แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดก็มาด้วยวันนี้ วันนี้ทางโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ได้ปิดภาคในรอบปี เพราะว่าปิดให้นักเรียนไปกวดวิชาเพื่อสอบไล่ สอบไล่เสร็จแล้วก็รู้ว่าใครได้อย่างไร ต้องมีรางวัลกันพอสมควร รางวัลก็ไปเที่ยวขอจากทางธนาคาคที่มีเงินมากๆ เอามาแจกเด็กเสียบ้าง และเขาก็ให้มา ขอธนาคารไหนเขาก็ให้ได้มาแจกรางวัล แจกวุฒิบัตร แจกประกาศนียบัตร วุฒิบัตรนี่แจกสำหรับนักเรียนที่จบไปปีหนึ่งๆ ประกาศนียบัตรแจกนักเรียนที่เรียนมาถึง ๓ ปี ติดต่อกัน ก็ให้ประกาศนียบัตร และก็ให้รางวัลเรียนดี เรียนเด่น พวกที่ได้ทำดีเป็นพิเศษให้แก่กิจกรรมของโรงเรียน แล้วก็พวกที่มาเรียนไม่ขาดเลยทุกสัปดาห์ มีอยู่ ๘๐ คน แจกรางวัลปากกาคนละด้าม ห้างพาต้าเขาให้ เลยเอามาแจกเด็กๆ จะได้เอาไปเขียนหนังสือ และต่อไปเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันของทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายวัดฝ่ายบ้าน ทางวัดก็พระไปช่วยสอนวันอาทิตย์ ลูกๆ ก็ทำกันด้วยความตั้งใจ แล้วก็มีครูจากโรงเรียนต่างๆ มาช่วยสอน ก้ไม่ได้อะไร แต่ก็ให้รางวัลห่อใหญ่ แต่ว่าข้างในมันนิดเดียว ห่อกันใหญ่ๆ หน่อย แล้วก็ให้เทปลงไปด้วย ให้หนังสือ ส่วนมากเป็นครูที่มาเสียสละเพื่อประโยชน์แก่เด็กๆ ก็ให้รางวัลสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ตามสมควรแก่เรื่อง ถ้ามาจากวัดอื่นก็ให้รางวัลเหมือนกัน ให้ผ้าไตร ให้ปัจจัยสำหรับได้ใช้สอยบ้าง ส่วนพระที่วัดนี้ไม่ต้องให้ เพราะเป็นเจ้าของบ้าน ไม่ต้องให้รางวัลพิเศษ ให้รางวัลคือความสบายใจว่าได้ทำประโยชน์แก่นักเรียน แก่เด็ก แก่สำนักที่เราอยู่อาศัย แจกไปเรียบร้อยแล้ว แต่ว่ายังไม่จบ ยังแจกกันอยู่ วุฒิบัตรแจกต่อไป และตอนบ่ายเขาก็แสดงรีวิวอะไรต่ออะไร เด็กมันชอบสนุก ก็ให้มันสนุกหน่อย ในวันปิดภาคเรียนก็มีการทำพิธีอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง โยมฟังเทศน์แล้วไปดูก็ได้ที่หอประชุมใหญ่ข้างหลังโรงเรียน เป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งที่เราร่วมแรงร่วมใจกันทำ สร้างโรงเรียนขึ้น เด็กก็ได้มาเรียนเป็นปีที่ ๑๕ ของการตั้งโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ก็ทำเรื่อยไปตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ เพราะว่าเราอยู่เพื่องาน “งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน บันดาลสุข ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อทำงาน” อันนี้เป็นสโลแกน เป็นคำสำหรับท่องไว้ในใจ จะได้สบายใจ แล้ววันนี้ก็มีทหารผ่านศึก ชุดที่มาอบรมตามโครงการ “แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” มานั่งอยู่ข้างล่าง พวกผ่านศึกนี้ เขาเสียสละขาไปบ้าง แขนไปบ้าง ลูกตาไปบ้าง นิ้วมือไปบ้าง คนละเล็กคนละน้อย แต่ว่าจิตใจก็สบายอยู่ มารับการอบรม ๕ วัน ๕ คืน ที่นี่ ก็เป็นคนที่ได้เห็นคุณงามความดีของธรรมะ ตั้งใจประพฤติดีประพฤติชอบ วันนี้เขาชวนกันมาอีก ชวนกันมาวัด เพื่อมาให้หลวงพ่อได้เห้นหน้าว่ายังคิดถึงธรรมะอยู่ ยังปฏิบัติธรรมะอยู่ เห็นแล้วก็พลอยสบายใจว่าเขาได้เข้าถึงธรรมะ ตามนโยบายที่ได้ตั้งไว้ว่าปี ๒๕๒๘ เป็นปีแห่งการเข้าถึงธรรมะ เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงธรรมะ ได้มีธรรมะเป็นแสงสว่าง เป็นอาหารใจ เป็นยาแก้โรคใจ เป็นดวงประทีปส่องทางชีวิต การดำเนินชีวิตก็จะได้เป็นไปในทางที่เหมาะที่ควร เป็นประโยชน์ต่อตน ครอบครัว ตลอดจนต่อประเทศชาติต่อไป
วันก่อนได้พูดถึงเรื่องเข้าถึงธรรมะ เข้าถึงศีล หากพูดถึงเรื่องศีล ๕ ข้อ ที่แสดงให้ญาติโยมฟัง เมื่อวันก่อน แต่ว่ารวบรัดไปหน่อยในตอนนปลาย เพราะเวลามันใกล้จะหมด วันนี้จึงใคร่จะขอย้ำอีกสักหน่อยว่า ศีล ๕ ประการนี้ เป็นฐานของชีวิต เป็นฐานที่มันคง ถ้าใครยืนอยู่บนฐานของศีล ๕ ประการนี้แล้ว ก็จะมีความมั่นคง จะไม่ถูกภัยภายนอก-ภายในคุกคาม จะอยู่กันด้วยความสุขความสงบในครอบครัว ในการงาน และส่วนรวมคือประเทศชาติ เพราะถ้าเราคิดดูให้ดีแล้ว คนเราถ้าไม่ฆ่าไม่เบียดเบียนกัน ไม่ลักของกันและกัน ไม่ประพฤติล่วงเกินในเรื่องของรักของชอบใจกัน ไม่พูดจาโกหกหลอกลวงกัน ไม่เขียนหนังสือด่าว่าใครๆ ให้เสียหาย ศีลข้อ ๔ นี่เขียนด้วย เขียนก็ผิดศีลเหมือนกัน ส่วนมากไม่ได้คิด เอาแต่เรื่องพูด แต่จริงๆ เรื่องเขียนก็ผิดเหมือนกัน เพราะว่าใจคิดผิดแล้วจึงเขียนผิดออกไป มันเป็นบาปอยู่ที่ใจ เราไม่พูดไม่เขียนอะไรให้ใครเดือดร้อน ก็สบายใจ ไม่มีภัยจากใครๆ ไม่เสพของเสพติดมึนเมา ก็ปราศจากโรค สุขภาพทางกายสมบูรณ์ สุขภาพทางใจสมบูรณ์ ครอบครัวก็สมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเกิดสืบสายในครอบครัวนั้น เพราะงดเว้นจากสิ่งเสพติดให้โทษ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งรักษาชีวิต ทรัพย์สมบัติ ครอบครัว เกียรติการพูด และสุขภาพกายใจให้สมบูรณ์เรียบร้อย อย่าถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญ ความจริงศีลอันใดอื่นที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นนั้น ก็เป็นเครื่องช่วยให้ศีล ๕ สมบูรณ์ขึ้นนั่นเอง แต่ว่ามีเครื่องประกอบให้มากขึ้น
การรักษาศีลก็จะสมบูรณ์เรียบร้อยขึ้นตามหลักการที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงมีบัญญัติแต่งตั้งไว้ เพราะว่าคนเรา ๑) รักชีวิต ๒) รักทรัพย์สมบัติ ๓) รักครอบครัว ๔) รักที่จะได้ยินได้ฟังคำพูดอ่อนหวาน สมานสามัคคีมีประโยชน์ และ ๕) รักที่จะอยู่อย่างชนิดที่ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ อันนี้เป็นสามัญสำนึก เป็นความต้องการของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นคนมีการศึกษา-ไร้การศึกษา คนมั่งมี-คนยากจน เหมือนกันทั้งนั้น แม้สัตว์เดรัจฉาน มันก็ต้องการสงวนชีวิตของมัน ได้ของกินอะไรมามันก็หวงแหน เราคลุกข้าวให้แมวกินจานหนึ่ง ถ้าตัวอื่นจะมากินด้วย มันก็ไม่ยอม สุนัขมันก็ไม่ยอม อะไรมันก็ไม่ยอมทั้งนั้น มันหวงแหนในสิ่งที่มีสิ่งที่ได้ไว้ แล้วก็หวงแหนในคู่ครองของตัว ไม่อยากให้คนอื่นมาประทุษร้าย แต่สัตว์เดรัจฉานมันพูดภาษากันไม่รู้เรื่อง จึงไม่มีศีลข้อ ๔ ในหมู่สัตว์เดรัจฉาน คือมันเป็นอยู่ในตัวแล้ว เพราะมันไม่พูดไม่โกหกใคร ไม่ทำอะไรให้ใครเสียหายด้วยปากของมัน มันอาจกัดเอาบ้าง หากมันโกรธขึ้นมา แล้วก็ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับสุราเมรัย เพราะสัตว์เดรัจฉานค่อนข้างได้เปรียบมนุษย์ อย่างน้อยที่มันดื่มเหล้าไม่เป็น สูบกัญชาไม่เป็น สูบฝิ่นไม่เป็น สูบผงขาวไม่เป็น สูบบุหรี่ไม่เป็น สัตว์เดรัจฉานมันดีตรงนี้ มันดีตรงที่ไม่มีสิ่งเสพติดในสัตว์เดรัจฉาน แต่ในหมู่มนุษย์เรานั้นเรียกว่า เอาเปรียบอยู่หน่อย เพราะว่าเอามาไว้ในเนื้อในตัวหลายเรื่องหลายประการ บางคนมีครบทั้งเหล้า ทั้งบุหรี่ เอาครบเลยทีเดียว เรียกว่าเมาครบเครื่อง อย่างนี้มันก็ทำให้เกิดความเสียหายในร่างการด้วยประการต่างๆ จึงใคร่ที่จะทำความเข้าใจ ให้เป็นลายลักษณ์อักษรบ้าง เผื่อคนที่จะได้อ่านได้ศึกษาว่าของที่เป็นพิษแก่ร่างกาย ธรรมชาติของร่างกายไม่ได้ต้องการ รู้สึกอย่างไร หรือว่าไปสูบกัญชาจะรู้สึกอย่างไร มันมีอาการผิดปกติขึ้นในร่างกาย นั่นแสดงว่า สิ่งนั้นร่างกายเราไม่ต้องการ เราสังเกตคนที่ดื่มเหล้า ถ้าเป็นเหล้าที่แรงหน่อย เวลาดื่มเข้าไปแล้วหน้ายุ่งหน้าเหี่ยว ถ้าถ่ายภาพในขณะนั้น พอเอาเหล้าเข้าชนริมฝีปากดื่มแล้วถ่ายรูปไว้ แล้วเอามาให้คนดื่มดู จะรู้สึกแปลกใจว่าหน้าทำไมเป็นอย่างนั้น มันยุ่งไป หน้ามันยุ่งเหมือนยักษ์วัดโพธิ์วัดแจ้ง ที่ยืนหน้ายุ่ง ยักษ์คือความโกรธ ความเกลียด ความพยาบาท อาฆาตจองเวร เอามาปั้นเป็นรูปยักษ์ จะได้เห็นง่ายๆ คนเราเวลาหน้ายุ่ง มันก็เปลี่ยนสภาพเป็นยักษ์ไป ของนั้นเราไม่ชอบ แต่ว่าเพื่อนยุให้ดื่ม ก็เลยต้องดื่มไปกับเขา เพราะเพื่อนมายุให้ดื่ม ไม่ดื่มไม่ได้ มันพูดให้เราฟังแล้วเกิดน้อยเนื้อต่ำใจ เช่น “เฮ้ย! ไม่ดื่มอย่างนี้ มันจะอยู่ได้อย่างไร” “มันจะเป็นผู้เป็นคนอย่างไร” “โตขนาดนี้แล้ว มันต้องดื่มเป็น ดื่มไม่เป็นมันก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย” พูดอย่างนั้นทำเอาต้องดื่ม เพราะว่ามันยุให้ดื่ม
อาตมาก็เคยถูกยุเหมือนกัน แต่ว่าเข็ด เคยถูกยุเมื่อเป็นเด็กอายุ ๑๖ ปี ไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว ออกจากโรงเรียนไปอยู่บ้าน ช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำนา เพราะโยมบิดาป่วยมาก ไม่สามารถทำนาได้ เลยออกมาไถนา พอเสร็จฤดูทำนา เขาก็มีงานทางบ้าน มีการแต่งงาน มีอะไรต่ออะไร ก็ส่งใบบอกงานมา เรียกว่า “ใบบอกงาน” คือบัตรเชิญนั่นเอง แต่สมัยก่อนไม่มีการพิมพ์ กระดาษฟูลสแก๊ปยาวๆ ตัดเป็นแผ่นแคบๆ เขียนว่า ขอแจ้งความมายังคนนั้น ด้วยข้าพเจ้าจะแต่งงานลูกสาว ในวันขึ้น-ค่ำนั้น เดือนนั้น ขอเชิญท่านมาร่วมงาน คนมาร่วมงาน ไม่ได้มาพร้อมกันหรอก ต่างคนต่างมา มาเช้ากินเช้า มาสายกินสาย มาเที่ยงกินเที่ยง บ่ายกินบ่าย เย็นกินเย็น ไปกันอย่างนั้น ใครว่างเวลาไหนก็มา มาถึงเขาก็จัดสำรับใส่ถาดมาวาง แล้วก็ต่างคนต่างนั่งรับประทาน ไม่รับประทานปนกัน แต่ว่านั่งใกล้ๆ กัน แล้วก็มีเหล้าหรือน้ำขาวๆ เป็นเหล้าที่ผลิตเอง ชาวบ้านผลิตเอง ไอ้ผลิตเองนี่แรงมาก ถ้าเอามาจุดไฟลุกพรึบเลยทีเดียว มันแรง แล้วก็เหล้าโรงบ้าง เหล้าโรงก็ต้องซื้อมาไว้สักไหหนึ่ง ไหสูงๆ ขนาดนี้ เอาไว้เพื่อรับตำรวจ ตำรวจมาก็จะเห็นว่ามีเหล้าอยู่ เอามากินกัน แล้วก็แถมเหล้าเถื่อน ซึ่งผลิตได้อีก คนไทยนี่ก็ฉลาดเหมือนกัน ทำเหล้าได้ คือเอาน้ำผึ้ง น้ำตาลโตนด ชาวปักษ์ใต้เรียกว่าน้ำผึ้ง เอามาเป็นปี๊บ แล้วก็เอามาแช่กับลูกแป้งกับอะไรต่ออะไรหมักไว้ หมักไว้จนบูด คือว่าของบูดแท้ๆ ไม่ใช่ของดีอะไร หมักไว้จนบูดแล้วก็เอาไปต้ม ถ้าไม่ต้มก็กินมันอย่างนั้นเลย เรียกว่าน้ำกระแช่ เขากินเหมือนกัน แต่ว่าทีหลังมาก็ทันสมัย กะทะเล็กๆ ไม่ใหญ่อะไรเอามาต้ม แล้วก็เอากะทะอีกใบหนึ่งตั้งไว้ข้างบน เอาน้ำใส่ให้มันเย็นไว้ มันระเหย พอระเหยไปจับตามกะทะที่มีน้ำ เมื่อจับแล้วกะทะที่ลงไปนั้น มันก็ไหลไปรวมที่ก้นกะทะ ทำรางไว้ รับไว้แล้วก็ออกไปลงในภาชนะที่รับไว้ บางทีก็ยังอุ่นๆ ร้อนๆ ใครมาถึงลองดู รสชาติมันเป็นอย่างไร พอลองรสชาติแบบนั้นหน้าเหยทุกคน เด็กๆ ก็นั่งดูเขาลองกัน ไม่ได้ดื่มอะไร พอลองหน้ายู่ทุกคน ยู่ไปเลยทีเดียว แสดงว่าร่างกายไม่ต้องการ แต่ฝืนเข้าไป
เวลาเขามีงานนี้ คุณโยมไปไม่ได้ ก็เลยบอกว่า แกไปกินงานบ้านนั้นสิ เรียกไปกินงานก็ไป ให้เงินไปช่วยงานเขา ให้ไป ๒-๓ บาท ก็ไม่ได้มากมายอะไร สมัยนั้นบางทีก็ ๕๐ สตางค์ แต่เงินสมัยนั้นมันแพงมาก เท่านั้นก็มีค่าเหลือหลายแล้ว ไปกินก็กินแต่ข้าวแกง แต่ว่านั่งกินใกล้ๆ คนอื่น เขาก็ดื่มเหล้า เขาก็ “แกกินไอ้นี่มั่ง” บอกว่า “กินไม่ได้ เมา ไม่ได้ กินไม่ได้ กินแล้วเดี๋ยวมันเมาลำบาก” “ไม่ได้ ต้องกิน อายุเท่าไรแล้ว” “๑๖ ปี” “เป็นหนุ่มแล้ว ไม่กินเหล้ามันจะเป็นหนุ่มได้อย่างไร มันจะเป็นคนได้อย่างไร ลูกมะลุงมันต้องกินเหล้าเป็น กินเหล้าไม่เป็นมันก็ไม่ใช่ลูกมะลุงสิวะ” พูดให้เจ็บใจ เราก็คิดว่า “กูก็ลูกมะลุงเหมือนกันนิหน่า เอามา กินให้ดู” เอามากินเข้าไปอึกเดียว กินเข้าไปมันร้อนซ่า “พอแล้ว” “ไม่ได้ กินให้หมด กินอีก นิดหน่อยจะได้เรื่องอะไร ก็ต้องกินให้หมดแก้ว กินไม่หมดแก้วเค้าไม่นับถือนะ” มันแย่ คนมันจะไม่นับถือเมื่อกินไม่หมดแก้ว ก็ต้องกินให้หมดแก้ว จึงจะนับถือนะ กินหมดแก้วแล้วกินข้าวอะไรต่ออะไร เดินกลับบ้าน เดินโซซัดโซเซ หัวคันนามันคดๆ งอๆ ไอ้เส้นทางที่ตรงมันก็เลี้ยวๆ เราเดินไปตามเลี้ยวที่ตามันบอก เรพาะว่าคันนามันคด ก็เดินคดไปคดมา ทางในนาทางหน้าแล้ง มันก็ชื้นนะ แต่เราดูมันคดมันก็เลยเดิดเอี้ยวไปเอี้ยวมา ใครมาเห็นก็ “เฮ้ย! ทำไมมึงเดินอย่างนั้นล่ะ” “ทางมันคดว่ะ” ต้องเดินไปตามเส้นทางมันต่างหาก มันหลอน เดินไปนั้นพอไปถึงบ้านก็นอน นอนก็อาเจียน อาหารที่กินไปในงานนั้น ช่วยกัน ๒ บาท มันอ้วกจนหมดเลย ไม่เหลือ อาเจียนจนโยมได้ยินเสียงอาเจียน แล้วถามว่า “มึงเป็นอะไร” “อาเจียน” “ทำไมอาเจียนล่ะ” “ไปกินการบ้านโน้นแล้วอาเจียน” “มันกินข้าวแกง อาเจียนทำไม มึงไปกินอะไรเข้า” บอกว่า “ไปดื่มเหล้ากับเขาด้วย” “เออ!ไอ้ลูกอะไร” โยมก็ไม่ทุบตีนะ แต่ว่าบ่นพึมพำๆ ตลอดคืน ว่าไปเราก็นอนไม่หลับ ฟังกัณฑ์เทศน์ของโยมผู้ชายไป เพราะโยมแกไม่ดื่มเหล้า เมื่อหนุ่มๆ เคยดื่มเหมือกัน ดื่มแล้วเมา เมาแล้วถูกตำรวจจับเอาไปขังไว้ในโรงพัก ๑ คืน ตื่นเช้าลุกขึ้น ทำไมกูมานอนอยู่นี่ ถามตำรวจ “ผมผิดเรื่องอะไรจึงเอามานอนในกรงขัง” “เมาน่ะสิ เดินเปะปะ แสดงด่าคนนั้นด่าคนนี้ เลยจับมาขังไว้” “อ๋อ! เมาเหล้านี้ไม่ดีเลย” ตั้งแต่นั้นอธิษฐานใจว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป กูจะไม่ดื่มเหล้าอีกต่อไป แล้วไม่ดื่มเลยตลอดชีวิตโยม ไม่ดื่มเลย วันหนึ่งมีคนมาบอกว่า เห็นลุงมานั่งดื่มเหล่าอยู่ที่โน่น มาบอกน้า น้าบอกว่า ไม่ใช่หรอก พี่แกไม่ดื่มแล้ว ไม่ดื่มมาตั้งนานแล้ว มึงไปเห็นแกนั่งอยู่ แกไม่ได้ดื่มหรอก นั่งในวง แต่แก่ไม่ได้ดื่ม ไม่ได้ดื่มจริงๆ เด็ดขาดเลย อันนี้โยมก็ว่าไป เราก็ฟังไป แล้วก็รู้สึกกินไปแล้วมันเมา ไม่เอา ไปที่ไหนเขาให้ช่วยงานช่วยการอะไร ก็นั่งห่างๆ คน ไม่กินกับเขาต่อไป เพราะรู้สึกว่ามันไม่ดี มันเมาและเลิกตั้งแต่นั้นไม่แตะต้องต่อไป พอโตขึ้นมากขึ้น ก็รู้เหตุรู้ผล ใครชวนก็ไม่ดื่ม ชวนเหลวไหลไม่เอาต่อไป
เล่าให้ฟังว่า คนที่มันดื่ม เพราะเขายุให้ดื่ม ชวนให้ดื่ม ชอบทำให้เพื่อนเสีย คนเรามันเป็นอย่างนี้ ถ้าตัวเสียแล้ว ชอบชวนคนอื่นให้เสียด้วย ขออภัย คล้ายกับนิทานอิสป ที่สุนัขป่าไปลักไก่ของชาวบ้าน ชาวบ้านนึกว่ามันกินบ่อยๆ ต้องเอากับดักไว้ เลยติดหาง มันก็ดิ้นจนหลุดขาดไป เหลือท่อนเดียว กลับเข้ามาในป่า ก็เข้ามาป่าวร้องสุนัขทั้งหลาย แล้วก็บอกว่าหางไม่ดี มนุษย์จับเราทีไร มันจับหางทุกที แล้วไปเอาอะไรของชาวบ้าน มันดักจับที่หางทุกที ไม่เป็นประโยชน์อะไร หางนี่ เอาไว้ก็ไม่ได้เรื่อง ตามีประโยชน์ หูมีประโยชน์ ปากมีประโยชน์ หางนี่ไม่ได้เรื่องอะไร ตัดทิ้งเสียดีกว่า หมาเล็กหมาน้อยก็หอนรับว่าจะตัดกันเป็นแถว แต่สุนัขแก่ตัวหนึ่งบอกว่า “อย่าๆๆ อย่าฟังเสียงไอ้เจ้าหมาหางด้วน มันไปทำผิดอะไรมา หางมันจึงด้วน จงศึกษาให้ดีก่อน อย่าด่วนตัดหาง” เลยหมาทั้งหลายก็ไม่ตัดหาง ถ้าตัดหางกันหมด เรามีแต่หมาหางด้วนเต็มบ้านเต็มเมืองสมัยนี้ นิทานเขาเล่าไว้ เห็นว่าคนเรานี้ ถ้าตัวผิดอะไรแล้ว มักจะชวนคนอื่นให้ทำผิดด้วย เพราะทำคนเดียวมันไม่สนุก และมันก็เป็นผู้แปลกในสังคม เลยต้องชวนคนอื่นมาร่วม ให้เกิดความร่วมมือกันในเรื่องอย่างนั้นมากขึ้น เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเขาจึงเคี่ยวเข็ญแค่นค้านให้เราไปเล่นการพนัน ให้เราไปดื่มของมันเมา ให้ไปเที่ยวกลางคืน ให้ไปสนุกสนานในรูปแบบต่างๆ เอาเหล้าเข้าไปย้อมใจให้มึนเมา แล้วก็เต้นรำไม่เป็นจังหวะ ร้องเพลงไม่เป็นจังหวะ สนุกตามแบบคนขี้เมากันไปตามเรื่อง เป็นอย่างนี้ทั่วๆ ไป
แล้วเมืองไทยเราในเวลานี้ เรียกว่าดื่มเหล้ามีเกียรติแล้วเวลานี้ ดื่มมากจริงๆ ไปไหนๆ ก็มีแต่การดื่มกัน เขาจึงต้องจัดว่า จังหวัดไหนได้อันดับ ๑ ในการดื่มเหล้า เมื่อก่อนเขาจัดจังหวัดสุรินทร์ว่าเป็นอันดับ ๑ เดี๋ยวนี้สุรินทร์ตกอันดับไปแล้ว มาดังที่จังหวัดชลบุรี ดื่มมากกว่าเพื่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีก็ออกตัว บอกว่าที่ชลบุรีดื่มเหล้ามากนี้ มันไม่ใช่ชาวชลบุรีดื่ม พวกกรุงเทพฯ มาช่วยดื่ม พวกต่างจังหวัดมาช่วยดื่ม เพราะเมืองชลฯ มีที่เที่ยว มีอะไรต่ออะไร นักเที่ยวก็มา มาสนุกและมาดื่มเหล้า ปริมาณเหล้ามันก็ขายดี ชื่อเสียงมาอยู่กับเมืองชลฯ แต่คนที่อื่นมาทำให้ไว้ ท่านก็ออกตัวไปตามเรื่อง ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียงมากเกินไป แต่รวมความแล้ว เรียกว่า ดื่มกันทั่วๆ ไปทุกจังหวัด แต่ในฤดูกาลเข้าพรรษา ปริมาณลดลงไปนิดหน่อย เพราะคนหยุดดื่มในพรรษามากเหมือนกัน อธิษฐานไม่ดื่มตลอดพรรษา แต่พอออกพรรษาแล้วก็ดื่มต่อไป ชนะแล้ว แต่ไม่รักษาความชนะไว้ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า (บาลี) เมื่อชนะแล้ว พึงรักษาความชนะไว้ อย่าให้กลับแพ้เสียเป็นอันขาด เหมือนกับทหารไปรบตีพื้นที่ ยึดพื้นที่ได้แล้วอย่าถอย ถ้าถอยก็เรียกว่าแพ้ ต้องยึดพื้นที่นั้นไว้ ไม่ยอมถอยเป็นอันขาด เราก็เหมือนกัน จิตใจได้ชนะสิ่งใดแล้ว พึงรักษาสภาพจิตอันนั้นไว้ อย่าให้กลับแพ้เสียเป็นอันขาด จึงจะเป็นการถูกต้อง รักษาความชนะไว้ได้ แต่ว่าบางทีก็รักษาไว้ไม่ได้ เพราะวันออกพรรษานั้น เตรียมงานใหญ่ ฉลองออกพรรษา แล้วก็เมากันเต็มอัตราศึกเลยทีเดียว สมกับว่าอดมาหลายวัน ออกแล้วก็ต้องเอากันเต็มที่ต่อไป
คนไทยไปทำงานแถวตะวันออกกลางประเทศอิสลาม เขาไม่มีสุราขาย เยาไม่มีการดื่ม ใครดื่มผิดมากเลย เขาจับมาเฆี่ยน คนไทยที่ไปทำงานไม่มีเหล้าจะดื่ม กลับมาเมืองไทยซื้อแป้งไป เอไปหมักไปทำขึ้นในค่ายที่ตัวพัก แล้วก็ดื่มกัน แทนที่จะถือโอกาส เขาไม่ให้ดื่มมันก็ดีแล้ว เราจะได้เลิกดื่มกันเสียที กลับบ้านจะได้ไม่เป็นคนขี้เมาต่อไป ครอบครัวจะได้สบายใจ หาได้ทำเช่นนั้นไม่ กลับขวนขวายแสวงหาเอามาดื่มกัน มาดื่มแล้วมันก็เมา เมาแล้วออกจากค่ายเดิดสะเปะสะปะไปตามถนนหนทาง ตำรวจเขาก็ไปจับ จับแล้วเขาได้กลิ่นเหล้า พอได้กลิ่นเหล้า มันผิดใหญ่โตไปเลย ต้องเอามาเฆี่ยนตี เวลาเฆี่ยนเขาไม่ไห้ยืนตัวตรง เขาให้พิง มีไม้วางไว้ ให้นอนเอียงลงไป เปิดเสื้อออก แล้วก็เฆี่ยน ไม่เฆี่ยนพร้อมเสื้อหรอก กลัวว่าเสื้อจะเจ็บไปด้วย เลยต้องเอาเสื้อออกมาเสีย แล้วก็หวายฟาด ๑๐๐ ที ร้องกันโอยๆไปตามกัน บางคนก็สลบคาหวายเลย ยังไม่ถึง ๑๐๐ สลบแล้ว หยุดก่อน สลบหยุดก่อน เอาน้ำมาพรม หยุดเฆี่ยนไปก่อน พอตื่นขึ้นมาเฆี่ยนใหม่ เฆี่ยนสลบอีกก็หยุดอีก ก็หยุดไว้ก่อน บางทีคนหนึ่งสลบ ๓ ยก กว่าจะจบ ยกละ ๓๐ ที ถึงจะได้เรื่องได้ราว มันเรื่องอะไร เขาไม่ให้ดื่มก็ควรจะดีใจ แล้วควรจะนึกว่า จะได้ประหยัดสตางค์ส่งไปให้บุตรภรรยาได้กินได้ใช้ที่เมืองไทยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นพยายามขวนขวายแสวงหา บางทีเขาก็เห็นว่า ไอ้นี่ถูกเฆี่ยนหลายที ก็ส่งกลับมา บางทีไปทะเลาะเบาะแว้งกัน พูดจาก็ไม่ได้ เวลาไปศาลพูดกันไม่รู้เรื่อง ใช้ล่ามก็กระท่อนกระแท่น เราถือว่าเป็นคนผิดนะ แล้วก็ลงโทษขังคุกขังตะราง บางทีก็โทษหนัก ร้องเรียนมาทางเมืองไทยให้ไปช่วย ไม่น่าจะไปช่วยให้เปลืองสตางค์เลยคนเหล่านี้ เพราะมันไม่ช่วยตัวเอง เราไปอยู่ที่ไหน เขาให้ประพฤติดีประพฤติชอบ ไม่ช่วยตัวเอง แล้วมาบ่นให้รัฐบาลไปช่วย อุตส่าห์ส่งทนายไปให้ไปช่วยแก้ แก้ก็ไม่หลุดไม่อะไร เพราะว่าพยานหลักฐานการกระทำมันแจ่มชัด ก็เลยลงโทษไปตามเรื่อง เรื่อนี้ทว่าเราสำนึกผิด ก็ไม่ต้องไปขอให้ใครช่วย ก็ให้ลงโทษไปตามเรื่อง และถ้าจะบอกมาประเทศไทย ก็บอกให้จำไว้เป็นตัวอย่าง ถ้าไปประเทศตะวันออกกลางนี้ อย่าไปดื่มเหล้า อย่าเอาเหล้าเข้าไป อย่าไปลักขโมยของใคร ถ้าขโมยเขาตัดมือเลย ลักครั้งแรกเขาตัดมือขวา ลักต่อไปก็ตัดมือซ้าย กลายเป็นคนแขนด้วน กลับเมืองไทยแขนด้วน ไอ้ด้วนแบบนี้ไม่มีเกียรติเลย ด้วนเหมือนทหารผ่านศึก ทหารผ่านศึกด้วนเท่านี้ ด้วนมีเกียรติ ด้วนสละแขนเพื่อรักษาความสงบสุขของประชาชน
เราได้เห็นทหารผ่านศึกแขนไม่มี ควรจะเข้าไปจับมือจับไม้ข้างที่ยังเหลืออยู่ ขอจับมือด้วย เพราะว่าท่านนี้ไปเสียสละเพื่อประเทศชาติ เพื่อบ้านเมืองของเรา ผมเสียอีกยังไม่มีโอกาสไปเสียสละอะไร คุณได้ไปเสียสละ ขอแสดงความยินดีด้วย มันมีเกียรติ แขนหายไปก็มีเกียรติ แต่นี่ไปทำเหลวไหล กลับมาก็ไม่มีเกียรติอะไร คนเรามันไม่ค่อยคิด เพราะเวลาไปนี้ไม่ได้รับการอบรมทางธรรมะ ไม่ได้ไปติดต่อกรมแรงงานสักที ขู่อธิบดีบอกใครจะไปซาอุนี้ ผู้ว่การต้องเอามาอบรมที่วัดชลประทานนี้ก็ได้ อบรม ๓ วัน อบรมเข้าค่าย อบรมให้รู้เรื่อง รู้เหตุรู้ผล ควรที่จะทำกันอย่างไร แล้วเอาภาพสไลด์มาฉายให้ดู ความเป็นอยู่ในบ้านเมืองเขา ความนิยมของสังคมนั้นเขาเป็นอย่างไร เราไปมันต้องรักษาศักดิ์ศรีของคนไทย อย่าไปทำให้เสื่อมเกียรติ อย่าเสียหายในฐานะเป็นคนไทย ในฐานะเป็นพุทธบริษัท เพราะการไปต่างประเทศเหมือนเป็นทูตผู้แทนของประเทศไทย เราเป็นทูตไปอยู่ต่างประเทศ ทำอะไรมันต้องระมัดระวังเหลือเกินทีเดียว หลวงพ่อไปบ่อย ต่างประเทศนี่ เวลาไปเดินที่ไหนมันสำนึกอยู่ในใจตลอดเวลาว่า เราเป็นตัวแทนของประเทศไทย เป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนาที่มาเดินในต่างประเทศ ต้องระมัดระวังตัวที่สุด จะทำอะไร จะแสดงออกอะไร กลัวเขาจะดูหมิ่น กลัวเขาจะเหยียดหยามว่าเราเป็นชาติป่าเถื่อน ไม่มีความเจริญ มันสำนึกอยู่ในใจ จึงเป็นเหตุให้ยับยั้งชั่งใจ ไม่ทำอะไรที่มันไม่เหมาะไม่ควรในที่เช่นนั้น ไม่ใช่ว่าอยู่ต่อหน้าคนไทยทำอะไรก็ได้ ไม่ได้ ทำไม่ได้ จิตมันไม่ยอมให้ทำ มันมีความสำนึกอยู่ว่าไม่ได้ ไม่เหมาะแก่เรา เราเป็นพระในพระพุทธศาสนา ฝรั่งไม่รู้ระเบียบของพระ แต่เรารู้ เราทำเขาไม่ว่า แต่ว่าตัวเรามันว่าตัวเราเองได้ อันนี้มันเป็นความสำนึกที่เดขึ้นในใจ ฉะนั้นเราไปอยู่ในต่างที่จึงต้องระวังตัว จะลำบากกว่าอยู่เมืองไทยเสียอีก อยู่เมืองไทยเรียกว่าสบายใจ แต่ไปโน่นต้องระวังตัวลีบอยู่ตลอดเวลา จะยืนจะเดินจะนั่ง จะไปที่ไหนต้องสำรวมตัว เพราะคนเขามอง มองว่าคนนี้มาจากไหน แต่งตัวอย่างนี้เขาเรียกว่าอะไร จึงต้องแสดงละคนในทางที่น่าดูหน่อย ให้เขาดูแล้วสบายอกสบายใจ ความคิดมันเกิดอย่างนั้น เวลาเราไปอย่างนั้น มันต้องคิดอย่างนั้นจึงจะได้ แต่คนอาจจะไม่ได้คิด เพราะคนที่ไปนี่โดยมากเป็นชาวไร่ชาวนา ทิ้งนาทิ้งไร่ไปทำงาน ขาดการศึกษา ไม่มีความรู้ในเรื่องอะไรต่างๆ แล้วก็ส่งไปๆ เหมือนกับส่งความไม่ดีไปอวดเขา อย่างนี้มันเสียหาย จึงต้องเรียกมาอบรมบ่มนิสัย ๓ วัน ๕ วัน ใครจะไปอบรมก่อนก็ต้องมาแจ้งที่กรมแรงงาน กรมแรงงานก็เรียก อบรมเป็นชุดๆ ไป เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ จดทะเบียนไว้เรียบร้อย ใครไปอยู่ไหน มีเรื่องอะไรเสียหายก็ถือว่าเป็นความผิด ทรยศต่อชาติต่อบ้านเมือง ไปแล้วมันต้องทำให้ดี อย่างนี้ก็จะช่วยให้คนเกิดความสำนึกในสิ่งที่ควรกระทำ ไม่ควรกระทำ จะไม่ทำความเสียหายให้แก่ชาติบ้านเมืองของเรา แล้วอีกประการหนึ่งก็สามารถจะควบคุมคนที่หลอกลวงคนไปทำงานได้ด้วย เดี๋ยวนี้เกิดคุมขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่รอบคอบเท่าไหร่ ยังถูกหลอกถูกต้มกันอยู่ ก็คนไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่ศึกษา ไม่ฟังวิทยุ ไม่รู้เรื่องคนเขาไปหลอก มนุษย์นี้เป็นผีกันเยอะ เดี๋ยวนี้คอยหลอกไปต้มคนอื่นมากมาย ทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน
เรื่องสุราเมรัยนี่พูดไปแล้ว เป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นเสียหายแก่ชาติแก่บ้านเมือง จริงอยู่เรามีโรงงานต้มกลั่นสุรา แล้วก็ได้ภาษีก็ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน วันหนึ่งเขานิมนต์ไปเทศน์ที่บางยี่ขัน เลยเดินดูที่เขาบรรจุขวด ถามว่าวันหนึ่งผลิตได้เท่าไหร่ ผลิตได้ถึง ๑ ล้านขวดวันหนึ่ง แสดงว่าคนเอาไปดื่มกันมากมาย ต้นทุนเท่าไหร่ ไปขายราคาเท่าไหร่ สืบสวนให้รู้เรื่อง ถามเขาจะได้เอามาคุยมาพูดให้ญาติโยมต่อไป แล้วถามที่นั่งฟังปาฐกถาในโรงงานบอกว่า คนทำงานในโรงงานสุราบางยี่ขันที่ไม่ดื่มสุรามีไหม มีเหมือนกัน เรียกว่าอยู่กับเหล้าแต่ไม่ดื่ม แต่ถึงไม่ดื่มก็ได้กลิ่นเหล้าทุกขวด ที่มันเข้าทางจมูกทุกวัน เรียกว่าดื่มทางจมูก ไม่ได้ดื่มทางปาก แต่มันยังชั่วน้อย ไอ้ดื่มทางปากมันง่ายกว่าดื่มทางจมูก แต่ก็นึกชมในใจว่า อยู่กับสุราไม่ดื่มสุรา ใช้ได้ คนขายเหล้าไม่ดื่มเหล้า ใช้ได้ โดยมากนั่งๆ ขาย คนไม่มาซื้อก็ดื่มสักเป๊ก วันหนึ่งก็หลายเป๊ก มานั่งเฝ้าเหล้า อย่างนี้เรียกว่าขาดทุน เพราะดื่มเสียเอง ไม่ได้สะตุ้งสตางค์อะไร คนใดอยู่ใกล้กับสิ่งชั่ว ไม่ทำชั่ว น่าชมน้ำใจว่าเป็นคนเข้มแข็ง อดทนอดกลั้น ไม่เอาใจไปผูกพันกับสิ่งนั้น ให้อยู่ในสภาพพ่ายแพ้ ก็น่าชมน้ำใจ แต่ว่ามีน้อย มีน้อยเหลือเกิน ไอ้ที่แพ้มีมากกว่าสภาพความจริงเป็นเช่นนั้น
โทษของสุราที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ มันมีอะไรบ้าง เสียทรัพย์ไม่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า นี่ข้อแรก เกิดโรคในร่างกายหลายเรื่องหลายประการ มักก่อการทะเลาะวิวาทกัน คนดีเขาดูหมิ่น สติปัญญาเสื่อม นี่เป็นโทษของมันที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรา ที่ว่าเสียทรัพย์ไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทนคุ้มค่า ถ้าเรามีทรัพย์ สมมติว่า ๑๐ บาท ถ้าเราเอาไปซื้อสุรามาดื่ม เราก็ไม่ได้อะไรแก่ร่างกาย นอกจากว่าหาโรคใส่ตัว แต่ถ้าเราเอาเงินนั้นไปซื้อไข่ ก็คงได้หลายฟอง ๑๐ บาทนี่ ยังไม่ได้สืบถามดูว่าเวลานี้ฟองละเท่าไหร่ มันก็ได้ไข่หรือเอาไปซื้อเนื้อหมู ไปซื้อปลา ไปซื้อขนมเอามาบ้าน ภรรยาก็ได้กิน ลูกก็ได้กิน แม่ผู้แก่ชราก็ได้กินด้วย บางทีก็ต้มแกงก็ตักไว้สักถ้วยใส่บาตรพรุ่งนี้ พระก็ยังได้พลอย แต่ถ้าดื่มเหล้านี้ พระไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นอกจากพระขี้เมาบางองค์เท่านั้นเอง อันนี้มันมีความเสียหาย เสียทรัพย์โดยไม่ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า แล้วเสียทรัพย์กับน้ำสุรานี่มากเพราะอะไร เพราะดื่มไปสักนิดแล้วใจมันกว้าง เห็นเพื่อนเดินมากวักมือให้มาร่วมวงศ์ไพบูลย์กัน ความจริงไม่ควรเรียกว่าวงศ์ไพบูลย์ มันลำบากหูหน่อย ไม่ได้เรื่องอะไร เพื่อนไม่มา ลุกขึ้นไปจับมือลากมา ไปไหน มาก่อน มาร่วมวงกันหน่อย ตามเพื่อนมา เพื่อนมาก็ซื้อเลี้ยง เอาเหล้าไปซื้อกับ อย่าง ๒ อย่าง กินไปดื่มกันไป จนกระทั่งหมดขวด หมดกับแกล้ม ถ้ายังไม่ไปก็เอามาอีก สั่งอีก แล้วเขามาเก็บสตางค์ ไม่มีเชื่อไว้ก่อนๆ เซ็นต์ไว้ๆ เรามาบ่อยๆ คุ้นหน้าไม่ใช่หรือ อ้าว! เซ็นต์ไว้ เรียกว่าสินเชื่อ นี่มันก็เสียไปแล้ว ทรัพย์ที่เสียไป เพราะต้องเลี้ยงเพื่อนเลี้ยงฝูงมากมาย ทำไมคนดื่มสุราเมรัยชอบชวนเพื่อนมาเลี้ยง ไม่ใช่เรื่องอะไร หาสมาชิก ดื่มคนเดียวมันก็น่าลำบากในการจ่ายสตางค์ มีเพื่อนดื่มหลายคนจะได้ช่วยกันจ่าย วันนี้นาย ก พรุ่งนี้ นาย ข , ค , ง ได้ช่วยกันจ่าย ฉะนั้นทุกคนต้องหาสมาชิกและก็มาร่วมวงกันดื่ม ถึงเวลาต้องมา อยู่ไม่ได้ เพราะผีมันเตือน ถึงเวลาผีมันมาบอก “ได้เวลาแล้ว เพื่อนๆ ไปรอแล้ว ต้องไปกับเขาหน่อย” มันต้องมาร่วมวงดื่มกัน เพลินไป ออกจากร้านก็เดินสะเงาะสะแงะไปตามๆ กัน กลับบ้านเข้าบ้านไม่ถูก บางทีเข้าบ้านไม่ถูก เข้าผิดบ้านไปก็มี มันก็เกิดเรื่องเสียหาย บางคนดื่มเมาแล้วนึกถึงลูก ซื้อก๋วยเตี๋ยวไป เอาไปฝากลูก เดินๆ ล้มลง เมาอาเจียน ไอ้ของที่ตนกินก็ออกมา ไอ้ห่อก๋วยเตี๋ยวก็วางอยู่ตรงนั้น สุนัขมันเดินผ่านมา มาถึงมันก็กินไอ้ที่หกอยู่ ที่ออกจากปากมันก็กินหมด และยังมีที่ห่ออีก มันก็กัดกินอีก กินแล้วมันเห็นปากเปื้อนของที่ออกมา มันช่วยเลียปากให้ด้วย เมาขนาดหมาเลียปากยังมีนะ ยังมีความจริง ยังมีอยู่เลยอย่างนี้
มีรายหนึ่งทางบ้านพัทลุง แกไปทำงานทำราชการก็เป็นเสมียนนั่นแหล่ะ ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ เมียซื้อรถจักรยานให้ขี่ เมาแล้วไม่ขี่รถจักรยาน เอาเชือกผูกลากมา ลากบนถนนระยะทางถึงบ้าน ๘ กิโลเมตร รถก็เสียหายลากมาบ้าน ภรรยาก็ต่อว่า ไม่พูดไม่จาอะไร ไม่ทุ่มไม่เถียง ยกรถไปวางแล้วก็นอนอยู่ข้างรถนั่นแหล่ะ คืนหนึ่งมาบ้านดึก ภรรยาก็ปิดประตูเสียแล้ว ก็มาตะโกนเรียก ชังน้ำหน้าแล้วก็ไม่เปิดประตู พอดีกรมทางเขาเอาหินมากองไว้แถวหน้าบ้านเพื่อมาทำถนน แกก็ออกมาเอาหินขว้างหลังคาบ้าน ขว้างกระเบื้องแตกทั้งด้าน ขว้างจนกองหินหมดไป ๑/๔ รุ่งเช้าบอกนอนหน้าบ้าน ทำไมหลังคาแตกอย่างนั้น เมียบอกว่าไม่รู้ไอ้บ้าไหน มันขว้างเมื่อคืน อย่างนี้เรียกว่าตลอดเรื่อง เมาตลอดเวลา สภาพเป็นเช่นนั้น ครอบครัวก็ไม่ดีขึ้น ตัวเองก็ไม่ดีขึ้น ผลที่สุดมันหนักเข้าๆ เขาคัดชื่อออกจากราชการ ไม่ให้ทำงานต่อไป จึงกลายเป็นคนขี้เมาอย่างเสียหาย ความเสียหายเกิดขึ้น เพราะความมึนเมา อย่างนี้มีมากมาย เสียทรัพย์ไปโดยไม่ได้ประโยชน์อะไร ทำให้เกิดเป็นปัญหาแก่ตัวเอง แก่ครอบครัว
พวกที่ดื่มแล้วมันเกิดโรคในร่างกาย ทำไมจึงเกิดโรค เพราะธรรมชาติของร่างกายไม่ต้องการของเป็นพิษ ไม่ว่าพิษบุหรี่ พิษเหล้า แม้ยาบางประเภทก็เป็นพิษแก่ร่างกาย คนที่กินยาโดยไม่ถามหมอ เป็นอันตรายมาก ต่างประเทศเค้ามองเห็นเรื่องนี้ว่าเป็นอันตราย เขาออกกฏหมายควบคุมร้านขายยา ไม่ให้ขายยาแก่คนไม่มีใบสั่งแพทย์มาซื้อ เขากลัวอย่างนั้น ถ้าเราจะไปซื้อยา เขาไม่ขายเพราะไม่มีใบสั่งแพทย์มา เมื่อคราวไปอเมริกา มันปวดข้อ เพราะไปฉันไก่มาก หมอยังไม่ได้ห้าม ฉันไปตั้งแต่อังกฤษ ฉันไปเรื่อย ไม่มีอะไรจะฉัน มีแต่ไก่เรื่อย ปวด ๒ ข้างเลย อยู่เมืองไทยมันปวดข้างเดียว ไปนั่นมันปวด ๒ ข้าง เดินไม่ไหวเลยทีเดียว อันนี้ไปถึง New York พบหมอไทย เขาก็เอายามาให้ บอกว่าเวลาปวดฉันได้ ไม่ปวดอย่าฉันเป็นอันขาด ยามันแรง ก็ทำตามหมอ แต่ว่าพอถึง Chicago ยามันหมด คนรู้จักกันมา ก็บอกยาอย่างนี้ ไปซื้อมาหน่อย เขาไปซื้อ ไม่ขาย เขาไม่ขายให้ โทรศัพท์ไปให้หมอสั่งไม่ได้ คำสั่งทางโทรศัพท์ไม่ใช่ลายลักษณ์อักษร ผิดกฏหมาย เขาเคารพมาก เขาไม่มีหลังร้าน หน้าร้าน เขาไม่ขายให้ ต้องไปหาหมอให้เขียนใบสั่ง จึงจะซื้อได้ มันเป็นอย่างนี้ เขาควบคุม ของบ้านเราก็มีการควบคุมแล้ว แผนกควบคุมผู้บริโภค มีอยู่เหมือนกัน แต่ว่ายังไม่กว้างขวาง คนยังไม่รู้ กินน้ำส้มไม่รู้ ผงชูรสไม่รู้ กินอาหารบางประเภทไม่รู้ อะไรหลายรื่อง ยาบางประเภทเขาโฆษณาขาย ให้คนกินกันว่ามีฤทธิ์มีแรง กินแล้วสดชื่นไปตามๆ พวกสิบล้อชอบ เรียกว่านั่งขับรถ ไม่เคยนั่งรถสิบล้อ แต่ว่ารถทัวร์ชอบ ใส่กระติกไว้เลย ขับๆ แล้วก็ผลุบๆ นั่งใกล้ๆ ถาม “ดื่มอะไร ดื่มบ่อยๆ อะไร” “มันยาแก้ง่วงหลวงพ่อ ดื่มยานี้แล้วตามันแข็งดี ไม่ง่วง” “นี่อันตรายนะ ถ้าฤทธิ์ยาหมดลงตอนใด ก็ง่วงนะ ตาลืมแต่ใจมันง่วงนะ อันตรายนะ ทางคดๆ เคี้ยวๆ เธอจะขับฉันไปทิ้งในคูเมื่อไหร่ก็ได้” “ไม่เป็นไรหลวงพ่อ ยาสำรองเยอะแยะ” นี่มันอันตราย ฉะนั้นสิบล้อจึงเกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ รถทัวร์เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ เพราะพวกนี้กินยานะสิ กินยาประเภทนี้มันอันตราย กินเข้าไปแล้วมันอันตราย แต่ว่าพวกเขาไม่รู้ว่ามีอันตราย ดื่มกันใหญ่ ทำให้เกิดความเสียหาย ยาวัว ๒ ตัว นี่ก็เสียหายเหมือนกัน กินเข้าไปมีพิษนะ ของติดนี่มันไม่ดีทั้งนั้น ให้โทษทั้งนั้น ยาพวกนี้กินอย่างนั้นเสียหาย ที่เรียกว่าเอาของพิษใส่ในร่างกาย ร่างกายไม่ได้ต้องการ มันก็เกิดปฏิกิริยาขึ้นทางร่างกาย มีโรคเกิดขึ้น
คนดื่มสุราเป็นโรคอะไร โรคกระเพาะ ปวดท้อง เช้าๆ ตื่นขึ้นจะอาเจียน แต่ไม่ออกอะไร ออกแต่ลม ถ้าใครคอสุรามาเห็น ทำไมไม่แก้สักเป๊กล่ะ พอดื่มเข้าไปสักเป๊กหนึ่ง มันเกิดชาขึ้นในกระเพาะ เพราะเหล้าที่เราดื่มนี้ มันทำให้กระเพาะเป็นแผล แล้วไม่รู้จักดื่ม ดื่มเวลาท้องว่าง เช่นเช้า ยังไม่ได้รับประทานอะไร ดื่มเหล้าแล้วเรียกว่าทำลายตัวเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ท้องมันว่าง น้ำสุรานี่มีพิษ เมื่อเราดื่มเข้าไปทำให้ผิวกระเพาะอักเสบน้อยๆ ดื่มบ่อยๆ มันก็มากขึ้นๆ มันก็ปวดเช้าๆ เพราะไม่มีอะไร กระเพาะมันเคลื่อนไหว มันเกิดปวด พอปวดท้องก็ดื่มสุรา มันชา ชาก็เลยไม่รู้สึกปวด ก็เลยเกิดเข้าใจผิดว่าสุราเป็นยาแก้ปวดท้องได้ เลยกินใหญ่ทีนี้ กินใหญ่โทษมันก็ยิ่งใหญ่ไปทุกวัน ทุกเวลานาที บางคนถึงกับว่าเป็นแผลทะลุเลย กระเพาะทะลุต้องตัดทิ้งเสียตั้งซีกหนึ่ง แล้วก็เย็บขอดเข้ามาใหม่ เนื้อที่มันก็น้อย รับประทานมากก็ไม่ได้ ต้องทานวันละ ๔ มื้อ อยู่ในการควบคุมของหมอตั้ง ๑-๒ เดือน จนกว่ากระเพาะเป็นปกติ ปกติแล้วก็ยังไปดื่มเหล้าต่อไป ไม่ได้พิจารณาตัวเองในขณะที่เจ็บปวดในเรื่องอย่างนั้น เพราะไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร โรคกระเพาะนี้เป็นกันมาก พวกนักสุรามีกันบ่อยๆ ปวดท้องอาการเป็นอยู่
แล้วก็เป็นโรคตับแข็ง โรคตับแข็งนี้เป็นมาก เอามาเผาที่วัดนี้หลายคนแล้ว เอามาใครเอาศพ ก็ไปหาข้อมูลศพ ถ้าโยมไปถามว่าอายุเท่าไหร่ ตายด้วยโรคอะไร เขาบอกว่ามันตับแข็ง ชอบสุราเมรัย มันชอบอยู่สักหน่อย ว่านั้น แต่ก็หมดแล้ว ว่าเป็นโรคตับแข็ง เพราะดื่มเหล้า ทำไมจึงได้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าเมื่อดื่มเหล้าเข้าไปแล้ว มันเกิดปฏิกิริยาขึ้นในตับ น้ำย่อยที่มันออกจากตับมันมาสู่กระเพาะไม่ได้ มันก็ตกตะกอนทีละน้อยๆ มากขึ้นๆ จนแข็งไปทั้งตับ ถ้าตับแข็งแล้วไม่มีตับอาหลั่ย เปลี่ยนไม่ได้ มีอย่างเดียวต้องย้ายทะเบียนไปอยู่วัดใดวัดหนึ่งก็เท่านั้นเอง ตายทุกราย โรคตับแข็งนี้ตายทุกราย ช่วยไม่ได้ นี่พูดแก่การเสพของที่เป็นพิษในร่างกาย ทำไมตับจึงแข็ง
นอกจากนั้นแล้วยังเป็นโรคบวมๆ พองๆ คนดื่มเหล้านี่อ้วนฉุๆ เรียกว่าเป็น “โรคผิดสุราเรื้อรัง” หน้าอ้วนแบบฉุๆ แขนอ้วนขาอ้วน บวมขึ้นมา ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเส้นโลหิตของคนที่ดื่มจัดนี้มันบวม และในเส้นโลหิตมันมีลิ้นที่เปิดปิดได้ เวลาที่โลหิตผ่านไป มันก็เปิดน้อยๆ ผ่านไปเรื่อยๆ คนที่ดื่มสุรานี้หัวใจเต้นแรง ฉีดแรง เราจึงเห็นว่าคนดื่มสุราหน้าแดง หูแดง แดงทั้งตัวเลย ถ้าเป็นคนผิวขาวแล้วก็แดงไปทั้งตัว เหงื่อไหล หัวใจทำงานหนักมาก ฉีดโลหิตแรงมาก เมื่อโลหิตพุ่งแรง ลิ้นปี่นี้มันก็อักเสบ ใช้ไม่ได้ โดยก็เดินไปตามลิ้นไป เดินมากไป เส้นโลหิตบวม เมื่อเส้นโลหิตบวม ผิวและกล้ามเนื้อก็บวม ผิวหนังบวม บวมตามหน้า บวมตามตัว บวมตามฝ่ามือ ใครมีอาการอย่างนี้แล้วก็ไปนั่งป่าช้าได้ เรียกว่าจองศาลาได้แล้ว เพราะมันตายกันมาก เอามาแล้วไม่มีศาลาตั้ง สั่งจองไว้ก่อน จองไว้ล่วงหน้า เพราะว่ามันใกล้เต็มทีแล้ว อาการนี้มีอยู่ทั่วๆ ไป เรามีเพื่อนที่เป็นนักดื่ม ให้สังเกตดูนะ มีสภาพเช่นนั้น และถ้ามีสภาพเช่นนั้นแล้ว ใกล้ตายเต็มที ความมรณะคือความตาย อนนี้เป็นโรคที่เกิดขึ้นแก่คนทั่วไป แล้วหัวใจก็พิการ หัวใจเต้นผิดปกติ ทำไมจึงเต้นผิดปกติ ดื่มบ่อยๆ แรงบ่อยๆ แล้วพอไม่มีการดื่ม มันก็อ่อนลงไป พอดื่มกระตุ้นแรงขึ้น แล้วมันก็อ่อนไป กลายเป็นโรคหัวใจพิการ เต้นไม่สม่ำเสมอ ไม่ปกติ มีโอกาสที่จะตายได้ง่าย อันนี้ก็มีอยู่ แล้วขณะที่เรามึนเมานั้น ตาประสาทตามันผิดปกติ บางทีเดินเข้าไปหารถยนต์ให้รถมันชน เดินชนเสาไฟฟ้า เดินตกสะพานไป นึกว่ายังมีสะพานอยู่ ตกสะพานลงน้ำ คนเมาลงน้ำมีหวังตาย ถ้าเมาจัดลงน้ำตายทุกราย ชักดิ้นชักงอตายไป นี่ก็เพราะประสาทมันหลอน ทำให้อาการเป็นไปเช่นนั้น
ระบบสมองก็ผิดปกติ ไม่ดี คนบางคนบอกว่าสุนทรภู่ท่านแต่งกลอนเก่ง เพราะท่านดื่มเหล้า ความจริงสุนทรภู่เมื่อดื่มเหล้าจะแต่งหนังสือไม่ได้เรื่อง ไอ้ที่แต่งดีน่ะ แต่งสมัยที่ท่านยังไม่เป็นนักดื่มจัดเท่าใด เรื่องพระอภัยมณี เรื่องภาษิตสุนทรภู่ บางเรื่องกลอนเรียบร้อย วางโครงเรื่องดี ตลอดที่ยังไม่เมาจัด แต่พอเมาจัดแล้วไม่ได้เรื่องแล้ว แต่งแบบคนขี้เมา อะไรๆ ก็ไม่ได้เรื่อง คุณ (ชิต ?) ท่านตายไปแล้ว เอ่ยชื่อก็ไม่เป็นไร ท่านเป็นนักประพันธ์โคลงฉันท์กาพย์กลอนชั้นดีของเมืองไทย เข้าแข่งกับกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ น.ม.ส. ฉันท์กล่อมช่าง (คุณชิต?) ชนะ ชนะตั้งแต่เป็นสามเณร เป็นสามเณรแต่งฉันท์กล่อมช่าง เข้าชิงรางวัล แกได้ชัยชนะเลย แต่ว่าบวชพระแล้ว ชอบเสพสุราเป็นอาจิณ อยู่วัดบวรนิเวศน์ อยู่กุฏิสูง คณะสูง ซื้อเหล้าไปดื่มทุกวัน ดื่มแล้วขวดฟาดตามหน้าต่าง ลงไปในคูในคลองตรงกุฏิ วันหนึ่งขว้างพลาด เวรกรรมจะปรากฏออกมา ขว้างพลาดขวดแตกกระจาย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ท่านเดินดูวัดทุกวัน เช้าท่านเดินรอบวัด เดินมาถึงคณะสูง ขวดอะไร ขวดอะไรแตกอยู่ตรงนั้น เข้าไปดู ขวดเหล้า ไอ้ที่ไม่แตกหมดยังมีกลิ่นเหล้า ดูหน้าต่างใครอยู่กุฏินี้ (ท่านชิต?) ท่านบอกให้หาทันที ถามไปถึงว่า “เธอดื่มเหล้าหรือ” ก็รับสารภาพ ตอนนั้นไม่เมา บอกว่า “ดื่มเหล้าพะย่ะค่ะ” “ดื่มนานเท่าใด” “ก็นานแล้ว” “แล้วเธอดื่มแล้ว เอาขวดไปไหน” “ขว้างลงคลองลงคูข้างกุฎิ ถ้าจะไปงมดู ก็ยังอยู่ ขวดเหล่านั้น” “แล้วเธอขว้างขวดแตกอยู่ข้างกุฏิเมื่อไหร่” “เมื่อคืนขว้างพลาดเป้าหมายไปหน่อยเมื่อคืน” สมเด็จฯ สั่งสึกทันทีเลย สั่งสึกทันที สึกแล้วลบชื่อ เอายางลบลบชื่อไม่ให้ติดอยู่ในบัญชี ลบออกหมดเลย ไม่ให้ติดอยู่ในบัญชีของวัดต่อไป ถึงขนาดอย่างนั้นนะ เรียกว่าลบหมด แต่ว่าเมื่อสึกไปแล้ว พระยาดำรงราชานุภาพท่านสงสาร ขอไปเลี้ยงไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ ให้ทำงานอยู่ในนั้น ก็เมาเรื่อยๆ ไป ทำหน้าที่ สมัยเอามาอยู่วัดสามพระยา มีพระองค์หนึ่งขณะนี้เป็นเจ้าคณะจังหวัดสงขลา ท่านชื่อ (?) เขียนกลอน เขียนอะไรเก่งเหมือนกัน (นายชิต?) มาหาบ่อยๆ มาแล้วก็ถ้ายังไม่เมานะ เอาเหล้ามาวางไว้ อย่าให้ดื่ม วางไว้ให้ดูให้เขียน เขียนดี แต่ว่าวันหลังให้ดื่มก่อนเขียน ไม่ได้เรื่อง เขียนตั้งต้นตรงนี้ บรรทัดคดลงมาอย่างนี้ เขียนเส้นนี้บึ่งขึ้นไปข้างบนเลย เป็นไปตามบรรทัด ไม่มีตรงอย่างนี้ เอียงลงบ้าง เอียงขึ้นบ้าง เขียนได้แต่ไม่ค่อยเรียบร้อย มือก็สั่น อันนี้เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง บางทีก็เดินเมาสะเปะสะปะอยู่แถวบางลำพู หน้าวัดชนะสงคราม ตำรวจก็เชิญตัวไป สารวัตรมาเห็นก็ อ้าว! อาจารย์ มีอะไรอีกล่ะ ตำรวจมันเชิญมาทำอะไรก็ไม่รู้ มาพักผ่อนให้นั่งพัก เอาน้ำส้มมาให้ทาน อะไรต่ออะไร นั่งพักเพื่อไม่ให้มีกิจกรรมเกเร ตำรวจก็ไปซื้อเสื้อให้ใส่ ใส่เสื้อแล้วกลับบ้าน นี้เพราะความเมา เรียกว่ามีความรู้วิเศษแต่ว่าเมา ไปไม่รอด สุนทรภู่ของเราเรียกว่าเก่ง ถ้าท่านไม่เมา ท่านจะเก่งกว่านั้นอีก จะอยู่ในวังไม่ตกไม่ต่ำ นี่ชีวิตระเหเร่ร่อน เมาแล้วไม่ได้เรื่องอะไร นี่เป็นอย่างนี้ ไอ้ส่วนดีท่านคือครูกลอนแปด เรียกว่าเป็นนักประพันธ์กลอนที่มีชื่อ แต่ว่าส่วนเสียของท่านมันก็มี แต่มันลบกัน ดีกับเสียมันลบกัน ปั้นอนุสาวรีย์ไว้ที่เมืองแกลง ให้คนได้เห็นถึงความดีงาม แต่ส่วนเสียก็อยู่ที่เมานี่เอง
คนเราถ้าไม่เมาจะดี สมมติว่าคนมีสติ มีปัญญา มีความรู้ความสามารถ ถ้าไม่เมาจะขึ้นไปได้ ๙๐ แต่ถ้าเมานั้นถึง ๔๐ เท่านั้นเอง ขึ้นได้เพียง ๔๐ หล่นหัวปักลงไปเลย เลยไปไม่รอด มันตัดรอนกำลังที่จะเกิดความก้าวหน้า ไม่ว่าเป็นพลเรือน เป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นพ่อค้า ถ้าเป็นโรคติดสุราแล้วไปไม่รอด ผลที่สุดล่มจม เอาตัวไม่รอด เพราะสิ่งเหล่านี้ อันนี้จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัว เป็นอันตรายมากเรามีลูกมีหลาน ต้องพยายามแนะนำพร่ำเตือน อย่าให้เขาไปเสพสิ่งเหล่านี้ ให้เขางดเว้นจากสิ่งเหล่านี้ โดยชี้โทษให้เขาเข้าใจ พ่ออย่าดื่มให้เป็นตัวอย่างแก่ลูก แล้วพูดให้ลูกฟังว่าที่พ่อไม่ดื่มเพราะอะไร เล่าให้ฟัง ก่อนนั้นอาจเคยดื่ม แต่ว่าเห็นว่ามันเป็นโทษ พ่อเลยเลิก เพราะเห็นว่ามันไม่ดี ทำเป็นตัวอย่าง จะสอนเขาด้วยเรื่องอะไร เราทำเป็นตัวอย่าง ปีนี้เขาถือว่าเป็นปีเยาวชนสากล พ่อแม่ครูบาอาจารย์พระสงฆ์องค์เณรทั้งหลายต้องช่วยกันส่งเสริมจิตใจของเยาวชนให้อยู่ในศีลในธรรม ให้ประพฤติดีประพฤติชอบตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา เพื่ออนาคตของชาติต่อไป เราแก่จะตายไป สอนลูกหลานให้เป็นผู้รับมรดกทางศีลธรรม ทางความงามความดี ไว้สืบต่อชีวิตต่อไป เราก็จะชื่อว่าเดินหน้าในทางที่ถูกต้อง เป็นตัวอย่างแก่คนทั้งหลาย
ทหารผ่านศึกที่เขามาอบรมนี้ เขาปฏิญญาด้วยตัวเขาเอง ไม่มีใครสอนให้พูดให้แสดง พูดที่ใครเห็นว่าออกไปแล้วจะประพฤติตนอย่างไร เขาก็จะละเลิกจากอบายมุข จะเป็นพ่อบ้านที่ดี จะใช้วิชาความรู้ให้เป็นประโยชน์ตามความสามารถที่จะกระทำได้ เป็นคำปฏิญญาที่พูดไว้ในโรงเรียนนี้ ในสมัยนั้น พวกเราที่ผ่านศึกที่มาวันนี้ คงยังจำอยู่ไม่ลืม แต่ดูหน้าผ่องใสทุกคน เมื่อกี้พบแต่ยังไม่หมด แต่ดูหน้าตาผ่องใส แสดงว่าจิตใจอิ่มเอิบด้วยธรรมะ คนประพฤติธรรมนั้นย่อมมี “ธรรมปิติ” (บาลี) คนประพฤติธรรม จริงใจในธรรม จิตใจผ่องใส ก็ย่อมมีความสุข ผู้ไม่ประพฤติธรรม จิตใจขุ่นมัว เศร้าหมอง ผิวพรรณเศร้าหมอง อะไรมันก็เศร้าไปหมด ชีวิตตกต่ำ เราไม่อยู่อย่างคนตกต่ำ แต่เราอยู่อย่างคนเจริญก้าวหน้าในทางที่ถูกที่ชอบ ตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงขอให้ได้คิดในเรื่องอย่างนี้ไว้ด้วย ช่วยกันโฆษณาชักจูงเพื่อนฝูง มิตรสหายให้ได้ละเลิกสิ่งเสพติด เพื่อให้จิตใจผ่องใส ก็จะเป็นไปในทางที่ถูกที่ชอบตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังที่ได้แสดงมา ก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
- ปาฐกถาธรรมวันอาทิตย์ที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๘