แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้นับว่ามีโชคคือว่าท่านปภากโร (00.13) นี่มานั่งแล้ว ท่านปภากโรนี่เมื่อก่อนก็อยู่วัดป่านานาชาติ อยู่วัดหนองป่าพงกับหลวงพ่อชา แต่ว่าเมื่อพรรษาที่แล้วนี้ท่านไปอยู่ประเทศอังกฤษ ร่วมงานกับท่านสุเมโธที่วัดป่าจิตตวิเวก แล้วก็ไปอยู่ที่สำนักเปิดใหม่ชื่ออมราวดี ขณะนี้กลับมาเยี่ยมหลวงพ่อชาแล้วจะกลับไปอีกวันที่ ๒๗ มีนาคม ไปอังกฤษ วันนี้ก็มาเยี่ยม อาตมาก็เลยเห็นว่าเป็นอาคันตุกะที่มีความรู้ พูดภาษาไทยได้คล่อง ก็อยากจะให้มาแสดงปาฐกถาในที่ประชุมนี้ อัดวีดีเทปไว้ด้วยจะได้เห็นว่าฝรั่งพูดไทยได้ พูดธรรมะได้อย่างไร ต่อไปนี้ก็ขอนิมนต์ท่านปภากโรขึ้นมาแสดงปาฐกถา นิมนต์
กระผมขอโอกาสกราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง อาตมาขอเจริญพรญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่ได้มาร่วมในวันนี้ หลวงพ่อชาท่านก็สอนลูกศิษย์ลูกหานั้นที่มีโอกาสเทศก์ …… (01.56) เทศก์ตามความรู้สึกและตามอัธยาศัยที่จะปรากฎขึ้นหรือว่าเกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ก็ปัจจุบันนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะว่าโดยมากก็เทศก์ก็จะนั่งบนธรรมาสน์ (02.20) แล้วก็นั่ง ไม่ค่อยยืนก็เลยรู้สึกติดขัดนิดๆ หน่อยๆ แต่คงไม่เป็นอุปสรรคอะไรมากมายหรอก ก็ที่จริงแล้วไม่ได้คิดจะได้กลับมาประเทศไทยอย่างเร็วขนาดนี้ เพราะเพิ่งไปอยู่อังกฤษ ๗ หรือ ๘ เดือน ต้นเดือนกรกฎาก่อนจะเข้าพรรษาปีที่แล้ว พอดีเดือนแรกไปอยู่วัดป่าจิตตวิเวก หรือเขาก็เรียก …… (03.07) ที่หลวงพ่อท่านก็เคยเมตตาไปเยี่ยมหลายครั้งแล้ว อยู่นั่นก็เดือนหนึ่งแล้วก็ได้โอกาสเปิดสำนักใหม่ที่อยู่ทิศเหนือจากกรุงลอนดอนประมาณสัก ๔๐ กิโลได้ อันนี้เป็นโรงเรียนเดิมแล้วเขาขาย กำลังหาคนซื้อ พอดีก็จำเป็น สำนักเราก็สถานที่ไม่เพียงพอ แม่ชีก็มีอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ก็ล้นแล้ว และญาติโยมก็ไม่มีที่พักที่อาศัย และพวกพุทธบริษัทเมืองนอกก็เริ่มจะสนใจมากขึ้น ก็เลยจำเป็นต้องหาสถานที่ใหม่เพื่อจะได้ฉลองศรัทธาญาติโยมทั่วๆ ไป ก็เป็นนานาชาติเหมือนกัน มีตลอดถึงแถวอังกฤษยุโรปและก็พวกเอเชียทั่วๆ ไป พวกอพยพลาว เขมร และก็มีพวกศรีลังกา พม่า แล้วก็คนไทยก็เราก็ไป เมื่อไปอยู่แล้วก็รู้สึกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากจากเมืองไทย แตกต่างกันที่ดินฟ้าอากาศ ประเพณี อาหาร แต่ว่าเรื่องด้านจิตใจนั้น เราก็จำเป็นก็ต้องดำเนินทางถูกต้องตามธรรมะคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปที่ไหนมาที่ไหนก็การปฏิบัตินั้นเราก็ทำตามกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม อยู่เมืองนอกก็รู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมนั้นได้อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติธรรมะ อำนวยอย่างไรก็คือ อากาศก็เย็น แต่คนไทยเราไปก็จะว่าหนาว ฝรั่งก็ว่าเย็นสบาย แต่หน้าหนาวปีนี้ก็รู้สึกหนาวไปหน่อยผิดปกติ แต่อย่างไรเขาก็อยู่ได้ ทีนี้ก็มาอยู่ประเทศไทย ประเทศร้อนก็คนไทยก็อยู่ได้ ฝรั่งก็มาอยู่ได้ เขาก็ทำกันอยู่ได้ตามเหตุการณ์กับดินฟ้าอากาศ แล้วก็รู้สึกสงบเงียบจริงๆ แม้อยู่ในเมืองก็ยังเงียบอยู่ เข้าไปในบ้านเงียบไม่ค่อยได้ยินเสียงอะไร ถ้าไม่ได้อยู่ริมถนนก็เงียบจริงๆ ยังเงียบกว่าอยู่ในป่าดงดิบในเมืองไทย เพราะมีเสียงแมลงเสียงอะไรต่ออะไร มันก็ยังเสียงมากอยู่ ป่าก็สงบอยู่แต่เสียงแมลงในป่าไม้ นก อะไรต่างๆ เมืองนอกก็แทบไม่ได้ยินถ้าอยู่ในบ้าน เงียบ เงียบจริงๆ เหมือนเข้าไปในถ้ำ อันนี้ก็รู้สึกก็ได้อำนวยหรือว่าช่วยเรื่องทำความสงบด้านจิตใจ ช่วยได้ทุกคน
ตั้งแต่ไปอยู่ที่โน่นก็รู้สึกว่าภูมิใจ ที่ได้โอกาสมาบวช ประพฤติปฏิบัติในพระพุทธศาสนาในประเทศไทยและได้โอกาสอยู่กับครูบาอาจารย์ที่สอนดีอบรมดีและให้ลูกศิษย์เดินทางในทางที่ดี ที่นี้เหตุที่ได้มาก็คือเมื่อไปถึงที่โน่นแล้วก็รู้ว่าฝรั่งเขาทำอะไรเขาก็ต้องค้นคว้าแตกฉานทำให้ละเอียด ก็เลยนึกถึงท่านอาจารย์ชาที่เดินก็ไม่ได้ ยืนก็ไม่ได้ ขนาดฉันเองก็ฉันเองก็ไม่ได้ เมื่อจะออกมาเยี่ยมญาติโยมจำเป็นจะต้องนั่งรถเข็น รถเข็นในเมืองไทยนี้ก็ทำดีเหมือนกันแต่ว่าไม่ละเอียดเท่ากับเมืองนอก อาตมาเลยตั้งใจแล้วก็ปรึกษากราบเรียนปรึกษากับท่านอาจารย์สุเมโธว่า ถ้าเราจะทำรถเข็นจากเมืองนอกนี้ไปถวายท่านจะดีไหม ท่านก็เห็นด้วยและให้อาตมาเป็นผู้ดำเนินการ พอดีก็คิดว่าจะง่ายก็ไม่ง่าย ก็ต้องศึกษาเป็นเดือนเลย เขาก็ทำทั้งหลายบริษัทและก็หลายแบบ มีทั้งมีเครื่องรถยนต์ มีทั้งเข็นเองและคนอื่นเข็นให้ ก็เลยศึกษาไปดูไปจนเลือกเอาที่จะเหมาะสมกับตัวท่าน เมื่อเสร็จแล้วก็คิดว่าจะถ่ายวีดีโอเทปให้พวกพระ เณร จะได้ดูวิธีประกอบวิธีใช้ แต่ท่านสุเมโธท่านดูแล้วเห็นไม่สมควร อาจจะยังไม่เข้าใจชัด ท่านก็เลยบอกให้ท่านไปเอาไปถวายเองดีกว่า ก็เลยเป็นเหตุที่ได้เดินทางมายังประเทศไทยและเป็นเหตุที่จะได้มายืนปฐกถาธรรมกับญาติโยมทั้งหลายวันนี้ ตั้งใจจะมากราบนมัสการเยี่ยมหลวงพ่อท่าน ไม่ได้ตั้งใจจะมาเทศก์อะไรหรอก พอดีท่านก็พูดก็เอา วันนี้ก็ต้องเทศก์แล้วก็เลยได้โอกาส
ทีนี้ต่อไป อาตมาอยากจะพูดเรื่องศาสนาพุทธในเมืองนอกและศาสนาพุทธในประเทศไทยมันต่างกันอย่างไร การปฏิบัติต่างกันอย่างไร คือชาวต่างประเทศนั้น ฝรั่งเขาไม่มีประเพณีมากมาย ฉะนั้นเมื่อเขาได้โอกาสอ่านหนังสือเรื่องพุทธศาสนาหรือว่าได้พบโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าพระสงฆ์นั้น รู้สึกเขาจะมีความสนใจขึ้นมาทันทีเพราะว่าพุทธศาสนาของเราก็สอนให้คนเชื่อตามเหตุผล และฝรั่งเขาก็ต้องมีเหตุผลทำอะไรก็ต้องมีเหตุผล ทีนี้ถ้าให้เชื่อตามเหตุผลก็ไม่เชื่อตามความงมงายดังนี้ ทีนี้เรื่องประเพณีบางสิ่งบางอย่างก็เป็นประเพณีของประเทศแต่ละประเทศ เมืองนอกก็มีเหมือนกัน เมืองไทยก็มี ทั่วๆ ไปทุกประเทศทั่วโลกก็ต้องมี แต่เราควรดูและคิดว่า คิดให้ดูให้แยกว่าประเพณีก็คืออะไร พุทธศาสนาก็คืออะไร จะต้องแยกให้ได้ ทีนี้ประเพณีในพุทธศาสนาก็มีเหมือนกัน ประเพณีในพุทธศาสนาไม่มากน้อย ทีนี้ประเพณียกตัวอย่างของในเมืองไทยนี้มีหลายอย่างเหมือนกัน ทีนี้บางทีก็ทำไปทำมาหลายภพหลายชาติ หลายรุ่นตั้งแต่ปู่ย่าตายายของเรา ก็เลยยึดประเพณีเป็นศาสนาไปได้ อันนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนนะ จะเป็นบางคน ทีนี้เราควรดูว่าอันไหนเป็นประเพณี อันไหนเป็นศาสนา ศาสนาพุทธของเราที่จริงไม่มีอะไรมากแต่คนก็ทำให้มากเฉยๆ ก็เป็นศาสนาที่ตรงไปตรงมาและอยู่ในทางที่ถูกต้อง อะไรที่ไม่ถูกต้องก็ไม่ใช่ ทางที่ถูกก็ ถ้าจะพูดถึง มรรคมีองค์ ๘ มันก็มีที่ถูกและที่ผิด ถ้ายังไม่ถูกเราก็ผิดอีก เราต้องแก้ความเห็นผิดมิฉาทิฐิก็กลับกลายเป็นสัมมาทิฐิความเห็นถูกหรือความเห็นชอบ ซึ่งในชีวิตของเรา เราก็มีชีวิตทุกคน มีกาย มีวาจาและมีจิตใจ ๓ ประการนี้ พระองค์ท่านสั่งไว้ว่าพอแล้ว มีแค่นี้ก็ประพฤติปฏิบัติไปถึงมรรคผลนิพพานได้ ไม่ต้องมีอะไรนอกจาก กายและวาจา จิตใจ ของเรา ฉะนั้นท่านชี้ทางให้ประพฤติปฏิบัติในตัว ที่นี้หน้าที่ของเราก็มี ๓ ประการ จะมีการทำบุญถวายทาน มีการรักษาศีล แล้วมีการภาวนา ๓ ประการนี้ ถ้าจะให้เป็นชาวพุทธหรือว่าพุทธบริษัทที่ว่าแท้จริงบริบูรณ์ บริสุทธิ์ บริบูรณ์นั้นต้องให้ครบทั้ง ๓ ประการนี้ ที่นี้คนไทยเราเรื่องการทำบุญถวายทานรู้สึกว่าบริบูรณ์แล้วเข้าใจดีและต้องยกย่อง เมืองนอกยังสู้ไม่ได้ แต่ว่ากำลังเห็นเหตุผลในการทำบุญถวายทานมีปีติมีความยินดีในการให้ ทีนี้ต่อมาก็มีศีลและมีการภาวนา ศีลอันนั้นรู้สึกก็อันนี้ก็ไม่ว่าฝรั่งไทยใครก็ตามรู้สึกก็จะยากสักนิดหนึ่ง เพราะว่าศีลนี้เป็นสิ่งที่ควบคุมหรือว่าให้มีขอบเขต ขอบเขตนี้ถ้าหากว่าคนอยู่ในขอบเขตและก็ไม่เข้าใจความหมายหรือว่าเหตุผลแล้วก็ผลประโยชน์ของขอบเขตนั้น รู้สึกว่าจะอึดอัดสักนิดหนึ่ง พูดถึงศีลนั้นก็มี ๕ ประการ โยมก็ย่อมรู้ดีแล้วศีลห้าก็คืออะไร แต่ศีลจะเท่าไหร่ก็ตามเราต้องเป็นผู้ปฏิบัติเองรักษาเอาเอง ที่จริงเรื่องศีลนี้ก็เพื่อความสามัคคีและรักษาให้กลมเกลียวกันในสังคมตลอดสังคมเล็กๆ ก็คือครอบครัว จากครอบครัวถึงบ้าน ถึงอำเภอ จังหวัด ประเทศ โลกนี่ล่ะ ถ้าเราคิดดูแล้วเรื่องศีลห้านี่ถ้ารักษาทั่วไป ความเดือดร้อนในชายแดนในระดับประเทศแต่ละประเทศมันก็ไม่จำเป็นมีทหารไม่จำเป็นต้องรบกัน แต่ว่าโลกไม่ได้เป็นอย่างนั้น ขนาดเรื่องโลกนั้นเราจะแก้ แก้ก็แก้ไม่ตกหรอกเพราะว่าเป็นเรื่องกรรมเรื่องเวร มีอะไรเรื่องวันพระจะมีอะไรมากมายแค่เราจะแก้ตรงไหนก็แก้ที่ตัวเราเอง ถ้าจะช่วยทำความสงบสร้างสันติภาพทั่วโลกนี้ก็ต้องสร้างในจิตใจของเจ้าของของตัวเองนั่นเอง นี่ก็วิธีทำก็หนึ่งก็เรื่องการทำบุญถวายทานก็คือเสียสละสิ่งของ จะเสียสละที่ดีที่สูงกว่าการให้วัตถุอันใดอันหนึ่งก็คือเสียสละความโลภ โกรธ หลง จากจิตใจของตัวเอง อันนี้การให้เหมือนการให้จะให้ใครก็ให้พระพุทธเจ้าก็ได้ แล้วก็ลบปล่อยวาง (15.52) ออกจากจิตจากใจ คือการชำระสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ที่นี้ศีลก็เป็นเครื่องมือของเราที่จะช่วยละ …… (15.52) นั่นละกิเลสตัณหาที่ละเล็กทีละน้อย น้อยที่สุดก็ศีลห้าก็ตามนั้นจะคุ้มครองกายและวาจาของเราให้ดีให้เรียบร้อยให้สามัคคีกัน ให้เป็นคนรักชาติอยู่ในบ้านในเมืองก็ดี ไปมาก็ดี ถึงตอนนั้นเหลือด้านจิตใจ ศีลนี้ก็คือช่วยควบคุมภายนอกก็เรื่องกายวาจาให้ดีให้เรียบร้อย การภาวนานั้นก็คือให้พินิจพิจารณาให้เป็นคนมีเหตุผลพูดไปแล้วกล่าวไปแล้วว่าพุทธศาสนาต้องเป็นคนเชื่อตามเหตุผลไม่ใช่คนเชื่อตามความงมงาย ที่นี้เหตุผลในชีวิตของเราก็มีหลายอย่างและก็เราจะดูอย่างไรเราจะแยกออกอย่างไรที่ว่ามีเหตุผลไม่มีเหตุผลเชื่องมงายเชื่อตามเหตุผลเราจะแยกกันอย่างไรทำกันอย่างไร พระองค์ท่านก็แนะหลายอย่าง และก็มีวิธีหนึ่งที่ฝึกตัวเองที่เหมาะสมกับทุกคนทั่วไปไม่ว่าวัยไหนรุ่นไหนทำกันได้ทั้งนั้นก็คือการนั่งสมาธิ นั่งสมาธินี้อย่าเข้าใจว่าต้องนั่งเป็นชั่วโมงเป็นวันเป็นคืนต่อๆ กันติดต่อกันเหมือนเข้าไปในถ้ำ เหมือนพระเข้าไปในถ้ำลึกๆ เข้าไปในป่าต้องนั่งวันละหลายชั่วโมงอย่าไปคิดอย่างนั้น เพราะว่าเราไม่มีเวลาที่จะทำอย่างนั้น เพราะว่าเรามีครอบครัวอยู่ในโลกมันก็จำเป็นต้องทำมาหากิน ทำมาหากินนี้มันก็อยู่ไปวันหนึ่งวันหนึ่ง ก็กินเวลาไปมากเหมือนกัน แสดงว่านั่งไม่กี่นาทีมันก็ใช้ได้ เช่นกลางคืนเราจะทำธุระอะไรเรียบร้อยทานข้าวอะไรอาบน้ำเสร็จเข้าไปสู่ห้องพระมีการกราบไหว้พระ กราบไหว้เสร็จแล้วให้มีการนั่งอันนี้คล้ายๆ วิธีอันหนึ่งที่ว่าจะล้างจิตใจหรือว่าชำระจิตใจให้ดีให้บริสุทธิ์ก่อนจะเอนกายลงไปพัก และเรานึกในใจให้บริกรรมให้ภาวนาว่าพุทโธ ก็พร้อม (18.44) ลมหายใจเข้าออกหรือว่าวิธีไหนก็ไม่สำคัญเท่าไรหรอก เราต้องดูอันไหนจะสมควรกับนิสัยของเรา เพราะว่าบางคนก็ภาวนาพุทโธก็รู้สึกก็ใช้ได้ บางคนก็ไม่ติดสักที บางทีก็ต้องแผ่เมตตา อันนี้ก็แล้วแต่ แต่หมายความว่า ๕ นาที ๑๐ นาทีนั้นเรามอบให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสียสละการเวลาของเราก่อนจะพักผ่อน ที่นี้เมื่อเอนกายลงไปแล้วเราก็นอนสบาย ตื่นขึ้นมาก็สบายใจก็สดชื่น ตื่นขึ้นมาให้มีการกราบไหว้พระอีกหนหนึ่งแล้วให้นั่งสักพักหนึ่ง ที่นี้ก็ …… (19.32) ในวันหนึ่งและต้นวันหนึ่งมันก็จะได้นึกถึงพระ ทีนี้ก็ทำมากเข้ามากเข้ามันก็ช่วยเราในชีวิตประจำวัน ช่วยอย่างไรคือการนั่งภาวนานี้ นั่งสมาธิ สมาธิก็แปลว่าตั้งใจมั่น ทำใจให้มั่นนั่นหล่ะ จะมั่นในยืนก็ได้ จะมั่นในเดิน นั่ง นอนมันก็ได้ทั้งนั้นถ้าตั้งใจมั่นจริงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะนั่งนิ่งๆ ทีนี้ก็ต้องทำให้เข้าใจเพราะว่าบางคนคิด นั่งสมาธิ ฉันไม่มีเวลา งานก็ยุ่ง เวลานั่งไม่มี เวลาภาวนาไม่มี นี่เขาเคยมาพูดกับท่านอาจารย์ชา ท่านก็เลยถามคืนเลยว่า เอ้าโยมมีเวลาหายใจไหม มันก็ต้องมีสิ ถ้าหายใจได้มันก็ภาวนาได้ ทำได้ มันก็หายใจทุกชั่วโมง ทุกวินาที อันนี้เป็นอาหารที่อย่างละเอียดของเรา ถ้าหายใจก็ไม่เข้าหรือว่าเข้าไปแล้วไม่ออกมันก็แปลว่าอย่างไร แต่ว่าออกแล้วไม่เข้าอีกมันก็เป็นอะไร มันก็ตาย เราก็ ...... (20.48) เป็นคนเป็น ยังอยู่ ยังมีชีวิตอยู่หายใจยังเข้าออกโดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องไปคุมมันซะด้วย แต่ทีนี้วิธี (20.58) ที่เรามาดูหายใจเข้าออกนั้นเป็นวิธีอันหนึ่งที่จะทำใจให้สงบ แม้ไปนั่งในรถเมล์มันก็ทำได้ อยู่ในแท็กซี่ก็ทำได้ จะไปดูนี่ดูนั่นชมอะไรต่ออะไร ก็มาดูลมซะ ถ้าว่าวันไหนวันหนึ่งลมนี้มันก็จะหมดไปอันนี้ก็เป็นเรื่องจริง แต่ว่าอันนี้อาตมาชอบดังนั้นจะพูดเรื่องนี้ เพราะว่ารู้สึกถ้าน้อมอันนี้เข้ามาในตัวของเจ้าของนั้นก็มีประโยชน์มาก จะเป็นเรื่องจริงที่สุดในชีวิตของนี้คืออะไรอื่นๆ ก็ไม่แน่นอน ความตายนั้นก็แน่นอน เกิดแล้วก็ไม่แน่ บางคนก็ในครรภ์เสียก็มี คลอดใหม่ๆ แต่เสียก็มี อายุน้อยๆ เสียก็มี ต่อมาวัยรุ่นก็เสียก็มี โตขึ้นมาอายุยืนๆ เป็นผู้แก่ผู้เฒ่านั้นก็ยังเสีย ผลสุดท้ายก็ต้องเสีย อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมดาของร่างกายอันนี้ ว่าตายทำไมไม่ต้องไปถามอะไรมาก เมืองนอกเขาก็พูดกัน อาจารย์สุเมโธเดี๋ยวท่านตอบ อ้าวต้องตายเพราะเกิดนั่นแหละอย่าไปหาเหตุอื่นเลย พูดง่ายๆ ซะว่าตายเพราะมะเร็ง แก่แล้ว แล้วตายเพราะท้องเสียอะไรต่ออะไร เอ้า อย่าไปพูดนั้นสิ ตายเพราะเกิดนั่นแหละมันเป็นคู่กัน อย่างนี้เราควรจะเตรียมและไปหาที่พึ่ง ไปหาสรณะของเราจริง ที่พึ่งที่สรณะของเราที่แท้จริงนั้นก็คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทีนี้พระพุทธก็คืออะไร พระธรรมคืออะไร พระสงฆ์คืออะไร เราก็พูดไปหลายครั้งที่สมาทานศีลแล้วเราก็ต้องรับพระศรีรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเป็นสรณะแล้วก็พูดไปว่าพุทธัง สะระนัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ และทุติยัมปิ ครั้งที่สอง ตะติยัมปิ ครั้งที่สามซะด้วย ให้สามรอบ เพื่อให้มันชัดเข้าไปว่าเรา ข้าพเจ้าถือไหว้พระพุทธเป็นที่พึ่งเป็นสรณะ ข้าพเจ้าถือไหว้พระธรรมและพระสงฆ์เป็นที่พึ่งเป็นสรณะของเรา ที่นี้ที่พึ่งก็คืออะไร สรณะคืออะไร ถ้าหากว่าเราดูศาลาโรงธรรมอันนี้ หรือว่าจะดูกุฏิวิหารของพระ หรือจะดูบ้านเรือนของเรา อันนั้นเป็นที่พึ่งไหม เป็นสรณะไหม มันเป็นที่อาศัย อันนี้ก็อ้างท่านอาจารย์ชาว่าท่านเคยพูด แล้วอาตมารู้สึกก็อาจจะเล่าให้ญาติโยมต่อ ก็คือแค่เป็นเพียงที่อาศัย ศาลานี้ก็อาศัยได้ พวกตุ๊กแกพวกจิ้งจกอะไรอาศัยได้ทั้งนั้น มันเป็นเพียงที่อาศัยไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้ ร่างกายอันนี้ก็เหมือนกัน เป็นที่อาศัย อาศัยชั่วคราวเพราะว่าเมื่อเราถึงวันสุดท้ายลมหายใจของเราก็ขัดๆ ฝืดๆ เหมือนจะหมดนั่นล่ะ ร่างกายนี้เราก็ถือมันมาลากไปลากมาหลายปี มันก็ยังต้องทิ้งอยู่มันก็เพียงที่อาศัย หรือเขาเอาไปด้วยเคยเห็นสักคนไหม ไม่เคยเห็นอาตมาไม่เคยเห็น ถ้าคนเคยเห็นไหนก็ยกมือดูสิ มีไหมเคยเห็นเขาเอาร่างไปด้วยไหม ไม่เห็นหรอก เขาทิ้งที่นี่ทุกคน นั่นแหละก็แสดงว่าเป็นเพียงที่อาศัย ทีนี้ที่พึ่งนั้นก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราต้องดูให้ชัดเจนว่าคืออะไร พุทธะ พุทธะก็แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทีนี้ใครเป็นผู้รู้ ถ้าหลวงพ่อท่านก็เป็นผู้รู้ ท่านก็ได้รู้เฉพาะท่านเอง ท่านจะไปรู้แทนเราก็ไม่ได้ อาตมาก็เหมือนกันถ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่แล้วมันก็เบิกบานคนเดียว ตื่นคนเดียว รู้คนเดียว ญาติโยมจะไปรู้ที่ไหน จะไปกราบไหว้พระดีๆ องค์อยู่ที่ไหนไม่รู้ จังหวัดอะไรไม่รู้ ไปกราบไปไหว้ว่าดีๆ ว่าอย่างนั้น มันก็สวยเฉยๆ ที่จริง อันนั้นก็ที่อาศัยเหมือนกัน อาศัยพึ่งใจแต่ว่าก็ไม่ใช่ของแท้ยังเป็นของปลอม เพราะเพียงเป็นวัตถุเขาหล่อขึ้นมาประกอบปั้นขึ้นมาแล้วก็ว่าเป็นพุทธรูป แต่รูปนั่น รูปไม่เที่ยง ท่านก็พูดชัดๆ อยู่ว่ารูปไม่เที่ยง ไม่แน่นอน รูปพระก็ดีรูปอะไรก็ดีก็ไม่เที่ยงทั้งนั้น อันนั้นตกลงว่าไม่ใช่พุทธเจ้า พุทธเจ้าคือผู้รู้ แล้วจะไปหาผู้รู้ที่ไหน ผู้รู้ต้องรู้ภายในจิต ถ้าพูดถึงธรรมะท่านให้น้อมเข้ามาว่า โอปนี ควรน้อมเข้ามาในตัว ปัจจัตตัง ให้รู้ได้เฉพาะตนเอง ผู้อื่นก็บอกไม่ได้ รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด อย่างนี้ รู้ว่าศีลครบแล้วหรือยัง เราภาวนาแล้วหรือยัง รู้ๆ อย่างชัดเจน นี่ก็คือผู้รู้ ผู้รู้นั่นอยู่ภายในจิตใจของคนแต่ละคน ไม่ใช่อยู่ภายนอก นี่ก็ที่พึ่งที่แท้จริงของเรา เราต้องสร้างจิตใจให้เป็นผู้รู้จริงๆ พอว่าเรารู้จนเค้าพูดว่ารู้ รู้แล้วแต่ยังไม่รู้เฉยๆ ความรู้ ...... (27.00) ตื่น ว่าเบิกบานมันจะมีอยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้เฉยๆ เมื่อรู้แล้ว มันก็ ...... (27.06) ไม่รู้มันก็หายไป มันก็เหลือแต่ความรู้ ท่านเรียกว่าจิตเดิม ท่านพุทธทาสว่าจิตเดิมๆ นั่นแหละก็เป็นผู้รู้ รู้ตลอดมา แต่ว่าอาสวะกิเลสตัณหาทั้งหลายนั้นมันมาครอบงำเลยไม่เห็น จำเป็นว่าต้องประพฤติต้องปฏิบัติ ทีนี้พระธรรมก็คือธรรมะคือคำสั่งสอนของท่าน พูดง่ายๆ ธรรมะก็คือความเป็นจริง ธรรมะนี้มันก็อยู่ทั่วไป ที่ไม่มีธรรมะไม่มี ไปที่ไหนมาที่ไหนมันก็ดูมันก็เห็นแต่ธรรมะ ถ้าผู้ดูแล้ว ถ้าเป็นผู้รู้แล้วอะไรๆ เป็นบทเรียนเป็นการศึกษาเป็นการน้อมเข้ามาในจิตในใจของตัวเองให้เกิดความรู้ทั้งนั้น นี้ก็คือธรรมะ ท่านก็บอกว่าใครเห็นธรรมคนนั้นก็เห็นเรา ใครเห็นเราก็เห็นธรรม ใครเห็นธรรมก็เห็นเรา ก็พูดกลับไปกลับมา ก็ตกลง พุทธะผู้รู้นั้นก็รู้ธรรมรู้ความเป็นจริง มันก็จะแยกตรงไหน มันก็ตกลงอันเดียวกันก็เป็นที่พึ่งที่สรณะของเราก็คือผู้รู้ภายในรู้ดีรู้ชั่วรู้ตามความเป็นจริงรู้สิ่งที่ควรสิ่งที่ไม่ควร ที่นี้พระสงฆ์ สงฆ์เราก็ว่า สุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายะปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติตรง ปฏิบัติตามธรรมะ ปฏิบัติสมควร ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แล้วแต่จะแปล มันก็แปลว่าคนที่ปฏิบัติตามธรรมะ ตามความเป็นจริง ตามคำสั่งสอนคือเป็นผู้รู้นั่นเอง ที่ปฏิบัติดีตรง ปฏิบัติชอบ มันก็ตกลงพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานก็ทำตามธรรมะ ถ้าทำตามธรรมะมันก็ต้องเป็นสงฆ์ ต้องเป็นสงฆ์บริบูรณ์เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วก็น้อมเข้ามา น้อมเข้ามานั้นเหมือนกับการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมันก็ผ่านการน้อมเข้ามาในจิตในใจของตัวเอง มันก็ต้องเป็นเรื่องปกติของจิตใจ เพราะว่าปกติจิตใจที่ว่า ใจยังไม่ปกตินะ ใจยังไม่ปกติมันก็น้อมออกไปๆ น้อมภรรยาบ้าง ไปนอบน้อมสามีบ้าง ไปนอบน้อมเมียน้อยบ้าง ไปนอบน้อมหมอบ้าง ไปนอบน้อมอะไรต่ออะไรสารพัดอย่างนอบน้อมตนอะไรต่ออะไร นี่มันไม่ใช่น้อมเข้ามามันน้อมออกไป นี่ท่านว่าเชื่อตามความงมงาย ถ้าเราจะน้อมเข้ามาหาที่พึ่งที่สรณะที่แท้จริงมันก็ต้องน้อมเข้ามาในจิตในใจของเรา
ฉะนั้นวันนี้ก็อาตมาได้โอกาสเล็กน้อยมาพูด ไม่ได้ว่าจะพูดมากหรอก มันก็เลยเป็นกันเองออกมาเอง อันใดอันหนึ่งที่ว่าอาจจะขัดข้องหรือว่าผิดพลาดไปเรื่องภาษาก็ดี เรื่องประเพณี แต่อาตมาพูดด้วยความเมตตาและก็พูดไปอย่าไปเชื่อ อย่าไปเชื่อเด็ดขาด ให้ไปคิด ไปพินิจพิจารณา เอาไปภาวนานั่นแหละ ถ้าดีชอบแล้วเห็นสมควรแล้วเราก็ไปนำปฏิบัติ อันนี้เป็นชาวพุทธที่แท้ก็ต้องน้อมเข้ามาไปนึกไปพินิจพิจารณา เห็นเหตุผลสมควรแล้วๆ ก็ไปนำปฏิบัติในชีวิตของเราต่อไป ฉะนั้นวันนี้ก็ได้โอกาสมาปาศรัย ปาฐกถาธรรม จริงๆ อาตมาก็พระน้อยหรอกแต่ตัวใหญ่เฉยๆ อายุพรรษายังน้อย ปัญญายังน้อยแต่เราก็พูดตามประสบการณ์และที่ได้ศึกษากันมา ในวันนี้ก็ขอแสดงความยินดีหลวงพ่อที่ให้โอกาสมาพูดกับญาติโยม และญาติโยมทุกคนก็ขอให้มีความสุขความเจริญในชีวิตให้ได้เจริญในศีลธรรม ในพระพุทธศาสนาให้งดงามให้สมควรแก่ชาวพุทธนั้นให้อยู่เย็นเป็นสุข ท่านว่าถ้าไม่เย็นก็ไม่สุขสิ ต้องให้ทั้งเย็นทั้งสุข เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ (32.07)
ท่านปภากโรพูด 30 นาทีเท่านั้นเอง ความจริงพูดอีกได้ก็เยอะ แต่ว่ายืนพูดไม่เหมือนนั่งพูด พวกเราได้ฟังที่ท่านได้พูดจาแนะนำในเรื่องที่ท่านปรารภให้ฟังอย่างธรรมดาๆ หมายความว่าเป็นเรื่องออกมาจากใจสู่ใจของญาติโยมทั้งหลาย พูดจากความรู้สึกที่เคยศึกษาเคยปฏิบัติในสำนักของอาจารย์มา รู้อย่างใดเห็นอย่างใดได้ทำมาอย่างไรก็เอามาแสดงให้เราทั้งหลายได้ยินได้ฟังกัน ที่เราได้ยินได้ฟังนี้ก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า ท่านเป็นชาวตะวันตกคือคนอเมริกันแล้วก็มาศึกษาพุทธศาสนาศึกษาแล้วเห็นเหตุเห็นผลในน้ำธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงได้มาบวชมาเรียน บวชจริงเรียนจริงปฏิบัติจริง ก็ได้ประโยชน์คือมีความสงบ มีความเย็นใจก็ไม่อยากจะกลับไปอย่างที่เคยเป็น ที่เป็นมาก่อนบวชอย่างไรนั้นทิ้งไปหมด เรียกว่าตายหมดแล้วแล้วมาเกิดใหม่ เกิดในฐานะเป็นศากยบุตรคือบุตรของพระพุทธเจ้าผู้เป็นศากยะ และก็มีความสุขความเย็นใจอยู่มาด้วยความเรียบร้อยหลายปีแล้ว หลายพรรษา ๑๓ พรรษาแล้วก็ไม่ใช่น้อยแล้ว อยู่มาเกิน ๑๐ แล้ว นี่เกิน ๑๐ เค้าเรียกว่าเป็นพระเถระแล้ว เป็นมหาเถระแล้ว เกิน ๑๐ พรรษานี่เป็นมหาเถระ เป็นพระผู้ใหญ่ เวลานี้ก็ไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษคือไปช่วยกัน ช่วยกันทำงานประกาศธรรมะให้แก่ชาวตะวันตก ไม่ได้ไปชักชวนเขาให้มาเป็นพุทธบริษัท ไม่ได้ไปชวนให้เขาเลิกนับถือศาสนาที่เขาเคยนับถือมา เขาจะเป็นอะไรนั้นก็ตามใจเขา แต่ว่าไปบอกให้เขารู้ว่า ลองเดินทางนี้ แล้วเขาก็ฟังเสียงเชื่อว่าน่าจะลองดู เพราะว่าชาวตะวันตกนี้เขาอยากทดสอบ อยากศึกษาหาเหตุหาผลในเรื่องที่เขาสนใจ เพราะเขาสอนกันมาอย่างนั้น เขาก็มาทดสอบในเชิงปฏิบัติมาทำกันอย่างจริงจัง ฝรั่งนี่เขาทำอะไรเขาทำจริง เวลาปฏิบัตินี่เขาก็ต้องมาปฏิบัติติดต่อ ๗ วันบ้าง ๑๐ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง เขามาวัดนี่เขามาเพื่อการปฏิบัติ เพื่อการศึกษาอย่างแท้จริง เมื่อเขาทำไปๆ ก็เห็นผลจากการกระทำว่าทำให้ใจสงบขึ้นให้มีความสุขขึ้น สำหรับความสุขทางกายนี่เขามีสมบูรณ์แล้ว เพราะบ้านเมืองเขาเจริญในทางด้านวัตถุ อำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง จะไปไหนมาไหน จะกินอะไรจะใช้อะไรมันเป็นเรื่องสะดวกไปหมดแล้ว แต่ว่ามันยังไม่มีความสุขทางใจที่แท้จริงอันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องธรรมดาของคนเรายังมีความทุกข์ทางใจ มีปัญหา ไม่ใช่ว่าคนเมืองอเมริกาซึ่งเจริญจะไม่มีความทุกข์ หรือคนในยุโรปทุกประเทศที่มีความเจริญจะไม่มีความทุกข์ เราไปเห็นถนนใหญ่รถยนต์วิ่งเต็มไป คนก็ไปมา มีบ้านช่องใหญ่โต เรานึกว่าเขาไม่มีความทุกข์อย่างนั้น ไม่ใช่ เขาก็มีความทุกข์เหมือนกัน มีปัญหาทางใจเหมือนกัน แล้วก็หาทางอยู่ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เขาจึงเที่ยวแสวงหาทางแก้ ฝรั่งหนุ่มๆ สาวๆ ที่มาเดินเพ่นพ่านอยู่ในบ้านเมืองของเรานั้นก็มีไม่ใช่น้อยเป็นพวกที่เที่ยวแสวงหาว่าอะไรเป็นทางแก้ปัญหา หรือพูดตามแนวพระสูตรของเรา เขาว่า แสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศลอย่างแท้จริง เขาเที่ยวหาเรื่อยๆ ไป อันนี้ถ้ามาพบธรรมะจากครูบาอาจารย์ หรือว่าจากหนังสือที่เขาได้อ่านได้ศึกษา เขาก็พอเห็นทาง เมื่อเห็นทางแล้ว เขาก็อยากจะเดินทาง คือเห็นแล้วไม่ใช่ไปยืนดูอยู่ต้นทาง ยืนดูเฉยๆ มันไม่ไปถึงจุดหมายปลายทาง เขาก็เลยลงมือเดินทางคือมาปฏิบัติ เมื่อมาปฏิบัติเข้า เขาก็ค่อยได้รับผลมากขึ้นทางจิตใจ แล้วก็สบายใจ เมื่อตัวสบายใจแล้วก็ประกาศออกมาเองว่าเขาเป็นพุทธะ หมายความว่าเขาเป็นผู้รู้ เขาเป็นผู้ตื่น เขาเป็นผู้มีความเบิกบานแจ่มใส เมื่อก่อนนั้นเขาไม่รู้ เขาไม่ได้ตื่น เขาไม่ได้มีความเบิกบานแจ่มใส เขา ...... (37.59) ไหลมัวเมาในอะไรๆ ต่างๆ แล้วก็มีความทุกข์จากเรื่องนั้นมากมายก่ายกอง ครั้นมาพบเส้นทางใหม่ที่พระพุทธเจ้าชี้ไว้ พระนำไปสอนไปประกาศให้เขาเข้าใจ เขาก็ทดสอบปฏิบัติ เลยเขาเป็นผู้รู้ขึ้น เขาเป็นชาวพุทธโดยการปฏิบัติด้วยตัวของเขาเอง แล้วก็เป็นอย่างมั่นคง เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วเป็นอย่างมั่นคง จะไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นผู้ไม่รู้ ผู้ไม่ตื่น ผู้ไม่เบิกบานแจ่มใสอีกต่อไป เป็นผู้รู้ตลอดไป นี่ผลที่เขาได้รับ ฝรั่งเขามาใหม่ๆ เขาอาจจะไม่รู้ประเพณี เช่น เขาไม่รู้ว่าจะกราบพระอย่างไร จะนั่งอย่างไร อะไรอย่างไร ไม่เป็นไร ถ้าที่ไปสอนนี่เขาไม่สนใจในเรื่องนั้นก่อน คือไม่ไปกวนให้เขายุ่งใจในเรื่องปัญหานั้นๆ แต่ว่าแนะแนวทางให้ปฏิบัติ ให้เขาปฏิบัติ จะปฏิบัติอย่างไรก็ตาม ให้ทำใจอย่างนั้น จะนั่งทำ เดินทำ หรือว่าจะทำที่ไหนอะไรก็ได้ แต่ว่าส่วนมากเขารู้แล้วเขาก็มาทำที่สำนักซึ่งมีสถานที่ให้เขากระทำ เขาต้องการปลีกออกมาจากหมู่จากคณะ สมัยก่อนนี้คณะท่านสุเมโธไปอยู่ที่ในเมือง ในเมืองที่แห่งหนึ่งเขาเรียกว่า แฮมสเตด ที่มันก็เล็กเก่าแก่ไม่พอใช้สำหรับผู้ที่มาศึกษามาปฏิบัติ ย้ายไปอยู่ที่วัดป่าจิตตวิเวก ที่... (39.49) ก็ได้ที่กว้างขวางขึ้น แต่ว่าเมื่ออยู่ไปๆ คนเขาอยากจะมาปฏิบัติมากขึ้น เรือนหลังหนึ่งนั้นไม่พอให้อยู่ พระอยู่ก็เต็มไปซะหมดแล้ว บ้านเล็กๆ ริมหนองก็แม่ชีอยู่ก็เต็มแล้ว หญิงชายต้องการมาปฏิบัติก็ไม่สะดวก เขามองหาทางว่าจะช่วยเขาอย่างไร คนที่แสวงหาทางดับทุกข์มีอยู่เพิ่มขึ้น เราก็ต้องช่วยให้ความสะดวกแก่เขา เลยไปซื้อที่ใหม่ที่เหมือนท่านว่าเมื่อสักครู่นี้ ที่ใหม่นี้อยู่ใกล้ลอนดอนประมาณ ๔๐ กิโล ไม่ไกล ขนาดปากเกร็ดไปรังสิต เลยรังสิตนิดหน่อย นับว่าสะดวกแก่คนที่จะไปจะมา แล้วก็มีอาคารเรียบร้อยหลายหลัง ก็เป็นโรงเรียนกินนอนมาก่อน ผู้ที่สนใจอยากจะมาพักผ่อนมาปฏิบัติก็สะดวกขึ้นแก่ผู้ที่ต้องการธรรมะด้วยการปฏิบัติ แล้วท่านปภากโรนี้ก็ไปอยู่นั่น ไปช่วยท่านสุเมโธ ไม่ใช่อยู่เฉยๆ นะ ที่ไปอยู่เพราะว่าบ้านที่ซื้อมานี่ก็ต้องซ่อมนั่นแต่งนี่ อะไรมันขาดตกบกพร่องก็ทำงานกันเรื่อย พระที่ไปสอนธรรมะนี่ ท่านปฏิบัติธรรมด้วยการทำงานด้วย เหมือนที่ท่านพุทธทาสว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นพระนี่ทำงาน ทำงานกันทุกรูป ตื่นแต่เช้า พอทำวัตรสวดมนต์นั่งสงบจิตใจแล้วทุกรูปไปทำงานหมด ทำงานตามหน้าที่ที่ตัวจะทำได้ ไม่มีใครใช้ ไม่มีใครใช้ว่าคุณไปทำนั่นนะ คุณไปทำนี่นะ ไม่ต้องใช้ ทุกรูปรู้จักหน้าที่ของตัว ผู้ปฏิบัติธรรมนั่นย่อมเป็นผู้รู้จักหน้าที่ของตัว รู้ว่าเราควรทำอะไรกับบุคคล กับเหตุการณ์ กับสถานที่ที่ เราเข้าไปเกี่ยวข้องแล้วก็ทำ เป็นผู้ไม่ดูดายไม่นิ่งเฉยอย่างนี้เรียกว่าเขาปฏิบัติธรรมะด้วยการทำงาน เคยสังเกตเห็นว่าเวลามีงานมีการ คนมาช่วยงานเยอะ แต่มานั่งทั้งนั้น มานั่ง มีคนสักคนหนึ่งสองคนไปยกนั่นยกนี่อะไร นอกนั้นนั่งดู นั่งดูทั้งนั้น คนแก่แล้วไม่ว่า เรียกว่ากำลังมันไม่ค่อยมีแล้ว แต่ว่าคนหนุ่มๆ นี่ก็นั่งดูเหมือนกัน อ้าวมาเลยบอกว่าให้มาช่วยงานหรือมานั่งกันนะโยมนี่นะ บอกว่าถ้ามาช่วยงานมันต้องช่วย ไม่ใช่มานั่งดู มานั่งดูเขาทำงานนี่ไม่ได้มาช่วยงานอะไร จะช่วยเวลารับประทานอาหารอย่างเดียวเท่านั้น แต่ว่าไม่ได้ช่วยด้วยการกระทำ พอพูดอย่างนั้น ลุกขึ้นกุลีกุจอไปช่วยยกนั่นช่วยยกนี่ อันนี้คือไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว เขาไม่รู้เลยต้องบอกให้เขารู้ว่ามันต้องทำงาน ว่าเรามาช่วยงานนี่ก็ต้องทำงาน มองอยู่ตามี หูมี ปัญญามี ใจมี ก็มองว่าเราควรทำอะไร เราควรช่วยอะไร อย่าเป็นคนดูเฉยๆ อย่านั่งดู อย่ายืนดู แต่ว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง ถามตัวเองว่าฉันพอจะรับใช้ใครได้บ้างในที่นี้ จะรับใช้ใครได้บ้าง จะรับใช้ด้วยการทำอะไรได้บ้าง การคิดอย่างนั้นเป็นความคิดของผู้มีธรรมประจำจิตใจ คือว่ามีความเสียสละ มีการให้ แต่ถ้าไม่คิดอย่างนั้นก็เรียกว่ายังไม่ให้ ยังไม่ได้ทำทานด้วยการช่วยเหลือคนอื่นในหน้าที่อันเราจะต้องจับต้องทำ เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นว่าอะไรทำได้ก็ทำได้ เห็นเขากวาดขยะ มีไม้กวาดวางอยู่ เราไปช่วยกวาด เห็นเขาทำอะไรมีเรื่องจะพอทำได้เราเข้าไปช่วยทำ การทำอย่างนั้นนะทำให้เราได้มิตร ได้พรรคได้พวก เพราะเมื่อไปทำงานร่วมเขาก็รู้สนใจในเราแล้วก็คุยกัน ก็รู้กันว่าใครเป็นใคร เราก็ได้พรรคได้พวก เช่นไปในที่ไหนเห็นเขาทำอะไรเข้าไปทำก็ได้เป็นมิตรกับพวกนั้น เรียกว่าเป็นสหาย คำว่าสหายนี่หมายความว่า ผู้ร่วมงานกัน สหายคือผู้ร่วมงาน ใครทำอะไรเราเข้าไปร่วม ก็เรียกว่าเราเป็นสหายกับคนพวกนั้น เป็นสหายในการจัดของ เป็นสหายในการทำนู่นทำนี่ เป็นสหาย สหายนี่เป็นผู้ที่จำเป็นเมื่อมีงานเกิดขึ้น ถ้ามีงานแล้วต้องการสหาย คือต้องการผู้ร่วมงาน อันนี้เราไปเห็นใครทำอะไร เราก็เข้าไปร่วมนี่เท่ากับว่าเราไปสมัครเป็นสหายกับคนเหล่านั้น หรือเราเข้าไปอาสาทำงานให้แก่คนเหล่านั้น การกระทำอย่างนั้นเป็นรูปของการปฏิบัติธรรมและต้องการมากในบ้านเมืองของเรา ทั่วๆ ไปยังต้องการสิ่งนี้อยู่ที่จะให้ช่วยจัดช่วยทำ เช่นพระอยู่ในวัดนี่บางทีก็ไม่เป็นสหายในการทำงานยังไม่มีความคิดที่จะทำอะไร เขากวาดขยะไม่มากวาด เขาทำอะไรก็ไม่มาทำ อย่างนี้เรียกว่า ยังไม่ประพฤติธรรม ยังไม่เป็นสหายร่วมธรรมะกับผู้อื่นที่เขากำลังทำอะไรกันอยู่ มันบกพร่อง ถ้าเราทำอย่างนั้น ทีนี้ถ้าว่าทุกคนช่วยกันทำ งานใหญ่มันกลายเป็นงานเล็กน้อย เป็นงานไม่หนักอะไร ก็ช่วยกันจัดช่วยกันทำ พระท่านทำอย่างนั้น ฝึกหัดมาในสำนักหลวงพ่อชาก็ฝึกมาอย่างนั้นสม่ำเสมอ เหมือนพระที่วัดป่าพอฉันอาหารเสร็จ ลุกขึ้นจับไม้กวาด จับนั้นจับนี่ กวาดนั่นถูนี่ทำกันทุกองค์ เป็นวัตร ทำเป็นกิจวัตรประจำเลยก็ชินเป็นนิสัย เวลาไปอยู่ที่ไหนก็เป็นนิสัย เราไปอยู่บ้านใครถ้าเราลุกขึ้นกวาดบ้านให้เขา เขาคงไม่ว่าอะไร เขาก็นึกว่าไม่ต้องๆ แต่ว่าเราก็กวาดเรื่อยๆ ไป ผมมันเคยกวาดบ้านอยู่บ้านมันเคยมาอยู่นี่ก็ต้องทำไปตามเคย เขาก็รู้ว่าเราเป็นคนขยันเอางานเอาการเป็นคนไม่ดูดายไม่นิ่งเฉยมันก็ดีมีประโยชน์ พระที่ท่านอยู่นั่นท่านจึงทำทุกอย่าง ซ่อมแซมกุฏิ ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย หลังคารั่วก็ปีนขึ้นไปซ่อม ฝามันแตกก็ไปเอาอิฐผุๆ ออก เช่นที่ ...... (46.59) นี่มันเก่าอายุตั้ง ๑๑๘ ปีแล้ว อิฐบางก้อนมันยุ่ยเปิดออกชักออก เอาอิฐใหม่ใส่เข้าไปเอาน้ำยาฉีดเข้าไป เห็นพระ ...... (47.15) ไอนี่ฉีดเข้าไปแล้วอยู่ได้อีก ๕๐๐ ปี แต่ว่าเขาฉีดน้ำยาวัตถุเคมีเข้าไปในอิฐทำให้อิฐแข็งไปอีกสัก ๕๐๐ ปี อยู่ได้ต่อไปท่านทำอย่างนั้น ทำงานทุกประเภท ในห้องน้ำก็เข้าไปถูห้องน้ำ ไปเช็ดกระจก ที่อ่างล้างหน้า ในห้องส้วม โรงในครัว รอบๆ กุฏิวัดที่อยู่อาศัย ในสนามหญ้า เช้าๆ เวลาน้อย แต่ว่าตอนบ่ายก็ทำกันอีก ทุกรูปทำนะไม่ได้อยู่นิ่งอยู่เฉย เพราะถือว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรม เคลื่อนไหวอยู่ในตัว จิตใจก็ไม่ฟุ้งซ่าน เพราะว่าใจมันไปอยู่กับงาน ใจจดจ่ออยู่กับงานสมาธิอยู่กับงานแล้ว มันก็เป็นการภาวนาไปด้วยในตัว ในการที่เราทำอย่างนั้น เขาทำกันอย่างนี้ตลอดเวลา ฝรั่งมาเห็นเขาก็อ่อน่าประทับใจ พระเหล่านี้อยู่กันอย่างนี้ปฏิบัติกันอยู่อย่างนี้ เขาก็พอใจแล้ว เรียกว่าพอเห็นนี่มันเป็นประทับใจแล้ว ถ้าเรียกว่าเป็นทัศนานุตริยะ ตามแบบธรรมะเรียกว่าทัศนานุตริยะ คือได้เห็นบุคคลผู้ประเสริฐ เห็นคนดีเห็นคนเจริญเห็นคนจิตใจสงบเป็นสมณะ เขาเรียกว่าทัศนานุตริยะ เป็นเบื้องต้นที่จะให้เกิดการปฏิบัติต่อไปแล้วก็จะได้หลุดพ้นจากตัณหาด้วยประการต่างๆ อันนี้คือเหตุการณ์ที่พระท่านไปอยู่ในที่นั้นทำงานทำการ แต่ว่า อมราวดีนี่ คือที่ใหม่นี่ชื่อว่าอมราวดี ชื่อเพราะ อมราวดีเป็นชื่อที่มีความหมายลึกซึ้ง แปลว่าไม่ตาย สถานที่ที่ ไม่ตาย ที่ไม่ตายก็เพราะว่าเราประพฤติธรรม เมื่อถึงธรรมะก็เรียกว่าผู้ไม่ตาย ทำไมจึงไม่ตายเพราะไม่เกิด เมื่อไม่เกิดมันก็ไม่ตาย นี่เรายังเกิดอยู่ยังตายอยู่ เกิดเพราะอะไร เกิดความยึดถือในชีวิตในร่างกายในทรัพย์สมบัติในนั้นในนี้เรียกว่ายังเกิดอยู่ เกิดทุกเวลานาที เกิดไม่รู้จบเกิดไม่รู้สิ้น เพราะยังมีความยึดถือในตัวตนแล้วก็เกิด ... (49.46) อะไรต่ออะไรขึ้นมา กิเลสก็เกิดตามมา เกิดความโลภ เกิดความโกรธ ความหลงริษยา พยาบาท อะไรต่างๆ เกิดมาเรื่อยๆ เมื่อมีเกิด มันก็มีตายกันไปโดยลำดับ แต่ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดสิ่งนั้นก็ไม่มีให้ตาย ที่ใดมีเกิดที่นั้นมีตาย ที่ใดไม่มีเกิดที่นั้นไม่มีตาย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสกับภิกษุปัญจวัคคีย์เวลาไปพบใหม่ๆ บอกว่า เราได้พบอมฤตธรรมแล้ว อมตะธรรมแล้ว อมตะแปลว่าไม่ตาย อมฤตก็ไม่ตายเหมือนกันแต่เป็นคำสันสกฤต บาลีเรียกว่าอมตะ ได้พบสิ่งที่เรียกว่าไม่ตายแล้ว ปัญจวัคคีย์ก็นึกในใจ โอ่ไม่เคยได้ยินคำนี้ ก่อนนี้ท่านไม่เคยพูดคำนี้ คงจะมีอะไรๆ ประหลาดเกิดขึ้นในน้ำใจของพระองค์แล้ว ต้องฟังกันหน่อย เลยก็ตั้งใจฟังธรรม พระองค์บอกได้พบอมตะธรรมแล้ว เมื่อพบอมตะธรรมก็ไม่ตาย ใจไม่ตาย ร่างกายนะมันตายตามเรื่องนะ เพราะร่างกายนั่นมันเป็นเปลือก แต่ว่าคุณค่าทางจิตใจที่เกิดขึ้นแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่มีอะไรมาทำให้เกิด-ตายอีกต่อไปจึงเรียกว่าไม่ตาย พูดถึงนิพพานก็คือผู้ไม่ตาย คนไม่รู้ว่า เห็นตายนี่ พระพุทธเจ้าก็ตายใครๆ ก็ตาย เขาว่าอย่างนั้น พวกนักสอนศาสนาคริสต์ก็ไปสอนชาวบ้านบ้านนอกบอกว่าพระพุทธเจ้าตายแล้วไม่ใช่หรือ ชาวบ้านก็ตอบตามตรงไปตรงมาว่าตายแล้ว นิพพานแล้ว นิพพานตายใช่ไหม บอกก็ใช่ พระพุทธเจ้าตายแล้วจะช่วยอะไรได้ มันตอบกลับไปตรงนั้น ตอบกลับไปว่าพระพุทธเจ้าตายแล้วจะช่วยอะไรได้ แต่พระเยซูสิยังไม่ตายเวลานี้อยู่ในสวรรค์คอยจะช่วยเหลือพวกเราทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา คนบ้านนอกขาดการศึกษาไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร เขาว่าอย่างนั้นก็เลยเชื่อไปแล้วก็ไปเป็นคริสเตียนไป เพราะว่าไม่รู้นั่นเอง ถ้าว่าเป็นคนมีการศึกษาถามหน่อยว่า เอ๊ะ พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนนั้นไว้ไม่ตาย ถูกเขาแทงด้วยหอกยังไม่ตาย จะไปอยู่สวรรค์ได้อย่างไร คนเป็นๆ หรือว่าเอาร่างไปสวรรค์นี้ไปได้หรือยังไม่เคยเห็นเลย ไม่เห็นใครเอาร่างไปสวรรค์เลย นอกจากหนังตะลุงมันแสดงเท่านั้น หนังตะลุงมันจะเหาะไปเลย ไปสวรรค์แล้ว ลงมาได้ แต่ถ้าคนธรรมดาไม่ใช่เรื่องตลกละครหรือนิยายมันจะไปได้อย่างไร ก็มีข้อสงสัย แต่ว่าเมื่อไม่สงสัยก็เพราะไม่คิด ไม่คิดมันก็ไม่สงสัย เมื่อไม่สงสัยก็เป็นคนเชื่อง่าย เขาบอกอะไรก็รับเอาทั้งนั้น อันนี้พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่ารับง่ายๆ อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ฟังหูไว้หู ภาษาไทยเรียกว่าฟังหูไว้หู หูขวาฟังแต่หูซ้ายต้องคิดก่อน มันไม่ใช่เชื่อสองหู ถ้าเชื่อสองหูแล้วมันก็งมงาย เชื่อง่าย ถูกเขาจูงให้ไปเป็นอะไรๆ ก็ได้ ประเทศตะวันตกก็มีความเชื่ออย่างนี้เหมือนกัน ในสมัยหนึ่งที่เราได้ยินข่าวหนังสือพิมพ์ว่า หัวหน้าศาสนาชวนคนไปตายด้วยการฆ่าตัวตายที่ประเทศกาน่าในอเมริกาใต้ ไปตายกันเป็นพันคน เรียกว่าไปตายพร้อมกัน ก็ผู้สอนสอนให้เชื่อ บอกว่าตายแล้วจะได้ชีวิตใหม่ จะได้อยู่ในสวรรค์ เขาไม่เข้าใจคำว่าชีวิตใหม่ ชีวิตใหม่ไม่ใช่ตายแล้วไปได้ มันได้ในชีวิตนี้ คือชีวิตที่เปลี่ยนจากดำไปสู่ขาวนี้เป็นชีวิตใหม่ เช่น เราเคยเป็นนักการพนันแล้วเรามาฟังพระเทศน์ เราเลิกเล่นการพนัน นี่ได้ชีวิตใหม่ เกิดใหม่แล้ว เกิดเป็นผู้ไม่เล่นการพนัน หรือคนขี้เมาหยำเป ตอนแรกฟังพระเทศน์ก็เลยเลิกดื่มเหล้า เลิกเสพสิ่งเสพติด เรียกว่าได้ชีวิตใหม่ ชีวิตใหม่คือชีวิตที่มีธรรมะประจำจิตใจเป็นชีวิตใหม่ ตายแล้วก็ได้ชีวิตใหม่นี่มันลำบากมองไม่ค่อยเห็นชัด มันเห็นกันตรงนี้ เราได้ชีวิตใหม่ นี่ญาติโยมหลายคนได้ชีวิตใหม่แล้ว เพราะว่าเมื่อก่อนไม่ค่อยได้เข้าวัด ต่อมาเข้าวัด เข้าวัดแล้วฟัง ฟังแล้วเข้าทีๆ แล้วก็มาฟังบ่อยๆ มาฟังทุกวันอาทิตย์ นี่ก็ได้ชีวิตใหม่ ไม่เหมือนเก่า อะไรๆ มันเปลี่ยนแปลงไป การเป็นอยู่ก็เปลี่ยนแปลงไป อารมณ์ที่มากระทบ เราก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ เป็นคนไม่ขึ้นไม่ลง เมื่อก่อนใครด่าก็ด่าตอบ ใครตีก็ตีตอบ ไม่ได้ฉันไม่ยอม มันลบเหลี่ยมกันนัก เดี่ยวนี้ไม่มีเหลี่ยมให้เขาลบแล้ว มันหมดเหลี่ยมไป เรียกว่าได้ชีวิตใหม่แล้วใจสบาย ใครด่าก็นั่งเฉยๆ มองเห็นเป็นของขำ น่าขำดี ให้เขาด่าเสียบ้างก็ดีเหมือนกันจะได้รู้กำลังใจว่าเรานี้มันอดทนได้ขนาดไหน ถ้าอยู่เฉยๆ ไม่มีคนมาด่าเลยนี่จะบอกว่าฉันไม่โกรธก็มันไม่แน่ เพราะยังไม่มีใครมาด่า พอมาด่าเข้าไม่โกรธ ใช้ได้ อดทนได้ ไม่ด่าตอบ ไม่ตีตอบ ก็เรียกว่าใช้ได้ แสดงว่าจิตเข้าถึงธรรมะ แต่ถ้าคนหนึ่งด่ามาด่าไปด่ากันใหญ่ คนเข้ามามุงดูเหมือนกับดูลิเกไม่เสียสตางค์ อย่างนี้มันก็เรียกว่าใจยังห่างจากคุณธรรม ห่างจากธรรมะ ไม่มีความอดทน ไม่มีความสงบเสงี่ยม ไม่มีปัญญารู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งนั้น ในเมื่อมันมากระทบจึงหวั่นไหวไปกับอารมณ์นั้นๆ ก็ทำให้เกิดจิตใจไม่สบาย สร้างปัญหาให้แก่ชีวิต ผู้ที่ถึงธรรมะใจสบาย ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส หนาวร้อนอ่อนแข็งอย่างไรก็ไม่หวั่นไหวกับสิ่งนั้น คือไม่ยินดีกับไม่ยินร้ายสองตัวเท่านั้นล่ะ ไม่มากอะไร ยินดีมันก็ไม่ดี ยินร้ายมันก็ไม่ดี อันที่ดีนั้นคือรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แล้วไม่ทำใจให้หลงใหลมัวเมาในสิ่งนั้น ยินดีสิ่งนั้น ยินร้ายสิ่งนั้น ใจเราก็ปลอดภัย เหมือนกับไม่มีสิ่งนั้นมากระทบ เรามั่นคงเหมือนหินซึ่งมั่นคง คลื่นสาดเท่าใดก็ไม่เป็นไร แต่ว่าสาดบ่อยๆ มันก็กร่อนเหมือนกัน ดูหินชายทะเลมันกร่อน ยังไม่แท้ หินนั้นยังไม่แท้ เอาเป็นตัวอย่างยังไม่ได้ มันต้องไม่กร่อน ใจเราต้องไม่กร่อน ไม่ผุด้วยอะไรๆ ที่มากระทบ ถ้าเรามีปัญญาเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ใช่อะไรเป็นของแท้ ของสมมติเกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป ได้พิจารณาไป มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไปแล้ว อีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไปแล้ว มันก็เท่านั้นเอง เกิดดับ เกิดดับ เท่านั้น จะไปจับตอนใดตอนหนึ่งว่าเป็นตัวเราก็ไม่ได้ ว่าเป็นของเราก็ไม่ได้ เพราะถ้าไปจับเข้ามันก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น อันนี้เราไม่อยากเป็นทุกข์จะไปจับมันทำไม เราต้องอยู่ด้วยจิตใจที่สงบสบาย ไม่มีความวุ่นวายเดือดร้อน อันนี้ก็ต้องคอยหมั่นตรวจสอบตัวเองไว้ทุกวันเวลา ตรวจสอบตัวเองว่าวันนี้จิตใจเราเป็นอย่างไร มีความเป็นตัวของตัวเองขนาดไหน ที่เรียกว่าเป็นตัวเองนี่ก็เป็นภาษาไทยที่เราพูดกัน ไม่ได้ ฉันมันต้องเป็นตัวเองบ้าง เป็นตัวเองทีไรเกิดเรื่องทุกที เพราะอะไร มันไม่ใช่ตัวแท้ ตัวโกรธบ้าง ตัวเกลียดบ้าง ตัวริษยาบ้าง เป็นตัวเอง ไม่ยอม ไม่ได้ เรามาเป็นตัวเองยอมให้ลูกมานานแล้ว วันนี้มันต้องสู้ นั่นมันไม่ใช่ตัวเองแล้ว มันเป็นตัวกิเลสแล้ว ตัวทิฐิ ตัวมานะ ความถือตนขึ้นมา ไม่ยอมๆ นี่ไม่ใช่ตัวเอง ตัวเองที่แท้นั้น ต้องไม่มีความรู้สึกอะไรในรูปอย่างนั้น อะไรมากระทบก็ไม่รู้สึกอะไร แต่มีสติปัญญากำหนดรู้ว่าสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ มันเพียงแต่ธรรมชาติที่มีสภาพเช่นนั้น เราจะไปเกี่ยวข้องอะไรมันก็ไม่ได้ อย่างนี้แล้วก็นั่งสบาย ใจมันสบาย เพราะไม่มีอะไรเกิดไม่มีอะไรดับ แล้วมองเห็นว่าตัวเราก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจะรับ ไม่มีอะไรจะเกิดจะมี ผู้ด่าก็ไม่มี ผู้ถูกด่าก็ไม่มี ผู้ทุกข์ก็ไม่มี ผู้ทำให้เป็นทุกข์ก็ไม่มี นั่นลึกซึ้ง เรียกว่าไม่มีอะไร มันต้องคิดไปเรื่อยๆ โดยลำดับ ค่อยเจริญปัญญาขึ้น มาวัดนี่อยู่มานานๆ ต้องคอยสอบถามตัวเองว่า เย็นขนาดไหน สงบขนาดไหน มีปัญญารู้เท่ารู้ทันสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริงขนาดไหน ต้องคอยสอบ ถ้าวันไหนมีอะไรเกิดขึ้น ก็บอกตัวเองว่า กลับไปสู่ที่เดิมอีกแล้ว วิ่งมาได้ครึ่งทางแล้ว กลับไปวิ่งมาใหม่ พอมาได้อีกหน่อยกลับไปวิ่งมาใหม่ ตั้งต้นอยู่อย่างนี้แล้ว มันจะถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไร ไม่ได้ มันต้องไปเรื่อยไป ระวังไว้ อย่าเผลอ อย่าประมาทในการกระทำ ในชีวิตประจำวัน สิ่งทั้งหลายก็จะเรียบร้อยเป็นไปด้วยดี
ท่านปภากโร ชื่อว่าปภากโร แปลว่า ผู้กระทำแสงสว่าง กระทำแสงสว่างให้แก่ตัวด้วย ให้แก่ผู้อื่นด้วย เวลานี้ไปกระทำแสงสว่างอยู่ที่เมืองอังกฤษ มาชั่วคราวและจะกลับไป อาตมาก็จะไปเหมือนกัน ไปเดือนพฤษภาคม ตอนนี้ยังไม่ไป เวลานี้กำลังสะสมทุนอยู่ สะสมทุนที่จะเอาไปช่วย สะสมโดยวิธีว่า ไปเทศน์ที่ไหน นั่งอุปชา ไปเทศน์หน้าศพ หรือว่าไปสวดมนต์แต่งงานตามบ้านตามช่องอะไรก็ตามใจ ได้ปัจจัยมาแล้วก็เข้าบัญชี มูลนิธิส่งเสริมการเผยแผ่พุทธศาสนาต่างประเทศ อันนี้ยังไม่ได้ประกาศทางโทรทัศน์จะประกาศต้นเดือนเมษายน ให้คนได้รับทราบ เพื่อจะได้รู้ว่า มีบ่อบุญเกิดขึ้นบ่อหนึ่งแล้ว เป็นบ่อบุญที่ไปต่างประเทศ ไปอังกฤษกับออสเตรเลีย เอาสองแห่งพอ หลายแห่งไม่ต้อง ที่อื่นเขามีกันแล้ว แล้วคนสงสัยว่า หลวงพ่อนี่หาปัจจัยไปช่วยพระฝรั่ง วัดไทยทำไมไม่ช่วย วัดไทยไม่ต้องช่วยเพราะรัฐบาลช่วยอยู่แล้ว พระวัดไทยยังได้เงินเดือนทุกเดือน ค่าอาหารก็ให้ อะไรๆ รัฐบาลให้ สบายใจแล้ว มีผู้อุปถัมภ์ มีพ่อเลี้ยงใหญ่ให้อยู่แล้ว แต่วัดฝรั่งนี่ไม่มีรัฐบาลอุปถัมภ์ มีแต่ประชาชนอุปถัมภ์ แล้วคนฝรั่งเองนั้น ยังไม่ถนัดในเรื่องให้ทาน กำลังหัดอยู่ แต่ว่าทำเป็นขึ้นบ้างแล้ว เช่นเวลามีงานมีการนี่ฝรั่งตักบาตรได้แล้ว ฝรั่งน้อยๆ หญิงชายตักบาตรนี่น่าเอ็นดู แต่ว่าทีวี วีดีโอเขาทำเหมือนกัน ยังทำไม่เป็นไม่เก่ง ไม่เอาภาพที่ควรออก ถ่ายคลุมๆ ไปอย่างนั้น ก็คนก็ไม่มาก เอามาดูแล้วมันไม่ค่อยมีเทคนิคเท่าไหร่ ไม่เก่ง มันต้องให้คนไทยทำ เช่นว่าภาพเด็กฝรั่งตักบาตรนี่น่าเอ็นดู พอเด็กฝรั่งมานั่ง คนฝรั่งมาทำอะไรเป็นภาพน่าดู อันนี้จะต้องพิจรณาใหม่ว่าต้องทำใหม่ คราวหน้าไปนี่ต้องทำใหม่ ต้องแนะแนวใหม่ วันนั้นนึกว่าแหมชั้นดีนะ ช่างภาพของบีบีซี เรียกว่า
ก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้