แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
เอ้า ! วันนี้วันอาทิตย์ตรงกับวันที่ ๕ พฤษภาคม เป็นวันพิเศษของชาติวันหนึ่ง ท่านทั้งหลายที่ดูโทรทัศน์ก็คงจะเห็นภาพท่านนายกรัฐมนตรีและประชาชนจำนวนมากไปประชุมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันขึ้นเสวยราชสมบัติ เมื่อวัน (01.06 คำเต็มว่า “วันที่”) ที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ มาถึงบัดนี้ก็เป็นเวลา ๓๕ ปี สามสิบห้าปีแห่งการเสวยราชย์ได้ทรงปฏิบัติธุรกิจอันเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไปอย่างมากมายไม่สามารถจะบรรยายให้หมดได้ เราทั้งหลายที่เป็นพสกนิกรอยู่ใต้พระบารมีของพระองค์ รู้สึกมีความปลื้มอกปลื้มใจในวันสำคัญนี้ด้วย จึงได้ทำการสักการบูชากันทั่วทั้งประเทศ นับว่าเป็นการแสดงน้ำใจกตัญญูกตเวทีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แต่ว่าการกระทำเพียงเท่านั้นยังไม่พอ เพราะว่าการกระทำดังที่ทำนั้นเป็นการกระทำเป็นอามิสบูชายังไม่ใช่ปฏิบัติบูชา อามิสบูชานี่พระพุทธเจ้ายังไม่สรรเสริญ แต่สรรเสริญปฏิบัติบูชา ดังคำที่พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า “ดูก่อน อานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาใด ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติตามธรรมะอยู่ ผู้นั้นแหละได้ชื่อว่า สักการะเคารพนับถือ บูชาตถาคตด้วยการบูชาอันสูงสุด” อันนี้เป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อให้ใครๆ ได้คิดว่าการปฏิบัติบูชาเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในแง่ศาสนาการปฏิบัติบูชา เป็นการสืบศาสนาอย่างแท้จริง ถ้าเราเพียงแต่บูชาด้วยอามิส ดอกไม้ธูปเทียน สืบไว้แต่เพียงพิธีการ แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรม ก็สืบไว้ในรูปธรรมะอย่างแท้จริง
ในเรื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เช่นเดียวกัน เราจะบูชาสักการะด้วยดอกไม้สวยงามที่เราทำกันนั้นเป็นแต่เพียงอามิสบูชา เราจะต้องปฏิบัติบูชาต่อพระองค์ การปฏิบัติบูชาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นจะทำอย่างไร คือเราจะต้องเดินตามรอยพระบาทของพระองค์ พระองค์เดินไปในทางที่ถูกที่ชอบเดินไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มหาชน เดินไปเพื่อกระทำทุกอย่างที่ประชาชนต้องการ ไปภาคเหนือ ไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลงมาภาคกลาง ไปภาคใต้ ไปพักตรงไหนก็เรียกว่าเป็นศูนย์ปฏิบัติงาน แล้วเสด็จออกทุกวัน กลับที่พักประมาณ ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่มเป็นประจำ พระองค์ตรากตรำพระวรกาย ขับรถเองบางครั้งไปเพื่ออะไร ไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใดภาษาใดที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทยนี้ก็ได้พระเมตตาทั่วกัน อันนี้คืองานที่พระองค์ทรงกระทำอยู่ เราทั้งหลายก็ต้องปฏิบัติตามพระองค์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการต้องปฏิบัติงานในหน้าที่ตามแบบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือให้เอาใจใส่ในหน้าที่อย่างแท้จริง อย่าทำสักแต่ว่าพอผ่านพ้นไป แต่ทำด้วยใจรักจริงๆ ด้วยความขยันจริงๆ ด้วยความเอาใจใส่จริงๆ ด้วยความใช้สติปัญญาความรู้ ความสามารถอย่างจริงจัง มีความจริงใจ จริงจังต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ เมื่อเรานึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ต้องทำอย่างที่พระองค์กระทำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกระทำงานไม่หวังอะไรตอบแทน ไม่เคยทรงบ่นว่าเงินเดือนน้อยไป เงินถวายประจำปีน้อยไป ให้เท่าใดทรงพอพระทัยเท่านั้น แล้วก็ใช้เกินที่เขาให้ในโครงการต่างๆ เราที่เป็นข้าราชการปฏิบัติการในพระนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ควรจะบ่นว่าเงินเดือนไม่พอใช้ อันนั้นไม่พอ อันนี้ไม่พอ เพราะเราเข้ามาทำงานราชการมาทำเพื่อให้ ไม่ได้จะทำเพื่อจะเอา อะไรที่เกิดขึ้นบ้างถือเป็นผลพลอยได้จากการเสียสละของเรา แล้วก็ควรพอใจในผลที่ได้นั้น ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง มีการประหยัดอดออม ใช้เท่าที่จำเป็น เงินเดือนที่ได้รับถ้าใช้เท่าที่จำเป็นนี่พอใช้ แต่ใช้เกินความจำเป็นในเรื่องต่างๆ เช่นไปซื้อบุหรี่มาเผาเล่นนี่ไม่จำเป็น ซื้อเหล้ามาดื่มกันเล่นนี่ไม่จำเป็น วันเสาร์วันอาทิตย์ไปให้ม้าเตะนี่มันไม่จำเป็น กลางคืนเที่ยวไปตามบาร์ตามไนท์คลับไม่ใช่เรื่องจำเป็น ซื้อผ้าซื้อผ่อนเกินความต้องการของร่างกายมันก็เกินความจำเป็น กินอาหารที่แพงๆ ก็เกินความจำเป็น มันมีส่วนเกินมาก เงินมันก็ไม่พอใช้ แต่ถ้าเราตัดส่วนเกินออกไปเอาเท่าที่จำเป็นจริงๆ ลองกินเท่าที่จำเป็น ดื่มเท่าที่จำเป็น นุ่งห่มเท่าที่จำเป็นมันก็ไม่มากมายอะไร เงินก็จะเหลือไว้สำหรับใช้จ่ายในเรื่องที่จำเป็นที่เกิดขึ้น จะไม่มีปัญหา เงินลดราคาเราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะเราพอกินพอใช้ เราไม่เดือดร้อนอะไร
เคยถามคนบางคนว่าที่เงินเดือนไม่พอใช้ เคยถามตัวเองไหมว่าเราใช้อะไรบ้าง เอากระดาษมาสักแผ่นหนึ่ง แล้วมานั่งเขียนรายจ่ายดูสิว่ามันมีอะไรบ้าง แล้วก็นั่งพิจารณาว่าไอ้ที่ไม่จำเป็นน่ะมันมีอะไรบ้าง แล้วก็แข็งใจตัดสิ่งนั้นออกไปเสีย มันก็พอจะมีกินมีใช้ไม่ลำบากเดือดร้อนอะไร
อันนี้เป็นตัวอย่าง เด็กหนุ่มๆ เข้ามาบวชในวัดชั่วระยะเดือนหนึ่งบ้าง สองเดือนบ้าง สิบห้าวันบ้าง เวลาจะลาสิกขากลับไปก็บอกว่าเธอลองคิดดู มาอยู่วัดนี่ฉันอาหารเพียง ๒ มื้อ ก็อยู่ได้ไม่ใช่หรือ ไม่หิว ไม่กระหายอะไร ออกไปอยู่บ้านถ้าหากว่ารับประทาน (08.34 คำเต็มว่า “รับประทาน”) น้อยๆ มันก็พออยู่ได้ เมื่อบวชอยู่วัดไม่ได้ไปเที่ยวก็อยู่ได้ บวชอยู่วัดไม่สูบบุหรี่ก็ยังไม่ตาย ออกไปแล้วจะสูบทำไม แต่ว่าบางคนก็แอบสูบในขณะที่บวชอยู่ แล้วเมื่อออกไปมันก็ต้องสูบต่อไป เพราะเมื่อบวชยังแพ้ ออกไปอยู่บ้านก็ยิ่งแพ้กันใหญ่ อันนี้เป็นเรื่องให้เห็นว่าถ้าเราไม่ทำมันก็ยังอยู่ได้ ไม่เที่ยวไม่เตร่ก็อยู่ได้ เมื่ออยู่ได้แล้วจะไปทำตัวให้ลำบากทำไม ให้เดือดร้อนทำไม ถ้าเราทำอย่างนี้ก็เรียกว่าสนองพระคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในทางที่ถูกที่ชอบ เป็นการช่วยกันสร้างสันติให้เกิดขึ้นในชาติในบ้านเมือง อันนี้เป็นข้อคิดประการหนึ่ง
เมื่อตะกี้ก็พูดทางโทรทัศน์ให้ญาติโยมฟังไปแล้ว แต่วันนี้โทรทัศน์มันถูกตัดไปหลายนาทีเพราะเขาถ่ายทอดกว่าจะจบก็สิ้นไปหลายนาที เลยพูดพอสมควร แล้วก็ในขณะนี้ ท่านจะได้ยินที่เขาพูดอยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เรื่องแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง เวลานี้เขาจัดการประชุมอยู่ที่วัดนี้จัดประชุมแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองในแง่การปฏิบัติ มีคนมาประชุมกันสองร้อย มาจากจังหวัดต่างๆ ทุกจังหวัดๆ ละ ๒ คน แล้วมาจากกทม. บ้าง มาจากที่เขาเชิญมาร่วมบ้าง รวมทั้งหมดก็สองร้อยกว่า มาอัดแน่นเต็มไปทั้งทุกกุฏิในบริเวณวัดนี้ ซ้อนกันบ้างอยู่กัน วันที่ ๖ ก็จบเรื่อง
แล้วก็วันที่ ๖ นี่จะมาอีกชุดหนึ่งสามร้อย เรียกว่า ทศพช (10.35 ไม่ยืนยันตัวสะกด) เข้ามาอบรมกันที่นี่ ๕ วัน ๕ คืน เพื่อจะสร้างจิตใจให้มันดีขึ้น เท่าที่สามารถจะกระทำได้ อาตมาก็สบายใจในการที่เขามาใช้วัดเรา มาใช้สถานที่ที่โยมบริจาคทรัพย์สร้างไว้ สร้างแล้วมีคนใช้มันก็เกิดประโยชน์ สร้างแล้วไม่มีคนใช้มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เราจะสร้างอะไรก็ต้องคิดว่าสร้างแล้วใช้หรือเปล่า ถ้าสร้างแล้วไม่ใช้มันจะสร้างไปทำไม สร้างที่จำเป็นจะต้องใช้ เช่นสร้างโรงเรียนนี้ก็ใช้คุ้มแล้ว สร้างม้านั่งให้คนนั่งก็นั่งกันคุ้มแล้ว สร้างอะไรทุกอย่างนี่วัดนี้ใช้คุ้ม สร้างโรงเรียนก็ใช้คุ้มแล้ว เพราะว่าเด็กมาเรียนอยู่ ปีกลายนี้ ๔ ห้อง แต่ปีนี้เพิ่มอีก ๘ ห้อง ก็เรียกว่ายิ่งคุ้มหนักเข้าไป อาจารย์ใหญ่บอกว่าที่รัฐบาลสร้างยังไม่เสร็จต้องอาศัยหลวงพ่อต่อไป บอกว่าใช้ไปเถอะไม่ต้องเป็นทุกข์อะไรหรอก ใช้ตามสบาย แต่รักษาให้สะอาดเรียบร้อยก็แล้วกัน ไม่ต้องกังวลเรื่องไฟ เรื่องน้ำ ทางวัดยินดีจะจ่ายให้เอง แต่ว่าเลี้ยงเด็กให้ดี มีความประพฤติดี ประพฤติชอบ ให้อยู่ในศีลในธรรม เพื่อจะเป็นตัวอย่างแก่คนที่ไม่ได้เรียนในโรงเรียนในวัดต่อไป ก็กำชับกำชากันอย่างนั้น เพื่อให้ช่วยกันสร้างคนให้เป็นคนดี
ฉะนั้นเรื่องแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองนี้ ก็อยากจะพูดทำความเข้าใจให้ญาติโยมได้รับทราบสักเล็กน้อย คือเมื่อก่อนนี้ก็มีนายอำเภออยู่คนหนึ่งชื่อนายประชา ลาคนัน (12.36 ไม่ยืนยันตัวสะกด) นายอำเภอคนนี้เป็นนายอำเภอที่อยู่ในศีลในธรรม ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ถ้าวันพระก็ถือศีลอุโบสถ ไปอยู่ที่ไหนก็เอาชนะน้ำใจประชาชนด้วยธรรมะทั้งนั้น ไม่ได้ทำเรื่องอื่น เอาธรรมะเข้าว่า จูงคนเข้าหาธรรมะ เคยผจญกับพวกสีชมพูที่อำเภอเขมรัฐ จังหวัดอุบลราชธานี ก็ชนะด้วยธรรม ไม่เอาวิธีอื่น ไปไหนไม่พกปืน ไปแต่มือสิบนิ้ว มาอยู่ที่อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี (13.20 คำเต็มว่า “สิงห์บุรี”) ก็มีชื่อในการทำนาน้ำตม ฝรั่งต้องมาดู ใครๆ ก็ต้องมาดูของแก แล้วต่อมาก็ย้ายไปอำเภอเมือง จังหวัดเลย ก็ไปทำคนในอำเภอเมืองนั้นให้เป็นบ้านมีศีลมีธรรมเรียกว่าบ้านแผ่นดินทอง ไปดูแล้วรู้สึกว่าดีขึ้นทั้งนั้น บ้านช่องสะอาด รั้วมีระเบียบ ปลูกของกินได้ แล้วก็สามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันจัดสรรในเรื่องอะไรต่างๆ เป็นบ้านที่ปลอดจากอบายมุข ไม่มีความชั่วร้าย นายอำเภอนี้แกไม่ค่อยนอนที่บ้าน กลางคืนก็ไปร้องรำทำเพลงอยู่กับประชาชนชาวบ้าน ดึงคนมาทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหนุ่มทั้งสาวเด็กน้อยมาร้องเพลงปลุกใจ มาพูดจูงใจให้คนเข้าหาธรรมะกัน ทำมาเรื่อยๆตลอดเวลา ทำมาไม่หยุด
เจ้าเมืองผู้ครองก็ไม่ค่อยจะพอใจเท่าใด แต่ว่าไม่พูดไม่จาเรียบร้อย แต่ว่าตอนหลังนี้ชักจะมีการกัดกันเพราะคนที่มาใหม่ไม่ค่อยชอบใจนายอำเภอที่ล้ำเส้นไปหน่อย ทำดีก็คนไม่ค่อยชอบ ทำดีคนไม่ชอบก็คือคนที่ไม่ชอบความดี ใครก็เห็นเขาทำดีแล้วไม่ชอบก็แสดงว่าคนนั้นไม่ใช่คนมีความดี ไม่รักความดี ไม่มีธรรมในใจจึงแสดงอารมณ์เสียออกมาให้ปรากฏ อย่างนี้มันก็ลำบาก แต่ว่าได้ปลอบโยนว่า ทำต่อไป อย่าตกใจ อย่ากลัว เพราะเราทำดีเด่นมาแล้ว
เมื่อวานนี้ก็ได้ไปรับรางวัลหลายเรื่องจากนายกรัฐมนตรีในความดีความเด่น อันนี้ใครๆ ไปก็เห็นว่า โอ้! นายอำเภอนี้ทำงานพัฒนาก้าวหน้า เรียกว่าแผ่นดินทองอันนี้คนกรุงเทพเขาไปกันผู้หลักผู้ใหญ่เลยบอกว่าแผ่นดินทองอย่างเดียวไม่พอต้องแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง เลยกลายเป็นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองขึ้นมาอีกคำหนึ่ง แล้วก็เลยตื่นเต้นกันใหญ่ ในกรุงเทพก็ตื่นเต้นกัน ไปเห็นงานของนายอำเภอนี้แล้วก็ตื่นเต้นกัน อยากจะแสดงกันอีกหลายรายการเลยก็ส่งเสริมกันเป็นการใหญ่ นี่เอาคนมาจากทุกจังหวัดมาอบรม เพื่อให้เข้าใจผลการงานที่จะปฏิรูปตัวเอง ปฏิรูปสังคม บ้านช่องการเป็นการอยู่ให้ดีขึ้น เป็นงานที่ทำกัน แต่ว่าจะไปได้กี่น้ำก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะคนไทยเรานั้นมักทำอะไร ขึงขังในตอนแรกๆ แต่พอทำไปๆ ค่อยผ่อนลงๆ แล้วก็เงียบหายไป ตอนนี้กำลังคึกคักแข็งแรงกันอยู่ แต่ว่าดูต่อไปว่ามันจะแข็งไปถึงขนาดไหน อาตมาเห็นมาหลายรายการแล้ว มันดีตอนต้นแต่ว่าไปๆ มันก็อ่อนลงไป แล้วก็ไม่ค่อยจะได้เรื่อง
มันเป็นอย่างนั้น ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เพราะผู้ปฏิบัติงานยังต้องการอะไรอยู่ ทำงานเพื่อสิ่งที่ตนต้องการ และเมื่อทำไปๆ ก็ไม่ได้ ขี้เกียจขึ้นมาแล้วทีนี้ โดยบอกกับตนเองว่าทำไปทำไมไม่เห็นได้อะไร จิตใจดวงนี้ล่ะที่ทำให้งานไม่ก้าวหน้า เพราะไปคิดว่าตัวจะได้อะไร จะมีอะไร ในการทำงานนั้นเราจะต้องทำโดยไม่ต้องการอะไร ทำงานเพื่องานอย่างแท้จริง ไม่หวังอะไรตอบแทน แต่ว่ามันก็เอง เรื่องธรรมดา เหมือนเราจับถ่านไฟไม่ต้องการร้อนมันก็ร้อน จับน้ำแข็งไม่ต้องการเย็นมันก็เย็น ไปจับของเปื้อนไม่ต้องการเปื้อนมันก็เปื้อน จิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อเราทำอะไรมันก็ได้อยู่ในใจของเรา ได้อะไรก็พอใจเท่านั้นมันก็สบายใจ ต้องเพาะอุดมการณ์นี้ลงในจิตใจด้วย คือเพาะให้เกิดความคิดว่าทำงานเพื่องาน ไม่ใช่ทำงานเพื่ออะไร ทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่อส่วนรวม ทำงานเพื่อให้ ทำงานโดยไม่คิดเอาอะไร งานมันก็แข็ง ถ้าคิดอย่างนี้
เมื่อวันที่คณะมาถึง เอามาตอนเย็นวันนั้น วันที่ ๔ เขามาถึงตอนเย็น รถพามาถึงก็วิ่งเข้าไปข้างใน อาตมาบอกรถนี้มันวิ่งเตลิดไปเสียแล้ว ควรจะหยุดหน้าตรงโน้นให้คนเดินมา รถมันก็เจตนาดีจะให้ไปถึงที่เลย เลยก็รถมันใหญ่ชนกิ่งไม้หักไปหลายกิ่ง อาตมาบอกว่านี่พวกเราที่เป็นเจ้าหน้าที่ต้อนรับ ทำหน้าที่ไม่เรียบร้อย เมื่อรถมาไม่ไปต้อนรับแล้วให้หยุดอยู่ตรงนั้น แล้วให้คนเดินเข้ามา อันนี้เข้าไปข้างในต้องเรียกให้เดินออกมา มาประชุม (18.44 คำเต็มว่า “ประชุม”) ที่ลานไผ่
เมื่อประชุมลานไผ่ก็เลย อาตมาบอกว่า เดี๋ยวก่อน เจ้าอาวาสต้องต้อนรับก่อน ก็เลยพูดต้อนรับ พูดต้อนรับก็ชำเลืองไปเห็นคนที่นั่งข้างหน้ามีบุหรี่ใส่อยู่ในกระเป๋า มันก็เกิดอารมณ์ที่จะชวนให้เลิกสูบบุหรี่ เลยก็ถามว่าที่มาทั้งหมดนี่ใครไม่สูบบุหรี่บ้าง ก็ยกมือขึ้นมากเหมือนกัน บอกว่า เออ ดีใจที่มีแนวร่วมท่านปัญญาอยู่หลายคน แต่ว่าคนที่ไม่ยกมือนี่หมายความว่าเป็นคนสูบบุหรี่ ใครคิดจะเลิกบ้าง ยกมือขึ้นสิ เอ้า! ก็ยกขึ้นมากเหมือนกัน คนที่ไม่คิดจะเลิกก็ไม่ถามล่ะ ถามแล้วจะเสียดายกัน เลยก็บอกว่า เอ้า! เอาอย่างนี้ก็แล้วกันใครมีบุหรี่อยู่ในกระเป๋าล้วงออกมาให้หมด ล้วงออกมาแล้วก็ไปเก็บรวมกันได้ใส่ถาดใหญ่เลย เอาไปวางไว้ที่กุฏิ ไอ้เจ้าแอร์เด็กน้อยมันขึ้นไปถึง บอกว่า แหม! แอร์นึกว่าช็อกโกแลต ว่าอย่างนั้นน่ะ พุ่งเข้าไปจะเอาเลย กลายไปถึงเป็นบุหรี่ทั้งหมด หลวงปู่ไปเอามาจากไหน อ่ะ เอามาจากคนที่เขาชอบติดบุหรี่น่ะ เมื่อเอามาหมดแล้วก็เลยบอกว่า ระเบียบของวัดชลประทานนี้ เมื่อใครมาอยู่ในวัดนี้ไม่มีการสูบบุหรี่ เพราะฉะนั้นทุกคนที่มาพักในวัดนี้ไม่ควรสูบบุหรี่ เมื่อมีบุหรี่ในกระเป๋าก็จึงเรียกออกมา ฉันจะเก็บไว้ไม่ให้ท่านทั้งหลายล่ะ จะเก็บไว้แล้วก็เอามาให้ดูในวันสุดท้ายว่าเป็นอย่างไร ก็ปรากฏว่าทุกคนที่เอาบุหรี่ติดกระเป๋ามาแล้วก็เรียกคืนนั้น ไปเช็คดูตอนเช้า ว่าเป็นอย่างไร เมื่อคืนนี้นอนกระสับกระส่ายเพราะไม่ได้สูบบุหรี่หรือเปล่า เขาบอกว่าไม่ ไม่มีอะไรหลวงพ่อ เพราะตั้งใจว่าจะเลิกแล้ว แล้วก็จิตใจก็สบายดี ก็เป็นอันว่าใช้ได้ แต่ยังไม่แน่ เพราะว่ายังอยู่ที่นี่ ยังจะต้องดูต่อไป ว่าจะเลิกได้ถึงขนาดไหน จนถึงวันสุดท้ายคือวันที่ ๖ พรุ่งนี้จะลากลับกันไป แล้วก็จะดูว่าจะเลิกได้สักเท่าไหร่ จะได้พูดกันต่อไป
เรื่องแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองนี่เป็นนโยบายของรัฐบาลขึ้นมาแล้วเวลานี้ คือต้องการจะทำประเทศไทยให้เป็นประเทศที่มีธรรมะ แผ่นดินทองนั้นไม่ต้องทำ มันเป็นอยู่แล้ว แต่ว่าให้รู้จักขุดทองขึ้นมาใช้ ให้รู้จักพลิกแผ่นดินให้เป็นทอง พลิกแผ่นดินให้เป็นเงิน ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ในแผ่นดินนี้ให้เป็นประโยชน์ เพราะเวลานี้เรายังไม่รู้จักใช้แผ่นดินให้เป็นประโยชน์ มีอยู่ไม่ใช่น้อยที่ดินว่างๆ ข้างเรือน ปล่อยให้หญ้าขึ้นเต็มไปหมด ไม่รู้จักพลิกแผ่นดิน ปลูกพืชปลูกผักแล้วจะได้รับประทานเอง (22.02 คำเต็มว่า “รับประทาน”) ดีกว่ารับประทาน (22.05 คำเต็มว่า “รับประทาน”) ข้าวกับเกลือ แล้วเหลือก็ได้เอาไปขาย ได้สตางค์มาใช้ แต่ก็ไม่มีเห็นใครทำ เคยนั่งรถผ่านบางแห่ง มีอยู่แห่งหนึ่งที่สงขลา คืออำเภอรัตภูมิ ผ่านที่ไรมันก็อยู่อย่างนั้น ผ่านมากี่สิบปีแล้วมันก็อยู่อย่างนั้นไม่พัฒนาเลย ไม่เจริญขึ้นเลย แสดงว่านายอำเภอที่ไปอยู่ที่นั่น ไม่เอาไหนทุกคน ไม่ชักจูงคนให้ทำอะไรในด้านพัฒนา จึงไม่มีใครปลูกพืชปลูกผัก น้ำมันก็มี บ้านอยู่ริมคลอง น้ำก็ไหลอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่เอาน้ำนั้นขึ้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แล้วก็ที่เป็นเหมือง เปิดน้ำลงนาเมื่อไรก็ได้ก็ไม่เห็นปลูกอะไร นอกจากถึงฤดูทำนาก็ทำนา แต่เดี๋ยวนี้ทำนาสองครั้งขึ้นมาบ้าง ค่อยดีหน่อย เมื่อก่อนทำนาครั้งเดียว พอเสร็จนาแล้วทำอะไร เลี้ยงวัวชน เลี้ยงไก่ชน แล้วอุ้มไก่ไปตีกันบ้านโน้น เอาจูงวัวไปชนกันที่บ้านโน้น พอตีไก่แพ้ชนวัวแพ้ก็ไปลักไปปล้นกันต่อไป มันก็อยู่กันในสภาพอย่างนั้น มันจะเป็นแผ่นดินธรรมขึ้นไม่ได้ แผ่นดินทองก็ไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จักคุณค่าของแผ่นดิน ไม่รู้จักขุดทรัพย์ในดินสินในน้ำขึ้นมาใช้
อันนี้เกิดเพราะอะไร เพราะคนที่นั่นไม่เคยไปไหนไม่เคยเห็นอะไร คนเราถ้าเกิดที่ใดอยู่ที่นั่น ไม่มีความคิดก้าวหน้า แต่ถ้าได้ไปเสียบ้าง ได้เห็น ได้พบอะไรต่างๆ มันก็เกิดความคิดก้าวหน้าขึ้น รัฐบาลควรจะมีนโยบายเอาคนในหมู่บ้านนั้นๆ มาเที่ยวเสียบ้าง ให้มาดูบ้านอื่นเมืองอื่นในประเทศไทย ให้มาดูว่าเขาทำอะไร เขาปลูกอะไรกัน เขาหากินกันอย่างไร มาแล้วได้เห็นมันได้เกิดความคิด คนเรายิ่งเที่ยวมากมันก็ได้เห็นมากแล้วก็เกิดปัญญา
เหมือนในหลวงรัชกาลที่ ๕ ถ้าไม่เสด็จไปประพาสต่างประเทศก็คงจะไม่มีความคิดปฏิรูปการศึกษาให้ทันสมัย แต่การเสด็จไปต่างประเทศครั้งแรกนี่ กลับมาก็ทรงพิจารณาเห็นว่าไม่ได้แล้ว ประชาชนพลเมือง ไม่มีความรู้ อ่านหนังสือไม่ออก ขาดการศึกษา บ้านเมืองจะวัฒนาถาวรได้อย่างไร ก็ทรงเร่งการศึกษาเป็นอันใหญ่ ขอให้พระช่วย พระก็ไม่ใช่ใครที่ไหน น้องชาย คือพระมหาสมณเจ้าแหละ เป็นสังฆราชไปในตัว ก็บอกว่าพระต้องช่วย ถ้าพระไม่ช่วยมันจะไปไม่ไหว เอ้า! สมเด็จท่านก็เปิดโรงเรียนอบรมพระ เพื่อให้ไปเป็นครู แล้วก็ส่งไปต่างจังหวัด ให้ไปปฏิบัติงานทางใต้ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พระก็ไปสร้างโรงเรียน เปิดโรงเรียนสอนเด็ก คนที่มีความรู้ความฉลาดที่มีอายุ ๖๐-๗๐ นั้นออกมาจากโรงเรียนประเภทนั้น ซึ่งเริ่มตั้งขึ้นในจังหวัดต่างๆ หลายที่หลายแห่ง อันนี้คือพระดำริในการเกี่ยวกับการศึกษา และเมื่อไปเห็นถนนหนทางเขาใหญ่โตกว้างขวาง กลับมาก็ตัดถนนยาวเช่นเจริญกรุง ตัดถนนกว้างเช่นราชดำเนิน และถนนอื่นๆ จนชาวบ้านชาวเมือง โอ้ย! ทำใหญ่โตอย่างนี้จะเอาช้างม้าที่ไหนมาเดินกัน เพราะมันกว้างไป เจริญกรุง เขาว่ากว้างสมัยก่อนน่ะ เดี๋ยวนี้เจริญกรุงมันแคบนิดเดียว ชาวบ้านบ่นว่าจะเอาช้างม้าที่ไหนมาเดิน มันใหญ่โตอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ ถนนมันแคบ คนเดินรถจะเหยียบเอาแล้วเวลานี้ มันแคบไปแล้ว นี่เป็นพระราชดำริเพราะไปเห็นมา ไปต่างประเทศแล้วได้เห็นว่าเขาทำอะไร แล้วเอามาใช้เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นคนเราไปเที่ยวมันก็ดีเหมือนกัน แต่ว่าอย่าไปเที่ยวหลับหูหลับตาเที่ยว เที่ยวมันต้องเที่ยวแบบคนลืมหูลืมตาไปดูว่าเขาเป็นอย่างไร อะไรจะเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองของเราได้บ้าง กลับมาแล้วก็ต้องเอามาใช้
ทางราชการจึงส่งข้าราชการไปดูงานทุกปี โดยเฉพาะข้าราชการผู้ใหญ่เรียนจบวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรก็ โอ้! ลงทุนพาไปเที่ยว ไปเที่ยวยุโรปโน่น ไปไหนต่อไหนแล้วก็กลับมา แต่ว่าสังเกตดูแล้วกลับมาแล้วก็ไม่ค่อยจะได้พัฒนาเท่าใด แปลว่าได้เห็นแล้วแต่ว่าไม่ได้เอามา แล้วก็ไม่ได้ใช้ อย่างนี้มันก็ไม่ได้ประโยชน์ เราเห็นแล้วต้องเอาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นคุณเป็นค่าแก่บ้านเมืองของเราต่อไป
อาตมานี่ก็ได้ไปเมืองนอกบ่อยๆ เหมือนกัน ไปแล้วก็ได้รู้ได้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร เอามาเล่าให้ญาติโยมฟัง ไปไหนก็เล่าให้ชาวบ้านฟัง แล้วก็เตือนว่าเรามันต้องลุกขึ้น เราต้องวิ่ง เราลุกขึ้นแล้วนั่งอมน้ำลายอยู่มันไม่ได้ เดินช้าๆ ก็ไม่ได้ ประเทศไทยอย่าเดินเล่น ต้องเดินจริงๆ ถ้าให้ดีมันต้องวิ่งกันแล้วจึงจะสู้กับชาติอื่นได้ เพราะประเทศทุกประเทศเขาเจริญก้าวหน้า เขาอยู่กันอย่างนั้นอย่างนี้ เอามาเล่าให้ฟัง ไปเทศน์ตามบ้านนอกก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ ไม่ได้เทศน์บนธรรมาสน์ แต่ว่านั่งคุยให้เขาฟังว่าไปต่างประเทศเขาทำอย่างไร พระไปอยู่นั่นเขาทำอะไร เป็นประโยชน์อย่างไร เล่าให้เขาฟังแล้วก็ขอความช่วยเหลือเขาด้วย เขาก็ให้ความช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ เพราะเขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างนี้เป็นผลของการไปเที่ยว ไปเห็นมา
คนสมัยก่อน เช่นเมืองเชียงใหม่นี่ไม่มีทางออกมากรุงเทพเพราะไม่มีรถไฟ ล่องแม่ปิงเดือนหนึ่งถึงจะมาถึงกรุงเทพ ขาขึ้นนี่สามเดือนกว่าจะไปถึงเชียงใหม่ ถ่อเรือไปนอนไปตามหาดนั้นหาดนี้เรื่อยไป กว่าจะมาถึงไปมาได้ก็ลำบาก คนเชียงใหม่สมัยก่อนนี้ทำนาพอได้มีข้าวกินเท่านั้นเอง ทำปีเดียวกิน ๓ ปี แล้วค่อยทำกันใหม่ต่อไป เพราะไม่รู้จะเอาไปขายที่ไหนมันขายไม่ได้ ต่อมามีรถไฟเจาะอุโมงค์ไป ขุนตาลไปถึงเชียงใหม่ ก็สินค้ามันก็ดีขึ้น ชาวเชียงใหม่ก็ทำงานใหญ่ปลูกพืชปลูกผักไปขายได้เกิดความเจริญก้าวหน้าดีขึ้น
เพชรบูรณ์สมัยก่อนนี้ หิ้วมะพร้าวจากเพชรบูรณ์เพื่อเอาไปขายที่บางมูลนากหิ้วจนมะพร้าวออกหน่อจึงได้ไปถึงตลาดได้ เขาว่ากันอย่างนั้น มันก็จริงนะ ออกหน่อจริงๆ นะ มะพร้าวที่ห้าวแล้วมันก็ออกอยู่ทุกวินาที อันนี้หิ้วไปๆ หน่อมันออก ออกมาถึงขนาดมันงอกหน่อแล้ว นี้มันเรียกว่าหมายความว่ามันไกล ต้องปีนภูเขา เดินทางแสนจะลำบาก เอ้า! จอมพลป. เป็นนายกรัฐมนตรี เจาะภูเขากิ่งอำเภอชนแดนเจาะภูเขาเข้าไปถึงสามแยกวังชมภูเข้าเมือง เมืองเพชรบูรณ์กลายเป็นเมืองเปิดแล้วทีนี้ คนก็ไปกันใหญ่ แต่ยังไม่มาก แต่พอเจาะอีกสายหนึ่งจากลำนารายณ์ ชัยบาดาล ลำนารายณ์ ไปเข้าทางศรีเทพ ไปวิเชียรบุรี เข้าไปโน่นได้ โอ้! คนก็ไปกันใหญ่ ยิงกันตายปีหนึ่งไม่รู้ตั้งกี่คน ไปแย่งดินกันไม่ใช่เรื่องอะไร นี้ก็ทำให้ดีขึ้น สมัยก่อนใครถูกย้ายไปเพชรบูรณ์นี่ต้องเอาผ้าขาวกับหม้อดินไปด้วย ไปใส่กระดูกหิ้วกลับบ้าน มันตายกับโรคมาลาเรีย ไม่ใช่เรื่องอะไร เดี๋ยวนี้ไม่เป็นไรแล้ว นั่งรถสบาย อาตมาอยู่วัดชลประทานไปเทศน์เพชรบูรณ์ยังได้เลย นั่งรถไปฉันเพลแล้วเทศน์ เทศน์เสร็จแล้วกลับมานอนวัดชลประทานได้ สมัยก่อนอย่าหวังเลยว่าจะไปได้อย่างนั้น ว่าไปจะวันหนึ่งไม่ได้เทศน์ไปนอนคืนหนึ่งแล้วรุ่งขึ้นเทศน์ แล้วจึงจะเดินทางกลับได้ ความสะดวกเกิดขึ้นเพราะได้ไปเห็นไปดูมาว่าเขาทำอะไรอย่างไร เลยเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น อย่างนี้เป็นตัวอย่าง เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในที่ไม่พัฒนา ก็ต้องพาเขามาดูเสียบ้าง ให้เกิดความคิดความอ่านแล้วกลับไปก็ต้องจับมือให้ทำ
คนไทยนี่ต้องจับมือให้ทำ ถ้าเพียงแต่บอกให้ทำ ยังไม่ทำ ต้องจับมือ เหมือนเราสอนหนังสือเด็กให้เรียน กอ ขอ ก.จับมือวงไปวงมาชักขึ้นชักลง ตัวก.ตัวเดียว ไม่มีเหลี่ยมเป็นวงกลมๆ ก็ได้ให้มันชินแล้วมันก็เขียนได้ อาตมาเมื่อเด็กก็เรียนอย่างนั้น โยมผู้ชายจับมือเขียน จับมือให้เขียนอย่างนี้ แล้วจึงเขียนตัวก.ได้เขียนตัวข.ได้ มันต้องจับให้ทำ ราษฎรชาวบ้านบ้านเราต้องจับให้ทำ บางแห่งดินดีปลูกอะไรก็ได้ แต่ไม่ทำ บ้านช่องก็อยู่อย่างนั้น รุงรัง โกโรโกโร ไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพราะไม่เคยเห็นดีนั่นเอง แต่พอเห็นเข้า อ้อ แหม บ้านเขาสบาย เราอยากสบายบ้าง บ้านเขาทำอะไรเราอยากจะทำบ้าง เกิดการแข่งขันมีการกระทำกันขึ้น อันนี้เป็นเรื่องที่จะต้องปลุกระดมเหมือนกัน ให้ประชาชนตื่นตัวลุกขึ้นทำงาน แล้วก็ร่วมแรงร่วมใจกันทำ
ความจริงคนไทยเราในสมัยก่อนนั้น ทำอะไรเขาร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่ต้องบอก ไม่ต้องเกณฑ์ เขาก็ไปกันเองตามฤดูกาล พอใกล้จะทำนาเขาก็นัดว่า เอ้า! วันพรุ่งนี้ไปทำทำนบกั้นน้ำกัน เขาก็ไปแบกจอบแบกพร้าไป แล้วก็ไปทำทำนบในคลองใหญ่ หรือแม่น้ำใหญ่ เพื่อให้น้ำไหลมาอีกทางเข้าในคลองเล็กแล้วก็ได้ไปทำไร่ ไถนากัน บางทีก็ไปขุดลอกคลอง วันหนึ่งไปขุดลอกคลองกัน เพื่อให้น้ำไหลสะดวก พอลอกคลองเสร็จก็ไปทำทำนบ เพราะคลองที่ใช้ทุกปีมันก็ตื้น อันนี้ต้องไปขุด ขุดให้ลึกลงไปแล้วน้ำก็ไหลเข้าคลองมาก ไปทำนบกั้นเป็นแห่งๆ เอาน้ำเข้านา เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าเขาทำกันอย่างนั้น
แต่พอเปลี่ยนการปกครอง เรียกว่าเปลี่ยนไม่ถูกวิธี เปลี่ยนแล้วก็บอกว่าแผ่นดินไทยเป็นของเพื่อนไทยทุกคน ทุกคนมีสิทธิมีเสรีภาพ เลยไม่ต้องทำอะไร มีเสรีภาพแล้วไม่ทำอะไรแล้ว ไปลอกคลองไม่ได้แล้ว ไปทำอะไรก็ไม่ได้แล้ว สมัยก่อนไปช่วยกันขุดถนนก็ได้ ไปช่วยทำอะไรก็ได้ พอเปลี่ยนการปกครองหัวแข็งขึ้นมาแล้ว ทำไม่ได้แล้ว มันผิดนะ เรียกว่าเปลี่ยนไม่ถูก ไม่ได้พูดให้เขาเข้าใจว่าการเปลี่ยนนั้นเปลี่ยนเพื่ออะไร เราควรจะปรับตัวเราอย่างไรในสถานการณ์ที่เป็นรูปแบบนี้ คนไม่เข้าใจเพราะการโฆษณาน้อยไป ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังโฆษณาน้อยไปในเรื่องอย่างนี้ ไปโฆษณาเป็นพักๆ พอใกล้จะเลือกตั้งก็ แหม! โฆษณากันเป็นงานใหญ่ พอเลือกตั้งเสร็จแล้วก็หยุดเงียบไป พอจะเลือกก็โฆษณากันอีก อย่างนี้มันต้องทำติดต่อ ทำอะไรมันต้องทำติดต่อกันไปตลอดเวลา ต้องปลุกกันอยู่ให้ตื่นตลอดเวลา ถ้าไม่ปลุกให้ตื่นเดี๋ยวหลับ เพราะฉะนั้นต้องคอยปลุกไว้ คล้ายกับคนถูกงูเห่ากัดนั่นล่ะ ต้องปลุกไว้ อย่าให้หลับ หลับแล้วมันจะตายเลย เพราะฉะนั้นต้องเขย่าตัวไว้ ปลุกไว้ ให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา แล้วก็หาวิธีแก้กันต่อไป คนเราในประเทศไทยต้องปลุกตลอดเวลา ปลุกให้ตื่น แต่ว่าไม่ค่อยจะได้ปลุกให้ตื่น ปลุกให้หลับนี่มากนะ ปลุกให้หลับอย่างไร ชวนให้ไปดูนั่น ชวนให้ไปซื้อนี่ ชวนให้ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ล้วนแต่เรื่องไม่ค่อยได้สาระอะไร ไม่เป็นไปเพื่อการสร้างสรรค์ให้เจริญให้ก้าวหน้า อันนี้คือการดำเนินงานที่ไม่ค่อยจะถูกต้อง เวลานี้ก็มีการตื่นตัวกันขึ้นเพื่อปลุกในเรื่องนี้
อาตมาก็เขาบอกให้ช่วยกระทำด้วยเหมือนกัน เช่นคนมานี้ก็ให้พูด แต่ว่าเมื่อวานไม่ได้พูดเพราะติดนิมนต์ไว้ที่อื่น บอกว่าไม่เป็นไรอาตมาพูดเมื่อไหร่ก็ได้ มันอยู่ในวัดแล้วปลุกขึ้นมาฟังเมื่อไหร่ก็ได้ จะนอนก็ฟังกันก่อน หัวรุ่งปลุกตี ๔ ปลุกลุกขึ้นมานั่งฟังกันก็ได้เพราะว่าอยู่ประจำ อย่างนี้แล้วฟังธรรมเมื่อไหร่ก็ได้ ก็ต้องพูดกันให้เข้าใจ ไม่ใช่ว่าพูดที่นี่แล้วมันจะพอนะ ต้องตามไปพูดถึงบ้าน ต้องไปปลุกใจต่อไป ไปดูผลงานว่าเขาทำกันอย่างไร ในการทำคนให้เป็นผู้ตื่นตัวนั้นก็ต้องเอาศาสนาเข้ามาใช้
เวลานี้คนไทยนับถือพุทธศาสนาทั้งนั้น ส่วนมาก แต่ว่ายังไม่ค่อยจะได้ใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องถึงขั้นโลกุตตรธรรมอันเป็นการกระทำที่ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์เด็ดขาด เอาทุกข์ธรรมดานี่ก็ยังไม่ค่อยได้ใช้ เช่นทุกข์เกิดจากความยากจน เรายังไม่ได้ใช้ธรรมะแก้ ความยากจนเกิดเพราะอะไร เกิดเพราะมันไม่มี หรือว่ามีไม่พอมันก็จนเหมือนกัน มันจน ๒ เรื่อง บางคนจนเพราะไม่มี ไม่มี แต่บางคนจนเพราะมันไม่พอ เรียกว่ามีแล้วแต่มันไม่พอ ไม่รู้สึกพอ ก็เรียกว่ายังจนอยู่ แต่คนใดที่ว่าพอใจมันก็รวย มีนิดหน่อยก็รวยแล้วเพราะพอใจ มีมากไม่พอใจมันก็ไม่ร่ำรวยอะไร อันนี้มีอยู่ อย่างนี้ความจนธรรมดาที่จนกันอยู่เวลานี้ คือจนเพราะไม่มี เราจะทำให้มีได้อย่างไร เราจะไปดลบันดาลให้คนมีก็ไม่ได้ หรือว่าจะทุ่มเงินไปเพื่อให้เขามีมันก็ไม่ได้ แต่ว่าเราต้องช่วยอย่างแท้จริง คือช่วยให้คนช่วยตัวเอง
เดี๋ยวนี้การช่วยอะไรหลายอย่าง อาตมาสังเกตดูอยู่ว่าเป็นการช่วยที่ไม่ใช่ช่วยให้คนช่วยตัวเอง แต่ช่วยให้คนอ่อนแอ ให้คอยแต่จะแบมือรับความช่วยเหลือจากคนอื่น และถ้าไม่ไปช่วยเขาก็บ่นว่าไม่ช่วย เป็นอย่างนี้เรียกว่า ช่วยให้คนอ่อนแอ การช่วยให้คนไม่อ่อนแอก็คือว่า แนะให้เขาทำด้วยตัวของเขาเอง ให้ช่วยตัวเอง เราช่วยบ้างเล็กน้อยในสิ่งที่มันทำไม่ได้ หรือหาไม่ได้ เราก็ไปช่วย แต่ว่าสำคัญที่สุดให้ทุกคนช่วยตัวเอง ให้ทุกคนพึ่งตัวเอง เช่นว่าให้รู้จักทำมาหากิน ในผืนดินที่ตนมีอยู่ อย่าปล่อยให้ผืนดินมันรกร้างว่างเปล่า โดยไม่ได้ทำอะไร เราจะเห็นว่าดินว่างๆ มีเยอะแยะแต่ไม่ได้ทำอะไร
คนที่ไปเที่ยวเมืองจีนเขาเล่าว่า ดินเมืองจีนไม่มีว่างทุกตารางฟุตไม่มีว่าง ปลูกหมดเลย ปลูกกันทั่วไปทุกหนทุกแห่ง เพราะคนเขามาก อาหารไม่พอกิน เพราะฉะนั้นต้องปลูกให้พอ เขารณรงค์เรื่องแรกก็คือว่า ปลูกอาหารให้พอกิน มีเสื้อผ้าให้พอนุ่งห่ม มีบ้านให้คนอยู่ มียาให้แก้ไข้ อันนี้ปัจจัยสำคัญ เรียกว่าอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยาแก้ไข้ เป็นปัจจัยจำเป็นสำหรับชีวิต เขาก็ปลุกคนให้ตื่นขึ้นเพื่อทำงาน ให้ทุกคนทำงานอยู่นิ่งอยู่เฉยไม่ได้ คนทุกคนก็ทำงาน ทำงานด้วยอารมณ์อะไรก็ตาม แต่ว่าต้องทำ
บ้านเราไม่ได้ปลุกคนให้ทำ แต่ว่าให้ทำก็ต่อเมื่อมีค่าจ้าง เช่นว่ามีเงินประเภทหนึ่ง เงินผันบ้าง เงินกสช.บ้าง ส่งออกไปเพื่อให้กระจายไป แต่ว่าคนก็ไม่ค่อยจะได้รับเท่าไหร่หรอก เพราะบางทีก็ชาวบ้านไม่ได้ทำ แต่ว่าคนอื่นรับเหมาเอาไปทำเสีย แต่ว่าชาวบ้านก็เลยไม่ได้ มันไม่ถึงมือประชาชน แล้วก็คนก็ยังไม่สำนึกในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นให้เขาทำ เวลาจะให้ทำนี่ก็ต้องพูดกันให้เข้าใจ ให้พูดว่าสิ่งนี้คืออะไร เป็นประโยชน์อย่างไร เราควรจะทำด้วยอารมณ์อย่างไร ด้วยความคิดอย่างไร ทำแล้วเราก็จะได้ใช้สิ่งนั้นสิ่งนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้จะเกิดขึ้นแก่พวกเราเอง งานนี้เป็นงานของเรา ไม่ใช่งานของหลวง ไม่ใช่งานของราชการ แต่เป็นงานของประชาชนที่ทุกคนจะต้องสร้างมันขึ้น ทำมันขึ้น คราวนี้เมื่อเขาสำนึกว่างานของเขา เขาได้ประโยชน์ก็ต้องแนะนำว่าเมื่อเป็นของตัว ตัวก็ต้องช่วยรักษา ช่วยดู ช่วยแล ดูเหมืองน้ำอย่าให้เสียหาย ดูถนน ดูสระน้ำ ดูอะไรต่างๆ ที่สร้างที่ทำไว้อย่าให้เสียหาย เพราะมันเป็นของเราทุกคน เดี๋ยวนี้คนไม่ได้คิดว่าเป็นของเรา ไม่ได้คิดเพราะเข้าใจธรรมะอะไรไม่ใช่ แต่คิดในแง่ธรรมะมันอีกอย่างหนึ่ง ที่ให้คิดว่าอะไรก็ไม่ใช่ของเรานั้นเป็นอุบายปลอบใจ ไม่ให้เข้าไปยึดถือ แต่นี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น ไม่รู้ไม่เข้าใจแล้วก็นึกว่าไม่ใช่ของเรา เอาไปให้คนอื่นหมด ตัวไม่เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านั้น เลยไม่สงวนไม่รักษาไม่ดูแล เผลอๆ ทำลายเสียด้วย เช่นเขาทำอะไรไว้ดีๆ ก็ทำลายเสีย สร้างศาลาให้พักร้อนริมทาง กระดานพื้นหายไป อะไรหายไป เหลือแต่ตง ต่อไปก็เหลือแต่ตงนั่งไม่ได้ เอาตงไปเสียด้วยทีนี้เหลือแต่โครงหลังคาเท่านั้นเอง อันนี้เขาไม่รู้ว่าศาลาของเขา เขาได้ประโยชน์ เขาไม่ได้ช่วยกันรักษา เพราะเวลาสร้างศาลานั้นเราไม่ได้ประชุมคนมาช่วยกันสร้าง แล้วพูดกันให้เข้าใจ
เวลามีงานอย่างหนึ่ง อาตมาเคยไปบ้างสังเกตว่า เช่น งานเปิดเขื่อน เปิดอะไรต่ออะไร ที่เป็นของที่ทำขึ้นในที่นั้นๆ ไม่ค่อยมีชาวบ้านมาร่วมงาน เป็นงานเฉพาะข้าราชการ แล้วก็เปิดกันอยู่ในหมู่ข้าราชการ อาตมาไปก็นั่งนึกว่านี่มันประชาชนเขาไม่มีส่วนที่จะมาร่วมในงาน และไม่ได้ป่าวร้องให้มา มาแล้วก็ไม่มีคนพูดให้เขาฟังว่าสิ่งที่สร้างขึ้นนี้เพื่อประโยชน์อะไร จะได้คุ้มค่ากับการลงทุนอย่างไร สิ่งนี้เป็นของใคร ไม่ได้พูดให้คนเข้าใจ แม้ชาวบ้านจะมาก็มานั่งอยู่รอบนอก ข้างในนี้มีตำรวจคอยเฝ้าไม่ให้คนเข้ามาใกล้ๆ คล้ายเป็นคนละพวกคนละชั้นไป ข้าราชการพวกหนึ่ง ประชาชนพวกหนึ่ง ไม่เป็นกันเอง ไม่ให้มานั่งปนกันบ้าง ข้าราชการ ลุงมี ลุงมา ยายสี ยายสา นั่งให้มันเหมือนๆ กัน เรียกว่าปนกันไป แล้วก็จะได้พูดจาทำความเข้าใจ เวลาก่อนเปิดนี่ก็ทำแต่พิธีไสยศาสตร์ เอาพระสวดมนต์ สวดมนต์เสร็จแล้วก็ไปพรมน้ำมนต์ เจิมป้าย เจิมเสาอะไรก็ไปตามเรื่อง มันไม่เกิดผลทางจิตใจแก่ชาวบ้านที่มานั่งประชุมกัน เพราะไม่มีคนมาพูดให้เขาเข้าใจว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นด้วยอะไร สร้างสิ้นเงินเท่าใด ก็อ่านเหมือนกันรายงาน แต่ว่าชาวบ้านก็ไม่ได้สนใจ อันนี้ควรจะเรียกมาอธิบายให้เขารู้ แล้วก็ให้ทุกคนช่วยกันดูแลรักษาสิ่งเหล่านี้ เพราะเป็นของพวกท่านทุกคน ท่านนี่เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ อันนี้ยังไม่ได้กระทำกัน เพราะว่าทำมากไปอย่างนั้นมันก็เหนื่อย แล้วคนก็ไม่ค่อยชอบเหนื่อยกันเวลานี้ เพราะฉะนั้นใครทำงานนี่เขาทำโดยไม่ต้องให้เหนื่อย ถ้าไปบอกให้ทำอะไรบอก แหม! มันเรื่องอะไรมาหาเรื่องให้ผมทำอีกแล้วให้มันเหนื่อย เช่นตัวอย่างเห็นง่ายๆ ว่างานพระธรรมทูตนี่พระไปเทศน์ ไปเทศน์ก็ต้องไปรบกวนรถของราชการโดยมากตอบว่าไม่มีน้ำมัน ไม่มีน้ำมัน มันก็ให้พระไปหามาใส่รถ ใส่รถให้เขาแล้วก็จะพาขับไปให้ได้ เมื่อไม่มีน้ำมันพระก็ไม่รู้จะเอาอย่างไรก็เลยไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องอะไร เพราะว่าไม่อยากจะทำงานเท่านั้นเอง อยากจะอยู่สบายๆ อยู่ในเมืองไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องไปหาประชาชน แล้วจะเข้าถึงคนได้อย่างไร ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น นี่คือความเป็นอยู่ดังที่เป็นกันทั่วๆ ไป ยังไม่ได้ตื่นตัว ไม่ได้ก้าวหน้า ไม่ได้ว่องไว ในการประกอบกิจการงานนั้นๆ กันอย่างแท้จริง ความร่วมมือร่วมใจก็ไม่เกิดขึ้น
แต่ว่ามีบางแห่งนายอำเภอนี่เข้าถึงประชาชนจริงจัง คลุกคลีกับประชาชน เรียกว่าประชาชนทำอะไร นายอำเภอก็ต้องไปเป็นถั่วอยู่ในข้าวเหนียวตลอดเวลา แกต้องไปด้วย ไม่ว่างานอะไรเขาบวชนาคแกก็ไป ทำศพเขาก็แกก็ไป แต่งงานแกก็ไป วัดมีอะไรนายอำเภอก็ต้องไปปนกับประชาชน ถ้าปนกันอย่างนี้ประชาชนก็ร่วมมือร่วมใจ นายอำเภอจะขอร้องอะไรจะทำอะไร โอ้! ชาวบ้านร่วมกันจริงๆ ทำงานก้าวหน้า แต่ว่าบางอำเภอไม่อย่างนั้น ฉันนั่งอยู่ที่นี่งานฉันอยู่ตรงนี้แล้วก็ไม่ค่อยออก งานมันก็ไม่เดิน อย่างนี้ก็มี ไม่มีการให้กำลังใจแก่คนที่ปฏิบัติงานอย่างนั้น งานจึงไม่ก้าวหน้า
เวลานี้จึงต้องมีการปลุกให้ตื่นตัว ให้ประชาชนตื่นตัวขึ้น เพื่อช่วยกันสร้างงาน สร้างการ แล้วก็ทำคนเดียวก็ไม่ได้ ต้องทำกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เรียกว่าเป็นสหกรณ์ สหกรณ์ในที่นี้หมายความว่าช่วยกันทำในเรื่องอะไรๆ ช่วยกันทำ มีการประชุมวางแผนว่าเราจะทำอย่างไร โดยวิธีใด ไม่ได้ใช้เงินก็ต้องใช้แรงกัน ช่วยกันจัดช่วยกันทำ อย่างนี้งานมันก็ก้าวหน้า
ในเมืองเชียงใหม่สมัยก่อนนี้ เมื่อสมัยเขาเรียกว่า ครูบาศรีวิชัย ครูบาศรีวิชัยนี่เป็นพระที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ท่านทำประโยชน์มาก เวลาไปทำอะไรที่ไหนท่านก็ไปมือเปล่า ไปอยู่ที่นั่นคนก็มาหาแล้วก็ช่วยกันทำช่วยกันสร้างโรงเรียน สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ สร้างอะไรต่ออะไรมากมายก่ายกอง สิ้นเงินไปตั้งเยอะแยะ สร้างทางขึ้นดอยสุเทพให้เราไปทัศนาจรอยู่จนบัดนี้ เป็นฝีมือของท่านทำด้วยกำลังคน ไม่ต้องใช้เงิน คนมันมาขอที่ดินเพื่อทำถนนนี่ ชั้นแรกให้คนละวา ต่อมาคนมากขึ้นๆ ได้คนละศอกเท่านั้นเอง ให้คิดว่าคนยืนตั้งแต่เชิงดอยตั้งแต่ปากทาง ยืนเต็มไปจนถึงพระธาตุดอยสุเทพแล้ว แล้วก็ขุดพร้อมกัน พังถนนคันดินลงมาถมดินลงไป เนื้อที่ที่ได้รับแจกคนละศอกเท่านั้นเอง คนมีจำนวนสักเท่าไหร่ แล้วไม่ต้องอะไร ข้าวเขาก็เอาของเขามา จอบเขาก็เอามา เสียมเขาก็เอามา ไม่ต้องลงทุนอะไรทั้งนั้น ครูบาแกก็นั่งเฉยๆ ให้พรเรื่อยๆ ไป นะ แกนั่งชักลูกประคำของแกไปตามเรื่องตามราว นั่นก็ทำไป ๑ เดือน ๑๕ วันรถยนต์ขับปร๋อไปถึงดอยสุเทพได้มีสะพานเรียบร้อยมีอะไรเรียบร้อยให้คนขึ้นได้ แต่ว่าเป็นถนนลูกรัง ไม่ใช่ถนนลาดยางเหมือนเดี๋ยวนี้ ไอ้ที่ไล่ลาดยางนี่เพราะว่าในหลวงท่านเสด็จไป ให้ไปสร้างวังที่ภูพิงค์เลยก็ต้องรัฐบาลก็ต้องลงทุนราดยางเป็นทางเสด็จราชดำเนิน แต่ก็ไปราดลงบนถนนของครูบาศรีวิชัยซึ่งสร้างโดยไม่ต้องใช้เงิน แต่สร้างด้วยน้ำใจของประชาชนที่มีความเสียสละมาทำได้ อันนี้คือตัวอย่างว่าคนเรานี่ ถ้ามันรักที่จะทำแล้วทำได้ทั้งหมดจะเคลื่อนภูเขาไปก็ได้ ถ้าหากว่าพร้อมกันเคลื่อนนะ ดันภูเขาไปเสียก็ได้ หาบดินภูเขาไปทิ้งทะเลก็ยังได้ ถ้าพร้อมใจกันกระทำ
แต่ว่าทำอย่างไรจะให้คนมันเกิดอารมณ์เช่นนั้น ให้เกิดความพร้อมใจเช่นนั้น ก็ต้องสร้างความเลื่อมใสให้เกิดขึ้นในคนที่จะไปเริ่มทำงานก่อน ผู้ที่ควรจะไปทำเรื่องนี้ต้องเป็นพระ เพราะว่าพระนี่เรียกว่าได้พื้นฐานอยู่แล้ว ๕๐ เปอร์เซ็นต์หรือเกินนั้นก็ยังมี ฐานมันมีอยู่แล้ว พระพูดอะไรนี่มันดัง แล้วก็คนทุกคนได้ยิน เชื่อฟัง เอาไปทำได้ เอาพระไปร่วมงาน พระไปร่วมงานนี่มันก็สำเร็จ แต่ถ้าพระไม่ร่วมงานก็ไม่สำเร็จ บางเรื่องไม่สำเร็จ
ยกตัวอย่างเช่นว่า นายอำเภอที่ห้างจักร (48.20 เสียงไม่ชัดเจน) แกอยากที่ดินของคุณโยมคนหนึ่ง เพื่อสร้างสุขศาลา แกไปขอเท่าใดๆ แกก็ไม่ให้ แกไม่ให้นี่ แกบ่นว่าดินมันน้อยมันไม่พอที่ดิน ดินแกเยอะ แต่แกก็ไม่ให้ วันหนึ่งอาตมาก็ไปเทศน์ที่แถวนั้น นายอำเภอมาปรารภว่า แหม! ผมขอดินคุณยายนี่ แม่ แม่ออกคนนี้มาหลายครั้ง หลายหนแล้ว จนท่านไม่ให้นี่ ท่านจะช่วยผมได้บ้างไหม ท่านอาจารย์จะช่วยผมได้บ้างไหม อาตมาบอก เอ้า! มันต้องลองก่อนสิ จะไปบอกว่าได้ มันก็เดี๋ยวไม่ได้ มันจะลำบาก ต้องไปลองดูก่อน อาตมาจะไปบ้านอยู่ตรงไหนคุณโยมนั้น อาตมาไปนายอำเภออย่าไปนะ อย่ามีใครไป อาตมาไปกับอุบาสก ๒ คน คนอื่นอย่าไปยุ่งทำเป็นไปเยี่ยม ไม่ให้แกรู้ว่ามาด้วยเรื่องอะไร ไปเยี่ยมไปเยียนคุยกันเรื่องอื่นก่อน เรื่องธรรมดาสามัญ เรื่องลูก เรื่องเต้า เรื่องอะไรต่ออะไร คุณโยมอยู่กี่คนในครอบครัวนี้ พ่อบ้านไปไหน เขาตายไปแล้ว โอ้! ตายไปกี่ปีแล้ว ตายไปตั้ง ๕-๖ ปีแล้ว โอ้! เวลาตายนี่เอาอะไรไปบ้างล่ะโยม เอาดินไปบ้างไหม เอานาไปบ้างไหม เอาเงินเอาทองไปบ้างไหม ร้องโอ้ย ตายแล้วเอาไปบ่ได้ ของทั้งหลายนี่มันอยู่ในโลกนี้ เอาไปบ่ได้ แล้วคุณโยมนี่มีที่ดินอยู่สักเท่าใด แถวนี้ โอ้ ! ก็มีหลายอยู่เหมือนกัน ว่าอย่างนั้นนะ มีหลายอยู่ แล้วคุณโยมเวลาจะตายนี่โยมเอาไปได้ไหมดินของโยมนี่ เอาไปไม่ได้ เอาไปไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร โยมอยากได้ไหม อยากมีดินในชาติหน้าบ้างไหม โอ้! ก็อยากมีเหมือนกัน อยากมีมันต้องเอาไป แต่จะหอบไปก็ไม่ได้ ขุดเอาไปก็ไม่ได้ มันหนักดินนี่ มีวิธีอยู่นะ แนะให้ทำ วิธีอย่างไร ต้องบริจาคเป็นทาน บริจาคดินเป็นทานเราก็จะมีดินที่อยู่อาศัยต่อไป นี่โยมมีดินมากในชาตินี้เพราะชาติก่อนเคยบริจาคดินเป็นทานไว้ จึงได้มีดินมากมาย อันนี้ถ้าโยมไม่บริจาค ชาติหน้าโยมไม่มีดินจะอยู่ก็ได้ ต้องไปอาศัยคนอื่นไปเช่าที่ดินคนอื่นอยู่ ลำบากไหมโยม โอ้! ลำบากเหมือนกัน พูดไปพูดมาบอก แหม! โยมนี่น่าจะยกที่ดินให้เขาทำประโยชน์อะไรบ้างนะ แกก็พูดขึ้นเอง โอ้! นายอำเภอนะ มาขอบ่อยๆ จะเอาไปสร้างสุขศาลา โอ้! ดีนะโยมนะสร้างสุขศาลา คนบ้านนี้อยู่ไกลตัวเมือง เจ็บไข้ได้ป่วยไปลำบาก เวลาจะเกิดจะไข่ก็ลำบาก ไปรถมันก็ไม่มีสมัยนั้นนะ ต้องลำบากแต่ถ้ามีสุขศาลา มีนางพยาบาลมาอยู่เกิดก็ง่าย ป่วยก็ง่าย อะไรก็ง่าย เราสร้างสุขศาลาหลังเดียวเรียกว่าให้ความสุขแก่เพื่อนมนุษย์มากมาย ให้ความสุขมันก็ได้ความสุขนะโยมนะ คุยกันไปคุยกันมาเลยสุดท้ายบอก แหม! นี่โยมควรจะบริจาคที่ดินให้เขาสร้างสุขศาลา ดีไหมโยม อ้อ! ก็ดีเหมือนกัน ถ้าฉันจะขอโยม โยมจะให้ไหม โอ! ไม่เป็นไรท่านเจ้าขอแล้วก็ให้ ว่าอย่างนั้น พอบอกว่าให้ก็บอกกระซิบอุบาสก ไปตามนายอำเภอมาไป ไปตามนายอำเภอมาเลย มาก็ทำพิธีทำเรื่องกันเลย ไปขุดดินมาก้อนหนึ่ง ดินในนานั้นเอามาใส่พาน เสร็จแล้วก็ให้โยมรับศีล รับอะไรเรียบร้อย ทำพิธีถวายที่ดินแก่ตุ๊เจ้าเพื่อเอาไปสร้างศาลา เรียบร้อย เรียกว่าได้เรียบร้อย นายอำเภอบอก แหม! ถ้าหากว่าท่านพ่อไม่มาช่วยคราวนี้ ผมไม่มีดินสร้างศาลาแน่ มันเป็นอย่างนั้น เรามันต้องใช้พระบ้างเหมือนกันในบางเรื่องบางราว ถ้าไปขืนดื้ออยู่คนเดียวก็ไม่ได้เรื่องอะไร
แต่คนเราบางทีก็ไม่ค่อยใช้พระไม่เข้าหาพระมันก็ไม่ได้ เหมือนนายอำเภอคนหนึ่งอยากจะได้ที่ดินวัดสร้างโรงพยาบาล อยู่อำเภอกะวัดตัญญู (52.30 ไม่ยืนยันตัวสะกด) ไกลไม่เคยไป ไม่เคยไปเยี่ยมไปเยือนไม่วางแผน เรียกว่าไม่เอาไหน ไม่วางแผน พอไปถึงก็ขอเลย ผมอยากจะมาขอที่ดินที่นานี้สร้างโรงพยาบาล สมภารบอกอาตมาให้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ของอาตมาเป็นของสงฆ์ให้ไม่ได้ เสร็จเรื่องเลย ปฏิเสธหมดเรื่องไปเลยให้ไม่ได้แล้ว พูดเท่าไรก็ให้ไม่ได้ พูดไม่วางแผนนะนี่ เราจะไปขอเขาเราต้องไปให้เขาก่อน ว่างๆ ก็หิ้วปิ่นโต ไปสักปิ่นโตไปถวายอาหารสมภาร นั่งคุยนั่งอะไรถวายอาหารไป เย็นๆ ไปก็เอาชาไปถวายบ้าง ซื้อน้ำตาลทรายไปถวายบ้าง ซื้อนมไปถวายบ้าง ไปเรื่อยๆ ไปคุยไปให้สนิทสนม ถ้าสนิทสนมแล้วนายอำเภอออกปากขอสมภารปฏิเสธไม่ได้ เกรงใจ นี่ไม่เรียนธรรมะมันลำบากตรงนี้เองนะ คือไม่ได้บวชก่อนไปเป็นนายอำเภอมันก็ลำบากนะ แล้วไอ้รุ่นนั้นไม่ได้อบรมเสียด้วยนะ ไอ้รุ่นใหม่ๆ นี่อบรมแล้ว อาตมาไปอบรมทุกรุ่น อบรมตั้ง ๓ ชั่วโมงไปอบรมกันให้แนวทางไว้หมดแหละ ไปที่ไหนพอเจอพวกที่อบรมมาถึง โอ้! ผมจำได้หลวงพ่อสอนผมไว้อย่างนั้นอย่างนี้ ผมเอามาใช้อยู่เวลานี้ มันได้เรื่องนะ พอได้ฟังธรรมะบ้างมันก็ดีขึ้น เพราะฉะนั้นต้องเอาพระไปช่วยในเรื่องอย่างนี้ ชาวบ้านพูดไม่ได้ เมื่อวานไปที่วัดสิงห์นะ ไอ้อุบาสกหนุ่มว่าผมพูดกับญาติโยมมานานแล้วเรื่องอย่างนี้ไม่ได้เรื่อง บอกเธอหยุดพูดได้แล้ว เรื่องที่จะเปลี่ยนอะไรต่ออะไรนี่หยุดพูด อย่าพูดทีหลัง ถ้าเธอต้องการพูดเอาเทปหลวงพ่อมาเปิดให้ชาวบ้านฟัง เธออย่าพูด พูดแล้วชาวบ้านหมั่นไส้เธอ เผลอๆ มันจะตีศีรษะเธอด้วยซ้ำไปเพราะพูดไม่เข้าเรื่อง พูดให้เขาเปลี่ยนนั่นเปลี่ยนนี่ มันไม่ได้ชาวบ้านพูดไม่ได้ เขาหาว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิอะไรไปเลย มันต้องให้พระพูด เรื่องอย่างนั้นนะพระท่านเข้าใจพูด ค่อยพูดค่อยจาค่อยทำความเข้าใจ บอกว่าเธออย่าพูดต่อไปนะ ไอ้แบบนี้นะ คนเขาจะเกลียดเอา ถ้าเธอจะพูดอะไร ในเรื่องที่ต้องการเธอไปเอาเทปมาเปิดให้เขาฟัง แล้วไม่ต้องพูด เปิดเทปให้เขาฟังเรื่อยๆ ไป เพราะความเห็นลงไปในจากเทปนั้นเอง เขาก็ค่อยดีขึ้นเอง เรื่องมันเป็นอย่างนี้เพราะฉะนั้นทำอะไรต้อง เขาก็คิดเวลานี้จะต้องเอาพระเข้าด้วย ให้ไปช่วย ให้พระไปช่วยพูดจาทำความเข้าใจกับญาติโยมพระที่ไหนก็พระที่นั่น ที่เขานับถือพระเยอะแยะไม่ค่อยได้ใช้ ใช้แต่นิมนต์ไปปลุกเสกพระเครื่องขายกันอยู่นั่นมันก็ไม่พอ มันไม่ได้เรื่องอะไร เราต้องเอาไปปลุกคนเสกคนให้ตื่นตัวให้ลุกขึ้นให้ก้าวหน้าตามเนวทางธรรมะของพระพุทธเจ้า จึงจะเป็นเรื่องถูกต้อง
พูดมาก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน ค่อยฟังกันอีกวันอาทิตย์ที่ ๑๒ ตอนนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที นั่งสงบใจนั่งตัวตรง หลับตาเสียหน่อย แล้วก็หายใจเข้ายาว หายใจออกยาว กำหนดลมหายใจเข้า หายใจออกอย่าให้ไปคิดเรื่องอื่นเป็นเวลา ๕ นาที