึงพอใจจะเลือกคนที่เลี้ยงเหล้าแก่ตัว หรือว่าเป็นคนที่ชอบมึนๆเมาๆ ถ้าเมืองไหนเป็นนักเลงก็เลือกผู้แทนนักเลง พกปืนก๋าไปไหนไปเอาอันไหนก็เรียกว่าเป็นเจ้าพ่ออยู่ตลอดเวลา ก็เมืองนั้นมีคนที่ชอบเจ้าพ่อมากเขาก็เลือกเจ้าพ่อเข้ามาให้นั่งในสภา แต่ถ้าเมืองไหนเลือกเอาคนดีมีปัญญาก็แสดงว่าคนเมืองนั้นเป็นคนมีปัญญา เลือกคนเป็น มันเป็นอย่างนี้ เมืองไหนชอบหนังตะลุงก็เลือกหนังตะลุงเข้าไปในสภา ในสภาเขาก็ไม่ให้แสดงหนังตะลุงอะไร ก็ไปนั่งดูเขาพูดกันดูเขาทำอะไรไปตามเรื่อง
มันเป็นอย่างนั้น ตามนิสัยของคน คนชอบอะไรก็ทำสิ่งนั้น แสดงว่ายังไม่ได้ใช้ธรรมะเป็นฐาน เพื่อวินิจฉัยว่าถูกผิดอย่างไร ดีชั่วอย่างไร อะไรเสื่อมอะไรจะเดินอย่างไร ยังไม่ได้ใช้ ก็เลยทำให้เกิดปัญหาทั่วๆไปดังที่เราเห็นกันอยู่ เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายที่ได้มาวัดมาศึกษาธรรมะก็เอาธรรมะไปใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใช้เป็นเครื่องมือไตร่ตรองปัญหาชีวิต ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรถูกต้อง อย่าทุกข์เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น อย่าดีใจเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ตามหลักในข้อปฏิบัติว่าระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าให้ยินดียินร้ายเมื่อมีรูปมากระทบ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มากระทบอย่าให้เกิดยินดี อย่าให้เกิดยินร้าย ถ้าเราเกิดยินดีก็เป็นทุกข์ภายหลัง เกิดยินร้ายมันก็เป็นทุกข์ทันที มันมีอยู่ในตัวแล้ว ถ้าเราไม่อยากเป็นทุกข์ก็อย่ายินดียินร้าย เช่นได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญได้ความสุข ซึ่งเรียกว่าเป็นโลกธรรม เป็นธรรมสำหรับชาวบ้านทั่วไปจะต้องกระทบกับสิ่งเหล่านี้
ผู้มีปัญญาเมื่อได้ลาภก็ไม่ยินดีในลาภนั้น ได้ยศก็ไม่ยินดีในยศ พระพุทธเจ้าว่าได้ยศอย่าเมายศ ได้ทรัพย์อย่าเมาทรัพย์ ได้ความสุขอย่าเมาความสุข ใครมาสรรเสริญอย่าไปเมาเข้า เมาก็เดี๋ยวเสียท่า มันยอๆเดี๋ยวมันขอสตางค์เราแล้ว เราก็เมาคำยอเลยให้มันไป ขอยืมไม่ใช่ขอเฉยๆแต่ว่ายืมแล้วมันไม่ให้ นี่เพราะชอบคำยอ ไม่ได้ ก็เวลาที่เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา ว่าร้าย หรือมีปัญหาเป็นความทุกข์อย่ายินร้าย อย่ายินร้าย เมื่อไม่ยินดียินร้ายจะคิดอย่างไร คิดตามธรรมะว่าสิ่งนี้กำลังเกิดแก่เรา แต่สิ่งนี้ไม่เที่ยง มันคงจะเสื่อมไปสิ้นไปโดยธรรมชาติ เช่นมีลาภเกิดขึ้นเราก็ต้องคิดว่าลาภเกิดขึ้นแก่เรา แต่ลาภนี้ไม่เที่ยงมันอาจจะเสื่อมไปเมื่อใดก็ได้ อย่าไปดีใจกับมันนัก เวลาได้ยศก็อย่าไปยินดีกับยศถาบรรดาศักดิ์ที่เขาให้ จะได้เป็นคุณหญิงเป็นท่านผู้หญิงได้เหรียญได้ตราอะไรต่างๆก็ให้นึกว่าเป็นเครื่องหมายแห่งความดี ที่เราได้ทำมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบ ก็เลยประกาศให้รู้ว่าคนนี้ดีมีคุณธรรมประจำจิตใจ จึงได้สิ่งนี้มา แต่มันก็ไม่เที่ยงแท้อะไร เราอย่าไปยินดีเลย เมื่อรับมาไว้ตามหน้าที่ ไม่ยินดีให้เกิดอะไรขึ้นมา
เวลาได้ยศได้สรรเสริญใครมาเยินยอก็อย่าไปยินดี ได้ความสุขก็อย่าไปยินดี อ้าวเวลาเสื่อมลาภอย่ายินร้าย เสื่อมยศอย่ายินร้าย ได้รับนินทาใครบอกอย่ายินร้าย ได้รับความทุกข์ก็อย่ายินร้าย ต้องคิดด้วยปัญญาว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นแก่เรา แต่มันไม่เที่ยง ไม่เท่าใดมันก็หายไป ได้ลาภ ลาภหาย ได้สุข สุขหาย ได้ยศ ยศหาย ได้สรรเสริญมันก็แป๊บเดียวแล้วก็หายไป เวลาเสื่อมลาภหรือ ธรรมดา ก็เพราะลาภมันต้องเสื่อม มันมีคู่กันได้ลาภเสื่อม มียศเสื่อมยศ ได้สรรเสริญได้นินทา ได้ความสุขมากับความทุกข์มันก็ของคู่กัน มันเป็นเรื่องธรรมดาอย่าไปยินร้าย อย่าไปตกใจอย่าไปเสียใจ แต่ให้นึกว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ มีมาแล้วก็มีไป
พระโบราณเทศน์ว่ามีแล้วหาไม่ ได้แล้วหายไป ท่านพูดให้มันคล้องจองกัน ว่ามีแล้วมันก็หาไม่มันคู่กัน มันมีกับไม่มีมันคู่กัน ได้กับไม่ได้มันก็คู่กัน สุขกับทุกข์คู่กัน ถ่วงกับเจริญมันก็คู่กัน คล้ายกับเป็นตัวละครของโลกที่ออกมาแสดงบนเวที ของชีวิตของเรา มันก็แสดงมาในรูปต่างๆ เวลาได้เวลาเสียมันก็เป็นอย่างนั้น แล้วเราศึกษาดูว่าชีวิตเราเคยได้อะไร เคยเสียอะไร เคยสุขอย่างไรเคยทุกข์อย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเราบ้าง พิจารณา ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว เราก็จะมองเห็นว่าอ๋อมันเป็นธรรมดา แล้วคนอื่นล่ะ ลองดูคนอื่น คนที่เคยเป็นใหญ่เป็นโตมีอำนาจวาสนา แล้วต่อมาก็ตกลงไป ตกจากตำแหน่ง ถ้าว่าตกลงไปแล้วไม่มีปัญญาก็ตกเจ็บ ไม่เจ็บกายแต่ว่าเจ็บใจ นั่งเป็นทุกข์ว่านี่ตกเจ็บ เพราะตกไม่มีศิลปะ แปลว่าตกไม่เป็น เหมือนกับนักมวยเขาล้มเป็น ล้มมีท่า มวยไทยมวยฝรั่งมันล้มมีท่า ไม่เป็นไร อันนี้ไอ้สิ่งที่เรามีเราได้เราก็ต้องล้มเป็น คือรู้ว่ามันจะต้องตกสักวันหนึ่ง ไม่มีใครนั่งอยู่บนแท่นตลอดไปมันต้องตกสักวันหนึ่ง ไม่ตกในชีวิตนี้มันก็ตกเมื่อตาย คนเรามันต้องตายก็ต้องเป็นอย่างนั้น คิดไว้ล่วงหน้าว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นแก่เรา ก็คิดไว้บ้าง
ปัจจเวกขณ์ ๕ อย่างนี่ดีมาก ถ้าเราได้ใช้ คิดไว้ว่าเราต้องแก่ เราต้องเจ็บ เราจะต้องตาย เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเราชอบใจ เราทำอย่างใดเราก็ได้อย่างนั้น ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เราหนีไม่พ้น อันนี้ท่านสอนให้พิจารณาบ่อยๆ ให้พิจารณาเมื่อได้ ให้พิจารณาเมื่อเสีย ให้พิจารณาเมื่อสุขเมื่อทุกข์ เมื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้น มันไม่นานหรอก ทุกข์ก็ไม่นานเพราะมันหายได้ สุขก็ไม่นานมันก็หายได้ เราก็ต้องรู้ว่ามันไม่มีอะไรที่เกิดแล้วอยู่คงทนถาวร เกิดดับเกิดดับอยู่ตลอดเวลา อันนี้ในเรื่องในใจของเรานั้น มันเกิดเพราะเราทำให้มันเกิด แล้วเราไม่รู้จักดับมัน มันก็เกิดทุกข์ เหมือนเราจุดไม้ขีดไฟเพื่อเผาบ้านมันก็เผาหมดบ้าน ชีวิตเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น เราต้องรู้จักจุดรู้จักดับ เกิดแล้วต้องให้มันดับ ดับโดยการกระทำของเรา ไม่ใช่ดับโดยธรรมชาติมันช้า ถ้าดับโดยธรรมชาติก็หมายความว่าเราใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา ให้มันดับด้วยปัญญา เมื่อดับด้วยปัญญามันจะไม่เกิดอีก แต่มันดับไปเสื่อมไปตามธรรมชาติ วันหลังมันก็เกิดอีก ทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจต่อไป
อันนี้เป็นหลักธรรมดาที่เราจะต้องคิดนึกตรึกตรองตลอดเวลา อาทิตย์นี้ก็เทศน์กับญาติโยมแล้ววันที่ ๑๕ อาตมาก็ต้องลาโยมไปชั่วคราว เรื่องธรรมดาอีกล่ะ ก็ต้องไปบ้าง ไปตามธรรมดา คือไปทำหน้าที่ ไปที่ประเทศอังกฤษไปสนับสนุนให้กำลังใจ แก่พระที่ปฏิบัติงานอยู่ที่นั่น อาตมาไปนี่เขาสบายใจ ทุกรูปสบายใจ เพราะว่าเพราะเหล่านั้นเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อชา อันนี้หลวงพ่อชานี่ท่านทำอะไรไม่ได้เวลานี้ น่าสงสาร เอ็นดูท่าน แล้วก็เสียดายพระดีๆมาเจ็บมาป่วย แต่ทำประโยชน์แก่พระศาสนาได้มาก แต่ท่านก็ทำศิษย์ไว้ดี เลี้ยงพระฝรั่งไว้เรียบร้อยก็ไปปฏิบัติงาน อาตมาไปก็ท่านเหล่านั้นก็สบายใจ ว่าหลวงพ่อมาเยี่ยม พวกผมสบายใจ และอยากให้อยู่ด้วยกันหลายๆวัน จะได้อุ่นอกอุ่นใจกันในการปฏิบัติหน้าที่ แต่เมืองนอกมันหนาว อันนี้อาตมาไปเขาอุ่นใจ ก็ไปให้เขาอุ่นซะหน่อย แล้วก็ไปไม่เปล่า เอาอะไรไปช่วยเขาบ้าง ก็ไม่ใช่ของอาตมา ของญาติของโยม ที่มีใจรักศาสนามีเลื่อมใสศรัทธา แล้วก็เชื่ออาตมาที่พูดเขาก็เอามาให้ ได้ทำบุญสุนทานกันไปตามหน้าที่ ก็ไปพักอยู่ชั่วระยะหนึ่ง
แล้วก็จะไปประเทศเยอรมันนิดหน่อย เพราะมีคนไทยที่ไปค้าขายทำมาหากินอยู่ที่นั่น บอกว่าหลวงพ่อไปนี่ผมนัดคนได้จำนวนมาก จะมาฟังเทศน์เสียบ้าง มีพระลังกาอยู่แต่ว่าพระลังกาเทศน์ไม่เหมือนพระไทยเทศน์ มันฟังแล้วมันไม่ชุ่มใจ เพราะว่าฟังแล้วมันต้องแปล อันนี้หลวงพ่อไปนี่ไม่ต้องแปลเลย ออกจากปากเข้าหูตรงมันไม่ลำบาก ขอให้ไปสักทีเถอะ ก็ตั้งใจว่าจะไป เสร็จแล้วก็จะไปอเมริกา ก็เป็นความต้องการของคนไทย ที่เป็นพุทธบริษัท เดี๋ยวนี้พระไปอเมริกากันบ่อย ไปกันเยอะแต่ว่าไม่เป็นที่ชื่นใจของคนเหล่านั้น เพราะไม่ได้เอาธรรมะไปให้ เอาเรื่องอื่นไปให้ เขาก็ไม่ค่อยชอบใจเท่าใด ก็บอกว่าหลวงพ่อไปสักทีเถอะ นานๆไปสักที ไปรดให้มันชุ่มใจสักหน่อย เอาน้ำธรรมไปรดให้เขา คนอื่นเขาไปรดน้ำธรรมดา น้ำท่าที่อเมริกาเขาไม่เอามารดให้หรอก เขาก็ว่าอย่างนั้น มันไม่ชื่นใจสำหรับคนบางประเภท แต่คนบางประเภทเขาก็ดีใจ โอ๊ยหลวงพ่อมา ดีใจขอนั่นขอนี่ เสกๆเป่าๆกันไปตามเรื่อง
แต่มีคนพวกหนึ่งเขาเป็นพวกที่มีปัญญา เขาต้องการธรรมะ ไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น ก็ต้องการก็ต้องไปให้เขาหน่อย จะกลับมาก็ราวต้นเดือนกรกฎาคม เพื่อบวชนาคอะไรต่อไป อันนี้ขณะที่อาตมาไม่อยู่นี่ โยมต้องมาช่วยฟังเทศน์ไว้ อย่าให้ใครเขาว่าว่าแหมท่านปัญญาไม่อยู่ล่ะศาลาร่วงโรยไป เหี่ยวแห้งไป ไม่ได้ ต้องมาปกติ มาอยู่ปกติ มาฟังพระองค์อื่นก็เทศน์เป็นเหมือนกัน ถ้าอาตมาอยู่ก็เทศน์ไม่ค่อยดี ถ้าอาตมาไม่อยู่เทศน์ดีทุกที หรือว่าเกรงใจพูดไม่ค่อยออก อาตมานั่งฟังแล้วไม่ได้ ต้องแอบไปอยู่ข้างหลังอย่าให้เห็นหน้า เทศน์ค่อยยังชั่วหน่อย อันนี้เราก็มาช่วยฟังเทศน์ มาช่วยทำบุญตักบาตร
นี่วันนี้ต้องบวช (60.15 เสียงไม่ชัดเจน) นั่งเป็นแถว ๒๘ คน ความจริง ๓๒ มาสมัครแล้วหายไปยังไม่มา วันนี้บวช ๒๘ บวชอยู่เดือนหนึ่งบ้าง สองเดือนบ้าง ก็มีพระอบรมบ่มนิสัยท่านเหล่านี้แทนอาตมา ความจริงพวกบวชใหม่ หน้าร้อนอาตมาก็ไม่ค่อยได้พูดเท่าใด เพราะว่าไม่ค่อยว่าง แต่ว่ามีพระที่ทำงานประจำ (มหาเถียร) สอนกัมมัฏฐานทุกวัน มหาบุญสร้าง มหาท่านเฉลิม สอนแนวคิดธรรมะให้เข้ากับความรู้ความเข้าใจ พระช่วยกันทำงาน โรงเรียนวันอาทิตย์ก็จะเปิดแล้ว ญาติโยมก็ต้องพาลูกพาหลานมาฝากโรงเรียน พระจะได้อบรมบ่มนิสัยเด็กให้เจริญก้าวหน้าในทางที่ดีงาม เป็นการสร้างคนดีไว้ในชาติในบ้านเมืองต่อไป
ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยม นั่งสงบใจ เป็นเวลา ๕ นาที นั่งสงบใจตั้งตัวตรง หลับตา แล้วค่อยกำหนดลมหายใจเข้า เวลาหายใจเข้ากำหนดรู้ หายใจออกกำหนดรู้ ระวังไม่ให้จิตไปคิดเรื่องอื่น ให้คิดอยู่ที่ลมเข้าลมออกเป็นเวลา ๕ นาที